“ฟู้ดเดลิเวอรี่” ได้รับความความนิยมเพิ่มขึ้นเเบบพุ่งพรวด ในช่วงการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่ ต้องปรับตัวเเบบ 360 องศาเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้
จากเดิมช่วงก่อน COVID-19 ร้านอาหารหลายเเห่ง อาจจะมีสัดส่วนการขายหน้าร้านต่อออนไลน์ ประมาณ 90:10 เเต่หลังจากมีโรคระบาด ผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทาง ร้านอาหารหลายแห่งต้องหันไปพึ่งพาการขายทางออนไลน์เพื่อประคองธุรกิจ บางเเห่งอาจมีสัดส่วนมากถึง 70:30 หรือ 50:50 เลยก็ว่าได้
เเม้หลังคลายล็อกดาวน์ เราจะสามารถออกมาทานข้าวนอกบ้านได้ตามปกติเเล้ว เเต่เทรนด์การสั่งอาหารออนไลน์จะยังคงอยู่ เพราะผู้คนเริ่มคุ้นชินกับความสะดวกสบายเเละชอบมีตัวเลือกที่หลากหลาย ดังนั้นร้านอาหารก็ยังคงต้องมุ่งพัฒนาด้านเดลิเวอรี่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดราม่าเรื่อง ค่าส่วนแบ่งยอดขาย (GP Food Delivery) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “ค่า GP” ยังคงสร้างความหนักอกหนักใจกับเหล่าร้านอาหารมาตั้งเเต่ก่อนช่วง COVID-19 แม้แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่เจ้าใหญ่ๆ ที่มีฐานลูกค้าติดใจใช้งานจำนวนมาก จะช่วยสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายที่ทางร้านอาหารต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะที่เรียกเก็บกว่า 30-35% อาจทำให้ร้านเล็กๆ ไม่สามารถสร้างยอดขายให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2020/04/GettyImages-1207961055-e1588229255228.jpg)
เป็นที่ฮือฮาอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา เมื่อ 2 ธนาคารใหญ่ของไทยอย่าง KBank (กสิกรไทย) เเละ SCB (ไทยพาณิชย์) ฉีกเเนวธนาคาร ลงสนามเเข่งในธุรกิจอาหาร ตามคอนเซ็ปต์แบงก์จะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็น “มากกว่า” ธนาคาร
การเปิดตัว Robinhood ของ SCB ก็สั่นสะเทือนวงการฟู้ดเดลิเวอรี่ไม่น้อยด้วยประเด็นจี้จุด Pain Point อย่างการไม่คิด GP ไม่คิดค่าสมัคร โอนเงินไวใน 1 ชั่วโมง ท้าทายคู่เเข่งระดับโลกอย่าง Grab, LINE Man, GET เเละ Food Panda โดยพร้อมจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้
ส่วน KBank ตามมาติดๆ เเละได้ใจผู้ประกอบการไปเต็มๆ เปิดตัว “Eatable” (อีทเทเบิล) แพลตฟอร์มตัวช่วยจัดการ “ร้านอาหาร” ไม่ต้องโหลดแอป ไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถจัดการระบบหลังบ้านแบบเรียลไทม์ผ่านทางออนไลน์ ส่วนลูกค้าสามารถเลือกอาหาร สั่ง และจ่ายแบบไร้การสัมผัส พร้อมฟังก์ชันฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่กำลังจะเปิดตัวเเบบเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมพัฒนาต่อยอดให้นักท่องเที่ยวจีนสั่งอาหารในไทยได้ปลายปีนี้
อ่านรายละเอียด : เปิดเกม KBank vs SCB เเข่งธุรกิจอาหาร เมื่อแบงก์จะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็น “มากกว่า” ธนาคาร
ในศึกสมรภูมิฟู้ดเดลิเวอรี่เมืองไทย ที่มีมูลค่าตลาดราว 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะครองตลาดด้วยเเพลตฟอร์มต่างชาติที่มี “ทุนหนา” สามารถอัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า–คนขับเเละมีอัตรา “ค่าส่ง” ที่ถูกมาก
อีกมุมเล็กๆ เราก็ได้เห็นคนไทยเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ออกมาใช้งานมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บค่า GP ในอัตราสูง แต่หลายแพลตฟอร์มยังเป็นที่นิยมในบางพื้นที่เท่านั้น เเละยังมีอีกหลายแพลตฟอร์ม ที่ยังต้องได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเสียก่อน
จากการสำรวจดูเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ของคนไทย พบว่า ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเเก้ปัญหาค่า GP โดยจะไม่มีการเรียกเก็บหรือเก็บบ้างเเต่น้อยกว่าเจ้าใหญ่ ซึ่งทำให้ “ค่าส่ง” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ผู้บริโภคใช้ตัดสินใจนั้น “เเพงกว่า”
ดังนั้น จุดเด่นของฟู้ดเดลิเวอรี่ท้องถิ่น จึงต้องชูความ “ช่วยเหลือกันและกัน” หรือ “คนไทยช่วยคนไทย” พร้อมเลือกเจาะทำเล “ท้องถิ่น” เมืองรองที่เจ้าใหญ่ยังไม่เข้ามาทำตลาดมากนัก เเละหาทางออกให้ผู้บริโภค อย่างการเเนะนำว่าร้านอาหาร ควรจะมี Basket Size หรือมูลค่าในการจ่ายเพื่อซื้อสินค้าใน 1 ครั้งที่เหมาะสม จึงจะคุ้มกับค่าส่งหากยอดสั่งซื้อที่ 200-500 บาทขึ้นไป เเต่ถ้าร้านมีบริการจัดส่งลูกค้าของตัวเองในโซนใกล้เคียงก็จะประหยัดได้มาก หรือการคิดค่าอาหารเท่ากับราคาหน้าร้าน (ซึ่งจะถูกกว่าราคาที่บางร้านที่ต้องบวกเพิ่มเพราะโดนคิดค่า GP จากเจ้าใหญ่) ทำให้เมื่อซื้อหลายชิ้นรวมๆ กันเเล้วเฉลี่ยกับค่าส่งที่เเพงกว่าเเต่ “ราคารวม” จะถูกกว่านั่นเอง
วันนี้เราจะมารู้จักกับเหล่าเเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่พัฒนาโดยคนไทย เเละเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง COVID-19 ว่ามีความน่าสนใจเเละมีจุดเด่นอะไรกันบ้าง
Hungry Hub
เริ่มจากสตาร์ทอัพไทยอย่าง Hungry Hub ที่ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ทำเป็นเดลิเวอรี่ เพื่อช่วยร้านอาหารในช่วงวิกฤต COVID-19 จากปกติธุรกิจหลักจะเป็นเเพลตฟอร์มรวมเเหล่งบุฟเฟ่ต์ มี Exclusive Deal แบบ Fixed Price เปลี่ยนร้าน A La Carte ให้เป็นบุฟเฟ่ต์ โดยถ้าจะใช้บริการต้องจองผ่าน Hungry Hub เท่านั้น เช่นร้าน Audrey, Arno’s, Another Hound, Paul Bakery, Vertigo Too เป็นต้น
โดย Hungry@Home ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้
- เก็บค่าคอมมิชชั่น 10.7%
- ค่าส่งร้านออกเอง 50 บาทในทุกออเดอร์
- ลูกค้าจ่ายด้วยบัตรเครดิต ทาง Hungry Hub Support ค่า Fee บัตรเครดิต 3% ให้ฟรี
- มีทีม Support ช่วยเหลือหลังบ้าน (เรียกรถขนส่งให้ /ดูแลระบบและจัดการขนส่ง / Customer Support
- ทำการตลาดให้ฟรี ผ่าน Social Media / SMS / Email / Line และ Blogger มากกว่า 40 เพจ
“ความแตกต่างคือเราขายเน้นขายเป็น “Set Menu” สำหรับ 2-4 คนขึ้นอยู่กับแต่ละชุด เริ่มต้นที่ 399 บาท Net ลูกค้าจะได้รับส่วนลด 10-30% พร้อมตัวเลือก หลากหลายจากร้าน อาหารชั้นนำ ค่าธรรมเนียมการจัดส่ง 3 กิโลเมตรแรกฟรี กิโลเมตรต่อไปกิโลเมตรละ 10 บาท โดยค่าคอมมิชชั่น รวมๆ 10.7% ซึ่งรวมค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเรียบร้อย และช่วยทำการตลาดเพื่อโปรโมตร้านให้มียอดขายเพิ่มขึ้น”
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2020/07/5ea2bb7967b4a90908ee45ea_2.jpg)
Om Ordering
เเพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่พัฒนาโดย ออม แพลตฟอร์ม เริ่มต้นจากร้านค้าทั่วเมือง “เชียงใหม่” เเล้วค่อยๆ ขยายไปหาผู้ประกอบการทุกประเภท ทั้งสินค้าและบริการ รวมถึงร้านอาหาร
Om Ordering บอกว่า ต้องการจะช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้า ให้สามารถเข้าร่วมกับแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม พร้อมให้อิสระในการบริหารจัดการระบบขนส่งทั้ง Drive Thru และเดลิเวอรี่ตามความต้องการของร้านเอง
โดย Om Ordering ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้
- ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า
- ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
- พร้อมใช้งานได้เลยภายใน 1 วัน หลังจากลงทะเบียน
- ไม่จำกัดประเภทร้านค้า ไม่จำกัดจำนวนเมนูที่จะลงขาย
- กำหนดเวลาเปิด–ปิดร้านได้ด้วยตนเอง
- วางแผนระบบการจัดส่งแบบ Drive Thru และ Delivery ได้ด้วยตนเอง
- กำหนดค่าขนส่งได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะฟรีค่าส่ง หรือเก็บตามระยะทางจริง
- มีระบบจัดการสต๊อกหลังบ้าน
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2020/07/image_720.png)
Street Food Delivery
อีกหนึ่งสตาร์ทอัพไซส์เล็กที่ขอปักธง “เมืองรอง” โดยเน้นร้านอาหารดังประจำถิ่น เริ่มให้บริการส่งอาหารในพื้นที่กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และท่าเรือ–ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
แอปพลิเคชัน Street มองเห็นช่องว่างธุรกิจว่า เมื่อไม่อาจแข่งสู้เหล่าซูเปอร์แอปฯ ต่างชาติ ได้จึงเลือกทำเลที่ตั้งในการให้บริการเฉพาะต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรองแทน เพราะเจ้าใหญ่ยังไม่ลงมาเล่นในตลาดต่างจังหวัดมากนัก โดยเน้นเจาะร้านอาหารดังประจำท้องถิ่น ที่ยังไม่มีหน้าร้านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ต้องการขายของทางออนไลน์หรือเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ร้านอาหารของตัวเอง โดย Street ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า คือการคิดคิดค่าบริการ 15 % ต่อยอดสั่งซื้อทั้งหมด เเละมีโปรโมชั่นพิเศษโดยการชำระเป็นเงินสด
Fresh!
เเอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่น้องใหม่ ที่มีทีมปั้นเป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เริ่มทยอยรับสมัครร้านค้าเเละไรเดอร์ทั่วประเทศเเล้วในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ชูจุดเด่น “ไม่เก็บค่า GP” จากร้านค้า โดยมีค่าส่งเริ่มต้นที่ 10 บาท และหากสั่งออเดอร์เกิน 100 บาท มีโปรโมชั่นส่งฟรี
ขณะที่ในส่วนของร้านอาหาร สามารถเลือกได้ว่าทางร้านจะจัดส่งด้วยตัวเอง ให้ลูกค้ามารับเองที่ร้าน หรือใช้บริการไรเดอร์ไปส่งให้ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป (ไม่ได้เปิดร้านอาหาร) ที่มีเมนูเด็ดสนใจอยากขาย เข้าร่วมเเอปฯ Fresh ได้ในชื่อ Fresh Homemade โดยทำอาหารและจัดส่งด้วยตัวเองในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2020/07/96518587_125839252426673_4353520486362120192_o.jpg)
OrderMaNow
เป็นระบบรับออเดอร์เดลิเวอรี่เจ้าเล็กๆ เพื่อเจาะกลุ่มร้านอาหารรายย่อยที่มีบริการจัดส่งเอง ไม่มี GP ไม่ต้องลงเเอปพลิเคชัน โดย OrderMaNow ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้
- รับออเดอร์ทุกทาง Facebook, IG, Line, Twitter แตะลิงก์เดียวสั่งออเดอร์ในร้านได้ทันที ไม่ต้องลงเเอปฯ ไม่ต้อง Login
- ติดตามยอดขาย ติดตามความพึงพอใจลูกค้าได้
- ลดข้อผิดพลาดจากการจดออเดอร์ผิด
- ลดเวลาคุยรับออเดอร์ เก็บฐานลูกค้าไว้กับร้านค้า
- ได้รับพิกัด Location จากลูกค้า ไม่ต้องเดาที่อยู่ที่จัดส่ง
shaRE ชาลี
เว็บไซต์ระบบเดลิเวอรี่ “ทางเลือก” ของคนไทย ที่ทีมพัฒนารวมตัวกันจากกลุ่มอาสาสมัคร เพื่อช่วยร้านอาหารที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤต COVID-19 โดยแบ่งร้านอาหารออกเป็นแต่ละเขต เเละในอนาคตจะแบ่งเป็นแต่ละอำเภอ เพื่อให้ลูกค้าได้รู้ว่าในพื้นที่ใกล้ที่อยู่ ที่ทำงาน มีร้านอาหารอะไรอยู่บ้าง เป็นการเพิ่มโอกาสนำเสนอตัวตนของร้านท้องถิ่น
โดย shaRE ชาลี ชูจุดเด่นเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนี้
- ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและไม่มี GP
- ร้านค้าสมัครง่าย ใช้งานได้ภายใน 20 นาที หลังจากลงทะเบียน
- ร้านได้รับยอดการขาย 100%
- เปิดกว้างให้ทุกร้านสามารถมาลงขายได้
- ไม่จำกัด จำนวนเมนู ที่ลงขายของแต่ละร้าน
- แบ่งร้านค้าและลูกค้าเป็นเขต
- สั่งแบบ pre-order เพื่อให้ร้านค้าสามารถรวม order และวางแผนการจัดส่งเองได้ง่าย
- สั่งอาหารในโซนพื้นที่เดียวกับร้าน ค่าส่ง 30 บาท สั่งอาหารนอกโซน (เกินไปจาก 3 กิโลเมตร ) คิดกิโลละ 10 บาท ตามระยะทางจริง
- ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น ติดตามยอดขาย ความพึงพอใจลูกค้าได้ บริหารเมนูและทำโปรโมชั่นเอง
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2020/07/92509254_2913515545395749_2554935852362891264_o.jpg)
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเเพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของคนไทย ที่เกิดขึ้นเเละเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง COVID-19 เท่านั้น ยังมีอีกหลายเว็บไซต์ หลายเเอปพลิเคชันที่กระโจนเข้ามาทำธุรกิจส่งอาหารที่มีการเเข่งขันสูง เเต่ก็ยังพอมีช่องว่างของโอกาส ด้วยกลยุทธ์การขยายเจาะท้องถิ่น เน้นความใกล้ชิดกับคนพื้นที่ ค่าการเก็บค่า GP ที่น้อยกว่าหรือไม่เก็บเลย เพื่อเเก้ Pain Point ของร้านอาหาร “เมื่อเเข่งกับยักษ์ใหญ่ไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ เติบโตไปเเบบเล็กๆ” อย่างไรก็ตาม หนทางยังอีกยาวไกลเเละมีอุปสรรคมากมายในวงการนี้ ก็คงต้องเอาใจช่วยเเละจับตามองดูการพัฒนาของฟู้ดเดลิเวอรี่ไทยต่อไป
- ดราม่ารับวิกฤต “แกร็บ” เพิ่ม GP ร้านค้า เพิ่มค่าส่ง สั่งน้อยเก็บเพิ่ม แต่คนขับไม่ได้เพิ่ม
- LINE MAN ไม่ขึ้นค่า GP แต่ปรับการส่งจากระยะรัศมี เป็นระยะทางจริง ค่าส่งเพิ่มขึ้น
- “แกร็บ” แจ้งปรับลด Incentive พาร์ตเนอร์ในต่างจังหวัด เสริมสภาพคล่องยุค COVID-19
- กลยุทธ์ “ฟรีหม้อ” ยอมเจ็บเเต่ขอมีรายได้ การตลาดสู้ COVID-19 ของธุรกิจร้านปิ้งย่าง-ชาบู