ส่งพัสดุ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 25 Feb 2022 06:32:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “นินจาแวน” แทงสวน! ไม่ขอเล่นราคา เร่งสร้างแบรนด์ การันตีส่งภายใน 1 วัน https://positioningmag.com/1374550 Sat, 19 Feb 2022 08:28:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374550 แม้จะเข้ามาทำตลาดในไทยได้ 6 ปีแล้ว แต่ต้องบอกว่า “นินจาแวน” มีการทำการตลาดน้อยกว่าแบรนด์อื่นๆ ค่อนข้างมาก ปีนี้จึงเป็นการโหมตลาดครั้งใหญ่ ลงทุนสร้างจุดรับสินค้า ใช้พรีเซ็นเตอร์ แถมทำคอนเทนต์ออนไลน์ โดยใช้ฝีมือ Salmon House หวังสร้างแบรนด์เพื่ออุดช่องว่างของตลาดส่งพัสดุ

สวนทางตลาด ไม่เล่นเรื่องราคา ขอเร่งสร้างแบรนด์ 

นินจาแวนเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นโลจิสติกส์ข้ามชาติ ที่ตบเท้าเข้ามาบุกตลาดในไทยเมื่อปี 2559 โดยที่นินจาแวนมีเจ้าของเป็นนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ได้ทำตลาดที่แรกที่สิงคโปร์เมื่อปี 2557 จากนั้นได้ขยายตลาดในอาเซียน ปัจจุบันได้ให้บริการใน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และประเทศไทย

จะเห็นได้ว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดส่งพัสดุในไทยมีการแข่งขันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงของการระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเร่งพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ทำให้แม่ค้าต้องพึ่งพาการส่งพัสดุมากขึ้น

ในช่วงแรกการแข่งขันในตลาด ผู้เล่นยักษ์ใหญ่ต่างอัดฉีดงบเพื่อจ้างพรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่ในตลาดทั้งสิ้น หวังสร้างการรับรู้ ได้แก่ KERRY Express – เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, J&T Express – มาริโอ้ เมาเร่อ และใบเฟิร์น พิมชนก, Flash Express – ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี และ Best Express – ณเดชน์ คูกิมิยะ

หลังจากนั้นก็เริ่มชูจุดเด่นที่ส่งเร็ว ส่งไว เพราะการจัดส่งพัสดุในอดีตอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 วัน และมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์อีกด้วย แต่เมื่อแต่ละรายใช้กลยุทธ์เดียวกัน ยากที่จะหาความต่าง จึงลงมาแข่งกันเรื่อง “ราคา” กันอย่างหนักหน่วง

จากแต่ก่อนราคาส่งด่วนเริ่มต้นที่ 30 บาท เริ่มปรับลงมาเหลือ 25 บาท 23 บาท 19 บาท จนล่าสุด J&T ได้ทุบราคาไปจนเหลือ 15 บาท มีทีท่าว่าการแข่งขันเรื่องราคาน่าจะอยู่ไปอีกยาว ก่อนหน้านี้ทางไปรษณีย์ไทยออกมาเปิดเผยว่า ด้วยความที่ตลาดไม่มีความแตกต่างกันมาก จึงต้องอาศัยราคาเพื่อสร้างความต่าง ดึงดูดลูกค้า

ในช่วงแรกๆ ที่ทำตลาด นินจาแวนก็ไม่ได้โหมตลาดเท่าที่ควร ไม่มีการใช้พรีเซ็นเตอร์ ไม่มีการเล่นราคามากนัก อีกทั้งยังโดนคอมเพลนจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากปัญหาส่งช้า จากที่สำรวจคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย หรือผู้ใช้บริการ Shopee จะพบว่า หลายคนไม่ค่อยอยากได้การขนส่งของนินจาแวน เพราะบริการไม่ประทับใจเท่าไหร่ ทำให้แบรนด์ดิ้งของนินจาแวนในไทยยังไม่ค่อยดีมากนัก

ninja van

แต่ในปีนี้นินจาแวนได้บุกตลาดครั้งใหญ่ เน้นไปที่การสร้างแบรนด์ อัดงบลงทุนทั้งการสร้างจุดรับสินค้าให้มากขึ้น และใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นครั้งแรก เรียกว่าเป็นการสวนกระแสตลาด หลังจากที่ตอนนี้ไม่มีใครใช้พรีเซ็นเตอร์เท่าไหร่นัก แต่หันมาทำโปรโมชันเรื่องราคาแทน

ซึ่งนินจาแวนยังไม่ลงไปเล่นเรื่องราคา ปัจจุบันค่าส่งเริ่มต้นที่ 23 บาท สำหรับส่งภายในกรุงเทพฯ แต่การันตีจัดส่งภายใน 1 วัน ส่วนส่งต่างจังหวัดเริ่มต้นที่ 30 บาท แต่บริการอื่นๆ ที่หลายเจ้าลงมาจับตลาดกันนั้น นินจาแวนยังไม่ลงมาเล่น อย่างส่งควบคุมอุณหภูมิ และส่งสินค้าขนาดใหญ่

ninja van

เพียซ เอิง กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า

“ประเทศไทยได้เริ่มให้บริการมากว่า 6 ปีแล้ว มีการคาดการณ์ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกครึ่งหนึ่งจะมาจากภูมิภาคเอเชีย โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมากมายก็มาจากภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน ประเทศไทยเองก็มีการคาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ชจะเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 30% เมื่อเปรียบเทียบประเทศไทยกับตลาดที่ก้าวหน้าอย่างประเทศจีน เราพบว่าสัดส่วนของการทำอีคอมเมิร์ซในไทยมีเพียง 10% ของยอดขายปลีกทั้งหมด  ในขณะที่ประเทศจีนมีสัดส่วนการทำอีคอมเมิร์ชมากถึง 25% สำหรับภาพรวมของตลาดขนส่งพัสดุในประเทศไทยมียอดการจัดส่งพัสดุพุ่งขึ้นมากถึง 3 เท่า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มลดลง แต่ว่ายอดจัดส่งพัสดุไม่ได้ลดลงและคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น”  

สร้างคอนเทนต์ อุดช่องว่าง “มนุษย์ห่วง”

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของนินจาแวนครั้งนี้สื่อสารผ่านวิดีโอ คอนเทนต์ หวังสร้างไวรัลให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยครั้งนี้ได้ Salmon House มาร่วมทำคอนเทนต์ ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งคลิปไวรัลในยุคนี้

ภายในวิดีโอนี้ได้ดึงเอาอินไซต์ และ Pain Point ของผู้บริโภคกับการส่งพัสดุในยุคปัจจุบัน ที่ต้องเจอกับความกังวลต่างๆ ไม่ว่าจะส่งช้า สิ่งของเสียหาย ไม่มีรับประกัน ค่าส่งแพง เก็บเงินปลายทางได้รับเงินช้า ที่กล่าวมานี้เรียกว่า “ห่วง” สื่อสารว่าส่งกับนิจาแวนจะหมดห่วงปัญหาต่างๆ เหล่านี้ พร้อมให้พรีเซ็นเตอร์ “วู้ดดี้” มาช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ

แคมเปญโฆษณามนุษย์ห่วง มีเป้าหมายเพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ เน้น 4 ข้อหลักๆ

  • การจัดส่งรวดเร็ว และคุ้มครองการบริการ การันตีส่งภายใน 1 วัน ถ้าอยู่ภายในกรุงเทพฯ
  • คุ้มครองพัสดุสูญหาย หรือเสียหายในวงเงินสูงสุด 5,000 บาท
  • บริการเก็บเงินปลายทางได้เงินภายใน 1 วัน
  • ราคาคุ้มค่า

อัดงบ 100 ล้าน ใช้พรีเซ็นเตอร์ครั้งแรก

ในปีนี้นินจาแวนได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท นอกจากทำแคมเปญมนุษย์ห่วงแล้ว ยังเร่งขยายศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มอีก 200 แห่ง และเพิ่มจุดบริการรับส่งพัสดุกว่า 2,000 แห่งในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีอยู่ 400 จุด ถือว่ายังมีจุดให้บริการที่น้อย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด

ninja van

เปิดตัว “วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา” เป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนแรก เพื่อสร้างการรับรู้ และการจดจำแบรนด์ให้มากขึ้น ตั้งเป้าการเติบโตไม่น้อยกว่า 200%”

เหตุผลที่นินจาแวนเลือกวู้ดดี้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะวู้ดดี้มีหลายบทบาท เป็นพิธีกรรายการทอล์กโชว์ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ทุกรุ่นทุกวัย มีบุคลิก มีความคิดเห็นที่หนักแน่น เป็นนักธุรกิจ มีผู้ติดตามหลายล้านคนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เชื่อว่าจะสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ได้

]]>
1374550
KERRY ฟันรายได้ปี 64 รวม 18,818 ล้านบาท แต่กำไรหดเหลือ 47 ล้านบาท https://positioningmag.com/1373961 Tue, 15 Feb 2022 02:56:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373961 KERRY Express ปิดปี 2564 ทำลายสถิติยอดจัดส่งพัสดุโตสูงสุด 30% รายได้รวม 18,818 ล้านบาท แต่กำไรหดเหลือ 47 ล้านบาท เตรียมออกบริการใหม่ และจับมือพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจจัดส่งพัสดุถึงแม้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การแข่งขันก็ดุเดือดตามมาเช่นกัน โดยในตอนนี้แต่ละรายต่างกระโจนลงมาหั่นราคากันเลือดสาด เรียกว่ายอมเฉือนเนื้อตัวเอง เพื่อดึงฐานลูกค้า

KERRY หรือ KEX เป็นอีกหนึ่งรายที่เข้ามาทำตลาดในไทยเป็นอันดับต้นๆ วางจุดยืนเป็นผู้จัดส่งด่วนในระดับค่อนข้างพรีเมียม เรียกว่ามีราคาสูงกว่าเจ้าอื่นๆ แต่เมื่อการแข่งขันหนักมากขึ้น ทำให้ KERRY ก็ต้องยอมหั่นราคาลงตามบ้าง

จากตอนแรกที่เราเห็นในตลาดที่มีค่าส่งเริ่มต้นที่ 35 บาท ก็เริ่มลงมาที่ 30 บาทบ้าง 25 บาทบ้าง 19 บาทบ้าง จนตอนนี้มีบางรายดัมพ์ราคาไปจนถึง 15 บาทแล้ว

Photo : Shutterstock

ถึงแม้ผู้ประกอบการจะมีรายได้สูงจากการส่งสินค้าจำนวนมากๆ ก็จริง แต่กำไรก็หายไปด้วยเช่นกัน

ในปี 2564 KERRY ปิดรายได้ที่ 18,818 ล้านบาท แต่กำไรเหลือเพียง 47 ล้านบาทเท่านั้น มีปริมาณการจัดส่งพัสดุด่วนเติบโต 30% จากปีก่อน และมีผู้ใช้บริการรายเดือนเพิ่มขึ้น 32%

อเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า

“จากกลยุทธ์ต่างๆ ทำให้ยอดจัดส่งพัสดุเติบโตเป็นที่น่าประทับใจ เติบโตกว่า 30% จากปีก่อนหน้า ดึงส่วนแบ่งตลาด และมีผู้ใช้บริการรายเดือนเพิ่มขึ้น 32% ส่งผลให้รายได้ประจำปี 2564 เท่ากับ 18,818 ล้านบาท ขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ทุกกลุ่มตลาดทั้งตลาด e-commerce, social และ live-stream commerce โดยเราลงทุนในกำไรในระยะสั้นเพื่อการเป็นผู้นำในระยะยาว แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาจะมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมากมาย”

ในปี 2564 ที่ผ่านมา KERRY มีการจับมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจชุมชนผ่านโมเดลตัวแทน หรือ reseller model เปิดตัว Orange Express เพื่อขยายเครือข่ายและจุดให้บริการอย่างต่อเนื่อง

ประกาศความร่วมมือกับ Grab Thailand เปิดบริการ “รับพัสดุถึงหน้าบ้านแบบทันที” และ “รับพัสดุถึงหน้าบ้านแบบรายชั่วโมง” ปัจจุบันมีจุดให้บริการกว่า 29,000 แห่งทั่วประเทศและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมา KEX ร่วมทุนกับเครือเบทาโกร ภายใต้แบรนด์ KERRY COOL ดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ ล่าสุดได้ประกาศจับมือกับ Central Retail จัดตั้งบริษัทลงทุนในธุรกิจ less-than-truckload (LTL) delivery หรือการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์ KERRY XL พร้อมให้บริการลูกค้าทั่วประเทศ

]]>
1373961
“ไปรษณีย์ไทย” ยุค “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” ต้อง Beyond Logistics ใช้พี่ไปรฯ เป็นจุดแข็งมากกว่าราคา https://positioningmag.com/1373454 Wed, 09 Feb 2022 15:25:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373454 ไปรษณีย์ไทยหนึ่งในองค์กรเก่าแก่กว่า 140 ปี จนถึงทุกวันนี้ต้องทรานส์ฟอร์มเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และการแข่งขันในตลาดโลจิสติกส์ที่สุดแสนจะดุเดือด เป็นความท้าทายรอบด้านสำหรับ “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่ขอย้ำว่าปีนี้ไปรษณีย์ไทยจะต้อง Beyond Logistics เป็นมากกว่าส่งพัสดุ แต่ไม่ลงเล่นสงครามราคา มีพี่บุรุษไปรษณีย์เป็นจุดแข็ง

ไม่เล่นราคา มี “พี่ไปรษณีย์” เป็นจุดแข็ง

ต้องบอกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขันอันดุเดือดเลือดสาดแล้ว ตลาดโลจิสติกส์ และส่งพัสดุก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เหมือนสมรภูมิสงครามย่อมๆ ได้เห็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศเริ่มเข้ามาทำตลาด รวมถึงแบรนด์ในประเทศก็เพิ่มบริการเพื่อที่จะจับตลาดด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่าตอนนี้มีผู้ส่งพัสดุไม่ต่ำกว่า 10 ราย ทั้งรายใหญ่ รายย่อย รายโลคอลเฉพาะพื้นที่

มีการประเมินว่าภาพรวมตลาดโลจิสติกส์ในปี 2564 มีมูลค่า 100,000 ล้านบาท เป็นตลาดที่รวมผู้ส่งรายย่อย หรือขขนส่งแบบส่วนตัวขององค์กร ส่วนตลาดส่งพัสดุแบบด่วนมีมูลค่าราว 50,000 ล้านบาท เติบโต 19% เป็นอัตราเติบโตลดลงจากปี 2563 เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง อีกทั้งผู้เล่นในตลาดยังเล่นเรื่องราคากันหนักหน่วง

ถ้าพูดถึงตลาดส่งพัสดุแล้ว คงต้องนึกถึง “ไปรษณีย์ไทย” เป็นอันดับต้นๆ เรียกว่าเป็นพี่ใหญ่ในตลาด เฝ้ามองดูการตบเท้าเข้ามาของผู้เล่นใหม่ๆ ในทุกๆ ปี ไม่ว่าจะเป็น KERRY Express, Flash Express, SCG, J&T, Ninja, Best Express หรือแม้แต่ผู้เล่นในตลาด e-Marketplace อย่าง Shopee และ Lazada ก็ยังต้องมีโลจิสติกส์เป็นของตัวเอง

เนื่องด้วยความที่ไปรษณีย์ไทยเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ ทำให้ในช่วงหลังมีการเรียกการส่งพัสดุเป็น “ส่งปณ.” กับ “ส่งเอกชน” ไปโดยปริยาย

ในยุคแรกๆ การส่งพัสดุต่างชูจุดเด่นเรื่อง “ความเร็ว” และจุดรับสินค้าที่ครอบคลุม เข้ามาอุดช่องว่างในอดีตที่กว่าจะได้รับสินค้าใช้เวลา 2-3 วัน ใครเร็วกว่าก็ได้ใจกว่า ต่อมาเริ่มมีการสร้างแบรนด์ เริ่มเปิดตัว “พรีเซ็นเตอร์” กันแบบรัวๆ เพื่อสร้างการรับรู้ จากนั้นก็เข้าสู่ “สงครามราคา” แบบเต็มรูปแบบ จะเห็นว่ามีการดัมพ์ราคากันอย่างต่อเนื่อง จากเริ่มต้นที่ 25 บาท เริ่มลงมาที่ 23 บาท บ้าง 19 บาทบ้าง ตอนนี้ J&T ทุบราคาที่เริ่มต้น 15 บาท แต่ละเจ้ายอมเฉือนเนื้อตัวเอง เพื่อให้ได้ฐานลูกค้ามากขึ้น

กลยุทธ์ราคาสามารถดึงดูดผู้บริโภคได้พอสมควร เพราะในยุคนี้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต่างต้องการลดต้นทุนในการส่งสินค้ามากขึ้น ต้องบอกว่าในตลาดนี้ลูกค้าอาจจะไม่มี Loyalty ที่แท้จริง นอกเสียจากจะเจอประสบการณ์ในการส่งที่แย่มากๆ จากเจ้าไหนก็ตาม จนไม่สามารถใช้เจ้านั้นได้อีก

ในการส่งพัสดุ ไปรษณีย์มีรูปแบบส่งแบบธรรมดา, ส่งแบบลงทะเบียน และส่ง EMS ถ้าให้เทียบกับเจ้าอื่นๆ คงต้องเป็นการส่ง EMS เพราะมีความไวพอๆ กัน แต่ราคาอาจจะสูงกว่า เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 30-50 บาท ในขณะที่เจ้าอื่นอยู่ที่ 15-25 บาท เมื่อปลายปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยได้จัดโปรเหมาค่าส่ง EMS ในราคา 25 บาทมาแล้ว หวังสู้ศึกในครั้งนี้

แต่ถ้าถามว่ามีแผนที่จะปรับราคาค่าส่ง EMS ในระยะยาวหรือไม่ “ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บอกว่า ไม่มองเกมสงครามราคาเป็นหลัก แต่เน้นการให้บริการที่เข้าถึงลูกค้า โดยมีพี่บุรุษไปรษณีย์เป็นคนสำคัญในการเชื่อม ที่เจ้าอื่นก็ไม่สามารถทำได้

“การแข่งขันเรื่องราคารุนแรงมาก ราคาเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในการสร้างความแตกต่างที่ผู้ให้บริการเอามาเล่น เราไม่ได้มองว่าเกมนี้ไปรษณีย์ไทยจะไปเล่นแต่ราคา สิ่งที่สำคัญเราจะสร้างคุณภาพในการให้บริการ เข้าถึงลูกค้าให้ดีชึ้น ประสบการณ์ให้ดีขึ้น ราคาคุ้มค่า อีกทั้งไปรษณีย์ไทยก็มีความแข็งแกร่งในแง่ความเป็น Human Networking หรือการเข้าถึงเครือข่ายครัวเรือน ดังนั้นเราจึงใช้ความแข็งแกร่งตรงนี้ในการเป็นช่องทางในการให้บริการกับประชาชนเพิ่มเติม”

บุรุษไปรษณีย์ หรือพี่ไปรษณีย์ เป็นคีย์แมนคนสำคัญของไปรษณีย์ไทยก็ว่าได้ จุดเด่นที่สำคัญก็คือ พี่ไปรฯ สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ และสามารถจำรายละเอียดแต่ละบ้านได้ ชนิดที่ว่าถ้าใครจ่าหน้าจดหมาย หรือพัสดุผิด พี่ไปรฯ ก็สามารถส่งให้ถูกได้ เนื่องจากไปรษณีย์มีทั้งการส่งจดหมายแบบดั้งเดิม จดหมายใบแจ้งหนี้ต่างๆ ไปจนถึงพัสดุ ทำให้มีปริมาณการส่งเยอะ เข้าออกชุมชน ตรอกซอกซอยได้อย่างชำนาน

ไปรษณีย์ไทยมีพนักงานรวมทั้งหมด 40,000 คน แบ่งเป็นพี่บุรุษไปรษณีย์เป็นสัดส่วนถึง 50% หรือราว 20,000 คน นอกนั้นเป็นพนักงานที่สาขา 40% และที่สำนักงานใหญ่ 10%

ดร.ดนันท์บอกว่า อัตราการเทิร์นโอเวอร์ของพนักงานไปรษณีย์ไทยต่ำมาก พูดได้ว่าต่ำกว่าตลาดแน่นอน มีพนักงานที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนเกษียณเยอะ อยู่มาเหมือนครอบครัว ยอดเทิร์นโอเวอร์ต่ำกว่าเอกชนแน่นอน

ขยับองค์กร 140 ปี มีแต่ความท้าทาย

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการบริษัท ไปรษณีย์ไทย ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา โดยการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีวาระ 4 ปี

ดร.ดนันท์ มีประสบการณ์การทำงานด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล มากว่า 25 ปี ได้รับการยอมรับในวงการสื่อสารโทรคมนาคม รวมถึงมีบทบาทด้านการพัฒนาและบริหารธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อนเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด  ดร.ดนันท์ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและบริการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ ดูแลผลิตภัณฑ์ใน 6 กลุ่มหลัก ทั้ง Datacom, Voice, Internet, Cloud& Data Center, IT Security และ e-Business

การมาอยู่บริษัทที่มีอายุยาวนาน 140 ปี จึงมีความท้าทายอย่างมากที่จะทรานส์ฟอร์มเพื่อรับกับยุคสมัยใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านองค์กร และบริหารคน

ดร.ดนันท์บอกว่า “ความท้าทายหลักอยู่ที่ เป็นอุตสาหกรรมการแข่งขันสูง แต่เติบโต มีความสำคัญกับเศรษฐกิจประเทศ ความต้องการของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลง เราอยู่มานานแต่ไม่แก่ ต้องทำอย่างไรให้พัฒนาไปกับเทคโนโลยี และดิจิทัลเซอร์วิส เรื่องการบริการภายในก็ต้องได้ คนต้องมีความคุ้นเคยกับดิจิทัล เป็นปกติของธุรกิจโลจิสติกส์ที่มีคนเยอะ มีความซับซ้อนในการบริหารจัดการ ทำอย่างไรให้พนักงานเห็นเป้าหมายเดียวกัน

thailand post ไปรษณีย์

เราอยู่กับคนไทยมา 140 ปี เติบโตมากับสังคมไทย เป็นเพื่อน สิ่งนี้เป็น Positioning สำคัญ ปีนี้จะรีเฟรชแบรนด์สิ่งที่ทำชัดเจนขึ้น ทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงไปรษณีย์ไทยกับสังคมไทย ไม่หยุดแค่โลจิสติกส์”

ล่าสุดไปรษณีย์ไทยยังเพิ่มบริการส่ง EMS แบบไม่มีวันหยุด โดยปกติแล้วจุดอ่อนของไปรษณีย์ไทยก็คือ “เวลาทำการ” แบบราชการ บางสาขาเปิดทำการตามเวลาราชการ มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ในช่วงหลังมีการปรับวันเวลาทำการใหม่ บางสาขามีเปิดเสาร์อาทิตย์ บางสาขาเปิดแค่ครึ่งวันเสาร์ หรือบางสาขาก็มีเปิดถึงดึก รวมไปถึงการส่งพัสดุก็มีวันหยุดก็คือวันอาทิตย์ ตอนนี้มีการนำจ่ายพัสดุทุกวัน เพราะพฤติกรรมคนซื้อของออนไลน์ต้องการได้ของเร็ว

พี่ไปรฯ เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ส่งมากกว่าพัสดุ

สำหรับแผนในปี 2565 ไปรษณีย์ไทยเตรียมงบลงทุนอีก 3,000 ล้านบาท วางจุดยืนใหม่ Beyond Logistics จะเป็นมากกว่าผู้ให้บริการขนส่ง ดร.ดนันท์เปรียบว่า ธุรกิจขนส่งเหมือนคอมมูนิตี้แล้ว การแข่งขันอยู่ที่การพัฒนาประสิทธิภาพ สุดท้ายไปที่การเล่นราคา ถึงแม้ส่งพัสดุจะเป็นธุรกิจหลัก แต่ต้องต่อยอดไปน่านน้ำใหม่ๆ จะไปดิจิทัลแพลตฟอร์ม บุรุษไปรษณีย์จะไม่ใช่แค่ส่งของ แต่ให้บริการอื่นๆ แก่ประชาชน

“บุรุษไปรษณีย์เป็นจุดแข็งที่สร้างมานาน คนไทยรักบุรุษไปรษณีย์ รู้จักทุกครัวเรือน เป็นความคุ้นเคย ความเชื่อมั่น เป็นเหมือนเพื่อนกัน จากแค่ส่งจดหมาย ส่งพัสดุ จะเริ่มมีบริการถึงบ้านมากขึ้น”

เมื่อปี 2564 ไปรษณีย์ไทยมีเปิดตัวบริการใหม่ที่ต่อยอดจากการส่งพัสดุอย่างเดียว แต่ใช้จุดแข็งที่ตัวบุรุษไปรษณีย์เข้าถึงลูกค้าตามบ้าน มีทั้งเงินกู้ เติมเงิน ซื้อซิมมือถือ เป็นบริการที่มาจากความสัมพันธ์กับสังคมและชุมชน

  • จับมือ เอสซีบี อบาคัส ปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้บริการส่งสินค้าเก็บเงินปลายทาง หรือ Cash on Delivery (COD) ด้วยสินเชื่อตั้งหลัก ผ่านแอปพลิเคชัน “เงินทันเด้อ” รู้ผลอนุมัติไวเพียง 15 นาที
  • จับมือกับ True และ AIS ให้บริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ และซื้อแพ็กเน็ตเสริม ผ่านบุรุษไปรษณีย์ทั่วประเทศ
  • ร่วมกับ AIS ในการฝากทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ กับพี่ไปรฯ
  • ขยายบริการการเป็นตัวแทนธุรกรรมทางการเงิน หรือ Banking Agent ผ่านเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ

ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยมีจุดให้บริการมากกว่า 10,000 จุด ตู้ไปรษณีย์ 20,000 จุด ดร.ดนันท์บอกว่า ในปีนี้จะมีการแปลงร่างตู้ปณ.ให้กลายเป้นจุด Touch Point ใหม่ เอามาบริหารจัดการให้ง่ายขึ้น และจะเน้นทำแฟรนไชส์มากขึ้น เพิ่มจุดรับส่งสินค้า และต้องจัดการให้ราคาหน้าบ้านเท่ากันหมด เพราะก่อนหน้านี้จุดให้บริการของไปรษณีย์ไทยจะมีปัญหา ถ้าเป็นจุดของเอกชนจะราคาสูงกว่า

ในปี 2564 คาดว่าจะปิดรายได้ที่ 22,000 ล้านบาท เป็นช่วงเวลาที่ไม่พูดถึงกำไร เพราะถือว่าเป็นปีที่เจ็บหนักกันทุกธุรกิจ

]]>
1373454
KERRY Express ลดค่าส่งพัสดุทั่วไทย เริ่มต้น 19 บาท หั่นค่าธรรมเนียมเก็บเงินปลายทางเหลือ 2.4% https://positioningmag.com/1359844 Tue, 02 Nov 2021 06:04:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1359844 KERRY Express ลดค่าส่งพัสดุทั่วไทย เริ่มต้น 19 บาท หั่นค่าธรรมเนียมเก็บเงินปลายทางเหลือ 2.4% เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย. 2564 เป็นต้นไป

วราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ผู้นำด้านธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย เปิดเผยว่า

“เพื่อต้อนรับการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ พร้อมสอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะมีการจัดส่งพัสดุในช่วงปลายปีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ 11.11 และ 12.12 เทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึง บริษัทจึงสร้างปรากฏการณ์ใหญ่ ด้วยการเปิดตัวโปรโมชัน “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ส่งสุขท้ายปี X2“ ปฏิบัติการส่งความสุขให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป”

สำหรับโปรโมชันส่งสุข ให้ผู้บริโภค สุขที่ 1 ลดราคาค่าจัดส่งพัสดุด่วนทั่วประเทศ เริ่มต้นเพียง 19 บาท ส่งได้สูงสุด 2 กิโลกรัม โดยจำกัดจำนวนการส่ง 5 กล่อง/คน/ใบเสร็จ/วัน เฉพาะพัสดุไซซ์ Envelop, Seal Bag A-C และกล่อง Mini ขนาดพัสดุรวมกันไม่เกิน 40 เซนติเมตร

สำหรับสุขที่ 2 บริษัทได้ปรับลดค่าธรรมเนียม บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) เหลือ 2.4% จากปกติ 3% พิเศษ! โอนเงินทันทีในวันถัดไป เฉพาะลูกค้าสมาชิก Kerry Express Loyalty Club ระดับ Diamond และ Gold ที่ผูกบัญชี COD กับธนาคารกรุงเทพเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเอาใจคนขายออนไลน์ ด้วยบริการ COD รูปแบบใหม่ “ส่งไม่สำเร็จ ไม่เก็บค่าธรรมเนียม COD”* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สาขา หรือ Call Centre 1217

โปรโมชันนี้เป็นการเล่นกลยุทธ์ “ราคา” เพื่อดึงดูดกลุ่ม C2C หรือกลุ่มลูกค้าทั่วไป โดยเฉพาะ “คนขายออนไลน์” เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าเข้าสู่ตลาดขนส่งพัสดุราคาประหยัด (Economy Market) ที่ในปัจจุบันกลุ่มคนขายออนไลน์มีจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากซึ่งจะทำให้สามารถครอบคลุมฐานลูกค้ากลุ่มนี้ได้

อีกทั้งการลดค่าธรรมเนียม COD จาก 3% เหลือเพียง 2.4% จะสามารถช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้ขายออนไลน์หน้าใหม่ที่เพิ่งผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าออนไลน์ รวมถึงการเจาะกลุ่มแม่ค้าที่ยังไม่เคยเปิดใช้บริการเก็บเงินปลายทางให้มีโอกาสเพิ่มช่องทางการขาย และเพิ่มโอกาสทางการขายได้มากขึ้น

]]>
1359844
‘ไปรษณีย์ไทย’ เปิดเเผนจัดการ ‘พัสดุตกค้าง’ หลังพนักงานติดโควิด แบ่งทีม-ปรับเวลาทำงาน ย้ำจะไม่ปิดบังข้อมูล  https://positioningmag.com/1344274 Tue, 27 Jul 2021 09:37:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344274
‘ไปรษณีย์ไทย’ เปิดเเผนใหม่ จัดการ ‘พัสดุตกค้าง’ หลังพนักงานติดโควิด แบ่งทีม-ปรับเวลาทำงาน ย้ำจะให้ข้อมูลตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง 

จากการระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้มีเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยจำนวนหนึ่งติดเชื้อ และไปรษณีย์บางแห่งต้อง ‘ปิดให้บริการชั่วคราว’ เพื่อป้องกันการระบาดนั้น

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ชี้เเจงว่า กรณีดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่บางส่วนต้องทำการรักษาและกักตัวชั่วคราว แต่ไปรษณีย์ไทยซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ให้บริการด้านขนส่งและการสื่อสารภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยังคงต้องให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤต “จึงอาจมีการจัดส่งสิ่งของล่าช้าในบางพื้นที่”

ปัจจุบันไปรษณีย์ไทย มีปริมาณไปรษณียภัณฑ์และพัสดุด่วน เฉลี่ยอยู่ที่ 8 ล้านชิ้นต่อวัน

จากการระบาดของ ไปรษณีย์ไทย ให้ความสำคัญในการไม่ให้งานตกค้าง โดยได้มีการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง และแนวทางดำเนินงานรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาด ดังนี้

1.แบ่งเจ้าหน้าที่นำจ่ายออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกำหนดให้ทำงานเหลื่อมเวลากัน

2.นำเจ้าหน้าที่จากไปรษณีย์ที่อยู่ใกล้เคียงมาปฏิบัติหน้าที่ในการนำจ่ายแทนเจ้าหน้าที่ของไปรษณีย์ที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราว

3.ปรับเปลี่ยนเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศูนย์ไปรษณีย์ที่ใช้ในการคัดแยกปลายทางซึ่งเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมจัดพื้นที่ปฏิบัติงานให้มีความปลอดภัย ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

4.กำชับให้เว้นระยะห่างเพื่อลดความเสี่ยง แยกกันรับประทานอาหาร ห้ามสูบบุหรี่ร่วมกัน และห้ามจับกลุ่มคุยกันอย่างใกล้ชิด

5.ไปรษณีย์ที่มีพื้นที่ปฏิบัติงานหลายจุดให้กำหนดเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานสำรอง ในกรณีที่จุดใดจุดหนึ่งต้องปิด

6.ปรับสถานที่ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นำจ่ายให้มีระยะห่างกันเพิ่มมากขึ้น

ไปรษณีย์ไทย ย้ำว่าจะไม่ปกปิดข้อมูล หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ติดเชื้อและจะรายงานให้ผู้ใช้บริการทุกท่านทราบผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ของไปรษณีย์ไทยอย่างตรงไปตรงมา แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบให้การนำจ่ายสิ่งของในช่วงนี้อาจล่าช้าบางพื้นที่ จึงต้องขออภัยผู้ใช้บริการมา ณ ที่นี้

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทย ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น

  • ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งต้องคัดกรองผู้ใช้บริการก่อนเข้าที่ทำการอย่างเข้มงวด
  • ให้บริการเจลล้างมือแอลกอฮอล์ตั้งแต่เข้าที่ทำการ ระหว่างใช้บริการ และหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม จัดระยะห่างทั้งเคาน์เตอร์ให้บริการ เก้าอี้พักรอใช้บริการ
  • ทำความสะอาดจุดสัมผัสในที่ทำการ เช่น จุดกดบัตรคิว มือจับประตู เคาน์เตอร์ให้บริการทุกๆ 20 นาที
    คัดกรองเจ้าหน้าที่ก่อนปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างปฏิบัติงาน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และงดการพูดคุยระหว่างให้บริการ
  • เจ้าหน้าที่นำจ่ายต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ระหว่างนำจ่ายสิ่งของให้ลูกค้าทุกครั้ง ศูนย์ไปรษณีย์มีการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนพัสดุทุกชิ้น
  • สำหรับผู้ใช้บริการที่ไม่ต้องการลงนามรับสิ่งของ สามารถแจ้งให้บุรุษไปรษณีย์บันทึกชื่อ-นามสกุล แทนการลงนามได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัส

ก่อนหน้านี้ ไปรษณีย์ไทยได้ระงับการฝากส่ง ‘ผลไม้สด ต้นไม้ กล้าพันธุ์ไม้ และของเน่าเสียง่าย’ เป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 ก.ค. 2564 เพื่อป้องกันผลไม้และต้นไม้เสียหาย เนื่องจากมีวันหยุดต่อเนื่อง รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การจัดส่งและนำจ่ายสิ่งของเป็นไปอย่างจำกัด และบางพื้นที่การจัดส่งอาจล่าช้า

โดยไปรษณีย์ไทยจะแจ้งข้อมูลที่ทำการไปรษณีย์ที่ปิดให้บริการรับฝากชั่วคราว หรืองดนำจ่ายชั่วคราว หรือนำจ่ายล่าช้า รวมทั้งการปิดทำการชั่วคราวของไปรษณีย์บางแห่ง ให้ผู้ใช้บริการทราบทุกวัน ผ่านช่องทาง เว็บไซต์ www.thailandpost.co.th เฟซบุ๊ก ไปรษณีย์ไทย ทวิตเตอร์ @Thailand_Post เเละไลน์ออฟฟิเชียล @Thailand Post

]]>
1344274
อ่าน 5 ข้อ ทำความเข้าใจธุรกิจ “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น KEX https://positioningmag.com/1310803 Thu, 17 Dec 2020 09:28:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310803 ตัวท็อปวงการขนส่งพัสดุเมืองไทยอย่างเคอรี่ เอ็กซ์เพรส” (KEX) เตรียมระดมทุนสูงสุด 8.4 พันล้านในตลาดหลักทรัพย์ฯ  24 ..นี้ เคาะราคาขาย IPO จำนวน 300 ล้านหุ้นที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าจับตามองส่งท้ายปีนี้ ท่ามกลางการเเข่งขันในสงครามโลจิสติกส์อันดุเดือด หลังธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตพุ่งพรวดจากวิกฤต COVID-19

Positioning ขอสรุปพื้นฐานธุรกิจ เเผนเเละกลยุทธ์การเติบโต รายละเอียดไทม์ไลน์ของหุ้น IPO เเละภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จากการแถลงของทีมผู้บริหาร เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย เบื้องต้นไว้ดังนี้

ส่องธุรกิจ Kerry Express

เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” (Kerry Express) ข้ามน้ำข้ามทะเลจากฮ่องกง มาบุกธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2549 เริ่มให้บริการจัดส่งพัสดุภาคเอกชนรายเเรกในประเทศไทย ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจร เจาะกลุ่มลูกค้าทุกประเภท

ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ 2561 หลังบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านยักษ์ใหญ่ในเครือบีทีเอส กรุ๊ป ทุ่มเงินเกือบ 6 พันล้านบาท เข้าซื้อหุ้น “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส” ในสัดส่วน 23% ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 (ปัจจุบันเหลือ 19%)

เรามาย้อนการเติบโตของธุรกิจ “ส่งพัสดุ” ของเคอรี่ ดังนี้

ปี 2554 จัดส่งพัสดุ 8,000 ชิ้นต่อวัน ในวันที่ความต้องการการบริการจัดส่งพัสดุสูง (peak day)

ปี 2556 เปิดร้านรับส่งพัสดุแห่งแรก เพื่อให้บริการด้านการจัดส่งพัสดุผ่านเคาน์เตอร์ของร้าน ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณถนนอโศก กรุงเทพมหานคร

ปี 2558 เริ่มให้บริการจัดส่งพัสดุภายในวันเดียวกัน (Bangkok Sameday : BSD) และได้เปิดตัวศูนย์บริการ
โลจิสติกส์บางนา ซึ่งเป็นศูนย์คัดแยกพัสดุแห่งแรกของบริษัท

ปี 2559 เร่ิมให้บริการการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ร้านรับส่งพัสดุและจุดรับ-ส่งพัสดุ

ปี 2560 จัดส่งพัสดุรวมทั้งหมดได้ 71 ล้านชิ้น เริ่มใช้ระบบ EasyShip แพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยลูกค้าที่ใช้บริการการจัดส่งพัสดุแบบ C2C

ปี 2561 จัดส่งพัสดุรวมทั้งหมดได้ 173 ล้านชิ้น โดยจัดส่งพัสดุในประเทศไทย กว่า 1 ล้านชิ้นต่อวันที่มีความต้องการการบริการจัดส่งพัสดุสูงสุด

ปี 2562 ส่งพัสดุรวมทั้งหมดได้ 274 ล้านชิ้น เร่ิมให้บริการการจัดส่งพัสดุ แบบรับถึงบ้าน (D2D) และขยายเครือข่ายไปตามต่างจังหวัด มีพนักงานในสังกัดราว 2 หมื่นคน

ปี 2563 (ช่วง 9 เดือนเเรก) จัดส่งพัสดุรวมทั้งหมด 223.9 ล้านชิ้น ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมมาซื้อของออนไลน์ สามารถจัดส่งพัสดุจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1.2 ล้านชิ้นต่อวันทำการ

ปัจจุบัน Kerry Express มีเครือข่ายให้บริการครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด จุดให้บริการ 15,000 แห่ง พร้อมศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง จำนวนรถรับส่งพัสดุ 25,000 คัน มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (2557-2562) ราว 134.9%

นอกจากนี้ ยังเป็นบริษัทภาคเอกชนที่ให้บริการเก็บเงินปลายทาง รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเฉลี่ย 6,500 ล้านบาทต่อเดือน มีอัตราพัสดุตีกลับราว 1.5% โดยรายได้ของบริษัท 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้กว่า 14,689 ล้านบาท กำไร 1,030 ล้านบาท

ขณะที่รายได้ และกำไรย้อนหลัง 3 ปีมีดังนี้

ปี 2560 รายได้ 6,626.41 ล้านบาท กำไรสุทธิ  730.26 ล้านบาท

ปี 2561 รายได้ 13,565.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ  1,185.10 ล้านบาท

ปี 2562 รายได้ 19,781.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ  1,328.55 ล้านบาท

ด้านสัดส่วนลูกค้าของเคอรี่กว่า 53% เป็นลูกค้าในกลุ่ม C2C หรือแบบบุคคลส่งถึงบุคคล เเละอีก 44% เป็นลูกค้ากลุ่ม B2C หรือแบบธุรกิจส่งถึงบุคคล และ 1.7% เป็นกลุ่มลูกค้าแบบ B2B หรือธุรกิจส่งถึงธุรกิจ

เมื่อเจาะลึกลงไปในสัดส่วนรายได้ จะเห็นว่าในปี 2563 (9 เดือนเเรก) เคอรี่มีรายได้ส่วนใหญ่ 53.9% จากกลุ่ม C2C รองลงมาคือ 44.3% จากกลุ่ม B2C เเละ 1.7% จากกลุ่ม B2B ส่วนที่เหลือ 0.1% มาจากรายได้โฆษณา

อเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกว่า เคอรี่ชอบทำอะไรเป็น “เจ้าเเรก” อย่างการเป็นผู้บุกเบิกการจัดส่งแบบ Next Day ในไทย เป็นเจ้าแรกที่ให้บริการรับชำระเงินปลายทาง และตอนนี้กำลังเป็น “เจ้าแรก” ของบริษัทส่งพัสดุด่วนของไทยที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

“การเติบโตของกลุ่ม C2C ลูกค้าส่งถึงลูกค้านั้นมีความสำคัญมากกับธุรกิจของเรา ทิศทางที่มุ่งต่อไปคือการขยายพื้นที่ให้บริการมากขึ้น เจาะพื้นที่ใหม่ ลูกค้าใหม่ เเละธุรกิจใหม่ๆ”

โตตาม “อีคอมเมิร์ซ” 

ตามที่ทราบกันว่า การเติบโตของธุรกิจขนส่งนั้นยึดโยงกับธุรกิจ “อีคอมเมิร์ซ” และ “โซเชียลมีเดีย” โดยยอดค้าปลีกออนไลน์ในไทยนั้น มีการเติบโตเฉลี่ย 22.2% (ปี 2557-2562) เเละคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้น 26.7%

ในปี 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 2,285 ล้านบาท และคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5,406 ล้านบาทในปี 2567

ส่วนการพัฒนาของระบบ “โมบายเเบงกิ้ง” ก็ช่วยเร่งการเติบโตของรายได้ในตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยมีมูลค่าธุรกรรมเติบโตเฉลี่ย 53.1% (ปี 2557-2562) เเละคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้น 22.1%

ทาง “เคอรี่” ตั้งเป้าว่าบริษัทจะขยายไปพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมซื้อของออนไลน์ที่เฟื่องฟู โดยหวังจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยราว 20% ภายในอีก 5 ปี รั้งตำเเหน่งเบอร์ 1 ขนส่งเอกชนเมืองไทย 

กลยุทธ์สู้เเข่งดุ : เข้าหาลูกค้าตาม “ซอกซอย” 

KEX คาดว่าหลัง IPO ในตลาดหุ้น จะระดมทุนได้ราว 8,400 ล้านบาท โดยจะนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

ผู้บริหารเคอรี่ เน้นย้ำว่า จะยังคงใช้เเนวคิด “Kerry Express Everywhere” เพื่อเเข่งขันในตลาด ซึ่งจะมีการปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคให้มากขึ้น เพิ่มช่องทางการชำระเงิน ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล อย่างการพัฒนาระบบจัดเก็บเเละกู้คืนข้อมูลในกรณีฉุกเฉิน การวิเคราะห์ข้อมูล เเละหาพันธมิตรใหม่ๆ

รวมไปถึงการพิจารณา “ควบรวมกิจการ” ในธุรกิจที่น่าสนใจเเละนำมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้ ซึ่งตอนนี้ “เล็งไว้” หลายเจ้า เเต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ 

วราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บอกว่า สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การขยายธุรกิจ ขยายจุดส่งพัสดุให้เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด จากตอนนี้ที่มีจุดให้บริการตาม “ถนนสายหลัก” ต่อไปจะเข้าไปหาลูกค้าตาม “ซอกซอย” ให้ได้

ทั้งนี้ จุดให้บริการ 15,000 แห่งนั้น ปัจจุบันเป็นสาขาที่เคอรี่ดำเนินการเองราว 2,000 เเห่ง เป็นการจับมือกับพันธมิตรอีก 3,000 เเห่ง เเละที่เหลืออีกกว่า 1 หมื่นเเห่งเป็นสาขาของ SME รายย่อย

เมื่อถามถึงการเเข่งขันด้าน “ราคา” ที่หลายคนมองว่าเคอรี่อาจจะมีค่าบริการที่สูงกว่าเจ้าอื่นในตลาดนั้น วราวุธ ตอบว่า บริษัทมีการดูเเลเรื่องนี้โดยตลอด เช่นการจัดเรตราคาตามหมวดหมู่ของสินค้า โดยอยากให้ผู้บริโภคเห็นถึง “คุณภาพ” ในการจัดส่งว่ามีความชัวร์เเละคุ้มค่า ในราคาที่ไม่เเพงไปกว่ากันมากนัก 

ทั้งนี้ คู่เเข่งรายสำคัญที่เพิ่งเข้ามาตีตลาดใหม่อย่าง “แฟลช เอ็กซ์เพรส” ก็เพิ่งได้รับการระดมทุน Series D มูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุน “เเย่งลูกค้า” กันขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างเเน่นอน

Photo : Shutterstock

เคาะราคา 28 บาทต่อหุ้น 

KEX เคาะราคาขายหุ้น IPO จำนวน 300 ล้านหุ้น ที่ราคา 28.00 บาทต่อหุ้น จากช่วงราคา 24-28 บาทต่อหุ้น มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 33 เท่า ใกล้เคียงกับธุรกิจขนส่งพัสดุในระดับภูมิภาคที่มีค่า P/E ที่ 20-30 เท่า

พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันแรก 24 ธ.ค. 2563 เปิดให้จองซื้อตั้งแต่ 8-18 ธ.ค. นี้ โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ เเละบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เเละเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม

ในราคาที่ 28 บาทต่อหุ้นนั้น ถือเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น หลังนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อท่วมท้น มากกว่า 23 เท่า จากจำนวนหุ้นที่จัดสรรไว้ โดยมีกองทุนให้ความสนใจมากกว่า 100 กองทุน

การดำเนินการเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 300 ล้านหุ้นครั้งนี้ คิดเป็น 17.24% ของหุ้นทั้งหมด เเบ่งให้รายย่อยจำนวน 100 ล้านหุ้น (ครึ่งหนึ่งเป็นรายย่อยผู้มีอุปการคุณ) เเละที่เหลืออีก 200 ล้านหุ้น เป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน โดยมุ่งเน้นไปยังกองทุนที่มีกลยุทธ์การ “ลงทุนระยะยาว” เป็นหลัก

ลุ้นเข้า SET50 กลางปีหน้า 

วีณา เลิศนิมิตร กรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ KEX มองว่า หลังการระดมทุนของเคอรี่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 24 ธ.ค. นั้น มีโอกาสที่บริษัทจะเข้าไปคำนวณในดัชนี SET 50 ได้ในช่วงกลางปี 2564 เพราะมองว่าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง ตามเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีนักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก อาจทำให้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดแตะระดับแสนล้านบาทได้ ทั้งนี้ หากประเมินตามราคา IPO ที่ 28 บาทนั้น เคอรี่จะมีมาร์เก็ตแคปราว 4.87 หมื่นล้านบาท

การก้าวเข้าสู่ปีที่ 15 ของ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย หลังระดมทุน 8.6 พันล้านนั้น ต้องจับตาความเคลื่อนไหวกันต่อไป โดยเฉพาะผู้บริโภคอย่างเราๆ ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าผู้ที่จะได้ประโยชน์จากสงครามธุรกิจนี้ 

 

 

]]>
1310803
ถูกใจแม่ค้า! ไปรษณีย์ไทยอัดยาแรง “ยิ้มสู้-19” ปรับราคาส่งของแบบเหมาจ่าย 19 บาท https://positioningmag.com/1268363 Sun, 15 Mar 2020 06:59:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268363 ไปรษณีย์ไทย เปิดบริการยิ้มสู้-19” ส่งสิ่งของแบบเหมาจ่ายเพียง 19 บาทราคาเดียว พัสดุไม่เกิน 1 กิโลกรัม เช็คสถานะได้ รับบริการช้อปออนไลน์ เลี่ยงซื้อสินค้านอกบ้าน ป้องกัน COVID-19

ก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า

เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถซื้อขายสินค้าจำเป็น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค บริโภคผ่านร้านค้าออนไลน์ได้โดยไม่ต้องออกจากบ้านในสถานการณ์การที่เชื้อ Covid-19 แพร่กระจายมากขึ้น อีกทั้งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ให้หยุดชะงัก

ไปรษณีย์ไทยจึงออกบริการยิ้มสู้-19” ส่งสิ่งของเหมาจ่ายราคาประหยัด อัตราค่าบริการชิ้นละ 19 บาทราคาเดียว น้ำหนักสิ่งของฝากส่งสูงสุดไม่เกิน 1 กิโลกรัม/ชิ้น จัดส่งสิ่งของถึงปลายทางภายใน 2-5 วันทำการ สามารถติดตามสถานะสิ่งของได้ พร้อมความคุ้มครองสูงสุด 1,000 บาท/ชิ้น

สามารถใช้งานร่วมกับบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) โดยวงเงินเรียกเก็บ ณ ที่อยู่ผู้รับไม่เกิน 30,000 บาท/ชิ้น พร้อม SMS แจ้งผู้รับปลายทางได้ โดยคิดค่าบริการบวกเพิ่มอีก 10 บาท/ชิ้น ซึ่งจะเรียกเก็บจากสินค้าที่เก็บเงินได้แล้วเท่านั้น สามารถใช้บริการได้ทุกที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม – 30 เมษายน 2563

นอกจากบริการยิ้มสู้-19” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคผ่านร้านค้าออนไลน์โดยไม่ต้องกังวลกับค่าส่ง และไม่ต้องออกไปในพื้นที่แออัดที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid -19 อย่างใกล้ชิด

พร้อมทั้งมีมาตรการในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ Covid-19 ในทุกขั้นตอนของไปรษณีย์ไทย โดยทำความสะอาดจุดสัมผัสทุก 30 นาที มีเจลล้างมือให้บริการทุกที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนไปรษณียภัณฑ์ทุกชิ้นที่มีต้นทางจากต่างประเทศ เจ้าหน้าที่นำจ่ายตรวจร่างกายทุกวันก่อนออกปฏิบัติงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการทุกคน

Source

]]>
1268363
“FLASH EXPRESS” ขึ้นแท่น Top 3 ตลาดขนส่ง คาดยอดส่งพัสดุทะลุ 100 ล้านชิ้น https://positioningmag.com/1258710 Fri, 27 Dec 2019 05:18:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258710 FLASH EXPRESS ผู้เล่นน้องใหม่ในตลาดขนส่งที่ทำตลาดได้ 2 ปี อัดโปรโมชั่น พร้อมพรีเซ็นเตอร์ คาดยอดการส่งในปีนี้ทะละ 100 ล้านชิ้น ฟาดรายได้ 5,000 ล้านบาท ขึ้นแท่น Top 3 ในตลาดขนส่ง ซุ่มขยายบริการด้านการเงินครบวงจรในปี 63

อัดโปรแรง เริ่มต้น 25 บาท

แม้ชื่อของ FLASH EXPRESS จะค่อนข้างใหม่ในตลาดขนส่งพัสดุ ที่เพิ่งทำตลาดมาได้ 2 ปี แต่ด้วยการเดินเกมในการอัดโปรโมชั่นรุนแรง ทำให้ตอนนี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาดได้แล้ว

ตอนนี้ขึ้นชื่อว่าทำราคาถูกสุดในตลาดเริ่มต้นที่ 25 บาท ทุกภาคทั่วไทย พร้อมโปรโมชั่นส่วนลดค่าส่งสูงถึง 40% ให้แก่ลูกค้าในทุกวันอาทิตย์ และจุดเด่นของแฟลช คือ เข้ารับพัสดุฟรีถึงที่ตั้งแต่ชิ้นแรก และเปิดให้บริการ 365 วัน

คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ แฟลช (FLASH GROUP) เล่าว่า

“ตัวเลขยอดส่งพัสดุทั้งปีของ FLASH EXPRESS ที่สูงกว่า 100 ล้านชิ้น โดยรายได้รวมของปี 2562 มีตัวเลขมากกว่า 5,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 10 เท่าซึ่งปัจจุบันถือได้ว่า FLASH EXPRESS เป็นผู้เล่น Top 3 ของตลาดขนส่งไทย มีศูนย์ให้บริการ และจุดรับ-ส่งพัสดุทั่วประเทศ รวมกว่า 3,500 แห่ง มีรถขนส่งทุกประเภทกว่า 10,000 คัน ให้บริการครบ 77 จังหวัด ครอบคลุม Nation wide”

โดยตลอดปี 2562 เป็นปีแห่งการลงทุนเพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่งให้แก่บริการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคัดแยกสินค้าอัจฉริยะ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ที่สามารถคัดแยกสินค้าได้ถึง 100,000 ชิ้น ในเวลา 60 นาที รวมถึงการทุ่มเม็ดเงินลงทุนสูงกว่า 100 ล้านบาท ในการสร้าง และพัฒนาระบบไอทีเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

เตรียมผุดบริการด้านการเงิน

หลังจาก FLASH EXPRESS เข้ามาอยู่ในตลาดนี้ร่วม 2 ปี มีทั้งบริการขนส่งด่วน (Flash Express), บริการด้านโลจิสติกส์ (Flash Logistics) ส่งสินค้าชิ้นใหญ่, บริการฟูลฟิลเมนท์ (Flash Fulfillment) จัดเก็บดูแล และส่งสินค้า รวมถึงบริการด้านการเงินที่คาดว่าจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้

แผนในปี 2563 แฟลช กรุ๊ป จะยกระดับการให้บริการทั้งในส่วนของ Express, Logistics และทุกบริษัทในเครือ เน้นการสร้างประสบการณ์ที่มากขึ้น ขนส่งจะไม่เป็นเพียงแค่ขนส่งอีกต่อไป แต่จะใส่ความคล่องตัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพได้แบบ Real time และชัดเจนมากยิ่งขึ้น พร้อมผนึกกับพันธมิตรที่จะสามารถตอบโจทย์การให้บริการของ E-commerce ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาตลาด E-Commerce ในประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งปี 2562 มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงถึง 20% ส่งผลให้เกิดความต้องการในบริการ E-Logistics หรือขนส่งสูงขึ้นตามไปด้วย โดยมูลค่ารวมของตลาดขนส่งในปัจจุบัน มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 28,000 ล้านบาท

Source

]]>
1258710