พาสปอร์ต – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 10 Sep 2023 09:24:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยุโรปทดลอง “ดิจิทัล พาสปอร์ต” โชว์ในสมาร์ทโฟนผ่าน ตม. ได้เลย นำร่องก่อนที่ฟินแลนด์ https://positioningmag.com/1443896 Sat, 09 Sep 2023 12:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443896 ครั้งแรกในโลกที่มีการข้ามพรมแดนด้วยการใช้ “ดิจิทัล พาสปอร์ต” บนสมาร์ทโฟน เริ่มนำร่องครั้งแรกในกลุ่มประชากรฟินแลนด์ โดยสหภาพยุโรป (EU) คาดหวังว่าในอนาคตจะสามารถผลักดันให้ประชากร 80% สามารถข้ามพรมแดน 27 ประเทศด้วยดิจิทัล พาสปอร์ตได้ภายในปี 2030

ตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โครงการนำร่อง “ดิจิทัล พาสปอร์ต” ในทวีปยุโรปเริ่มทดลองใช้กับกลุ่มประชากร “ฟินแลนด์” ก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยมีการใช้งานในกลุ่มพาร์ทเนอร์ 3 ฝ่าย คือ สนามบินเฮลซิงกิ, สายการบิน Finnair และสนามบินอีก 3 แห่งในสหราชอาณาจักร

ประชากรฟินแลนด์ที่บินด้วย Finnair ผ่านเข้าออกระหว่างสนามบินเฮลซิงกิกับ 3 สนามบินในสหราชอาณาจักร สามารถเลือกใช้บริการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ด้วยระบบ “Digital Travel Credential” (DTC) ได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2024

สำหรับระบบ DTC จะทำให้ผู้เดินทางสามารถผ่าน ตม. ได้เร็วขึ้นและสะดวกขึ้นกว่าปกติ ไม่ต้องต่อคิวอีกต่อไป

โครงการนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนเงินทุนของ EU ด้วยเม็ดเงิน 2.3 ล้านยูโร (ประมาณ 88 ล้านบาท) หลังจากผ่านช่วงทดลอง 6 เดือนแรกในฟินแลนด์ไปแล้ว EU จะเดินหน้าขยายการนำร่องต่อไปที่สนามบินซาเกร็บ ฟรานโจ ทุดจ์มัน ในประเทศโครเอเชีย และสนามบินสคิปโพล กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

โครงการนี้เป็นโครงการสืบเนื่องมาจากกฎหมาย eIDAS ที่ EU ผ่านกฎหมายออกมาเมื่อปี 2014 ระเบียบนี้สนับสนุนให้เกิดการสร้างระบบ ‘Digital ID’ ร่วมกันของทั้งสหภาพยุโรป เพื่อทำให้การทำธุรกิจและธุรกรรมระหว่างบุคคลสามารถทำได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องกังวลว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในส่วนใดของ EU

ระบบ DTC ของยุโรปที่เริ่มใช้นี้ จะไม่เหมือนกับระบบ “หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์” หรือ “ไบโอเมตริกพาสปอร์ต” เพราะ DTC เป็นการเก็บข้อมูลตรวจสอบตัวตนบุคคลไว้ในมือถือ แต่หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นการฝังไมโครชิปไว้ในตัวเล่มหนังสือเดินทางเลย และในไมโครชิปจะมีการบรรจุข้อมูลทางชีวภาพที่ระบุตัวตนเจ้าของเล่มหนังสือเดินทาง

ประเทศส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันนี้เปลี่ยนมาใช้ไบโอเมตริกพาสปอร์ตกันแล้ว เพราะเมื่อเปลี่ยนมาฝังไมโครชิปไว้ในเล่ม จะทำให้การปลอมแปลงหนังสือเดินทางทำได้ยากขึ้น เนื่องจากบริเวณหน้าที่ฝังไมโครชิปจะผลิตขึ้นในลักษณะคล้ายกับบัตรเครดิต ทำด้วยพลาสติกเป็นชั้นๆ ที่อัดติดกัน จนไม่สามารถแยกชิ้นส่วนออกมาได้โดยไม่สร้างความเสียหายต่อหน้าพาสปอร์ตนั้นทั้งแผ่น

Source

]]>
1443896
สิงคโปร์กลับมาทวงแชมป์หนังสือเดินทางเบอร์ 1 ของโลกหลังญี่ปุ่นอันดับตก ไทยครองอันดับ 64 https://positioningmag.com/1438071 Tue, 18 Jul 2023 18:15:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438071 ผลการจัดอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในปี 2023 นั้นหนังสือเดินทางของสิงคโปร์กลับมาครองแชมป์อันดับ 1 อีกครั้ง โดยในปีนี้หนังสือเดินทางของญี่ปุ่นได้ตกลงไปอยู่อันดับ 3 ขณะที่ไทยนั้นหนังสือเดินทางครองอันดับที่ 64

Henley Passport Index ได้ใช้ข้อมูลอ้างอิงจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ว่าในแต่ละปีมีประเทศใดบ้างที่สามารถเข้าออกโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้จำนวนมากที่สุดนั้น แชมป์ในปี 2023 ก็คือหนังสือเดินทางจากประเทศสิงคโปร์

หนังสือเดินทางของประเทศสิงคโปร์นั้นสามารถเบียดเอาชนะหนังสือเดินทางของญี่ปุ่นได้ หลังจากที่หนังสือเดินทางของญี่ปุ่นครองแชมป์มานานถึง 5 ปีติดต่อกัน (รวมถึงในปี 2022 ที่ผ่านมาที่ได้แชมป์คู่กับสิงคโปร์) ก่อนที่จะพ่ายแพ้ในปีนี้

5 อันดับสัญชาติผู้ถือหนังสือเดินทางทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ปี 2023

อันดับ 1 ได้แก่ สิงคโปร์ (192 ประเทศ)
อันดับ 2 ได้แก่ สเปน เยอรมนี อิตาลี (190 ประเทศ)
อันดับ 3 ได้แก่ ออสเตรีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ลักเซมเบิร์ก สวีเดน เกาหลีใต้ (189 ประเทศ)
อันดับ 4 ได้แก่ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก (188 ประเทศ)
อันดับ 5 ได้แก่ เบลเยียม เช็ก มอลตา นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส (187 ประเทศ)

ขณะที่พาสปอร์ตยอดแย่ที่สุด 3 ประเทศ ได้แก่ ซีเรีย อิรัก และอัฟกานิสถาน

Christian H. Kaelin ประธานของ Henley & Partners ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีดังกล่าวได้กล่าวถึงหนังสือเดินทางของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ว่าเป็นประเทศที่สามารถทำให้อันดับของหนังสือเดินทางเพิ่มอันดับขึ้นได้ไวมากที่สุด โดยในปี 2013 นั้นอยู่อันดับที่ 56 แต่ปัจจุบันหนังสือเดินทางของ UAE ครองตำแหน่งอันดับ 12 ของโลก ขณะเดียวกันหนังสือเดินทางของจีนและยูเครนก็ได้เพิ่มอันดับมากขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน

นอกจากนี้ประธานของ Henley & Partners ยังได้กล่าวว่าหนังสือเดินทางนั้นมีคุณค่ามากกว่าแค่การท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงเรื่องของโอกาสในการประกอบธุรกิจด้วย และคุณค่าของหนังสือเดินทางจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเกิดความไม่แน่นอนในด้านต่างๆ

สำหรับประเทศไทยนั้นครองอันดับที่ 64 โดยสามารถเข้าออกประเทศต่างๆ ได้ถึง 79 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่น่าสนใจนั้น เวียดนามได้อันดับที่ 82 อินโดนีเซียอันดับที่ 69 ฟิลิปปินส์อันดับที่ 74 มาเลเซียอันดับที่ 11

ที่มา – CNN

]]>
1438071
10 อันดับสัญชาติถือ “พาสปอร์ต” ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกแห่งปี 2022 https://positioningmag.com/1370261 Thu, 13 Jan 2022 04:16:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370261 โลกเริ่มเปิดการเดินทางแม้จะยังหวาดระแวงโอมิครอน ทำให้ผู้ถือ “พาสปอร์ต” ที่ไม่ต้องขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศได้หลายประเทศ เป็นกลุ่มที่มีทางเลือกมากและสะดวกกว่าสัญชาติอื่น ปีนี้ “ญี่ปุ่น” กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์โดยตีคู่มากับพาสปอร์ต “สิงคโปร์” อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของ 10 อันดับแรกนั้น ประเทศในยุโรปยังเป็นกลุ่มหลักที่ถือพาสปอร์ตทรงอิทธิพลที่สุด

Henley Passport Index อ้างอิงข้อมูลจากดาต้าของ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) มีการจัดอันดับ “พาสปอร์ต” ที่ทรงอิทธิพล เข้าออกได้หลายประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่ามากที่สุด มาตั้งแต่ปี 2006

ในปี 2022 จากดาต้าพบว่า การควบคุมการระบาดโรค COVID-19 ทำให้เกิดกำแพงกั้นการเดินทางมากกว่าก่อนเกิดโรคระบาด และทำให้ปีนี้คือปีที่เกิดความแตกต่างของผู้ถือพาสปอร์ตมากที่สุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ที่ Henley Passport Index เคยจัดอันดับมา (ทั้งนี้ ดัชนีนี้ไม่ได้นับรวมถึงกฎระเบียบแบบชั่วคราว นับเฉพาะกฎพื้นฐานเท่านั้น)

ดัชนีพบว่า “ญี่ปุ่น” และ “สิงคโปร์” ซึ่งได้อันดับ 1 ร่วมพาสปอร์ตทรงอิทธิพลปี 2022 สามารถเข้าออกได้ถึง 192 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกาซึ่งอยู่ท้ายตารางจากการรวบรวมข้อมูลพาสปอร์ต 199 ประเทศ สามารถเข้าออกประเทศอื่นได้แบบไม่ต้องขอวีซ่าก่อนเพียงแค่ 26 ประเทศ กลายเป็นช่องว่างที่แตกต่างกันอย่างมาก

สำหรับญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นการกลับมาทวงแชมป์ เพราะปีที่แล้วเสียตำแหน่งไปให้กับ “นิวซีแลนด์”

ผู้ถือพาสปอร์ตสิงคโปร์ ได้อันดับ 1 ร่วมกับพาสปอร์ตญี่ปุ่น

ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นและสิงคโปร์จะได้อันดับ 1 แต่ภาพรวมของกลุ่ม 10 อันดับแรกยังเป็นประเทศในทวีปยุโรปเสียส่วนใหญ่ที่ประชากรจะเดินทางไปทั่วโลกได้ง่ายกว่าผู้อื่น

10 อันดับสัญชาติผู้ถือ “พาสปอร์ต” ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ปี 2022

อันดับ 1 (192): ญี่ปุ่น, สิงคโปร์
อันดับ 2 (190): เกาหลีใต้, เยอรมนี
อันดับ 3 (189): ฟินแลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, สเปน
อันดับ 4 (188): ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, สวีเดน, ออสเตรีย
อันดับ 5 (187): ไอร์แลนด์, โปรตุเกส
อันดับ 6 (186): สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์, เบลเยียม, นิวซีแลนด์
อันดับ 7 (185): ออสเตรเลีย, แคนาดา, เช็ก, กรีซ, มอลตา
อันดับ 8 (183): โปแลนด์, ฮังการี
อันดับ 9 (182): ลิทัวเนีย, สโลวาเกีย
อันดับ 10 (181): เอสโตเนีย, ลัตเวีย, สโลวีเนีย

(ตัวเลขในวงเล็บคือจำนวนประเทศที่ผู้ถือพาสปอร์ตเข้าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า)

ด้านประเทศที่ผู้ถือพาสปอร์ตเข้าออกประเทศอื่นได้น้อยที่สุด คือน้อยกว่า 40 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีเหนือ (39), เนปาล และ ปาเลสไตน์ (37), โซมาเลีย (34), เยเมน (33), ปากีสถาน (31), ซีเรีย (29), อิรัก (28) และ อัฟกานิสถาน (26)

ค่าเฉลี่ยกลางของจำนวนประเทศที่เข้าออกได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าอยู่ที่ 107 ประเทศ สำหรับประเทศไทยสามารถเข้าออกประเทศอื่นโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 79 ประเทศ อยู่ในอันดับที่ 65 ร่วมกับอีก 3 ประเทศ คือ ซาอุดีอาระเบีย, โบลิเวีย และเบลารุส

Source

]]>
1370261
ป้องกันเดลตา! จีนเข้มงดต่ออายุ “พาสปอร์ต” ให้ประชาชน สกัดเดินทางเข้าออก https://positioningmag.com/1344706 Fri, 30 Jul 2021 16:17:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344706 รัฐบาลจีนเข้มงวดงดต่ออายุ “พาสปอร์ต” ให้กับประชาชน ยกเว้นกรณีจำเป็น เช่น ศึกษาต่อ ทำงาน เดินทางเพื่อธุรกิจ รวมถึงเข้มงวดการให้ “วีซ่า” ชาวต่างชาติที่ไม่อยู่ในประเทศ เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์เดลตาไม่ให้ข้ามกำแพงเมืองจีนเข้ามาได้

จีนหยุดการอนุมัติและต่ออายุพาสปอร์ตสำหรับการเดินทางที่ไม่จำเป็นเพื่อสกัดไวรัสกลายพันธุ์เดลตา “Chen Jie” โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติ ภายใต้กระทรวงความปลอดภัยสาธารณะ ยืนยันกับสำนักข่าวในประเทศจีนเมื่อวันศุกร์ที่ 30 ก.ค. 2021 ว่าจีนจะยังคงปฏิเสธการขอพาสปอร์ตไปก่อนในปีนี้ และยังไม่มีกำหนดว่าจะผ่อนคลายนโยบายนี้เมื่อไหร่

Chen กล่าวว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องให้ความร่วมมือกับสภารัฐกิจของจีนในการควบคุมโรคระบาด โดยการลดความเสี่ยงการระบาดที่อาจเกิดจากจุดเข้าออกจากประเทศ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความยากลำบากในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ๆ ของโรค COVID-19

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้มีข้อยกเว้นเฉพาะบุคคลที่ต้องเดินทางไปทำงาน เรียนต่อต่างประเทศ หรือทำธุรกิจที่จำเป็น

“หากการเดินทางไม่ได้มีวัตถุประสงค์ฉุกเฉิน เราขอให้ผู้ยื่นขอพาสปอร์ตยกเลิกหรือชะลอแผนการเดินทางออกจากจีน เรายังร้องขอให้เจ้าหน้าที่ยืดหยุ่นและอนุมัติพาสปอร์ตให้กับคนที่จำเป็นต้องไปเรียนต่อหรือทำงาน หากได้รับการยืนยันถึงความจำเป็นแล้ว เราจะดำเนินการอนุมัติให้ในเวลาอันเหมาะสม” Chen กล่าว พร้อมเสริมว่าบุคคลที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานเกี่ยวกับการควบคุมไวรัสโคโรนา หรือบุคลากรที่ต้องเดินทางไปทำงานเพื่อช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตหลังผ่านพ้นโรคระบาด กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับอนุมัติเร็วกว่า

6 เดือนแรกของปี 2021 จีนมีพาหนะเข้าออกชายแดน 7.5 ล้านครั้ง มีคนเข้าออก 67 ล้านคน โดยเจ้าหน้าที่อนุมัติเอกสารการเดินทางให้ชาวจีนมากกว่า 1.22 ล้านราย และให้กับชาวฮ่องกง-มาเก๊ามากกว่า 3 ล้านราย

ชีวิตปกติในจีน : ภาพจากวันที่ 3 พ.ค. 2021 ช่วงเทศกาลวันหยุดวันแรงงาน ผู้คนหลั่งไหลไปท่องเที่ยวที่เมืองซีอาน โดยไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยแล้ว (Photo : Shutterstock)

Chen กล่าวว่า ปีนี้มีพาสปอร์ตใหม่ได้รับการอนุมัติไป 335,000 ราย สำหรับบุคคลที่จะไปเรียนต่อ ทำงาน หรือทำธุรกิจเท่านั้น ด้านวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติ มีการอนุมัติไป 380,000 รายเฉพาะที่อาศัยอยู่ในจีน จีนยังพบชาวต่างชาติที่อยู่อย่างผิดกฎหมายไปแล้ว 85,000 คนด้วย

ทั้งนี้ สำนักข่าว South China Morning Post รายงานจากมุมของประชากรที่สะท้อนให้เห็นว่าการได้พาสปอร์ตหรือต่ออายุพาสปอร์ตในจีนยากลำบากมาก ชาวปักกิ่งรายหนึ่งยื่นขอต่ออายุพาสปอร์ตเพื่อจะร่วมเที่ยวบินเหมาลำไปสอบนักวิเคราะห์การเงิน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ถือว่าเป็น “เหตุผลพิเศษ” ที่จะให้ต่ออายุ

ด้านชาวต่างชาติที่จะเข้าประเทศก็ลำบากเช่นกัน เพราะอนุญาตเฉพาะการเดินทางเพื่อทำธุรกิจ และต้องตรวจหาโรค COVID-19 หลายครั้ง และต้องกักตัว 14-21 วันเมื่อไปถึง

กระนั้นก็ตาม การได้วีซ่ามาตั้งแต่แรกก็ยากมาก อ้างอิงจาก Martin Mueller ประธาน สภาหอการค้าสวิสในประเทศจีน พบข้อร้องเรียนจำนวนมากจากบริษัทสวิสที่ไม่สามารถขอวีซ่าให้คนของบริษัทเข้าประเทศจีนได้ ทำให้บริษัทขาดแคลนวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในตำแหน่งต่างๆ และ Mueller มองว่าการตั้งกำแพงไม่ให้ต่างชาติเข้าประเทศเช่นนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงของจีนในระดับสากล

Nicholas Thomas ผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงด้านสุขภาพและผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ City University of Hong Kong ระบุว่าการควบคุมการอพยพของคน สอดคล้องกับรูปแบบการควบคุมโรคระบาดที่ประสบความสำเร็จไปก่อนหน้านี้ของหลายประเทศ ช่วยหลีกเลี่ยงการระบาดของไวรัสเดลตาได้จริง ด้วยการลดการติดต่อกันระหว่างประชากรภายในกับสังคมที่ติดเชื้อภายนอก

“การจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของจีนช่วยลดโอกาสที่ชาวจีนจะติดเชื้อเดลตาในต่างประเทศ และลดความเป็นไปได้ที่บุคคลเหล่านั้นจะสร้างการระบาดในชุมชนเมื่อพวกเขากลับมา” Thomas กล่าว

ไวรัสเดลตากลายเป็นสายพันธุ์หลักของโลกอย่างรวดเร็ว โดยไวรัสสายพันธุ์นี้ทำให้ร่างกายผู้ติดเชื้อป่วยได้รวดเร็วกว่า จากการขยายจำนวนได้เร็วกว่าเดิม 1,260 เท่าเทียบกับสายพันธุ์ต้นกำเนิดที่เป็นพันธุ์หลักเมื่อปีก่อน อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์บนเว็บไซต์ Virological.org เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม

Source

]]>
1344706
“ญี่ปุ่น” ยังครองแชมป์พาสสปอร์ตทรงอิทธิพลเบอร์ 1 ของโลก ไทยรั้งอันดับ 66 https://positioningmag.com/1287420 Sun, 12 Jul 2020 16:07:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1287420 สื่อเวียดนามรายงานว่า ผลการจัดอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี โดยบริษัทเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส พบว่า ญี่ปุ่นยังครองอันดับ 1 ส่วนเวียดนามยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่ประชากรได้สิทธิเดินทางเข้าออกประเทศอื่นๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้น้อย โดยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 89 จากทั้งหมด 109 อันดับ

ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางเวียดนามสามารถเดินทางเข้าประเทศและเขตแดนต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าทั้งหมด 54 แห่ง ตามที่ระบุในเว็บไซต์ Henley Passport Index

สำหรับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนังสือเดินทางเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 89 ร่วมกับกัมพูชา และมีอันดับดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 93 และพม่าอยู่ในอันดับที่ 96 ที่สามารถสามารถเดินทางเข้าประเทศและเขตแดนต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าที่ 50 ประเทศและ 47 ประเทศ ตามลำดับ

ญี่ปุ่นยังคงครองอันดับ 1 ส่วนสิงคโปร์ครองอันดับ 2 ในระดับโลก แต่ครองอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับการยกเว้นวีซ่าในปลายทางต่างๆ ถึง 190 แห่ง ขณะที่มาเลเซียครองอันดับ 2 ในภูมิภาค และอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก ที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าถึง 178 แห่ง

ส่วนไทยอยู่อันดับ 66 ของโลก ที่สามารถเดินทางเข้าออกต่างประเทศได้ 78 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่า ขณะที่อินโดนีเซียอยู่ในอันดับ 73 ฟิลิปปินส์อันดับที่ 76 และบรูไนอันดับที่ 22

การจัดอันดับหนังสือเดินทาง 199 ประเทศและเขตแดนนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนปลายทางที่ผู้ถือหนังสือเดินทางสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า โดยใช้ฐานข้อมูลจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)

Source

]]>
1287420
เทรนด์ท่องเที่ยวในทศวรรษ 2020 : นวัตกรรมการเดินทาง ไม่ใช้พาสปอร์ต เที่ยวรักษ์โลก https://positioningmag.com/1259135 Thu, 02 Jan 2020 06:34:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259135 ทศวรรษ 2020 นี้จะเป็นการท่องเที่ยวที่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ตัวเลือกสำหรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะมีมากขึ้น เเละเมืองเก่าเเห่งเเดนอาทิตย์อุทัย อย่าง “เกียวโต” ขึ้นเเท่น จุดหมายยอดนิยม

อโกด้า (Agoda) แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวดิจิทัลรายใหญ่ของโลก เผย 3 เทรนด์  “วิถีการท่องเที่ยว” ที่จะเป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทางสำหรับทศวรรษ 2020 ได้แก่

  • แอปพลิเคชันเดียวสำหรับทุกความต้องการในการเดินทาง
  • การเดินทางโดยไม่ใช้พาสปอร์ต
  • การเช็คอินผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชันการท่องเที่ยวที่ล้ำสมัย และสัญญาณการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น ส่งผลให้นักเดินทางมีความคาดหวังเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมากขึ้น 

โดยเฉพาะ นักเดินทางชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดในประเทศอินโดนีเซีย (56%) ประเทศสิงคโปร์ (54%) ประเทศมาเลเซีย (53%) ไต้หวัน (50%) ประเทศฟิลิปปินส์ (48%) และประเทศไทย (48%) เห็นพ้องต้องกันว่า ‘วิถีการท่องเที่ยว’ ทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมานั้น จะกลายเป็นเรื่องปกติในการเดินทางในทศวรรษหน้า ซึ่งเมื่อเทียบกับในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาแล้ว มีนักเดินทางเพียง 1 ใน 3 (33%) เท่านั้นที่เห็นด้วย

นวัตกรรมเพื่อการท่องเที่ยว

1 ใน 2 ของนักเดินทางชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดหวังว่าจะเช็กอินเข้าที่พักผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือได้ เพื่อไม่ต้องเสียเวลาเข้าคิวเช็กอินที่ล็อบบี้ เพราะสามารถดาวน์โหลดคีย์การ์ด และเช็กอินเข้าห้องพักได้ทันที โดยนักเดินทางจากสิงคโปร์ (54%) ฟิลิปปินส์ (53%) มาเลเซีย (58%) และไทย (49%) เป็น 4 ชาติที่คาดหวังให้เทรนด์แห่งนวัตกรรมเพื่อการท่องเที่ยวนี้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากที่สุด

ในส่วนของ เทรนด์การเดินทางโดยไม่ใช้พาสปอร์ต นั้น นักเดินทางจากสิงคโปร์ (50%) เวียดนาม (47%) ฟิลิปปินส์ (45%) จีน (44%) และออสเตรเลีย (41%) คือ 5 ประเทศที่มีคาดหวังจะได้เห็นเทรนด์นี้มากที่สุด ในทางตรงข้าม มีเพียง 1 ใน 5 ของนักเดินทางจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่คาดว่าการเดินทางโดยไม่ใช้พาสปอร์ตจะกลายเป็นเรื่องปกติในทศวรรษหน้า

“ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของนักเดินทาง เนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ทุกคนสามารถค้นหา จอง และจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักได้ง่ายขึ้น หากย้อนเวลากลับไป เมื่อทศวรรษ 2000 เรามีเมาส์และคอมพิวเตอร์ที่ทำให้การจองตั๋วเครื่องบิน และที่พักออนไลน์ง่ายขึ้นเพียงไม่กี่คลิก ส่วนในทศวรรษ 2010 เราก็มีสมาร์ทโฟน และแอปพลิเคชันที่เปรียบเสมือนทราเวลเอเย่นต์พกพาอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเจ้าของโทรศัพท์มือถือหลายล้านคน และสำหรับในทศวรรษ 2020 ที่กำลังจะมาถึง เราก็มีเครื่องมืออันทรงพลังอย่าง การเก็บข้อมูล และแมชชีน เลิร์นนิ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยี AI โดยสองสิ่งนี้จะช่วยให้บริษัทต่างๆ เช่น อโกด้า สามารถแนะนำสินค้าและบริการที่มีความเฉพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคล (personalized) และเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้การจองบริการต่างๆ สำหรับการเดินทางกลายเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น” ทิโมธี ฮิวจ์ส รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กรของอโกด้า กล่าว

โดยเขาหวังว่า เอเชียก้าวขึ้นเป็นผู้นำในเรื่องนี้ในทศวรรษ 2020 โดยเฉพาะด้านวิดีโอและเทคโนโลยีเสมือนจริง (augmented reality) การปรับปรุงและพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการสำหรับโทรศัพท์มือถือด้วยแชทและเสียง รวมถึงการชำระเงินออนไลน์

เดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม – เที่ยวในประเทศมากขึ้น 

นักเดินทางทั่วโลกมีความต้องการที่จะท่องเที่ยวมากขึ้นในทศวรรษ 2020 โดย 40% ของผู้ตอบแบบสอบถาม อยากเที่ยวในประเทศของตนเองให้มากขึ้น และ 35% อยากเที่ยวในต่างประเทศให้มากขึ้น

เมื่อพูดถึงความรับผิดชอบต่อสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืนในระดับโลก นักเดินทางมากกว่า 1 ใน 4 ต้องการทางเลือกในการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทศวรรษหน้า โดยเฉพาะนักเดินทางจากประเทศสิงคโปร์ ไทย และอินโดนีเซีย ที่มีความกระตือรือร้นในการเลือกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาจเนื่องมาจากการปิดอ่าวมาหยาในประเทศไทย และเกาะโบราไกย์ (Boracay island) ในประเทศฟิลิปปินส์เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งทำให้นักเดินทางอยากมีส่วนร่วมช่วยรักษ์โลกขณะท่องเที่ยว

กลุ่มนักเดินทางอายุ 35-44 ปี และมากกว่า 55 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะอยากท่องเที่ยวในประเทศของตนเองมากขึ้น (40% และ 42% ตามลำดับ) โดยนักเดินทางจากประเทศจีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ไทย สหรัฐอเมริกา และประเทศเวียดนาม เลือกจุดหมายปลายทางในประเทศเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกบนรายการจุดหมายปลายทางที่ตนอยากไปในทศวรรษหน้า

นักเดินทางชาวเกาหลีและญี่ปุ่น มีแนวโน้มที่จะเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมากขึ้นในทศวรรษหน้า ส่วนนักเดินทางชาวไต้หวันและอินโดนีเซีย มีแนวโน้มจะเดินทางช่วงจบการศึกษาเพื่อค้นหาตัวเองก่อนศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือวางแผนอื่นๆ ในอนาคต

เกียวโตคว้าเเชมป์ เมืองที่คนอยากไปเยือนมากที่สุดในทศวรรษ 2020

ทวีปเอเชียขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ของจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลกในทศวรรษหน้า นักเดินทางทั้งจากเอเชียและตะวันตก ต่างอยากมาสัมผัสและสำรวจเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นดั่งสมบัติของทวีปเอเชีย อาทิ เมืองเกียวโตในประเทศญี่ปุ่นที่มีศาลเจ้าชินโต วัฒนธรรม อาหาร และประวัติศาสตร์อันเลื่องชื่อ ตามมาด้วยกรุงเทพมหานคร และเกาะบาหลีในประเทศอินโดนีเซีย

นักเดินทางจากประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศไทย ไต้หวัน ประเทศเวียดนาม และประเทศมาเลเซีย ต่างต้องการไปเที่ยวที่อื่นมากกว่าที่เมืองหลวงของประเทศตัวเอง ขณะเดียวกันนักเดินทางจากประเทศเกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และประเทศออสเตรเลีย เป็น 3 ประเทศที่ไม่ได้เลือกที่เที่ยวในประเทศเป็นจุดหมายปลายทางในทศวรรษหน้า

ข้ามไปฝั่งตะวันตก นักเดินทางชาวอเมริกันและชาวอังกฤษต่างอยากไปท่องเที่ยวที่ มหานครนิวยอร์ก มากที่สุดในทศวรรษหน้า ทั้งนี้มหานครนิวยอร์กก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับนักเดินทางจากประเทศออสเตรเลีย ประเทศญี่ปุ่น และประเทศเกาหลีใต้ ส่วนนักเดินทางทั้งชาวมาเลเซีย และอินโดนีเซียก็มีความต้องการอยากไปเยือนกรุงมักกะฮ์ให้ได้ก่อนปี 2030

Photo : Shutterstock

เทรนด์การท่องเที่ยวไทยในทศวรรษ 2020

  • คนไทยเกือบครึ่งหนึ่ง (49%) คาดว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อเช็คอินเข้าที่พักได้จะกลายเป็นเรื่องปกติในทศวรรษหน้า ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่คาดหวังกับเทรนด์นี้มากที่สุด
  • กว่า 39% ของคนไทยคาดว่าจะสามารถใช้แอปพลิเคชันเดียวสำหรับทุกความต้องการในการเดินทางได้
  • 32% ของนักเดินทางชาวไทยต้องการทางเลือกในการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อเดินทาง
  • กรุงเทพมหานครติดอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทยในทศวรรษหน้า ตามมาด้วยด้วยเกียวโต อันดับ 2 และภูเก็ต อันดับ 3
  • 36% ของนักเดินทางชาวไทยต้องการท่องเที่ยวในประเทศตัวเองมากขึ้น ขณะที่ 30% ต้องการไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น

 

FYI

ผลสำรวจของอโกด้าชิ้นนี้ ตัวเลขทั้งหมด ยกเว้นที่ระบุไว้เป็นอย่างอื่น มาจากบริษัท YouGov (ประเทศสิงคโปร์) จำกัด มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามทั้งหมด 16,383 คน และมีการทำการสำรวจทางออนไลน์ขึ้นในระหว่างวันที่ 12-18 ธันวาคม 2562 การสำรวจดำเนินการออนไลน์ โดยตัวเลขดังกล่าวมีการนำไปเฉลี่ยและเป็นตัวแทนของผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไปในประเทศนั้นๆ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละประเทศเพิ่มเติมได้ที่ Agoda Press Room

]]>
1259135
คนญี่ปุ่นติดบ้าน เที่ยวต่างประเทศน้อย เเม้ “พาสปอร์ต” จะทรงพลังที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1258207 Mon, 23 Dec 2019 11:57:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258207 หนังสือเดินทาง หรือ “พาสปอร์ต” ของญี่ปุ่น ได้รับการจัดอันดับว่า “ทรงพลัง” มากที่สุดในโลกในปีนี้ เเต่ทว่าชาวญี่ปุ่นเองกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษนี้เท่าที่ควร จากจำนวนผู้เดินทางออกนอกประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เเละมีผู้ถือพาสปอร์ตเพียง 23% ของจำนวนประชากรเท่านั้น

หากเทียบกับสหรัฐอเมริกาที่มีผู้ถือครองพาสปอร์ตเพิ่มขึ้นกว่า 17% ในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา เเละนับเป็น 44% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ญี่ปุ่นนับว่ามีสัดส่วนน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ (จี7)

Nikkei Asian Review เปิดเผยรายงานของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านสิทธิพลเมืองและที่พักอาศัยระดับโลกของอังกฤษ ที่ทำการสำรวจประเทศที่ออกหนังสือเดินทางใน 199 ประเทศระบุว่าเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้ถือพาสปอร์ตของญี่ปุ่นสามารถเดินทางไปยังประเทศต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่ารวมทั้งสิ้น 190 ประเทศ

ทำให้พาสปอร์ตของญี่ปุ่นถือขึ้นครองเเชมป์ “ทรงพลังมากที่สุดในโลก” ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน โดยปีนี้ครองแชมป์ร่วมกับสิงคโปร์ ตามมาด้วยเกาหลีใต้ เยอรมนี และฟินแลนด์ ที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า 188 ประเทศ

ดูเหมือนชาวญี่ปุ่นจะค่อนข้างเป็น “homebody” หรือคนติดบ้านกันมาก เเละชื่นชอบไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ อย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกงเเละมาเก๊า เป็นต้น ขณะเดียวกัน ปัจจุบันนักเรียนญี่ปุ่นก็สนใจไปศึกษาต่อต่างประเทศน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ทำงานในต่างประเทศกลับตระหนักดีว่าหนังสือเดินทางของญี่ปุ่นนั้นมีสิทธิประโยชน์มากมาย

ในหลายประเทศ หากคุณต้องการขอวีซ่าสำหรับการเข้าประเทศ นักเดินทางทั้งหลายจะต้องมีเอกสารที่ออกโดยสถานทูตหรือสถานกงสุลของประเทศปลายทางล่วงหน้า แต่ในหลายกรณีผู้ถือหนังสือเดินทางญี่ปุ่นสามารถข้ามการคัดกรองเบื้องต้นได้ และเนื่องจากหนังสือเดินทางญี่ปุ่นมีความน่าเชื่อถือมาก โดยทั่วไปผู้ถือจึงสามารถดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าเมืองได้อย่างราบรื่นมากกว่าผู้คนจากประเทศอื่น

สำหรับการที่หลายประเทศยกเว้นวีซ่าให้กับญี่ปุ่นมาจากหลายปัจจัย ทั้งเป็นประเทศมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองสูง อัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ เเละมีสถานะผู้ลี้ภัยน้อย ยิ่งไปกว่านั้น หลายประเทศยังเห็นประโยชน์จากความสัมพันธ์อันดีทั้งทางธุรกิจและทางการทูตกับญี่ปุ่น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เรามองว่าคนญี่ปุ่นดู “ปลอดภัย” และได้รับการต้อนรับอย่างดี

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นสามารถเดินทางไปยัง 190 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่ญี่ปุ่นมีการยกเว้นวีซ่าให้ประเทศอื่นเพียง 68 ประเทศเท่านั้น

ที่มา : Japan has world’s best passport, but few go abroad

]]>
1258207