สุขภาพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 09 Dec 2021 10:41:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หักดิบ! “นิวซีแลนด์” ออกกฎห้ามขาย “บุหรี่” ตลอดชีวิต ให้กับทุกคนที่เกิดหลังปี 2008 https://positioningmag.com/1366277 Thu, 09 Dec 2021 10:27:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366277 นับเป็นนโยบาย “บุหรี่” ที่แรงที่สุดในโลก “นิวซีแลนด์” ประกาศเตรียมออกกฎหมาย “ห้ามขายบุหรี่” ให้กับทุกคนที่เกิดหลังปี 2008 ทำให้เด็กวัยรุ่นในอนาคตของนิวซีแลนด์จะไม่ได้แตะบุหรี่ถูกกฎหมายเลยตลอดชีวิต ตามเป้าหมายของประเทศที่จะเป็น “ประเทศปลอดควันบุหรี่” ภายในปี 2025

วันที่ 9 ธันวาคม 2021 ประเทศนิวซีแลนด์ประกาศแผนป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ ตามแผนการเป็น “ประเทศปลอดควันบุหรี่” ภายในปี 2025

กลยุทธ์ของนิวซีแลนด์คือ จะมีการออกกฎหมายไม่ให้ทุกคนที่เกิดหลังปี 2008 ซื้อบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบใดๆ ได้ตลอดชีวิต

ขณะที่บุหรี่ที่ยังมีจำหน่ายให้กับผู้ใหญ่จะถูกลดปริมาณนิโคตินลง และจะลดจำนวนร้านค้าปลีกที่อนุญาตให้ขายบุหรี่ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คาดว่าจะออกเป็นกฎหมายภายในปีหน้า

ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกับอุตสาหกรรมบุหรี่คือ นิวซีแลนด์ได้ขึ้นภาษีสูงมากกับบุหรี่ แต่กระทรวงสาธารณสุขมองว่าต้องมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดกว่านี้หากนิวซีแลนด์จะเป็นประเทศปลอดบุหรี่ เป็นที่มาให้เกิดนโยบายจำกัดการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชน และจะทำให้พวกเขาไม่ได้สูบบุหรี่ตลอดชีวิต

นิวซีแลนด์ บุหรี่
(Photo: Pixabay)

“นี่คือวันแห่งประวัติศาสตร์ด้านสุขภาพของประชาชนของเรา” ดร.อายีชา เวอร์รัล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว “เราต้องการสร้างความมั่นใจว่า เยาวชนของเราจะไม่เริ่มสูบบุหรี่ ดังนั้น เราจะป้องกันไม่ให้มีการขายหรือมีซัพพลายยาสูบเข้าถึงกลุ่มเยาวชนกลุ่มใหม่ เมื่อกฎหมายบังคับใช้ เยาวชนอายุไม่เกิน 14 ปี ณ ขณะนั้น จะไม่สามารถซื้อยาสูบได้อย่างถูกกฎหมายอีกเลย”

เวอร์รัลระบุว่า การสูบบุหรี่เป็นต้นเหตุการตายที่จริงๆ แล้วป้องกันได้ ทุกวันนี้ บุหรี่เป็นต้นเหตุ 1 ใน 4 ของโรคมะเร็งในประชากรชาวนิวซีแลนด์

 

“บุหรี่” ต้องลดเหลือศูนย์

สำหรับเป้าหมาย “ประเทศปลอดบุหรี่” ของนิวซีแลนด์ มีมาตั้งแต่ปี 2011 โดยต้องการจะลดอัตราผู้สูบบุหรี่ให้เหลือน้อยกว่า 5% ให้ได้ภายในปี 2025 ก่อนจะพยายามกำจัดให้ได้ทั้งหมดหลังจากนั้น

ณ ขณะนี้ มีประชากรนิวซีแลนด์ที่สูบบุหรี่อยู่ราว 13% ถือว่าลดลงบ้างแล้วจากตัวเลข 18% เมื่อสิบปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มชาวเมารีกลับมีอัตราการสูบบุหรี่ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศมาก โดยมีอัตราถึง 31%

องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยบรรยายถึงปัญหายาสูบว่าเป็น “หนึ่งในภัยด้านสุขภาพสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของโลก” โดยทั่วโลกมีผู้ที่เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ไม่ว่าจะมือหนึ่งหรือมือสองมากถึง 8 ล้านคนต่อปี

สถิติยังบอกด้วยว่า ผู้สูบบุหรี่บนโลกนี้มีประมาณ 1,300 ล้านคน และสัดส่วนถึง 80% เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคสืบเนื่องจากการสูบบุหรี่หนักที่สุดตามไปด้วย

Source

]]>
1366277
บํารุงราษฎร์ ปั้นธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะ LGBTQ+ กำลังซื้อสูง เน้นครบวงจร-ดูเเลระยะยาว https://positioningmag.com/1339830 Thu, 01 Jul 2021 09:41:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339830 บำรุงราษฎร์เสริมกลยุทธ์สร้างรายได้ เปิดตัวธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะกลุ่ม LGBTQ+ กำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก ชูจุดเด่นการดูแลเชิงสุขภาพในระยะยาวเเบบ ‘Life-time value’ ครบวงจรตั้งเเต่ให้คำปรึกษาดูเเลจิตใจผ่าตัดเเปลงเพศศัลยกรรมตกเเต่ง ตามความต้องการเฉพาะบุคคล

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH กล่าวว่า Pride Clinic จะเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพตามความต้องการ ให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ด้วยการบริบาลตามมาตรฐานบำรุงราษฎร์และความปลอดภัยสูงสุด ทั้งก่อนเข้ารับบริการ ในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาว

ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย มีอยู่ทั่วโลกราว 468 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวเอเชียถึง 288 ล้านคน เเละในไทยประมาณ 4 ล้านคน

บริการของ Pride Clinic ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งจากชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยล่าสุดบำรุงราษฎร์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในจีน ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลัก รวมไปถึงมีเเผนจะทำการตลาดไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย

ในเบื้องต้นเเม้จะยังไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขทางธุรกิจ เเต่โรงพยาบาลมองว่า ธุรกิจใหม่นี้จะเติบโตได้ดีในอนาคตเเละคาดหวังว่าจะทำรายได้เพิ่ม 2-3 เท่า โดยค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ในเรตที่กว้างมาก เพราะความต้องการของเเต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ‘ออปชั่น’ ที่อยากได้เเละความเหมาะสมกับร่างกายเเละจิตใจ ตามคอนเซ็ปต์ ‘Be the best version of you’

สำหรับ ‘Pride Clinic’ จะเปิดให้บริการกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีอายุตั้งเเต่ 20 ปีขึ้นไป รวมถึงให้คำปรึกษาผู้ปกครองและญาติมิตร

นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและผู้ชำนาญการด้านฮอร์โมน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ยังมีความเข้าใจผิดและมีความเสี่ยงในการซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง เพื่อทดแทนฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

ดังนั้น ‘Pride Clinic’ จึงได้รับการออกแบบให้มีการบริบาลแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศที่ครบวงจร ปลอดภัยเเละดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เช่น

  • การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพหรือเตรียมความพร้อมเพื่อปรับเพศสภาพ (Hormone Therapy)
  • ศัลยกรรมเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพ (Masculinizing/Feminizing Procedures)
  • การผ่าตัดเปลี่ยนเพศ (Gender-Affirming Surgery)
  • การฝึกพูดเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเพศหญิง (Voice Feminizing Therapy)
  • การผ่าตัดกล่องเสียง (Voice Feminizing Surgery)
  • การดูแลรักษาด้านผิวพรรณ ความงามและรูปร่าง (Aesthetic and Skin)
  • การดูแลสุขภาพจิต (Mental health)
  • โปรแกรมสุขภาพแบบจำเพาะสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Check-up Program for Unisex) ในทุกช่วงวัย

“จุดเเข็งของ Pride Clinic คือการดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลจริงๆ เพราะต้องเทคฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน ไม่ใช่เเค่ผ่าตัดเสร็จเเล้วก็จบ เเต่คือการดูเเลระยะยาว 20-30 ปี ไปตลอดชีวิต” 

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Pride Clinic คือการมีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด ที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก

โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบริบาลดูแลในช่วงการ ‘พักฟื้นภายหลังผ่าตัด’ อย่างต่อเนื่องที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ภายใต้โครงการรักษ ตั้งอยู่ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ผสมผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Advanced Medical Science) มาใช้ร่วมกับ ศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบ ‘เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคล’ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดีในแบบฉบับของแต่ละบุคคล

ก่อนจะเกิดวิกฤตโรคระบาดนั้น BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี คิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50% ขณะที่ ‘สัดส่วนรายได้’ ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนัก เช่น การผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เมื่อการเเพร่ระบาดยังไม่หมดไปในเร็ววัน บำรุงราษฎร์ จึงปรับกลยุทธ์เพื่อหารายได้ช่องทางใหม่ ขยายธุรกิจใหม่ ขยับหาลูกค้าชาวไทยมากขึ้น พร้อมชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (Expatriate) ที่มีอยู่ราว 2.45 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก โดยมีการจัดเเคมเปญต่างๆ ออกแพ็กเกจโปรโมชัน คอร์สรักษาในราคาพิเศษ ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ BH หันมาจับมือกับ ‘คลินิกขนาดเล็ก’ เพื่อขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด ให้เข้าถึง ‘ชุมชน’ มากขึ้น ตามแนวคิด ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ซึ่งเป็นบริการที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในยุโรป ‘คุ้นเคยกันดี’ เเต่ในเมืองไทยยังไม่เเพร่หลายมากนัก เเละล่าสุดกับเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่าง Pride Clinic ที่มุ่งเจาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก

“ขณะนี้สัดส่วนการเติบโตคนไข้ชาวไทยและต่างชาติที่อยู่ในไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการรักษาโรคเฉพาะทาง คนไข้ต่างชาติก็มีเข้ามาเป็นเที่ยวบินพิเศษ ต่อไปหากสามารถเปิดประเทศได้ ก็จะทำให้ยอดคนไข้ต่างชาติกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ภญ. อาทิรัตน์ระบุ 

 

 

]]>
1339830
งานหนักคร่าชีวิต 7 เเสนคนต่อปี ทำเกิน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ เสี่ยงตายโรคหัวใจ-หลอดเลือดสมอง https://positioningmag.com/1332677 Tue, 18 May 2021 09:05:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332677 ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป ได้คร่าชีวิตผู้คนหลายเเสนคนต่อปี เเละยิ่งเลวร้ายลงไปอีกในช่วงโรคโควิด-19 โดยคนที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฝั่งแปซิฟิกตะวันตก ได้รับผลกระทบมากที่สุด

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เผยแพร่งานวิจัยในวารสาร Environment International ระบุว่า การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องทำงานทางไกล และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก เพิ่มความเสี่ยงให้ลูกจ้างมีชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้นตามไปด้วย

โดยการทำงานมากกว่า ’55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น 35% และเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงขึ้น 17% เมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานสัปดาห์ละ 35-40 ชั่วโมง

ในปี 2016 ประชาชนกว่า 745,000 คน เสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกและโรคหัวใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทำงานยาวนานหลายชั่วโมง สูงขึ้นเกือบ 30% จากปี 2000

ผลวิจัยของ ILO พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกือบ 3 ใน 4 เป็นผู้ชายในวัยกลางคนหรือสูงอายุ หลายกรณีเสียชีวิตในช่วงบั้นปลายชีวิต 10 ปีให้หลังจากที่ทำงานหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โดยแรงงานที่ใช้ชีวิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตก ตามนิยามของ WHO รวมจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

Photo : Shutterstock

นักวิจัย ชี้ว่าชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งด้านสรีรวิทยาโดยตรงเเละก่อให้เกิดความเครียด นอกจากนี้ยังส่งผลให้เเรงงานมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมทำลายสุขภาพ เช่นการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การนอนหลับน้อยลง ไม่มีเวลาออกกำลังกายและทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

การทำงาน 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้าง ต้องยอมรับว่าการทำงานที่ยาวนาน อาจทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร” Maria Neira ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพของ WHO กล่าว

การทำงานทางไกล ประชุมออนไลน์ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากพิษไวรัส เร่งให้พนักงานต้องเเบกภาระงานหนักมากขึ้น WHO ประเมินว่า ประชาชนอย่างน้อย 9% มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานกว่าเดิม

ในทางตรงกันข้าม การลดชั่วโมงการทำงานลงจะเป็นประโยชน์ต่อนายจ้างมากกว่า เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าจะช่วยให้ผลิตภาพของพนักงานเพิ่มขึ้น

ไม่มีงานใดที่คุ้มค่าจะเสี่ยงกับการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ รัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้างจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุข้อตกลงเพื่อปกป้องสุขภาพของเเรงงาน

 

ที่มา : BBC , Reuters 

 

 

]]>
1332677
รวมมิตร 8 ประกันภัย คุ้มครองผลกระทบจากการ ‘แพ้วัคซีนโควิด-19’ https://positioningmag.com/1329128 Wed, 28 Apr 2021 11:20:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1329128 วัคซีนโควิดเป็นความหวังของคนทั่วโลกที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง การกระจายวัคซีนที่รวดเร็ว จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นความเชื่อมั่น เเละรักษาชีวิตของประชาชน

เเต่จากการที่วัคซีนโควิด มีการคิดค้นเเละทำวิจัยอย่างเร่งด่วนภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ อาจทำให้มีผลข้างเคียงต่างๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งอาการเเพ้วัคซีนนั้นส่งผลต่อสุขภาพ เเละหากเเพ้รุนเเรงเเละไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ดังนั้น รัฐจึงควรจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมีความน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนที่ออกมาฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ในเร็ววัน

ท่ามกลางความกังวลนี้ บรรดาบริษัทประกันทั้งหลาย จึงเริ่มเสนอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมการแพ้วัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะ รวมไปถึงประกันโควิด-19 ที่ครอบคลุมอาการแพ้วัคซีน ออกมาจับตลาดผู้บริโภคในทันที วันนี้ Positioning รวมรวบข้อมูลเปรียบเทียบเบี้ยประกันเเละความคุ้มครองต่างๆ ‘เบื้องต้น’ ดังนี้

ทั้งนี้ ก่อนจะเลือกซื้อประกันใดๆ ศึกษารายละเอียดกรมธรรม์ ความคุ้มครองเเละ ‘เงื่อนไข’ ของแต่ละบริษัทให้รอบคอบเเละครบถ้วน ตรวจสอบอีกครั้งกับทางบริษัทประกันโดยตรงหรือโบรกเกอร์ที่ให้บริการ

ประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะ 

เป็นประกันที่ออกมาเพื่อเจอกรณี ‘เเพ้วัคซีน’ มีผลข้างเคียงขึ้นมาหลังฉีด มักจะมาในรูปเเบบการชดเชยด้วยเงินค่าปลอบขวัญ จ่ายค่ารักษาพยาบาล ให้เงินชดเชยกรณีเกิดอาการโคม่าและเสียชีวิต ตามเงื่อนไขที่กรมธรรม์กำหนด

1.กรุงเทพประกันภัย

นำเสนอประกันที่คุ้มครองการแพ้วัคซีนโควิด-19 ที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล รับเงินปลอบขวัญเมื่อเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล พร้อมรองรับประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฉีดวัคซีน

โดยมี 3 เเผนให้เลือก เบี้ยประกันต่อปี เริ่มต้นที่ 99 บาท 489 บาท และ 859 บาท ส่วนผู้ที่มีประกันโควิด-19 ของบริษัทอยู่แล้ว จะได้รับ ‘ราคาพิเศษ’ คือ เริ่มต้นที่ 79 บาท 389 บาท และ 679 บาท ตามลำดับ ขึ้นอยู่กับความคุ้มครองและวงเงินที่จะได้รับ

เงื่อนไขการรับประกันภัย 

  • รับประกันภัยสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิด-100 ปี
  • รับประกันภัยบุคคลสัญชาติไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
  • รับประกันภัยทุกอาชีพ
  • ผู้เอาประกันภัยสามารถทำประกันภัยได้คนละ 1 ฉบับ
  • แผนประกันภัยมีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี

คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่ : bangkokinsurance
สอบถามเพิ่มเติม : ทีมพัฒนาลูกค้ารายย่อยกรุงเทพประกันภัย โทร 0-2285-8585

2. เทเวศประกันภัย ร่วมกับ SCB 

เป็นประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 เพื่อคุ้มครองผู้ที่ได้รับวัคซีน มีทั้งสิ้น 4 แผนด้วยกัน เบี้ยประกัน เริ่มต้นที่ 88 – 1,340 บาท คุ้มครองสูงสุด 3 ล้านบาท สำหรับการเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่า มีค่ารักษาพยาบาลกรณีเป็นผู้ป่วยใน เงินชดเชยรายได้สูงสุดวันละ 2,000 บาท นำเสนอประกันเเละซื้อได้ผ่านแอปพลิเคชัน SCB Easy เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่ : SCB 
สอบถามเพิ่มเติม : เทเวศประกันภัย โทร. 1291 จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.00–18.00 น., เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30 – 19.00 น. หรือ www.deves.co.th

3. Tip Insure 

เป็นประกันภัยวัคซีนโควิด-19 ในเครือทิพยประกันภัย สมัครได้ทั้งลูกค้าทิพยฯ ที่ต้องการซื้อเพิ่มหรือลูกค้าทั่วไป มีให้เลือก 2 แผน ราคาเบี้ยประกันต่อปี 70 บาท และ 120 บาท เน้นคุ้มครองการเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่า อันเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จากการฉีดวัคซีนโควิดสูงสุด 1 ล้านบาท เเละการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน สูงสุด 1 เเสนบาทต่อปี เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่ : Tip Insure
หรือโทร. 1736

4. สินมั่นคงประกันภัย

ประกันภัยการแพ้วัคซีนของสินมั่นคงประกันภัย สามารถซื้อได้แม้ไม่เคยมีประกันภัยการติดเชื้อโควิด ราคาเบี้ยประกันเริ่มต้นที่ 30-390 บาท มีให้เลือกทั้งสิ้น 6 เเผน ครอบคลุมทั้งกรณีผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายวัน ค่าปลอบขวัญ หากต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเกินกว่า 5 วัน หรือหากกรณีมีอาการรุนแรงถึงขั้นโคม่า รับเงินช่วยเหลือเพิ่ม รวมความคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่ : SMK
หรือโทร. 1596

ประกันโควิด-19 ที่รวมการ ‘แพ้วัคซีน’ 

นอกจากประกันกรณีการเเพ้วัคซีนโควิด-19 ที่ลูกค้าต้องการซื้อเพิ่มโดยเฉพาะเเล้ว ยังมีการ ‘ขยายรูปแบบ’ เป็นประกันโรคโควิด-19 ที่ครอบคลุมการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนด้วย จะเน้นไปที่การชดเชยค่าชดเชยจากการติดโควิด-19 (เจอจ่ายจบ) เเละค่ารักษาพยาบาลเมื่อติดโรคเป็นหลัก โดยพ่วงค่าชดเชยการเเพ้วัคซีนเข้าไปเป็นตัวเสริม 

5. ไทยประกันภัย

เปิดตัวแผนประกัน ‘TIC Covid-19 Plus’ ที่ขยายความคุ้มครองครอบคลุมถึงกรณีแพ้วัคซีนโควิด มีให้เลือก 3 เเผน ราคาเบี้ยประกันต่อปี 359 บาท 579 บาท และ 689 บาท

กรณีมีอาการแทรกซ้อนจากการได้รับวัคซีนโควิด-19 จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล (IPD) สูงสุด 20,000 บาท และความคุ้มครองจากการเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่า หรือการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย หรือโรคร้ายแรงที่มีสาเหตุมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือมาจากการแพ้วัคซีนโควิด-19 สูงสุด 3 เเสนบาท เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

รายละเอียดแผนประกันภัย TIC Covid-19 Plus ของ TIC ไทยประกันภัย แบ่งเป็น 3 แผนดังนี้

  • แผน 1 จ่ายเบี้ยประกันภัยคนละ 359 บาท/ปี กรณีตรวจเจอเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นครั้งแรก รับทันที 50,000 บาท การรักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เนื่องจากการแพ้วัคซีน 10,000 บาท* และกรณีเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่าหรือระยะสุดท้ายจากโควิด-19 หรือจากการแพ้วัคซีน รับสูงสุด 150,000 บาท
  • แผน 2 จ่ายเบี้ยประกันภัย คนละ 579 บาท/ปี กรณีตรวจเจอเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นครั้งแรก รับทันที 75,000 บาท การรักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เนื่องจากการแพ้วัคซีน 15,000 บาท* และกรณีเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่าหรือระยะสุดท้ายจากโควิด-19 หรือจากการแพ้วัคซีน รับสูงสุด 225,000 บาท
  • แผน 3 จ่ายเบี้ยประกันภัยรายละ 689 บาท/ปี กรณีที่ตรวจเจอเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นครั้งแรก รับทันที 100,000 บาท การรักษากรณีผู้ป่วยใน (IPD) เนื่องจากการแพ้วัคซีน 20,000 บาท* และกรณีเจ็บป่วยด้วยภาวะโคม่าหรือระยะสุดท้ายจากโควิด-19 หรือจากการแพ้วัคซีน รับสูงสุด 300,000 บาท

คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่ : thaiins
หรือโทร. 02-613-0123

6. เมืองไทยประกันชีวิต

ประกันโควิด-19 ของเมืองไทยประกันชีวิต มี 2 รูปแบบที่ครอบคลุมอาการแพ้วัคซีน ราคาเบี้ยประกันที่ 900 บาทต่อปี และ 1,200 บาทต่อปี เสนอค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยรายได้ เเละให้วงเงินค่ารักษากรณีแพ้วัคซีนที่ 50,000 บาทเท่ากัน หากมีภาวะโคม่าจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา จะมีความคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาท เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

อ่านรายละเอียดได้ที่ : muangthaiinsurance 

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังมี ‘ประกันเเพ้วัคซีน’ ที่สามารถซื้อเเยกได้โดยเฉพาะ ราคาเบี้ยประกันเริ่มต้นที่ 99-699 บาท ค่ารักษาพยาบาลกรณีได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีน เงินชดเชยรายวันจากการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน หรือหากมีภาวะโคม่าจากการฉีดวัคซีนจะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 1.5 ล้านบาท

อ่านรายละเอียดได้ที่ : muangthaiinsurance 
หรือโทร. 1484

7. ทิพยประกันภัย

ประกันภัยโควิด-19 แบบจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายได้ ราคาเบี้ยประกัน ตั้งเเต่ 450- 1,250 บาท ครอบคลุมการรักษากรณีแพ้วัคซีนสูงสุด 1 ล้านบาท เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

อ่านรายละเอียดได้ที่ : TQM
หรือโทร. 1737 กด 4

8. สินทรัพย์ประกันภัย 

มีประกันโควิด-19 ทั้งแบบเจอจ่ายจบเเละจ่ายค่ารักษาพยาบาล เบี้ยประกันต่อปี 499-999 บาท ครอบคลุมกรณีแพ้วัคซีนทั้งหมด โดยหากมีภาวะโคม่าจากการป่วยโรคโควิดจะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาท เเละหากมีภาวะโคม่าจากการฉีดวัคซีนจะได้รับความคุ้มครองสูงสุด 2 เเสนบาท

อ่านรายละเอียดได้ที่ : TQM
หรือโทร. 1729

 

*ข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 64

*แผนประกันที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ส่วนใหญ่จะมีระยะเวลารอคอย 14 วัน นับจากวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้เป็นครั้งแรก

*โปรดทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

 

]]>
1329128
หมอญี่ปุ่นเตือนผู้ติดเชื้อ COVID-19 แม้หายจากโรคแล้ว แต่สุขภาพทรุดตกค้าง https://positioningmag.com/1321124 Sun, 28 Feb 2021 14:40:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1321124 แพทย์ชาวญี่ปุ่นพบว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อ COVID-19 มีอาการทางสุขภาพตกค้างหลายอย่าง เช่น อ่อนเพลีย หายใจลำบาก ผมร่วง ไม่ค่อยรับรู้กลิ่นและรสชาติ

คณะแพทย์ในญี่ปุ่นเตือนว่า ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี เมื่อติดเชื้อ COVID-19 จะไม่มีอาการหรืออาการเบา แต่เมื่อหายจากโรคแล้วกลับมีปัญหาสุขภาพตามมาในระยะยาว

หญิงวัย 30 ปี คนหนึ่งที่ทำงานในศูนย์พยาบาลดูแล และติดเชื้อเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วบอกว่า การรับรูกลิ่นและรสชาติของเธอไม่กลับคืนมาแม้จะหายป่วยนานกว่า 2 เดือนแล้ว เธอได้ไปพบแพทย์รวมทั้งใช้ยาสมุนไพร แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ทุกวันนี้เธอมีปัญหาในการกินอาหาร เพราะไม่สามารถรับรู้รสชาติได้เหมือนเดิม

ศูนย์สุขภาพและการแพทย์สากลแห่งญี่ปุ่น ได้สำรวจผู้ป่วยที่ติดเชื้อเมื่อปีที่แล้ว และหายดีแล้ว 63 คน พบว่าหลายรายมีอาการอ่อนเพลีย หายใจติดขัด รับรู้กลิ่นและรสชาติด้อยลง บางรายมีอาการผมร่วงอย่างมาก อาการเหล่านี้คงอยู่นานถึง 4 เดือนหลังจากป่วย แต่บางรายก็ยังมีอาการอยู่ แม้ว่าจะหายป่วยนานแล้วก็ตาม และขณะนี้ยังบรรดาแพทย์ยังไม่รู้วิธีรักษาอาการดังกล่าว

Photo : Shutterstock

สถานพยาบาลฮิราฮาตะในญี่ปุ่นได้สำรวจอดีตผู้ติดเชื้อราว 700 คน พบว่า 95% บอกว่ามีอาการอ่อนเพลีย 80% มีอาการซึมเศร้า และความสามารถในการครุ่นคิดด้อยลง การสำรวจยังพบว่า 30% ของผู้ที่มีอาการตกค้างหลังจากติดเชื้อโควิดมีอายุราว 40 ปี และเกือบ 50% เป็นวัยรุ่นที่อายุไม่เกิน 30 ปี โดยผู้หญิงมีอาการตกค้างเช่นนี้มากกว่าผู้ชายถึง 1.4 เท่าตัว

แพทย์คาดว่า อาการ “มรสุมภูมิวิปริต” หรือ Cytokine Storm ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองอย่างรุนแรง จนไปทำลายอวัยวะที่ดี อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการมีอาการตกค้างหลังติดเชื้อ

มีตัวอย่างของผู้ป่วยรายหนึ่งที่ต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง หลังจากโหมออกกำลังกายเพื่อหวังฟื้นฟูร่างกายหลังพ้นการติดเชื้อโควิด อดีตผู้ติดเชื้อรายนี้ไม่สามารถกลับไปทำงานได้ แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นการติดเชื้องดออกกำลังกายชั่วระยะเวลาหนึ่ง

คณะแพทย์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเตือนให้สาธาณชนรับรู้ว่า ผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 แม้หายดีแล้วก็ยังอาจเผชิญปัญหาสุขภาพในระยะยาว เนื่องจากผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัยรุ่น ยังคงไม่แยแสกับความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพราะคิดว่า “ติดได้ก็หายได้”

Source

]]>
1321124
Jetts Fitness ปรับทิศขยายสาขาใกล้ ‘ออฟฟิศ’ ควบ ‘ชานเมือง’ เร่งดึงยอดสมาชิกกลับ ‘เข้ายิม’ https://positioningmag.com/1320999 Fri, 26 Feb 2021 09:14:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320999 ต้องยอมรับว่าฟิตเนสได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปไม่น้อย เมื่อต้องปิดสาขาชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์ เเต่ในอีกมุมก็เป็นโอกาสสำคัญที่ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาดูเเลตัวเองเเละใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น

ปัจจุบัน มูลค่าตลาดของธุรกิจฟิตเนสในไทยอยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก่อนสะดุดลงด้วยพิษ COVID-19 เเต่ในปีนี้ เต็มไปด้วยความหวังที่จะกลับมารุ่งอีกครั้ง หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงเเละมีการกระจายวัคซีน

นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของผู้ประกอบการฟิตเนส ว่าพวกเขาจะปรับกลยุทธ์รองรับวิถีชีวิตใหม่นี้อย่างไรกันบ้าง

ปีนี้ Jetts Fitness (เจ็ทส์ ฟิตเนส) เเบรนด์ดังจากออสเตรเลีย เร่งเครื่องขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1’ ของตลาดไทยในเเง่สาขา ซึ่งเป็นถือกลยุทธ์หลักของธุรกิจฟิตเนส ที่พึ่งพารายได้จากค่าสมาชิกดังนั้นการหาลูกค้ากลุ่มใหม่ในทำเลที่ยังไม่เคยเข้าถึงคือหัวใจสำคัญ

ท่ามกลาง COVID-19 ที่ระบาดทั้งปี 2020 Jetts เปิดคลับใหม่เพิ่มถึง 13 สาขา ทำให้ตอนนี้มีอยู่ 35 สาขาทั่วประเทศไทย พร้อมเดินหน้าเปิดอีก 8 สาขาในปีนี้

เเม้จะขยายสาขาไม่หยุด เเต่ Jetts Fitness ก็เจอผลกระทบหนักเช่นกัน เพราะในช่วง COVID-19 มีสมาชิกยกเลิกไปถึง 20% จากจำนวนสมาชิกที่มีราว 29,000 ราย ขณะเดียวกันสมาชิกเหลืออยู่อีก 80% ในจำนวนนี้กว่า 30% ขอหยุดจ่ายค่าสมาชิกราว 30%

นี่เป็นโจทย์ยากของธุรกิจฟิตเนส ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเก่ากลับมาเเละหาลูกค้าใหม่ไปด้วยในยามที่ใครๆ ก็รัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่าย

ไมค์ แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง ภูมิภาคเอเชีย บอกว่า ความท้าทายหลักๆ เเบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การทำอย่างไรให้สมาชิกที่หายไปกลับมาใช้บริการเเละการทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปเมื่อพฤติกรรมของลูกค้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ที่ผ่านมา Jetts Fitness มีการออกโปรเเกรมคลาสออนไลน์เเละเทรนเนอร์ออนไลน์เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับสมาชิกอยู่ตลอด

โดยมองว่าพฤติกรรมการใช้บริการฟิตเนส จะเปลี่ยนไปเป็นการ ‘ผสมผสานระหว่างคลาสออกกำลังกายออนไลน์และการเข้ายิมตามปกติ’ เพราะคนจำนวนมากเริ่มชอบการยืดหยุ่นด้านการเดินทางและตารางเวลา รวมถึงลดความเลี่ยงการติดโรค

สำหรับคลาสออนไลน์ที่บริษัทจัดมีสถิติผู้เข้าชมเกือบสี่หมื่นวิว มีผู้เข้าชมสูงสุดในเวลา 17.00 . ในวันธรรมดา และเวลา 15.00 .ในช่วงสุดสัปดาห์ โดยคลาสบอดี้คอมแบท เล็ทส์มูฟ และเจ ซีรี่ส์ เป็นคลาสยอดฮิต

อย่างไรก็ตาม เเม้คลาสเเละเทรนเนอร์ออนไลน์ จะได้รับการตอบรับที่ดีมาก เเต่ไมค์มองว่า สิ่งสำคัญที่ฟิตเนสมีคือการสร้างcommunity’ เเละบรรยากาศการออกกำลังกายที่ไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เชื่อว่าผู้คนจะยังต้องการมาออกกำลังการที่สาขาต่อไปหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

ปีนี้ Jetts Fitness ประเทศไทย จะทุ่มงบการตลาด 4% เพื่อทำโปรโมชัน ออกแคมเปญต่างๆ อย่างแคมเปญกระตุ้น “We want you comeback” ด้วยการให้ส่วนลด 50% เเละเปิดตัวทีมเทรนเนอร์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อตอบความต้องการเฉพาะบุคคล ดูเเลนักกีฬามืออาชีพ และมีอุปกรณ์ที่ครบครัน

โดยแนวโน้มการกลับมาใช้บริการของสมาชิกเก่าที่หยุดไป รวมทั้งการสมัครสมาชิกของลูกค้าใหม่ เริ่มทยอยกลับมาเเล้วในระดับ 30%

นอกจากนี้ วิธีดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการ ก็คือการเข้าไปหาลูกค้าผ่านวิธีการเร่งขยายสาขาในทำเลที่หลากหลายขึ้น

ปัจจุบัน Jetts Fitness ครองส่วนแบ่งตลาดฟิตเนสรวมที่ 30% เเละครองส่วนแบ่งตลาดฟิตเนสที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงที่ 60%

จากเดิม Jetts Fitness มีกลยุทธ์ขยายสาขาในพื้นที่กลางใจเมือง เน้นใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ใกล้อาคารสำนักงาน เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าหลักอย่างพนักงานออฟฟิศ ที่มีอายุราว 21-40 ปี 

เเต่จากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้หลายบริษัทเลือกให้พนักงานทำงานทางไกลที่บ้าน หรือ Work from Home ดังนั้นทิศทางการเปิดสาขา จึงจะเริ่มขยายทำเลมาแถบชานเมือง ใกล้ชุมชนที่อยู่อาศัย ควบคู่ไปย่านการค้าในเมือง

สำหรับเเผนปีนี้ของ Jetts Fitness ตั้งเป้าเพิ่มอีก 8 สาขา มีงบลงทุนสาขาละ 40 ล้านบาท คาดว่าจบปี 2021 จะมีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 41 สาขา พร้อมๆ กับการตั้งเป้าเพิ่มยอดสมาชิกให้เป็น 32,000 รายด้วย

โดยในกรุงเทพฯ จะมีคลับใหม่ที่สยามสแควร์วัน (อยู่กลางใจเมือง) เเละรามอินทรา (อยู่เเถบชานเมือง) ส่วนอีก 6 คลับ จะกระจายไปในต่างจังหวัดเน้นเมืองท่องเที่ยวที่ฮิตในหมู่คนไทย อย่าง หัวหินเเละเพชรบุรี

ต้องจับตาดูว่า ปีนี้ธุรกิจฟิตเนสจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหรือไม่

 

]]>
1320999
Nike มองรายได้ปีนี้ “ดีเกินคาด” ปรับเป้ายอดขายเพิ่ม คนเเห่ซื้อออนไลน์พุ่ง เทรนด์สุขภาพอยู่ยาว https://positioningmag.com/1311261 Sat, 19 Dec 2020 14:17:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311261 เเบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Nike พลิกฟื้นขาดทุนกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง มองว่ารายได้รวมของปีนี้ จะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังยอดขายออนไลน์เติบโตอย่างมากจากวิกฤตโรคระบาด

การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้คนใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น เเละหันมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น วิ่งหรือขี่จักรยาน ทำให้ชุดกีฬาของเเบรนด์ต่างๆ ได้รับความนิยมขึ้นอย่างมาก โดยในช่วงล็อกดาวน์ มีผู้เข้าใช้งาน
เเอปพลิเคชันของ Nike จำนวนมากเเละมีการสั่งซื้อสินค้าต่อเนื่อง ทำให้มีรายได้ส่วนนี้มาช่วยพยุงยอดขายสาขาที่หดหายไป

Jessica Ramirez นักวิเคราะห์ฝ่ายค้าปลีกของ Jane Hali & Associates ให้ความเห็นว่า การทุ่มลงทุนในอีคอมเมิร์ซของ Nike ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา สร้างความได้เปรียบครั้งใหญ่ เหนือคู่แข่งสำคัญอย่าง Adidas เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเเปลงเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น

ความพร้อมเเละการใช้งานง่ายของเว็บไซต์ Nike รวมถึงการรวบรวมข้อมูลสินค้าและบริการที่สอดรับความต้องการของลูกค้า ช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายไปยังผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสม เเม้ในช่วงที่ผู้คนต้องประหยัดเเละระะมัดระวังการใช้จ่าย

ยอดขายออนไลน์ของ Nike เติบโตถึง 84% โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือที่เติบโตมากกว่า 100% และพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกก็เติบโตเป็นอัตราเลขสองหลัก สอดคล้องกับกระเเสการออกกำลังกายกลางเเจ้งในหลายพื้นที่ ได้เริ่มกลับมาอีกครั้ง ก็มีส่วนทำให้ยอดขายของ Nike ฟื้นตัวขึ้นจากช่วงวิกฤตได้ดี

Nike รายงานผลประะกอบการงวดไตรมาส 2/63 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2020 มีรายได้เพิ่มขึ้น 9% มาอยู่ที่ 1.12 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ที่ 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านกำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.25 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 78 เซ็นต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดกำไรต่อหุ้นไว้ที่ 62 เซ็นต์

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็ลดลง 2% สู่ระดับ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นทำให้ Nike ไม่ต้องใช้ทุ่มงบโฆษณา หรือจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดมากเท่ากับปีก่อน ๆ

จากปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตเหล่านี้ ทำให้ Nike ได้ปรับคาดการณ์รายได้ในปีปฏิทิน 2021 (มิ.. 2020-.. 2021) จากเดิมที่คาดกว่าจะโตเเค่หลักเดียวเเต่ตอนนี้คาดว่าจะโตได้ถึงสองหลักอย่างเเน่นอน โดยกลุ่มลูกค้าที่บริษัทจะมุ่งตีตลาดต่อไปนั่นก็คือกลุ่มวัยรุ่นนั่นเอง

 

ที่มา : Reuters, Nike 

]]>
1311261
Plant-Based เทรนด์อาหารแห่งอนาคต Unilever ขยับรุกตลาดจริงจัง ตั้งเป้าทำเงิน 3.6 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1306712 Thu, 19 Nov 2020 09:19:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306712 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ขยับมูฟใหม่เข้าสู่ตลาด Plant-Based กันอย่างต่อเนื่อง ตามเทรนด์อาหารโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

ล่าสุด Unilever (ยูนิลิเวอร์) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเจ้าใหญ่ ตั้งเป้าปั้มยอดขายในส่วนของผลิตภัณฑ์อาหารเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช หรือ Plant-Based เพิ่มเป็น 1 พันล้านยูโร (ราว 3.6 หมื่นล้านบาท) ภายใน 5-7 ปีนี้

เป้าหมายดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าบริษัทคาดว่าตลาด Plant-Based จะเติบโตสูงมากในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อเทียบกับเป้าหมายของยอดขายปัจจุบันที่ 200 ล้านยูโร (ราว 7.2 พันล้านบาท) ตามที่บริษัทตั้งไว้ในปีนี้

กลุ่มสินค้าแบรนด์เนื้อมังสวิรัติ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากกระเเสรักษ์โลกของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคอาหารที่ทำมาจากพืช มากกว่าการบริโภคเนื้อสัตว์จริงๆ เพราะเห็นว่ากระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ มีการปล่อยคาร์บอนที่เป็นภัยต่อการเปลี่ยนเเปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

Hanneke Faber ประธานฝ่ายอาหารของ Unilever ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างยอดขายให้บริษัทได้ถึง 1.93 หมื่นล้านยูโร (6.9 แสนล้านบาท) ในปี 2019 ระบุว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว สินค้า Plant-Based ยังมีส่วนเเบ่งการตลาด ราว 5% เเต่ต่อไปจะสามารถขยายตัวเเละครองตลาดได้ถึง 50%”

โดยต่อไป Unilever จะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ Plant-Based ในกลุ่มไอศกรีมที่ปราศจากนมและมายองเนสไปจนถึงอาหารทดแทนเนื้อสัตว์จากถั่วเหลืองและสาหร่าย ฯลฯ

นักวิเคราะห์ มองว่า การที่บรรดาเจ้าใหญ่ในวงการกระโดดลงมาเล่นสนาม Plant-Based กันคึกคัก จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชมีราคาถูกลงตามด้วยกำลังการผลิตและการจัดจำหน่ายที่เพิ่มมากขึ้น เเละจะทำให้อุตสาหกรรมนี้มีการขยายตัวครั้งใหญ่

อย่างการที่ Nestlé คู่แข่งรายสำคัญ หันมาทุ่มลงทุนในการพัฒนาสินค้าทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถทานอาหารที่มีรสชาติและผิวสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์จริง แต่ไม่มีกระบวนการปศุสัตว์ที่สร้างผลกระทบต่อโลก ก็เป็นการกระตุ้นการเเข่งขันในตลาดนี้ได้ดีทีเดียว 

ตอนนี้ผู้ผลิต Plant-Based ส่วนใหญ่จะเป็นพันธมิตรกับเชนฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่เเละมุ่งเข้าตีตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น Impossible Foods จับมือกับ Burger King ส่วน Beyond Meat กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์กับ McDonald’s ในสหรัฐฯ สำหรับแพลตฟอร์ม McPlant ขณะที่ Nestlé ส่งวัตถุดิบเมนูเบอร์เกอร์จากพืชให้ McDonald’s ในเยอรมนี

สำหรับตลาด Plant-based Food ในประเทศไทย ก็เริ่มมีเชนร้านอาหารนำเนื้อทำจากพืชมาปรุงเป็นเมนูหลัก เช่น Sizzler ในเครือไมเนอร์ หรือร้านฌานาในเครือฟู้ดแพชชั่น รวมถึงมีนำเข้าจากต่างประเทศมาวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งด้วย

จากข้อมูลของ NRF ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของไทย ระบุว่า ตลาดเนื้อที่ทำจากพืชปัจจุบันมีมูลค่ารวมทั่วโลก 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นไปเป็น 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี เนื่องจากผู้บริโภคเห็นข้อดีของวัตถุดิบอาหารรูปแบบนี้มากขึ้น

ไม่ใช่เเค่ NRF รายเดียวที่กำลังเล็งตลาดนี้ เพราะบริษัทยักษ์ด้านอาหารของไทยอย่าง “เครือซีพี” และ “ไทยยูเนี่ยน” ก็กำลังมองความเป็นไปได้ในตลาด Plant-base Food เช่นกัน

อ่านต่อ : NRF ขอเป็น Foxconn แห่งตลาด Plant-based Food กางแผนขยายโรงงานทั่วโลก

 

ที่มา : Financial Times , The Guardian

]]>
1306712
มองธุรกิจประกัน หลังโควิด เบี้ยรับรวมหดตัวลึก คนเลี่ยงซื้อเพื่อออม เพราะผลตอบเเทนต่ำ  https://positioningmag.com/1299102 Mon, 28 Sep 2020 18:20:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299102 COVID-19 ฉุดภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตปีนี้หดตัวต่อเนื่อง เบี้ยรับรายใหม่เสี่ยงที่จะหดตัวต่ำเป็นประวัติการณ์แตะเลขสองหลัก คนซื้อประกันเพื่อออมลดลง เพราะผลตอบเเทนต่ำไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า ประกันชีวิตเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา โดย 7 เดือนแรกของปี 2563 ภาพรวม “เบี้ยประกันชีวิต” อยู่ที่ 5.74-5.99 แสนล้านบาท หดตัวลง 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าปีนี้จะหดตัวในกรอบ ติดลบ 2-6% ถือว่าติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

“คาดว่าเบี้ยรับรายใหม่ มีความเสี่ยงที่จะหดตัวต่ำเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับติดลบ 10-15% แม้ว่าเบี้ยปีต่ออายุน่าจะมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้” 

Photo : Shutterstock

โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ธุรกิจประกันภัยในปีนี้ มีการเติบโตที่หดตัว ได้เเก่

1) ปัจจัยเดิม : ฐานธุรกิจเบี้ยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium: SP) ที่สูง และบริษัทยังจำเป็นต้องปรับลดพอร์ตประกันประเภทจ่ายครั้งเดียวลง เพื่อลดภาระในการตั้งสำรองประกันภัยเมื่อเข้าสู่มาตรฐานบัญชีใหม่

2) ปัจจัยใหม่ : อัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ ทำให้บริษัทประกันปรับลดอัตราผลตอบแทน (Internal Rate of Return หรือ IRR) ของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขายในปีนี้ลง เหลือเพียงเฉลี่ย 1% ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบสถาบันการเงินบางประเภทที่มีระยะเวลาการออมสั้นกว่า ลดแรงจูงใจในการออมผ่านการซื้อประกันลง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน และกลุ่มลูกค้าระดับกลางบางส่วนที่ถูกกระทบจากวิกฤต COVID-19  สุดท้ายแล้ว อาจกระทบให้เบี้ยใหม่ในภาพรวม หดตัวแตะเลขสองหลัก

โดยในระยะที่เหลือของปีนี้ คาดว่าเบี้ยรับรวมจะยังหดตัวต่อเนื่อง ทำให้เบี้ยรับรวมของทั้งปี 2563 คาดว่าจะหดตัวในกรอบ -2% ถึง -6% เป็น 5.74-5.99 แสนล้านบาท จากปี 2562 ที่หดตัวลง -2.6% YoY ด้วยเบี้ยรับรวม 6.11 แสนล้านบาท นำโดยทิศทางการหดตัวของเบี้ยรับรายใหม่ (New Business) ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง -10% ถึง -15% ส่วนเบี้ยปีต่ออายุ (RYP) คาดว่าจะอยู่ในระดับประคองตัวหลังปรับฐานลงค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทประกันชีวิตต่างปรับตัวเพื่อเข้าถึงลูกค้าหลายกลุ่ม ทั้งแบบสามัญ (Basic Plan) บำนาญ ยูนิตลิงก์ และยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (โดยส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์ประเภทยูนิตลิงก์และยูนิเวอร์แซลไลฟ์ อยู่ที่ระดับประมาณ 5% ปรับตัวลดลงในช่วงปี 2562-2563 จากระดับสูงสุดในปี 2561 ที่ระดับ 7.2%)

โดยมองว่าควรปรับทุนประกันของแผนประกันชีวิตสัญญาหลักให้เล็กลง ให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ และขยายโอกาสการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น เเละคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี เบี้ยประกันสุขภาพน่าจะปรับตัวดีขึ้น และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/63 

Photo : Shutterstock

ส่วนหนึ่งที่จะทำให้เบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น มาจากปัจจัยบวกของการเพิ่มค่าลดหย่อนภาษี สำหรับการซื้อประกันสุขภาพเป็น 25,000 บาทต่อปี รวมถึงความตื่นตัวหลังสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทประกันชีวิตหลายแห่ง ได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยโรคร้ายแรงขึ้นเป็นการเฉพาะ

ประกอบกับภาวะที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ในปี 2564 ล้วนมีส่วนช่วยกระตุ้นการซื้อใหม่และซื้อเพิ่ม ดังสะท้อนจากสัดส่วนเบี้ยประกันสุขภาพต่อเบี้ยประกันสัญญาหลักรายบุคคล ที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอด 5 ปี และคาดว่าจะแตะระดับ 20% ในปีนี้ จากระดับ 10.3% ในปี 2558

“ปัญหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ระดับต่ำนี้ ยังน่าจะปรากฏต่อเนื่องในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะยังอยู่ในระดับต่ำ ในระหว่างที่เศรษฐกิจไทยยังไม่กลับเข้าสู่ระดับช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19” 

ส่วนประเด็นที่น่าจับตามองต่อไป ข้อเรียกร้องจากบริษัทประกันชีวิตที่ขออนุมัติการขายประกันสุขภาพเดี่ยว โดยไม่ต้องควบคู่กับสัญญาหลัก เหมือนปัจจุบันประกันวินาศภัยขายอยู่เดิม ขณะที่การบริหารต้นทุนของบริษัทประกันภัยโดยเฉพาะค่าคอมมิชชันอาจมีการปรับลดลง ในส่วนของลูกค้าอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้ลูกค้าที่คงเงินปันผลสะสมไว้ในบริษัทด้วย

Photo : Shutterstock

ในอีกทางหนึ่งครึ่งปีแรก 2563 ธุรกิจประกันชีวิต มีตัวช่วยจากค่าใช้จ่ายจากการเคลมสินไหมที่ลดลง จากสถานการณ์การ COVID-19 ที่ทำให้จำนวนการเข้าใช้บริการในโรงพยาบาลลดลงตามไปด้วย

โดยครึ่งแรกปีนี้ธุรกิจประกันชีวิตมีรายจ่ายจากการเคลมสินไหมรวมลดลงกว่า 9% เป็นประมาณ 2.28 หมื่นล้านบาท เทียบกับที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดโดยในปี 2562 มียอดจ่ายสินไหมที่ 5.06 หมื่นล้านบาท แต่ก็เพียงเป็นปัจจัยบวกชั่วคราว ท่ามกลางปัจจัยลบที่กดดันธุรกิจ

“นอกจากตัวผลิตภัณฑ์แล้ว บริษัทประกันชีวิตยังมีโจทย์ในการปรับปรุงช่องทางขายและบริการผ่านดิจิทัลมากขึ้น เพื่อรองรับวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งมีผลกระตุ้นช่องทางขายหลักเดิมทั้งตัวแทนและแบงก์แอสชัวรันส์ ให้ตื่นตัวในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขายบนดิจิทัลเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับนายหน้ารายใหม่ที่เน้นเข้าถึงลูกค้าบนโลกออนไลน์เป็นหลัก”

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เเนะว่า ทิศทางที่น่าจะตอบโจทย์ใหม่ของธุรกิจประกันชีวิตหลังจากนี้ จำเป็นต้องพึ่งจุดเด่นของธุรกิจในด้านความคุ้มครองอย่างแท้จริง มากกว่าการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อประกันเพื่อผลตอบแทนด้านภาษีและอัตราดอกเบี้ยอย่างที่เคยเป็นมา เมื่อต้องเจออัตราดอกเบี้ยในประเทศที่จะยังทรงตัวต่ำต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้า

 

]]>
1299102
ส่องเทรนด์ตลาดความงามเอเชีย 2020 โอกาสเครื่องสำอางผู้ชาย-ลุคธรรมชาติมาเเรง  https://positioningmag.com/1258620 Thu, 26 Dec 2019 07:38:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258620 พฤติกรรมผู้บริโภคชาวเอเชียได้เปลี่ยนไป จากแต่ก่อนคำว่า “ความสุข” ผู้คนมักให้ความสำคัญกับการมีเงินที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันสิ่งที่พวกเขามองหาเเละให้ความสำคัญคือ “การมีสุขภาพที่ดี”

ขณะเดียวกันธุรกิจความงามก็ไม่ได้มุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้หญิงอีกต่อไป เมื่อยุคนี้มีลูกค้าผู้ชายที่ใส่ใจภาพลักษณ์เเละดูเเลตัวเอง เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสดีสำหรับแบรนด์ในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ “สำหรับผู้ชาย” เเละผลิตภัณฑ์ความงามแบบ Personalization หรือ Customization ก็กำลังจะมาแรงในปี 2020

จากรายงาน Beauty Trends in Asia ของ Kantar บริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดกล่าวถึงสิ่งที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดความงามในเอเชียของปีหน้าว่า ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพผิวที่ดี เครื่องสำอางในลุคธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้ชาย มียอดขายผลิตภัณฑ์ด้านความงามเพิ่มขึ้นถึง 8% ระหว่างปี 2017 – 2018 เทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG ที่เพิ่มขึ้นเพียง 4% สินค้า Personal Care ในเอเชียยังคงแซงหน้าตลาด FMCG ทั้งหมด

เทรนด์ตลาดความงามเอเชีย 

Derma-care

ผลิตภัณฑ์ Derma-care ได้รับความนิยมมากขึ้น แบรนด์ผลิตภัณฑ์ Derma-care รุกตลาดเกาหลีเกือบ 45% จากเดิม 25% ในปี 2017 ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ส่วนอันดับ 2 คือไต้หวันที่ 40% เพิ่มขึ้นจาก 37.6 ในปี 2017

ผลิตภัณฑ์ Derma-care มีความสามารถในการให้ประสิทธิภาพระดับสูงสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่เฉพาะเจาะจง เช่น ผิวหนังอักเสบ แต่ก็ถูกนำมาใช้มากขึ้นในการแก้ปัญหาผิวทั่วไปสำหรับผิวบอบบางและการป้องกันมลพิษ มีการออกผลิตภัณฑ์ Derma-care ใหม่เพิ่มขึ้น จากเดิมตลาดเป้าหมายเป็นเพียงแค่กลุ่ม Niche แต่ทุกวันนี้การค้าปลีกและช่องทางการจัดจำหน่ายสมัยใหม่ ได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ Derma-care ได้จำหน่ายนอกร้านขายยา

Natural Beauty

“ผิวโกลสุขภาพดี” เป็นลุคที่ต้องการมากที่สุดสำหรับชาวเอเชีย ความชุ่มชื่นคือความจำเป็นสำหรับลุคนี้ ทำให้ยอดขายเซรั่มที่มอบความชุ่มชื่นอย่างเข้มข้นเพิ่มขึ้น สูงถึง 61% จาก 58% ในปี 2017 ถือเป็นตัวเลขสูงที่สุดในเอเชีย  ขณะที่จีนเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2017 เป็นเกือบ 26% 

ในวันนี้ ลุคที่ “เป็นธรรมชาติ” ต้องใช้เครื่องสำอางที่ช่วยมอบความโปร่งแสง ได้แก่ รองพื้นแบบน้ำ บีบีครีม ไพรเมอร์ และคอนซีลเลอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

โดย Kantar คาดว่าเครื่องสำอางที่ให้คุณประโยชน์ด้านการดูแลผิวจะมีการเติบโตในอนาคต ซึ่งผลิตภัณฑ์ “Crossover” ระหว่างผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางได้มีการวางจำหน่ายแล้ว อย่างเช่น ครีมโทนเนอร์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นทันที การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไว้ใกล้กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในจีน แม้พวกเขารู้ว่าเม็ดสีในเครื่องสำอางอาจเป็นอันตราย

Men-only

จำนวนผู้ชายที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะจากจีน เกาหลีใต้ และไทย พวกเขาเพิ่มการซื้อผลิตภัณฑ์ในหมวดอื่นๆ เพราะขั้นตอนการบำรุงผิวมีหลายขั้นตอนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนมากก็ยังไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ และกลุ่มนี้ยังเติบโตช้ากว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบ Unisex

ผู้ชายในช่วงอายุ 20 ปี มักจะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Men-only แต่เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นก็จะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้ ดังนั้นมีโอกาสเติบโตอย่างมากสำหรับแบรนด์ที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ผลิตภัณฑ์ Unisex ไปเป็น Men-only เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชายเหล่านี้ “Lapsing” เมื่อเขามีอายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันต่อต้านริ้วรอย ไวท์เทนนิ่ง และกันแดด

 

Customization

ผู้บริโภคในเอเชียเชื่อว่าหากผลิตภัณฑ์ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเขาโดยเฉพาะ จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังทำให้เขารู้สึกพิเศษ “Customization” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็งทั้งในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง การวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีช่วยให้สามารถวิเคราะห์สภาพผิวและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มอบประโยชน์เฉพาะสำหรับผิวแต่ละบุคคลได้ เครื่องสำอางที่สามารถปรับสีและเนื้อสัมผัสได้ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

กลยุทธ์ชนะใจผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชีย 

จากแนวโน้มตลาดความงามเเละสุขภาพดังกล่าว สรุปได้เป็น 5 กลยุทธ์ให้ธุรกิจต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้เพื่อเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชียได้ ดังนี้ 

  • มีความเป็นธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การบำรุงผิวที่ล้ำลึก และมอบคุณค่าทาง Health และ Wellness
  • พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ เข้าใจไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป “ใช้ง่าย” และ “รวดเร็ว” คือสิ่งที่คนเอเชียกำลังมองหา
  • มอบประสบการณ์ใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ Cross-over ลุคแบบธรรมชาติต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นที่ผนวกเครื่องสำอางเข้ากับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
  • ให้ผู้บริโภครู้สึก Exclusive ผู้บริโภคในทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับทุก พวกเขาต้องการสิ่งที่เหมาะกับเขาโดยเฉพาะ หรือต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็น Personalization
  • มอบคุณประโยชน์ที่ผู้บริโภคชายกำลังมองหา พวกเขาแสวงหาประสิทธิภาพที่มีความล้ำลึกยิ่งขึ้น ต่อต้านริ้วรอยและไวท์เทนนิ่ง คือสิ่งที่ควรค่าแก่การผสนผสาน

เจาะตลาดความงามในไทยอย่างไร? 

ชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเทศไทยและมาเลเซีย แนะนำกลยุทธ์ในการชนะตลาดความงามในไทยโดยแบรนด์ต้องคำนึงถึง 2 มุมหลัก คือ ผลิตภัณฑ์และการสื่อสาร โดยผลิตภัณฑ์จะต้องเชื่อมโยงกับคำว่า Health และ Wellness โดยผสานความเป็นธรรมชาติเข้าไป 

“สำหรับคำว่า ความเป็นธรรมชาติ ของคนไทยไม่ใช่แค่เรื่องของส่วนประกอบจากธรรมชาติ แต่ยังคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพที่ล้ำลึกและมีสารปรุงแต่งน้อยที่สุด ผลิตภัณฑ์ยังต้อง ‘More Customized’ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เช่น ป้องกันปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 ที่มีต่อผิวตอบโจทย์ความต้องการถึงระดับตัวบุคคล ” 

สำหรับการสื่อสารต้องมุ่งเน้นไปที่ ‘Holistic Health Benefits’ คือการสื่อสารให้เห็นคุณประโยชน์ต่อสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์ความต้องการทางด้าน Functional และ Emotional เพื่อสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้นแบรนด์ต้องเข้าใจ Insight ผู้บริโภค และกำหนดกลยุทธ์โดยมี Customer Centric เพื่อเติมเต็มความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป

 

 

]]>
1258620