บล็อกเชน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 25 Sep 2023 07:11:17 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักสะสม 23 ล้านคนทั่วโลกติดดอย “NFT” ผลงานศิลปะดิจิทัล 95% ในตลาดมูลค่าลดจนเป็น “ศูนย์” https://positioningmag.com/1445385 Mon, 25 Sep 2023 07:08:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445385 ยังจำ “NFT” กันได้หรือไม่? “สินทรัพย์ดิจิทัล” ที่เคยฮิตจัดช่วงปี 2021-2022 บัดนี้นักวิจัยพบว่า 95% ของงานศิลปะดิจิทัลในตลาดลดมูลค่าลงเหลือ “0 ETH” ส่วนคอลเล็กชันที่ยังมีการถือครองแลกเปลี่ยน 5% ที่เหลือนั้นส่วนใหญ่มีราคาเพียงชิ้นละ 5-100 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 180-3,600 บาท) สถานการณ์นี้ส่งผลให้นักสะสม 23 ล้านคนมีอาการ “ติดดอย” กันถ้วนหน้า

“ตลาด NFT ตายหรือยัง?” เป็นคำถามตั้งโจทย์ของนักวิจัย dappGambl และคำตอบที่พวกเขาพบก็น่าจะตอบได้กลายๆ ว่า “ตายแล้ว”

นักวิจัยกลุ่มนี้ใช้ดาต้าจาก NFT Scan และ CoinMarketCap รวบรวมราคาคอลเล็กชัน NFT ทั้งหมด 73,257 ชิ้น และปรากฏว่ามี 69,795 ชิ้น หรือคิดเป็น 95% ที่มีมูลค่าตลาดเท่ากับ “0 ETH”

พวกเขายังประเมินด้วยว่า มีนักสะสมราว 23 ล้านคนที่ถือสินทรัพย์ไร้ค่าเหล่านี้ไว้ในมือ

“ความจริงวันนี้เป็นเหมือนอาการสร่างเมาจากฤทธิ์ยาที่ทำให้เคลิบเคลิ้มในช่วงที่ทุกคนเห่อ NFT” นักวิจัยกล่าว “ท่ามกลางเรื่องราวฮือฮาของการขายงานศิลปะดิจิทัลได้ชิ้นละหลายล้านเหรียญสหรัฐ และการประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืนของการขายทำกำไร มันก็ง่ายที่คนจะมองข้ามความจริงที่ว่าตลาดนี้เต็มไปด้วยหุบเหวของความเสี่ยงที่จะขาดทุน”

คอลเล็กชัน Bored Apes

NFT คืองานศิลปะหรืองานสะสมแบบดิจิทัลที่อยู่บนระบบบล็อกเชน ส่วนใหญ่มักจะใช้ระบบอีเธอเรียม (ETH) แต่ละชิ้นงานบนบล็อกเชนนี้มีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่สามารถทำซ้ำได้

ช่วงปี 2021-2022 งาน NFT ได้รับความนิยมมากจนตลาดขยายตัวเร็ว ช่วงที่ขยายตัวมากที่สุดคือมีการเทรดคิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1 แสนล้านบาท) ภายในเดือนเดียว

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คอลเล็กชันดังๆ อย่าง Bored Apes และ CryptoPunks ออกสู่ตลาดและขายได้ในราคาหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเซเลปดังๆ เช่น Snoop Dogg หรือ Justin Bieber ร่วมวงประมูลซื้อด้วย

จังหวะการบูมของ NFT สอดคล้องไปกับจังหวะขาขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล ในช่วงเดียวกันนั้นบิตคอยน์ซื้อขายกันที่ราคาเกือบ 70,000 เหรียญ (ประมาณ 2.52 ล้านบาท) แต่ในเดือนกันยายน 2023 ราคาบิตคอยน์ลงมาเหลือแค่ 27,000 เหรียญ (ประมาณ 9.73 แสนบาท)

dappGambl พบว่า 79% ของผลงาน NFT ในตลาดปัจจุบันยังไม่เคยขายได้เลย และเมื่อซัพพลายล้นเกินดีมานด์ไปแล้วทำให้ปัจจุบันตลาด NFT คือตลาดของผู้ซื้อ ซึ่งก็เป็นตลาดที่ไม่ได้มีอะไรจะมาปลุกชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ในจำนวนคอลเล็กชันมากกว่า 7 หมื่นชิ้นนั้น ถ้านับเฉพาะคอลเล็กชันที่มีความสำคัญในตลาด เป็นผลงานที่พอจะมีชื่อเสียง จะมีประมาณ 8,850 ชิ้น แม้กระทั่งคัดกรองแต่กลุ่มผลงานระดับบนมาแล้ว แต่ผลงานเหล่านี้ส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 41% ก็มีมูลค่าแค่ 5-100 เหรียญ (ประมาณ 180-3,600 บาท) หนำซ้ำยังมีถึง 18% ที่จัดอยู่ในหมวด “ไร้ค่า” ไม่เหลือราคาแล้ว

เหลืองาน NFT เพียง 1% ในตลาดเท่านั้นที่ยังทำราคาได้เกิน 6,000 เหรียญต่อชิ้น (ประมาณ 2.16 แสนบาท) แต่ราคานี้ก็ยังถือว่าต่ำลงฮวบฮาบเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อนที่ผลงานพวกนี้มีราคาอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญต่อชิ้น (ประมาณ 36 ล้านบาท)

“เห็นได้ชัดเลยว่าตลาด NFT ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยนักเก็งกำไรและเข้าตลาดมาด้วยความหวังว่าราคาจะขึ้น” นักวิจัยระบุ “นอกจากนี้ ความต่างของราคาตั้งขายกับราคาที่ขายได้จริงในตลาดวันนี้ ยังเป็นตัวบอกด้วยว่าผู้ขายหลายรายยังคงรอคอยที่จะมีเวฟขาขึ้นรอบใหม่ของ NFT เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2021 ซึ่งอาจจะไม่เกิดอีกเลยก็ได้”

Source

]]>
1445385
ชาญอิสสระ x SIX Network ดึงเทคฯ “บล็อกเชน” สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า https://positioningmag.com/1401798 Mon, 26 Sep 2022 13:00:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401798 บริษัทอสังหาฯ-โรงแรม “ชาญอิสสระ” เข้าร่วมเป็น Validator Node ในเครือข่ายบล็อกเชน “SIX Protocol” จุดเริ่มต้นสร้างประสบการณ์ด้านดิจิทัลให้ลูกค้า คาดปลายไตรมาส 1/66 คลอดโปรเจกต์แรก “NFT” แทนเวาเชอร์เพื่อใช้ในกลุ่มโรงแรมศรีพันวา-บาบา บีช และเทรดซื้อขายต่อได้อย่างถูกต้องปลอดภัย

บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิกซ์ เน็ตเวิร์ก จำกัด (SIX Network) ประกาศความร่วมมือบนเครือข่ายบล็อกเชน “SIX Protocol” โดยชาญอิสสระเป็นหนึ่งใน Validator ของเครือข่าย และเริ่มใช้งานแล้วกว่า 1 เดือน

“ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์” Co-Founder และซีอีโอ บริษัท ซิกซ์ เน็ตเวิร์ก จำกัด อธิบายถึง SIX Protocol ก่อนว่า เป็นเครือข่ายบล็อกเชนหนึ่งที่บริษัทสร้างขึ้น โดยมีการเชิญพาร์ตเนอร์เข้ามาเป็น Validator Node ปัจจุบันตกลงเข้าร่วมแล้วมากกว่า 21 รายจากหลายอุตสาหกรรม เช่น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด, บมจ.แพลน บี มีเดีย, PIMRYPIE, หนุ่ย-พงศ์สุข (แบไต๋), ซี-ฉัตรปวีณ์ (Ceemeagain) ทุกรายที่เข้ามาเป็น Validator จะมีการซื้อ SIX Coin รายละ 1 ล้านเหรียญเพื่อ stake ไว้ในระบบบล็อกเชน

(จากซ้าย) “ดิฐวัฒน์ อิสสระ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ.ชาญอิสสระฯ, “สงกรานต์ อิสสระ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.ชาญอิสสระฯ และ “ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์” Co-Founder และซีอีโอ บริษัท ซิกซ์ เน็ตเวิร์ก จำกัด

จากนั้นแต่ละรายสามารถสร้างโปรเจกต์ของตนเองที่ทำงานบนระบบบล็อกเชน SIX Protocol ได้ เช่น การออก NFT (non-fungible token), การออก Utility Token, ใช้งานร่วมกับโลกเมตาเวิร์ส เป็นต้น

“สงกรานต์ อิสสระ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าร่วมในเครือข่ายบล็อกเชนถือเป็นเครื่องมือทางธุรกิจแบบใหม่ที่ชาญอิสสระก้าวเข้าไป เชื่อว่าระบบนี้จะมาเปลี่ยนแปลงการซื้อขายและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในวงการอสังหาฯ และโรงแรม เหมือนยุคหนึ่งที่ ‘อินเทอร์เน็ต’ ท้ายที่สุดแล้วเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจในด้านการขายและการตลาด ทำให้บริษัทต้องเร่งปรับตัวและพร้อมเข้าไปศึกษา

 

NFT ของศรีพันวา-บาบา บีช จะมาในปี’66

“ดิฐวัฒน์ อิสสระ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ.ชาญอิสสระฯ กล่าวว่า บริษัทจะทยอยทดลองโปรเจกต์บนเครือข่ายบล็อกเชน โดยคาดว่าโปรเจกต์แรกจะเริ่มได้ช่วงปลายไตรมาส 1/2566 เป็นโปรเจกต์ NFT สำหรับโรงแรมศรีพันวาและบาบา บีช ทั้ง 3 แห่ง

โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต

บริษัทจะมีการออก NFT ที่ใช้แทนเวาเชอร์ในการเข้าพักในห้องพัก รับบริการสปา ทานอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ ที่มีในโรงแรม การออกเป็น NFT บนบล็อกเชนจะทำให้เกิดความถูกต้องในการใช้งาน ตามคอนเซ็ปต์พื้นฐานของบล็อกเชนที่ไม่สามารถแก้ไขหลอกลวงได้ ซึ่งยังทำให้ลูกค้าสามารถเทรดซื้อขาย NFT นี้ในตลาดได้อย่างปลอดภัยด้วยเช่นกัน

ดิฐวัฒน์กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของ NFT มองว่าจะเป็นลูกค้าประจำของโรงแรมในเครือศรีพันวา และเป็นลูกค้าที่มีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัล เชื่อว่าการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ได้รับประสบการณ์ที่ดี เป็นการตลาดอย่างหนึ่งของแบรนด์

บาบา บีช คลับ ภูเก็ต

ที่ผ่านมาชาญอิสสระเคยจับกระแสสกุลเงินคริปโตที่บูมในไทยมาแล้วเมื่อปีก่อน โดยโปรโมตให้ลูกค้าสามารถนำคริปโตมาซื้อคอนโดฯ หรือจองโรงแรมในเครือได้ อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกรรมก็ยังต้องแปลงเป็นสกุลเงินบาทก่อน แต่ในครั้งนั้นก็นับว่าได้รับผลตอบรับจำนวนหนึ่งจากลูกค้า ทำให้เห็นว่ากระแสคริปโตเกิดขึ้นแล้ว

ส่วนการขยายการใช้บล็อกเชน SIX Protocol ไปในส่วนอื่นจะ ‘ก้าวทีละก้าว’ เช่น การนำบล็อกเชนมาช่วยด้านความโปร่งใสของการบริหารงานบริษัทนิติบุคคล, การออก NFT เพื่อจำหน่ายห้องชุดคอนโดมิเนียม, ความร่วมมือกับบริษัทพาร์ตเนอร์อื่นที่อยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนเดียวกัน ในการแลกเปลี่ยนพริวิลเลจสำหรับลูกค้า ทำให้ขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น

“เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ทุกคนเขาวิ่งไปแล้วแต่เรายังไม่สตาร์ทรถ ตอนนี้เหมือนเพิ่งจะเริ่ม แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะติดตลาดเร็วแน่” สงกรานต์กล่าวปิดท้าย

]]>
1401798
อัปเดต ‘Moonshot Mission’ ของ SCB 10X ความท้าทายในการเเสวงหา ‘ยูนิคอร์นตัวใหม่’ https://positioningmag.com/1379519 Thu, 31 Mar 2022 12:21:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1379519 ในปีที่ผ่านมา ‘SCB 10X’ โฮลดิ้งคอมพานีในกลุ่มไทยพาณิชย์ ที่มุ่งเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคดาวรุ่งและสตาร์ทอัพศักยภาพสูงทั่วโลก ได้รับการจัดอันดับจาก CB Insights ให้เป็น Corporate Venture Capital (CVC) ที่ ลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน ‘Fintech’ มากที่สุด เป็นอันดับ 2  ร่วมกับ PayPal Ventures ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เเละและอันดับที่ 8 จาก CVC ทั่วโลก

โดย SCB 10X โฟกัสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี ทั้งการเข้าไปลงทุนเอง การลงทุนร่วมสร้าง กับเป้าหมายผลักดันให้กลุ่มไทยพาณิชย์เติบโตสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน ที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านบาทและฐานลูกค้ากว่า 200 ล้านคน นับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำมาซึ่งโอกาสด้านการลงทุนเเละสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในประเทศ

วันนี้ เราจะมาพูดคุยกับมุขยา พานิช Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) กับภารกิจ “Moonshot Mission” พร้อมอัปเดตโปรเจกต์ แผนการลงทุนเเละเทรนด์เทคโนโลยีที่น่าสนใจ ความท้าทายของวงการสตาร์ทอัพ สงครามการเเย่งชิงเหล่า ‘Talents’ เเละคนเเบบไหนที่ SCB 10X อยากได้มาร่วมงานมากที่สุด

เดินหน้าปั้น ‘ยูนิคอร์น’ ตัวใหม่ 

มุขยา อธิบายถึง “Moonshot Mission” ของ SCB 10X ให้ฟังว่า เป็นเหมือนภารกิจการเดินทางออกไปสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับองค์กร

โดยจะมีการโฟกัสไปที่การลงทุนด้าน ‘Disruptive Technology’ ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) โดยเฉพาะบล็อกเชน (Blockchain) ที่เกี่ยวกับด้าน Financial Services รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) Web 3.0 และ Metaverse

นอกจากนี้ ยังมีความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization ที่มีแนวโน้มจะเติบโตสูง ตามจำนวนโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับ DeFi, NFT, Web 3.0 ที่มีมากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา SCB 10X ได้เข้าไปลงทุนไปในสตาร์ทอัพแล้วกว่า 48 แห่ง บริษัทใน 15 ประเทศทั่วโลก

ในจำนวนนี้มี 10 บริษัทที่ประสบความสำเร็จขึ้นเป็นยูนิคอร์น (มูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์) เเละอีก 11 บริษัทได้เป็นเซ็นทอร์ (มูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์) และ 5 บริษัทเป็นลิตเติลโพนี่ (มูลค่ามากกว่า 10 ล้านดอลลาร์)

โดยเป็นการลงทุนทั้งในเเบบ Build คือ Venture Builder และ Invest คือ Venture Capital ผ่านงบประมาณสำหรับลงทุนในช่วง 3-5 ปี ที่มีอยู่กว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีเงินทุนเหลือเพียงพอที่จะเข้าไปลงทุนเเละปลุกปั้นสตาร์ทอัพตัวต่อๆ ไป

สำนักงานใหญ่บน Metaverse เชื่อมต่อผู้คนทั่วโลก

สำหรับการเปิดตัวสำนักงานใหญ่ (Headquarters) ของ SCB 10X ใน ‘The Sandbox’ แพลตฟอร์มโลกเสมือนจริงที่พัฒนาบนเทคโนโลยีบล็อกเชน หรือ Metaverse นั้น มีจุดประสงค์หลักคือการเป็นพื้นที่สำหรับสร้างรากฐานระบบนิเวศและคอมมูนิตี้ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน (Community-Driven) บนโลก Metaverse รวมถึงมุ่งสนับสนุนส่งเสริมและผลักดันความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินชาวไทยสู่ตลาดโลก

นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่สำหรับเชื่อมผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมบนโลกเสมือนจริงพร้อมต่อยอดและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยกับอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมการเงิน คาดว่าจะสามารถเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2565 นี้

โดยแบ่งประโยชน์การใช้สอย 3 ด้านหลัก ได้แก่ 

1. Virtual Hub พื้นที่แบ่งปันความรู้ (Event & Knowledge Sharing) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและการมีส่วนร่วม

2. Virtual Land พื้นที่สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจในการทำกิจกรรมร่วมกันและพัฒนาต่อยอดโครงการอื่น ๆ ในอนาคต

3. พื้นที่แสดงผลงานและคอนเสิร์ต สนับสนุนและผลักดันศิลปินชาวไทยสู่ตลาดโลก ในรูปแบบต่างๆ เช่น NFT Gallery เป็นต้น

บิ๊กดีล SCB 10X ร่วม CP คาดได้ใบอนุญาตใน Q3

ด้านความคืบหน้าของบิ๊กดีลระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในไทย โดยในปีนี้นี้ SCB 10X  มีแผนจะจัดตั้งกองทุน Venture Capital (VC) ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ขนาด 600-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 19,800-26,400 ล้านบาท)

เพื่อลงทุนใน ‘Disruptive Technology’ ด้านบล็อกเชนสินทรัพย์ดิจิทัลเทคโนโลยีด้านการเงินและเทคโนโลยีอื่นๆที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั่วโลกซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานกำกับทางการ โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้

มีวินัยในการลงุทน ‘Valuation’ ต้องไม่สูงเกินไป 

เมื่อถามถึงความท้าทายของการลงทนสตาร์ทอัพในปีนี้ คุณมุขยา มองว่าคือเรื่องมูลค่า’ (Valuation) เพราะในปีที่ผ่านมา ทั้งบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความนิยมเเละเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น

ซึ่งจะเห็นว่ามี Venture Capital (VC) จำนวนมากเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพเหล่านี้ เเละแม้แต่ VC ที่เน้นการลงทุนแบบดั้งเดิมก็กระโจนเข้ามาในธุรกิจนี้ เกิดการระดมทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Valuation ของสตาร์ทอัพในปีนี้ จึงค่อนข้างสูงกว่าปีที่เเล้ว

“สตาร์ทอัพ Series A ในปีนี้ ราคาต่างกับปีที่เเล้วค่อนข้างเยอะ เป็นความท้าทายอย่างมาก เราเองจึงต้องมีวินัยในการลงทุน เมื่อมองว่าราคาสูงเกินไปก็ต้อง ‘Walk Away’ ออกมาเพื่อรอจังหวะ รวมถึงเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพตั้งแต่ระดับ Early Stage และ Seed Round ซึ่งยังมีราคาไม่สูงมากนัก เลือกลงทุนใน Series A มากขึ้น เพราะ Series B และ C อาจจะแพงเกินไป”

สำหรับสตาร์ทอัพที่ ‘SCB 10X’ อยากจะเข้าไปลงทุนนั้น จะโฟกัสเเละให้ความสำคัญกับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานค่อนข้างมาก ก่อนที่จะมีการขยับไปครีเอทเเอปพลิเคชันเเละอื่นๆ โดยปีนี้สนใจหมวด Web 3.0 เป็นพิเศษ

ศึกชิง ‘Talents’ ตามหาคน ‘กล้าพูด กล้าทำ’

โดยระหว่างปี 2022-2024 ถือเป็นช่วงที่ ‘SCB 10X’ ตั้งเป้าการเติบโตแบบ Exponential จึงต้องมีการขยายทีมมากขึ้นทั้งด้านการลงทุนเเละซัพพอร์ต ซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญ ก็คือการเฟ้นหา ‘Talents’ แรงงานทักษะสูงเข้ามาเสริมทัพ

การเฟ้นหา Talents ในเมืองไทยมีการเเข่งขันกันสูงมาก คนเก่งส่วนใหญ่มักจะเป็น Founder เอง หรือไม่ก็ถูกบริษัทเทคยักษ์ใหญ่เเละสตาร์ทอัพชื่อดังในต่างประเทศคว้าตัวไปก่อนแล้ว เพราะทุกคนสามารถทำงานทางไกลจากที่ไหนก็ได้ในโลก เเต่จุดนี้ก็ทำให้เรามีโอกาสที่จะได้ทำงานกับ Talents ในภูมิภาคหรือที่อื่นๆ ในโลกได้เช่นกัน

ในส่วนงาน ’Metaverse’ บริษัทก็มีแผนที่จะ Spin-Off ออกไปจัดตั้งเป็นอีกหนึ่งบริษัท เพื่อรับจ้างทำให้กับธุรกิจทั่วไปที่สนใจ ซึ่งก็ต้องมีการเปิดรับพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีไอเดียจะเปิดบริษัทใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนเเปลงของโลกดิจิทัล

สำหรับการบริหารจัดการทีมของ ‘SCB 10X’  จะเป็นเเบบ Flat Organization มีไม่กี่เลเวล ทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็ว เเละมีวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดถือคือ B-O-O-S-T = Boldness , Ownership , Open , Speed เเละ Trust

คนที่เราอยากได้มาร่วมงานมากที่สุดนั้นจะต้องกล้าพูด กล้าทำเป็นคนที่กล้าริเริ่มเเละต้องรีบทำ เพราะถ้าหากล้มเหลวขึ้นมาก็จะได้มาช่วยกันเเก้ไขเเละพัฒนาได้ก่อน” 

 

]]>
1379519
ทำความรู้จัก Popcoin เหรียญวงการ “บันเทิง” ไทยที่ “แบมแบม” เป็นแพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์ https://positioningmag.com/1370103 Tue, 11 Jan 2022 11:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370103 เกิดกระแสฮือฮาในวงการบันเทิงและนักลงทุน เมื่อปรากฏภาพ “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” ในฐานะแพลตฟอร์ม พาร์ทเนอร์ของเหรียญ “Popcoin” เหรียญนี้คืออะไร เราจะพาไปทำความรู้จักกัน

เหรียญ Popcoin เกิดจากความร่วมมือของ 3 บริษัท คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS, โฟร์ท แอปเปิ้ล และ บริษัท ฟิวเจอร์ คอมเพเทเร่ จำกัด และวางตัวให้เหรียญนี้เป็น “Utility Token” คือเหรียญที่ตั้งใจให้มีช่องทางนำไปใช้แลกเปลี่ยนสินค้าได้จริงมากกว่าการเก็งกำไร

จุดประสงค์ของ Popcoin ดูได้จากสโลแกนของเหรียญคือ “Popcoin: Join to Earn” เหรียญนี้จะมาดิสรัปต์วงการ “Entertainmerce” โดยเข้ามาเป็นตัวเชื่อมในระบบนิเวศของ “วงการบันเทิง” และ “การตลาด”

โดยผู้ที่จะได้ครอบครองเหรียญ (หรือในแพลตฟอร์ม Popcoin ใช้ชื่อว่า Popsters) จะได้เหรียญมาจากการรับชมโฆษณา เข้าร่วมงานอีเวนต์ ตอบคำถาม เล่นเกม ฯลฯ ตามแต่จะมีการสร้างกิจกรรมขึ้นมาร่วมกับสปอนเซอร์

วิธีการนี้จะเข้ามาอุดจุดบอดของการตลาดปัจจุบันที่คนมักจะไม่สนใจโฆษณา ไม่สนใจมีส่วนร่วมกับแบรนด์ แต่เมื่อมี Popcoin ตอบแทนก็จะเป็นแรงจูงใจใหม่ให้ผู้บริโภคสนใจมากขึ้น

(จากซ้าย) กอล์ฟ F.HERO ผู้ร่วมก่อตั้ง High Cloud Entertainment, สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และ ฐณณ ธนกรประภา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ โฟร์ท แอปเปิ้ล

 

แล้วผู้บริโภคจะอยากได้ Popcoin ไปทำไม?

คำตอบคือ Popcoin จะร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้คนนำเหรียญไปใช้แลกสินค้าได้จริง บางแคมเปญอาจจะมีการปล่อยสินค้าพิเศษที่ต้องใช้ Popcoin แลกเท่านั้น เช่น การ์ดเซ็ทของไอดอล ของสะสมดาราศิลปิน เมอร์ชานไดซ์พิเศษ รวมถึงอนาคตหากโลก ‘เมตาเวิร์ส’ บูมเมื่อไหร่ เหรียญนี้ก็อาจจะนำไปใช้ในโลกดิจิทัลได้

แม้ว่าจุดประสงค์ของเหรียญจะไม่ได้เน้นเก็งกำไร แต่ Popcoin กำลังจะเข้าไปเทรดบนกระดานของ Bitkub ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เทรดแลกเหรียญ Popcoin กับเงินคริปโตอื่นๆ หรือแลกออกมาเป็นเงินบาทได้

นอกจากนี้ ยังมีระบบให้ ‘Stake’ เหรียญ ให้เจ้าของเหรียญที่ไม่มีแผนจะใช้เหรียญนำเหรียญเข้ามาออมในระบบเพื่อรอรับ Reward (คล้ายกับฝากเงินในธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย) อัตรา Reward ที่จะได้ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะซัพพลาย-ดีมานด์ของเหรียญขณะนั้น

ด้านการควบคุมจำนวนเหรียญ Popcoin มีการระบุไว้ใน Whitepaper ว่า ภายใน 4 ปีแรกจะมีการผลิตเหรียญไม่เกิน 10,000 ล้านเหรียญ และในปีต่อๆ ไปจะมีการปรับจำนวนเหรียญขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้จำนวนเหรียญในระบบ “เฟ้อ” จะต้องเพิ่มจำนวนตามปริมาณการนำไปใช้จริง

 

ใครได้ Popcoin ไปแล้วบ้าง?

การปล่อยเหรียญครั้งแรกหรือ ICO ไม่ได้ขายให้กับประชาชนทั่วไป แต่เน้นไปที่ B2B มากกว่า ได้แก่

  • 65% ให้กับแบรนด์ที่ต้องการซื้อไปทำแคมเปญ
  • 15% เก็บไว้ทำการตลาดให้กับตัวเหรียญเอง
  • 15% ให้กับพันธมิตรธุรกิจ
  • 5% ให้กับทีมผู้ก่อตั้ง

เหรียญ Popcoin มีการเปิดตัวไม่เป็นทางการต่อสาธารณะไปตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2564 โดยให้สิทธิผู้ที่สมัครเข้ามาในแพลตฟอร์ม สามารถร่วมแคมเปญ “Popcoin Airdrop” รับเหรียญฟรี 100 เหรียญ และเมื่อชวนเพื่อนมาสมัครจะได้รับเพิ่มอีก 25 เหรียญต่อเพื่อน 1 คน (เป็นเหรียญที่มาจากส่วนสำหรับทำการตลาดนั่นเอง)

ปัจจุบันเหรียญมี Popsters ที่ถือเหรียญแล้ว 5 แสนคน และ Popcoin เชื่อว่าจะมีผู้สมัครเข้าแพลตฟอร์มเป็น 1 ล้านคนในเร็วๆ นี้ (สำหรับแคมเปญ Popcoin Airdrop จบไปแล้วตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 10 ม.ค. 65)

แบมแบม Popcoin
แพลตฟอร์มดึงตัว “แบมแบม” มาเป็นพาร์ทเนอร์ช่วยโปรโมต

ล่าสุด Popcoin ประกาศรายชื่อพันธมิตรออกมายาวเหยียด แบ่งกลุ่มได้ดังนี้

  • ธุรกิจดนตรีและบันเทิง: Live Nation, BEC Tero, High Cloud Entertainment, คณะหมอลำเสียงอิสาน, VOM Records, Full Sense, สมาคมการค้าธุรกิจไอดอลหญิง (FITA), RS Music, Coolism, สถานีโทรทัศน์ช่อง 8
  • ธุรกิจสื่อ: UNLOCKMEN, Pet Hipster
  • ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค: RS Mall, คามู ซี, เวล ยู, ไลฟ์เมต, ไวตาเนเจอร์พลัส
  • ธุรกิจอื่นๆ: Carnival แบรนด์สตรีทแฟชั่น, Bhouse Studio โรงเรียนสอนเต้น, บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด, บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท อินดีม กรุ๊ป จำกัด, บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน), บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)

น่าสนใจว่า Popcoin จะร้อนแรงแค่ไหน เมื่อเข้ามาเป็นโทเคนมิติใหม่แห่งวงการบันเทิง-การตลาด!

]]>
1370103
หนึ่งในบิ๊กเนมวงการเทคอย่าง “Jack Dorsey” หลังลาออกจาก Twitter … เขาไปทำอะไรต่อ? https://positioningmag.com/1365289 Fri, 03 Dec 2021 05:28:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365289 Jack Dorsey ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Twitter เพิ่งประกาศลาออกไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2021 บิ๊กเนมวงการเทคอย่างเขาย่อมมีโปรเจกต์ให้คุมต่อ โดย Dorsey จะมุ่งความสนใจไปที่ ‘Block’ อีกธุรกิจหนึ่งของเขาที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และคาดกันว่าบริษัทนี้จะเริ่มกรุยทางไปสู่ธุรกิจ “บล็อกเชน” และ “คริปโต”

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2021 “Jack Dorsey” ซีอีโอและผู้ก่อตั้งของ Twitter แจ้งการลาออกของเขาต่อสาธารณะ และเป็นการลาออกทั้งในตำแหน่งบริหารและลาออกจากบอร์ดคณะกรรมการบริษัทด้วย ส่วนผู้ที่จะขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งซีอีโอของเขาไม่ใช่ใครอื่นไกล “Parag Agrawal” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) วัย 37 ปี จะได้เลื่อนขั้นขึ้นมากุมบังเหียน

Dorsey ก่อตั้ง Twitter ขึ้นเมื่อปี 2006 จากนั้นต้องออกจากบริษัทไประยะหนึ่งก่อนจะกลับมาในฐานะประธานกรรมการเมื่อปี 2011 และเป็นซีอีโอในปี 2015

ช่วงปี 2009 ที่ Dorsey ยังอยู่นอกบริษัท เขาก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ “Square” และนั่งตำแหน่งเป็นซีอีโอ เมื่อกลับมา Twitter ทำให้เขาควบตำแหน่งซีอีโอสองบริษัท และดูเหมือนเขาจะบริหารแบบ ‘ปล่อยๆ’ และ ‘อินดี้’ กับ Twitter ทำให้นักลงทุนของบริษัทบางส่วนไม่พอใจเท่าไหร่นัก

ไม่มีการแจ้งเหตุที่ชัดเจนของการลาออก แต่คาดกันว่าความไม่พอใจของนักลงทุนคือแรงขับสำคัญ เพราะ Twitter เป็นโซเชียลมีเดียที่สร้างผลประกอบการด้อยกว่าโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อื่นๆ รวมถึงตัว Dorsey เองก็น่าจะอยากไปลุยเรื่องแพสชันใหม่ของตนเองคือเรื่อง “บล็อกเชน” และ “คริปโต” มากกว่าแล้ว

 

จาก Square สู่ Block

ดังที่เกริ่นไปว่าแพสชันของ Dorsey ไปอยู่กับสิ่งอื่นแล้ว สิ่งนั้นคือบริษัทที่เขาก่อตั้งอีกแห่งหนึ่งนั่นคือ “Square” เพียงไม่กี่วันหลังเขาลาออกจาก Twitter บริษัท Square ก็แจ้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Block” เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์การขยายน่านน้ำการทำธุรกิจออกไป เหมือนๆ กับที่ Facebook เปลี่ยนเป็น Meta หรือก่อนหน้านี้หลายปีที่ Google เปลี่ยนเป็น Alphabet

โลโก้บริษัท Block

Square มีธุรกิจหลักคือพัฒนาโซลูชันการเงินและการจัดการให้กับผู้ขาย ข้อมูลตามหน้าเว็บไซต์ของ Square ระบุว่าบริษัทบริการให้ได้ตั้งแต่ระบบการขาย ระบบชำระเงิน ช่วยการหาแหล่งเงินกู้ธุรกิจ ระบบการตลาด ระบบ CRM ทั้งหมดทำได้ทั้งหน้าร้านออฟไลน์และออนไลน์ และทำระบบให้เข้ากับหลายธุรกิจโดยเฉพาะ เช่น ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ คลาวด์คิทเช่น ธุรกิจความงาม ฟิตเนส ซ่อมบ้าน เป็นต้น

นอกจากนี้ Square มีโปรดักส์สำหรับคนทั่วไปคือ Cash App เป็นแอปฯ โมบายล์เพย์เมนต์และการลงทุน ให้บริการในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร

บริษัท Square ยังเข้าไปลงทุนใน ‘Tidal’ แอปฯ สตรีมมิ่งเพลงชื่อดังด้วย โดยแอปฯ นี้มีจุดขายในตลาดคือให้คุณภาพเสียงสูงสุด ซึ่งมาในราคาพรีเมียม

ปัจจุบัน Square มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2021 อยู่ที่กว่า 8.86 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ชื่อบริษัทจะเปลี่ยนเป็น Block ราววันที่ 10 ธันวาคมนี้ แต่สัญลักษณ์ในตลาดหุ้นจะยังเป็น SQ เหมือนเดิมไปก่อน)

 

Block = บล็อกเชน?

ในระยะหลังจะเห็นได้ว่า Dorsey เริ่มนำ Square เข้าไปศึกษาธุรกิจใหม่ โดยการตั้งแผนก Square Crypto ขึ้นมาเพื่อ “อุทิศให้กับการต่อยอดบิทคอยน์” ปัจจุบันแผนกนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Spiral และตัว Dorsey เองแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนตัวเอ้และผู้สนับสนุนคริปโต

Jack Dorsey Block
ลูกเล่นสนุกๆ ของทีมบริหาร Block จับภาพโปรไฟล์ใส่ ‘ลูกบาศก์’ ล้อไปกับโลโก้ของบริษัท

เมื่อชื่อบริษัทเปลี่ยนเป็น Block บริษัทออกแถลงการณ์ให้คำนิยามชื่อ Block ว่ามาจากอะไร ดังนี้

“Block เป็นการอ้างถึงบล็อกในแต่ละย่านที่เราสามารถพบเจอผู้ขายของเราได้ บล็อกเชน บล็อกจัดปาร์ตี้ที่มีเสียงดนตรีอยู่เต็ม อุปสรรคที่เราต้องเอาชนะ โค้ดดิ้งหนึ่งกลุ่ม อิฐบล็อกก่อสร้าง และแน่นอน หมายถึงลูกบาศก์ทังสเตนด้วย”

(–หมายเหตุจากผู้เขียน: ลูกบาศก์ทังสเตนเป็นเรื่องตลกวงในของกลุ่มนักเทรดคริปโต ในระยะหลังกลุ่มนักเทรดคริปโตนิยมซื้อลูกบาศก์ที่ผลิตจากทังสเตนมาสะสมจนของขาดตลาด ทังสเตนนั้นเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่มีมวลหนักที่สุด ลูกบาศก์ทังสเตนขนาด 4×4 นิ้วซึ่งสามารถวางไว้บนมือได้พอดีจะหนักถึง 18.6 กิโลกรัม เมื่อคนเราหยิบวัตถุแบบนี้ขึ้นมาจึงรู้สึกว่ามันขัดหลักฟิสิกส์เพราะมันหนักกว่าที่คาดคิด ซึ่งทำให้ลูกบาศก์ทังสเตนกลายเป็นของ ‘เก๋ๆ’ ของเล่นใหม่ของเศรษฐีคริปโต)

ส่วนคำแถลงโดยตรงจาก Jack Dorsey กล่าวว่า “Block เป็นชื่อใหม่ก็จริง แต่วัตถุประสงค์ของเราที่ต้องการจะเพิ่มอำนาจทางเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะเติบโตหรือเปลี่ยนไปอย่างไร เราจะยังคงสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยให้คนเข้าถึงระบบเศรษฐกิจได้ต่อไป”

ตอนนี้ Block ยังบอกเราแค่กว้างๆ ว่าจะทำอะไร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธุรกิจใหม่จะต้องเกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตอย่างแน่นอน!

ที่มา: BBC, Wired, Forbes, Yahoo Finance

]]>
1365289
‘Liquid’ ตลาดซื้อ-ขายคริปโตฯ ญี่ปุ่นถูกแฮก สูญเงินกว่า ‘3 พันล้านบาท’ https://positioningmag.com/1347854 Fri, 20 Aug 2021 06:21:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347854 ‘Liquid’ บริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของญี่ปุ่นซึ่งเป็น Top 20 ที่มีปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันเปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางอินเทอร์เน็ต ทำให้แฮกเกอร์โอนเงินดิจิทัลมูลค่า 97 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3 พันล้านบาทไป

Liquid ได้โพสต์ผ่านบัญชีในทวิตเตอร์ว่า ระบบ warm wallets ของบริษัทถูกแฮกเกอร์โจมตี โดยได้โอนทรัพย์สินไปยัง Wallet 4 แห่งที่ต่างกัน แม้บริษัทไม่เปิดเผยถึงมูลค่าความเสียหาย แต่ Elliptic บริษัทวิเคราะห์เกี่ยวกับบล็อกเชนคาดว่าแฮกเกอร์ได้เงินดิจิทัลมาประมาณ 97 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม Liquid ระบุว่าได้เคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปในระบบ cold wallet แล้ว จากที่ผ่านมา บริษัทเก็บเหรียญไว้ที่ระบบ warm หรือ hot wallets ที่เป็นรูปแบบของกระเป๋าเงินออนไลน์ ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลได้ง่าย ขณะที่ระบบ cold wallet จะเป็นช่องทางจัดเก็บสกุลเงินดิจิทัลแบบออฟไลน์และยากต่อการเข้าถึงด้วยระบบความปลอดภัยที่สูงกว่า

นอกจากนี้ บริษัทได้ระงับการฝากและถอนเป็นการชั่วคราว และอยู่ระหว่างการติดตามเส้นทางของสินทรัพย์ที่ถูกจารกรรมไปอยู่

“ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบและจะอัปเดตเป็นประจำ ในระหว่างนี้ การฝากและถอนจะถูกระงับ”

Liquid ติดอันดับ 1 ใน 20 อันดับบริษัทการแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ของโลกตามปริมาณการซื้อขายรายวัน โดยประมวลผลธุรกรรมมากกว่า 133 ล้านดอลลาร์ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ CoinMarketCap โดย Liquid ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 และให้บริการลูกค้าหลายล้านรายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

การแฮกครั้งนี้ถือเป็นการแฮกคริปโตฯ ครั้งใหญ่ครั้งที่สองที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา แฮกเกอร์ขโมยเงินดิจิทัลมากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ หรือราว 20,000 ล้านบาท จาก Poly Network ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเช่นเดียวกัน ก่อนที่แฮกเกอร์นี้จะคืนคริปโตที่โจรกรรมไปเกือบทั้งหมดในอีกไม่กี่วันต่อมา

Source

]]>
1347854
KBank ออกหุ้นกู้ 17 ล้านยูโร ผ่าน “บล็อกเชน” ครั้งแรกในไทย คาดช่วยลดต้นทุนได้ 80-90% https://positioningmag.com/1284240 Fri, 19 Jun 2020 10:26:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284240 KBank ออกหุ้นกู้ 17 ล้านยูโร อายุ 3 เดือน ดอกเบี้ย 0.52% ต่อปี ร่วมมือสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เสนอขายบนบล็อกเชนสำเร็จเเบงก์เเรกในไทย คาดช่วยลดต้นทุนซื้อขายหุ้นกู้ลงได้ถึง 80-90% มองปีนี้เอกชนออกหุ้นกู้ลดลงเหลือ 8-9 แสนล้านบาท 

ขายหุ้นกู้บนบล็อกเชนครั้งแรกในไทย

จงรัก รัตนเพียร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย (KBank) กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ดำเนินการเสนอขายและออกหุ้นกู้สกุลเงินยูโรให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศผ่านเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology (DLT) หรือที่เรียกว่าบล็อกเชน” (Blockchain) ภายใต้โครงการทดสอบและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการให้บริการเกี่ยวกับตลาดทุน โดย KBank เป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่เสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศด้วยบล็อกเชน

หุ้นกู้สกุลเงินยูโรที่ออกในครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 17 ล้านยูโร แบ่งเป็น 17,000 หน่วย อายุหุ้นกู้ประมาณ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0.52% ต่อปี และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่อันดับความน่าเชื่อถือระดับสูงสุด “F1+(tha)”

สำหรับการออกหุ้นกู้สกุลเงินยูโรมูลค่า 17 ล้านยูโรนี้ อยู่ภายใต้โครงการหุ้นกู้ธนาคารกสิกรไทย วงเงินไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) อนุญาตให้ธนาคารสามารถเสนอขายหุ้นกู้ภายใต้โครงการ Medium Term Note ได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

การออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนของแบงก์เป็นกิจกรรมปกติ ไม่ได้อิงกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจาก COVID-19 แต่ต้องการบริหารสภาพคล่องของธนาคารให้อิงกับปริมาณการปล่อยสินเชื่อ ช่วงที่ผ่านมาธนาคารก็มีเงินฝากไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะความไม่เเน่นอนทำให้คนหันมาฝากเงินกับธนาคารมากขึ้น

ส่วนการระดมทุนในรูปแบบสกุลยูโรนั้น ก็เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ให้กระจุกตัวอิงสกุลใดสกุลหนึ่ง ขณะที่เเนวโน้มการออกหุ้นเพิ่มเติมในปีนี้ ธนาคารต้องประเมินความต้องการสินเชื่อของลูกค้า สภาพคล่องของธนาคารและภาวะตลาดในขณะนั้นก่อน

การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้มีความพิเศษกว่าการเสนอขายแบบปกติ เพราะเป็นโครงการนำร่องที่ทาง KBank ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมในตลาดทุนไทยนำเทคโนโลยี บล็อกเชนมาใช้ในงานนายทะเบียนหลักทรัพย์ เพื่อยกระดับการพัฒนาตลาดทุนไทย ร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก สำนักงาน ก...ให้นำร่องโครงการ Registrar Service Platform Phase 1 (RSP1) และบรรจุอยู่ในโครงการทดสอบและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการให้บริการเกี่ยวกับตลาดทุน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวถือเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในระยะที่ 1

คาดปีนี้เอกชนออก “หุ้นกู้” ลดลงเหลือ 8-9 แสนล้าน 

ธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า โครงการ Registrar Service Platform Phase 1  เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบงานในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยประยุกต์ใช้บล็อกเชน มาช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลผู้ถือครองตราสารหนี้ ที่ผู้ร่วมตลาดทุกรายใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลชุดเดียวกัน

สำหรับเเผนการต่อไป จะมุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในตลาดแรกของตราสารหนี้ภาคเอกชนให้เป็น DLT Scripless Corporate Bond ซึ่งโครงการ RSP1 จะเป็นก้าวแรกของการกระโดดครั้งใหญ่ของตลาดตราสารหนี้ไทย และจากการจัดการออกและขายหุ้นกู้ของธนาคารกสิกรไทยด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน จะเป็นต้นแบบและมาตรฐานในการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยต่อไป

ปีนี้คาดเอกชนจะออกหุ้นกู้ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ออกหุ้นกู้ไป 1.08 ล้านล้านบาท โดยบริษัทเอกชนจะออกหุ้นกู้เรตติ้งที่ A- ขึ้นไปยังมีความต้องการจากนักลงทุนสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ” 

ด้านธิติ ตันติกุลานันทน์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ประเมินว่า ปีนี้จะมีเอกชนออกหุ้นกู้ใหม่ประมาณ 9 แสนล้านบาท เเละระดับเรตติ้งที่ต่ำกว่า A- ความต้องการในตลาดลดลง

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่การเสนอขายหุ้นกู้ มูลค่า 17 ล้านยูโรครั้งนี้ ยังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนในประเทศหลายแห่ง ทั้งจากกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ. และบรรดาบริษัทประกันภัย

เขามองว่า ในฐานะตัวกลางในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ จะทำให้ธนาคารมีประสบการณ์ตรงในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ และเมื่อต้องรับหน้าที่เป็นตัวกลาง ธนาคารก็จะสามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ออกตราสารหนี้รายอื่นๆ ในตลาดได้อย่างมั่นใจ ส่วนผู้ลงทุนในหุ้นกู้ จะทำให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย ตรวจสอบ และเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว 

หมดยุคส่งกระดาษ “บล็อกเชน” ช่วยลดต้นทุนออกหุ้นกู้ลงถึง 80-90% 

ศีลวัต สันติวิสัฏฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เล่าว่า หลังจากที่ KBank ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาบริการออกหนังสือค้ำประกัน (LG) บนเทคโนโลยีบล็อกเชนได้สำเร็จเป็นธนาคารแรกของโลก นำมาสู่การต่อยอดบริการอื่น ๆ อย่างเช่น การออกหุ้นกู้บนเทคโนโลยีบล็อกเชน

เขาอธิบายว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ มีประโยชน์ทั้งในมุมของฐานข้อมูล ความปลอดภัยของข้อมูล และการใช้ประโยชน์ข้อมูลของผู้ร่วมตลาด มีความสะดวกต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการออกหุ้นกู้ ทั้งผู้จองซื้อ ผู้ถือหุ้นกู้ ผู้ออกหุ้นกู้ นายทะเบียน ผู้รับฝากทรัพย์สิน ให้สามารถทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นกู้ได้แบบเรียลไทม์ (Real Time) สามารถลดต้นทุนและลดขั้นตอนในการติดต่อสื่อสาร และทำให้การตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่วันที่มีจองซื้อหุ้นกู้ จนถึงวันที่หุ้นกู้ครบกำหนดอายุ

ส่วนของนายทะเบียนหุ้นกู้ ก็สามารถจัดการข้อมูล ตรวจสอบ สอบทาน หรือติดตามผู้ถือหุ้นกู้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สามารถลดขั้นตอนงานที่เคยใช้คนทำ (Manual) เนื่องจากลักษณะพื้นฐานของเทคโนโลยีของ Blockchain และ smart contract ซึ่งทำให้ข้อมูลมีความถูกต้อง และมีความปลอดภัยสูง ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไปพร้อมๆ กันในยุคดิจิทัล

ด้านของผู้รับฝากทรัพย์สิน (custodian) เทคโนโลยีนี้ถือเป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกของธุรกิจการรับฝากทรัพย์สินทางการเงินในปัจจุบัน กับโลกของการรับฝากทรัพย์สินดิจิทัล ทำให้หุ้นกู้ที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินในปัจจุบันสามารถเก็บในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วย และเปิดโอกาสให้มีนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ได้อีกมาก

“ระบบเดิมจะมีค่าดำเนินการ 1 รายการระหว่าง Business-to-Business (B2B) ในการซื้อขายตราสารกระดาษ ต้นทุนจะอยู่ตั้งแต่ 500-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับไซส์ของผู้เล่น โดยผู้เล่นรายใหญ่จะต้นทุนต่ำกว่า เเต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิทัลบนบล็อกเชนทั้งหมดเเล้ว จะสามารถลดต้นทุนการออกหุ้นกู้ปกติสูงถึง 80-90% ไม่ต้องรอเงิน รอเช็กว่าโอนหรือยัง รวมถึงการส่งมอบหลักฐานต่างๆ ก็ไม่ต้องส่งผ่านกระดาษแล้ว เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดด้วย”

โดยในอนาคตมีเเผนจะขยายไปสู่รายย่อย ซึ่งปัจจุบันธนาคารสามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้แล้ว 12 สกุล

 

 

 

]]>
1284240