ภูเก็ต – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 13 Dec 2024 09:37:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเส้นทาง AssetWise กับการสยายปีกสู่ “ภูเก็ต” ผ่านแบรนด์ THE TITLE ปั้นทำเลทองลงหัวหาดสำคัญขึ้นแท่น Heaven Bestination https://positioningmag.com/1501001 Mon, 16 Dec 2024 09:50:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501001

ในช่วงปีที่ผ่านมาขึ้นชื่อว่าเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย หลายวงการมีเรื่องราวมากมายทั้งแง่บวก และแง่ลบ ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีการเคลื่อนไหวไม่น้อยหน้าจากธุรกิจอื่น หลายแบรนด์ต่างพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุกเซ็กเมนต์


สยายปีกสู่ภูเก็ต อัพภาพลักษณ์สู่อินเตอร์

AssetWise หรือ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ของไทย ขึ้นแท่นบริษัทที่น่าจับตามองอย่างมากในปีนี้ ด้วยความที่มีการพัฒนาโครงการที่หลากหลายทั้งแนวราบ และแนวสูง คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เรียกว่าเก็บครบทุกเซ็กเมนต์ที่ตลาดต้องการ แถมล่าสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ยังเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับท็อป 10 ที่มีรายได้สูงที่สุดอีกด้วย

ในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มมองโอกาสในการพัฒนาโครงการนอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น มีการเริ่มโครงการในหัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว รวมไปถึงขตเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น

ทางแอสเซทไวส์ได้ขยายการลงทุนไปยังสุดยอดโลเคชันศักยภาพแห่งหนึ่งในประเทศไทย นั่นก็คือ “ภูเก็ต” ผ่าน “ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแอสเซทไวส์ หลังจากที่ได้เข้าถือหุ้นสัดส่วน 67.94% ในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เมื่อไม่นานมานี้

ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 12 ปี และมีโครงการที่อยู่อาศัยกระจายอยู่ตามทำเลศักยภาพ 3 ทำเล คือ บางเทา ในยาง และราไวย์ ซึ่งเป็น Strategic Locations ที่โดดเด่นทั้งด้านการเดินทาง ความงดงามของธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับการพักอาศัยระยะยาว (Long-Stay) และท่องเที่ยวระยะสั้น

การที่แอสเซทไวส์เข้าซื้อกิจการถือหุ้นใหญ่ เป็นทางลัดที่ทำให้ขายธุรกิจมายังภูเก็ตได้โดยปริยาย โดยมีผู้เล่นระดับโลคอลที่รู้พฤติกรรมของคนพื้นที่อย่างดี เติมเต็มพอร์ตฟอร์ลิโอให้แน่นขึ้น ขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าระดับอินเตอร์ และยังเป็นการอัพภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีมูลค่ามากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

เรียกได้ว่า THE TITLE จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่ทำให้แอสเซทไวส์เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มรายได้ให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงความหลากหลายในการพัฒนาโครงการโลเคชั่นใหม่ๆ อีกด้วย

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“วันนี้เราได้พิสูจน์แล้วว่า กลยุทธ์ Expand ขยายทำเลมายังภูเก็ต เป็นอีกหนึ่ง Key Success ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับเครือแอสเซทไวส์ได้อย่างมั่นคงตามแผน The New Frontiers ที่เราประกาศไว้ แต่นอกเหนือจากมิติด้านการเติบโตแล้ว ASW และ TITLE  ยังต้องการพัฒนาแบรนด์ THE TITLE ให้เป็นเสมือน Heaven Bestination จุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกอยากมาสัมผัสประสบการณ์และใช้ชีวิตด้วย เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างสรรค์ Community ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ภูเก็ตเป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน”


ปั้นภูเก็ตเป็น Haven Bestination 

ถ้าพูดถึงจังหวัดภูเก็ตในตอนนี้ ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นเพียงหัวเมืองใหญ่ หรือเมืองท่องเที่ยวได้อีกต่อไป เพราะขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการเดินทางเข้ามาพักระยะยาว หรือพักในช่วงเกษียณอายุเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติล้วนหลงใหลในเสน่ห์ของเมืองภูเก็ตกันทั่วโลก เราจึงได้เห็นอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตบูมมากเป็นพิเศษ

สมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตได้ฉายภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตปี 2567 ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ

ส่งผลให้กำลังซื้อของคนในพื้นที่แข็งแกร่งขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย

โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมในภูเก็ตทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 33,730 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้นราว 7.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 ด้านยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวน 4,497 หน่วย ขยายตัวขึ้น 259.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีมูลค่าทั้งหมดราว 40,190 ล้านบาท เติบ โตขึ้น 799% ซึ่งทำเลที่มียอดขายใหม่โดดเด่นมากที่สุดคือ “หาดบางเทา-หาดสุรินทร์” จำนวน 2,202 หน่วย หรือคิดเป็น 48.97% ของจำนวนหน่วยยอดขายใหม่ทั้งหมด

ด้วยศักยภาพของภูเก็ต ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้จึงได้พัฒนาแบรนด์ THE TITLE ให้เป็นเสมือน “Heaven Bestination” จุดหมายปลายทางของทุกประสบการณ์ความสุขที่ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ที่ผสมผสานความเงียบสงบและความงดงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์โฆษณา The Title Heaven Bestination เล่าเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ลากกระเป๋าบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเดินทางมายังภูเก็ต ซึ่งเป็น World Destination จุดมุ่งหมายสำหรับการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก ที่มีกิจกรรมทั้ง Day Life และ Night Life อีกทั้งแต่ละหาดยังมี Character และมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป


ซึ่งโครงการของ THE TITLE จะยิ่งเข้าไปช่วยเติมเต็มความสุขของผู้อยู่อาศัยในภูเก็ตมากยิ่งขึ้น ผ่านประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบายแบบทุกมิติ

เปิดเพิ่มอีก 4 โปรเจ็คต์ มูลค่า 15,500 ล้านบาท และคอมมูนิตี้มอลล์

ล่าสุดไฮซีซั่นนี้ (2024-2025) ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ภูเก็ต 4 โครงการ มูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท ปักหมุดทำเลบางเทา, กะตะ และราไวย์ ได้แก่

  1. เดอะ ไทเทิล เชียโล่ ราไวย์ (THE TITLE CIELO RAWAI) มูลค่า 1,200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายถึง 90% หลังเปิดขายได้เพียง 1 สัปดาห์
  2. เดอะ โมเดวา (THE MODEVA) มูลค่า 6,200 ล้านบาท
  3. เดอะ ไทเทิล อาร์ทริโอ บางเทา (THE TITLE ARTRIO BANG-TAO) มูลค่า 2,600 ล้านบาท
  4. คาตาเบลโล (KATABELLO) ในกะตะ มูลค่า 5,500 ล้านบาท มีแผนเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2568

นอกจากโครงการที่อยู่อาศัยแล้วยังมี Mingle Naiyang คอมมูนิตี้มอลล์ที่เพียบพร้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ อาทิ Tops Supermarket ที่จะเปิดบริการเต็มรูปแบบไตรมาส 1 ปี 2568 เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นแค่เพียงการสร้างที่อยู่อาศัย

แต่ยังสร้างคอมมูนิตี้ให้น่าอยู่กับชุมชนในภูเก็ตอีกด้วย โดยใน Mingle Naiyang จะมีสำนักงานขายใหม่ ซึ่งเป็นห้องตัวอย่างโครงการ The Title Serenity Naiyang รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่โซนในยางอีกด้วย

ปัจจุบันแอสเซทไวส์ และ TITLE มีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 31,500 ล้านบาท จากความสำเร็จของแบรนด์ THE TITLE ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ภาพรวมยอดขายของแอสเซทไวส์มียอดขายสะสม 9 เดือนแรกปี 2567 ทั้งหมด 14,578 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนที่มาจาก TITLE คิดเป็น 43% ของยอดขายสะสม ทั้งนี้ ปัจจุบัน TITLE มี Backlog สะสมทั้งหมดราว 8,022 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 จากเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 (THE TITLE HALO 1) และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการอื่นๆ ต่อเนื่องจนถึงปี 2570

#HeavenBestination #AssetWise #TheTitle #RhombhoProperty #Phuket #LeisureCondominium

]]>
1501001
“ไทย” ตลาด Branded Residences ใหญ่สุดในเอเชีย กรุงเทพ-ภูเก็ต ติด Top3 https://positioningmag.com/1502852 Wed, 11 Dec 2024 07:29:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502852 ประเทศไทย นอกจากจะเป็นเดสติเนชั่นท่องเที่ยวระดับโลก ยังเป็นเมืองบ้านพักตากอากาศของกลุ่มชาวต่างชาติ และขึ้นแท่นตลาด Branded Residences ใหญ่สุดในเอเชีย

นายบิล บาร์เน็ต กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks เปิดเผยว่า ตลาด Branded Residence ในเอเชีย ปี 2567 มีจำนวน 68,001 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2.66 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยปีละ 11% ส่วนใหญ่จะเป็น Branded Residence ภายใต้การบริหารของกลุ่มโรงแรม อาทิ Wyndham, Ascott, Banyan Group, Marriott เป็นต้น

โดยมี “ประเทศไทย” เป็นตลาดใหญ่สุด ครองสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ 23.3% รองลงมาเป็น ฟิลิปปินส์ สัดส่วน 17.3% และเกาหลีใต้ สัดส่วน 11.3%

ทั้งนี้ Branded Residence ในไทยมี 65 โครงการ จำนวน 16,271 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 5,478 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.91 แสนบาท/ตร.ม.

จำแนกราคาตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า

  • Branded Residences ใจกลาง กทม. มีราคาเฉลี่ย 8,323 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.91 แสนบาท/ตร.ม.
  • Branded Residences รีสอร์ต ราคาเฉลี่ย 4,614 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.61 แสนบาท/ตร.ม.
  • Branded Residences กลุ่มลักซูรี ราคาเฉลี่ย 12,729 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.45 แสนบาท/ตร.ม.

ไทยมีถึง 4 เมืองที่ติดอันดับ Top 10 ที่มี Branded Residences มากสุดในเอเชีย (ตามจำนวนยูนิต) ดังนี้

  • อันดับ 1 ภูเก็ต ประเทศไทย
  • อันดับ 2 มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
  • อันดับ 3 กรุงเทพ ประเทศไทย
  • อันดับ 4 กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
  • อันดับ 5 พัทยา ประเทศไทย
  • อันดับ 6 ดานัง ประเทศเวียดนาม
  • อันดับ 7 ฮาลองเบย์ ประเทศเวียดนาม
  • อันดับ 8 เซบู ประเทศฟิลิปปินส์
  • อันดับ 9 ปีนัง ประเทศมาเลเซีย
  • อันดับ 10 หัวหิน ประเทศไทย

“คนต่างชาติมักไปทำงานที่สิงคโปร์ แต่เลือกพักอาศัยในประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม Work From Home”

]]>
1502852
“ศุภาลัย” เปิดคอนโดฯ รวด 4 โครงการ วางหมาก “ราคาถูกกว่า” ปั๊มยอดขายปลายปี’67 https://positioningmag.com/1493980 Thu, 10 Oct 2024 14:04:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493980 หลังจากที่อั้นมาทั้งปียังไม่มีคอนโดฯ เปิดใหม่ ปลายปี’67 “ศุภาลัย” ใส่เต็ม เปิดรวดเดียว 4 คอนโดฯ ทำเลบางหว้าเจริญนครภูเก็ตเขาเต่า ทุกคอนโดฯ วางกลยุทธ์ทำ “ราคาถูกกว่า” ขอโกยยอดช่วงปลายปี 2567 ชี้สัญญาณตลาดคอนโดฯ ดีขึ้น ปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดใหม่เป็นเท่าตัว

“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แถลงเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการที่จะเริ่มจองในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ของบริษัท มูลค่ารวมกว่า 5,800 ล้านบาท ได้แก่

  1. Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์ จำนวน 771 ยูนิต ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท
  2. Supalai Tyme เจริญนคร จำนวน 461 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.59 ล้านบาท
  3. Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต จำนวน 221 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.69 ล้านบาท
  4. Supalai Kram เขาเต่า จำนวน 84 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.59 ล้านบาท

โดยเลือกเปิดตัวในช่วงปลายปีเพราะเริ่มเห็นสัญญาณตลาดคอนโดฯ ว่าเริ่มดีขึ้น วัดจากยอดเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีไม่ถึง 50% ของที่เคยมีการเปิดช่วงครึ่งปีแรก 2566 แต่ยอดขายกลับตกลงไม่มาก โดยยอดขายช่วงครึ่งปีแรก 2567 คิดเป็น 60% ของครึ่งปีแรกปี 2566

ศุภาลัย
จำนวนยูนิตคอนโดฯ เปิดตัวใหม่เปรียบเทียบกับจำนวนยูนิตที่ขายได้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ถือเป็นช่วงที่ยอดขายคอนโดฯ ขึ้นไปสูงกว่าจำนวนคอนโดฯ เปิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีความต้องการซื้อคอนโดฯ แต่ซัพพลายมีน้อยลง เป็นจังหวะที่ดีที่ศุภาลัยจะเติมซัพพลายลงไปในตลาดได้

มองถึงอนาคตปี 2568 ไตรเตชะชี้ว่าซัพพลายคอนโดฯ เปิดใหม่ก็น่าจะยังไม่สูงมากเช่นกัน เพราะวัดจากการได้รับอนุมัติ EIA ของคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันลดเหลือ 5 โครงการต่อเดือน เทียบกับก่อนโควิด-19 เคยได้รับอนุมัติประมาณ 15 โครงการต่อเดือน ทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ก็น่าจะยังมีไม่มาก

ปี 2568 ศุภาลัยจึงตั้งเป้าว่าจะเปิดคอนโดฯ ใหม่คิดเป็นมูลค่า 2 เท่าของปีนี้ โดยจะมีทั้งคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และเปิดในต่างจังหวัดเพิ่มอีก

 

ไม่วัดใจลูกค้า ขอเปิด​ “ราคาถูกกว่า” โกยยอดชัวร์ๆ

ไตรเตชะกล่าวต่อถึงกลยุทธ์ในการเปิดขายคอนโดฯ ปี 2567 ว่า แม้ตลาดจะดีขึ้นแต่เทรนด์ลูกค้ายังอ่อนไหวเรื่องราคาในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ และยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่อยู่ในตลาดด้วย ทำให้ศุภาลัยเลือกจะใช้การทำ “ราคาถูกกว่า” คู่แข่งในทำเลเพื่อมัดใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วสำหรับโครงการที่ยังต้องรอการก่อสร้าง

ยกตัวอย่างโครงการที่มั่นใจว่าราคาจะเป็นปัจจัยดึงดูดคือ Supalai Tyme เจริญนคร เปิดราคาเฉลี่ยทั้งตึก 85,000 บาทต่อตร.ม. ในทำเลเจริญนครช่วงกลาง (ด้านใต้ของสะพานตากสิน-ก่อนถึงสะพานพระราม 3) ซึ่งคอนโดฯ อื่นๆ ในย่านนี้ที่อยู่ติดถนนเจริญนครจะทำราคาพุ่งไปที่ 121,000-136,000 บาทต่อตร.ม. แล้วทั้งหมด ทำให้คอนโดฯ ใหม่ของศุภาลัยจะถูกกว่าทำเลถึง 30%

ทำเลเจริญนครและช่วงราคาที่แตกต่างกันทั้งบริเวณที่ตั้ง ติดถนนใหญ่หรือเข้าซอย และอยู่ฝั่งติดแม่น้ำหรือไม่ติด

หรืออีกโครงการอย่าง Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์ ระยะทางประมาณ 500 เมตรจากสถานีบางหว้า ราคาเฉลี่ยโครงการนี้อยู่ที่ 75,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ก็จะถูกกว่าคู่แข่งในทำเลซึ่งทำราคาอยู่ราว 90,000 บาทต่อตร.ม. ด้วยช่องว่างราคาที่ต่ำกว่าเกิน 10% ก็เชื่อว่าจะดึงดูดลูกค้าได้มาก

“บอกตามตรงแบบไม่เขินเลยคือเราไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาดในไตรมาส 4 ปีนี้ ถ้าเปิดตึกมาจะต้องได้ยอดขายเท่านั้น ทำให้ต้องทำราคาถูกสุดเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจทันที” ไตรเตชะกล่าว

ทีมงานบมจ.ศุภาลัย: (จากซ้าย) “ชัยจักร วทัญญู” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์, “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร และ “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ

ในแง่บริหารจัดการต้นทุน เอ็มดีศุภาลัยยืนยันว่าโครงการจะยังได้กำไรเพราะต้นทุนที่บริหารได้ดีในปีนี้คือ “ค่าวัสดุและก่อสร้าง” เนื่องจากราคาวัสดุต่ำลงมาแล้วเทียบกับช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับผู้รับเหมาและซัพพลายเออร์มีการแข่งขันประมูลราคากันสูงในปีนี้ จึงทำให้ศุภาลัยได้ราคาต่ำลง

 

ไฮไลต์จุดเด่น 4 โครงการ

ด้านรายละเอียดโครงการแต่ละแห่งว่ามีจุดเด่นน่าสนใจอย่างไร “ชัยจักร วทัญญู” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แจกแจงดังนี้

“Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต” เป็นอาคารเล่นระดับบนเชิงเขาเขารัง แม้ตัวอาคารจะสูง 8 และ 9 ชั้น แต่ด้วยความสูงของเขาจะทำให้ได้วิวเหมือนคอนโดฯ 20 ชั้น และเป็นคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้อย่างเป็นทางการตึกแรกใน จ.ภูเก็ต และของศุภาลัยด้วย

“Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต”

“Supalai Kram เขาเต่า” จำนวนยูนิตน้อยเพียง 84 ยูนิต ยูนิตส่วนใหญ่เป็นแบบ “2 ห้องนอน” ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการที่พักตากอากาศสำหรับครอบครัว ทำเลรับวิวอ่างเก็บน้ำเขาเต่า และระยะเดิน 400 เมตรจากชายหาดเขาเต่าซึ่งลงเล่นได้จริง

Supalai Kram เขาเต่า

“Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์” คอนโดฯ คอนเซ็ปต์ออกแบบใหม่มาในธีม “สีน้ำเงิน” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเต็มกว่าปกติ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ตัวห้องชุดให้เพดานสูง 2.7 เมตร

“Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์”

“Supalai Tyme เจริญนคร” ทำเลตรงข้ามเอเชียทีค ดันชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ 2 ชั้นบนสุดที่ชั้น 27-28 เห็นวิวแม่น้ำ 180 องศา

“Supalai Tyme เจริญนคร”
]]>
1493980
“เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า” ขยายพื้นที่ช้อป “แบรนด์เนม” อีก 4 เท่า! ขึ้นแท่นแหล่งรวม “ลักชัวรี” เทียบชั้นสิงคโปร์ https://positioningmag.com/1477665 Wed, 12 Jun 2024 02:43:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477665
  • ครบรอบ 6 ปี “เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า” วางเป้าขยายพื้นที่ร้านค้า “ลักชัวรี” เพิ่มอีก 4 เท่า เพิ่มแบรนด์ลักชัวรีในศูนย์ฯ เป็น 30 แบรนด์ภายในปี 2569 เทียบชั้น “สิงคโปร์-ฮ่องกง” แหล่งช้อปแบรนด์เนมชั้นนำในภูมิภาค
  • แรงหนุนการเติบโตเกิดจาก “ภูเก็ต” กลายเป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศระดับโลกของมหาเศรษฐี ทำให้มีความต้องการช้อปปิ้งแบรนด์เนมมากขึ้น
  • ศูนย์การค้าเครือ “เซ็นทรัลพัฒนา” (CPN) เข้ามาลงทุนบนเกาะภูเก็ตครั้งแรกเมื่อปี 2547 เปิดตัว “เซ็นทรัล ภูเก็ต เฟสติวัล” เสนอไลฟ์สไตล์คนเมืองให้กับชาวภูเก็ต ก่อนที่จะขยายพื้นที่ฝั่งตรงข้ามเมื่อปี 2561 เปิดตัวศูนย์การค้า “เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า” เน้นกลุ่มเป้าหมายใหม่ไลฟ์สไตล์ “ลักชัวรี” รวบรวมช็อป “แบรนด์เนม” มาไว้บนเกาะภูเก็ตเป็นครั้งแรก

    “6 ปีก่อนกับตอนนี้ถือว่าต่างกันมาก เมื่อ 6 ปีก่อนที่เราไปเชิญร้านค้าแบรนด์เนมมาลง เขาก็สงสัยว่ามันจะไปได้หรือ” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าว “แต่ CPN เรามีวิสัยทัศน์ว่าภูเก็ตสามารถพัฒนาไปเทียบชั้นกับรีเวียร่าในประเทศฝรั่งเศสหรือฮาวายของสหรัฐฯ คือเป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศชายทะเลระดับไฮเอนด์ รองรับเศรษฐีระดับโลกได้เลย”

    “วิไลพร ปิติมานะอารี” ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภูเก็ต บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ “ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” กรรมการผู้จัดการ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา

    ด้าน “วิไลพร ปิติมานะอารี” ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภูเก็ต บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เสริมว่า ในปีแรกที่ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า เปิดตัว มีแบรนด์เนมที่กล้าลงทุนพร้อมกับ CPN เพียง 7 แบรนด์ แบรนด์แรกที่มาเปิดช็อปคือ “Hermès”

    แต่ผ่านมา 6 ปีขณะนี้มีแบรนด์เนมเข้าศูนย์ฯ แล้วทั้งหมด 14 แบรนด์ และหลายแบรนด์ต้องการขยายพื้นที่ร้าน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้เช่าต่อการเติบโตของภูเก็ตและการทำงานของศูนย์ฯ

    14 แบรนด์ลักชัวรีในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า

     

    ดึงเพิ่มเป็น 30 แบรนด์ ขยายพื้นที่ 4 เท่า

    วิไลพรกล่าวต่อว่า ปัจจุบันพื้นที่ร้านค้าระดับลักชัวรีหรือ “Luxury Zone” มีทั้งหมด 2,000 ตารางเมตร แต่ศูนย์ฯ ตั้งเป้าจะขยายเป็น 4,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปี 2567 และเพิ่มเป็น 8,000 ตารางเมตรภายในปี 2569 หรือขยายเพิ่มขึ้น 4 เท่า

    แน่นอนว่าจำนวนแบรนด์จะเพิ่มจาก 14 แบรนด์เป็น 30 แบรนด์ ประเดิมเดือนสิงหาคมนี้ต้อนรับการมาของ “PRADA” ส่วนแบรนด์อื่นๆ อยู่ระหว่างเจรจา แต่แย้มว่าจะมีแบรนด์หรูหมวด “เครื่องประดับ” เข้ามาแน่นอนเพราะปัจจุบันยังเป็นหมวดที่ขาดไปในศูนย์ฯ

    เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า

    การขยายพื้นที่ร้านลักชัวรีของเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้าจะมีการ ‘relocate’ ปรับการวางร้านค้าในศูนย์ฯ​ โดยขยับแบรนด์ที่เป็นกลุ่ม ‘Accessible Luxury’ เช่น COACH, Kate Spade ขึ้นไปที่ชั้น 2 ทั้งหมด เพื่อทำให้ชั้น 1 เป็นพื้นของสินค้าระดับลักชัวรีเท่านั้น รวมถึงจะมีการปรับขยายพื้นที่เช่าในศูนย์ฯ ให้ใหญ่ขึ้นด้วย

     

    70% เป็น “ต่างชาติ” บินมาพักผ่อนพร้อมช้อปปิ้ง

    วิไลพรกล่าวถึงทราฟฟิกของเซ็นทรัล ภูเก็ตรวม 2 ฝั่งมีลูกค้าใช้บริการ 80,000-100,000 คนต่อวัน เฉพาะฝั่งฟลอเรสต้ามีทราฟฟิกถึงวันละ 50,000 คน

    เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า

    ฝั่งฟลอเรสต้าจะเน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากกว่า โดย 70% ของยอดขายมาจากต่างชาติที่บินมาพักผ่อนและที่อาศัยอยู่ประจำ (expat) สัญชาติหลัก ได้แก่ รัสเซีย ตะวันออกกลาง จีน ยุโรป อเมริกัน

    ส่วนอีก 30% เป็นคนไทย ครึ่งหนึ่งคือคนภูเก็ตเอง และอีกครึ่งหนึ่งคือคนกรุงเทพฯ ที่มีธุรกิจในภูเก็ตหรือมีบ้านพักตากอากาศทำให้บินมาพักบ่อยครั้ง

    ถ้าถามว่าทำไมต้องมาช้อปแบรนด์เนมถึงภูเก็ต? นอกจากเป็นกิจกรรมระหว่างพักผ่อนของเศรษฐีแล้ว ทางเซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้ายังมีการเสริมบริการที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดกลุ่ม “วีไอพี” ให้เลือกช้อปกันศูนย์ฯ มากกว่าบินไปกรุงเทพฯ หรือไปประเทศอื่น เช่น มีพนักงาน “Personal Assistant” คอยบริการถือถุงช้อปปิ้ง ช่วยจองสินค้าที่ต้องการไว้ให้ก่อน มีเลาจน์ไว้บริการ ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดี

    ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าวีไอพีของ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า มีประมาณ 2,300 คน มีทั้งลูกค้าที่ได้รับเชิญจากการคัดเลือกโปรไฟล์ และลูกค้าที่เป็น “Top Spender” บางรายมียอดซื้อหลักล้านบาทต่อปี

    เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า
    บรรยากาศใน เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า เดือนมิถุนายน 2567 อยู่ระหว่าง relocate ร้านเพื่อให้ชั้น 1 เปลี่ยนเป็น Luxury Zone ทั้งหมด

     

    สัญญาณ “ภูเก็ต” เป็นแหล่งรวม “เศรษฐี” ทั่วโลก

    ตั้งแต่หลังโควิด-19 สงบลง “ภูเก็ต” กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เนื้อหอมยิ่งกว่าที่เคย วิไลพรกล่าวว่าภูเก็ตทำรายได้จากการท่องเที่ยวไป 3.8 แสนล้านบาทเมื่อปี 2566 และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 4.5 แสนล้านบาทในปี 2567 ถือเป็นแหล่งทำเงินด้านการท่องเที่ยวอันดับ 2 ของไทยรองจากกรุงเทพฯ

    ในแง่อสังหาริมทรัพย์คือตัวชี้วัดว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามานั้นเน้น “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” เพราะระยะหลังภูเก็ตยิ่งเต็มไปด้วย “พูลวิลล่า” ราคาระดับร้อยล้านบาทต่อหลัง สนามกอล์ฟระดับโลก โรงเรียนนานาชาติ ท่าจอดเรือยอชต์ ฯลฯ ที่มีขึ้นเพื่อรองรับกำลังซื้อของมหาเศรษฐี

    ดร.ณัฐกิตติ์มองว่า เสน่ห์ของภูเก็ตจะทำให้เอาชนะแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์เนมอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ได้เพราะภูเก็ตครบครันกว่าในแง่ความเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีทั้งธรรมชาติ ไนต์ไลฟ์ สนามกอล์ฟ อาหาร บริการแบบไทย การมีศูนย์การค้าที่รวมแบรนด์เนมไว้ให้จึงช่วยเติมประสบการณ์ได้เหนือกว่า

    หากมองภาพรวมตลาดสินค้าลักชัวรีทั้งประเทศไทย ปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.62% จนถึงปี 2571 ซึ่งจะทำให้ไทยแซงหน้าสิงคโปร์ในกลุ่มตลาดสินค้าลักชัวรีได้

    ]]>
    1477665
    “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ทีมหัวหอกของ ORI บุกภูธร แย้มปี 2567 ลุย “อีสาน” เพิ่ม 3 จังหวัด https://positioningmag.com/1458851 Mon, 15 Jan 2024 08:12:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458851
  • หลังปักหมุดในโซน “อีอีซี” มาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ “ORI” มั่นใจมากขึ้นในการบุก “ต่างจังหวัด” โดยส่งทีม “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” เป็นทีมนำในการกระจายการลงทุนทั่วประเทศ
  • ปี 2567 เตรียมเปิดตัวที่พักอาศัยเพื่อขายในต่างจังหวัด 15 โครงการ แหล่งลงทุนหลักที่ “ภูเก็ต” ผนวกการลงทุนในอีสาน 3 จังหวัดใหม่ที่ “โคราช” “อุบลฯ” และ “อุดรฯ” รวมถึงจะเริ่มเปิดตลาด “หัวหิน”
  • บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กำลังเดินหน้าโตไม่หยุดผ่านการแตกไลน์สารพัดธุรกิจและออกสู่น่านน้ำทุกแห่งที่จะไปถึงได้ หนึ่งในน่านน้ำที่กำลังเคลื่อนพลออกไปคือตลาด “ต่างจังหวัด” ที่เริ่มต้นเปิดตลาดเมื่อปี 2562 เมื่อบริษัทเข้าไปลงทุนในพื้นที่ “อีอีซี”

    จากนั้นบริษัทเริ่มเปิดตลาดใหม่ต่อเนื่อง ในฝั่งที่พักอาศัยเพื่อขายเมื่อปี 2566 มีการขยายเข้าสู่จังหวัด “ขอนแก่น” เป็นครั้งแรก รวมถึงชิมลางภาคใต้ที่ “ภูเก็ต” ข้ามฟากฝั่งธุรกิจโรงแรมซึ่งขับเคลื่อนผ่านบริษัทลูก “วัน ออริจิ้น” ก็เข้าไปลงทุนทั้งในภูเก็ต กระบี่ หัวหิน และเชียงใหม่แล้ว

    ทำให้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทแม่เลือกเปลี่ยนชื่อบริษัทลูก “บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด” เป็น “บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด” สื่อถึงวิสัยทัศน์ว่า ORI จะเอาจริงกับตลาดต่างจังหวัดทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในอีอีซีอีกต่อไป

    (ซ้าย) ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล และ (ขวา) กฤษณ์ เตชะสัมมา

    “กฤษณ์ เตชะสัมมา” และ “ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล” สองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ร่วมกันให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน ORI มีโครงการในต่างจังหวัดสะสม 20 โครงการ (*เฉพาะที่พักอาศัยเพื่อขาย ไม่รวมโรงแรม) และเมื่อปี 2566 กลุ่มออริจิ้น เนชั่นวายด์สามารถสร้างยอดขายให้บริษัทแม่ได้ 6,500 ล้านบาท

    ขณะที่ปี 2567 นี้ เป้าหมายด้านยอดขาย รายได้ มูลค่าโครงการ ขอเปิดพร้อมกันกับบริษัทแม่ในเดือนมีนาคม แต่แย้มออกมาแล้วว่าจะเปิดโครงการใหม่รวดเดียว 15 โครงการ และมีจังหวัดใหม่ๆ ในแผน

     

    มุ่งสู่ “อีสาน” และ​ “ภูเก็ต”

    แผนปี 2567 ของออริจิ้น เนชั่นวายด์ จะมีการเปิดตลาดใหม่ในโซน “อีสาน” ให้มากขึ้น จากการเปิด “ดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น” เมื่อปีก่อน ได้รับผลตอบรับที่ดี ทำให้ปีนี้จะขยายต่อใน 3 จังหวัด คือ นครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานี

    ตลาดนครราชสีมา จะมีทั้งโครงการใหญ่ “ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่” มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และมีอีก 1 โครงการในตัวเมืองโคราช ส่วนตลาดอุบลราชธานีและอุดรธานี เป็นไปได้ที่จะมีมิกซ์ยูสเปิดเป็นที่พักอาศัยเพื่อขายคู่กับโรงแรมโดยร่วมมือกับวัน ออริจิ้น

    ภาพตัวอย่างพูลวิลล่า ออริจิ้น เขาใหญ่

    “ตลาดอีสานเรามองว่ามีศักยภาพหลายจังหวัด อย่างขอนแก่นได้ลูกค้ากลุ่มนักศึกษาและบุคลากรการแพทย์ โคราชก็เป็นเมืองหลวงแห่งอีสาน ส่วนอุบลฯ และ อุดรฯ เป็นจังหวัดที่มาแรงด้านการท่องเที่ยว” ประเสริฐกุลกล่าว

    ขณะที่อีกหนึ่งทำเลทองของออริจิ้นคือ “ภูเก็ต” ปีนี้จะเปิดรวดเดียว 3 โครงการ ทั้งในออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ บางเทา บีช และมีโครงการบ้านเดี่ยว “เบลกราเวีย” เข้าไปทำตลาด

    โซ ออริจิ้น บางเทา บีช

    ภูเก็ตถือเป็นอีกตลาดที่ออริจิ้นจะเร่งลงทุนเพราะความฮอตในระยะนี้ วัดได้จากโครงการ “ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต” คอนโดฯ ในเมืองที่ขายหมดภายใน 6 สัปดาห์ และยังคงเป็นโครงการต่างจังหวัดแห่งเดียวของออริจิ้น ณ ขณะนี้ที่ ‘sold out’ สำเร็จ

    นอกจากนี้ ออริจิ้น เนชั่นวายด์มีแผนจะลงทุนโครงการในหัวหินด้วย ซึ่งในตลาดนี้ฝั่งวัน ออริจิ้นเริ่มเปิดตลาดด้วยโรงแรมไปแล้วที่ “ไอบิส หัวหิน” ผ่านการเทกโอเวอร์เข้าพอร์ตเมื่อปี 2565

     

    ไปแบบ “มิกซ์ยูส” – ทำราคาต่ำกว่าตลาด

    กลยุทธ์การทำตลาดต่างจังหวัดของออริจิ้น เนชั่นวายด์นั้นอาศัยการจับมือ ‘ไปด้วยกันหมด’ กับบรรดาบริษัทลูกของ ORI

    ประเสริฐกุลอธิบายว่า การขึ้นโปรเจ็กต์แต่ละครั้งหากเป็นไปได้จะออกแบบให้เป็น “มิกซ์ยูส” อย่างน้อยจับมือกันเองภายในเครือ ORI เช่น มีทั้งคอนโดฯ และโรงแรมประกบคู่กันเพื่อสร้างมูลค่า

    ส่วนพันธมิตรภายนอกที่อาจจะมีการจอยต์เวนเจอร์กันได้ก็เปิดเจรจาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์ด้านที่ดิน การลงทุน ผู้ประกอบการ

    รวมถึงหมัดเด็ดสุดท้ายคือ “ราคา” ประเสริฐกุลยอมรับว่าบริษัทใช้วิธีตั้งราคาให้ “เข้าถึงได้ง่ายกว่า” กดราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่งในทำเลราว 10% แต่ยังทำกำไรให้กับบริษัทแม่ได้ ผ่านการคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สามารถสั่งซื้อรวมกันทั้งบริษัท

    “เราหวังว่าออริจิ้น เนชั่นวายด์จะเป็นผู้สร้างรายได้สนับสนุนให้กับบริษัทแม่ได้ เพราะต่างจังหวัดจะเป็นการเจาะตลาดใหม่ให้จากการเข้าสู่โซนแหล่งงานใหม่ เช่น EEC หรือโซนจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ” กฤษณ์กล่าว

    ]]>
    1458851
    “ออริจิ้น” ลุยสร้างที่พักตากอากาศพร้อมกัน 2 ทำเลที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” โหมตลาดเมืองท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1458572 Thu, 11 Jan 2024 10:03:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458572
  • “ออริจิ้น” ลุยตลาดเมืองท่องเที่ยวพร้อมกัน 2 ทำเลในปีนี้ที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์” สร้างเมืองตากอากาศมิกซ์ยูสรวมทั้งคอนโดฯ พูลวิลล่า และโรงแรมไว้ในโครงการเดียว
  • ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต ปักหมุดที่ “หาดบางเทา” เฟสแรกเปิดขายคอนโดฯ “โซ ออริจิ้น บางเทา บีช” ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท และพูลวิลล่า “บัลโค” ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท เป้าหมายเจาะกลุ่มเศรษฐีรัสเซีย
  • ด้านออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่ เปิดทำเลช่วงต้นถนนธนะรัชต์ คอนโดฯ ราคาเริ่ม 3.99 ล้านบาท พูลวิลล่าเริ่ม 19 ล้านบาท จับกลุ่มคนไทยสายสุขภาพเวลเนส
  • “กฤษณ์ เตชะสัมมา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาโครงการต่างจังหวัดในเครือออริจิ้น (ORI) แถลงเปิดแผนเมกะโปรเจ็กต์ “ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์” 2 ทำเลที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท

    ออริจิ้น ภูเก็ต
    แผนผังที่ดิน ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต บางเทา

    โดยออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต เป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 25 ไร่ ติดหาดบางเทา ภายในแบ่งเป็น 5 ส่วน ได้แก่

    1.”โซ ออริจิ้น บางเทา บีช” คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 545 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
    2.”บัลโค บางเทา” พูลวิลล่าบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว จำนวน 35 หลัง ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท
    3.โรงแรมระดับ 5 ดาว (อยู่ระหว่างพิจารณาเชนโรงแรม) ประมาณ 200 ห้อง
    4.คอนโดฯ ที่จะเป็น Branded Residence (อยู่ระหว่างออกแบบและพิจารณาเชนโรงแรม)
    5.บีชคลับ “Tichuca Phuket” คลับดังจากทองหล่อ มาเปิดริมชายหาดที่นี่เพื่อเป็นแม่เหล็กให้กับโครงการ

    โซ ออริจิ้น บางเทา บีช

    สำหรับโซ ออริจิ้น บางเทา บีช จะเปิดขายวันที่ 20 มกราคมนี้ ขณะที่บัลโคมีกำหนดเริ่มขายภายในปี 2567 ส่วนอื่นๆ ในโครงการจะทยอยเปิดตัวในปีต่อๆ ไป โดยคาดว่าทั้งโครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ต จะแล้วเสร็จภายในปี 2570

     

    ภูเก็ตกำลัง ‘ขึ้นหม้อ’

    กฤษณ์ให้ข้อมูลว่าตลาดภูเก็ตเป็นตลาดที่กำลังเติบโตร้อนแรงมาก โดยช่วงครึ่งปีแรก 2566 ยอดขายคอนโดฯ ภูเก็ตโตถึง 97.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วนตลาดวิลล่าก็เติบโตได้ 29% จากกระแสความต้องการของชาวต่างชาติ

    บัลโค บางเทา

    โครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ ภูเก็ตเองตั้งเป้าสอดคล้องกับตลาด จากทำเลโครงการตั้งอยู่ช่วงหาดบางเทาซึ่งเป็นทำเลที่ต่างชาตินิยมโดยเฉพาะกลุ่มรัสเซีย เพราะเป็นหน้าหาดฝั่งพระอาทิตย์ตกและเจริญมานานจากสนามกอล์ฟ ลากูน่า ภูเก็ต มีแหล่งร้านอาหารและแฮงเอาต์ระดับไฮเอนด์มากมาย ทำให้โครงการนี้หวังเป้าหมายยอดขาย 70% มาจากกลุ่มต่างชาติ และ 30% จากชาวไทย

    ส่วนใหญ่ผู้ซื้อน่าจะเน้นการลงทุนผสมผสานกับการซื้อเพื่อเป็นบ้านตากอากาศแบบ Long Stay จากโอกาสด้านการท่องเที่ยวที่กำลังเป็นขาขึ้นของภูเก็ต เชื่อว่าน่าจะมีนักลงทุนสนใจสูง

    ด้านในบัลโค บางเทา สระว่ายน้ำเชื่อมต่อตลอดแนวตั้งแต่ห้องนั่งเล่นจนถึงห้องน้ำ

    นอกจากมิกซ์ยูสแรกที่หาดบางเทา กฤษณ์บอกด้วยว่าออริจิ้นจะโหมลงทุนในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง โดยมีที่ดินสำหรับพัฒนามิกซ์ยูสขนาดใหญ่อีก 2 ทำเลที่ “เชิงทะเล” ขนาดที่ดินประมาณ 20 ไร่ และ “หาดกะตะ” ขนาดที่ดินมากกว่า 10 ไร่ รวมถึงมีที่ดินขึ้นโครงการเดี่ยวได้อีก 2 แห่งในย่านกะทู้และย่านตัวเมืองภูเก็ต

    ออริจิ้นมีความมั่นใจในตลาดภูเก็ตสูงมากทั้งจากสถิติรวมของทั้งตลาดที่เติบโตขึ้น และจากประสบการณ์ล่าสุดเมื่อปี 2566 บริษัทเปิดตัว “ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต” คอนโดฯ ที่มีกว่า 700 ยูนิตแต่สามารถขายหมด (sold out) ได้ใน 6 สัปดาห์

     

    จ่อเปิดขายที่ ‘เขาใหญ่’ เดือนหน้า

    ส่วนอีกหนึ่งทำเล ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่ เป็นโครงการมิกซ์ยูสเช่นกันโดยร่วมทุนกับ บริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 40 ไร่ ตั้งอยู่ช่วงต้นถนนธนะรัชต์ ภายในประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่

    1.พูลวิลล่า Branded Residence บ้านเดี่ยวจำนวน 19 หลัง ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท
    2.คอนโดฯ Branded Residence จำนวน 405 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.99 ล้านบาท
    3.โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 191 ห้อง
    4.ศูนย์บริการด้านเวลเนส

    ออริจิ้น เขาใหญ่
    แผนผังโครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่

    “ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด แย้มว่าขณะนี้บริษัทใกล้ปิดดีลกับ “กลุ่มดุสิตธานี” เพื่อมาเป็นเชนบริหารโรงแรมและ Branded Residence ทั้งส่วนคอนโดฯ และพูลวิลล่า คาดว่าจะสรุปรายละเอียดและเริ่มเปิดพรีเซลส่วนที่พักอาศัยได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567

    หากประกาศและเริ่มเปิดจองอย่างเป็นทางการ นับได้ว่าโครงการนี้จะเป็นบ้านพักตากอากาศแห่งที่ 2 บนเขาใหญ่ที่เป็น Branded Residence ใช้เชนโรงแรมระดับสากลเข้ามาบริหาร ต่อจากบันยันทรี เรสซิเดนซ์ เครสตัน ฮิลล์ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

    ภาพตัวอย่างพูลวิลล่า ออริจิ้น เขาใหญ่

    ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งในแผนของ “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ที่ปี 2567 นี้จะมีการเปิดตัวที่พักอาศัยเพื่อขายรวมทั้งหมด 15 โครงการ ขยายหาดีมานด์จากต่างจังหวัดมาเติมเต็มรายได้ให้พอร์ตของบริษัทแม่

    ]]>
    1458572
    สูงสุดในรอบ 10 ปี! คอนโดฯ “ภูเก็ต” ปี 2566 ยอดขายพุ่งกระฉูด ต่างชาตินิยมซื้อลงทุนปล่อยเช่า https://positioningmag.com/1457429 Thu, 28 Dec 2023 08:03:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457429 CBRE เปิดข้อมูลตลาดคอนโดฯ “ภูเก็ต” ปี 2566 ทำยอดขายพุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ลูกค้า 79% ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าด้วยเล็งเห็นศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของเกาะภูเก็ต โดยมีชาติที่นิยมซื้อ ได้แก่ รัสเซีย จีน และอังกฤษ “หาดบางเทาหาดลายัน สุดยอดทำเลฮิต

    “ประกายเพชร มีชูสาร” หัวหน้าแผนกซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต “CBRE ประเทศไทย” บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดข้อมูลการขายที่พักตากอากาศประเภทคอนโดมิเนียมใน “ภูเก็ต” แค่เพียงช่วงครึ่งปีแรก 2566 มียอดขายรวม 1,486 ยูนิต สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และเมื่อเทียบกับสถิติตลอดทั้งปี 2565 คอนโดฯ ในภูเก็ตมียอดขาย 1,267 ยูนิต เห็นได้ว่าปีนี้แค่เพียงครึ่งปีแรกยอดขายคอนโดฯ ภูเก็ตได้วิ่งแซงยอดขายทั้งปีของปีก่อนไปแล้ว

    ภูเก็ต

    ด้านการเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ CBRE ระบุว่าในช่วงครึ่งปีแรก 2566 มีการเปิดตัวใหม่เพียง 364 ยูนิต แต่คาดว่ารวมทั้งปี 2566 นี้จะมีการเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ในภูเก็ตถึง 3,000 ยูนิต มากกว่าปีก่อน 8.9% และมากกว่าค่าเฉลี่ยรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2561-65) ถึง 2.03 เท่าตัว

     

    ลูกค้า 79% ซื้อปล่อยเช่า

    สำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อคอนโดฯ ภูเก็ต CBRE พบว่า 50% เป็นชาวไทย และ 50% เป็นชาวต่างชาติ โดยชาติที่นิยมซื้อมากที่สุดคือ รัสเซีย จีน และ อังกฤษ อย่างไรก็ตาม มีชาติที่แสดงความสนใจเข้ามามากขึ้นในระยะหลัง คือ กลุ่มตะวันออกกลาง และ อินเดีย เชื่อว่ากลุ่มสัญชาติเหล่านี้ก็จะยังคงเป็นลูกค้าหลักต่อไปในปี 2567

    ส่วนวัตถุประสงค์การซื้อคอนโดฯ ในภูเก็ตของลูกค้า 79% ต้องการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า และ 21% ซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศหรือบ้านหลังที่ 2 ของตนเอง

    คอนโดฯ ตากอากาศใน จ.ภูเก็ต “MGallery Residences MontAzure” คาดก่อสร้างเสร็จ ไตรมาส 4/2567

    ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนชื่นชอบภูเก็ต เนื่องจากเล็งเห็นความพร้อมในตลาดภูเก็ตจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รองรับนักท่องเที่ยวถึง 18 ล้านคนต่อปี และปัจจุบันภูเก็ตมีชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (expat) มากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ รวมถึงภูเก็ตยังมีแนวโน้มที่จะขยายโครงสร้างพื้นฐานอีกมากเพื่อรองรับการอยู่อาศัยและเดินทาง เช่น ทางด่วนสายใหม่กะทู้-ป่าตอง การขยายท่าอากาศยานภูเก็ตระยะที่ 2 ที่มีกำหนดสร้างเสร็จภายในปี 2571

    นอกจากนี้ ในแง่ของผลตอบแทนการลงทุนและการจัดการปล่อยเช่ายังจัดอยู่ในเกณฑ์ดี CBRE ให้ข้อมูลว่าผลตอบแทนการปล่อยเช่าคอนโดฯ ระดับลักชัวรีในภูเก็ตช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 6-8% ต่อปี และภูเก็ตยังเป็นตลาดที่มีบริการช่วยเหลือบริหารการปล่อยเช่าที่สะดวก ผู้ซื้อสามารถไว้วางใจได้ รวมถึงมีตัวเลือกกลุ่ม ‘Branded Residence’ จากเครือโรงแรมระดับโลกให้เลือกด้วย ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ลูกค้านักลงทุนมองหา

     

    หาดบางเทา-หาดลายัน ทำเลสุดฮิต

    ด้านทำเลที่ลูกค้ามักจะมองหา CBRE ระบุว่าเป็น “หาดบางเทา-หาดลายัน” เพราะถือเป็นหนึ่งในหาดที่สวยที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาดยาวอันดับ 2 ของเกาะ

    ภูเก็ต

    หาดบางเทาและหาดลายันยังตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าหาดตะวันตกตอนกลางเกาะ ซึ่งเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในภูเก็ตได้สะดวก เช่น ขึ้นเหนือไปยังสนามบินภูเก็ต หรือไปทางตะวันออกเพื่อเข้าตัวเมืองภูเก็ต เข้าสู่เขตย่านห้างสรรพสินค้า ย่านธุรกิจ ได้โดยง่าย

    ประกายเพชรแห่ง CBRE สรุปว่าปี 2567 น่าจะยังเป็นปีที่คอนโดฯ ระดับลักชัวรีในภูเก็ตทำยอดขายได้ดีต่อเนื่อง และถ้าหากการท่องเที่ยวในภูเก็ตฟื้นตัวยิ่งขึ้น มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นก็จะยิ่งส่งผลดีต่ออสังหาฯ ประเภทที่พักตากอากาศในภูเก็ต

    ]]>
    1457429
    CI เปิดขายวิลล่าหรู 4 หลังสุดท้ายใน “ศรีพันวา” ราคาเริ่ม 250 ล้าน เตรียมไปต่อแปลงใหม่บนเกาะ “ภูเก็ต” https://positioningmag.com/1456039 Mon, 18 Dec 2023 07:23:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456039 ครบรอบ 20 ปีโครงการ “ศรีพันวา” จ.ภูเก็ต “ชาญอิสสระ” พร้อมเปิดขายพูลวิลล่าหรู 4 หลังบนที่ดิน 2 ไร่สุดท้ายในโครงการ (ไม่รวมที่ดินในส่วนโรงแรม) ในราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท ให้เศรษฐีจับจองวิลล่าชมวิวพระอาทิตย์ตก ณ ปลายแหลมพันวา ก่อนขยับขยายไปเปิดแบรนด์ศรีพันวาในโลเคชันใหม่บนเกาะภูเก็ตภายในปี 2567

    “ดิฐวัฒน์ อิสสระ” กรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด เปิดรายละเอียดพูลวิลล่า “The Sky Series” 4 หลังสุดท้ายที่จะเปิดขายในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต ตั้งอยู่บนที่ดิน 2 ไร่ หันหน้าฝั่งพระอาทิตย์ตก มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท

    วิลล่า ศรีพันวา
    วิลล่า The Sky Series ในศรีพันวา

    พูลวิลล่าส่วนนี้จะเป็น วิลล่า 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 1,200 ตร.ม. ราคาเริ่ม 250 ล้านบาท ด้านในมี 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 2 สระว่ายน้ำ พร้อมลิฟต์ส่วนตัวทุกหลัง และมีฟังก์ชันพิเศษคือ “Sky Deck” บนดาดฟ้า สำหรับนั่งพักผ่อนชมวิวและปาร์ตี้ได้ โดยได้แรงบันดาลใจจาก “Baba Nest” รูฟท็อปบาร์ของโรงแรมศรีพันวาที่ถือเป็นบาร์วิวสวยระดับโลก

    ดิฐวัฒน์กล่าวว่า ที่ดินผืนนี้ถือเป็นผืนสุดท้ายในโครงการศรีพันวาที่จะเปิดขายในส่วนที่พักอาศัย ส่วนที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 5-7 ไร่จะอยู่ในโซนโรงแรม ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเป็นฟังก์ชันส่วนเวลเนสของโรงแรมต่อไปในอนาคต

    บริเวณ Sky Deck แรงบันดาลใจจาก Baba Nest
    วิลล่า ศรีพันวา
    โซนห้องนั่งเล่น เพดานแบบดับเบิลวอลุ่ม เทกวิวทะเล

     

    วิลล่าหรูภูเก็ตขายดี อัตราขายพุ่งแตะ 85%

    ด้านตลาดวิลล่าในภูเก็ต ดิฐวัฒน์ให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2556-2566 ตลาดนี้ถือว่าเป็นเทรนด์ขาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะสะดุดไปบ้างในปี 2562 ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 แต่หลังจากนั้นตลาดกลับเป็นขาขึ้นอีก เนื่องจากต่างชาติยังเชื่อมั่นในภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองที่มีคนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดเป็นอันดับ 14 ของโลก

    เมื่อปี 2565 ตลาดวิลล่าในภูเก็ตมีอัตราการขายแตะ 82% และครึ่งปีแรกปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 85% โดยขายไปได้ 251 หลัง ถือว่าเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ขายดีมาก 

    วิลล่า ศรีพันวา
    ซัพพลาย ดีมานด์ และอัตราการขายวิลล่าในภูเก็ต ปี 2556-2565 (ข้อมูลโดย ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย)

    ทั้งนี้ หากแยกตลาดวิลล่าในภูเก็ตตามระดับราคา กลุ่มราคาที่มีการขายมากที่สุดคือกลุ่มระดับกลางราคา 15-35 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 67% ของตลาด

    อย่างไรก็ตาม วิลล่าของ “ศรีพันวา” จัดอยู่ในกลุ่มระดับลักชัวรี ราคา 90 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีซัพพลายน้อย คิดเป็นสัดส่วนการขายเพียง 7%ในตลาด

    สัดส่วนการขายวิลล่าในภูเก็ต ครึ่งปีแรก 2566 แยกตามระดับราคา

    ดิฐวัฒน์กล่าวต่อว่า ตลาดซูเปอร์วิลล่าขนาด 1,000 ตร.ม.ขึ้นไปในแต่ละปีจะมีการเปิดตัวใหม่ราว 5-10 หลังเท่านั้น และลูกค้ามักจะสนใจวิลล่าที่เป็น Branded Residence เพื่อให้มีเชนโรงแรมบริหารจัดการบำรุงรักษา และสามารถปล่อยเช่ากับโรงแรมเพื่อเป็นรายได้เมื่อเจ้าของไม่ได้เข้าพัก ซึ่งทำให้วิลล่าของศรีพันวาได้เปรียบในจุดนี้

    ตลอด 20 ปีที่ศรีพันวาเริ่มเปิดโครงการ มีการขายวิลล่าไปแล้ว 22 หลัง ซึ่งเจ้าของมีกว่า 10 สัญชาติทั่วโลก จึงเชื่อว่าวิลล่า “The Sky Series” 4 หลังสุดท้ายนี้น่าจะได้รับการตอบรับจากต่างชาติเช่นกัน คาดว่าจะปิดการขายได้ 2 หลังภายในปี 2567 และอีก 2 หลังในช่วงที่วิลล่าสร้างเสร็จไตรมาส 4 ปี 2568

     

    “ศรีพันวา” เตรียมขึ้นแปลงใหม่บนเกาะภูเก็ต

    หลังจากพัฒนาที่ดินแปลงนี้จนหมดแล้ว ดิฐวัฒน์กล่าวว่าปี 2567 บริษัทจะเริ่มพัฒนาที่ดินแปลงใหม่บนเกาะภูเก็ต ขณะนี้ใกล้จะปิดดีลจัดซื้อที่ดินให้เรียบร้อย

    โดยที่ดินแปลงนี้จะอยู่ในทำเลที่แตกต่างจากเดิม เป็นทำเลใกล้เมืองมากขึ้นแต่ยังเห็นวิวทะเลได้ แต่จะยังใช้แบรนด์ “ศรีพันวา” เช่นเดิมเพราะเป็นโครงการมิกซ์ยูสโรงแรมและวิลล่าระดับไฮเอนด์ และเชื่อว่าแบรนด์ศรีพันวามีคุณค่าที่จะพัฒนาขยายโลเคชั่นได้อีก

    ขณะที่โครงการ “บาบา บีช คลับ นาใต้ ภูเก็ต” ก็ยังมีที่ดินเหลืออยู่อีกประมาณ 20 ไร่ที่พัฒนาได้ แต่เนื่องจากทำเลหาดนาใต้ซึ่งเป็นโซนที่ข้ามไป จ.พังงา แล้ว ยังต้องรอการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวให้มากกว่านี้ก่อน รวมถึงรอข้อสรุปด้านกฎหมายผังเมืองในพื้นที่ด้วย ทำให้ปีหน้าน่าจะยังไม่ใช่จังหวะการพัฒนาเพิ่มเติม

    แผนการพัฒนาของ “ชาญอิสสระ” ปี 2567 จึงต้องจับตาการพัฒนาที่ดินผืนใหม่ในจ.ภูเก็ตที่จะเป็นศรีพันวาทำเลใหม่ และอีกหนึ่งโครงการในกรุงเทพฯ ที่เตรียมจะพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับอัลตราลักชัวรี ทำเลวงแหวนพระราม 9 อีกด้วย

    ]]>
    1456039
    กลุ่ม “นารายณ์” อัปเกรดโรงแรมบนหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต สวมแบรนด์ “เลอ เมอริเดียน” ดึงกลุ่มครอบครัว https://positioningmag.com/1445738 Wed, 27 Sep 2023 09:33:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445738 “นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้” ทุ่มทุนร่วม 500 ล้านบาท รีโนเวตและอัปเกรดโรงแรมบนหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต เปลี่ยนแบรนด์จากฮอลิเดย์ อินน์ เป็น “เลอ เมอริเดียน” จับกลุ่มลูกค้าพรีเมียม เดินทางเป็นครอบครัว คาดเพิ่มมูลค่ารายได้ขึ้น 30-40%

    “โทมัส เทต” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดตัวโรงแรมใหม่ของบริษัทหลังรีโนเวตและรีแบรนด์เสร็จสิ้นที่ “เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท” เนื้อที่ 22 ไร่ จำนวน 244 ห้องพัก ทำเลติดหน้าหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต

    โรงแรมนี้เป็นสินทรัพย์ในเครือของนารายณ์ฯ​ มาตั้งแต่ปี 2554 แต่เดิมใช้แบรนด์ “ฮอลิเดย์ อินน์” ในเครือ IHG ก่อนจะปิดปรับปรุง 10 เดือนมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 และเปลี่ยนแบรนด์มาใช้ “เลอ เมอริเดียน” ในเครือแมริออท เตรียมเปิดให้บริการวันแรก วันที่ 1 ตุลาคมนี้

    เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต นารายณ์
    บริเวณล็อบบี้ประดับด้วยผลงานศิลปะทำจาก “กะลา” ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในภาคใต้

    หลังเปลี่ยนแบรนด์ โรงแรมมีการปรับโครงสร้างใหม่ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งล็อบบี้ ภายในห้องพัก เพิ่มสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก เพิ่มห้องพักที่มี Private Pool และ Pool Access เพิ่มห้องพักขนาดใหญ่พิเศษอีก 2 ห้อง รวมถึงขยายพื้นที่คาเฟ่ในโรงแรมให้รองรับลูกค้าได้มากขึ้น

     

    อัปเกรดเพื่อรองรับดีมานด์ “ครอบครัว” ระดับไฮเอนด์

    โทมัสระบุว่า แม้ฮอลิเดย์ อินน์จะได้อัตราเข้าพักสูงถึง 80% แต่ที่ต้องมีการเปลี่ยนแบรนด์เนื่องจากบริษัทต้องการยกระดับตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมให้สูงขึ้น

    “จิรารัตน์ นิลประดับ” ผู้จัดการทั่วไป เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท กล่าวว่า ทำเลหาดไม้ขาวเป็นทำเลที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่ม “ครอบครัว” ของจ.ภูเก็ต เพราะเป็นหาดที่ยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จึงมีความสงบและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับกลุ่มเด็กมากกว่าหาดอื่นๆ ทำให้โรงแรมส่วนใหญ่จะเจาะเป้าหมายกลุ่มนี้ รวมถึงโรงแรมเดิมที่ใช้แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ด้วย

    เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต นารายณ์
    ห้องพักแบบ Private Pool พร้อมหัวเตียงประดับด้วยผ้าบาติก ศิลปะท้องถิ่น

    อย่างไรก็ตาม ตลอดการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทพบว่าห้องพักประเภทที่เต็มเร็วเสมอและมีไม่พอต่อความต้องการของลูกค้า คือ ห้องพักแบบ Private Pool และ Pool Access ซึ่งสะท้อนว่าลูกค้าในทำเลนี้พร้อมจ่ายสำหรับห้องพักที่มีฟังก์ชันพิเศษมากขึ้น ทำให้นารายณ์ฯ​ มองว่าควร “อัปเกรด” โรงแรมไปใช้แบรนด์ที่สูงขึ้นเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

    Positioning สำรวจพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ในเครือ IHG แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์นั้นถือเป็นโรงแรมระดับอัปสเกล ซึ่งหากจะปรับระดับขึ้นไปเป็นระดับไฮเอนด์​ IHG จะมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักคือ “คราวน์ พลาซ่า” ซึ่งเป็นโรงแรมที่เน้นการพักผ่อนระหว่างเดินทางเชิงธุรกิจ จึงอาจจะไม่เหมาะกับโปรดักส์บนหาดไม้ขาวของนารายณ์ฯ

    ขณะที่เครือแมริออทมีแบรนด์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคือ “เลอ เมอริเดียน” ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับรีสอร์ตระดับพรีเมียมเพื่อการพักผ่อน

    ห้องแบบ Suite, Oceanfront

     

    หวังรายได้เพิ่ม 30-40% จากการปรับราคา

    จิรารัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มเป้าหมายของโรงแรมนี้ 90% เป็นชาวต่างชาติ 10% เป็นชาวไทย เนื่องจากหาดไม้ขาวยังไม่เป็นที่นิยมของชาวไทยมากนัก

    ในช่วงเปิดตัวโรงแรมซึ่งเป็นโลว์ซีซัน น่าจะได้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักผ่อนระยะสั้นจากในเอเชีย เช่น ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย

    ขณะที่ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไปซึ่งเป็นไฮซีซัน น่าจะได้ต้อนรับกลุ่มนักท่องเที่ยวพักผ่อนระยะยาว เช่น รัสเซีย ออสเตรเลีย ยุโรป (โดยเฉพาะสแกนดิเนเวีย)

    Kid’s Club ใหญ่ 300 ตารางเมตร สะท้อนกลุ่มเป้าหมายของโรงแรมนี้คือกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็ก

    ส่วนนักท่องเที่ยวจีนนั้น จิรารัตน์ตั้งความหวังว่ามาตรการ Free Visa ให้ชาวจีนจากรัฐบาล จะช่วยดึงดูดลูกค้า F.I.T จากจีนได้มากขึ้น

    โทมัสกล่าวปิดท้ายถึงการลงทุนและเป้าหมายของโรงแรมนี้ว่า นารายณ์ฯ ลงทุนรีโนเวตไป 400-500 ล้านบาท และหลังรีโนเวตเปลี่ยนแบรนด์แล้วทำให้ราคาห้องพักเพิ่มขึ้นมาเริ่มที่ 5,000 บาทต่อคืน ซึ่งน่าจะทำให้รายได้ของ เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท เพิ่มขึ้นจากเดิม 30-40% และคืนทุนได้ภายใน 5 ปี

    “จิรารัตน์ นิลประดับ” ผู้จัดการทั่วไป เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท และ “โทมัส เทต” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป

    ทั้งนี้ นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เป็นเครือบริษัทด้านธุรกิจโรงแรมที่มีสินทรัพย์ในมือ 13 แห่ง ในจำนวนนี้ 10 แห่งบริษัทเป็นผู้บริหารจัดการเองภายใต้เชนโรงแรมนารายณ์ (Narai Hotel), หลับดี (Lub D) และ มาราสก้า (Marasca) ส่วนอีก 3 แห่งบริษัทเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยมีเชนโรงแรมอื่นๆ บริหาร ได้แก่ เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท, 25Hours Hotel Paris Terminus Nord ประเทศฝรั่งเศส และ Bankside Hotel, Autograph Collection ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

    ]]>
    1445738
    คลื่นลูกค้า “รัสเซีย” ซัดตลาดอสังหาฯ “ภูเก็ต” ใหญ่กว่าเมื่อสิบปีก่อน 2-3 เท่าตัว จากการหนี “ภัยสงคราม” https://positioningmag.com/1445122 Thu, 21 Sep 2023 13:23:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445122
  • “รัสเซีย” เคยเป็นกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติกลุ่มใหญ่ในตลาดอสังหาฯ ไทยเมื่อช่วงสิบปีก่อน ก่อนจะหายเงียบไปเพราะวิกฤต “ค่าเงินรูเบิล” เมื่อปี 2557
  • ล่าสุดคลื่นลูกค้าเศรษฐีรัสเซียกลับมาซัดสาดตลาดอสังหาฯ ไทยอีกครั้งใน จ.ภูเก็ต จากวิกฤตสงครามรัสเซียยูเครน ทำให้กลุ่มคนมีเงินเลือกอพยพหนีสงคราม
  • “โบทานิก้า” นักพัฒนาพูลวิลล่าท้องถิ่นในภูเก็ต ประเมินว่าคลื่นรัสเซียรอบนี้จะใหญ่กว่าเมื่อสิบปีก่อน 2-3 เท่าตัว และภูเก็ตถือเป็นปลายทางอันดับ 1 ของเศรษฐีระดับกลางจากรัสเซีย
  • ก่อนหน้านี้ คลื่นลูกแรกของกลุ่มลูกค้าเศรษฐี “รัสเซีย” เคยซัดสาดเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยมาแล้วในช่วงสิบปีก่อน ชาวรัสเซียเริ่มเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยโดยเฉพาะแถบเมืองพัทยาตั้งแต่ปี 2545 แต่มาบูมสุดขีดหลังช่วงปี 2553 เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่ง ทำให้คนรัสเซียมีเงินถุงเงินถังพอที่จะออกมาซื้อคอนโดฯ ตากอากาศในเมืองไทยได้

    อย่างไรก็ตาม ความฝันของนักพัฒนาคอนโดฯ เพื่อจับตลาดรัสเซียก็ต้องพังทลายหลังปี 2557 รัสเซียเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าลงถึง 50% ทำให้ผู้ซื้อรัสเซียยอมที่จะทิ้งดาวน์หรือขายดาวน์คอนโดฯ ไทยในราคาขาดทุน หลังจากนั้นผู้ซื้อรัสเซียจึงบางตาลงไปในทศวรรษที่ผ่านมา

     

    “ภูเก็ต” บูมในฐานะแหล่งอพยพหนีสงคราม

    อสังหาฯ ไทยไม่ได้พูดถึงผู้ซื้อรัสเซียบ่อยนักจนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ปะทุขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้คนรัสเซียหวาดหวั่นต่อภัยสงคราม รวมถึงการถูกเกณฑ์ทหารเพื่อไปร่วมรบ ชาวรัสเซียกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูงจึงเริ่มหาลู่ทางย้ายออกนอกประเทศ และ “ไทย” คือหนึ่งในปลายทางที่คนรัสเซียนิยมอพยพหนีสงครามมา

    รัสเซีย ภูเก็ต
    อวาดิน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา วิลล่าสุดหรูราคาเฉียด 300 ล้านบาท ทำเลหาดลายัน

    ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ REIC ระบุว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ โดยผู้ซื้อชาวรัสเซียเมื่อปี 2565 มีการโอนทั้งสิ้น 2,682 ล้านบาท เห็นสัญญาณเพิ่มขึ้นเกือบ 14% จากยอดโอนคอนโดฯ โดยชาวรัสเซียเมื่อปี 2562 (ปีสุดท้ายก่อนเกิดโควิด-19)

    REIC ยังพบด้วยว่า เมื่อปี 2565 จุดหมายที่คนรัสเซียนิยมซื้อคอนโดฯ มากที่สุดคือ “ภูเก็ต” คอนโดฯ ที่ขายให้ชาวต่างชาติบนเกาะภูเก็ตมีถึง 40% ที่ขายให้กับชาวรัสเซีย ต่างจากค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่จะมีสัดส่วนผู้ซื้อรัสเซียเพียง 5%

    ต่อมาช่วงปี 2566 คนรัสเซียยิ่งเร่งเข้ามาจับจองคอนโดฯ ในไทย REIC ระบุว่า แค่เพียงครึ่งปีแรกนี้มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ ให้คนรัสเซียไปแล้ว 2,556 ล้านบาท เป็นไปได้สูงที่ทั้งปี 2566 จะมีการโอนคอนโดฯ ขายให้คนรัสเซียทะลุ 5,000 ล้านบาท

    ปรากฏการณ์นี้ทำให้เมื่อต้นปี 2566 สำนักข่าวต่างประเทศอย่าง Al Jazeera ลงพื้นที่ภูเก็ตสัมภาษณ์เอเย่นต์ขายคอนโดฯ ให้คนรัสเซีย พบว่า ลูกค้ารัสเซียส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะที่ต้องการจะหนีสงครามมาอาศัยอยู่ในภูเก็ตแบบถาวร โดยเลือกภูเก็ตเพราะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล และมีโรงเรียนนานาชาติสำหรับลูกๆ ขณะที่บางคนเดินทางมาแล้วมาหางานทำในเกาะภูเก็ตแบบผิดกฎหมายด้วย เช่น ขับแท็กซี่, ทำอาชีพไกด์นำเที่ยว

     

    “โบทานิก้า” เชื่อคลื่นลูกค้ารัสเซียรอบนี้ใหญ่กว่าเดิม 2-3 เท่า

    นอกจากคอนโดฯ ที่ขายดีแล้ว อีกโปรดักส์ที่เศรษฐีรัสเซียนิยมคือ “วิลล่าตากอากาศ” ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวมีที่ดินจึงซื้อขาดไม่ได้ (ยกเว้นจัดตั้งนิติบุคคลร่วมกับชาวไทย) แต่ชาวรัสเซียยอมรับการเช่าระยะยาวแบบลีสโฮลด์ 30 ปี

    “อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักเซอรี่ ภูเก็ต จำกัด มองว่า กระแสการเข้าซื้ออสังหาฯ ไทยของคนรัสเซียในรอบนี้จะเป็น ‘big wave’ ที่ใหญ่กว่ารอบสิบปีก่อน 2-3 เท่า เนื่องจากภัยสงคราม ‘บีบ’ ให้คนที่มีกำลังทรัพย์ย้ายออก ไม่ใช่แค่หาจุดหมายการลงทุน

    “อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักเซอรี่ ภูเก็ต จำกัด

    โบทานิก้านั้นเป็นบริษัทท้องถิ่นที่พัฒนาอสังหาฯ ขายบนเกาะภูเก็ตมานาน 20 ปี เน้นโปรดักส์กลุ่มวิลล่าระดับบน ราคาตั้งแต่ 7 ล้านบาทจนถึงมากกว่า 100 ล้านบาทต่อหลัง โดยมียอดขายสะสมแล้ว 500 หลัง รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท

    บริษัทนี้ยังเน้นขายวิลล่าให้ชาวต่างชาติ ลูกค้า 95% ของโบทานิก้ามาจากต่างประเทศ และครึ่งหนึ่งเป็นคน “รัสเซีย”

    รัสเซีย ภูเก็ต
    วิลล่าหรูของโบทานิก้าในโครงการมอนท์เอซัวร์

    อรรถสิทธิ์กล่าวว่า ปกติเศรษฐีรัสเซียมีจุดหมายปลายทางของการพักผ่อนหลายแห่งบนโลก แต่แหล่งใหญ่ที่ขณะนี้ต้องตัดออกจากตัวเลือกคือ “ยุโรป” เพราะมีการคว่ำบาตรซึ่งกันและกัน

    ทำให้ตัวเลือกรองๆ ลงมาสำหรับเศรษฐีระดับบนจะเป็นประเทศตุรกีและดูไบ UAE โดยลงทุนซื้อคฤหาสน์ราคา 200-300 ล้านบาทต่อหลัง

    ส่วนประเทศไทยโดยเฉพาะ “ภูเก็ต” นั้นคือตัวเลือกเบอร์ 1 ของเศรษฐีระดับกลางในรัสเซีย ส่วนใหญ่จะนิยมซื้อวิลล่าหลังละ 50 ล้านบาท

    ด้วยความนิยมที่หลั่งไหลเข้ามาขนาดนี้ อรรถสิทธิ์กล่าวว่าดีมานด์ที่พุ่งขึ้นทำให้ราคาที่ดินในภูเก็ตพุ่งตามไป 2-4 เท่าภายในปีเดียว ปัจจุบันราคาที่ดินติดหน้าหาดหรือมองเห็นวิวทะเลขายกันที่ราคาขั้นต่ำ 50-60 ล้านบาทต่อไร่ ซึ่งจะทำให้ราคาโปรดักส์ในภูเก็ตหลังจากนี้ยิ่งถีบตัวสูงขึ้นแน่นอน

    ]]>
    1445122