ตกงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 21 Jul 2025 06:47:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘เศรษฐกิจ’ ยังไม่มีความหวัง ทำคนไทยกลัว ‘ตกงาน’ ชะลอการใช้จ่าย https://positioningmag.com/1530643 Sun, 20 Jul 2025 15:23:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530643 เพราะยังเห็นวี่แววว่า ‘เศรษฐกิจจะดีขึ้น’ แถมมองประเทศกำลังไปผิดทาง ทำให้คนไทยกังวลกลัว ‘ตกงาน’ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นกับคน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ ทำให้ชะลอการซื้อไม่เฉพาะของชิ้นใหญ่ แต่ลามไปถึง ‘ของใช้ทั่วไป’

 

‘บริษัท อิปซอสส์ จำกัด’ ได้จัดทำรายงาน What Worries Thailand H1 2025 ศึกษาถึงประเด็นความกังวลของคนไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 พบว่า แม้ ‘ปัญหาสังคม’ จะเป็นประเด็นที่คนไทยมีความกังวลเป็นอันดับต้นๆ แต่มุมมองต่อเศรษฐกิจของคนไทย ก็มีความ ‘กังวลเพิ่มขึ้น’ อย่างมีนัยสำคัญ

 

โดย 65% มองสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันย่ำแย่ลง เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำนี้ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นใน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อครอบครัวต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือน

ชะลอการใช้จ่ายและกลัวตกงานเพิ่มขึ้น

 

มุมมองดังกล่าว ทำให้คนไทย 53% ชะลอและลังเลที่จะจับจ่าย โดยเฉพาะสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถยนต์ ฯลฯ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และความกังวลยังขยายไปถึงการซื้อของใช้ในบ้านทั่วไป โดย 46% ของคนไทยรู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 10%

 

การชะลอและการลังเลที่จะใช้จ่ายนี้ เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางที่มีรายได้ต่อครอบครัวประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน

 

ขณะเดียวกัน ‘การว่างงาน’ เป็นอีกประเด็นที่คนไทยกังวลมากขึ้นเช่นกัน โดยความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงในงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

– 59% ระบุว่า รู้จักคนที่เพิ่งตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

– 28% แสดงความกังวลว่า ตนเองอาจประสบปัญหาการ ‘ตกงาน’ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

– 48% มี ‘ความมั่นใจน้อยลง’ เกี่ยวกับความมั่นคงในงานของตนเอง ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปีก่อนถึง 12%

– 54% มั่นใจน้อยลงกับความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุหรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15%

 

เมื่อถามถึงความหวังสถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าหรือไม่

 

37% ของคนไทยคาดการณ์ว่า สถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะแข็งแกร่งขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ลดลงถึง 17% จากปีที่แล้ว ขณะที่ 59% บอกต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี เศรษฐกิจถึงจะกลับมา

 

มองประเทศกำลังมาผิดทาง ขอมีผู้นำกล้าแหกกฎแก้ปัญหา

 

นอกจากประเด็นความกังวลแล้ว การสำรวจยังได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ รวมถึงความเปราะบางของสังคมและประเทศ โดย

56% เห็นว่า ไทยกำลังมาผิดทาง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 13%

66% เชื่อว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะวิกฤต’

60% มองว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะถดถอย  

 

และเมื่อดู ‘ดัชนีชี้วัดสังคมวิกฤตของอิปซอสส์’ (Ipsos Society is Broken Index) พบว่า ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 77% นับเป็นอัตราสูงสุดจาก 31 ประเทศที่ทำการสำรวจ ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกของดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 61%

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนเรียกร้องหาผู้นำที่มีความโดดเด่นและมีอำนาจในการจัดการแก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดย

 

79% เรียกร้องให้มีผู้นำที่กล้าหาญพอจะ ‘แหกกฎ’ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ  

77% สนับสนุนผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อทวงคืนประเทศจากกลุ่มคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจ 

 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาดจากผู้นำทางการเมือง

แนะแบรนด์ต้องปรับตัว

ทั้งนี้ อิปซอสส์ได้ให้คำแนะนำกับแบรนด์เพื่อปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์สำหรับรับมือกับผลกระทบจากความกังวลของคนไทยที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดและภาคธุรกิจใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การคืนกำไรสู่สังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวก: เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าบริษัทสนับสนุนและคืนกลับสู่สังคม จะสามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์นำไปสู่การสร้างความจงรักภักดีและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า

2.สร้างความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส: การดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาลที่ดีจะส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกให้กับลูกค้า เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ ดังนั้นหากแบรนด์หรือองค์กรมีธรรมาภิบาลที่ดี คนก็พร้อมสนับสนุน ทำให้ไม่ต้องไปแข่งขันด้วย ‘สงครามราคา’ หรืออัดโปรฯ แรง ๆ

]]>
1530643
การมาของ AI จะแบ่งพนักงานออกเป็น 2 กลุ่ม คือ “คนที่ทำงานได้ดีขึ้น” กับ “คนที่ตกงาน” https://positioningmag.com/1470173 Tue, 16 Apr 2024 11:52:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470173 รายงานวิจัยจากสหรัฐฯ คาดว่า “AI” จะกระทบพนักงานแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ “คนที่ทำงานได้ดีขึ้น” กับ “คนที่ตกงาน” โดยจะมี 20% ของพนักงานที่เสี่ยงตกงานในอนาคต และกลุ่มพนักงานรายได้ต่ำจะเสี่ยงมากที่สุด

ยังไม่มีอะไรที่แน่นอนนักเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยี AI แต่มี 3 อย่างที่ชัดเจนขึ้นแล้วในขณะนี้คือ 1) AI จะมากระทบหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงานนับล้านตำแหน่งในไม่กี่ปีข้างหน้า 2) AI น่าจะทำให้พนักงานบางส่วนทำงานได้ดีขึ้น และ 3) AI น่าจะมาทดแทนตำแหน่งงานบางตำแหน่งได้

แต่สุดยอดคำถามของเรื่องนี้คือ ‘จะมีพนักงานมากเท่าไหร่ และอาชีพไหน ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบมากที่สุดจาก AI ?’

สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งทำเนียบขาว มีการออกรายงานวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า 20% ของพนักงานอเมริกันขณะนี้ อยู่ในตำแหน่งงานที่มี “ความเสี่ยงสูง” ที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากเทคโนโลยี AI

คนกลุ่ม 20% นี้ไม่ได้จะถูกทดแทนด้วย AI โดยสิ้นเชิง แต่อาจจะถูกทดแทนได้เป็นบางส่วนในเนื้องานที่ทำ ซึ่งจะทำให้คนกลุ่มนี้ ‘เสี่ยง’ มากกว่าอาชีพอื่นๆ

รายงานชิ้นนี้สรุปไฮไลต์ไว้ว่า การมาของ AI จะเป็นข่าวดีของพนักงานบางกลุ่มและข่าวร้ายของอีกกลุ่ม เพราะการใช้ AI จะทำให้พนักงานกลุ่มหนึ่งมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องใช้เวลามากกับงานที่น่าเบื่อ ได้รายได้สูงกว่าเดิม และอาจจะได้ทำงานน้อยลงเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ ขณะที่พนักงานอีกกลุ่มอาจจะต้องแข่งขันสูงขึ้น ถูกกดค่าแรงลง หรือเลวร้ายที่สุดคือใช้ AI ทำแทนพวกเขาได้เลย

 

งานที่ได้เงินเดือนต่ำมีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะถูก AI ทดแทน

รายงานนี้ไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าอาชีพไหนหรืออุตสาหกรรมไหนที่จะถูก AI มากระทบในทางลบมากที่สุด

แต่ทางสภาฯ ระบุเลยว่า พนักงานที่เสี่ยงที่สุดที่จะถูก AI ทดแทน ประกอบด้วย 2 ดัชนีชี้วัด คือ 1) เป็นอาชีพที่ AI สามารถทำแทนได้มาก 2) เนื้องานไม่ต้องการศักยภาพการทำงานที่สูงมากนักเนื่องจากเนื้องานไม่ยากหรือซับซ้อนเท่าไหร่ ทำให้ถูกทำเป็นระบบอัตโนมัติได้

สภาฯ พบว่ามี 10% ของพนักงานอเมริกันที่ตรงกับดัชนีชี้วัดทั้งสองข้อ และคนกลุ่มนี้มักจะเป็นพนักงานรายได้ต่ำและมีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าชั้นปริญญาตรี

นั่นหมายความว่า AI จะเข้ามาทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นไปอีก เพราะจะมาทดแทนแรงงานในกลุ่มรายได้ต่ำ แต่กลับทำให้งานที่ได้รายได้สูงยิ่งได้เงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ยังชี้ด้วยว่า บางครั้ง AI อาจจะมาแทนที่อาชีพหนึ่งได้ แต่อาจจะเกิดเป็นอาชีพใหม่ขึ้นมาด้วย เช่น หากวันหนึ่ง “รถโรงเรียน” สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้เอง จนไม่ต้องมีอาชีพ “คนขับรถโรงเรียน” แต่ในเหตุการณ์จริงโรงเรียนและสังคมย่อมต้องการบุคลากรที่เป็นผู้ใหญ่ทำหน้าที่ “คนดูแลบนรถ” คอยกำกับดูแลนักเรียนอยู่ดี ซึ่งก็เป็นไปได้ที่โรงเรียนจะยังจ้างคนขับรถต่อไปเพียงแต่ต้องเปลี่ยนไปทำหน้าที่แบบอื่น

 

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมักจะ ‘ช่วย’ คนหนึ่งแต่ ‘ทำร้าย’ อีกคน

AI ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งแรกในเชิงเศรษฐกิจ หากย้อนกลับไปเมื่อทศวรรษ 1980s ในช่วงที่ประเทศจีนเริ่มขึ้นมาเป็นตัวแปรสำคัญในการค้าโลก นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่า การล้นทะลักเข้ามาของสินค้าจีนต้นทุนต่ำจะเป็นคุณแก่สหรัฐฯ แม้ว่าภาคการผลิตท้องถิ่นของสหรัฐฯ เองต้องพ่ายแพ้ไป

“คนที่เสียอาชีพการงานไปเพราะสินค้าจีนเข้ามาทุบตลาดย่อมเกิดอาการช็อก แต่คนอื่นๆ จะได้สินค้าราคาถูกจาก Walmart หรือ Target หรือห้างอื่นๆ” Angus Deaton นักเศรษฐศาสตร์ผู้ชนะรางวัล Nobel Memorial Prize กล่าวกับ Business Insider “และทฤษฎียังบอกด้วยว่า คุณค่าที่เราได้รับมากกว่าสิ่งที่เราสูญเสียไป”

อย่างไรก็ตาม Deaton เองก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจมากขึ้นๆ ว่าการแลกในครั้งนั้นยังถือว่าคุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้น การมาของ AI นั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นคุณและคุ้มค่ากับชาวอเมริกันหรือเปล่า

Source

]]>
1470173
เยอะจนไม่กล้าเปิดเผย? ‘จีน’ ประกาศงดเผยแพร่สถิติการ “ว่างงานของเด็กจบใหม่” หลังตัวเลขพุ่งสูงต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1440948 Tue, 15 Aug 2023 05:31:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440948 ย้อนไปในช่วงเดือนมิถุนายน อัตราการว่างงานของเยาวชนจีนพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่  21.3% นอกจากนี้ ยังเห็นตัวเลขของ เด็กจบใหม่เกือบครึ่งที่เดินทางกลับบ้านเกิด เพราะไม่สามารถสู้ค่าครองชีพในเมืองใหญ่ ๆ ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้

หลังจากที่เปิดเผยข้อมูลของการดำเนินงานในโรงงานอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ ล่าสุด สำนักงานสถิติของจีน (NBS) ก็ได้ออกมาประกาศว่า นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป สำนักงานจะ ระงับการเผยแพร่ข้อมูลการว่างงานของเยาวชน (อายุ 16-24 ปี) อย่างไม่มีกำหนด โดยอ้างว่า ต้องปรับปรุงกลไกการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลใหม่

เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ตกต่ำ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายบางฉบับที่ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี และการศึกษาได้รับผลกระทบ ส่งผลไปถึงการจ้างงานในจีน โดยเฉพาะเยาวชนและเด็กจบใหม่ที่มีสถิติการว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา 

ปัญหาใหม่เศรษฐกิจจีน: วัยรุ่น 1 ใน 5 คน​ “ว่างงาน” เรียนจบสูงแต่ไม่มีตำแหน่งรองรับ

โดยอัตราการว่างงานโดยรวมของจีนในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 5.3% เพิ่มขึ้นจาก 5.2% ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ อัตราการว่างงานในกลุ่มวัยรุ่นจีน ช่วงเดือนมิถุนายนสูงถึง 21.3% ถือเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ โดยถือว่าเพิ่มขึ้น 0.5% จากสถิติของเดือนพฤษภาคมซึ่งอยู่ที่ 20.8% และเมื่อเดือนที่แล้ว ศาสตราจารย์ชาวจีนคนหนึ่ง คาดว่า อัตราว่างงานของเยาวชนที่แท้จริงในประเทศอาจเข้าใกล้ 50% ในเดือนมีนาคม

ตัวเลขที่ศาสตราจารย์คนดังกล่าวนั้นใกล้เคียงกับตัวเลขของ ผู้สำเร็จการศึกษาราว 47% กลับบ้านเกิดภายใน 6 เดือนหลังจากสำเร็จการศึกษาในปี 2022 เพิ่มขึ้นจาก 43% ในปี 2021 เนื่องจากเด็กจบใหม่ที่หางานไม่ได้เดินทางออกจากเมืองใหญ่กลับสู่บ้านเกิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าครองชีพในเมืองใหญ่ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรุงปักกิ่งที่มีค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น 5% และนครกว่างโจวและนครเซินเจิ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.8%

จากการตัดสินใจของ NBS ที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลการยว่างงานของเด็กจบใหม่ได้ถูกนำไปล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ทันทีบน Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน โดยแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องได้รับการดูมากกว่า 10 ล้านครั้ง 

Source

]]>
1440948
ยอดขาย ‘ลอตเตอรี่’ ของจีนโตสูงสุดในรอบ 10 ปี เหตุเด็กจบใหม่ตกงานสูง อยากรวยในชั่วข้ามคืน https://positioningmag.com/1434733 Tue, 20 Jun 2023 06:53:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434733 ดูเหมือนว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จะทำให้คนหันไปพึ่ง ดวง มากกว่าจะทำงานไปวัน ๆ แล้วไม่รู้จะรวยตอนไหน อย่างในประเทศจีนตอนนี้ ยอดขาย ลอตเตอรี่ กำลังเติบโตอย่างมาก ขณะที่ อัตราว่างงาน ของคนอายุน้อยก็พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

ถ้าพอมีความหวังอยู่สักนิดที่จะรวยจาก หวย รวยเพราะ รางวัลที่ 1 ใคร ๆ ก็คงอยากจะเสี่ยงดูจริงไหม แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนไทยที่คิด แต่คนจีนก็ไม่ต่างกัน โดย ยอดขายลอตเตอรี่ในจีนช่วง 4 เดือนแรกของปี มีมูลค่าถึง 175.15 พันล้านหยวน เติบโต 49.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

หากนับยอดขายเฉพาะในเดือนเมษายนมีมูลค่าสูงถึง 50.33 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 62% ซึ่งเป็นการ เติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์กับการขายสลากกินแบ่ง โดยนักเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า สาเหตุที่ยอดขายลอตเตอรี่พุ่งสูงเป็นเพราะ คนหนุ่มสาว มีความต้องการที่จะเสี่ยงโชคมากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นหลังเกิดโรคระบาด โดย อัตราว่างงานของเด็กจบใหม่นั้นสูงถึง 20.4% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การเติบโตของ GDP ของจีนในไตรมาสแรกอยู่ที่ 4.5% เท่านั้น โดยมีพนักงานเอกชนหลายคนระบุว่า เพราะกลัวจะ ตกงาน เลยต้องซื้อลอตเตอรี่

“คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะวัยรุ่นหวังที่จะร่ำรวในชั่วข้ามคืนด้วยการลงทุนเงินเล็กน้อยในการซื้อลอตเตอรี่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เนื่องจากคนหนุ่มสาวจำนวนมากไม่มีอะไรทำเลยเลือกจะเสี่ยงกับลอตเตอรี่” ยี่ เซียนหรง นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิงเต่า กล่าว

ย้อนไปในปี 2492 พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ปกครองจีนสั่งห้ามการพนันหลังจากเข้ายึดอำนาจ แต่ลอตเตอรี่ถือเป็นสินค้าที่ขายโดยรัฐ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่เริ่มจำหน่ายในปี 2523 โดยทั่วไปลอตเตอรี่จะขายในรูปแบบของผ่านร้านที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีตั้งแต่ร้านที่ขายเฉพาะลอตเตอรี่ ไปจนถึงเคาน์เตอร์ในซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ทำการไปรษณีย์ และปั๊มน้ำมัน

Source

]]>
1434733
CEO ของ IBM เผย “บริษัทเตรียมชะลอการจ้างงานในตำแหน่งที่ AI สามารถทดแทนได้” https://positioningmag.com/1429348 Wed, 03 May 2023 02:03:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429348 ผู้บริหารสูงสุดของ IBM ได้กล่าวว่าบริษัทเตรียมชะลอการจ้างงานในตำแหน่งที่ AI และระบบอัตโนมัติ สามารถทดแทนได้ภายในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งงานบางตำแหน่งในสำนักงานที่มีความเสี่ยงมากที่สุด 

Arvind Krishna ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ IBM ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Bloomberg โดยกล่าวว่าบริษัทเตรียมชะลอการจ้างงานในตำแหน่งที่ AI สามารถทดแทนได้ภายในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ คาดว่าตำแหน่งงานที่อาจได้รับผลกระทบในระยะใกล้นี้จะกระทบมากถึง 7,800 ตำแหน่ง

CEO ของ IBM ยังได้กล่าวว่าภายใน 5 ปีหลังจากนี้ พนักงานมากถึง 30% โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงานด้านทรัพยากรบุคคล ไปจนถึงงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกค้านั้นอาจกระทบกับพนักงานสูงถึง 26,000 ตำแหน่ง

ความสามารถแชทบอทระบบ AI ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ยังแสดงความสามารถในการช่วยทำงานในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านการเขียน ไปจนถึงการตรวจสอบการเขียนโปรแกรม ฯลฯ ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงเรื่องตำแหน่งงานของมนุษย์ในอนาคตเช่นกัน

สอดคล้องกับคาดการณ์จาก World Economic Forum (WEF) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากบริษัทชั้นนำกว่า 800 แห่งทั่วโลกพบว่าเมื่อบริษัทต่างๆ ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI อาจทำให้ตำแหน่งงานทั่วโลกสั่นคลอนในอีก 5 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน IBM มีพนักงานจำนวนมากถึง 260,000 ราย ซึ่งมีทั้งตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไปจนถึงพนักงานด้านการขาย CEO ของ IBM ยังได้กล่าวว่าปัจจุบันการหาพนักงานใหม่นั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายลง เมื่อเทียบกับช่วง 1 ปีก่อนหน้านี้ หลังจากบริษัทต่างๆ เริ่มมีการปลดพนักงานออกมาจากแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ

อย่างไรก็ดี CEO ของ IBM ยังได้กล่าวว่า จะมีการย้ายพนักงานระหว่างแผนกเกิดขึ้น นอกจากนี้งานในองค์กรบางอย่าง เช่น การประเมินองค์กรในเรื่องของกำลังคนรวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายด้านทรัพยากรบุคคลนั้นอาจจะไม่ถูก AI แทนที่ในทศวรรษหน้า

]]>
1429348
โควิดปี 2020 ทำให้ชาวอาเซียนกว่า 4.7 ล้านคน ‘ยากจนขั้นรุนเเรง’ ตกงาน-ไม่มีรายได้ https://positioningmag.com/1377981 Thu, 17 Mar 2022 08:25:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1377981 การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่เเล้ว มีส่วนทำให้ประชาชนในอาเซียนเข้าสู่ภาวะยากจนขั้นรุนแรง’  (Extreme Poverty) เพิ่มขึ้นกว่า 4.7 ล้านคน เเละสูญเสียงานถึง 9.3 ล้านตำแหน่ง เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนโรคระบาด

การระบาดใหญ่นำไปสู่การว่างงานเป็นวงกว้าง ความเหลื่อมล้ำที่เลวร้ายลง และความยากจนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิง เเรงงานที่อายุน้อยและผู้สูงอายุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” Masatsugu Asakawa ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กล่าว

หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เนื่องจากยังคงต้องต่อสู้กับโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่า ADB คาดว่าการเติบโต 5.1% ในปี 2022 จากอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้ง แต่ก็เตือนว่าหากเกิดไวรัสกลายพันธุ์รูปแบบใหม่ ก็สามารถลดการเติบโตได้มากถึง 0.8%

ภาพรวมเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเปราะบางเเละหลายครัวเรือน กำลังเผชิญการสูญเสียรายได้เเละต้องเเบกรับหนี้สินจำนวนมาก

โดยประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 มากที่สุดในภูมิภาคนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ ได้แก่ เวียดนาม 6.55 ล้านคน , อินโดนีเซีย 5.91 ล้านคน และมาเลเซีย 3.87 ล้านคน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือแรงงานไร้ทักษะผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและเศรษฐกิจนอกระบรายย่อยตลอดจนธุรกิจที่ไม่ได้ใช้ดิจิทัล

ผลกระทบของการระบาดใหญ่ส่งผลต่อความยากจนและการว่างงาน ทำให้การเข้าถึงโอกาสของคนยากจนยิ่งแย่ลงไปอีก” ADB ระบุ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ความเหลื่อมล้ำอย่างรุนเเรงจะส่งต่อไปยังรุ่นต่อรุ่น

ภูมิภาคนี้ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างมากในการเติบโต อย่างเช่น ประเทศไทย โดยคาดว่าจะค่อยๆ เห็นการฟื้นตัวขึ้น เมื่อมีการเปิดพรมแดนเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น เป็นโอกาสของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรวมจะเพิ่มขึ้น 58% ในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2021 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับปี 2019 ถึง 64%

ในปัจจุบัน สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงการขนส่ง ที่พัก นันทนาการและบริการส่วนบุคคลอื่นๆ ยังคงอ่อนแอ เพราะการเดินทางยังคงถูกจำกัดและมีการบังคับเว้นระยะห่างทางสังคม

โดย ADB เรียกร้องให้รัฐบาลในอาเซียนจัดสรรเงินลงทุนเพิ่มเติมในระบบการดูแลสุขภาพ เพื่อปรับปรุงการเฝ้าระวังโรค และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ในอนาคต การเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน อาจเพิ่มขึ้นอีก 1.5% หากการใช้จ่ายด้านสุขภาพในภูมิภาคนี้มีมูลค่าเเตะ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ จากปี 2021 ซึ่งอยู่ที่ 3%

 

ที่มา : CNBC , ADB 

]]>
1377981
อัปเดต : คนไทย ‘ว่างงาน’ ลดลงเหลือ 6.3 แสนคน เด็กรุ่นใหม่ 15-24 ปี ตกงานยาวมากสุด https://positioningmag.com/1373142 Mon, 07 Feb 2022 14:18:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373142 อัปเดตอัตราการ ‘ว่างงานของคนไทย มีเเนวโน้มลดลงเหลือ 6.3 แสนคน เเต่ต้องระวังผู้เสมือนว่างงานที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้ทำงานน้อยกว่า 10 ชั่วโมงเเละ1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ยังมีมากถึง 5.3 แสนคน ขณะที่คนรุ่นใหม่ 15-24 ปี เป็นกลุ่มที่ตกงานระยะยาวมากที่สุด

สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 4 ปี 2564 ระบุว่า โครงสร้างตลาดแรงงานไทย เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงโควิด-19 พร้อมๆ กับการที่ผู้ประกอบการได้ลดการจ้างแรงงานลงและเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีมากขึ้น 

แรงงานถูกเลิกจ้างหรือถูกพักงาน โดยไม่มีรายได้หรือลดรายได้ จากการลดจำนวนชั่วโมงการทำงาน รวมถึงแรงงานที่จบการศึกษาใหม่ มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น

เเนวโน้มว่างงานลดลง 

จากผลสำรวจพบว่า โครงสร้างกำลังแรงงานไตรมาส 4 ปี 2564 ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 57.2 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 38.6 ล้านคน และในจำนวน 38.6 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 37.9 ล้านคน (ไตรมาส 3 จำนวน 37.7 ล้านคน)

  • ผู้ไม่มีงานทำ 6.3 แสนคน (ไตรมาส 3 จำนวน 8.7 แสนคนและเป็นผู้รอฤดูกาลประมาณหนึ่งแสนคน
  • ผู้ที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวน 18.5 ล้านคน โดยอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานไตรมาส 4 ปี 2564 คือ 67.6%

ทั้งนี้ ผู้ชายมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานมากกว่าผู้หญิง (76.0% เเละ 59.7%) และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ อัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานอายุ 55-64 ปี คือ 68.8% ในขณะที่อายุ 65 ปีขึ้นไป คือ 27.1%

สถานการณ์แรงงานไตรมาส 4 ปี 2564 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 ภายหลังจากมาตรการด้านโควิดของรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายขึ้น แรงงานมีงานทำมากขึ้น และมีการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับเข้ามาสู่ภาคการบริการและการค้า และภาคการผลิต

อัตราการมีงานทำอยู่ที่ 66.3% โดยส่วนใหญ่ทำงานในภาคการบริการและการค้า (45.1%) รองลงมาคือ ภาคเกษตรกรรม และภาคการผลิต ตามลำดับ (33.2% และ 21.6%)

อาชีพกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตรป่าไม้ และประมงเป็นกลุ่มอาชีพที่มีอัตราการมีงานทำมากที่สุด รองลงมา คือพนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า

Photo : Shutterstock

5.3 แสนคน ยังมีชั่วโมงการทำงานที่น้อยมาก 

เมื่อวิเคราะห์เชิงลึก พบว่า อาชีพกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง มีอัตราการมีงานทำสูงที่สุด

ประเด็นที่น่าสนใจคือ การทำงานที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานในรอบสัปดาห์ที่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง (49.3%) และน้อยกว่า 1 ชั่วโมง (39.8%) คิดเป็นจำนวนแรงงานกว่า 5.3 แสนคนมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับอาชีพกลุ่มอื่น

สำหรับกลุ่มอายุที่มีงานทำสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-54 ปี 35-44 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ

โดยอัตราการมีงานทำอยู่ระหว่าง 21 – 24% ในขณะที่การมีงานทำของเยาวชนหรือผู้ที่มีอายุ 15-24 ปี อัตราการมีงานทำประมาณ 9%

ผู้มีงานทำในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ 35-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 50 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ของผู้มีงานทำน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พบว่า มีจำนวน 6.95 ล้านคน เป็นกลุ่มไม่ประสงค์ทำงานเพิ่ม 6.51 ล้านคน และประสงค์ทำงานเพิ่ม 0.44 ล้านคน สำหรับผู้ที่มีจำนวนชั่วโมงทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และประสงค์ที่จะทำงานเพิ่มนั้น เรียกว่า ผู้ทำงานต่ำระดับด้านเวลา คิดเป็น 1.2 % ส่วนผู้ที่ทำงานน้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (โอกาสเป็นผู้ว่างงานแฝง) คิดเป็น 1.9%

คนรุ่นใหม่ ตกงานยาว 1 ปีขึ้นไป 

สถานการณ์การว่างงานมีแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้น ผลสำรวจพบว่า ผู้ว่างงานลดลงจาก 8.7 แสนคน ในไตรมาส 3 เหลือ 6.3 แสนคนในไตรมาส 4 เป็นผลต่อเนื่องมาจากมาตรการภาครัฐที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆรวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศในพื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญๆ

โดยระยะการว่างงานของผู้ว่างงาน ประมาณ 62% เป็นการว่างงานระยะกลาง และเป็นการว่างงานของเยาวชนมากที่สุด ในจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมด แบ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนจำนวน 3.8 แสนคน และไม่เคยทำงานมาก่อน 2.5 แสนคน ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน มีแนวโน้มว่าจะเป็นนักศึกษาจบใหม่

จากสถิติการศึกษาในแต่ละปีมีผู้สำเร็จการศึกษาในทุกระดับประมาณสามแสนคน และเมื่อสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมในการหางาน หรือสมัครงานของ ผู้ว่างงานทั้งที่เคยทำงานก่อน และไม่เคยทำงานมาก่อน พบว่าในช่วง 8-30 วันที่ผ่านมา มีการหางานและสมัครงาน ประมาณร้อยละ 50 (ไม่เคยทำงานมาก่อน 54.5% เคยทำงานมาก่อน 46.9%)

ปัญหาการว่างงานระยะยาว หรือ การว่างงานที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่สะท้อนระดับปัญหาการว่างงานของประชากร

โดยในไตรมาส 4 อัตราการว่างงานระยะยาวในสัดส่วนที่สูง คือ 0.4 % ในขณะที่ไตรมาส 3 อยู่ที่ 0.2 % นอกจากนี้ ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่การว่างงานระยะยาวเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 15-24 ปี รองลงมา คือ ผู้ที่มีอายุ 25-34 ปี

Photo : Shutterstock

จับตา ‘ผู้เสมือนว่างงาน’ เพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกัน ผู้เสมือนว่างงานก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มผู้ที่มีงานทำภาคเกษตรกรรม 0-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และกลุ่มผู้ที่มีงานทำนอกภาคการเกษตรกรรม 0-24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เรียกว่าผู้เสมือนว่างงาน

จากผลสำรวจในไตรมาส 4 ปี 2564 มีจำนวน 2.6 ล้านคน เพิ่มจากไตรมาส 3 ปี 2564 2.6 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอาชีพในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ว่างงานในอนาคตได้

 

]]>
1373142
สิงคโปร์ เริ่มใช้มาตรการคุมเข้ม เเรงงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด เสี่ยง ‘ตกงาน’ https://positioningmag.com/1370513 Sun, 16 Jan 2022 10:26:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370513 เเรงงานในสิงคโปร์ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด กำลังจะตกอยู่บนความเสี่ยงที่จะตกงาน หลังรัฐบาลเริ่มใช้มาตรการคุมเข้มที่ประกาศใช้ตั้งเเต่วันที่ 15 .. เป็นต้นไป

Bloomberg รายงานว่า ช่วงเวลาผ่อนปรนที่รัฐเคยอนุญาตให้ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือผู้ที่ตรวจพบเชื้อเป็นลบสามารถเข้าไปในที่ทำงานได้จะถูกยกเลิก ตั้งเเต่วันที่ 15 ..64

โดยนายจ้างมีสิทธิ์ที่จะโยกย้ายพนักงานที่ไม่ฉีดวัคซีนไปทำงานที่ทำได้จากบ้าน หรือให้พักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง  หรือทางเลือกสุดท้ายคือให้ออกจากงาน หากพวกเขาไม่สามารถที่จะทำงานโดยไม่เข้าออฟฟิศได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนด้วยเหตุผลทางการแพทย์ จะยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ในสำนักงานได้ เเต่นายจ้างควรพิจารณาอนุญาตให้พวกเขาทำงานจากที่บ้านหากสามารถทำได้ และไม่ควรมีผลต่อการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาด้วย

สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในโลกที่ 87% ของประชากรทั้งหมด และได้ใช้แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

โดยมีการห้ามไม่ให้เข้าใช้บริการในร้านอาหาร หรือเข้าไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงการแพร่ระบาด ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ เเละใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด’ เปิดให้ผู้คนใช้ชีวิตตามเป็นปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ ออกกฎเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีน หลังยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาพุ่งสูง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

ด้านเอกชนสหรัฐฯ ก็มีความเคลื่อนไหวที่เข้มงวดมากขึ้น อย่าง Citigroup สถาบันการเงินรายใหญ่ของโลก ที่ประกาศใช้มาตรการเข้มงวด ‘no-jab , no job’ เลิกจ้างพนักงานที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด ตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้พนักงานทุกคนที่ทำงานภายใต้โครงการที่มีการทำสัญญากับรัฐ จะต้องฉีดวัคซีนโควิดให้ครบโดส ท่ามกลางความเสี่ยงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

 

ที่มา : Bloomberg

]]>
1370513
ผลสำรวจชี้ โควิดทำ ‘วัยรุ่นอาเซียน’ ยิ่งเครียดเรื่องหางาน ‘ธุรกิจส่วนตัว’ อาชีพในฝันอันดับ 1 https://positioningmag.com/1368035 Tue, 21 Dec 2021 12:42:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1368035 หากอ้างอิงภาพรวมตลาดการหางานในไทยจาก จ๊อบส์ ดีบี พบว่าการระบาดระลอก 4 ของ COVID-19 ในไทยทำให้ประกาศงานหายไปเกือบ 50% อัตราการแข่งขันของผู้หางานอยู่ที่ 80 ใบสมัครต่อ 1 ประกาศงาน ขณะที่เด็กจบใหม่ยิ่งลำบาก เนื่องจากบริษัทต้องการเลือกจ้างคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเด็กจบใหม่ และจากการสำรวจของ DHL พบว่าไม่ใช่แค่ไทย แต่วัยรุ่นทั้ง อาเซียน ต่างก็มีความกังวลในการหางาน

90% กังวลเรื่องความสามารถในการหางาน

ดีเอชแอล ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ ได้เผยแพร่รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการหางานของเยาวชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยบริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์เป็นเวลา 3 สัปดาห์ และได้รวบรวมคำตอบจากเยาวชนอายุ 15 ปีขึ้นไปกว่า 950 คนจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา และเวียดนาม โดยพบว่า

  • กว่า 90% รู้สึก วิตกกังวล หรือ วิตกกังวลอย่างมาก เกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการหางาน
  • เกือบ 95% ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อกระบวนการหางาน

อย่างไรก็ตาม เยาวชนเหล่านี้ยังคงมีความรู้สึกเชื่อมั่น และมองโลกในแง่ดี โดย 88% เชื่อว่าตนเองมีความพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน และกว่า 70% คาดว่าจะสามารถหางานได้ในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือนหลังจากที่จบการศึกษา

“คนรุ่นใหม่ในตลาดแรงงานอาจรู้สึกวิตกกังวลกับความไม่แน่นอนของอาชีพการงาน ราว 66% ของคนไทยเผยว่าภาวะการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสาเหตุของความเครียด ขณะที่อีก 62% มองว่าเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยติดต่อกันเป็นเวลานาน” เฮอร์เบิต วงษ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) เผยว่ามีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 870,000 คนในไตรมาสที่สามของปี 2564 และผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงสุด (3.63%) ตามด้วยผู้จบการศึกษาระดับปวส. (3.16%)

สาธารณสุขและการแพทย์ อาชีพมั่นคงสูง

เยาวชนกว่า 360 คนจากในอาเซียน รู้สึกว่าการทำงานในสายด้านสาธารณสุขและการแพทย์ เช่น แพทย์ หรือพยาบาล เป็นอาชีพที่มั่นคงที่สุดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าบุคลากรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก

แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อถามว่างานแรกที่อยากทำมากที่สุดคืออะไร มากกว่า 20% ตอบว่าอยากทำธุรกิจส่วนตัว เปรียบเทียบกับ 14% ที่เลือกสายงานด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ซึ่งที่จริงแล้ว ตำแหน่งงานในภาคการศึกษา และธุรกิจโรงแรม/ท่องเที่ยว ครองอันดับที่สองและสาม ส่วนการแพทย์อยู่ในอันดับที่สี่

ความท้าทายเป็นปัจจัยสำคัญสุดในการเลือกงาน

สำหรับปัจจัยที่วัยรุ่นมองว่าเป็น สิ่งสำคัญที่สุดในการพิจารณาตกลงการเข้าทำงาน คือ โอกาสในการเรียนรู้ และความท้าทาย ตามด้วย ความมั่นคงของงาน โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 20% ระบุว่าปัจจัยนี้มีความสำคัญอย่างมาก และที่ไม่น่าแปลกใจคือ ราว 38% ของเยาวชนที่ตอบแบบสอบถามมองว่าวิธีการแบบเดิม ๆ เช่น การฝึกงาน เป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงาน รวมถึงคำแนะนำจากผู้สอนงานและอาจารย์ก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญ

และถึงแม้ว่าแหล่งรวมตำแหน่งงานทางออนไลน์จะเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน แต่ก็ถูกมองว่าเป็นช่องทางที่มีประโยชน์น้อยที่สุด เพราะไม่มีการสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเหมือนกับการเป็นพนักงานฝึกหัด หรือการที่มีคนช่วยแนะนำในการเข้าทำงาน ทั้งนี้ นอกเหนือจากทักษะด้านเทคนิคและความถนัดเฉพาะทางแล้ว 45% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า ทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลก็มีความสำคัญเช่นกัน ขณะที่ 30% คิดว่าทักษะด้านภาษาจะช่วยในการหางานได้ง่ายขึ้น

]]>
1368035
อัปเดต : คนไทยว่างงาน 8.7 แสนคน หนี้ครัวเรือนพุ่ง 14.27 ล้านล้าน ระวังหนี้เสียบัตรเครดิต https://positioningmag.com/1363146 Mon, 22 Nov 2021 07:38:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363146
อัปเดตตัวเลขผู้ว่างงาน Q3/64 มีมากกว่า 8.7 แสนคน สูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด-19 เด็กจบใหม่หางานยาก หนี้ครัวเรือนไทยยังพุ่งต่อเนื่อง เเม้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP จะปรับลดลงเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ต้องเฝ้าระวังหนี้เสียจากบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้น

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/64 พบว่า การว่างงาน เพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด โดยมีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 2.25%

ผู้ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานสูงสุด 3.63% รองลงมาเป็น ปวส. 3.16% ซึ่ง ผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบในสาขาทั่วไป (บริหารธุรกิจ การตลาด) จึงมีแนวโน้มประสบปัญหาการว่างงานยาวนานขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างจำกัด และคนกลุ่มนี้ที่มีทักษะไม่ต่างกัน จึงหางานได้ยากขึ้น

เด็กจบใหม่ หางานยาก

โดยแรงงานที่มีอายุ 15-19 ปี มีอัตราการว่างงานสูงสุด 9.74% รองลงมาเป็นอายุ 20-24 ปี ที่ 8.35% สะท้อนว่าโควิดส่งผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการที่เคยชะลอการเลิกจ้างบางส่วนไม่สามารถรับภาระต่อได้และจำเป็นต้องเลิกจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น

“เด็กจบใหม่ยังไม่มีตำแหน่งรองรับ เนื่องจากผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบและรอดูสถานการณ์ จึงชะลอการขยายตำแหน่งงาน” 

ทั้งนี้ การว่างงานของแรงงานในระบบ มีสัดส่วนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อผู้ประกันตนอยู่ที่ 2.47% ลดลงจากช่วงไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อน เนื่องจากช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและผู้ประกันตนในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประกอบกับสถานประกอบการมีการหยุดกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัยแทนการเลิกจ้าง ซึ่งมีจำนวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย 2.1 แสนคน ในเดือนกันยายน 2564 เพิ่มขึ้นจาก 0.9 แสนคน ณ สิ้นไตรมาสก่อน

ภาพรวมการจ้างงาน ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น 37.7 ล้านคน ลดลง 0.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังคงขยายตัวได้ ซึ่งมีการจ้างงาน 12.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.0% เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มฤดูการเพาะปลูกข้าว

การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมลดลง 1.3% โดยสาขาที่มีการจ้างงานลดลงมาก ได้แก่ สาขาก่อสร้าง สาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ที่ลดลงถึง 7.3% และ 9.3% ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลของมาตรการควบคุมการเปิดปิดสถานประกอบการ ทั้งการปิดแคมป์คนงาน และจำกัดการขายอาหาร

สำหรับสาขาที่ขยายตัวได้ ประกอบด้วย สาขาการผลิต ขายส่ง/ขายปลีก และสาขาขนส่ง/เก็บสินค้า ขยายตัวได้ 2.1% 0.2 และ 4.6% ตามลำดับ สาขาการผลิตที่มีการจ้างงานขยายตัวได้ดี อาทิ การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การผลิตรถยนต์ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์

สำหรับ ชั่วโมงการทำงานหลักโดยเฉลี่ยของภาคเอกชนอยู่ที่ 43.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีผู้ว่างงานชั่วคราวสูงถึงเกือบ 9 แสนคน (ผู้มีงานทำที่ไม่ได้ทำงานในสัปดาห์แห่งการสำรวจ หรือทำงาน 0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อาทิ ลาหยุด ลาป่วย ถูกพักงาน หรือสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราว) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนเพียง 4.7 แสนคน เท่านั้น

Photo : Shutterstock

สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่

1.การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศยังต้องมีมาตรการเพิ่มเติม คือ การควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดที่ต้องเข้มงวดขึ้น

“การหามาตรการช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวขนาดเล็ก การอำนวยความสะดวกในการจ้างงานให้กับภาคท่องเที่ยวซึ่งอาจมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการดำเนินมาตรการอื่นควบคู่เพื่อฟื้นฟู่เศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยเฉพาะจากโครงการ พ.ร.ก.กู้เงินฯ ฉบับใหม่ ซึ่งต้องเน้นให้เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น”

2.ผลกระทบของอุทกภัยต่อแรงงานภาคเกษตรและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยรัฐบาลได้มีมาตรการเยียวยาเบื้องต้นจากความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ทั้งนี้ อาจต้องมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมบ้านเรือนและเป็นทุนในการทำการเกษตรอีกทางหนึ่ง

3.ภาระค่าครองชีพที่อาจปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ว่างงานชั่วคราวที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 7.8 แสนคน ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีปัญหาในการดำรงชีพ

4.การจัดการปัญหาการสูญเสียทักษะจากการว่างงานเป็นเวลานานและการยกระดับทักษะให้กับแรงงาน โดยในระยะถัดไป ภาครัฐอาจส่งเสริมให้แรงงานโดยเฉพาะกลุ่มผู้ว่างงานเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะให้เพิ่มขึ้น

5. การส่งเสริมให้แรงงานที่ประกอบอาชีพอิสระที่ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ของสำนักงานประกันสังคม เพื่อรับการช่วยเหลือเยียวยาให้เป็นผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง

หนี้ครัวเรือนพุ่งไม่หยุด ระวังหนี้บัตรเครดิต

ด้าน ‘หนี้สินครัวเรือน’ ไตรมาส 2 ปี 2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 จากร้อยละ 4.7 ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89.3 ต่อ GDP ลดลงจากร้อยละ 90.6 ในไตรมาสที่ผ่านมา จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วกว่าหนี้สินครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ด้านคุณภาพสินเชื่อยังต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

แม้ว่าสัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.92 ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน จากร้อยละ 3.04 ในไตรมาสก่อนมาเป็นร้อยละ 3.51 รวมถึงลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสียจากบัตรเครดิต 1 ใน 3 เป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี

หนี้สินครัวเรือน ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจาก

  • ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ในระดับปกติ แม้ว่าทั้งปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว แต่เป็นการขยายตัวจากฐานต่ำ สะท้อนว่ารายได้ครัวเรือนยังคงไม่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน
  • ผลกระทบของอุทกภัย ทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้เพื่อนำมาซ่อมแซมบ้านเรือนและเครื่องใช้ที่ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค

ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป ได้แก่

1. หนี้เสียโดยเฉพาะบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหากลูกหนี้ผิดนัดชำระจะต้องเสียดอกเบี้ยปรับในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหนี้ประเภทอื่น

2. การส่งเสริมให้ลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ จากปัจจุบันที่หนี้เสียของครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการไม่รับรู้ถึงมาตรการช่วยเหลือ จึงควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้

3. การก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในรอบครึ่งปี 2564 พบว่า มีมูลค่าหนี้นอกระบบรวม 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่าจากปี 2562

 

อ่านรายงานฉบับเต็ม : ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2564

]]>
1363146