เยอรมนี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 15 Jul 2024 10:55:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถึงคิว ‘เยอรมนี’ ประกาศแบน ‘Huawei-ZTE’ จากเครือข่าย 5G ด้วยเหตุผลความมั่นคงของชาติ https://positioningmag.com/1482592 Mon, 15 Jul 2024 04:17:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1482592 หลังจากที่ประเทศกลุ่มพันธมิตรด้านข่าวกรองของ Five Eyes ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา และนิวซีแลนด์ ที่ห้ามหรือจำกัดการใช้อุปกรณ์จากบริษัท หัวเว่ย (Huawei) และ แซดทีอี (ZTE) ในเครือข่าย 5G ล่าสุด เยอรมนี ก็ออกมาแบนทั้ง 2 บริษัทด้วยเช่นกัน

เยอรมนี จะเลิกใช้ส่วนประกอบที่ผลิตโดย Huawei และ ZTE ของจีนจากเครือข่ายไร้สาย 5G ในอีก 5 ปีข้างหน้าโดยผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรวมถึง Vodafone, Deutsche Telekom และ Telefonica ได้ตกลงที่จะ ถอดส่วนประกอบออกจากเครือข่าย 5G โดยภายในสิ้นปี 2029 ส่วนประกอบเหล่านี้จะต้องถูกกําจัดออกจากเครือข่ายการเข้าถึงและการขนส่ง

“ด้วยวิธีนี้ เรากําลังปกป้องระบบประสาทส่วนกลางของเยอรมนีในฐานะที่ตั้งธุรกิจ และเรากําลังปกป้องการสื่อสารของพลเมือง บริษัท และรัฐ เราต้องลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และหลีกเลี่ยงการพึ่งพาด้านเดียวซึ่งแตกต่างจากในอดีต” แนนซี่ เฟเซอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี กล่าว

ในแถลงการณ์เดียวกัน รัฐบาลเยอรมันเน้นย้ำถึงความสําคัญของ โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น เนื่องจาก อันตรายของการก่อวินาศกรรมและการจารกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงช่องโหว่ดังกล่าว จึงต้องพึ่งพา ผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม Huawei ออกแถลงการณ์ว่า ไม่มีหลักฐานหรือสถานการณ์เฉพาะ ที่ยืนยันว่าเทคโนโลยีของตนมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และบริษัทร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงและความก้าวหน้าของความปลอดภัยทางไซเบอร์ และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายมือถือและการทําให้เป็นดิจิทัลในเยอรมนี

ขณะที่ สถานทูตจีนในเยอรมนี ให้คํามั่นว่า จะใช้มาตรการที่จําเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทจีน และเตือนว่า การเคลื่อนไหวของเยอรมนีกำลัง ทําลายความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างทั้งสองฝ่าย และจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในอนาคตระหว่างจีนและยุโรปในสาขาที่เกี่ยวข้องด้วย

ปัจจุบันจีนถือเป็น คู่ค้ารายใหญ่ที่สุด แต่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเริ่มตึงเครียดยิ่งขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่รัฐบาลเยอรมนีได้ปิดกั้นการขายบริษัทในเครือโฟล์คสวาเกนให้กับบริษัทรัฐของจีนด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งทําให้เกิดการตําหนิจากปักกิ่ง ขณะที่ตอนนี้จีนยังอยู่ในช่วงพิพาททางการค้ากับสหภาพยุโรป ซึ่งขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของจีน

ก่อนหน้าที่เยอรมนีลจะแบน Huawei ในเครือข่าย 5G ก็มีสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นสั่งห้ามบริษัทสร้างเครือข่าย 5G ของตน เนื่องจาก ความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจใช้ Huawei เพื่อสอดแนมพลเมืองของตน นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังวาง Huawei ไว้ในรายการจํากัดการค้าในปี 2019 ซึ่งทําให้บริษัทได้รับชิปเซมิคอนดัก เตอร์จากซัพพลายเออร์ชาวอเมริกันได้ยากขึ้น ข้อจํากัดเหล่านั้นถูกเข้มงวดขึ้นอีกเมื่อต้นปีนี้

ตามรายงานประจําปีของ Huawei ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาคิดเป็น 21% ของรายได้ในปีที่แล้ว

Source

]]>
1482592
‘เยอรมนี’ จ่อแซง ‘ญี่ปุ่น’ ขึ้นแท่นประเทศที่มี GDP สูงอันดับ 3 ของโลก หลังครองตำแหน่งมานานนับสิบปี https://positioningmag.com/1449043 Tue, 24 Oct 2023 07:55:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449043 IMF คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ของ ญี่ปุ่น ในปี 2566 นี้ จะร่วงลงไปอยู่อันดับ 4 ของโลก โดยจะถูกประเทศ เยอรมนี ขึ้นแซง เนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง

ในปี 2022 ที่ผ่านมา มูลค่า GDP ของ ประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่ประมาณ 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น 1.1% ส่วน GDP ของ เยอรมนี อยู่ที่ 4.07 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1 GDP ของญี่ปุ่นจะสามารถเติบโตได้ ถึง 1.6% และไตรมาส 2 สามารถเติบโตได้ 6% ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี

แต่เนื่องจากเงินเยนที่อ่อนค่าลง และผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ส่งผลให้การบริโภคของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาส 2 ถดถอย 2% ซึ่งปัจจุบันตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ GDP ญี่ปุ่น

ส่งผลให้ IMF คาดว่า GDP ของเยอรมนีในปี 2023 จะแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 หลังจากที่ญี่ปุ่นครองตำแหน่งนี้มานานกว่าสิบปี และ IMF ยังคาดอีกว่า GDP อินเดียจะซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่น ภายในปี 2026 และเป็นไปได้ว่าอินเดียจะขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ภายในปี 2027

ย้อนไปปี 1968 ญี่ปุ่นได้แซงเยอรมนีตะวันตกในแง่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือที่เรียกว่า GNP ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้หลักในขณะนั้น และกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และตำแหน่งนั้นก็ถูก จีน แซงในปี 2013

Source

]]>
1449043
ส่องแผนรับมือสังคมสูงวัยใน “เยอรมนี” หันมาใช้ “หุ่นยนต์” ทดแทนแรงงานคนมากขึ้น https://positioningmag.com/1429137 Mon, 01 May 2023 10:02:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429137 “เยอรมนี” เป็นประเทศที่มีอัตราผู้สูงวัยสูงที่สุดในสหภาพยุโรป ทำให้ต้องเริ่มนำ “หุ่นยนต์” เข้ามาใช้ทดแทนแรงงานคนมากขึ้น โดยมีการศึกษาพบว่าคนเยอรมัน “ไม่หวั่น” กับการนำหุ่นยนต์มาช่วยงาน และภาคธุรกิจมองว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาช่วยในลักษณะ “ไฮบริด” มากกว่าทดแทนคนได้ 100%

เมื่อไตรมาส 4 ปี 2022 สำนักงานสถิติรัฐบาลกลางเยอรมนี พบว่ามีแรงงานในระบบอยู่ 45.9 ล้านคน แต่ถึงแม้ว่าตัวเลขคนมีงานทำจะสูงที่สุดที่เคยมีมา แต่หอการค้าเยอรมนีก็ยังพบว่า บริษัทเยอรมันกว่าครึ่งหนึ่งยังหาแรงงานทักษะเข้ามาทำงานได้ยากมาก

“โอลาฟ ชอลซ์” นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เข้ามาทำหน้าที่ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 เคยประกาศแผน “Daring More Progress” ไว้แก้ปัญหานี้ โดยเป็นแผนที่จะมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้งานในโลกธุรกิจให้มากขึ้น

ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของเยอรมนีนั้นไม่น่าแปลกใจ เพราะเยอรมนีเป็นประเทศที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในยุโรป ทำให้ทางออกของปัญหาก็จะเหมือนกับญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ คือ ต้องนำหุ่นยนต์และการสร้างระบบดิจิทัลเข้ามาทดแทนแรงงานและทำให้ระบบการทำงานมีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้หุ่นยนต์เก็บถาดอาหาร เครื่องชำระเงินด้วยตนเองในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือนำแพลตฟอร์มออนไลน์มาใช้พูดคุยในการทำงาน ทุกอย่างจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในเยอรมนี

 

คนเยอรมันไม่หวั่น “หุ่นยนต์” แย่งงาน

แล้วการใช้หุ่นยนต์มากขึ้น ทำให้แรงงานเยอรมันกังวลมากแค่ไหน?

มีผลการศึกษาจาก Gallup เมื่อปี 2018 พบว่าคนเยอรมัน 37% เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีจะทำให้ประสิทธิผลในการทำงานเพิ่มขึ้น 62% มองว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียง 1% ที่คิดว่าเทคโนโลยีจะทำให้การทำงานยิ่งแย่ลง

คนเยอรมัน 6% มองว่าการใช้เทคโนโลยีจะทำให้โอกาสการตกงานน้อยลง ในทางตรงข้าม คนเยอรมัน 10% คิดว่าเทคโนโลยีจะส่งผลให้พวกเขาเสี่ยงตกงานมากขึ้น ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่คิดว่าการใช้เทคโนโลยีจะ ‘ไม่มีผลอะไร’ ต่อความเสี่ยงตกงาน เห็นได้ว่าคนเยอรมันไม่ได้หวั่นกลัวเท่าไหร่นักว่า “หุ่นยนต์” จะมาแย่งงานทำ

ความจริงแล้วเยอรมนีเริ่มการใช้หุ่นยนต์มาไม่น้อยแล้ว โดยสต็อกหุ่นยนต์ที่มีในสหภาพยุโรปนั้นประมาณครึ่งหนึ่งนำมาใช้งานอยู่ในเยอรมนีนี่เอง และส่วนใหญ่ถูกใช้งานในภาคอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ แต่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรม และผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็มีการใช้งานหุ่นยนต์สูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน (ข้อมูลจากรายงานโดย คณะกรรมาธิการยุโรป)

 

นำมาใช้แบบ “ไฮบริด” ไม่ได้แย่งงานคนโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม ภาพการทำงานในอนาคตคงไม่ใช่การปล่อยงานให้หุ่นยนต์หรือระบบดิจิทัลทำแบบ 100% เพราะหลายสายงาน ‘ลูกค้า’ ไม่มั่นใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น

“ไม่มีใครยอมปล่อยให้หุ่นยนต์ตัวเดียวดูแลคุณย่าแน่นอน” นอร์มา สเตลเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์จาก German Bionic กล่าวกับสำนักข่าว CNBC โดยบริษัทนี้เป็นผู้ผลิตเครื่องมือถ่วงน้ำหนักให้กับแรงงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาบาดเจ็บจากการทำงาน

สเตลเลอร์กล่าวว่า ภาคบริการดูแลผู้สูงอายุจะได้ประโยชน์จากการนำหุ่นยนต์มาช่วยงาน เพราะปัจจุบันแรงงานคนในภาคธุรกิจนี้ขาดแคลนอย่างมาก

“เราจะเชื่อมสะพานที่ขาดหายด้วยการนำหุ่นยนต์มาใช้งานร่วมกับมนุษย์ แนวคิดของเราคือมนุษย์จะยังได้ใช้ทักษะของคนในด้านอารมณ์ความรู้สึกเพื่อดูแลผู้สูงวัย” สเตลเลอร์กล่าว

การใช้งานที่ยังต้องมีทั้งหุ่นยนต์และมนุษย์ทำงานร่วมกัน เป็นเพราะฝั่งผู้รับบริการหรือลูกค้าก็ยังไม่มั่นใจในหุ่นยนต์ โดยผลการสำรวจของ Gallup ถามความเห็นจากคนเยอรมัน 1,000 คน พบว่า คนส่วนใหญ่ 70% รู้สึกยังไม่ปลอดภัยที่จะนั่งในรถยนต์ไร้คนขับ

Amazon หุ่นยนต์เดินได้

ขณะที่ “คากรี เปลิแวน” ซีอีโอบริษัทให้บริการหุ่นยนต์ Robot4Work มองว่า การใช้หุ่นยนต์ทำงานจะทำให้มนุษย์มีเวลาไปทำงานที่ซับซ้อนมากกว่าได้

ที่สำคัญคือ หุ่นยนต์จะถูกใช้ทดแทนในตำแหน่งที่ใช้แรงกายหนัก ทำให้พนักงานที่อายุมากหน่อยยังสามารถทำงานต่อได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีระบุว่า ชาวเยอรมันอายุ 55-64 ปีที่ยังทำงานอยู่นั้นมีสัดส่วนถึง 71% ในปี 2021 และประเทศนี้กำลังจะเริ่มขยับอายุรับเงินเกษียณจาก 65 ปี เป็น 67 ปี ในเร็วๆ นี้ ทำให้อายุคนทำงานโดยเฉลี่ยจะเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน

“ในท้ายที่สุดแล้ว การนำหุ่นยนต์มาใช้งานในที่ทำงานคือการเพิ่มพูนประสิทธิภาพให้มนุษย์ ไม่ใช่มาแทนที่มนุษย์” เปลิแวนกล่าว

Source

]]>
1429137
เริ่มแล้ว! พนักงานธุรกิจขนส่งมวลชนทั่ว “เยอรมนี” รวมพลัง “สไตรค์” ขอขึ้นค่าแรงสู้เงินเฟ้อ https://positioningmag.com/1424897 Mon, 27 Mar 2023 03:43:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424897 พนักงานธุรกิจ “ขนส่งมวลชน” ทั่วประเทศ “เยอรมนี” ไม่ว่าจะเป็นในสนามบิน รถไฟ รถบัส จะร่วมกัน “สไตรค์” นัดหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เพื่อเรียกร้องขอขึ้นค่าแรงอย่างน้อย 10.5% สู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงมาตั้งแต่ปีก่อน

หลังเข็มนาฬิกาล่วงเลยเข้าสู่เวลา 00:01 น. วันที่ 27 มีนาคม 2023 ในเยอรมนี การนัดหยุดงานของพนักงาน “ขนส่งมวลชน” เมืองเบียร์ก็เริ่มขึ้น โดยถือเป็นการสไตรค์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

การนัดหยุดงาน 1 วันเต็มในวันนี้ เป็นความร่วมมือของพนักงานขนส่งมวลชนรวมหลายแสนคน ภายใต้สหภาพแรงงานหลายแห่ง ซึ่งจะกระทบการขนส่งมวลชนหลายประเภท สนามบินทุกแห่งยกเว้นในเบอร์ลินจะไม่มีคนทำงานกราวด์และรักษาความปลอดภัย กระทบเที่ยวบินประมาณ 1,500 เที่ยวบิน ไปจนถึงพนักงานขนส่งมวลชนท้องถิ่นทั้ง 16 รัฐของเยอรมนี พนักงานบนทางด่วน พนักงานท่าเรือชายฝั่ง กระทั่งพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟทั่วประเทศ จะหยุดงานทั้งหมดในวันนี้

ข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม สหภาพแรงงาน Ver.di ซึ่งเป็นตัวแทนหลักของพนักงานด้านการบิน ยื่นข้อเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงอย่างน้อย 10.5% หรือประมาณ 500 ยูโรต่อเดือน ขณะที่ EVG ซึ่งเป็นสหภาพพนักงานการรถไฟ ยื่นข้อเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรง 12% หรือประมาณ 650 ยูโรต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้คำตอบของนายจ้างด้านธุรกิจการบินต้องการจะขึ้นค่าแรงให้ 5% เท่านั้น บวกกับโบนัสจ่ายครั้งเดียวอีก 2,500 ยูโร เช่นเดียวกันในกลุ่มนายจ้างธุรกิจรถไฟ ตอบว่าจะขึ้นค่าแรงให้ 5% และไม่มีโบนัสเพิ่มเติม

(Photo by FG/Bauer-Griffin/GC Images)

เมื่อการเจรจาไม่ได้ตามเป้าทำให้นำมาสู่การนัดหยุดงานพร้อมกันทั่วประเทศวันนี้ จากที่ก่อนหน้านี้พนักงานด้านขนส่งมวลชนมีการนัดสไตรค์กันมาเนืองๆ แต่ไม่เคยรวมตัวกันทั้งประเทศพร้อมกัน

เหตุที่พนักงานทนไม่ไหวต้องนัดหยุดงานประท้วง เพราะอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2022 จนปัจจุบันก็ยังไม่หยุด ยกตัวอย่างเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับขึ้นมาแล้ว 9.3% เทียบกับปีก่อน แม้ว่าธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะพยายามสกัดด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วหลายครั้ง

เยอรมนีเป็นประเทศที่เคยพึ่งพิงแก๊สจากรัสเซียอย่างมาก ก่อนที่จะเกิดสงครามยูเครนขึ้น ทำให้เยอรมนีได้รับผลกระทบหนักเพราะต้องดิ้นรนหาแหล่งพลังงานใหม่ ในระหว่างนั้นอัตราเงินเฟ้อจึงพุ่งขึ้นสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยในยุโรป

ผลร้ายจึงมาตกกับพนักงานทั่วไปที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ราคาเนยจนถึงค่าเช่าบ้าน ค่าครองชีพที่พุ่งสูงทำให้ทางสหภาพแรงงานมองว่าการขึ้นค่าแรงเป็นเรื่องของ “การเอาชีวิตรอด” ของพนักงาน

อย่างไรก็ตาม ฝั่งนายจ้าง เช่น Deutsche Bahn บริษัทผู้รับสัมปทานเดินรถไฟ ออกมาตอบโต้เมื่อวานนี้ว่า การนัดหยุดงานเป็นเรื่องที่ “เกินเหตุ ไม่มีเหตุผล และไม่จำเป็น” แถมเหล่านายจ้างทั้งหลายยังเตือนด้วยว่า หากขึ้นค่าแรงให้พนักงานขนส่งมวลชน บริษัทจะปรับค่าโดยสารและภาษีที่เก็บกับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับต้นทุนที่จ่ายค่าแรงเพิ่ม

ไม่เฉพาะในเยอรมนีที่พนักงานมีการประท้วง ในยุโรปอีกหลายประเทศก็มีการประท้วงเนืองๆ เช่น ฝรั่งเศส ที่ประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาล จากการออกนโยบายยืดอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี เพราะรัฐต้องการจะลดภาระการจ่ายเงินบำนาญ ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ที่มา: Reuters, AP

]]>
1424897
“เยอรมนี” กลับลำ! ยังไม่ยกเลิก “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” เก็บเป็นแผนสำรองหลังรัสเซียลดส่งก๊าซ https://positioningmag.com/1399246 Wed, 07 Sep 2022 10:09:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1399246 “เยอรมนี” เปลี่ยนแผน “ไม่ยกเลิก” ใช้งาน “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” 2 แห่ง จากเดิมวางเป้าปิดตัวภายในสิ้นปี 2022 เพราะจำเป็นต้องเก็บไว้เป็นแผนสำรองหากเกิดวิกฤตก๊าซธรรมชาติ หลังจากรัสเซียลดการส่งก๊าซให้ยุโรป

เยอรมนีประกาศว่าจะเก็บโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ก่อน เตรียมพร้อมเป็นแผนสำรองหากเกิดวิกฤตพลังงานขึ้น ถือเป็นการกลับลำเปลี่ยนนโยบายจากเดิมที่จะทยอยลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์ไปจนหมดในช่วงสิ้นปี 2022

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่งนั้น แห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบาเดิน เวิร์ทเทอมแบร์ก รัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ และอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในรัฐบาวาเรียทางตะวันออกเฉียงใต้ จากนโยบายล่าสุด รัฐบาลจะเปลี่ยนมาเปิดทำการต่อไปจนถึงกลางเดือนเมษายน 2023

โรเบิร์ต ฮาเบค รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนี กล่าวว่า “ประเทศนี้มีความมั่นคงด้านซัพพลายพลังงานไฟฟ้าสูงมาก” แต่ก็กล่าวด้วยว่า “ปีนี้เป็นปีที่พิเศษสำหรับทั่วทั้งยุโรป”

“การที่รัสเซียเข้าโจมตียูเครนได้สร้างสถานการณ์กดดันต่อตลาดพลังงาน และเรากำลังทำทุกทางที่ทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาก๊าซขาดแคลน” ฮาเบคกล่าว

เยอรมนีนั้นพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียคิดเป็น 35% ของการนำเข้าเชื้อเพลิงทั้งหมดของประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเยอรมนีกำลังเผชิญแนวโน้มการขาดแคลนพลังงานในฤดูหนาว หากรัสเซียจะปิดท่อส่งก๊าซมายังเยอรมนี

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีสถานการณ์วิกฤตหรือกรณีรุนแรงสุดขั้ว” ฮาเบคกล่าว “แต่ในฐานะรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบด้านความมั่นคงของซัพพลายพลังงาน ผมจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรับประกันความมั่นคงนั้นไว้”

ฮาเบคเสริมด้วยว่า เยอรมนีจะยังค่อยๆ ลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์ต่อไป โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งสองแห่งนั้นจะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น

กระแสการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเยอรมนีเกิดขึ้นขนานใหญ่ หลังจากเกิดกรณีหายนะโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม 2011 เป็นประเด็นที่ทำให้กระแสปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จุดติดในประเทศ หลังจากกลุ่มต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์เรียกร้องกันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970s แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความไม่แน่นอนเรื่องวิกฤตพลังงาน แม้แต่พรรคกรีนซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาตั้งแต่ต้นก็ยังต้องคิดใหม่ โดยฮาเบคนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคกรีนด้วย

“เราต้องเตรียมตัวรับกรณีที่เลวร้ายที่สุด” ฮาเบคกล่าว “โรงไฟฟ้านั้นจะเปิดทำการก็ต่อเมื่อเราจำเป็นต้องมีพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเท่านั้น”

Source

]]>
1399246
‘เยอรมนี’–‘เดนมาร์ก’ ทุ่ม 9 พันล้านลงทุน ‘ไฟฟ้าพลังงานลม’ แทนการนำเข้าก๊าซ ‘รัสเซีย’ https://positioningmag.com/1398346 Wed, 31 Aug 2022 02:41:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398346 หลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ทาง สหภาพยุโรป (EU) ก็ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย รวมถึงการนำเข้า พลังงาน ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซ น้ำมัน และ ถ่านหิน แน่นอนว่าการคว่ำบาตรดังกล่าวนั้น ส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิก ล่าสุด เยอรมนีและเดนมาร์กก็หันไปหาพลังงานสะอาดเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว

เยอรมนีและเดนมาร์ก ได้มีข้อตกลงร่วมกันมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้า พลังงานลม นอกชายฝั่งในทะเลบอลติก ซึ่งทางการระบุว่าจะช่วยให้สามารถจ่ายไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับครัวเรือน 4.5 ล้านครัวเรือน ภายในปี 2573

โดยข้อตกลงนี้ เดนมาร์กต้องการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมตามแผนที่วางไว้บนเกาะพลังงานบอร์นโฮล์มจาก 2 เป็น 3 กิกะวัตต์ และข้อตกลงดังกล่าวยังรวมถึงสายเคเบิลใต้น้ำ 292 ไมล์ที่เชื่อมโยงกังหันลมของบอร์นโฮล์มกับกริดของเยอรมนี เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซและน้ำมันของรัสเซีย

ปัจจุบัน เดนมาร์กและเยอรมนีมีความสามารถด้านพลังงานลมนอกชายฝั่ง 1.5 กิกะวัตต์ และ 1 กิกะวัตต์ ในทะเลบอลติกตามลำดับ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของพลังงานลมในยุโรป

Robert Habeck รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพอากาศของเยอรมนี กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการ ระดับเรือธง ซึ่งจะช่วยให้ยุโรปบรรลุ ความมั่นคงด้านพลังงานและความเป็นกลางของสภาพภูมิอากาศ

“พลังงานลมจากทะเลบอลติกจะช่วยเราต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และนี่คือการลงทุนในความมั่นคงของเรา มันจะช่วยให้เราพึ่งพาก๊าซจากรัสเซียน้อยลง” Annalena Baerbock รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน กล่าวเสริม

ความจุพลังงานลมทั้งหมดของโลก ทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 837 กิกะวัตต์ ตามรายงานของสภาพลังงานลมโลก จีนถือหุ้นใหญ่ที่สุดในตลาดพลังงานลมนอกชายฝั่งของโลก โดยได้เพิ่มกำลังการผลิตลมนอกชายฝั่งเป็น 27.7 กิกะวัตต์ในปี 2564

คณะกรรมาธิการยุโรปตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานลมทั้งหมดของประเทศเป็น 300 กิกะวัตต์ภายในปี 2593 เพิ่มขึ้นจาก 16 กิกะวัตต์ที่ติดตั้งในเดือนพฤษภาคม

Source

]]>
1398346
เยอรมนี ต้องการ ‘แรงงานมีทักษะ’ จากต่างประเทศ ‘4 เเสนคนต่อปี’ เเก้ปัญหาสังคมสูงวัย https://positioningmag.com/1371134 Fri, 21 Jan 2022 08:40:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371134 รัฐบาลผสมชุดใหม่ของเยอรมนี มีความต้องการที่จะดึงดูดเเรงงานที่มีทักษะจากต่างประเทศ ปีละกว่า 4 เเสนคน เพื่อจัดการกับความไม่สมดุลทางประชากรเเละการขาดเเคลนเเรงงานในภาคธุรกิจสำคัญ ซึ่งเสี่ยงบั่นทอนการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด

ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ทวีความรุนเเรงมากขึ้นในขณะนี้ ทำให้ชะลอเศรษฐกิจเยอรมนีลงอย่างรวดเร็ว” Christian Duerr ผู้นำพรรคร่วมรัฐบาล Free Democrats (FDP) กล่าวกับนิตยสารธุรกิจ WirtschaftsWoche

เราสามารถแก้ปัญหาแรงงานสูงวัยได้ โดยใช้นโยบายเข้าเมืองยุคใหม่ ที่จะนำแรงงานที่มีทักษะจากต่างประเทศ 400,000 คนเข้ามาให้ได้โดยเร็วที่สุด

รัฐบาลผสมชุดใหม่ของเยอรมนี ที่นำโดยพรรคโซเชียลเดโมแครตของนายกรัฐมนตรี Olaf Scholz เเละพรรค FDP รวมถึงพรรคกรีน มีความเห็นชอบร่วมกันในหลายประเด็นใหญ่ๆ อย่างการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่อยู่นอกสหภาพยุโรป และเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็นชั่วโมงละ 12 ยูโร (ราว 450 บาท) เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาทำงานในเยอรมนี

ด้านสถาบันเศรษฐศาสตร์เยอรมนี ประเมินว่า ในปีนี้กำลังแรงงานจะลดลงมากกว่า 300,000 คน เนื่องจากเเรงงานในวัยเกษียณมีมากกว่าเเรงงานอายุน้อยที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน

เป็นเรื่องน่ากังวลเมื่อช่องว่างนี้ อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 650,000 คนในปี 2029 เเละจะส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนคนวัยทำงานในปี 2030 มีจำนวนถึง 5 ล้านคน โดยจำนวนการจ้างงานชาวเยอรมัน เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 45 ล้านคนในปีที่แล้ว แม้จะมีการระบาดของโควิด-19

หลังจากมีอัตราการเกิดต่ำมายาวนานหลายทศวรรษและการย้ายถิ่นฐานที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้กำลังแรงงานหดตัวลงเรื่อยๆ กลายเป็น ‘ระเบิดเวลาของระบบบำเหน็จบำนาญในเยอรมนี เมื่อพนักงานหนุ่มสาวมีจำนวนลดน้อยลง เเต่ต้องแบกรับภาระในการจัดหาเงินบำนาญให้กับผู้เกษียณอายุที่มีจำนวนมากขึ้น เเละเเนวโน้มว่าจะมีอายุยืนยาวมากขึ้นด้วย 

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1371134
ลดโลกร้อน! “เบอร์ลิน” ผลักดันเปลี่ยนใจกลางเมืองเป็น Car-free Zone ที่ใหญ่ที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1370408 Fri, 14 Jan 2022 04:50:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370408 “เบอร์ลิน” กำลังรณรงค์ออกกฎหมายเปลี่ยนพื้นที่ใจกลางเมืองขนาด 88 ตร.กม. ให้เป็น Car-free Zone พื้นที่ห้ามนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ชั้นใน เพื่อแก้ปัญหามลพิษ โลกร้อน อุบัติเหตุ มีพื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ประชาชนใช้รถสาธารณะ จักรยาน หรือเดินเท้าแทน

แคมเปญนี้เริ่มรณรงค์กันมาตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2021 โดยกลุ่มนักกิจกรรมใช้ชื่อแคมเปญว่า “Car-free Berlin” รวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายแก้ไขให้พื้นที่ใจกลางเมือง “เบอร์ลิน” เป็นพื้นที่ Car-free Zone ห้ามนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าพื้นที่ และพวกเขาทำสำเร็จในขั้นต้นไปแล้ว เพราะรวบรวมรายชื่อได้ 50,000 รายชื่อเมื่อเดือนตุลาคม 2021 ขั้นต่อไปจะมีการลงประชามติในปี 2023

ความฝันของกลุ่มนักกิจกรรม มีจุดประสงค์เพื่อลดมลพิษและภาวะโลกร้อน โดยจะเปลี่ยนพื้นที่ใจกลางเมืองเบอร์ลินขนาด 88 ตร.กม. ให้เป็น Car-free Zone

พื้นที่นี้นับเฉพาะวงด้านในของรถไฟสาย S-Bahn Ring ซึ่งวิ่งรอบเมืองเป็นวงกลม ขนาดพื้นที่นี้ใหญ่มาก หากทำสำเร็จจะกลายเป็น Car-free Zone ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ชั้นใน ตั้งแต่พระนครไล่เรื่อยไปถึงสาทร ปทุมวัน จนถึงสุขุมวิทโซนทองหล่อเลยทีเดียว

เบอร์ลิน Car-free Zone
วงแหวนรถไฟสาย S-Bahn Ring ด้านในของวงแหวนนี้ถูกเสนอให้เป็น Car-free Zone ของ “เบอร์ลิน”

แน่นอนว่าการจำกัดรถยนต์เข้าออกจะมีข้อยกเว้นให้กับรถ 6 กลุ่ม ได้แก่ รถเมล์, รถแท็กซี่, รถขนส่ง, รถตำรวจ, รถดับเพลิง และรถที่ผู้ใช้งานมีความจำเป็นด้านร่างกาย ทั้งนี้ จะมีข้อยกเว้นให้นำรถยนต์ส่วนตัวเข้าเขตได้ 12 ครั้งต่อปี เพราะบางครั้งประชาชนก็อาจมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องใช้รถเข้าพื้นที่ เช่น การย้ายบ้าน

นอกเหนือจากนั้นจะไม่สามารถเข้าได้ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนใช้รถสาธารณะ เดินเท้า ขี่จักรยาน ทำให้พื้นที่ผิวถนนจะถูกนำมาใช้ประโยชน์อื่นเพิ่ม เช่น พื้นที่สาธารณะ พื้นที่สีเขียว แก้ปัญหามลพิษ ภาวะโลกร้อน และลดอุบัติเหตุ

บรรยากาศลานเบียร์ในกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี วันที่ 5 มิ.ย. 2021 (Photo by Stefan Zeitz/Xinhua)

ในขณะที่ประเทศอื่นหรือเมืองอื่นอาจมองข้ามช็อตไปที่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่เบอร์ลินยังคงเรียกร้องที่จะเป็น Car-free Zone โดยสิ้นเชิง ต่อประเด็นนี้ Nik Kaestner หนึ่งในนักกิจกรรมที่ผลักดันแคมเปญ กล่าวกับสำนักข่าว The Guardian ว่า เป็นเพราะถ้าหากเบอร์ลินจะลดการปล่อยคาร์บอนจากการเดินทางได้ตามเป้าหมาย คนในเบอร์ลินต้องเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 50%

แต่ปัจจุบันเบอร์ลินมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแค่ 1.3% เท่านั้น ดังนั้นการรอรถยนต์ไฟฟ้าคงจะไม่ทันการ และการห้ามรถยนต์เข้าไปเลยก็มีประโยชน์อื่นดังที่กล่าวไปข้างต้นด้วย

แคมเปญนี้เป็นไปได้แค่ไหน? ในเมืองหลักของเยอรมนีนั้นมีค่าเฉลี่ยครอบครองรถยนต์ส่วนตัวประมาณ 1 คันต่อประชากร 2 คน กล่าวคือในประชากร 1,000 คน มีรถยนต์อยู่ประมาณ 450 คัน แต่ผู้เชี่ยวชาญพบว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา มักจะจอดทิ้งไว้ในที่จอดรถ มีรถยนต์เพียง 150 คันที่ถูกนำมาใช้เป็นประจำ เมื่อประชากรใช้รถน้อยอยู่แล้ว ก็เป็นไปได้ที่คนจะเห็นด้วยกับการมี Car-free Zone

เบอร์ลินไม่ใช่เมืองแรกของยุโรปหรือของโลกที่จะมี Car-free Zone หลายเมืองในยุโรปเริ่มทำไปก่อนแล้ว (แม้จะไม่ใหญ่ขนาดนี้) เช่น สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ใจกลางเมืองจะปิดไม่ให้รถเข้าในช่วงหน้าร้อนระหว่างเดือนพฤษภาคม-กันยายน และเมืองอื่นๆ ก็กำลังออกแบบและเสนอกฎหมายห้ามรถเข้ากลางเมืองเช่นกัน เช่น เวียนนา ประเทศออสเตรีย, ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

Source: Timeout, Ampler Bikes

]]>
1370408
‘เยอรมนี’ เล็ง ‘บังคับฉีดวัคซีน’ พ่วงล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ หลังผู้ติดเชื้อพุ่ง https://positioningmag.com/1363887 Wed, 24 Nov 2021 15:52:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363887 เยอรมนีเตรียมตัดสินใจเกี่ยวกับข้อจำกัดด้าน COVID-19 ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และอาจถึงขั้นปิดเมืองแบบเต็มรูปแบบ นอกจากนี้อาจจะ บังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีน เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อรายวันทะลุ 66,884 ราย และซึ่งส่งผลต่อเตียงโรงพยาบาลที่อาจไม่เพียงพอ

เยนส์ สปาห์น รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ ได้ออกคำเตือนต่อชาวเยอรมันว่า อาจจะจำกัดพื้นที่สาธารณะให้มากขึ้น เช่น บาร์ ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และพิพิธภัณฑ์ โดยจะจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่ได้รับวัคซีนเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลอาจไม่มีกำลังมากพอในการรับผู้ป่วย เพราะห้องไอซียูเต็ม และนั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย COVID-19 เท่านั้น

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เยอรมนีมีผู้ป่วยรายใหม่ 66,884 ราย จากเมื่อวันอังคารมีผู้ป่วยรายใหม่ 45,326 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 100,000 ราย  

นอกจากนี้ รัฐบาลของเยอรมนีกำลังพิจารณา บังคับฉีดวัคซีน โดยได้ขอร้องให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันเยอรมนีมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่าหลายประเทศในยุโรปตะวันตก โดยมีเพียง 68% ของประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน

เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เยอรมนีพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะส่งเสริมการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องจากการแพร่กระจายของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้สูง และรุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้ามาก อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องการฉีดวัคซีนบังคับเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกันในยุโรป แต่เจ้าหน้าที่บางคนเชื่อว่าการให้วัคซีน เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดไวรัสได้

ทั้งนี้ วัคซีนโควิดช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อรุนแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตจากไวรัสได้อย่างมาก แต่ภูมิคุ้มกันของวัคซีนจะลดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 6 เดือน และไม่ได้ผล 100% ในการลดการแพร่กระจาย

Source

]]>
1363887
นักวิทย์เยอรมนีรู้ทางแก้ปัญหา “ลิ่มเลือดอุดตัน” หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ และ J&J https://positioningmag.com/1334271 Fri, 28 May 2021 04:59:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1334271 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เยอรมนี อ้างว่าพบต้นตอของภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้นน้อยมาก อันเกี่ยวข้องกับวัคซีน COVID-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ากับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ระบุสามารถปรับแก้วัคซีนเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวได้

งานวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์โรล์ฟ มาร์สชาเลค จากมหาวิทยาลัยเกอเธ่ ในแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 26 พ.ค. ชี้ว่าปัญหาอยู่ที่ เทคโนโลยีใช้อะดิโนไวรัสเป็นตัวนำพา (Adenovirus Vector) ที่วัคซีนทั้งสองตัวเลือกใช้ โดยวัคซีนไวรัสเวคเตอร์จะใช้ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ มาดัดแปลงเป็นพาหะนำคำสั่งที่สำคัญเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์ในร่างกายผู้ได้รับวัคซีน เพื่อผลิตโปรตีนหนาม (spike protein) และกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ศาสตราจารย์มาร์สชาเลค และคณะทำงานของพวกเขาเชื่อว่าบางส่วนของโปรตีนหนามหลุดออกจากกัน และส่งผลให้โปรตีนเหล่านั้นเกิดการกลายพันธุ์ จากนั้นโปรตีนดังกล่าวก็จะเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งในเอกสารให้คำจำกัดความว่า “Vaccine-Induced Covid-19 Mimicry” syndrome

และผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าพวกผู้ผลิตวัคซีนสามารถแก้ไขด้วยการนำวัคซีนไปปรับแต่งสารพันธุกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้สไปค์โปรตีนแตกตัวโดยไม่ตั้งใจเมื่อเข้าสู่เซลล์ร่างกาย และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

“ด้วยข้อมูลที่เรามีอยู่ในมือ เราสามารถบอกบริษัทต่างๆ ถึงแนวทางการเปลี่ยนแปลงลำดับพันธุกรรม รหัสของสไปค์โปรตีน ในแนวทางที่ป้องกันเกิดปฏิกิริยาที่ไม่ตั้งใจ” มาร์สชาเลคกล่าว

vaccine Johnson
Photo : Shutterstock

พวกนักวิจัยบ่งชี้ต่อว่าวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ทั้งหมด รวมถึงที่พัฒนาโดยไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นา “น่าจะเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย” เพราะใช้เทคโนโลยีต่างออกไป โดย mRNA ไม่ได้ใช้ไวรัสอ่อนแอ หรือไวรัสเชื้อตายใส่เข้าไปในเซลล์ แต่วัคซีน mRNA เป็นการสอนพวกมันให้เรียนรู้ถึงการสร้างโปรตีนโดยที่ไม่ได้เข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์

เอกสารนี้ถูกเผยแพร่ก่อนตีพิมพ์บนเว็บไซต์ Research Square แต่การศึกษาดังกล่าวที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีความเกี่ยวข้องกับอาการลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้นน้อยมากๆ แต่รุนแรง และในบางรายถึงขั้นเสียชีวิต

ผู้เสียชีวิตรายแรกในอียูที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เกิดขึ้นในเบลเยีม เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเป็นผู้หญิงวัย 37 ปี ส่งผลให้ประเทศแห่งระงับใช้วัคซีนกับบุคคลอายุต่ำกว่า 41 ปี

ส่วนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า พบผู้มีอาการลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดแล้วมากกว่า 140 รายในเขตเศรษฐกิจยุโรป ขณะที่ในสหราชอาณาจักรพบ 300 ราย ในนั้นเสียชีวิต 56 คน

Astrazeneca vaccine
Photo : Shutterstock

หลายประเทศทั่วโลกระงับใช้วีคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ส่วนประเทศอื่นๆ จำกัดการใช้เฉพาะกับผู้สูงอายุ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ก็พบประเด็นปัญหาในวัคซีนเทคโนโลยี mRNA เช่นกัน โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) แถลงในช่วงกลางเดือนว่า กำลังสืบสวนรายงานเกี่ยวกับประเด็นการอักเสบของหัวใจในคนหนุ่มสาว ส่วนใหญ่เกิดกับเพศชายที่ได้รับวัคซีนของโมเดอร์นา และไฟเซอร์

นอกจากนี้แล้วยังมีรายงานโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือ “โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก” 3 เคส ในบรรดาผู้รับวัคซีนของไฟเซอร์ และไบโอเอ็นเทคในฝรั่งเศส

คนที่มีอาการฮีโมฟีเลีย จะมีโปรตีนตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดหายไป หรือมีไม่เพียงพอ เฉพาะฉะนั้นผู้ป่วยฮีโมฟีเลียจึงมีเลือดออกเป็นระยะเวลานานกว่าคนปกติ หลังจากถูกของมีคมบาดหรือมีเลือดออกภายใน การมีเลือดออกภายในมักเกิดขึ้นในข้อต่อและกล้ามเนื้อ แต่อาจเกิดขึ้นได้ที่สมองหรืออวัยวะอื่นๆ

Source

]]>
1334271