ท่องเที่ยวไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 03 Dec 2025 12:03:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Agoda’ กางอินไซต์คนไทยพบ 66% วางแผน ‘เที่ยวในประเทศ’ มากขึ้น โดยเฉพาะ ‘เมืองรอง’ เพราะมีราคาเข้าถึงได้ https://positioningmag.com/1550126 Wed, 03 Dec 2025 09:46:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550126
ท่องเที่ยวไทย ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP โดยข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 16 พ.ย. 68 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย แล้วทั้งสิ้น 28,277,276 คน ลดลง 7.18 % สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,308,132 ล้านบาท

Agoda ยังเชื่อในศักยภาพท่องเที่ยวไทย

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย จะลดลงเป็นครั้งแรกนับจากผ่านช่วงวิกฤต COVID-19 แต่มองว่า ไทยยังมีโอกาสที่ดี และมีจุดได้เปรียบหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของ อาหาร อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจากข่าวด้านลบต่าง ๆ นั้นส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

“ไม่ว่าจะเป็นข่าวสแกมเมอร์ที่ลักพาตัวดาราจีน, ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา, ภัยพิบัติ รวมถึงข้อจำกัด เช่น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข่าวพวกนี้ที่ออกไปมันมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจริง ๆ และเพราะการท่องเที่ยวมันคือ ธุรกิจ ดังนั้น มันมีการแข่งขัน อย่างเช่นเวียดนามที่ตามมาติด ๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไทยยังได้เปรียบ เพราะไทยเป็นประเทศใหญ่ และนักท่องเที่ยวยังต้องการมาไทย ยังเป็นปลายทางในใจ” ออมรี กล่าว

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า

ค่าใช้จ่าย เหตุผลใหญ่สุดในการตัดสินใจ 

ในส่วนของการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ออมรี มองว่า สามารถทำได้หลายทาง โดยไทยเองก็ถือว่าทำได้ดี เช่น การฟรีวีซ่าประเทศอินเดีย หรือการดึงอีเวนต์ใหญ่ ๆ อย่าง Tomorrowland เทศกาลดนตรี EDM ระดับโลกมาจัดในไทย รวมถึงการทำแคมเปญ Trusted Thailand ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทางภาครัฐมีการลงทุน และมีการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา

“เราเชื่อว่าไทยมีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยวจริง ๆ แต่หลายอย่างมันไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่อย่างการจัดงานอีเวนต์ใหญ่ ๆ แม้มันจะไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยตรง แต่มันก็เป็นตัวกระตุ้นได้ ”

อย่างไรก็ตาม ออมรี ย้ำว่า สุดท้ายแล้ว ปัจจัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจให้คนเดินทางมาได้จริง ๆ ก็คือ ค่าใช้จ่าย อย่างคนชั้นกลางมีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้น เขาก็ใช้จ่ายได้มากขึ้น อดีตอาจจะเดินทางในประเทศ แต่ตอนนี้เขาสามารถเดินทางมาต่างประเทศได้ ถ้ามัน ถูกกว่าเที่ยวในประเทศ ดังนั้น เมื่อตลาดกว้างขึ้น นักท่องเที่ยวก็มีโอกาสเลือกมากขึ้น

คนไทยสนใจเที่ยวในประเทศมากขึ้น

สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวในปีนี้และปีหน้า (2026) อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่นักเดินทางชาวไทย โดยมีถึงสองในสาม หรือ 66% ที่วางแผนเดินทางภายในประเทศมากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 30% ในปีที่แล้ว

จุดหมายปลายทางที่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก หรือ เมืองรอง เริ่มดึงดูดความสนใจของนักเดินทางชาวไทยมากขึ้น เหตุผลที่นักเดินทางชาวไทยเลือกจุดหมายปลายทางเหล่านี้แทนจุดหมายยอดนิยม ได้แก่ ราคาเข้าถึงได้และมีโปรโมชั่นจูงใจ (40%), สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย มีรีวิวให้ศึกษา และมีบริการสนับสนุนการเดินทางต่าง ๆ (41%) และ 34% ระบุว่าได้ใกล้ชิดธรรมชาติและมีกิจกรรมกลางแจ้ง

นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียที่เลือก การพักผ่อน เป็นแรงจูงใจหลักในการท่องเที่ยว    โดยมีถึง 73% ที่ระบุว่าการพักผ่อนคือเหตุผลสำคัญที่สุด รองลงมาคือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (30%) และประสบการณ์ด้านอาหาร (20%)

เน้นเที่ยวสั้น ๆ ตามวันหยุดราชการ

นักเดินทางชาวไทยวางแผนเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น ๆ เพียง 1 – 3 วันต่อทริป ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากวันหยุดราชการประจำปีหลายวัน โดย 50% ระบุว่าจะเดินทางกับครอบครัว และ 30% เลือกเดินทางกับคู่สมรสหรือแฟน

นักเดินทางชาวไทยชื่นชอบข้อเสนอคุ้มค่าสำหรับการจองที่พัก โดย 44% วางแผนใช้จ่ายไม่เกิน 1,600 บาทต่อคืน อีก 40% วางแผนใช้งบระหว่าง 1,601–3,200 บาทต่อคืน และมีเพียง 3% ที่ตั้งงบไว้มากกว่า 3,200 บาทต่อคืน

ถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านวีซ่า 69% ของนักเดินทางชาวไทยจะเดินทางบ่อยขึ้น และอีก 57% จะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ มากขึ้น

นักเดินทางชาวไทยกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ AI โดย 69% ระบุว่ามีแนวโน้มจะใช้ AI ในการวางแผนทริปครั้งต่อไป 57% เชื่อถือข้อมูลที่สร้างโดย AI ขณะที่มีเพียง 12% ที่รู้สึกไม่ไว้วางใจ AI และอีก 31% มีท่าทีเป็นกลาง

5 อันดับจุดหมายปลายท่องเที่ยวในประเทศ

  1. กรุงเทพฯ
  2. พัทยา
  3. เชียงใหม่
  4. ภูเก็ต
  5. ชลบุรี

3 อันดับจุดหมายปลายทางในประเทศที่มาแรงที่สุดได้แก่ นครศรีธรรมราช (+61%), หาดใหญ่ (+45%), ชลบุรี (+45%)

5 ปลายทางต่างประเทศยอดนิยมของคนไทย

  1. ญี่ปุ่น
  2. เวียดนาม
  3. จีน
  4. เกาหลีใต้
  5. มาเลเซีย

3 อันดับจุดหมายปลายทางมาแรง ได้แก่ มาเก๊า (+107%), อินโดนีเซีย (+87%), จีน (+84%)

5 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด

  1. มาเลเซีย
  2. จีน
  3. เกาหลีใต้
  4. อินเดีย
  5. ญี่ปุ่น

3 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยที่มาแรงที่สุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (+78%), อิสราเอล (+76%), อินโดนีเซีย (+43%)

]]>
1550126
คุยกับ CEO วีรันดา ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ https://positioningmag.com/1548892 Wed, 26 Nov 2025 13:20:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548892 คุยกับ ‘ภวัฒภ์ องค์วาสิฏฐ์’ CEO บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ถึงมุมมอง ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ และอนาคตธุรกิจท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไรในวันนี้ที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมถึงวิธีคิดการพาองค์กรเดินหน้าต่อบนเส้นทางที่มีหลายปัจจัยยังไม่แน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ถือเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แต่ตอนนี้กำลังอ่อนกำลังลง จากความท้าทายหลายเรื่องทั้งสภาพเศรษฐกิจโลก ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องปลอดภัย จากข่าวการลักพาตัวของดาราจีน และเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยลดลงชัดเจน

 

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยที่หายไปตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา จนปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นคืนมาอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อรวมกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้มีกระแสพูดถึงในประเด็น ประเทศไทยกำลังจะเสียแชมป์ด้านการท่องเที่ยวให้กับ ‘เวียดนาม’

 

ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ถูกสั่นคลอน

CEO วีรันดา ยืนยันว่า เขายังเชื่อมั่นใน ‘ศักยภาพ’ ของธุรกิจนี้ในบ้านเรา พร้อมยืนยันไทยยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ และมี ‘จุดเด่น’ ที่หลากหลายสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลงรักและกลับมาเที่ยวซ้ำ ขณะที่บางประเทศไปครั้งเดียว ไม่ไปซ้ำอีก

 

“แต่ละประเทศมีคาแรกเตอร์ต่างกัน ไทยมี Soft power แข็งแรงและหลากหลาย ทั้งอาหาร, วัฒนธรรม, สิ่งแวดล้อม, เสน่ห์ของคนไทย, Hospitality และช้อปปิ้งมอลล์ ผมไม่คิดว่า ไทยด้อยกว่าที่อื่นตรงไหน ส่วนการที่หลายคนมองไทยจะแพ้เวียดนามเรื่องท่องเที่ยว ผมว่าเป็นการมองที่ไกลไป ต้องมองในเชิงลึก เพราะเวียดนามใกล้กับจีน ทำให้ข้ามพรมแดนได้ง่าย ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น เหมือนกับคนมาเลเซียมาเที่ยวไทยเพิ่ม ก็มีผลมาจากคนข้ามดินแดน”

 

ในฐานะนักลงทุน เขาจึงมองธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยยังมีโอกาสอยู่ แค่ใครจะมองเห็นและจับมาเป็นจุดแข็ง เพื่อชิงโอกาสทางธุรกิจได้

 

‘Positioning’ และ ‘จุดแข็ง’ ต้องชัด

 

สำหรับวีรันดาเองวาง Positioning ชัดเจน นั่นคือ การเป็น Lifestyle Destination เน้นเรื่องดีไซน์ และ ‘Instagrammable’ การออกแบบและตกแต่งให้สามารถถ่ายลงอินสตาแกรมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบประสบการณ์ คุณค่า ในราคาเข้าถึงได้

 

นั่นจึงทำให้วีรันดาเติบโตได้ เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วง 9 เดือน ปี 2568 ที่มีรายได้รวม 1,103 ล้านบาท เติบโต 14% กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว ทาง CEO วีรันดาเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากรัฐบาลช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2568 จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการ ‘เที่ยวดีมีคืน 2568’ ที่เริ่มตั้งแต่ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 2568 ให้นำค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักในโรงแรมและค่าอาหารมาลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท

 

นอกจากนี้ การที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดึง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’  มาทำหน้าที่ Amazing Thailand Ambassador จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยได้

 

และแม้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว ก็มีตลาดยุโรป อเมริกา และอินเดียที่โตต่อเนื่องโดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดแห่งความหวังในอนาคตของไทย เนื่องจากจำนวนประชากรกลุ่มระดับกลางมีการขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น บวกกับด้วยอินเดียใกล้ไทย เดินทางง่าย ถ้ามีบินไฟลต์ตรงยิ่งจะให้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้นอีก

 

“ปีนี้เราตั้งเป้าโต 20% อาจไม่ถึงเป้าเดิมที่วางไว้ 25% แต่ทั้งหมดผมมองเป็นภาพบวกนะ หลังจากนี้จะดีขึ้น”

 

AI อีกตัวแปรสำคัญของธุรกิจ

 

อีกส่วนที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ของธุรกิจโรงแรม หนีไม่พ้นเรื่อง AI จากเมื่อก่อนการเข้าถึงลูกค้าจะผ่าน Google search เป็นหลัก แต่ตอนนี้ AI และโซเชียล มีเดียอื่น อาทิ TikTok และ IG ฯลฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แถมมีให้เลือกใช้หลายตัว 

 

ดังนั้น จุดที่ต้องทำ คือ ต้องให้ชื่อและเรตติ้งของโรงแรมติดอันดับเมื่อลูกค้าเสิร์ชหาผ่าน AI หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวีรันดาศึกษาและให้ความสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว

 

“เรื่อง AI และโซเชียลอื่นสำคัญ เช่นเดียวกับการใช้อินฟลูฯ หลัง ๆ เองเราใช้อินฟลูฯ ที่เป็นต่างชาติเยอะขึ้น เพราะนอกจากคนไทยเห็น คนประเทศเขาก็เห็น และเราทำแล้วเวิร์คด้วย เพราะเน้นโรงแรมที่เป็นดีไซน์ เน้นรูปถ่าย สถานที่สวยคนชอบแชร์อยู่แล้ว

 

“ส่วนสงครามราคา เราเห็นมาตลอด แต่ผู้ประกอบการจะเลือกใช้ให้เหมาะกับตลาดมากขึ้น เช่น ภูเก็ต ไม่มีใครลงราคาให้นะ และเดี๋ยวนี้มี AI มาตั้งราคาให้ด้วย คือ จะเช็กราคาคู่แข่งในตลาดขึ้นราคาแล้ว ถ้าห้องเหลือน้อย AI จะเปลี่ยนราคาขึ้นให้เลย อันนี้เป็นเรื่องน่าจับตามอง”

 

‘มุ่งมั่นอย่ายอมแพ้’ คาถาฝ่าความท้าทาย

 

มาถึงช่วงท้ายของการพูดคุย เราถามภวัฒภ์ว่า มี ‘หลักคิด’ อะไรเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทาย ซึ่งเขาตอบว่า Perseverance ต้องพากเพียร มุมานะ และอย่ายอมแพ้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ในช่วงเวลาไหน ปัญหามีเป็นปกติอยู่แล้ว และเขาเชื่อว่า ‘ทุกปัญหามีทางออก’ เพียงต้องพยายามและหาทางไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่จะทำให้ไปต่อไป อย่างช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งกระทบธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างหนัก

 

ช่วงนั้นทางวีรันดาหันมาโฟกัสตัวเอง ทำให้องค์กร Lean มีไขมันน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายและโอกาสมา ทำให้วีรันดาสามารถวิ่งได้ดีและเร็วกว่าคนอื่น

 

ส่วนผู้นำที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? 

 

ทาง CEO วีรันดา ไม่ได้จำกัดความไว้ แต่มองว่าผู้นำที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้วีรันดาผ่านวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง 

 

“แต่ละวิกฤตสอนไม่เหมือนกัน แต่บทเรียนที่ได้เรียนรู้หลัก ๆ คือ มาแบบไหนก็ต้องอยู่ได้ ต้องปรับตัวให้เร็ว และทันสถานการณ์ คนต้องรู้จักยืดหยุ่น ทำให้ได้หลายหน้าที่ อีกอย่างที่ผมพยายามถ่ายทอดให้ทีม คือ ความคิดแบบเจ้าของ หรือ Entrepreneur เพราะเมื่อมีจะทำให้เราทุ่มเท มองรอบด้าน และเป็นนักสู้มากขึ้น

 

“อย่างช่วงโควิดผมลงมาดูรายละเอียดทุกอย่างอย่างใกล้ชิด ทั้งค่าใช้จ่าย การจัดการหารายได้ และกลยุทธ์การตลาดหนึ่งในการปรับตัวที่สำคัญคือ เราต้องเน้นลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ทำ แพ็กเกจโปรโมชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย ทำไลฟ์ขายวอเชอร์โรงแรมเป็นเจ้าแรกๆ และปรับรูปแบบการทำงานของทีมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงคำชี้แนะอย่างใกล้ชิดกับทีมงานเพื่อความรวดเร็วในการทำงานและผ่านช่วงที่ท้าทายนี้ไปได้”

]]>
1548892
‘ท่องเที่ยว’ เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักกำลังดับ? ต่างชาติเที่ยวไทยติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี https://positioningmag.com/1523093 Sat, 24 May 2025 08:02:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523093 เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหน? เมื่อ ‘ธุรกิจท่องเที่ยว’ เครื่องยนต์ตัวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดูจะอ่อนกำลังลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน  2.8% ขณะที่รายได้ลดลง 3% เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี 

 

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 11 พฤษภาคม 2568 จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยมีจำนวน 12.9 ล้านคน ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ลดลง 2% หรือมีมูลค่าประมาณ 613,168 ล้านบาท 

 

สัญญาณการลดลงดังกล่าว เห็นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากหลายปัจจัยลบ ได้แก่

-ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดาราจีน

-ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทำให้ทางการมาเลเซียออกประกาศเตือนชาวมาเลเซียให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ภาคใต้ของไทย

-แผ่นดินไหวในเมียนมาและไทย ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มเลื่อนการเดินทางมาไทย

-สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ชาติที่มีแผนเดินทางมาเที่ยวไทย

-ปัจจัยด้านเศรษฐกิจหลายประเทศที่ชะลอตัวกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยว

 

นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาว เวียดนาม ฮ่องกง ปรับตัวลดลงเช่นกัน

 

สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ ยังมี 4 ปัจจัยลบสำคัญ ที่คาดว่า จะส่งผลให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มที่อาจลดลงต่อเนื่อง ได้แก่

 

1.เศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัวลง กระทบต่อแผนการเดินทางและการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจะมองหาจุดหมายปลายทางที่สอดคล้องกับงบประมาณและความคุ้มค่า 

 

2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศกระทบการเดินทาง ยิ่งหากมีการปิดน่านฟ้าอีก แม้เหตุการณ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานจะยุติ และสายการบินกลับมาเปิดเส้นทางการบินได้ตามปกติแล้ว แต่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซียและยูเครนยังไม่ยุติ ทำให้ประเด็นนี้ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นและแผนการเดินทางท่องเที่ยวต่อเนื่อง

 

3.ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวไทยลดลง สะท้อนจากจำนวนชาวต่างชาติเที่ยวไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวที่ ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘เวียดนาม’ โตมากกว่าเดิม โดย 2 ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทย ได้แก่

– ภาพลักษณ์ความปลอดภัยในสายตานักท่องเที่ยวบางกลุ่มลดลง 

ตั้งแต่ต้นปี 2568 หลายเหตุการณ์ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยและยังมีผลต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน จากผลสำรวจ ของ Dragon Trail ณ เดือนเมษายน 2568 พบว่า ชาวจีนมีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 19% ขณะที่ 51% มองว่าประเทศไทยมีความไม่ปลอดภัย 

–  ราคาสินค้าบริการท่องเที่ยวไทยปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับหลายประเทศ 

สะท้อนจากเครื่องชี้ราคาเฉลี่ยห้องพักต่อวันในไทย (Average Daily Rate) ในปี 2567 ปรับตัวสูงขึ้นถึง 34% เทียบกับในปี 2562 หรือก่อนโควิด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มตัวอย่างที่ขยายตัวเพียง 28.3% อีกทั้งราคาสินค้าและบริการอย่างในร้านอาหารก็มีทิศทางเพิ่มขึ้นตามสภาวะต้นทุน

เมื่อหักค่าเดินทาง ค่าที่พักและการใช้จ่ายสินค้าและบริการแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเหลืองบประมาณในการท่องเที่ยวที่ไม่มากแล้ว ยิ่งหากพิจารณาค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของ นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 ดอลลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศด้วย อาทิ ‘ญี่ปุ่น’ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 ดอลลลาร์สหรัฐ และ ‘สิงคโปร์’ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,700 ดอลลลาร์สหรัฐ ทำให้การมาเที่ยวไทยเริ่มมีประเด็นเรื่องความคุ้มค่าโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งมากขึ้น

 

4.การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูง ทางการในหลายประเทศมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ เกาหลีใต้ เตรียมเสนอมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยว (Group Tour) ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย ขณะที่ เวียดนามเตรียมออกมาตรการวีซ่าระยะยาว 10 ปี (10-year Golden Visa) ดึงดูดชาวต่างชาติและกระตุ้นการท่องเที่ยว

 

ขณะเดียวกัน แผนการจัดเที่ยวบินของสายการบินไปข้างหน้า ก็สะท้อนสัญญาณที่ตอบรับความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ของนักท่องเที่ยว จากการเปิดเผยเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินที่มีกำหนดการล่วงหน้าไปถึงเดือนกันยายน 2568 บ่งชี้ว่า เที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปลายทางสู่จีน เติบโต 18% (9 เดือนแรกปี 2568 เทียบ 9 เดือนแรกปี 2567) ญี่ปุ่น เติบโต 16% ส่วนไทย เพิ่มขึ้นเพียง 8% 

 

จากปัจจัยทั้งหมด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หดตัว 2.8% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งต่ำกว่าที่ประเมินในช่วงต้นปีโดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่หดตัว อาทิ จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียน่าจะยังขยายตัวได้ กรณีที่ไม่มีเหตุการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานเกิดขึ้นอีก)

 

สำหรับตลาดที่มองว่ายังเติบโต หลักๆ มาจากนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป อาทิ รัสเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสายการบินยุโรปมีการขยายเส้นทางการบินตรงและเพิ่มความถี่มาไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตลาดเหล่านี้ น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะจีนได้

 

รายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติกระจายสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.62 ล้านล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2567 สำหรับการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปอยู่ที่ประมาณ 47,000 บาทต่อคนต่อทริป หดตัวเล็กน้อยที่ 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2562 (ก่อนโควิด) เนื่องจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม Young Traveler และกลุ่มรายได้ระดับปานกลาง 

 

รวมถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นอย่างการปรับลดการซื้อของที่ระลึก การใช้บริการร้านอาหารแบบคนท้องถิ่นอย่างการเลือกร้านอาหาร Street food

]]>
1523093
ไปไหนดี? อโกด้าเปิดรายชื่อ 5 “เมืองรอง” มาแรงที่มีคนค้นหาเพิ่มขึ้นมากที่สุดปี 2566 https://positioningmag.com/1455582 Thu, 14 Dec 2023 04:56:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455582 “อโกด้า” เปิดรายชื่อ “เมืองรอง” 5 จังหวัดที่มีคนค้นหาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2566 ได้แก่ นครนายก (+50%), อุบลราชธานี (+29%), สุพรรณบุรี (+24%), เพชรบูรณ์ (+23%) และ ตรัง (+20%)

เห็นได้ว่า “เมืองรอง” ทั้ง 5 จังหวัดกระจายตัวอยู่หลายภาคทั้งภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ มีความหลากหลายด้านแหล่งท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไป ไปดูกันว่าแต่ละจังหวัดมีเสน่ห์ดึงดูดอะไรบ้างที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากไปเยือน

1.นครนายก
เมืองรอง
เขาหล่น จ.นครนายก

สถานที่/กิจกรรมแนะนำ

  • เขาหล่น – มีสะพานไม้เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ จุดปีนหน้าผา ควรไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคมเพื่อชมทุ่งหญ้าสีทองในยามพระอาทิตย์ตก
  • อ่างเก็บน้ำห้วยปรือ – ชมทัศนียภาพภูเขาเขียวขจี สายปั่นมาปั่นจักรยานรอบอ่างเก็บน้ำได้
  • วัดเขาทุเรียน (วัดสีชมพู) – วัดมีเอกลักษณ์จากการทาสีชมพูทั่วทั้งวัด เหมาะไปชมความงาม
2.อุบลราชธานี
หาดหงส์ จ.อุบลราชธานี

สถานที่/กิจกรรมแนะนำ

  • สกายวอล์กเขื่อนสิรินธร – จุดชมวิวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว เป็นสะพานกระจกยาว 400 เมตร มองเห็นป่าไม้และฟาร์มโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ
  • หาดหงส์ – เนินทรายกลางแม่น้ำโขง มองเห็นโบก หาดทราย สันดอนทราย อย่างสวยงาม
  • วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว – ชมจิตรกรรมพื้นเรืองแสง และภาพต้นกัลปพฤกษ์วิจิตรงดงามด้านหลังอุโบสถ
  • สวนสัตว์อุบลราชธานี – สวนสัตว์แบบ Jungle Park ผสานส่วนแสดงสัตว์เข้ากับป่าไม้อย่างสมจริง เหมาะกับกลุ่มเด็กๆ

 

3.สุพรรณบุรี
เมืองรอง
ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี

สถานที่/กิจกรรมแนะนำ

  • ตลาดเก่าสามชุก – รับชมวิถีชีวิตของคนค้าขายริมแม่น้ำท่าจีนที่มีมายาวนานกว่าร้อยปี
  • อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง – พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าด้วยอากาศบริสุทธิ์

 

4.เพชรบูรณ์
สะพานห้วยตอง จ.เพชรบูรณ์

สถานที่/กิจกรรมแนะนำ

  • สะพานพ่อขุนผาเมือง (สะพานห้วยตอง) – ฐานสะพานสูงกว่า 50 เมตร และตัดโค้งผ่านหุบเขา ทำให้ได้ภาพความงามแปลกตา
  • น้ำตกศรีดิษฐ์ – น้ำตกที่สูงกว่า 30 เมตรและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี พร้อมระบบนิเวศที่สมบูรณ์โดยรอบ
  • Amazing Dinosaur เขาค้อ – สร้างความตื่นตาให้นักสำรวจตัวน้อยด้วยการผจญภัยไปกับฝูงไดโนเสาร์ ป่าดึกดำบรรพ์ และเขาวงกต
  • อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ – แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งล่าสุด ชมสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น

 

5.ตรัง
เมืองรอง
ตัวเมืองตรัง

สถานที่/กิจกรรมแนะนำ

  • เกาะกระดาน – ชายหาดที่ดีที่สุดในโลกปี 2023 จัดอันดับโดย World Beach Guide
  • ตัวเมืองตรัง – เมืองเก่าสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่คนท้องถิ่นยังคงอาศัยอยู่
  • ชิมอาหารเด็ด – หมูย่างเมืองตรัง และ เคาหยก คือสุดยอดอาหารท้องถิ่นที่นับเป็นเมนูประจำจังหวัด

 

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

]]>
1455582
‘Agoda’ เผย “ท่องเที่ยวไทย’ โตแซง 2019 แต่ ‘เวียดนาม’ กำลังเป็นคู่แข่งสำคัญ “แย่งนักท่องเที่ยว” https://positioningmag.com/1434288 Thu, 15 Jun 2023 09:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434288 อย่างที่หลายคนรู้ว่าเศรษฐกิจประเทศไทยนั้น การท่องเที่ยว ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างการเติบโต โดย อโกด้า (Agoda) แพลตฟอร์มผู้ให้บริการจองห้องพักทางออนไลน์ ได้เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวไทยถือว่า ฟื้นตัวกว่าปี 2019 ไปแล้ว แต่ก็มี เวียดนาม ที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์

ออมรี มอร์เกนสเติร์น (Omri Morgenshtern) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า เปิดเผยว่า จากข้อมูลของแพลตฟอร์มพบว่า การท่องเที่ยวของไทย ในช่วง 5 เดือนแรกในปี 2023 นั้น ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยไทยถือเป็นปลายทาง อันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นเมืองปลายทางที่มีการเดินทางมามากที่สุด

โดยประเทศที่มาท่องเที่ยวไทยมากที่สุด คือ เกาหลีใต้ และ อินเดีย ส่วนการมาของนักท่องเที่ยว จีน คิดเป็นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา 100% ภายในสิ้นปีนี้ 

“ไทยถือว่าฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศ เพราะไม่มีข้อจำกัดในการเดินทาง รวมถึงจำนวนไฟลท์บินที่มีจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าไทยเปิดกว้างในด้านการท่องเที่ยวมาก”

ยังเทียบญี่ปุ่นยาก

ญี่ปุ่นยังถือเป็นหมุดหมายอันดับ 1 ของนานาประเทศทั่วโลกแบบ ทิ้งห่าง โดย ออมรี อธิบายว่า เนื่องจากญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์และความแตกต่าง ที่สำคัญ ญี่ปุ่นมี เหตุผลให้ไปท่องเที่ยวมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ, สวนสนุก, แหล่งช้อปปิ้ง สามารถเที่ยวได้ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงสามารถเดินทางไปในเชิงธุรกิจ ดังนั้น การที่ไทยจะแซงขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในระยะเวลาอันสั้นได้ยาก

สิ่งที่ไทยมี ทะเลสวย อากาศอบอุ่น และ เหมาะกับการมาปาร์ตี้สังสรรค์ แต่ไทยยังจำเป็นต้อง ลงทุนเพิ่ม เพื่อให้นักท่องเท่ียวมีเหตุผลที่จะเดินทางมา ไม่ใช่แค่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น การมีสวนสนุกใหญ่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

ในส่วนของ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือเชิงวัฒนธรรมนั้นต้องยอมรับว่า ม่ได้มีดีมานด์มากเท่าการท่องเที่ยวในสวนสนุก ที่ไม่เยอะเท่ากับสถานที่ท่องเที่ยวในสวนสนุก นอกจากนี้ คู่แข่งในภูมิภาคก็มีจำนวนมากที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะที่ภาพลักษณ์ของไทยเองก็มีความทันสมัย ดังนั้น อาจไม่ได้น่าดึงดูดเท่ากับประเทศที่กำลังพัฒนา อาทิ เมียนมา อย่างไรก็ตาม ไทยเองก็ต้องทำการตลาดเพื่อดันเมืองรองนั้น ๆ ว่ามีอะไรดี ไม่ใช่แค่ว่าราคาถูก

ภาพจาก Shutterstock

เวียดนามมาแรงจ่อแซงไทย

เวียดนาม ถือเป็นประเทศที่ในภาคการท่องเที่ยวมีความคล้ายคลึงกับไทย แต่เมื่อเทียบกันแล้วยังถือว่าห่างกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเวียดนามเติบโตก้าวกระโดด โดยในปัจจุบัน เวียดนามเป็นหมุดหมายอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวเกาหลี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ใกล้ และไฟลท์บินก็เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15 ไฟลท์

นอกจากนี้ เกาหลีก็เข้าไปลงทุนในเวียดนามมานาน ทำให้มีความคุ้นเคยมากกว่าไทย ดังนั้น ไทยเองก็ต้องลงทุนเพิ่มเติม เช่น เรื่องวีซ่าที่ทำให้ง่ายสะดวก และสายการบินก็ต้องเปิดเส้นทางการบินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ออมรี มองว่า ไทยมีศักยภาพที่จะเป็น ฮับด้านเทคโนโลยี จึงอยากให้ไทยพัฒนาในส่วนนี้ เพื่อดึงดูดให้นักลงทุน นักธุรกิจทั่วโลกเดินทางมาพบปะ แชร์ไอเดีย และเจรจาด้านธุรกิจ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะยิ่งดึงดูดการเดินทาง

“ความเห็นส่วนตัว ผมมอยากให้ไทยเป็นฮับของเทคโนโลยี ตอนนี้สิงคโปร์มีภาพด้านนี้มากกว่า เเต่ผมเชื่อว่าเรามีประสิทธิภาพที่จะเป็นฮับด้านเทคโนโลยีของภูมิภาคได้ เพราะปัจจุบันไทยถือเป็นศูนย์กลางของอโกด้า พนักงานส่วนใหญ่ก็อยู่ไทย ศูนย์กลางเทคโนโลยีก็อยู่ไทย และพนักงานเกือบครึ่งของเราที่เป็นชาวต่างชาติก็ชอบไทยมาก”

Photo : Shutterstock

อโกด้าฟื้นเกิน 100%

สำหรับยอดการใช้งานของอโกด้าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเติบโตกว่าปี 2019 แล้ว โดยยอดค้นหาเพิ่มขึ้น 60% ยอดค้นหาท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น 49% อย่างไรก็ตาม ยอดการค้นหาข้อมูลการเที่ยวต่างประเทศของคนไทยยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะต้องยอมรับว่ามีเรื่องของ ราคา เข้ามาเป็นปัจจัย อย่างค่าตั๋วเครื่องบินก็ถือว่าสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนไฟลท์ไม่เพียงพอ

ดังนั้น เรื่องของ ราคา จะเป็น 1 ใน 3 ด้านที่อโกด้าเน้นมากในปัจจุบันและอนาคต โดยพยายามจะทำราคาให้ดีที่สุด มีฟีเจอร์อย่าง Price Freeze ช่วยให้ผู้จองสามารถล็อกราคาที่พักที่กำลังดู อีก 2 ด้านจะเป็นการพัฒนา เทคโนโลยี โดยล่าสุดเริ่มนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้ และสุดท้ายคือ Localization

“เรามองว่าการท่องเที่ยวตอนนี้มันไม่ได้เติบโตเพราะอั้นแล้วจะลดลง เราเชื่อว่าจะคงที่ไปเรื่อย ๆ เช่น ฝั่งยุโรปและอเมริกาที่เปิดการท่องเที่ยวก่อนหลาย ๆ ประเทศ แต่ก็ยังไม่ตกลงเท่าไหร่ในปัจจุบัน โดยเราอยากให้คนเข้าถึงการท่องเที่ยวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเลยพยายามทำราคาให้ดีที่สุดเปลี่ยนแท็กไลน์เป็น ให้เห็นโลกในราคาที่ต่ำลง เพราะถ้ามาจองกับเราแล้วถูกลงอีก 1-2% แล้วทำให้คนเที่ยวได้ก็โอเคเเล้ว”

]]>
1434288
‘Airbnb’ เผยเทรนด์ท่องเที่ยวหลัง 2023 เน้น “ปักหลักยาว ไปเป็นครอบครัว ชอบสัมผัสธรรมชาติ” https://positioningmag.com/1424624 Thu, 23 Mar 2023 10:40:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424624 แน่นอนว่าหลังจากที่สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่คลี่คลายลง กิจกรรรมแรก ๆ ที่คนทั่วโลกต้องการทำก็คือ ท่องเที่ยว แต่แน่นอนว่าพฤติกรรมการท่องเที่ยวก็ปรับเปลี่ยนไป โดย Airbnb ก็ได้มาแชร์ถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2023 ขณะที่ไทยเองก็ถือเป็นหมุดหมายอันดับต้น ๆ ของโลก

ไทย Top 5 ปลายทางของ Airbnb

นายอมันพรีท บาจาจ ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ฮ่องกง และไต้หวัน ของ Airbnb กล่าวว่า ในปี 2022 การท่องเที่ยวในแถบอเมริกาและยุโรปมีการฟื้นตัวมากกว่าฝั่งเอเชีย เนื่องจากมาตรการด้านโควิดที่ผ่อนคลายมากกว่า แต่ในปี 2023 การท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียมีการฟื้นตัวมากขึ้น เนื่องจากการเปิดประเทศของจีน ขณะที่ไทยเองก็ถือเป็นหนึ่งในปลายทางสำคัญ

โดยปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวถึง 11.15 ล้านคน โดย กรุงเทพฯ ถือเป็นปลายทางอันดับ 1 ที่มีการจองที่พักมากที่สุดของแพลตฟอร์ม ตามด้วย ภูเก็ต, พัทยา, เชียงใหม่ และเกาะสมุย โดยประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากที่สุดของแพลตฟอร์ม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ยุโรป, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และจีน

สำหรับในปี 2023 นี้ ไทยยังคงติด Top 5 ปลายทางยอดนิยมบน Airbnb คาดว่าภาพรวมทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยประมาณ 25-30 ล้านคน โดย นักท่องเที่ยวจีนจะเป็นกลุ่มขับเคลื่อนหลัก เพราะตั้งแต่ที่จีนเปิดประเทศ ไทยเป็นปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนค้นหาที่พักมากที่สุด และกรุงเทพฯ ถือเป็นปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก

สงกรานต์ยอดค้นหาพุ่ง 310%

สำหรับช่วงเทศกาล สงกรานต์ การค้นหาที่พักในช่วงเทศกาลดังกล่าวเติบโตขึ้น 310% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดย 5 ปลายทางที่ถูกค้นหามากที่สุด ได้แก่

  • กรุงเทพฯ
  • พัทยา
  • เชียงใหม่
  • กระบี่
  • ภูเก็ต

โดยนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางในช่วงสงกรานต์มากที่สุด ได้แก่ ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และฝรั่งเศส ส่วนประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์, เกาหลีใต้, จีน และมาเลเซีย

เทรนด์ใหม่เน้นพักยาวเที่ยวเป็นกลุ่ม

สำหรับเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวในปี 2023 จะเป็นการเดินทางแบบกลุ่มมากขึ้น เฉพาะประเทศไทยเติบโตขึ้นถึง 300% เนื่องจากผู้คนต้องการเดินทางมาเพื่อสานสัมพันธ์กับเพื่อน คนรัก และครอบครัว นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแบบ Family Travel ทั่วโลกก็เติบโตขึ้นถึง 60% นอกจากนี้ อีกเทรนด์ที่เห็นคือ การนำ สัตว์เลี้ยง ไปท่องเที่ยวด้วย โดยปัจจุบันมีโฮสต์ที่รองรับการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่มีสัตว์กว่า 2,800 โฮสต์

ขณะที่ระยะเวลาในการเข้าก็เติบโตขึ้น โดยการพักในไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 คืน และการเข้าพักระยะยาวมากกว่า 28 วัน เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า เนื่องจากคนสามารถทำงานและท่องเที่ยวด้วยการทำงานทางไกลได้ ทำให้การท่องเที่ยวเป็นแบบอยู่ยาว (Long Stay) มากขึ้น นอกจากนี้ ปลายทางที่นักท่องเที่ยวสนใจหมุดหมายท่องเที่ยวใหม่ ๆ เน้นสัมผัสธรรมชาติและเสน่ห์ของคนพื้นเมือง

“ที่คนจีนเลือกไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่เขาอยากมาเที่ยวเพราะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีจำนวนมาก และเขาก็มีความสนใจที่จะเรียนรู้และสัมผัสกับภูมิปัญญาท้องถิ่น”

เกาหลีใต้ปลายทางฮิตของคนไทย

กลับกัน สำหรับคนไทยเองก็มีความต้องการเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น โดยจุดหมาย 5 อันดับที่คนไทยค้นหามากที่สุดของ Airbnb ในปี 2022 ได้แก่ เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดยเมืองที่นักท่องเที่ยวไทยจองที่พักที่สุด ได้แก่ โซล, ลอนดอน, ปารีส, เมลเบิร์น และนิวยอร์ก

สำหรับ Airbnb ปัจจุบันมีโฮสต์ 6.6 ล้านแห่ง รวมนักท่องเที่ยวกว่า 4.4 พันล้านราย โดยทางแพลตฟอร์มไม่สามารถเปิดเผยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์มและจำนวนโฮสต์เติบโตเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

]]>
1424624
คุยกับ ‘มาคาเลียส’ กับการขาย ‘วอเชอร์’ ในยุค ‘วอเชอร์ทิพย์’ บั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภค https://positioningmag.com/1404012 Tue, 11 Oct 2022 12:11:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404012 หากพูดถึงการซื้อ วอเชอร์ (Voucher) ในประเทศไทย เชื่อว่าในใจหลายคนน่าจะมีคำถามเกี่ยวกับ ความน่าเชื่อถือ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าดูจากข่าว วอเชอร์ทิพย์ ที่ซื้อแล้วใช้ไม่ได้ หรือไม่ก็ปิดกิจการไปดื้อ ๆ อย่างเคสที่หลายคนจำได้คงไม่พ้น ารุมะ ซูชิ ภายใต้ความกังวลของผู้บริโภค แต่แพลตฟอร์มขายวอเชอร์ท่องเที่ยวอย่าง มาคาเลียส ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ อะไรทำให้แพลตฟอร์มสามารถผ่านทั้งโควิดและสร้างความเชื่อใจให้ผู้บริโภคได้ ณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส จะมาเล่าให้ฟัง

จากคนชอบเที่ยวสู่แพลตฟอร์มขายวอเชอร์

สำหรับสายเที่ยวน่าจะคุ้นกับชื่อของแพลตฟอร์ม มาคาเลียส (Makalius) กันมาบ้าง เพราะถือเป็น แหล่งรวมวอเชอร์ที่พัก กิน เที่ยว ทั้งไทยและต่างประเทศซึ่งก่อตั้งมาเป็นเวลา 4 ปี แล้ว โดย น้ำ ณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า จริง ๆ แล้ว ตนเองเป็นคนชอบท่องเที่ยว และได้เริ่มเป็น Travel Blogger โดยใช้ชื่อว่า Trip and tech-ไปตามน้ำ

แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเปิดแพลตฟอร์มขายวอเชอร์เพราะงาน อินฟลูเอนเซอร์โลก โดยได้เจอกับ Darius Lebedzinskas สตาร์ทอัพชาวลิทัวเนียที่เปิดแพลตฟอร์ม Makalius ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกัน จนนำไปสู่การร่วมมือกันขยายแพลตฟอร์มมาสู่ประเทศไทย โดยเริ่มจากนำนักท่องเที่ยวลิทัวเนียมาไทย จากนั้นถึงพัฒนามาขายวอเชอร์ในประเทศตั้งแต่ปลายปี 2018

“เราเอาแค่โครงเขามา แต่รายละเอียดนอกนั้นเปลี่ยนหมดเลย เพราะพฤติกรรมลูกค้าไทยกับของลิทัวเนียต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างรูปก็ใช้ของทางโรงแรม แต่เราต้องถ่ายเองใหม่หมด เพราะลูกค้ากลัวไปแล้วไม่สวยจริง เรื่องความเชื่อมั่นก็เป็นอีกส่วน”

ขายวอเชอร์ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ณีรนุช อธิบายว่า หลายคนชอบมองว่าการขายวอเชอร์เป็นเรื่องง่าย แค่รับมาแล้วขายไป แต่พอลงลึกมันมีอะไรมากกว่านั้นโดยเฉพาะ ความน่าเชื่อถือ เพราะต้องยอมรับว่า ตลาดไทยมีภาพจำที่ไม่ค่อยดี นอกจากนี้ คนไทยยังไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ของการซื้อวอเชอร์ที่ต้องแจ้งล่วงหน้าเมื่อจะเข้าภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ซื้อปุ๊บแล้วใช้หน้างานได้เลย แต่คุ้นกับการซื้อกับ Travel Agent ที่จองวันไหนใช้วันนั้น

ดังนั้น จึงไม่มีแพลตฟอร์มที่เป็นคู่แข่งโดยตรง ส่วนใหญ่ในตลาดจะเป็นรายย่อยที่ได้บัตรมาฟรี หรือไม่ก็รับมาจากโรงแรมหรือร้านอาหาร

“ที่เรามองว่าที่ไม่มีคู่แข่งเพราะการขายวอเชอร์มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่เข้าใจยากกว่าที่คิด มันไม่ใช่การขายสินค้าแล้วจบไป แต่มันจะเกิดการตอบโต้กับลูกค้า เวลามีปัญหาอะไรลูกค้าเขาไม่ติดต่อโรงแรมโดยตรงแต่เขาติดต่อเรา อีกส่วนก็ต้องยอมรับว่าภาพจำการขายวอเชอร์ไทยไม่ค่อยดีด้วย”

สร้างความมั่นใจทางเดียวแก้ปัญหาวอเชอร์ทิพย์

แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายโดยตรง แต่เมื่อมีข่าวลบเกี่ยวกับ วอเชอร์ทิพย์ มันส่งผลต่อความเชื่อมั่น โดย ณีรนุช เล่าว่า พอมีข่าวลบเมื่อไหร่ลูกค้ามีคำถามมากขึ้น ระยะเวลาในการตัดสินใจชำระเงินนานขึ้น จากเดิมกดจ่ายทันทีกลายเป็นข้ามวันหรือหลาย ๆ วัน

ดังนั้น หนึ่งในสิ่งที่ช่วยให้แพลตฟอร์มมีความน่าเชื่อถือคือ คัสตอมเมอร์เซอร์วิส เพื่อสร้างความสบายใจให้ลูกค้าว่าพร้อมจะช่วยเหลือตลอดหากเจอปัญหา โดยปัจจุบันให้บริการ 09.00-22.00 น. แต่ในอนาคตมีแผนจะให้บริการ 24 ชั่วโมง และการตลาดปีนี้จะมุ่งไปที่ ออฟไลน์ มากขึ้น อาทิ ออกงานอีเวนต์ และใช้สื่อ Out Of Home เพื่อสร้างตัวตน เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้บริโภคมั่นใจมากขึ้น แม้ต้องใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้นถึง 10% ก็ตาม

ปัญหาวอเชอร์เนี่ยมันมีมาหลายครั้งแน่นอนว่าลูกค้าก็กลัว บางคนมาหาถึงออฟฟิศก็มีเพราะอยากรู้ว่ามีตัวตนจริงไหม แต่สุดท้ายปลายทางคือ เราต้องทำบริการให้ดีเพื่อให้เกิดการบอกต่อ เพราะที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้ 40% ของลูกค้าเราเป็นลูกค้าเก่า”

ไม่ใช่ลูกค้ากลัว แพลตฟอร์มก็กลัว

ด้วยความที่บิสซิเนสโมเดลของมาคาเลียสจะเป็นตัวกลางที่นำวอเชอร์ของพันธมิตรมาขาย ถ้าขายได้ก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น แพลตฟอร์มก็ต้องมีวิธีการ คัดกรองพันธมิตร ที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น เช่น ตรวจสอบว่าเปิดกิจการนานแค่ไหน การตรวจสอบกระแสเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ มีการเข้าไปชมสถานที่จริง รวมถึงพูดคุยกับผู้บริการถึงแผนการดำเนินธุรกิจ และมี มาตรการชดเชยลูกค้าผ่าน 3 ทางเลือก ได้แก่ การคืนเงิน มอบเครดิตเงินคืน และอัปเกรดบริการ

“สุดท้ายสิ่งที่เราทำมันคงคัดกรองได้ส่วนหนึ่ง คงไม่ได้ 100% ดังนั้น เราเองก็ต้องมีมาตรการดูแลลูกค้า หากเกิดกรณีที่วอเชอร์มีปัญหา”

สำหรับในส่วนของลูกค้าที่จะเลือกซื้อวอเชอร์ อาจต้องตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งระยะเวลาการเปิดกิจการ, รีวิวจากลูกค้าอื่น ๆ นอกจากนี้ ณีรนุช ยังย้ำว่า วอเชอร์ราคาถูกได้ แต่ไม่ใช่ถูกเกินไป

เปิดแพ็กเกจเที่ยวตปท. และองค์กร

ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์สถานการณ์ยังแย่อยู่ เพราะมีข่าวโควิดระบาดหนักหลังจากหยุดยาวปีใหม่ จนมาช่วงมีนาคมการเติบโตก็กลับมาจนเกือบจะปกติเมื่อเทียบกับปี 2019 ส่วนช่วงไตรมาสสุดท้ายเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพราะเป็นไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ทั้งการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการเที่ยวต่างประเทศของคนไทย

โดยทางแพลตฟอร์มก็ได้ถือโอกาสขยายโปรดักต์ แพ็กเกจเที่ยวต่างประเทศ เป็นครั้งแรก โดยเฟสแรกเปิดที่ มัลดีฟส์ ส่วนเฟสต่อไปจะเป็น ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว และ เวียดนาม นอกจากนี้กำลังมีแผนทำแพ็กเกจเที่ยว ยุโรป และแพ็กเกจ ดูบอลโลก ที่ประเทศกาตาร์ในช่วงปลายปีด้วย

นอกจากนี้ ได้เพิ่ม Corporate Package บริการจัดแพ็กเกจด้านการท่องเที่ยว-สัมมนา-เลี้ยงฉลอง แบบครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้ง SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากเริ่มเห็นความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น

“ความยากของการขายวอเชอร์ คือการทำแพ็กเกจให้ดีที่สุด เราจะทำยังไงให้ดึงดูดและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเรามากที่สุด นี่คือความท้าทายของแพลตฟอร์มที่ต้องวิเคราะห์เทรนด์และความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา เพื่อออกแบบแพ็กเกจให้ตรงใจและคุ้มค่าเพื่อจะดึงดูดลูกค้า”

ขอเป็นสเปเชียลลิสต์ในฝั่งท่องเที่ยวและไม่พึ่งมาร์เก็ตเพลส

แม้ว่าจะเจอกับ COVID-19 จนทำให้ต้องปรับตัวจากแค่ขายวอเชอร์โรงแรม ต้องมาขายวอเชอร์เรือสำราญและร้านอาหาร แต่ ณีรนุช ยืนยันว่า คงไม่หันไปเอาวอเชอร์อื่น ๆ มาขาย เพราะอยากโฟกัสแค่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมนั้นกว้างมากพอที่จะไปต่อได้แม้จะมีวิกฤตต่าง ๆ เข้ามา

“ตั้งแต่เจอโควิดในปีที่ 2 ของการทำงาน เราก็ปรับตัวมาตลอด แต่เราไม่คิดจะแตกไปนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพราะเราไม่ถนัด กลัวว่าทำแล้วมันจะออกมาไม่ดี แล้วเราก็อยากสร้างภาพจำให้กับลูกค้า”

นอกจากนี้ ยังไม่คิดที่จะขายวอเชอร์บนแพลตฟอร์มอี-มาร์เก็ตเพลส เนื่องจากต้องการทำให้แพลตฟอร์มตัวเองแข็งแรงและเก็บเกี่ยวยูสเซอร์ให้มากที่สุด เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันเว็บไซต์มียอดเข้าชม 1 ล้านครั้ง/เดือน จากลูกค้า 2 แสนราย ส่วนแฟนเพจ Facebook มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนราย

“ที่เราทำเทสติ้งลองขายบน Shopee ลูกค้าที่ซื้อก็เป็นลูกค้าเดิมของเรา แต่เขาซื้อผ่านมาร์เก็ตเพลสเพราะมีส่วนลด ซึ่งเรามองว่าถ้าเราขายผ่านอีคอมเมิร์ซลูกค้าที่เข้ามาก็จะเป็นลูกค้าของแพลตฟอร์มนั้น ๆ ไม่ใช่ของบริษัท ดังนั้น เป็นของเราเองมันยั่งยืนกว่า”

สำหรับปีนี้ มาคาเลียสตั้งเป้าที่จะเพิ่มผู้ใช้อีก 5-7 หมื่นราย รวมเป็น 2.7 แสนราย ทำรายได้ 130 ล้านบาท มีกำไร 18-20% และใน 3-5 ปีข้างหน้า อยากจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดมีผู้ใช้ 1 ล้านราย

]]>
1404012
“ไทย” ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ประเทศที่คน “มาเลย์-สิงคโปร์-เกาหลี” อยากมาเที่ยวมากที่สุด https://positioningmag.com/1383553 Sat, 30 Apr 2022 05:42:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383553 Agoda สำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อมาพักผ่อนในเดือนพฤษภาคม 2565 พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ค้นหาการมาเที่ยว “ไทย” เป็นอันดับ 1 สะท้อนแรงดึงดูดของไทยหลังจากผ่อนคลายขั้นตอนการเข้าเมือง ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 พ.ค. นี้

การสำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกโดย Agoda พบว่า “ไทย” เป็นจุดหมายอันดับ 1 ที่คนหลายประเทศค้นหามากที่สุด ดังนี้

  • มาเลเซีย – 1) ไทย  2) สิงคโปร์ 3) อังกฤษ
  • สิงคโปร์ – 1) ไทย 2) สิงคโปร์ 3) อินโดนีเซีย
  • เกาหลีใต้ – 1) ไทย 2) สหรัฐอเมริกา 3) เวียดนาม
  • ฟิลิปปินส์ – 1) สิงคโปร์ 2) สหรัฐอเมริกา 3) ไทย
  • อินโดนีเซีย – 1) สิงคโปร์ 2) สหรัฐอเมริกา 3) มาเลเซีย

จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมในแถบนี้ มีเพียงชาวอินโดนีเซียที่ประเทศไทยไม่สามารถเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้

หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต วันที่ 16 พ.ย. 2564

นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในไทยแล้ว การผ่อนคลายวิธีการเข้าเมืองให้ง่ายขึ้นของไทยน่าจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 ประเทศไทยจะลดขั้นตอนสำหรับผู้เดินทางเข้าเมืองที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เพียงลงทะเบียนข้อมูลใน Thailand Pass และเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึง มีเพียงข้อแนะนำให้ตรวจ ATK เท่านั้น

 

คนไทยอยากไป “สิงคโปร์” มากที่สุด

สำหรับนักท่องเที่ยวไทย หากไม่นับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังครองใจมากที่สุดในระยะนี้ การเดินทางต่างประเทศ 5 อันดับแรกที่คนไทยต้องการไปมากที่สุด ได้แก่

  1. สิงคโปร์
  2. เกาหลีใต้
  3. ญี่ปุ่น
  4. สหรัฐอเมริกา
  5. อังกฤษ
“เกาหลีใต้” กำลังมาแรงในหมู่คนไทยที่ต้องการเที่ยวต่างประเทศ

ที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีใต้ซึ่งการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนยังอยู่ในอันดับ 6 แต่ล่าสุดพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 หลังจากผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้คนไทยเริ่มค้นหาและวางแผนการท่องเที่ยวกันทันที

 

“ทะเล” บูมสุดขีด

ช่วงเดือนพฤษภาคม “ทะเล” ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยนิยม โดยสองอันดับแรกคือพัทยาและหัวหิน ยังคงครองใจคนไทยสูงสุดเมื่อคิดจะไปท่องเที่ยว โดย 10 อันดับแรกเมืองที่คนไทยค้นหามากที่สุด ได้แก่

  1. พัทยา
  2. หัวหิน
  3. ภูเก็ต
  4. กรุงเทพฯ
  5. เขาใหญ่
  6. เชียงใหม่
  7. กระบี่
  8. กาญจนบุรี
  9. ชลบุรี
  10. เกาะช้าง
]]>
1383553
กำไร Q3 ‘Airbnb’ พุ่ง 280% ส่วน ‘ไทย’ มียอดหาที่พักเพิ่ม ‘เท่าตัว’ หลังเปิดประเทศ https://positioningmag.com/1360549 Fri, 05 Nov 2021 06:35:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360549 ช่วงไตรมาส 2 ‘Airbnb’ ได้รายงานถึงผู้ถือหุ้นว่า COVID-19 สายพันธุ์เดลตา จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเดินทาง อาจส่งผลให้การเดินทาง “ผันผวนมากขึ้น” อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าว่าการกระจายวัคซีนจะได้ผลดี ทำให้ กำไร ของบริษัทในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 280% เมื่อเทียบเป็นรายปี และถือว่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา

ในช่วงไตรมาส 3 บริษัทรายงานว่ามียอดการจองที่พักกว่า 79.7 ล้านคืน ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 รวมถึงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 80.8 ล้านคืน อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าวถือว่าเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 29% ซึ่งช่วงนั้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนักจาก COVID-19

ขณะที่รายได้และกำไรของบริษัท นับว่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในไตรมาสที่ 3 โดยมีรายได้อยู่ที่ 2.24 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 2.05 พันล้านดอลลาร์ กำไรเพิ่มขึ้น 280% เป็น 834 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบเป็นรายปี โดย Airbnb คาดว่ากำไรในช่วงไตรมาส 4 จะอยู่ระหว่าง 1.39 พันล้านดอลลาร์ถึง 1.48 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของนักวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม Airbnb คาดว่า ตรมาส 4 จะยังคงมีความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวที่แข็งแรง และจะลากยาวไปจนถึงปี 2022 ทั้งนี้ Airbnb มองว่าแนวโน้มการฟื้นตัวจาก COVID-19 ยังคงแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โดยขึ้นอยู่กับอัตราการฉีดวัคซีนและข้อจำกัดการเดินทางของแต่ละประเทศ เพราะแค่ที่อเมริกาเหนือเพียงประเทศเดียว จำนวนคืนและประสบการณ์ที่จองเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งยังไม่มีการระบาดของ COVID-19

“เมื่อมองไปถึงปี 2022 ความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 จะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการเติบโต”

โจทย์ใหญ่ธุรกิจท่องเที่ยว เปิดประเทศเเต่ขาดลูกค้าชาวจีน เเถมใกล้หมดยุค ‘ทัวร์จีน’ กรุ๊ปใหญ่ 

สำหรับประเทศไทย Airbnb ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ ไทยเปิดประเทศ รับนักเดินทางจาก 63 ประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นวันแรกพบว่า ยอดค้นหาที่พักในประเทศไทย โดยนักเดินทางต่างประเทศที่จะเข้ามาในช่วง 6 เดือนจากนี้ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยนักเดินทางได้เลือกเสิร์ชหาที่พักด้วยคำว่า วิลล่า (villa) มาเป็นอันดับแรก

หาดป่าตอง ภูเก็ต ช่วงหลัง COVID-19 ยังมีนักท่องเที่ยวบางตา (Photo : Shutterstock)

โดย ภูเก็ต ยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของไทยและเป็นคำค้นหาหลัก ตามมาด้วย กรุงเทพฯ สมุย พัทยา และ เชียงใหม่ ทั้งนี้ จังหวัดที่ใกล้กรุงเทพฯ มีแนวโน้มติดเทรนด์เช่นกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา Airbnb พบว่า นักเดินทางต่างชาติค้นหาที่พักใน เพชรบุรี เพิ่มขึ้นถึง 80% ในช่วง 6 เดือนจากนี้ รวมถึง พัทยาและหัวหิน ที่มีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ส่วนนักเดินทางกลุ่มหลักที่ต้องการเดินทางสู่ท่องเที่ยวประเทศไทยที่กำลังค้นหาที่พักบน Airbnb จาก 10 ประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เกาหลี, ออสเตรเลีย, แคนาดา, สวีเดน และ สวิตเซอร์แลนด์ และในช่วงสัปดาห์ของวันที่ 18 ตุลาคมที่ผานมา พบว่ามีการค้นหาที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจากประเทศเยอรมนี เกาหลี ออสเตรเลีย และ สวิตเซอร์แลนด์

Source

]]>
1360549
Standard Chartered มอง ‘ท่องเที่ยวไทย’ ใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีถึงจะฟื้น ฉุดเศรษฐกิจอ่อนเเอ https://positioningmag.com/1355860 Sun, 10 Oct 2021 11:23:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355860 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย’ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย’ 3 ปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ เเม้ว่ารัฐจะเตรียมการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสเเล้วภายในเดือนหน้านี้ก็ตาม

สำนักข่าว Bloomberg รายงานบทวิเคราะห์ของ ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Standard Chartered ระบุว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย ที่มีสัดส่วนถึง 15% ของ GDP จะเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน จะยังคงอ่อนแอในช่วง 2 ปีข้างหน้า

เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวลำบาก หากภาคการท่องเที่ยวไม่ดีขึ้น เเละอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอลงในช่วงปี 2022-2023”

รัฐบาลไทย วางเเผนจะยกเลิกมาตรการกักตัวนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 .. เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์อยู่ร่วมกับโควิด-19 เเทน

เเต่ Standard Chartered มองว่าแผนการเปิดประเทศอาจสะดุดหากสถานการณ์โรคระบาดในไทย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยลดลงเหลือ 73,932 คน จากจำนวนเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 ที่เคยสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทยยังต้องการนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 6 ล้านคน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปใน 8 เดือนแรก จนถึงเดือน ส..ของปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในปีหน้า มีการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 4 ล้านคนเข้ามา ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เทียบเท่ากับ 1% ของ GDP โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะจับจ่ายใช้สอยราว 1,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 50,775 บาทต่อคน ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทย

ทิม กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือ นักท่องเที่ยวจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยในปี 2019 “ไม่น่าจะกลับมาเป็นจำนวนมากในเร็วๆ นี้เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่เข้มงวด

ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดีย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในเดือนพ.. จากช่วงเทศกาลดิวาลี ก็ยังจะไม่เท่ากับจำนวนของนักท่องเที่ยวจากจีน

ทั้งนี้ เมื่อเดือน ส..ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทย เพียงเหลือ 150,000 คนในปีนี้ และ 6 ล้านคนในปี 2022

 

ที่มา : Bloomberg

 

]]>
1355860