ค่า GP – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 19 Feb 2021 09:25:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บทเรียนก้าวเเรกของ ‘Robinhood’ ได้ใจร้านเล็ก กับเส้นทางอนาคต เมื่อจะไม่เก็บค่า GP ‘ตลอดไป’ https://positioningmag.com/1319725 Fri, 19 Feb 2021 08:20:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319725 เป็นเวลาร่วม 3 เดือนกว่าเเล้วที่ ‘Robinhood’ น้องใหม่ฟู้ดเดลิเวอรี่ฝีมือคนไทยจากค่ายเเบงก์ SCB เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ท่ามกลางความลุ้นระทึกว่าจะ ‘รอด’ หรือจะ ‘ร่วง’ 

จากเป้าหมายเล็กๆ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส หวังจะช่วยร้านอาหารไทยที่กำลังประสบปัญหาอ่วมค่า GP’ ให้เหลือรายได้เพิ่มขึ้น จนมาถึงวันนี้ที่ Robinhood ‘สอบผ่าน’ มีกระเเสตอบรับอย่างดี เเละพร้อมประกาศจะไม่เก็บค่า GP ตลอดไป

อะไรคือสิ่งที่ ‘Robinhood’ ได้เรียนรู้ เป้าหมายที่เเท้จริงเเละเส้นทางธุรกิจต่อไปจะเป็นเช่นไร จะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เเบบไหนที่กำลังจะปล่อยออกมาลองของในตลาดอีกบ้าง Positioning จะพามาหาคำตอบกัน

อินไซต์น่าสนใจของ Robinhood

ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการอัปเดตตัวเลขสถิติผู้ใช้เเอปพลิเคชัน Robinhood ออกมาให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยรวมถือว่าเกินคาดจากเป้าหมายที่ทีมงานวางไว้

  • มีลูกค้าทะเบียนในระบบกว่า 580,000 ราย
  • ร้านอาหารในระบบกว่า 55,000 ร้านค้า
  • ไรเดอร์ที่พร้อมให้บริการกว่า 11,500 ราย
  • ยอดสั่งอาหารออเดอร์เดียวสูงสุด 3,528 บาท
  • ลูกค้าสั่งอาหารไกลที่สุด 45 กิโลเมตร
  • มีลูกค้าคนเดิมสั่งอาหารสูงสุดถึง 18 ออเดอร์ใน 1 สัปดาห์
  • รายการอาหารทั้งหมดในระบบ 1.6 ล้านรายการ
  • มีร้านอาหารกว่า 8,200 ร้าน เข้าร่วม LS ที่ให้ส่วนลดกับลูกค้า
  • มีปลาแซลมอนรวมกว่า 5 ตันถูกสั่งจากเเอป Robinhood
  • ไรเดอร์คนหนึ่งเคยรับงานสูงสุดถึง 44 งานต่อวัน
  • 74% ของไรเดอร์ เลือกทำ Robinhood เป็นงานเสริม
10 ร้านอาหารยอดนิยมบน Robinhood 
  • มนต์นมสด (สาขา เสาชิงช้า)
  • รุ่งเรืองตั๋ง ก๋วยเตี๋ยวหมูสุขุมวิท 26 (เจ้าเก่า) ห้องหัวมุม
  • Oba San 168
  • หน่องริมคลอง
  • ไก่ทอดเจ๊กี (โปโล)
  • โจ๊กสามย่าน บรรทัดทอง
  • ข้าวหมูแดงสีมรกต
  • ประจักษ์เป็ดย่าง
  • ซ้งเป็ดพะโล้
  • ไข่หวานบ้านซูชิ จามจุรีแสควร์

คำค้นหายอดนิยมสูงสุด ได้เเก่ แซลมอน, โจ๊ก, ก๋วยเตี๋ยว, ข้าวมันไก่เเละส้มตำ

พื้นที่ที่มีการสั่งออเดอร์เยอะที่สุด ได้เเก่ จตุจักร, ห้วยขวาง คลองเตย

โดยไรเดอร์มีช่วงเวลาในการรับงานเฉลี่ย 12 วินาทีต่อการสั่ง เเละมีรายได้จากการให้บริการรับส่งอาหารเฉลี่ยรอบละ 40-50 บาท 

ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด

‘ไม่มีคนชมว่าเราถูก เเต่ก็ไม่มีใครด่าว่าเราแพง’ 

คำกล่าวของ โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทลูกของ SCB ที่พัฒนา Robinhood ขึ้นมาเป็นหนึ่ง CSR Project ของธนาคาร ที่ได้รับเงินทุนเพื่อช่วยสังคมราว 150 ล้านบาทต่อปี

การฉีกเเนวธุรกิจเเบงก์ มาลงทุนในศึกฟู้ดเดลิเวอรี่’ เมืองไทยของ SCB ครั้งนี้ สั่นสะเทือนวงการไม่น้อย จี้จุด Pain Point อย่างการไม่คิด GP ไม่คิดค่าสมัคร โอนเงินไวใน 1 ชั่วโมง

ท่ามกลางศึกฟู้ดเดลิเวอรี่ที่เเข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่าน ‘เผาเงิน’ เเจกโปรโมชันกันเป็นว่าเล่น เเม้ตอนเเรก Robinhood บอกว่าจะไม่ทุ่มงบการตลาดเเบบเจ้าอื่น เพราะในงบร้อยกว่าล้านต่อปีนั้น เป็นงบที่รวมทุกอย่าง’ ทั้งการจัดการ พนักงาน ระบบหลังบ้านและเครือข่าย ซึ่งจะมีงบด้านการตลาดเหลืออยู่ไม่ถึง 20 ล้านบาท จึงเลือกจะไม่นำไปใช้เพื่ออัดโปรโมชัน

เเต่ตอนนี้หลังได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากๆ ก็จำเป็นต้อง ‘ขอทุนเพิ่ม’ จากบอร์ดบริหารเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโต

ปัจจุบัน Robinhood รั้งอันดับ 4 ในตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่เมืองไทย (ไม่ได้เป็นตัวเลขทางการ) เเต่ทางทีมประมาณการจากสถิติการสั่งออเดอร์ โดยอันดับ 1 เป็นของเจ้าใหญ่อย่าง GrabFood รองลงมาคือ FoodPanda ส่วนอันดับ 3 เป็นของ LINE MAN เเละตามมาด้วย Robinhood

LS is Key : เพราะไม่มีค่า GP จึงมีส่วนลดจาก ‘ร้านค้า’ 

กลยุทธ์การตลาดหลักๆ ที่ Robinhood จะนำมาทำโปรโมชันคือ LS ส่วนลดจากร้านค้าเอง ซึ่งเกิดจากการที่ทีมงานได้เข้าไปพูดคุยกับร้านค้าว่า เมื่อไม่เสียค่า GP ราว 30-35% (คอมมิชชันที่ต้องจ่ายให้เเพลตฟอร์ม) เเล้ว พอจะให้ ‘ส่วนลดเพิ่มเติม’ กับลูกค้าได้หรือไม่ ซึ่งร้านค้าจำนวนมากก็มีความสนใจเเละให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ปัจจุบันมีร้านค้าเลือกให้ส่วนลดกับผู้ใช้ราว 15% จากจำนวนร้านค้าทั้งหมด มีโปรโมชันส่วนลดเฉลี่ยราว 8-20% ต่อรายการ นอกจากนี้ยังถือเป็นการโปรโมตร้านขึ้นบนหน้าเเอปฯ ให้เห็นได้ง่ายไปในตัวด้วย

ก้าวเเรกเเละสิ่งที่ได้เรียนรู้ 

ธนา เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้หลังเปิดให้บริการ Robinhood มาได้ 3 เดือนกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเเก้ไขเเละนำไปพัฒนาต่อไป หลักๆ ได้เเก่

  • ‘ออเดอร์หลอก’ ของร้านค้าและไรเดอร์ 

ในช่วงการเปิดตัวของ Robinhood บริษัทได้เเจก ‘โค้ดส่วนลดโดยไม่จำกัดการซื้อ’ ทำให้ร้านค้าและไรเดอร์ จำนวน 4 ร้านร่วมมือกับไรเดอร์ไม่กี่คน สั่งออเดอร์โดยใช้โค้ดส่วนลดผ่านระบบ และให้ไรเดอร์ที่ร่วมมือซึ่งอยู่ใกล้ร้านที่สุดเป็นคนกดรับออเดอร์ ร้านค้าจึงได้รับเงินจากโค้ดส่วนลด และไรเดอร์ได้รับค่าส่ง เเม้ไม่มีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น ซึ่งทางทีมงานเห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้น เพราะมีการมอนิเตอร์ข้อมูลตลอด

กรณีนี้ทำให้ Robinhood เสียหายราว 1 เเสนบาท จากนั้นทีมงานจึงเเก้ไขด้วยการมียอดซื้อขั้นต่ำก่อนใช้ส่วนลด

  • ต้องมัดใจร้านค้าเล็กๆ ให้ได้ก่อนเชนใหญ่

จากการประสานงานต่างๆ พบว่า ร้านค้าเชนใหญ่ เเม้จะเป็นเป้าหมายที่สร้างรายได้กว่าครึ่งหนึ่งบนฟู้ดเดลิเวอรี่ทั่วไป เเต่การติดต่อเพื่อให้เข้ามาในระบะมีความยากลำบากมาก เเละมี ‘ต้นทุน’ ที่ต้องเสียเยอะ จึงหันไปหา ‘ร้านเล็ก’ ให้ได้มากที่สุด เรียกได้ว่ามากกว่า 90% ของเเพลตฟอร์ม

เมื่อมีเสียงตอบรับดี กลายเป็นว่าร้านอาหารเชนใหญ่ มองเห็นโอกาสลูกค้าเเละเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรเองมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็มีร้านดังในเครือไมเนอร์ , CRC , The Mall และสยามพิวรรธน์

  • เเอปพลิเคชั่น SCB ระบบล่ม

โดยเฉพาะในช่วงวันเงินเดือนออก ส่งผลให้การสั่งซื้ออาหารผ่าน Robinhood ก็ล่มตามไปด้วย เพราะมีช่องทางการชำระเงินผ่านระบบ SCB Easy และบัตรเครดิต ซึ่งจะมีการประสานงานระบบหลังบ้านกันต่อไป พร้อมขยายช่องทางชำระเงินอื่นๆ

  • มารยาทดี คือจุดขาย 

หลังจากเปิดตัวมาได้สักพัก ฟีดเเบ็กที่ได้รับมากที่สุดคือการบอกว่าไรเดอร์ ‘มารยาทดี’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรียนรู้ว่าลูกค้าให้ความสำคัญกับการบริการมาก อย่างการ ‘พูดเพราะ-ยกมือไหว้’ ก็เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ลูกค้าประทับใจ โดยทางธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้จัด ‘อบรมไรเดอร์’ เอง หลังจับมือกับ Skootar สตาร์ทอัพไทยที่ให้บริการส่งเอกสารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีคนขับในสังกัดประมาณ 10,000 ราย

Robinhood จะทำอะไรต่อไป ?

สำหรับเเผนในปี 2564 ของ Robinhood ตั้งเป้ามีจำนวนผู้ใช้งาน 1 ล้านราย เพิ่มจำนวนร้านค้าให้ได้ 150,000 ร้าน มีไรเดอร์ 20,000 ราย จำนวนออเดอร์มากกว่า 25,000 รายการต่อวัน และมียอดธุรกรรมที่เกิดขึ้นราว 1.6 พันล้านบาท

พร้อมขยายบริการไป ‘ต่างจังหวัด’ เบื้องต้นที่วางไว้มี 5 จังหวัดคือ เชียงใหม่, ภูเก็ต, พัทยา, นครราชสีมา และขอนแก่น เเต่เนื่องจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องเลื่อนเมืองท่องเที่ยวออกไป เเละเริ่มที่นครราชสีมา และ ขอนแก่น ก่อน

สีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการของ เพอร์เพิล เวนเจอร์ส บอกว่า กลยุทธืการเพิ่มจำนวนร้านอาหารในเเพลตฟอร์ม ทำควบคู่กันไปทั้ง ‘ออนไลน์-ออฟไลน์’ มีการโปรโมททางโซเชียลมีเดีย เเละให้พนักงานตามสาขาของธนาคารออกไปหาร้านค้าที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียง เข้าไปช่วยทั้งการดาวน์โหลด ถ่ายรูปภาพอาหาร เเละให้คำเเนะนำต่างๆ รวมถึงนำเสนอเเอปฯ กับผู้ที่มาใช้บริการในสาขาด้วย

โดยปีนี้จะเริ่มเปิดรับร้านอาหาร ‘แบรนด์ดัง’ ต่างๆ เข้ามาเพื่อขยายฐานผู้ใช้ให้กว้างขึ้น มีเเคมเปญการตลาดกระตุ้นการใช้จ่าย ไปพร้อมๆ กับการออก ‘ฟีเจอร์’ ใหม่ พัฒนาเเอปพลิเคชั่นให้เท่าทันตลาด เช่น

  • มีระบบแผนที่ ติดตามตำแหน่งของไรเดอร์
  • ระบบการจ่ายเงินผ่านบริการเงินดิจิทัลอื่น ๆ นอกเหนือจาก SCB
  • สามารถสั่งอาหารหลายออเดอร์พร้อมกันได้
  • บันทึกร้านที่ลูกค้าชื่นชอบ
  • ระบบรีวิวร้านค้า-ไรเดอร์
  • นำแต้มบัตรเครดิตมาจ่ายโดยตรงได้
  • จัด ‘เพลย์ลิสต์’ ร้านอาหารตามสไตล์ของผู้ใช้ อารมณ์เหมือนเพลย์ลิสต์ในเเอปฯ ฟังเพลง
  • ส่วนร้านค้าจะมีระบบจัดการร้านเเละสาขาง่ายขึ้น ล็อกอินพร้อมกันได้หลายเครื่องเเละใช้งานร่วมกับ POS ได้

นอกจากนี้ Robinhood จะเปิดให้บริการ ‘ซื้อสินค้าในตลาดสด’ โดยจะนำร่องที่ตลาดเสนีย์ ฟู้ดมาร์เก็ต, ตลาดมีนบุรี , ตลาดถนอมมิตรเเละตลาดบางใหญ่ ก่อนจะขยายให้ครบ 9 ตลาด ตามข้อตกลงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

-สีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการของ เพอร์เพิล เวนเจอร์ส

เปิดให้เช่ารถมอเตอร์ไซค์ EV ร้อยกว่าบาทต่อวัน

ในส่วนของ ‘ไรเดอร์’ Robinhood โปรเจ็กต์ใหม่ที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือการ ให้เช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารายวัน เริ่มเเรกจะทดลองราว 200-400 คัน ส่วนราคานั้นประมาณไว้อยู่หลัก ‘ร้อยกว่าบาท’ เพื่อให้คนขับมีรายได้เหลือในการทำงาน หรือชาร์จไฟเองที่บ้านได้

โดยวางเเผนจะมีจุดชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 500 จุดทั่วกรุงเทพฯ เน้นใช้พื้นที่ใน ‘ตึกสาขา’ ของไทยพาณิชย์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างดี หรือจะชาร์จไฟเองที่บ้านก็ได้ คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวได้ในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ หลังจากทำข้อตกลงกับพาร์ทเนอร์เรียบร้อย

เป้าหมายรายได้ที่เเท้จริงคือ B2B

ธนา ย้ำว่าจุดมุ่งหมายของ Robinhood ยังคงเป็นการช่วยเหลือ ‘คนตัวเล็ก’ ฉะนั้นการไม่เรียกเก็บ ‘ค่า GP’ จะคงอยู่ตลอดไป

เเต่เมื่อลงมือทำธุรกิจก็ต้องมีรายได้เป็นธรรมดา ซึ่งในปี 2565 เเอปฯ จะเริ่มสร้างรายได้ด้วยการเป็น B2B Platform ที่มีข้อได้เปรียบจากการมีฐาน ‘ร้านอาหาร SMEs’ หลายเเสนร้านในระบบ 

“ฟู้ดเดลิเวอรี่ส่วนใหญ่อยากโตไปเป็นเเบงก์ อยากโตเเล้วปล่อยกู้ เเต่เรามีเเต้มต่อคือเป็นเราเเบงก์อยู่เเล้ว”

เเละการเข้ามาเเบบ Late Comer ยิ่งต้องกลับหัวตีลังกา กลยุทธ์ไม่เรียกเก็บค่า GP สวนทางกับเจ้าอื่น เป็นหัวใจหลักที่ทำให้ Robinhood ได้ใจร้านค้า พอ ‘ได้ใจ’ กันเเล้วก็ไปต่อยอดทำธุรกิจอื่นได้ง่าย

โดยสเต็ปต่อไปจะเป็นการเข้าไปช่วยจัดการ Financial Service ช่วยการจัดการต่าง ๆ ทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบ เป็นตัวกลางระหว่างร้านค้ากับซัพพลายเออร์ เเละจะเข้าไปช่วยในด้าน Business Service พร้อมๆ กับการช่วยทำมาร์เก็ตติ้ง จากข้อมูลดาต้าผู้ใช้ที่มีอยู่

นี่คือทิศทางการหารายได้ต่อไปของ Robinhood ที่นอกเหนือจากการปล่อยสินเชื่อ ให้ครอบคลุมทุกการทำธุรกิจ เเละจะทำให้ร้านค้าได้ประโยชน์มากขึ้น

เป็น ‘ก้าวเเรก’ ของฟู้ดเดลิเวอรี่ของคนไทย ที่ต้องติดตามกันต่อไป…

 

 

 

]]>
1319725
ก้าวต่อไปของ Foodpanda ขอเป็น “ฟู้ดเดลิเวอรี่ ภูธร” มุ่งเข้าหา “ร้านอาหารเล็ก” ในชุมชน https://positioningmag.com/1305563 Thu, 12 Nov 2020 10:49:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305563 หลังเข้ามาตีตลาดในไทยได้ 8 ปี วันนี้ฟู้ดเเพนด้า” (Foodpanda) เดลิเวอรี่ชื่อดังจากเยอรมนี ขยายให้บริการครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ได้เป็นเจ้าเเรกเเล้ว

อย่างที่ทราบกันว่า ฟู้ดเเพนด้า มีกลยุทธ์หลักคือ Hyperlocalization ขยายไปยังต่างจังหวัดให้ได้มากที่สุด เเตกต่างจากฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่รายอื่นที่เข้ามาทำตลาดไทย โดยเน้นพื้นที่กรุงเทพฯ เเละปริมณฑลเป็นหลัก

ฟู้ดเเพนด้า เป็นผู้เล่นรายแรกๆ ที่ทำตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทย มาตั้งแต่ปี 2012 ตอนนั้นกระเเสเดลิเวอรี่ไม่ได้บูมเช่นปัจจุบัน บริษัทเริ่มรุกตลาดต่างจังหวัดไปที่เชียงใหม่ในปี 2014 เเละตอนนี้ก็ยังครองตลาดเมืองเหนือได้อย่าง
เหนียวเเน่น

การลงเล่นในสนามฟู้ดเดลิเวอรี่ต่างจังหวัดนั้นมีโอกาสและความท้าทายอยู่ไม่น้อย

อเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ กรรมการผู้จัดการ ฟู้ดแพนด้า ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่าประชากรไทยมีอยู่ราว 70 ล้านคน อยู่ในกรุงเทพฯ 10 ล้านคน ดังนั้นที่เหลืออีกกว่า 60 ล้านคนคือโอกาสที่จะมาเป็นลูกค้าเรา” 

เเม้ฟู้ดแพนด้าจะให้บริการ 77 จังหวัดเเล้ว เเต่ในต่างจังหวัดก็ยังจะครอบคลุมเเค่พื้นที่ในเมืองเป็นหลักเท่านั้น ซึ่งก้าวต่อไปที่บริษัทจะต้องทำให้ได้ ก็คือการเข้าถึงพื้นที่ชุมชนที่เล็กกว่านั้นเจาะทั้งอำเภอเเละตำบลต่างๆ

อเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ กรรมการผู้จัดการ ฟู้ดแพนด้า ประเทศไทย

ปัจจุบัน ฟู้ดเเพนด้ามีจำนวนร้านอาหารอยู่ในระบบราว 120,000 ร้าน เพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ร้าน ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา จากอานิสงส์ช่วงล็อกดาวน์จากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมีไรเดอร์หรือคนขับ เพิ่มขึ้นเป็นหลักเเสนคน” (จากช่วงกลางปีอยู่ที่ 90,000 คน)

บริษัทเคลมว่า ตอนนี้มีระยะเวลาการจัดส่งอาหารถึงมือผู้สั่งเร็วที่สุดในบรรดาฟู้ดเดลิเวอรี่ไทยที่ 19.9 นาที จากเดิมในปี 2016 ท่ีมีระยะเวลาส่งเฉลี่ย 45 นาที

ฟู้ดเดลิเวอรี่ “ต่างจังหวัด” …ไม่ง่าย 

หลังการดำเนินกลยุทธ์ Hyperlocalization มาหลายปี มองอะไรเป็นความท้าทายเเละอุปสรรคของการทำตลาดเจาะฟู้ดเดลิเวอรี่ต่างจังหวัดในไทย

ผู้บริหารฟู้ดเเพนด้า ตอบว่า เเม้วงการนี้จะมีการเเข่งขันที่ดุเดือด เเต่ในต่างจังหวัดยังไม่มีคู่เเข่งมากนัก เป็นโอกาสที่จะไปเปิดฐานลูกค้าใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อจากต่างจังหวัดสูงถึง 50% ของออเดอร์ทั้งหมด

เเต่ยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องฝ่าฟันต่อไป เช่น ระยะทางของร้านอาหารกับผู้ซื้อที่ห่างกันเเละจำนวนไรเดอร์ก็มีน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่เเละกรุงเทพฯ จึงทำให้มีระยะเวลาการจัดส่งอาหารนานขึ้นตามไปด้วย

อีกทั้งผู้บริโภคต่างจังหวัดในเมืองรอง ยังไม่คุ้นชินกับการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากนัก ส่วนใหญ่นิยมซื้ออาหารเเล้วทานที่ร้านเลย

ซึ่งต่อไปฟู้ดเเพนด้าจะพยายามอุดช่องว่างปัญหาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ผ่านการโปรโมตต่างๆ จัดโรดโชว์เพิ่มการรับรู้เรื่องการใช้เเอปพลิเคชัน เเละอัดโปรโมชันส่วนลด เพื่อดึงดูดให้คนต่างจังหวัดหันมาใช้มากขึ้น

ทั้งนี้ คู่เเข่งรายใหญ่อย่าง Grab ให้บริการใน 32 จังหวัด ส่วน LINE Man WongNai เปิดให้บริการใน 14 จังหวัด , Gojek ให้บริการใน 6 จังหวัด ขณะที่น้องใหม่ Robinhood จากค่ายไทยพาณิชย์ ยังให้บริการเเค่ในกรุงเทพฯ ส่วนที่เหลือจะเป็นเเอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่เล็กๆ ท้องถิ่นของคนไทย

เจาะ “ร้านเล็ก” ขยาย Grocery 

จำนวนร้านอาหารในระบบของฟู้ดเเพนด้า ล่าสุดที่มีอยู่ราว 120,000 ร้านนั้น หากเเบ่งเป็นสัดส่วนจะเห็นว่า กว่า 90% เป็นร้านอาหารรายย่อยแบบสแตนด์อะโลน ส่วนอีก 10% เป็นร้านอาหารของเชนแบรนด์ใหญ่

เฟลเดอร์ บอกว่า ถือเป็นจำนวนร้านเล็กที่สูงกว่าฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าอื่นๆ เเต่ตลาดเมืองไทยยังมีโอกาสที่บริษัทจะขยายไปได้มากกว่านั้น เพราะยังมีร้านอาหารมากกว่าอีก 3-4 แสนแห่งที่อยู่นอกระบบรอเราอยู่

อย่างที่ทราบกันว่า ความท้าทายของร้านอาหารเล็กๆคือเมื่อเจอการหักค่าธรรมเนียมสูง เเต่ออเดอร์ต่อรายการยังน้อยกว่าเชนใหญ่ ทำให้บางร้านไม่สามารถขายผ่านเเพลตฟอร์มด้วยราคาปกติได้

สำหรับประเด็นการหักค่า GP และการจ่ายเงินร้านอาหารล่าช้านั้น ผู้บริหารฟู้ดเเพนด้า ตอบว่า การหัก GP ในเรตดังกล่าวถือเป็นตัวเลขที่เหมาะสมแล้วในแง่ของการดำเนินธุรกิจ

บริษัทต้องพัฒนาเเพลตฟอร์ม ลงทุนด้านดิจิทัลให้ตอบโจทย์กับทุกฝ่าย ทั้งร้านอาหารที่ต้องขายได้ คนขับที่ต้องมีรายได้ เเละลูกค้าที่จะจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผล เเละยังต้องช่วยผลักดันยอดขายร้านอาหารนั้นๆ ให้สูงขึ้นตามไปด้วย อย่างการทำตลาดออนไลน์ให้ โดยที่ร้านอาหารไม่ต้องไปลงทุนทำเดลิเวอรี่ด้วยตัวเอง ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า

เป้าหมายต่อไปของฟู้ดเเพนด้า คือการการขยับมาส่งทุกอย่างไม่จำกัดเเค่อาหาร เเต่ครอบคลุมการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างหลากหลาย เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ , ยา , เครื่องสำอาง หรือเเม้กระทั่งดอกไม้

ในช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ฟู้ดแพนด้าปล่อยฟีเจอร์ “แพนด้ามาร์ท” รับส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ตามโมเดล Quick Commerce การันตีการส่งภายใน 20 นาที นำร่องเปิด 7 โลเคชั่นในกรุงเทพฯ ต่อยอดความสำเร็จจากสิงคโปร์ที่ได้เปิดให้บริการมาเกือบ 1 ปี มีการเติบโต 20-25 เท่า ได้มาปรับใช้ในไทย เป็นอีกโมเดลเพื่อ “เสริมรายได้ทางใหม่”

โดยตั้งเป้าขยาย “แพนด้ามาร์ท” ให้ในครอบคลุม 30 แห่งทั่วประเทศ ล่าสุดผลตอบรับค่อนข้างดี จึงได้เริ่มเปิดที่ “เชียงใหม่” ก่อนจะกระจายไปยังภาคใต้ เริ่มจาก “ภูเก็ต” เเม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ทำรายได้ในสัดส่วนที่มากนัก เเต่เป็นอีกช่องทางธุรกิจที่จะเติบโตไปข้างหน้าอย่างเเน่นอน

pandamart

ยิ่งเเข่งดุ…ยิ่งโต 

การเเข่งขันฟู้ดเดลิเวอรี่ในประเทศไทยนั้น ยิ่งจะดุเดือดเเละชิงเค้กกันมากขึ้นตามกระเเสความนิยมเเละทางเลือกที่หลากหลายของผู้บริโภค

ผู้เล่นรายใหญ่ๆ ที่มีสายป่านยาว ยังเผาเงินขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จากการแข่งขันในธุรกิจนี้ เนื่องจากต้องวางรากฐานให้ลูกค้าติดก่อนเเละค่อยหวังผลระยะยาวในอนาคต โดยในปี 2019 ฟู้ดเเพนด้าขาดทุนที่ 1,264.50 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ให้บริการหน้าใหม่เข้ามาไม่ขาดสาย อย่าง Robinhood ของ SCB ที่กระโดดเข้ามาร่วมสงครามนี้ ดูการชูไม่เก็บค่า GP ส่วน LINE MAN ก็ประกาศควบรวมกิจการกับสตาร์ทอัพไทยอย่าง Wongnai ด้าน Gojek ก็รีแบรนด์จาก Get ประเทศไทย

โดยภาพรวมการเติบโตของตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทยปี 2020  มีปริมาณคำสั่งอาหารต่อวันที่ 1.5 ล้านออเดอร์ นับว่าเติบโตจากปีที่เเล้วราว  6-7 เท่า ชะลอลงจากการเติบโตระหว่างปี 2018-2019 ซึ่งทำได้ที่ 8-9 เท่า

ผู้บริหารฟู้ดเเพนด้า เชื่อว่า ยิ่งตลาดมีการแข่งขันดุเดือดมากเท่าไหร่ตลาดยิ่งโตเเละผู้บริโภคก็ยิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น ซึ่งตลาดไทยยังมีโอกาสขยายไปได้อีกมาก เเละทิศทางของธุรกิจแพลตฟอร์มสั่งอาหารก็จะเติบโตแบบต่อเนื่อง

 

 

]]>
1305563
มอง “ฟู้ดเดลิเวอรี่” ของคนไทยในสมรภูมิเดือด “ไม่เก็บ GP – ขอเจาะท้องถิ่น” หนีซูเปอร์เเอปฯ https://positioningmag.com/1288063 Fri, 24 Jul 2020 13:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288063 ฟู้ดเดลิเวอรี่ได้รับความความนิยมเพิ่มขึ้นเเบบพุ่งพรวด ในช่วงการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่ ต้องปรับตัวเเบบ 360 องศาเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้

จากเดิมช่วงก่อน COVID-19 ร้านอาหารหลายเเห่ง อาจจะมีสัดส่วนการขายหน้าร้านต่อออนไลน์ ประมาณ 90:10 เเต่หลังจากมีโรคระบาด ผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทาง ร้านอาหารหลายแห่งต้องหันไปพึ่งพาการขายทางออนไลน์เพื่อประคองธุรกิจ บางเเห่งอาจมีสัดส่วนมากถึง 70:30 หรือ 50:50 เลยก็ว่าได้

เเม้หลังคลายล็อกดาวน์ เราจะสามารถออกมาทานข้าวนอกบ้านได้ตามปกติเเล้ว เเต่เทรนด์การสั่งอาหารออนไลน์จะยังคงอยู่ เพราะผู้คนเริ่มคุ้นชินกับความสะดวกสบายเเละชอบมีตัวเลือกที่หลากหลาย ดังนั้นร้านอาหารก็ยังคงต้องมุ่งพัฒนาด้านเดลิเวอรี่ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ประเด็นดราม่าเรื่อง ค่าส่วนแบ่งยอดขาย (GP Food Delivery) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าค่า GP” ยังคงสร้างความหนักอกหนักใจกับเหล่าร้านอาหารมาตั้งเเต่ก่อนช่วง COVID-19 แม้แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่เจ้าใหญ่ๆ ที่มีฐานลูกค้าติดใจใช้งานจำนวนมาก จะช่วยสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายที่ทางร้านอาหารต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะที่เรียกเก็บกว่า 30-35% อาจทำให้ร้านเล็กๆ ไม่สามารถสร้างยอดขายให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน

(Photo by Lauren DeCicca/Getty Images)

เป็นที่ฮือฮาอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา เมื่อ 2 ธนาคารใหญ่ของไทยอย่าง KBank (กสิกรไทย) เเละ SCB (ไทยพาณิชย์) ฉีกเเนวธนาคาร ลงสนามเเข่งในธุรกิจอาหาร ตามคอนเซ็ปต์แบงก์จะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็นมากกว่าธนาคาร

การเปิดตัว Robinhood ของ SCB ก็สั่นสะเทือนวงการฟู้ดเดลิเวอรี่ไม่น้อยด้วยประเด็นจี้จุด Pain Point อย่างการไม่คิด GP ไม่คิดค่าสมัคร โอนเงินไวใน 1 ชั่วโมง ท้าทายคู่เเข่งระดับโลกอย่าง Grab, LINE Man, GET เเละ Food Panda โดยพร้อมจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

ส่วน KBank ตามมาติดๆ เเละได้ใจผู้ประกอบการไปเต็มๆ เปิดตัว “Eatable” (อีทเทเบิลแพลตฟอร์มตัวช่วยจัดการ “ร้านอาหาร” ไม่ต้องโหลดแอป ไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถจัดการระบบหลังบ้านแบบเรียลไทม์ผ่านทางออนไลน์ ส่วนลูกค้าสามารถเลือกอาหาร สั่ง และจ่ายแบบไร้การสัมผัส พร้อมฟังก์ชันฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่กำลังจะเปิดตัวเเบบเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมพัฒนาต่อยอดให้นักท่องเที่ยวจีนสั่งอาหารในไทยได้ปลายปีนี้

อ่านรายละเอียด : เปิดเกม KBank vs SCB เเข่งธุรกิจอาหาร เมื่อแบงก์จะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็นมากกว่าธนาคาร

ในศึกสมรภูมิฟู้ดเดลิเวอรี่เมืองไทย ที่มีมูลค่าตลาดราว 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะครองตลาดด้วยเเพลตฟอร์มต่างชาติที่มีทุนหนาสามารถอัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าคนขับเเละมีอัตราค่าส่งที่ถูกมาก

อีกมุมเล็กๆ เราก็ได้เห็นคนไทยเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ออกมาใช้งานมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บค่า GP ในอัตราสูง แต่หลายแพลตฟอร์มยังเป็นที่นิยมในบางพื้นที่เท่านั้น เเละยังมีอีกหลายแพลตฟอร์ม ที่ยังต้องได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเสียก่อน

จากการสำรวจดูเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ของคนไทย พบว่า ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเเก้ปัญหาค่า GP โดยจะไม่มีการเรียกเก็บหรือเก็บบ้างเเต่น้อยกว่าเจ้าใหญ่ ซึ่งทำให้ค่าส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ผู้บริโภคใช้ตัดสินใจนั้นเเพงกว่า

ดังนั้น จุดเด่นของฟู้ดเดลิเวอรี่ท้องถิ่น จึงต้องชูความช่วยเหลือกันและกันหรือคนไทยช่วยคนไทย” พร้อมเลือกเจาะทำเล “ท้องถิ่น” เมืองรองที่เจ้าใหญ่ยังไม่เข้ามาทำตลาดมากนัก เละหาทางออกให้ผู้บริโภค อย่างการเเนะนำว่าร้านอาหาร ควรจะมี Basket Size หรือมูลค่าในการจ่ายเพื่อซื้อสินค้าใน 1 ครั้งที่เหมาะสม จึงจะคุ้มกับค่าส่งหากยอดสั่งซื้อที่ 200-500 บาทขึ้นไป เเต่ถ้าร้านมีบริการจัดส่งลูกค้าของตัวเองในโซนใกล้เคียงก็จะประหยัดได้มาก หรือการคิดค่าอาหารเท่ากับราคาหน้าร้าน (ซึ่งจะถูกกว่าราคาที่บางร้านที่ต้องบวกเพิ่มเพราะโดนคิดค่า GP จากเจ้าใหญ่) ทำให้เมื่อซื้อหลายชิ้นรวมๆ กันเเล้วเฉลี่ยกับค่าส่งที่เเพงกว่าเเต่ราคารวมจะถูกกว่านั่นเอง

วันนี้เราจะมารู้จักกับเหล่าเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่พัฒนาโดยคนไทย เเละเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง COVID-19 ว่ามีความน่าสนใจเเละมีจุดเด่นอะไรกันบ้าง

Hungry Hub 

เริ่มจากสตาร์ทอัพไทยอย่างHungry Hub ที่ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ทำเป็นเดลิเวอรี่ เพื่อช่วยร้านอาหารในช่วงวิกฤต COVID-19 จากปกติธุรกิจหลักจะเป็นเเพลตฟอร์มรวมเเหล่งบุฟเฟ่ต์ มี Exclusive Deal แบบ Fixed Price เปลี่ยนร้าน A La Carte ให้เป็นบุฟเฟ่ต์ โดยถ้าจะใช้บริการต้องจองผ่าน Hungry Hub เท่านั้น เช่นร้าน Audrey, Arno’s, Another Hound, Paul Bakery, Vertigo Too เป็นต้น

โดย Hungry@Home ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้

  • ก็บค่าคอมมิชชั่น 10.7%
  • ค่าส่งร้านออกเอง 50 บาทในทุกออเดอร์
  • ลูกค้าจ่ายด้วยบัตรเครดิต ทาง Hungry Hub Support ค่า Fee บัตรเครดิต 3% ให้ฟรี
  • มีทีม Support ช่วยเหลือหลังบ้าน (เรียกรถขนส่งให้ /ดูแลระบบและจัดการขนส่ง / Customer Support
  • ทำการตลาดให้ฟรี ผ่าน Social Media / SMS / Email / Line และ Blogger มากกว่า 40 เพจ

“ความแตกต่างคือเราขายเน้นขายเป็น “Set Menu” สำหรับ 2-4 คนขึ้นอยู่กับแต่ละชุด เริ่มต้นที่ 399 บาท Net ลูกค้าจะได้รับส่วนลด 10-30% พร้อมตัวเลือก หลากหลายจากร้าน อาหารชั้นนำ ค่าธรรมเนียมการจัดส่ง 3 กิโลเมตรแรกฟรี กิโลเมตรต่อไปกิโลเมตรละ 10 บาท โดยค่าคอมมิชชั่น รวมๆ 10.7% ซึ่งรวมค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเรียบร้อย และช่วยทำการตลาดเพื่อโปรโมตร้านให้มียอดขายเพิ่มขึ้น”

ตัวอย่างการทำตลาดของ Hungry Hub

Om Ordering

เเพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่พัฒนาโดย ออม แพลตฟอร์ม เริ่มต้นจากร้านค้าทั่วเมืองเชียงใหม่เเล้วค่อยๆ ขยายไปหาผู้ประกอบการทุกประเภท ทั้งสินค้าและบริการ รวมถึงร้านอาหาร

Om Ordering บอกว่า ต้องการจะช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้า ให้สามารถเข้าร่วมกับแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม พร้อมให้อิสระในการบริหารจัดการระบบขนส่งทั้ง Drive Thru และเดลิเวอรี่ตามความต้องการของร้านเอง

โดย Om Ordering ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้

  • ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า
  • ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
  • พร้อมใช้งานได้เลยภายใน 1 วัน หลังจากลงทะเบียน
  • ไม่จำกัดประเภทร้านค้า ไม่จำกัดจำนวนเมนูที่จะลงขาย
  • กำหนดเวลาเปิดปิดร้านได้ด้วยตนเอง
  • วางแผนระบบการจัดส่งแบบ Drive Thru และ Delivery ได้ด้วยตนเอง
  • กำหนดค่าขนส่งได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะฟรีค่าส่ง หรือเก็บตามระยะทางจริง
  • มีระบบจัดการสต๊อกหลังบ้าน
ตัวอย่างการทำตลาดของ Om Ordering

Street Food Delivery

อีกหนึ่งสตาร์ทอัพไซส์เล็กที่ขอปักธงเมืองรอง โดยเน้นร้านอาหารดังประจำถิ่น เริ่มให้บริการส่งอาหารในพื้นที่กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และท่าเรือท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี

แอปพลิเคชัน Street มองเห็นช่องว่างธุรกิจว่า เมื่อไม่อาจแข่งสู้เหล่าซูเปอร์แอปฯ ต่างชาติ ได้จึงเลือกทำเลที่ตั้งในการให้บริการเฉพาะต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรองแทน เพราะเจ้าใหญ่ยังไม่ลงมาเล่นในตลาดต่างจังหวัดมากนัก โดยเน้นเจาะร้านอาหารดังประจำท้องถิ่น ที่ยังไม่มีหน้าร้านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ต้องการขายของทางออนไลน์หรือเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ร้านอาหารของตัวเอง โดย Street ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า คือการคิดคิดค่าบริการ 15 % ต่อยอดสั่งซื้อทั้งหมด เเละมีโปรโมชั่นพิเศษโดยการชำระเป็นเงินสด

Fresh!

เเอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่น้องใหม่ ที่มีทีมปั้นเป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เริ่มทยอยรับสมัครร้านค้าเเละไรเดอร์ทั่วประเทศเเล้วในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ชูจุดเด่นไม่เก็บค่า GP” จากร้านค้า โดยมีค่าส่งเริ่มต้นที่ 10 บาท และหากสั่งออเดอร์เกิน 100 บาท มีโปรโมชั่นส่งฟรี

ขณะที่ในส่วนของร้านอาหาร สามารถเลือกได้ว่าทางร้านจะจัดส่งด้วยตัวเอง ให้ลูกค้ามารับเองที่ร้าน หรือใช้บริการไรเดอร์ไปส่งให้ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป (ไม่ได้เปิดร้านอาหาร) ที่มีเมนูเด็ดสนใจอยากขาย เข้าร่วมเเอปฯ Fresh ได้ในชื่อ Fresh Homemade โดยทำอาหารและจัดส่งด้วยตัวเองในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน

ตัวอย่างการทำการตลาดของ Fresh!

OrderMaNow

เป็นระบบรับออเดอร์เดลิเวอรี่เจ้าเล็กๆ เพื่อเจาะกลุ่มร้านอาหารรายย่อยที่มีบริการจัดส่งเอง ไม่มี GP ไม่ต้องลงเเอปพลิเคชัน โดย OrderMaNow ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้

  • รับออเดอร์ทุกทาง Facebook, IG, Line, Twitter แตะลิงก์เดียวสั่งออเดอร์ในร้านได้ทันที ไม่ต้องลงเเอปฯ ไม่ต้อง Login
  • ติดตามยอดขาย ติดตามความพึงพอใจลูกค้าได้
  • ลดข้อผิดพลาดจากการจดออเดอร์ผิด
  • ลดเวลาคุยรับออเดอร์ เก็บฐานลูกค้าไว้กับร้านค้า
  • ได้รับพิกัด Location จากลูกค้า ไม่ต้องเดาที่อยู่ที่จัดส่ง

shaRE ชาลี

เว็บไซต์ระบบเดลิเวอรี่ทางเลือกของคนไทย ที่ทีมพัฒนารวมตัวกันจากกลุ่มอาสาสมัคร เพื่อช่วยร้านอาหารที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤต COVID-19 โดยแบ่งร้านอาหารออกเป็นแต่ละเขต เเละในอนาคตจะแบ่งเป็นแต่ละอำเภอ เพื่อให้ลูกค้าได้รู้ว่าในพื้นที่ใกล้ที่อยู่ ที่ทำงาน มีร้านอาหารอะไรอยู่บ้าง เป็นการเพิ่มโอกาสนำเสนอตัวตนของร้านท้องถิ่น

โดย shaRE ชาลี ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้

  • ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและไม่มี GP
  • ร้านค้าสมัครง่าย ใช้งานได้ภายใน 20 นาที หลังจากลงทะเบียน
  • ร้านได้รับยอดการขาย 100%
  • เปิดกว้างให้ทุกร้านสามารถมาลงขายได้
  • ไม่จำกัด จำนวนเมนู ที่ลงขายของแต่ละร้าน
  • แบ่งร้านค้าและลูกค้าเป็นเขต
  • สั่งแบบ pre-order เพื่อให้ร้านค้าสามารถรวม order และวางแผนการจัดส่งเองได้ง่าย
  • สั่งอาหารในโซนพื้นที่เดียวกับร้าน ค่าส่ง 30 บาท สั่งอาหารนอกโซน (เกินไปจาก 3 กิโลเมตร ) คิดกิโลละ 10 บาท ตามระยะทางจริง
  • ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น ติดตามยอดขาย ความพึงพอใจลูกค้าได้ บริหารเมนูและทำโปรโมชั่นเอง
ตัวอย่างการโปรโมตของ shaRE

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเเพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของคนไทย ที่เกิดขึ้นเเละเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง COVID-19 เท่านั้น ยังมีอีกหลายเว็บไซต์ หลายเเอปพลิเคชันที่กระโจนเข้ามาทำธุรกิจส่งอาหารที่มีการเเข่งขันสูง เเต่ก็ยังพอมีช่องว่างของโอกาส ด้วยกลยุทธ์การขยายเจาะท้องถิ่น เน้นความใกล้ชิดกับคนพื้นที่ ค่าการเก็บค่า GP ที่น้อยกว่าหรือไม่เก็บเลย เพื่อเเก้ Pain Point ของร้านอาหาร “เมื่อเเข่งกับยักษ์ใหญ่ไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ เติบโตไปเเบบเล็กๆ” อย่างไรก็ตาม หนทางยังอีกยาวไกลเเละมีอุปสรรคมากมายในวงการนี้ ก็คงต้องเอาใจช่วยเเละจับตามองดูการพัฒนาของฟู้ดเดลิเวอรี่ไทยต่อไป

 

 

]]>
1288063
เปิดเบื้องหลัง SCB ฉีกเเนวธนาคาร เปิดตัว Robinhood ลงศึกฟู้ดเดลิเวอรี่เเบบ “ไม่เก็บค่า GP” https://positioningmag.com/1282599 Mon, 08 Jun 2020 11:15:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282599 เปิดเบื้องหลังการฉีกกรอบธุรกิจเเบงก์ของ SCB ข้ามฟากกระโจนลงสนาม “ฟู้ดเดลิเวอรี่” ทุ่ม 100 ล้านเปิดตัว “Robinhood” เเอปฯ สั่งอาหารน้องใหม่สัญชาติไทย ไม่หวั่นตลาดเเข่งดุมากช่วง COVID-19 เน้นเป็น CSR ไม่หวังกำไร ลดภาระผู้บริโภค เเก้ Pain Point ช่วยร้านค้าขายของไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

“ไอเดียนี้เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ที่ผมต้องสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่มากินที่บ้าน แล้วเห็นว่าการสั่งอาหารออนไลน์ในเเต่ละวัน ทำให้ต้นทุนการใช้ชีวิตของคนไทยสูงขึ้นมาก ราคาเเพงขึ้น อีกทั้งร้านค้าที่กำลังเดือดร้อนอยู่เเล้วก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือค่า GP ถึง 30-35%…ผมจึงฉุกคิดขึ้นมาว่า เราเป็นธนาคารดิจิทัลที่มีทรัพยากรเพียงพอ มีฐานลูกค้า ไม่ต้องลงทุนพันล้านเหมือนสตาร์ทอัพเจ้าอื่น เราสามารถพัฒนาส่วนนี้เพื่อช่วยสังคมได้”

นี่คือจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจของ Robinhood”เอปพลิเคชั่นสั่งอาหารน้องใหม่สัญชาติไทย จากอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ประเด็นการถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม GP จากเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ในอัตราที่สูง เป็น Pain Point ที่ถูกถกเถียงในสังคมไทยอย่างมากในช่วงที่ธุรกิจนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อร้านค้าต้องหันมาพึ่งพาการขายออนไลน์ ผู้ซื้อต้องสั่งอาหารออนไลน์เพราะออกจากบ้านลำบาก จากมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันการแพร่ระบาดที่ทำให้เกิด New Normal การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในหลายรูปแบบ

“เราไม่ได้คิดจะเเข่งกับใคร ไม่ได้อยากจะปั้นสตาร์ทอัพให้เป็นยูนิคอร์น เเละก็ไม่ตั้งเป้าว่าจะต้องทำยอดเท่าไหร่ด้วย เราอยากทำให้ Robinhood เป็นเเอปฯ ที่ช่วยให้ผู้ขายไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ผู้ซื้อได้อาหารที่ราคาไม่บวกเพิ่ม คนขับได้รายได้จากการขนส่ง ทุกอย่างจะไม่หักอะไรเลย”

ซีอีโอ SCB ยืนยันว่า Robinhood เป็นหนึ่งใน CSR ของบริษัทที่ “จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม GP ทั้งในช่วงนี้และต่อไป” เเละถ้าหากในอนาคตมีคนใช้จำนวนมาก แนวทางการหารายได้จะเป็นไปในทาง “เสนอสินเชื่อ” ให้ผู้ประกอบการมากกว่าที่จะหันมาหักค่า GP

สำหรับเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ภายใต้ชื่อ “Robinhood” จะดำเนินการภายใต้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Purple Ventures) บริษัทน้องใหม่ในเครือเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) ที่ตั้งขึ้น โดยมีงบการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ในอนาคตอาจจะแยกบริษัทออกไป โดยเริ่มต้นจะมีพนักงานดูเเลราว 40-50 คน (ไม่รวมคอลเซ็นเตอร์) ถือเป็นการลงทุนที่จริงจังเเละหวังผลระยะยาว

“ตอนเอาไปเสนอบอร์ดบริหาร ก็ได้รับการสนับสนุนให้ทำเลย อีกทั้งยังถามว่าขยายไปมากกว่าฟู้ดได้ไหม ทีมงานก็ทุ่มเทช่วยกันทั้งเเรงกายเเรงใจ อยากให้เป็นอีกทางเลือกของคนไทย ทีมงานก็มีถามนะว่าเราจะใช้ชื่ออื่นอีกไหม ผมก็ขอว่าให้ใช้ชื่อ Robinhood (โรบินฮู้ด) เถอะ”

โดยชื่อ Robinhood นี้ อาทิตย์ได้เเรงบันดาลใจมากจากสตาร์ทอัพฟินเทคในต่างประเทศที่มีชื่อว่า “Robinhood” เช่นกัน ซึ่งเป็นเเพลตฟอร์มที่กำลังดิสรัปต์ธุรกิจโบรกเกอร์ ด้วยการไม่เก็บค่าคอมมิชชันในการซื้อขายหุ้น

สอดคล้องกับเเนวคิดที่ได้นำมาใช้กับเเอปฯ สั่งอาหาร Robinhood ที่ชูจุดเด่นการไม่เก็บค่าธรรมเนียม GP จากร้านอาหาร สมัครเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มได้ฟรี ร้านอาหารได้รับเงินเร็วภายใน 1 ชั่วโมงนับตั้งแต่เกิดการทำธุรกรรม ไม่จำเป็นต้องใช้ SCB รวมถึงในอนาคตร้านอาหารขนาดเล็กก็จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายและรวดเร็วด้วย

โดย SCB ใช้เวลาในการพัฒนา Robinhood ประมาณ 3 เดือน คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือน ก.ค.นี้ ซึ่งทางธนาคารได้จับมือพันธมิตรอย่าง Skootar ในการให้บริการส่งอาหาร และพร้อมจับมือกับพันธมิตรรายอื่นๆ เพื่อให้บริการเพิ่มในอนาคต คาดว่าช่วงเปิดบริการจะมีร้านอาหารเข้าร่วมกว่า 20,000 แห่ง และภายในสิ้นปีนี้อาจจะเพิ่มเป็น 40,000–50,000 แห่ง โดยเน้นให้บริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน จากนั้นจะขยับไปหัวเมืองใหญ่เเละขยายไปทั่วประเทศ

ส่วนจำนวนเป้าหมายผู้ใช้งาน Robinhood ตอนนี้ SCB ยังไม่มีการตั้งเป้าใดๆ เเต่จะเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีของลูกค้า โดยหวังว่าในช่วง 3 เดือนแรกน่าจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน

เกิดคำถามว่า ก่อนหน้านี้ SCB ได้ร่วมมือกับ GET ผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่รายใหญ่ เป็นพันธมิตรด้าน Financial Business จะเป็นการเเย่งตลาดกับพาร์ตเนอร์หรือไม่นั้น ผู้บริหาร SCB ตอบว่ามีการพูดคุยกันเป็นที่เรียบร้อย โดยทางธนาคารไม่ได้จะทำธุรกิจเดลิเวอรี่เเข่งกับ GET แต่อย่างใด เพราะ GET ก็มีฐานลูกค้าที่เเข็งเเกร่ง มีประสบการณ์มากกว่า และในอนาคตก็สามารถร่วมมือกันได้

ด้านข้อสงสัยจากมุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับ “ค่าจัดส่ง” ว่าจะคิดตามระยะทางเหมือนเจ้าอื่นหรือไม่ และถ้า Robinhood ซึ่งไม่มีนโยบายที่จะลงทุนทำ “โปรโมชั่น” จะทำให้อัตราค่าส่งเเพงกว่าฟู้ดเดลิเวอรี่รายอื่นหรือไม่นั้น

ซีอีโอ SCB ตอบว่า “ทีมงานเคยมีการดีเบตกันหนักมากในประเด็นค่าส่ง ซึ่งผู้บริโภคคนไทยมักดูที่ค่าส่งเป็นหลัก เเต่ผมเชื่อว่าเเม้เราจะไม่มีโปรโมชั่นมาอัดให้ถูกกว่าเจ้าอื่น เเต่ค่าอาหารเราคิดตามราคาจริง ไม่ได้ไปเพิ่มค่าอาหารเพื่อให้ได้ค่าส่งถูกตามโปรโมชั่นที่เห็นกันในปัจจุบัน ดังนั้น Robinhood ก็จะมีการคิดตามระยะทางเหมือนกับเเอปฯ อื่น ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเเละเทียบ “ราคารวม” ทั้งหมดก่อนกดสั่งได้

“เรายืนยันว่าแนวทางการให้บริการของ Robinhood จะเป็นไปในลักษณะการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและร้านอาหาร มากกว่าการแข่งขันกับผู้ให้บริการเจ้าอื่น การที่เราไม่ต้องทุ่มเงินทำโปรโมชั่น ก็ทำให้เราไม่ต้องไปเก็บค่า GP กับร้านค้า เป็นไปตามจุดประสงค์ว่าต้องการให้ประโยชน์คืนกับสังคม”

ต้องรอดูว่า Robinhood เเอปฯ สั่งอาหารน้องใหม่ จะได้รับเสียงตอบรับอย่างไร เเละพัฒนาต่อไปในทิศทางใด เพราะครั้งนี้ SCB ย้ำชัดว่าจริงจังเเละไม่ได้มาเล่นๆ

]]>
1282599