เห็นได้ว่า “เมืองรอง” ทั้ง 5 จังหวัดกระจายตัวอยู่หลายภาคทั้งภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคใต้ มีความหลากหลายด้านแหล่งท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไป ไปดูกันว่าแต่ละจังหวัดมีเสน่ห์ดึงดูดอะไรบ้างที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากไปเยือน
สถานที่/กิจกรรมแนะนำ
สถานที่/กิจกรรมแนะนำ
สถานที่/กิจกรรมแนะนำ
สถานที่/กิจกรรมแนะนำ
สถานที่/กิจกรรมแนะนำ
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
]]>ออมรี มอร์เกนสเติร์น (Omri Morgenshtern) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า เปิดเผยว่า จากข้อมูลของแพลตฟอร์มพบว่า การท่องเที่ยวของไทย ในช่วง 5 เดือนแรกในปี 2023 นั้น ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยไทยถือเป็นปลายทาง อันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นเมืองปลายทางที่มีการเดินทางมามากที่สุด
โดยประเทศที่มาท่องเที่ยวไทยมากที่สุด คือ เกาหลีใต้ และ อินเดีย ส่วนการมาของนักท่องเที่ยว จีน คิดเป็นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา 100% ภายในสิ้นปีนี้
“ไทยถือว่าฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลาย ๆ ประเทศ เพราะไม่มีข้อจำกัดในการเดินทาง รวมถึงจำนวนไฟลท์บินที่มีจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าไทยเปิดกว้างในด้านการท่องเที่ยวมาก”
ญี่ปุ่นยังถือเป็นหมุดหมายอันดับ 1 ของนานาประเทศทั่วโลกแบบ ทิ้งห่าง โดย ออมรี อธิบายว่า เนื่องจากญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์และความแตกต่าง ที่สำคัญ ญี่ปุ่นมี เหตุผลให้ไปท่องเที่ยวมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ, สวนสนุก, แหล่งช้อปปิ้ง สามารถเที่ยวได้ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงสามารถเดินทางไปในเชิงธุรกิจ ดังนั้น การที่ไทยจะแซงขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในระยะเวลาอันสั้นได้ยาก
สิ่งที่ไทยมี ทะเลสวย อากาศอบอุ่น และ เหมาะกับการมาปาร์ตี้สังสรรค์ แต่ไทยยังจำเป็นต้อง ลงทุนเพิ่ม เพื่อให้นักท่องเท่ียวมีเหตุผลที่จะเดินทางมา ไม่ใช่แค่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น การมีสวนสนุกใหญ่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ในส่วนของ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือเชิงวัฒนธรรมนั้นต้องยอมรับว่า ไม่ได้มีดีมานด์มากเท่าการท่องเที่ยวในสวนสนุก ที่ไม่เยอะเท่ากับสถานที่ท่องเที่ยวในสวนสนุก นอกจากนี้ คู่แข่งในภูมิภาคก็มีจำนวนมากที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะที่ภาพลักษณ์ของไทยเองก็มีความทันสมัย ดังนั้น อาจไม่ได้น่าดึงดูดเท่ากับประเทศที่กำลังพัฒนา อาทิ เมียนมา อย่างไรก็ตาม ไทยเองก็ต้องทำการตลาดเพื่อดันเมืองรองนั้น ๆ ว่ามีอะไรดี ไม่ใช่แค่ว่าราคาถูก
เวียดนาม ถือเป็นประเทศที่ในภาคการท่องเที่ยวมีความคล้ายคลึงกับไทย แต่เมื่อเทียบกันแล้วยังถือว่าห่างกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเวียดนามเติบโตก้าวกระโดด โดยในปัจจุบัน เวียดนามเป็นหมุดหมายอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวเกาหลี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ใกล้ และไฟลท์บินก็เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15 ไฟลท์
นอกจากนี้ เกาหลีก็เข้าไปลงทุนในเวียดนามมานาน ทำให้มีความคุ้นเคยมากกว่าไทย ดังนั้น ไทยเองก็ต้องลงทุนเพิ่มเติม เช่น เรื่องวีซ่าที่ทำให้ง่ายสะดวก และสายการบินก็ต้องเปิดเส้นทางการบินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ออมรี มองว่า ไทยมีศักยภาพที่จะเป็น ฮับด้านเทคโนโลยี จึงอยากให้ไทยพัฒนาในส่วนนี้ เพื่อดึงดูดให้นักลงทุน นักธุรกิจทั่วโลกเดินทางมาพบปะ แชร์ไอเดีย และเจรจาด้านธุรกิจ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะยิ่งดึงดูดการเดินทาง
“ความเห็นส่วนตัว ผมมอยากให้ไทยเป็นฮับของเทคโนโลยี ตอนนี้สิงคโปร์มีภาพด้านนี้มากกว่า เเต่ผมเชื่อว่าเรามีประสิทธิภาพที่จะเป็นฮับด้านเทคโนโลยีของภูมิภาคได้ เพราะปัจจุบันไทยถือเป็นศูนย์กลางของอโกด้า พนักงานส่วนใหญ่ก็อยู่ไทย ศูนย์กลางเทคโนโลยีก็อยู่ไทย และพนักงานเกือบครึ่งของเราที่เป็นชาวต่างชาติก็ชอบไทยมาก”
สำหรับยอดการใช้งานของอโกด้าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาเติบโตกว่าปี 2019 แล้ว โดยยอดค้นหาเพิ่มขึ้น 60% ยอดค้นหาท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น 49% อย่างไรก็ตาม ยอดการค้นหาข้อมูลการเที่ยวต่างประเทศของคนไทยยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เพราะต้องยอมรับว่ามีเรื่องของ ราคา เข้ามาเป็นปัจจัย อย่างค่าตั๋วเครื่องบินก็ถือว่าสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนไฟลท์ไม่เพียงพอ
ดังนั้น เรื่องของ ราคา จะเป็น 1 ใน 3 ด้านที่อโกด้าเน้นมากในปัจจุบันและอนาคต โดยพยายามจะทำราคาให้ดีที่สุด มีฟีเจอร์อย่าง Price Freeze ช่วยให้ผู้จองสามารถล็อกราคาที่พักที่กำลังดู อีก 2 ด้านจะเป็นการพัฒนา เทคโนโลยี โดยล่าสุดเริ่มนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้ และสุดท้ายคือ Localization
“เรามองว่าการท่องเที่ยวตอนนี้มันไม่ได้เติบโตเพราะอั้นแล้วจะลดลง เราเชื่อว่าจะคงที่ไปเรื่อย ๆ เช่น ฝั่งยุโรปและอเมริกาที่เปิดการท่องเที่ยวก่อนหลาย ๆ ประเทศ แต่ก็ยังไม่ตกลงเท่าไหร่ในปัจจุบัน โดยเราอยากให้คนเข้าถึงการท่องเที่ยวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเลยพยายามทำราคาให้ดีที่สุดเปลี่ยนแท็กไลน์เป็น ให้เห็นโลกในราคาที่ต่ำลง เพราะถ้ามาจองกับเราแล้วถูกลงอีก 1-2% แล้วทำให้คนเที่ยวได้ก็โอเคเเล้ว”
]]>นายอมันพรีท บาจาจ ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ฮ่องกง และไต้หวัน ของ Airbnb กล่าวว่า ในปี 2022 การท่องเที่ยวในแถบอเมริกาและยุโรปมีการฟื้นตัวมากกว่าฝั่งเอเชีย เนื่องจากมาตรการด้านโควิดที่ผ่อนคลายมากกว่า แต่ในปี 2023 การท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียมีการฟื้นตัวมากขึ้น เนื่องจากการเปิดประเทศของจีน ขณะที่ไทยเองก็ถือเป็นหนึ่งในปลายทางสำคัญ
โดยปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวถึง 11.15 ล้านคน โดย กรุงเทพฯ ถือเป็นปลายทางอันดับ 1 ที่มีการจองที่พักมากที่สุดของแพลตฟอร์ม ตามด้วย ภูเก็ต, พัทยา, เชียงใหม่ และเกาะสมุย โดยประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากที่สุดของแพลตฟอร์ม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ยุโรป, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และจีน
สำหรับในปี 2023 นี้ ไทยยังคงติด Top 5 ปลายทางยอดนิยมบน Airbnb คาดว่าภาพรวมทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยประมาณ 25-30 ล้านคน โดย นักท่องเที่ยวจีนจะเป็นกลุ่มขับเคลื่อนหลัก เพราะตั้งแต่ที่จีนเปิดประเทศ ไทยเป็นปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนค้นหาที่พักมากที่สุด และกรุงเทพฯ ถือเป็นปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก
สำหรับช่วงเทศกาล สงกรานต์ การค้นหาที่พักในช่วงเทศกาลดังกล่าวเติบโตขึ้น 310% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดย 5 ปลายทางที่ถูกค้นหามากที่สุด ได้แก่
โดยนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางในช่วงสงกรานต์มากที่สุด ได้แก่ ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และฝรั่งเศส ส่วนประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์, เกาหลีใต้, จีน และมาเลเซีย
สำหรับเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวในปี 2023 จะเป็นการเดินทางแบบกลุ่มมากขึ้น เฉพาะประเทศไทยเติบโตขึ้นถึง 300% เนื่องจากผู้คนต้องการเดินทางมาเพื่อสานสัมพันธ์กับเพื่อน คนรัก และครอบครัว นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแบบ Family Travel ทั่วโลกก็เติบโตขึ้นถึง 60% นอกจากนี้ อีกเทรนด์ที่เห็นคือ การนำ สัตว์เลี้ยง ไปท่องเที่ยวด้วย โดยปัจจุบันมีโฮสต์ที่รองรับการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่มีสัตว์กว่า 2,800 โฮสต์
ขณะที่ระยะเวลาในการเข้าก็เติบโตขึ้น โดยการพักในไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5 คืน และการเข้าพักระยะยาวมากกว่า 28 วัน เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า เนื่องจากคนสามารถทำงานและท่องเที่ยวด้วยการทำงานทางไกลได้ ทำให้การท่องเที่ยวเป็นแบบอยู่ยาว (Long Stay) มากขึ้น นอกจากนี้ ปลายทางที่นักท่องเที่ยวสนใจหมุดหมายท่องเที่ยวใหม่ ๆ เน้นสัมผัสธรรมชาติและเสน่ห์ของคนพื้นเมือง
“ที่คนจีนเลือกไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่เขาอยากมาเที่ยวเพราะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีจำนวนมาก และเขาก็มีความสนใจที่จะเรียนรู้และสัมผัสกับภูมิปัญญาท้องถิ่น”
กลับกัน สำหรับคนไทยเองก็มีความต้องการเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น โดยจุดหมาย 5 อันดับที่คนไทยค้นหามากที่สุดของ Airbnb ในปี 2022 ได้แก่ เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดยเมืองที่นักท่องเที่ยวไทยจองที่พักที่สุด ได้แก่ โซล, ลอนดอน, ปารีส, เมลเบิร์น และนิวยอร์ก
สำหรับ Airbnb ปัจจุบันมีโฮสต์ 6.6 ล้านแห่ง รวมนักท่องเที่ยวกว่า 4.4 พันล้านราย โดยทางแพลตฟอร์มไม่สามารถเปิดเผยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์มและจำนวนโฮสต์เติบโตเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
]]>สำหรับสายเที่ยวน่าจะคุ้นกับชื่อของแพลตฟอร์ม มาคาเลียส (Makalius) กันมาบ้าง เพราะถือเป็น แหล่งรวมวอเชอร์ที่พัก กิน เที่ยว ทั้งไทยและต่างประเทศซึ่งก่อตั้งมาเป็นเวลา 4 ปี แล้ว โดย น้ำ ณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า จริง ๆ แล้ว ตนเองเป็นคนชอบท่องเที่ยว และได้เริ่มเป็น Travel Blogger โดยใช้ชื่อว่า Trip and tech-ไปตามน้ำ
แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้มาเปิดแพลตฟอร์มขายวอเชอร์เพราะงาน อินฟลูเอนเซอร์โลก โดยได้เจอกับ Darius Lebedzinskas สตาร์ทอัพชาวลิทัวเนียที่เปิดแพลตฟอร์ม Makalius ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกัน จนนำไปสู่การร่วมมือกันขยายแพลตฟอร์มมาสู่ประเทศไทย โดยเริ่มจากนำนักท่องเที่ยวลิทัวเนียมาไทย จากนั้นถึงพัฒนามาขายวอเชอร์ในประเทศตั้งแต่ปลายปี 2018
“เราเอาแค่โครงเขามา แต่รายละเอียดนอกนั้นเปลี่ยนหมดเลย เพราะพฤติกรรมลูกค้าไทยกับของลิทัวเนียต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างรูปก็ใช้ของทางโรงแรม แต่เราต้องถ่ายเองใหม่หมด เพราะลูกค้ากลัวไปแล้วไม่สวยจริง เรื่องความเชื่อมั่นก็เป็นอีกส่วน”
ณีรนุช อธิบายว่า หลายคนชอบมองว่าการขายวอเชอร์เป็นเรื่องง่าย แค่รับมาแล้วขายไป แต่พอลงลึกมันมีอะไรมากกว่านั้นโดยเฉพาะ ความน่าเชื่อถือ เพราะต้องยอมรับว่า ตลาดไทยมีภาพจำที่ไม่ค่อยดี นอกจากนี้ คนไทยยังไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ของการซื้อวอเชอร์ที่ต้องแจ้งล่วงหน้าเมื่อจะเข้าภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ซื้อปุ๊บแล้วใช้หน้างานได้เลย แต่คุ้นกับการซื้อกับ Travel Agent ที่จองวันไหนใช้วันนั้น
ดังนั้น จึงไม่มีแพลตฟอร์มที่เป็นคู่แข่งโดยตรง ส่วนใหญ่ในตลาดจะเป็นรายย่อยที่ได้บัตรมาฟรี หรือไม่ก็รับมาจากโรงแรมหรือร้านอาหาร
“ที่เรามองว่าที่ไม่มีคู่แข่งเพราะการขายวอเชอร์มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่เข้าใจยากกว่าที่คิด มันไม่ใช่การขายสินค้าแล้วจบไป แต่มันจะเกิดการตอบโต้กับลูกค้า เวลามีปัญหาอะไรลูกค้าเขาไม่ติดต่อโรงแรมโดยตรงแต่เขาติดต่อเรา อีกส่วนก็ต้องยอมรับว่าภาพจำการขายวอเชอร์ไทยไม่ค่อยดีด้วย”
แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายโดยตรง แต่เมื่อมีข่าวลบเกี่ยวกับ วอเชอร์ทิพย์ มันส่งผลต่อความเชื่อมั่น โดย ณีรนุช เล่าว่า พอมีข่าวลบเมื่อไหร่ลูกค้ามีคำถามมากขึ้น ระยะเวลาในการตัดสินใจชำระเงินนานขึ้น จากเดิมกดจ่ายทันทีกลายเป็นข้ามวันหรือหลาย ๆ วัน
ดังนั้น หนึ่งในสิ่งที่ช่วยให้แพลตฟอร์มมีความน่าเชื่อถือคือ คัสตอมเมอร์เซอร์วิส เพื่อสร้างความสบายใจให้ลูกค้าว่าพร้อมจะช่วยเหลือตลอดหากเจอปัญหา โดยปัจจุบันให้บริการ 09.00-22.00 น. แต่ในอนาคตมีแผนจะให้บริการ 24 ชั่วโมง และการตลาดปีนี้จะมุ่งไปที่ ออฟไลน์ มากขึ้น อาทิ ออกงานอีเวนต์ และใช้สื่อ Out Of Home เพื่อสร้างตัวตน เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้บริโภคมั่นใจมากขึ้น แม้ต้องใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้นถึง 10% ก็ตาม
“ปัญหาวอเชอร์เนี่ยมันมีมาหลายครั้งแน่นอนว่าลูกค้าก็กลัว บางคนมาหาถึงออฟฟิศก็มีเพราะอยากรู้ว่ามีตัวตนจริงไหม แต่สุดท้ายปลายทางคือ เราต้องทำบริการให้ดีเพื่อให้เกิดการบอกต่อ เพราะที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้ 40% ของลูกค้าเราเป็นลูกค้าเก่า”
ด้วยความที่บิสซิเนสโมเดลของมาคาเลียสจะเป็นตัวกลางที่นำวอเชอร์ของพันธมิตรมาขาย ถ้าขายได้ก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น แพลตฟอร์มก็ต้องมีวิธีการ คัดกรองพันธมิตร ที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น เช่น ตรวจสอบว่าเปิดกิจการนานแค่ไหน การตรวจสอบกระแสเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ มีการเข้าไปชมสถานที่จริง รวมถึงพูดคุยกับผู้บริการถึงแผนการดำเนินธุรกิจ และมี มาตรการชดเชยลูกค้าผ่าน 3 ทางเลือก ได้แก่ การคืนเงิน มอบเครดิตเงินคืน และอัปเกรดบริการ
“สุดท้ายสิ่งที่เราทำมันคงคัดกรองได้ส่วนหนึ่ง คงไม่ได้ 100% ดังนั้น เราเองก็ต้องมีมาตรการดูแลลูกค้า หากเกิดกรณีที่วอเชอร์มีปัญหา”
สำหรับในส่วนของลูกค้าที่จะเลือกซื้อวอเชอร์ อาจต้องตรวจสอบเบื้องต้น ทั้งระยะเวลาการเปิดกิจการ, รีวิวจากลูกค้าอื่น ๆ นอกจากนี้ ณีรนุช ยังย้ำว่า วอเชอร์ราคาถูกได้ แต่ไม่ใช่ถูกเกินไป
ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์สถานการณ์ยังแย่อยู่ เพราะมีข่าวโควิดระบาดหนักหลังจากหยุดยาวปีใหม่ จนมาช่วงมีนาคมการเติบโตก็กลับมาจนเกือบจะปกติเมื่อเทียบกับปี 2019 ส่วนช่วงไตรมาสสุดท้ายเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพราะเป็นไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว ทั้งการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการเที่ยวต่างประเทศของคนไทย
โดยทางแพลตฟอร์มก็ได้ถือโอกาสขยายโปรดักต์ แพ็กเกจเที่ยวต่างประเทศ เป็นครั้งแรก โดยเฟสแรกเปิดที่ มัลดีฟส์ ส่วนเฟสต่อไปจะเป็น ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว และ เวียดนาม นอกจากนี้กำลังมีแผนทำแพ็กเกจเที่ยว ยุโรป และแพ็กเกจ ดูบอลโลก ที่ประเทศกาตาร์ในช่วงปลายปีด้วย
นอกจากนี้ ได้เพิ่ม Corporate Package บริการจัดแพ็กเกจด้านการท่องเที่ยว-สัมมนา-เลี้ยงฉลอง แบบครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้ง SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากเริ่มเห็นความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น
“ความยากของการขายวอเชอร์ คือการทำแพ็กเกจให้ดีที่สุด เราจะทำยังไงให้ดึงดูดและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเรามากที่สุด นี่คือความท้าทายของแพลตฟอร์มที่ต้องวิเคราะห์เทรนด์และความต้องการของลูกค้าตลอดเวลา เพื่อออกแบบแพ็กเกจให้ตรงใจและคุ้มค่าเพื่อจะดึงดูดลูกค้า”
แม้ว่าจะเจอกับ COVID-19 จนทำให้ต้องปรับตัวจากแค่ขายวอเชอร์โรงแรม ต้องมาขายวอเชอร์เรือสำราญและร้านอาหาร แต่ ณีรนุช ยืนยันว่า คงไม่หันไปเอาวอเชอร์อื่น ๆ มาขาย เพราะอยากโฟกัสแค่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมนั้นกว้างมากพอที่จะไปต่อได้แม้จะมีวิกฤตต่าง ๆ เข้ามา
“ตั้งแต่เจอโควิดในปีที่ 2 ของการทำงาน เราก็ปรับตัวมาตลอด แต่เราไม่คิดจะแตกไปนอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพราะเราไม่ถนัด กลัวว่าทำแล้วมันจะออกมาไม่ดี แล้วเราก็อยากสร้างภาพจำให้กับลูกค้า”
นอกจากนี้ ยังไม่คิดที่จะขายวอเชอร์บนแพลตฟอร์มอี-มาร์เก็ตเพลส เนื่องจากต้องการทำให้แพลตฟอร์มตัวเองแข็งแรงและเก็บเกี่ยวยูสเซอร์ให้มากที่สุด เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันเว็บไซต์มียอดเข้าชม 1 ล้านครั้ง/เดือน จากลูกค้า 2 แสนราย ส่วนแฟนเพจ Facebook มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนราย
“ที่เราทำเทสติ้งลองขายบน Shopee ลูกค้าที่ซื้อก็เป็นลูกค้าเดิมของเรา แต่เขาซื้อผ่านมาร์เก็ตเพลสเพราะมีส่วนลด ซึ่งเรามองว่าถ้าเราขายผ่านอีคอมเมิร์ซลูกค้าที่เข้ามาก็จะเป็นลูกค้าของแพลตฟอร์มนั้น ๆ ไม่ใช่ของบริษัท ดังนั้น เป็นของเราเองมันยั่งยืนกว่า”
สำหรับปีนี้ มาคาเลียสตั้งเป้าที่จะเพิ่มผู้ใช้อีก 5-7 หมื่นราย รวมเป็น 2.7 แสนราย ทำรายได้ 130 ล้านบาท มีกำไร 18-20% และใน 3-5 ปีข้างหน้า อยากจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดมีผู้ใช้ 1 ล้านราย
]]>การสำรวจการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกโดย Agoda พบว่า “ไทย” เป็นจุดหมายอันดับ 1 ที่คนหลายประเทศค้นหามากที่สุด ดังนี้
จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมในแถบนี้ มีเพียงชาวอินโดนีเซียที่ประเทศไทยไม่สามารถเข้าไปอยู่ใน 3 อันดับแรกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้
นอกจากแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในไทยแล้ว การผ่อนคลายวิธีการเข้าเมืองให้ง่ายขึ้นของไทยน่าจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2565 ประเทศไทยจะลดขั้นตอนสำหรับผู้เดินทางเข้าเมืองที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เพียงลงทะเบียนข้อมูลใน Thailand Pass และเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึง มีเพียงข้อแนะนำให้ตรวจ ATK เท่านั้น
สำหรับนักท่องเที่ยวไทย หากไม่นับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังครองใจมากที่สุดในระยะนี้ การเดินทางต่างประเทศ 5 อันดับแรกที่คนไทยต้องการไปมากที่สุด ได้แก่
ที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีใต้ซึ่งการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนยังอยู่ในอันดับ 6 แต่ล่าสุดพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 หลังจากผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้คนไทยเริ่มค้นหาและวางแผนการท่องเที่ยวกันทันที
ช่วงเดือนพฤษภาคม “ทะเล” ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยนิยม โดยสองอันดับแรกคือพัทยาและหัวหิน ยังคงครองใจคนไทยสูงสุดเมื่อคิดจะไปท่องเที่ยว โดย 10 อันดับแรกเมืองที่คนไทยค้นหามากที่สุด ได้แก่
ในช่วงไตรมาส 3 บริษัทรายงานว่ามียอดการจองที่พักกว่า 79.7 ล้านคืน ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2 รวมถึงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 80.8 ล้านคืน อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าวถือว่าเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 29% ซึ่งช่วงนั้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนักจาก COVID-19
ขณะที่รายได้และกำไรของบริษัท นับว่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในไตรมาสที่ 3 โดยมีรายได้อยู่ที่ 2.24 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 2.05 พันล้านดอลลาร์ กำไรเพิ่มขึ้น 280% เป็น 834 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบเป็นรายปี โดย Airbnb คาดว่ากำไรในช่วงไตรมาส 4 จะอยู่ระหว่าง 1.39 พันล้านดอลลาร์ถึง 1.48 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม Airbnb คาดว่า ไตรมาส 4 จะยังคงมีความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวที่แข็งแรง และจะลากยาวไปจนถึงปี 2022 ทั้งนี้ Airbnb มองว่าแนวโน้มการฟื้นตัวจาก COVID-19 ยังคงแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โดยขึ้นอยู่กับอัตราการฉีดวัคซีนและข้อจำกัดการเดินทางของแต่ละประเทศ เพราะแค่ที่อเมริกาเหนือเพียงประเทศเดียว จำนวนคืนและประสบการณ์ที่จองเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งยังไม่มีการระบาดของ COVID-19
“เมื่อมองไปถึงปี 2022 ความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 จะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการเติบโต”
โจทย์ใหญ่ธุรกิจท่องเที่ยว เปิดประเทศเเต่ขาดลูกค้าชาวจีน เเถมใกล้หมดยุค ‘ทัวร์จีน’ กรุ๊ปใหญ่
สำหรับประเทศไทย Airbnb ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ ไทยเปิดประเทศ รับนักเดินทางจาก 63 ประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นวันแรกพบว่า ยอดค้นหาที่พักในประเทศไทย โดยนักเดินทางต่างประเทศที่จะเข้ามาในช่วง 6 เดือนจากนี้ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยนักเดินทางได้เลือกเสิร์ชหาที่พักด้วยคำว่า วิลล่า (villa) มาเป็นอันดับแรก
โดย ภูเก็ต ยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของไทยและเป็นคำค้นหาหลัก ตามมาด้วย กรุงเทพฯ สมุย พัทยา และ เชียงใหม่ ทั้งนี้ จังหวัดที่ใกล้กรุงเทพฯ มีแนวโน้มติดเทรนด์เช่นกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมา Airbnb พบว่า นักเดินทางต่างชาติค้นหาที่พักใน เพชรบุรี เพิ่มขึ้นถึง 80% ในช่วง 6 เดือนจากนี้ รวมถึง พัทยาและหัวหิน ที่มีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ส่วนนักเดินทางกลุ่มหลักที่ต้องการเดินทางสู่ท่องเที่ยวประเทศไทยที่กำลังค้นหาที่พักบน Airbnb จาก 10 ประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เกาหลี, ออสเตรเลีย, แคนาดา, สวีเดน และ สวิตเซอร์แลนด์ และในช่วงสัปดาห์ของวันที่ 18 ตุลาคมที่ผานมา พบว่ามีการค้นหาที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจากประเทศเยอรมนี เกาหลี ออสเตรเลีย และ สวิตเซอร์แลนด์
]]>สำนักข่าว Bloomberg รายงานบทวิเคราะห์ของ ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Standard Chartered ระบุว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย ที่มีสัดส่วนถึง 15% ของ GDP จะเป็นไปอย่างช้าๆ ส่งผลทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน จะยังคงอ่อนแอในช่วง 2 ปีข้างหน้า
“เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวลำบาก หากภาคการท่องเที่ยวไม่ดีขึ้น เเละอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอลงในช่วงปี 2022-2023”
รัฐบาลไทย วางเเผนจะยกเลิก ‘มาตรการกักตัว’ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์อยู่ร่วมกับโควิด-19 เเทน
เเต่ Standard Chartered มองว่า “แผนการเปิดประเทศอาจสะดุดหากสถานการณ์โรคระบาดในไทย มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”
ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยลดลงเหลือ 73,932 คน จากจำนวนเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 ที่เคยสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ไทยยังต้องการนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 6 ล้านคน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปใน 8 เดือนแรก จนถึงเดือน ส.ค.ของปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ”
ในปีหน้า มีการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 4 ล้านคนเข้ามา ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เทียบเท่ากับ 1% ของ GDP โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะจับจ่ายใช้สอยราว 1,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 50,775 บาทต่อคน ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไทย
ทิม กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือ นักท่องเที่ยวจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทยในปี 2019 “ไม่น่าจะกลับมาเป็นจำนวนมากในเร็วๆ นี้” เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางที่เข้มงวด
ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดีย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย. จากช่วงเทศกาลดิวาลี ก็ยังจะไม่เท่ากับจำนวนของนักท่องเที่ยวจากจีน
ทั้งนี้ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทย เพียงเหลือ 150,000 คนในปีนี้ และ 6 ล้านคนในปี 2022
ที่มา : Bloomberg
]]>
Airbnb ร่วมกับบริษัทวิจัย YouGov สำรวจแนวโน้มการท่องเที่ยวของคนไทย โดยสำรวจเมื่อวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2564 พบพฤติกรรมนักเดินทางชาวไทย ดังนี้
คนไทย 41% ตั้งงบเดินทางระหว่าง 5,001-15,000 บาทต่อทริป และ 24% ตั้งงบไม่เกิน 5,000 บาทต่อทริป สะท้อนภาพว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม Airbnb ไฮไลต์ด้วยว่ากลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามอายุเกิน 55 ปีมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากกว่า 50,000 บาทต่อทริป
การตั้งงบประมาณไม่สูงนักสอดคล้องกับปัจจัยการตัดสินใจของคนไทย โดยปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว ได้แก่ 1) โปรโมชันและส่วนลดของที่พัก 2) สถานการณ์ COVID-19 เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อ 3) ค่าเดินทางที่สมเหตุสมผล เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโดยสารรถประจำทาง
คนไทยยังต้องการเดินทางระยะสั้น ประมาณ 60% ต้องการเดินทาง 2-3 คืน และกว่า 10% ต้องการเดินทาง 1 คืน
แม้ว่าช่วง COVID-19 จะทำให้คนไทยอยู่กับครอบครัวมากขึ้นอยู่แล้ว แต่ 47% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังตอบว่าตนเองวางแผนท่องเที่ยวกับครอบครัว รองลงมาประมาณ 17% จะเดินทางกับคนรัก ขณะที่กลุ่มคนเดินทางคนเดียวและเดินทางกับกลุ่มเพื่อนมีสัดส่วน 13% เท่าๆ กัน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม 3 อันดับแรกที่คนไทยเลือกคือ 1) ใกล้ชิดธรรมชาติ 2) อากาศดี และ 3) บ้านเพื่อนหรือครอบครัวในต่างจังหวัด โดยจุดหมายปลายทางเมืองใหญ่ในไทยอยู่อันดับท้ายสุด
คนไทย 73% ยังตอบว่าตนมีความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน สอดคล้องกับการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ธรรมชาติ
แรงบันดาลใจสำคัญต่อการท่องเที่ยวของคนไทย อันดับแรกคือ “โซเชียลมีเดีย” มีผู้ตอบแบบสอบถามข้อนี้ถึง 68% รองลงมาคือ ครอบครัวและเพื่อน ตามด้วย บล็อกเกอร์ท่องเที่ยว เห็นได้ว่าการบอกปากต่อปากมีอิทธิพลสูงกับคนไทย
สำหรับ Airbnb ในช่วงปีที่ผ่านมาต้องปรับตัวกับสถานการณ์ COVID-19 เช่นกัน เนื่องจากการล็อกดาวน์ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้ลำบาก จึงมีการพัฒนาโปรแกรมใหม่ “Online Experiences” ต่อยอดจากโปรแกรม Experiences ที่เคยมี แต่จัดในรูปแบบออนไลน์ทดแทน เป็นช่องทางให้โฮสต์ที่พัก Airbnb หารายได้พยุงตัวไปก่อนในช่วงวิกฤต
]]>ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยผลสำรวจพบว่า คนกรุงเทพฯ กว่า 54.8% ไม่มีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2564 โดยกว่า 40.7% เป็นการยกเลิกหรือเลื่อนแผนการเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ได้วางแผนไว้ก่อนหน้า
ขณะที่กลุ่มตัวอย่างราว 30.9% บอกว่า ยังมีแผนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ซึ่งมีทั้งการเดินทางเพื่อท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนและการเดินทางไปเช้า–เย็นกลับ
ปัจจัยหลักๆ ที่ต้องยกเลิกท่องเที่ยวปีใหม่ มาจากการระบาดของ COVID-19 รองลงมาเป็นเหตุผลอื่นๆ เช่น กลุ่มตัวอย่างได้เดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวไปก่อนหน้านี้แล้ว หรืออยากหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ก็มีแผนที่จะท่องเที่ยวหลังปีใหม่ เเละบางส่วนมีปัญหาการเงิน ปัจจัยเศรษฐกิจในครัวเรือน ฯลฯ
โดยการวางแผนการท่องเที่ยว ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวของผู้ตอบแบบสอบถาม
“การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ นับเป็นข่าวร้ายต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังอยู่ในระยะของการเริ่มฟื้นตัว ขณะที่แม้ทางการจะออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการระบาดระลอกใหม่ แต่ยังไม่ได้มีข้อจำกัดห้ามเดินทางข้ามจังหวัดก็ตาม”
คาดว่าการที่ประชาชนอยู่บ้านในช่วงปีใหม่ จะทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้จากคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน (ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) คิดเป็นมูลค่าราว 5,850 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่สูญเสียไปประมาณ 58.4% ของรายได้ไทยเที่ยวไทยในช่วงเวลาปกติ 4 วัน ที่ไม่ได้เกิดการระบาดระลอกใหม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงเวลานี้ภาคการท่องเที่ยวคงจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีข่าวการพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ส่วนพื้นที่ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อหรือมีจำนวนผู้ติดเชื้อในอัตราที่ต่ำ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ของผู้ประกอบการ คือ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดในพื้นที่ที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ ของผู้ประกอบการ อย่างเว็บไซต์ หรือช่องทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกค้าที่จะมาใช้บริการหรือมีแผนที่จะเดินทางในช่วงนี้ และป้องกันการเกิดข่าวลืออันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะมาใช้บริการ เเละจะต้องเตรียมแผนรองรับการปรับเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การระบาดในระยะนี้
ในกรณีที่ทางการสามารถควบคุมดูแลการระบาดของ COVID-19 ให้อยู่ในวงจำกัด และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ภายในช่วงระยะเวลา 1 เดือนต่อจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพรวมของตลาดไทยเที่ยวไทยน่าจะทยอยกลับมา “ฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 1/64”
]]>
Europ Assitstance ร่วมกับ IPSOS จัดทำผลสำรวจ “อนาคตการท่องเที่ยว” (Future of Travel) สำรวจระหว่างวันที่ 5-26 มิถุนายน 2563 ทำแบบสอบถามนักท่องเที่ยวใน 11 ประเทศ ประเทศละ 1,000 คน ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย เบลเยียม สเปน อิตาลี โปแลนด์ สหราชอาณาจักร จีน ไทย และสหรัฐอเมริกา
สำหรับ “ประเทศไทย” ข้อมูลที่ผลงานวิจัยนี้ค้นพบมีดังนี้
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวประเทศอื่น ผู้จัดทำการสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวไทยยังเลือกสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศแม้เข้าสู่ปี 2564 แตกต่างจากชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่ตอบว่าจะออกเที่ยวต่างประเทศแล้วในปีหน้า
นอกจากนี้ คนไทยถึง 71% เลือกที่พักเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ต มากกว่าค่าเฉลี่ยรวม 11 ประเทศที่เลือกโรงแรมหรือรีสอร์ต 58% และเลือกเช่าที่พักส่วนตัว (บ้านเช่า/คอนโดฯ) สูงถึง 42%
นักท่องเที่ยวไทยยังมีความห่วงกังวลถึงความปลอดภัยสูงกว่า ด้วย เพราะมีคนไทยที่ต้องการทำประกันการเดินทางสูงถึง 70% ส่วนค่าเฉลี่ยรวม 11 ประเทศตอบว่าจะทำประกันเพียง 54% เท่านั้น
จากผลสำรวจเหล่านี้สะท้อนภาพว่าการท่องเที่ยวและโรงแรมในไทยมีโอกาสสูงมากหากจับกลุ่มคนไทย เน้นนักท่องเที่ยวจังหวัดใกล้เคียงที่ขับรถสะดวก และใช้จุดขายเรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่พลุกพล่าน น่าจะได้ผลดีที่สุด
]]>