ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 15 Jan 2024 09:42:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ทีมหัวหอกของ ORI บุกภูธร แย้มปี 2567 ลุย “อีสาน” เพิ่ม 3 จังหวัด https://positioningmag.com/1458851 Mon, 15 Jan 2024 08:12:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458851
  • หลังปักหมุดในโซน “อีอีซี” มาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ “ORI” มั่นใจมากขึ้นในการบุก “ต่างจังหวัด” โดยส่งทีม “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” เป็นทีมนำในการกระจายการลงทุนทั่วประเทศ
  • ปี 2567 เตรียมเปิดตัวที่พักอาศัยเพื่อขายในต่างจังหวัด 15 โครงการ แหล่งลงทุนหลักที่ “ภูเก็ต” ผนวกการลงทุนในอีสาน 3 จังหวัดใหม่ที่ “โคราช” “อุบลฯ” และ “อุดรฯ” รวมถึงจะเริ่มเปิดตลาด “หัวหิน”
  • บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กำลังเดินหน้าโตไม่หยุดผ่านการแตกไลน์สารพัดธุรกิจและออกสู่น่านน้ำทุกแห่งที่จะไปถึงได้ หนึ่งในน่านน้ำที่กำลังเคลื่อนพลออกไปคือตลาด “ต่างจังหวัด” ที่เริ่มต้นเปิดตลาดเมื่อปี 2562 เมื่อบริษัทเข้าไปลงทุนในพื้นที่ “อีอีซี”

    จากนั้นบริษัทเริ่มเปิดตลาดใหม่ต่อเนื่อง ในฝั่งที่พักอาศัยเพื่อขายเมื่อปี 2566 มีการขยายเข้าสู่จังหวัด “ขอนแก่น” เป็นครั้งแรก รวมถึงชิมลางภาคใต้ที่ “ภูเก็ต” ข้ามฟากฝั่งธุรกิจโรงแรมซึ่งขับเคลื่อนผ่านบริษัทลูก “วัน ออริจิ้น” ก็เข้าไปลงทุนทั้งในภูเก็ต กระบี่ หัวหิน และเชียงใหม่แล้ว

    ทำให้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทแม่เลือกเปลี่ยนชื่อบริษัทลูก “บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด” เป็น “บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด” สื่อถึงวิสัยทัศน์ว่า ORI จะเอาจริงกับตลาดต่างจังหวัดทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในอีอีซีอีกต่อไป

    (ซ้าย) ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล และ (ขวา) กฤษณ์ เตชะสัมมา

    “กฤษณ์ เตชะสัมมา” และ “ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล” สองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ร่วมกันให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน ORI มีโครงการในต่างจังหวัดสะสม 20 โครงการ (*เฉพาะที่พักอาศัยเพื่อขาย ไม่รวมโรงแรม) และเมื่อปี 2566 กลุ่มออริจิ้น เนชั่นวายด์สามารถสร้างยอดขายให้บริษัทแม่ได้ 6,500 ล้านบาท

    ขณะที่ปี 2567 นี้ เป้าหมายด้านยอดขาย รายได้ มูลค่าโครงการ ขอเปิดพร้อมกันกับบริษัทแม่ในเดือนมีนาคม แต่แย้มออกมาแล้วว่าจะเปิดโครงการใหม่รวดเดียว 15 โครงการ และมีจังหวัดใหม่ๆ ในแผน

     

    มุ่งสู่ “อีสาน” และ​ “ภูเก็ต”

    แผนปี 2567 ของออริจิ้น เนชั่นวายด์ จะมีการเปิดตลาดใหม่ในโซน “อีสาน” ให้มากขึ้น จากการเปิด “ดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น” เมื่อปีก่อน ได้รับผลตอบรับที่ดี ทำให้ปีนี้จะขยายต่อใน 3 จังหวัด คือ นครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานี

    ตลาดนครราชสีมา จะมีทั้งโครงการใหญ่ “ออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่” มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และมีอีก 1 โครงการในตัวเมืองโคราช ส่วนตลาดอุบลราชธานีและอุดรธานี เป็นไปได้ที่จะมีมิกซ์ยูสเปิดเป็นที่พักอาศัยเพื่อขายคู่กับโรงแรมโดยร่วมมือกับวัน ออริจิ้น

    ภาพตัวอย่างพูลวิลล่า ออริจิ้น เขาใหญ่

    “ตลาดอีสานเรามองว่ามีศักยภาพหลายจังหวัด อย่างขอนแก่นได้ลูกค้ากลุ่มนักศึกษาและบุคลากรการแพทย์ โคราชก็เป็นเมืองหลวงแห่งอีสาน ส่วนอุบลฯ และ อุดรฯ เป็นจังหวัดที่มาแรงด้านการท่องเที่ยว” ประเสริฐกุลกล่าว

    ขณะที่อีกหนึ่งทำเลทองของออริจิ้นคือ “ภูเก็ต” ปีนี้จะเปิดรวดเดียว 3 โครงการ ทั้งในออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ บางเทา บีช และมีโครงการบ้านเดี่ยว “เบลกราเวีย” เข้าไปทำตลาด

    • “ออริจิ้น” ลุยสร้างที่พักตากอากาศพร้อมกัน 2 ทำเลที่ “ภูเก็ต” และ “เขาใหญ่” โหมตลาดเมืองท่องเที่ยว
    • ครบรอบ 40 ปี “ดูโฮม” ค้าวัสดุก่อสร้างแดนอีสาน รุกคืบเพิ่ม 3 สาขา เชียงราย-อยุธยา-ปทุมธานี
    โซ ออริจิ้น บางเทา บีช

    ภูเก็ตถือเป็นอีกตลาดที่ออริจิ้นจะเร่งลงทุนเพราะความฮอตในระยะนี้ วัดได้จากโครงการ “ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต” คอนโดฯ ในเมืองที่ขายหมดภายใน 6 สัปดาห์ และยังคงเป็นโครงการต่างจังหวัดแห่งเดียวของออริจิ้น ณ ขณะนี้ที่ ‘sold out’ สำเร็จ

    นอกจากนี้ ออริจิ้น เนชั่นวายด์มีแผนจะลงทุนโครงการในหัวหินด้วย ซึ่งในตลาดนี้ฝั่งวัน ออริจิ้นเริ่มเปิดตลาดด้วยโรงแรมไปแล้วที่ “ไอบิส หัวหิน” ผ่านการเทกโอเวอร์เข้าพอร์ตเมื่อปี 2565

     

    ไปแบบ “มิกซ์ยูส” – ทำราคาต่ำกว่าตลาด

    กลยุทธ์การทำตลาดต่างจังหวัดของออริจิ้น เนชั่นวายด์นั้นอาศัยการจับมือ ‘ไปด้วยกันหมด’ กับบรรดาบริษัทลูกของ ORI

    ประเสริฐกุลอธิบายว่า การขึ้นโปรเจ็กต์แต่ละครั้งหากเป็นไปได้จะออกแบบให้เป็น “มิกซ์ยูส” อย่างน้อยจับมือกันเองภายในเครือ ORI เช่น มีทั้งคอนโดฯ และโรงแรมประกบคู่กันเพื่อสร้างมูลค่า

    ส่วนพันธมิตรภายนอกที่อาจจะมีการจอยต์เวนเจอร์กันได้ก็เปิดเจรจาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์ด้านที่ดิน การลงทุน ผู้ประกอบการ

    รวมถึงหมัดเด็ดสุดท้ายคือ “ราคา” ประเสริฐกุลยอมรับว่าบริษัทใช้วิธีตั้งราคาให้ “เข้าถึงได้ง่ายกว่า” กดราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่งในทำเลราว 10% แต่ยังทำกำไรให้กับบริษัทแม่ได้ ผ่านการคุมต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สามารถสั่งซื้อรวมกันทั้งบริษัท

    “เราหวังว่าออริจิ้น เนชั่นวายด์จะเป็นผู้สร้างรายได้สนับสนุนให้กับบริษัทแม่ได้ เพราะต่างจังหวัดจะเป็นการเจาะตลาดใหม่ให้จากการเข้าสู่โซนแหล่งงานใหม่ เช่น EEC หรือโซนจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ” กฤษณ์กล่าว

    ]]>
    1458851
    ซอยขายเป็นตารางนิ้ว! “RealX” โทเคนลงทุนคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” เหรียญละ 182 บาท การันตียีลด์ 4-5% https://positioningmag.com/1428853 Thu, 27 Apr 2023 08:10:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428853 เตรียมออกโทเคน “RealX” เพื่อการลงทุนในคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” ที่สร้างเสร็จแล้ว 3 ทำเล คือ ทองหล่อ พร้อมพงษ์ พญาไท ราคาเหรียญละ 182 บาท เปรียบเหมือนการซอยขายห้องชุดเป็นตารางนิ้ว ให้รายย่อยร่วมลงทุนได้ง่าย ไม่ต้องมีเงินล้าน ใช้เงินลงทุนหลักร้อยบาท การันตียีลด์ปีละ 4-5% ใน 5 ปีแรก

    “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ตามวิธีดั้งเดิมคือต้องเป็นเจ้าของห้องทั้งห้องหรือบ้านทั้งหลัง หมายความว่านักลงทุนต้องมีเงินสดหลักล้าน หรือมีเครดิตดีพอที่จะกู้สินเชื่อบ้าน ยิ่งถ้าหากเป็นอสังหาฯ ใจกลางเมืองวันนี้ ราคาคอนโดฯ ย่านซีบีดีพุ่งไปถึงยูนิตละ 5 ล้าน 10 ล้าน ทำให้คนทั่วไปเอื้อมถึงการลงทุนอสังหาฯ ในทำเลทองได้ยากมาก

    จนกระทั่งเทคโนโลยีบล็อกเชนและการออกเหรียญโทเคนดิจิทัลเกิดขึ้น จึงมีการต่อยอดไอเดียมาสร้างการลงทุนแบบใหม่ ใช้การออก “โทเคน” กระจายการถือสิทธิ์ความเป็นเจ้าของคอนโดฯ 1 ห้องออกเป็นหลายเจ้าของ (fractionalization) เพื่อให้หน่วยการลงทุนอสังหาฯ มีขนาดเล็กลง คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    แนวคิดการออกโทเคนเพื่อลงทุนคอนโดฯ ดังกล่าวกำลังจะเกิดขึ้นครั้งแรกในไทยกับ “RealX Investment Token” และคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” ซึ่งพัฒนาโดย บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI)

    RealX
    ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการ RealX : (จากซ้าย) “พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI), “ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด และ “จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X

     

    ถือ 1 เหรียญ เสมือนเป็นเจ้าของ 1 ตารางนิ้ว

    “ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดการออกเหรียญ “RealX” เป็นการนำห้องชุดในคอนโดฯ “พาร์ค ออริจิ้น” 3 ทำเล รวมไม่เกิน 361 ยูนิต มาแปลงเป็นหน่วยการลงทุน โดยแบ่งรายละเอียดคอนโดฯ ที่จะนำมาขายผ่านโทเคน ดังนี้

    • พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์ ไม่เกิน 138 ยูนิต
    • พาร์ค ออริจิ้น พญาไท ไม่เกิน 123 ยูนิต
    • พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ไม่เกิน 100 ยูนิต
    RealX
    (ซ้ายบน) พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์, (ขวาบน) พาร์ค ออริจิ้น พญาไท, (ภาพล่าง) พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ

    เมื่อออกขายหน่วยลงทุนแล้ว RealX จะนำห้องชุดเหล่านี้เข้าระบบการ “ปล่อยเช่า” โดยมี บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด หรือ HHR เป็นผู้รับบริหารการเช่าครบวงจร (*HHR เป็นบริษัทในเครือออริจิ้น) เพื่อสร้างรายได้กลับมาเป็นเงินปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือโทเคน

    ด้าน “จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด หรือ Token X ภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) กล่าวว่า เหรียญ RealX จะเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (ICO) จำนวนไม่เกิน 19,230,769 โทเคน ที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 3,500 ล้านบาท

    จำนวนโทเคนนี้มาจากไหน? จิตตินันท์ระบุว่ามาจากการคำนวณพื้นที่ขายทั้งหมดของห้องชุดที่จะนำมาเป็นสินทรัพย์อ้างอิงของโทเคนนี้ และนำมาหารเป็น “ตารางนิ้ว” ทำให้การถือเหรียญ RealX 1 เหรียญ จะเปรียบเหมือนกับการถือครองคอนโดฯ 1 ตารางนิ้ว

     

    การันตียีลด์ 4-5% ในช่วง 5 ปีแรก

    โครงการลงทุนโทเคนดิจิทัล RealX มีการกำหนดอายุโครงการ 10 ปี โดย ดร.วีรพงษ์ นำเสนอผลตอบแทนที่จะได้รับในช่วง 10 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ

    ช่วงแรก – ปีที่ 1-5 การันตีผลตอบแทนการเช่า 4.00%, 4.25%, 4.50%, 4.75% และ 5.00% ของมูลค่าเสนอขายโทเคน โดยปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกปี

    ช่วงที่สอง – ปีที่ 6-10 จะทยอยขายยูนิตในโครงการเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา (capital gain) โดยจะขายปีละ 10%, 15%, 20%, 25% และ 30% ของจำนวนยูนิตที่มี ปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดทุกปี จนขายหมดในปีที่ 10 (ทยอยขายเพื่อไม่ให้ซัพพลายล้นเกินในปีเดียว) ระยะนี้ผู้ถือโทเคนจะได้รับผลตอบแทนทั้งส่วนที่ขายห้องชุดได้ และผลตอบแทนจากค่าเช่าในห้องชุดที่ยังไม่ได้ขายออกไป

    ทั้งหมดนี้ ผู้ถือโทเคนจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาส

    แม้โครงการจะมีอายุ 10 ปี แต่ในระหว่างนั้นผู้ถือโทเคนสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือโทเคนได้ เพราะจะมีการนำเหรียญ RealX เข้าเทรดในตลาดรอง ซึ่งขณะนี้กำลังเลือกระหว่างกระดาน TDX หรือ Bitkub หรือทั้งสองกระดาน

    เมื่อโทเคนอยู่บนกระดาน ราคาเหรียญจะมีการขึ้นลงตามตลาด สามารถเทรดซื้อขายทำกำไรเหรียญได้ ซื้อเพิ่มหรือขายออกได้คล่องตัวมากกว่าการลงทุนอสังหาฯ แบบดั้งเดิม

     

    ลงทุนในแหล่งปล่อยเช่าชาวต่างชาติ

    ดังที่เห็นว่าเหรียญ RealX เป็นโทเคนที่มีพื้นฐานจากสินทรัพย์อ้างอิง การพิจารณาความเหมาะสมของราคาขาย รวมถึงความเป็นไปได้ในการทำกำไรทั้งจากค่าเช่าและส่วนต่างราคา จึงต้องกลับมาที่ตัวสินทรัพย์

    “พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI กล่าวถึงสินทรัพย์ทั้ง 3 แห่ง เป็นทำเลปล่อยเช่าชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (expat) ในทำเลทองหล่อ-พร้อมพงษ์จะเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่น ส่วนทำเลพญาไทมีหลากหลายสัญชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและไต้หวันซึ่งเดินทางติดต่อธุรกิจบ่อย ทำให้ต้องการที่พักใกล้ ARL เพื่อไปสนามบินสะดวก

    ปัจจุบัน HHR บริหารการเช่าในทั้ง 3 โครงการอยู่แล้ว และมีอัตราเข้าพักเกือบเต็ม 100% สามารถทำราคาเช่าได้สูง ตัวอย่างเช่น ทำเลทองหล่อ คิดค่าเช่าที่ 2,000 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน

    อัตราผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ยของ 3 โครงการนี้อยู่ที่ 8% แต่ที่การันตียีลด์ 4-5% สำหรับผู้ถือโทเคน เพราะจะมีการหักค่าบริหารจัดการทั้งค่าธรรมเนียมที่จ่ายให้ HHR และการบริหารของ RealX

    ด้านการเติบโตของราคาคอนโดฯ พีระพงษ์มองว่าทำเลซีบีดีของกรุงเทพฯ ในอดีตที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่าราคาสามารถขึ้น 100% ได้ภายใน 10 ปี เพราะที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่มีจำกัด

    • รู้จัก ‘YES โทเคน’ และแพลตฟอร์ม ‘ยืมมั้ย.digital’ บริการ ‘เช่าสินทรัพย์ดิจิทัล’ ครั้งแรกในไทย
    • “ต่างชาติ” เริ่มกลับมาซื้อคอนโดฯ ไทย จับตา “พม่า-อเมริกัน” ลงทุนสูง ซื้อห้องใหญ่ราคาแพง

    ส่วนราคาขายห้องชุดผ่านโทเคน ไม่ได้ปรับขึ้นสูงกว่าปกติและมีการลดราคาให้ด้วย เพราะปัจจุบันออริจิ้นขายโฉนด 3 โครงการนี้ในราคาเฉลี่ย 298,000 บาทต่อตร.ม. แต่การขายผ่าน RealX คิดเป็นตารางเมตรแล้วจะตก 265,000 บาทต่อตร.ม.

    ดร.วีรพงษ์กล่าวต่อว่า RealX จะเริ่มเปิดขายผ่านแอปพลิเคชัน Token X ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 ในส่วนนักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อคน (ตามกฎกำกับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลของ ก.ล.ต.) นักลงทุนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ และยืนยันตัวตนไว้ก่อนได้

    “เรากำลังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ที่นวัตกรรมจะเปลี่ยนวงการอสังหาฯ ปกติถ้าผมขายคอนโดฯ กลางเมือง จะมีคนแค่ 5% ของประเทศนี้ที่ซื้อได้ แต่เมื่อมีการสร้างการลงทุนเป็นโทเคน จะซื้อเพียงแค่ 1 ตารางนิ้วก็ได้ ทำให้ใครๆ ก็ลงทุนได้ แม้แต่น้องพนักงานเซเว่นฯ ที่แม่ฮ่องสอนยังกดซื้อคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ ได้” พีระพงษ์แห่ง ORI กล่าว “นวัตกรรมนี้จะเปิดโอกาสอีกมากมาย ต่อไปผมอาจจะทำ Hotel Token กระจายการลงทุนในโรงแรม หรือทำ Warehouse Token กระจายการลงทุนคลังสินค้า ทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนกับกระแสอีคอมเมิร์ซที่กำลังบูมในวันนี้”

    ]]>
    1428853
    “ออริจิ้น” 2566 เปิดศักราชพัฒนา “Smart City” ครอบคลุมทั่วประเทศ ปักหมุดเพิ่ม 5 จังหวัด https://positioningmag.com/1422289 Wed, 08 Mar 2023 07:38:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422289 “ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์ Infinity 2023 เริ่มต้นกระจายโมเดลธุรกิจ “Smart City” ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ หลังพิสูจน์ความสำเร็จแล้วในเขตอีอีซี โดยปีนี้จะเห็นภาพชัดใน 5 จังหวัดใหม่ ขยับไปด้วยกันทั้งเครือตั้งแต่ที่พักอาศัย โรงแรม รีเทล จนถึงหน่วยธุรกิจเฮลธ์แคร์

    บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เอาตัวรอดและเติบโตได้ท่ามกลางโรคระบาด โดยเมื่อปี 2565 บริษัทปิดยอดขายที่กว่า 41,000 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 18,500 ล้านบาท พร้อมขยายตัวต่อในปี 2566 ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหลังโควิด-19

    “ธีมปีนี้คือเที่ยวทั่วไทยไปกับออริจิ้น คือเราจะขยายออกไปต่างจังหวัดมากกว่าที่เคย และเราจะเน้นการจ้างงานในท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าพื้นที่” พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของออริจิ้น กล่าวถึงภาพใหญ่ของแผนในปีนี้

    ทีมงานกลุ่มออริจิ้น

    การขยายไปต่างจังหวัดของบริษัทจะเน้นการไปพัฒนาแบบมิกซ์ยูส มีหลายรูปแบบธุรกิจอยู่ร่วมกันในพื้นที่ หรือถ้าเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ก็จะพัฒนาแบบครบวงจรแบบ “Smart City”

    ที่ผ่านมา Smart City แบบออริจิ้นมีการพัฒนาแล้วทั้งในกรุงเทพฯ ที่รามอินทรา มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันส่วนที่พักอาศัยมียอดขายแล้ว 90% ขณะที่ต่างจังหวัดมีใน จ.ระยอง มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่พักอาศัยขายแล้ว 70% อีกแห่งหนึ่งคือที่แหลมฉบัง-ศรีราชา มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โครงการนี้ที่พักอาศัยขายหมด sold out เรียบร้อยแล้ว

    โครงการรูปแบบนี้เป็นการจัดแบ่งที่ดินให้เป็นเมืองในตัวเอง ด้านหน้าอาจจะมีทั้งโรงแรม รีเทล คอนโดมิเนียม และถ้าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ด้านหลังอาจจะพัฒนาที่พักอาศัยแนวราบเพิ่มได้ด้วย ยิ่งในปีนี้ออริจิ้นมี บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาเสริมทัพด้านธุรกิจสุขภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ในโครงการเหล่านี้ก็จะมีองค์ประกอบด้านธุรกิจสุขภาพผนวกเข้าไปในจุดที่เหมาะสม

     

    เปิดเพิ่มอีก 5 จังหวัด เริ่มบุกเมืองท่องเที่ยว

    อย่างที่เห็นว่าที่ผ่านมาออริจิ้นบุกไปในจังหวัดอีอีซีเป็นหลัก แต่หลังจากนี้บริษัทจะเริ่มพัฒนา Smart City ในเมืองท่องเที่ยวและเมืองที่มีจุดเด่นด้านเศรษฐกิจในแง่อื่นเพิ่มเติม โดยมีแผนดังนี้

    • ภูเก็ต – จุดหมายการท่องเที่ยวระดับโลก
    • หัวหิน – จุดหมายการพักผ่อนริมทะเล ส่วนหนึ่งในแผน Thailand Riviera
    • เขาใหญ่ – จุดหมายการท่องเที่ยวแบบนันทนาการ ประตูสู่ภาคอีสาน
    • ขอนแก่น – เมืองแห่งการศึกษาของภาคอีสาน และเป็นจุดหมาย MICE City
    • เชียงใหม่ – เมืองจุดหมายของการเกษียณอายุทั้งคนไทยและ expat
    รวมการเปิด Smart City สะสมในปี 2023

    “การพัฒนาเหล่านี้เป็นเหมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ และต่อไปเราจะขยายไปเมืองรอบข้างได้โดยอาจจะทำในไซส์เล็กลงมาให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เช่น เมื่อมีอยุธยาก็ขยายไปนครสวรรค์หรือสระบุรี มีภูเก็ตก็ขยายเข้าพังงาหรือกระบี่ มีระยองแล้วก็ขยายเข้าไปในจันทบุรี เป็นต้น” พีระพงศ์กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาว

    สรุปตัวเลขสำคัญของปี 2566 ในแผนออริจิ้น ได้แก่

    • เปิดตัวโครงการบ้านและคอนโดฯ 42 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
    • ลงทุนกลุ่มโรงแรมและคลังสินค้า 30,000 ล้านบาท
    • เป้าหมายยอดขาย 45,000 ล้านบาท
    • เป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท (รวมโครงการ JV ซึ่งเป็น 50% ของยอดโอนทั้งหมด)
    • เป้าหมายรับรู้รายได้ 19,000 ล้านบาท

     

    แบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” กลับมาพร้อมเป็นอาวุธบุกต่างจังหวัด

    “อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด รับไม้ต่อถึงการเจาะลึกโครงการแนวสูงที่จะเปิดตัวปี 2566 จะมีทั้งหมด 22 โครงการ มูลค่ารวม 27,500 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการในกรุงเทพฯ และโครงการต่างจังหวัด บางส่วนเป็นการประเดิมเปิด Smart City

    ไฮไลต์ปีนี้อยู่ที่การกลับมาอีกครั้งของแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” แบรนด์ระดับราคา 50,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ที่จับต้องได้ง่าย ในแผนปีนี้จะเปิด 7 ทำเล แบ่งเป็นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือ บางแค บางพลี และทำเลต่างจังหวัด คือ บางปะกง ขอนแก่น ภูเก็ต พัทยา และบางแสน

    ส่วนโครงการอื่นๆ ที่ไปบุกต่างจังหวัด จะมีในระดับราคาที่สูงขึ้น เช่น ไนท์บริดจ์ สเปซ ระยอง, โซ ออริจิ้น เขาใหญ่, โซ ออริจิ้น ภูเก็ต 2, ออริจิ้น เพลซ เชียงใหม่ และออริจิ้น เพลซ หัวหิน

    ออริจิ้น Smart City
    แผนการเปิดโครงการคอนโดฯ ทั้งหมดของออริจิ้น ปี 2566

     

    วัน ออริจิ้น เปิดต่อเนื่อง 7 โครงการ

    “ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดแผนของฝั่งที่จะเป็น Recurring Income ปีนี้จะมีการเปิดเพิ่มอีก 7 โครงการที่จะทำให้บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสะสม 20,000 ล้านบาท

    ไฮไลต์ของปีนี้เป็นการเปิด โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลพร้อมพงษ์) มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท, โรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลซอยสุขุมวิท 59) มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท และโครงการมิกซ์ยูส วัน พญาไท มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท

    นอกจากนี้ ยังต่อยอดแบรนด์รีเทล Portobello จากศรีราชา ปีนี้จะเปิดอีก 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ ระยอง

    โครงการของวัน ออริจิ้น ที่จะเปิดปี 2566

    วัน ออริจิ้น ยังมีแผนงานในไปป์ไลน์ที่กำลังก่อสร้างหรือออกแบบอีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 25,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะได้เห็นการไปเติมเต็ม Smart City ในทำเลใหม่ต่างๆ เช่น โรงแรมในหัวหิน 258 ห้อง, โรงแรมในเขาใหญ่ 140 ห้อง หรือโรงแรมรูปแบบเวลเนสในภูเก็ต 578 ห้อง เป็นต้น

    ออริจิ้น 2566
    แผนวัน ออริจิ้นที่ยังอยู่ในไปป์ไลน์

    “เฮลธ์แคร์” เป็นซอฟต์แวร์ประกบในโครงการ

    ด้านธุรกิจสุขภาพ “ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด อธิบายว่า โมเดลธุรกิจจะเข้าไปเป็นเหมือน ‘ซอฟต์แวร์’ ที่เข้าไปเชื่อมกับฮาร์ดแวร์ทั้งเครือออริจิ้น หลักๆ ได้เริ่มงานกับธุรกิจโรงแรมก่อน และปีนี้จะเริ่มเห็นการจับมือไปกับบ้านบริทาเนียและคอนโดฯ

    แผนงานปีนี้ของธุรกิจสุขภาพ จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

    1.Health Club – เข้าไปเป็นเฮลธ์แคร์ เซอร์วิสให้กับโครงการ เน้นเวชศาสตร์เชิงป้องกัน เช่น ดูแลด้านโภชนาการอาหาร เป้าหมายเปิด 2 โครงการ

    2.Mediplex – เป็นสหคลินิกที่เข้าไปอยู่ในชุมชนเพื่อรองรับความต้องการด้านต่างๆ เช่น บิวตี้ เวลเนส เส้นผม ทันตแพทย์ จิตแพทย์ ร้านขายยา Pet Club เป้าหมายเปิด 22 โครงการ

    3.โรงพยาบาล – ในลักษณะโรงพยาบาลแบบเฉพาะทางขนาดไม่ใหญ่ เข้าไปอยู่ในชุมชน ใกล้คนมากขึ้น และจะเน้นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ เป้าเปิดตัว 1 โครงการ

    รวมทั้งหมดปีนี้จะมีเปิดใน 25 โครงการ คาดรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 250 ล้านบาท และมีเป้าหมายปี 2568 จะเพิ่มเป็น 55 โครงการ และทำรายได้ 500 ล้านบาท

    • บริษัทลูกออริจิ้นด้านงานบริการ “พรีโม” พร้อม IPO ปลายปีนี้ แผนธุรกิจเร่งการเติบโตนอกเครือ
    • ภารกิจใหม่ “เสนาฯ” ขอช่วยแก้ปัญหาสังคม เปิด 10 ธุรกิจใหม่ตั้งแต่ “ปล่อยกู้” จนถึง “บ้านมือสอง”

    “ออริจิ้น” ยังมีเครื่องยนต์อีกมากทั้งกลุ่มบริทาเนียซึ่งพัฒนาบ้านแนวราบ และกลุ่มอัลฟาที่ดูแลการพัฒนาคลังสินค้า-โลจิสติกส์ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ ที่อยู่ใน ‘มัลติเวิร์ส’ ของบริษัท หากรวมทั้งกลุ่มแล้ว พีระพงศ์ตั้งเป้าให้กลุ่มออริจิ้นมีมาร์เก็ตแคปขึ้นไปแตะ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ

    ]]>
    1422289
    บริษัทลูกออริจิ้นด้านงานบริการ “พรีโม” พร้อม IPO ปลายปีนี้ แผนธุรกิจเร่งการเติบโตนอกเครือ https://positioningmag.com/1386686 Thu, 26 May 2022 10:37:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1386686 “พรีโม เซอร์วิส โซลูชัน” ธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ ในเครือออริจิ้น วางแผนเปิด IPO ไตรมาส 4 ปี 2565 โชว์จุดขายบริการครบวงจรตั้งแต่รับจ้างออกแบบก่อสร้างอาคาร นิติบุคคล แม่บ้าน จนถึงฝากขายปล่อยเช่า โดยคาดว่าอีก 3 ปีจะลดการพึ่งพิงโครงการในเครือต่อเนื่อง เพิ่มสัดส่วนรายได้จากภายนอกเป็น 65-70% รายได้โต 2-3 เท่า

    “จตุพร วิไลแก้ว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชัน จำกัด ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เตรียมยื่นไฟลิ่งภายในไตรมาส 3/2565 และคาดว่าจะได้เปิด IPO ในไตรมาส 4/2565

    รายได้ล่าสุดปี 2564 ของบริษัทอยู่ที่ 490 ล้านบาท และบริษัททำรายได้เติบโตเฉลี่ย 25-30% ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2566 จะขึ้นเป็น Top 3 บริการอสังหาฯ ครบวงจรในประเทศไทย และภายใน 3 ปีข้างหน้าเชื่อว่ารายได้จะเติบโต 2-3 เท่า

    พรีโม IPO

    ประวัติบริษัทพรีโมก่อตั้งเมื่อปี 2554 เพื่อเป็นเอเย่นต์ขายอสังหาริมทรัพย์ และจัดการบริการทำความสะอาด ช่วยสนับสนุนการเติบโตของออริจิ้น หลังจากนั้นมีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีทั้งหมด 8 บริษัทย่อย แบ่งตามวงจรอสังหาฯ 3 ขั้นคือ

    1.กลุ่ม Pre-Living Services บริการที่อยู่ในช่วงก่อนเริ่มเข้าอยู่อาศัย ประกอบด้วย

    • ธุรกิจที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินการโดย บริษัท แพสชั่น เรียลเตอร์ จำกัด (Passion Realtor)
    • ธุรกิจออกแบบอาคาร โดย บริษัท ยูพีเอ็ม ดีไซน์ สตูดิโอ จำกัด (UPM Design Studio) ให้บริการออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคารแก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
    • ธุรกิจบริหารงานโครงการและบริหารงานก่อสร้าง โดย บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด (United Project Management หรือ UPM)
    • ธุรกิจที่ปรึกษางานออกแบบ ตกแต่งภายใน และขนย้ายบ้าน โดย บริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด (Wyde Interior)

    2.กลุ่ม Living Services ให้บริการเมื่อผู้บริโภคเข้าพักอาศัยแล้ว ประกอบด้วย

    • ธุรกิจบริหารจัดการอาคาร ดำเนินการโดย บริษัท พรีโม แมเนจเม้นท์ จำกัด (Primo Management) และ บริษัท คราวน์ เรสซิเดนซ์ จำกัด (Crown Residence) รับบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ทั้งในระดับโครงการทั่วไปจนถึงระดับลักชัวรี
    • ธุรกิจบริการความสะอาดครบวงจร โดย บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด ให้บริการแก่ทั้งลูกค้าองค์กรและผู้บริโภคทั่วไป

    3.กลุ่ม Living & Earning Services ให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการได้รับประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ประกอบด้วย

    • ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย โดย บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ HHR ดำเนินงานบริหารจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) ช่วยบริหารจัดการผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก สร้างรายได้หรือผลตอบแทนให้เป็นไปตามเป้าหมายของเจ้าของโรงแรมหรือที่พักอาศัย ร่วมวางแผนตกแต่ง จัดหาบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก
    • ธุรกิจอบรมด้านอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด จัดคอร์สอบรมให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้สนใจ ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ตัวเองในการพัฒนาโครงการ การทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์

    พรีโม IPO

    “จุดแข็งของเราคือเรามีทุกอย่างครบทั้ง journey ของการบริการอสังหาฯ เช่น ออกแบบโครงการ ออกแบบตกแต่งภายใน นิติบุคคล ทำความสะอาด ดูแลสินทรัพย์ปล่อยเช่า เอเย่นต์ฝากขายฝากซื้อ ฯลฯ มีครบตลอดวงจร แต่เจ้าอื่นอาจจะมีบางส่วนที่ไม่ได้ทำ” จตุพรกล่าว

    • ขยายน่านน้ำ! LPP บริษัทลูก LPN เข้าสู่ตลาดบริหารอาคารเชิงพาณิชย์ สู้แบรนด์ต่างชาติ

     

    หารายได้จากนอกเครือสูงขึ้นเรื่อยๆ

    จตุพรระบุว่าสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทจะมาจาก Living Services เป็นหลัก เพราะธุรกิจนิติบุคคลและแม่บ้านทำความสะอาด จะเป็นการทำสัญญารายปีซึ่งทำให้ได้รายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ

    ปัจจุบันพรีโมมีโครงการในมือที่ให้บริการในส่วนนิติบุคคล 50 โครงการ จำนวนรวม 30,000 ยูนิต โดยแบ่งเป็นโครงการในเครือออริจิ้น 60% และนอกเครือออริจิ้น 40% โดยเฉพาะ คราวน์ เรสซิเดนซ์ ที่เป็นบริการสำหรับกลุ่มโครงการลักชัวรี ได้รับผลตอบรับที่ดีจากดีเวลอปเปอร์นอกเครือด้วยชื่อเสียงการบริหารจัดการที่ทำให้บริษัทอื่นมั่นใจ

    พรีโม IPO
    “จตุพร วิไลแก้ว” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชัน จำกัด

    อีกธุรกิจที่บริษัทมีโครงการนอกเครือเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ คือ UPM ที่บริการออกแบบอาคารและการก่อสร้าง ขณะนี้บริษัทมีสัญญากับ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เพื่อออกแบบศูนย์การค้าในต่างจังหวัด และกำลังเจรจากับ “บิ๊กซี” เช่นกัน ทำให้กลุ่มธุรกิจนี้ทำรายได้จากในเครือ 65% และนอกเครือเพิ่มเป็น 35%

    ด้านธุรกิจลักษณะ B2C ที่กำลังมาแรง ได้แก่ Wyde ซึ่งทำงานออกแบบตกแต่งภายในและย้ายบ้าน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา “บ้านเดี่ยว” เป็นสินค้าขายดี และลูกค้ากลุ่มนี้มีความต้องการนักออกแบบภายในพร้อมกับการย้ายบ้านด้วย จึงทำให้เป็นดาวรุ่งของปีนี้

    จตุพรกล่าวว่า ทุกๆ ปีสัดส่วนรายได้จากนอกเครือจะเพิ่มขึ้นเสมอ ทำให้ใน 3 ปีข้างหน้าเชื่อว่าสัดส่วนรายได้ที่พึ่งพิงงานในเครือออริจิ้นจะลดเหลือ 30-35% และได้งานนอกเครือออริจิ้นเพิ่มเป็น 65-70% พร้อมจะเป็นอีกเครื่องยนต์หนึ่งในการขับเคลื่อนทั้งเครือ ตามที่ออริจิ้นตั้งเป้าจะเพิ่มมาร์เก็ตแคปบริษัท (อ่านต่อ >> “ออริจิ้น” ประกาศแผน “Multiverse 2025” จักรวาลธุรกิจดันมาร์เก็ตแคป “1 แสนล้าน”)

    ]]>
    1386686
    “ออริจิ้น” ประกาศแผน “Multiverse 2025” จักรวาลธุรกิจดันมาร์เก็ตแคป “1 แสนล้าน” https://positioningmag.com/1375941 Tue, 01 Mar 2022 09:05:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375941 ก่อตั้งบริษัทมา 13 ปีแต่การเติบโตทะยานไว “ออริจิ้น” ประกาศแผน “Multiverse 2025” พหุจักรวาลธุรกิจ แตกไลน์หลายประเภทเพื่อสร้างสมดุลพอร์ต ดันบริษัทลูกเข้า IPO เพิ่มอย่างน้อย 4 บริษัท วางเป้ามาร์เก็ตแคปรวมทั้งเครือเพิ่มเป็น “1 แสนล้าน” ภายใน 3 ปี ด้านธุรกิจที่อยู่อาศัยปีนี้จะเปิดตัวใหม่มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท

    “พีระพงษ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการสร้าง “Multiverse 2025” เครือออริจิ้นจะเป็นพหุจักรวาลของบริษัทหลากหลายธุรกิจ แต่ละบริษัทมีเส้นทางเติบโตของตนเอง วางเป้าหมายดันมาร์เก็ตแคปทั้งเครือขึ้นไปแตะ “1 แสนล้าน” ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท

    ออริจิ้น

    ที่ผ่านมาออริจิ้นมีการเปิดบริษัทลูกไปเป็นจำนวนมาก และเมื่อปีก่อน บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เป็นบริษัทลูกแห่งแรกที่เปิด IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสำเร็จ ขณะที่ในไปป์ไลน์ยังมีอีกหลายบริษัทลูกที่กำลังเตรียมตัวเข้าเปิด IPO ดังนี้

    เปิด IPO ปี 2565-66

    • บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชัน จำกัด ภายใต้การนำของซีอีโอ “จตุพร แก้ววิไล” ทำธุรกิจด้านการบริหารนิติบุคคล, บริหารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์, บริหารเชนโรงแรมแบรนด์แฮมป์ตัน, ที่ปรึกษาการตลาดและเอเย่นต์ขายอสังหาริมทรัพย์, บริการช่างและแม่บ้าน ฯลฯ ทำรายได้ปี 2564 ที่ 490 ล้านบาท คาดหวังรายได้อีก 3 ปีขึ้นเป็น 1,100 ล้านบาท
    • บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ภายใต้การนำของซีอีโอ “ปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์” ทำธุรกิจด้านการพัฒนาโรงแรม ออฟฟิศ มิกซ์ยูส และการพัฒนาคอนโดมิเนียมเขต EEC วางแผนอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าโครงการสะสม 49,100 ล้านบาท

    เปิด IPO ปี 2567-68

    • บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ภายใต้การนำของเอ็มดี “ปธาน สมบูรณสิน” ทำธุรกิจด้านคลังสินค้าและโลจิสติกส์ ภายในสิ้นปี 2565 คาดว่าจะมีพื้นที่เช่าทั้งหมด 65 แสนตร.ม. และตั้งเป้าปี 2568 จะมีพื้นที่เช่ารวม 1 ล้านตร.ม.
    • บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับบริการและเทคโนโลยีสุขภาพ เวลเนส
    ประมาณการมูลค่าของสามบริษัทลูกที่จะเปิด IPO ก่อน

    ส่วนบริษัทลูกอื่นๆ พีระพงษ์กล่าวว่าจะดูตามการเติบโตและจังหวะโอกาสในการเข้าเปิด IPO โดยมีบริษัทลูกที่อยู่ใน Multiverse ของออริจิ้น เช่น บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ทำธุรกิจปลูกและสกัด CBD จากกัญชง, บริษัท พรีโม อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด ทำธุรกิจนายหน้าประกันภัย, บริษัทบริหารสินทรัพย์ พรอมิเนนท์ จำกัด ทำธุรกิจบริหารหนี้เสีย, บริษัท ออริจิ้น กันกุล เอ็นเนอร์ยี จำกัด ทำธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในโครงการที่อยู่อาศัยและ EV Charger

    ด้านสัดส่วนรายได้บริษัทเมื่อถึงปี 2568 พีระพงษ์ระบุว่า รายได้จากการขายที่อยู่อาศัยจะยังเป็นส่วนหลัก 70% และรายได้จากบริษัทอื่นๆ จะคิดเป็น 30% (ปัจจุบันรายได้บริษัทอื่นอยู่ที่ 10% เท่านั้น) อย่างไรก็ตาม ภายใน 5-6 ปีข้างหน้า พีระพงษ์หวังว่าสัดส่วนรายได้จากบริษัทลูกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ซึ่งจะทำให้พอร์ตขององค์กรมีสมดุล ทำรายได้จากธุรกิจที่หลากหลายอย่างแท้จริง

     

    ลุย “คอนโด” เต็มสูบ

    ด้านแผนธุรกิจที่อยู่อาศัย ออริจิ้นเตรียมเปิดตัว 31 โครงการ มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นคอนโดฯ 19 โครงการ มูลค่ารวม 28,600 ล้านบาท และแนวราบ 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,400 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 137%

    วางเป้าพรีเซล 35,000 ล้านบาท เติบโต 16% YoY และเป้ารายได้ 17,500 ล้านบาท เติบโต 10% YoY

    ปีนี้ถือว่าออริจิ้นเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวคอนโดฯ มากขึ้นกว่าปีก่อนซึ่งเปิดไป 9 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 10,000 ล้านบาท เหตุที่ออริจิ้นลงทุนเพิ่มสูง พีระพงษ์กล่าวว่า เชื่อว่าปีนี้คอนโดฯ จะกลับมาฟื้นตัว เพียงแต่ไม่ใช่การฟื้นตัวพร้อมกันทั้งตลาด แต่จะเป็นบางกลุ่มที่ขายได้ เช่น คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ ซึ่งตรงใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีลูก และมักจะเลี้ยงสัตว์แทน หรือกลุ่มเวลเนส เรสซิเดนซ์ ซึ่งเหมาะกับคนรักสุขภาพ คอนโดฯ ประเภทเหล่านี้ออริจิ้นมีการพัฒนาโครงการไว้แล้ว

    ออริจิ้น
    รายชื่อโครงการที่เปิดตัวปี 2565 ของออริจิ้น

    นอกจากการเปิดโครงการแล้ว ปีนี้ออริจิ้นจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การทำ Virtual Sales Gallery ที่เชื่อมโยงกับการจัดแสดง NFT รวมถึงจะมีการเปิด ICO กับบางโครงการ และสร้าง Utility Token ของบริษัทมาเสริมระบบนิเวศของธุรกิจโรงแรมด้วย

    • แผนคอนโดฯ “แสนสิริ” ปี 2565 ยังลุยต่อแบรนด์ระดับ “เข้าถึงได้” ราคาเริ่มต่ำกว่า 1 ล้าน

    สำหรับความท้าทายของปี 2565 พีระพงษ์มองไปถึงเหตุการณ์ระดับโลก สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ซึ่งคาดว่าจะมีผลทางเศรษฐกิจโดยอ้อมกับประเทศไทย รวมถึงทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดความไม่มั่นใจต่อภาวะสงครามและชะลอการซื้ออสังหาฯ ได้ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีโอกาสบวกในแง่การท่องเที่ยว เนื่องจากชาวรัสเซียบางส่วนอาจต้องการหลีกหนีความวุ่นวายและมาเที่ยวระยะยาวในประเทศไทย เป็นผลบวกกับโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

    ]]>
    1375941
    ออริจิ้น-JWD ร่วมทุนพา “แอลฟา” ตีตลาดคลังสินค้า-โลจิสติกส์ 1 ล้านตร.ม. ภายในปี 2568 https://positioningmag.com/1349214 Mon, 30 Aug 2021 08:46:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349214 “ออริจิ้น” และ “JWD” เปิดตัวบริษัทร่วมทุน “แอลฟา” มุ่งเป้าตีตลาด “อสังหาฯ เพื่อการอุตสาหกรรม” เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม วางแผนภายในปี 2568 ขยายพื้นที่แตะ 1 ล้านตร.ม. ขึ้นเป็น Top 3 ของวงการ พร้อมต่อยอดฐานลูกค้าในเครือออริจิ้นกว่า 100 โครงการ สร้างระบบ “Self-Storage” ในเมือง ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่หันมาขายออนไลน์สูงขึ้น

    หลังประกาศความร่วมมือกันไปตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ระหว่าง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI และ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ในที่สุดทั้งคู่ได้ฤกษ์เปิดตัวบริษัทร่วมทุนในนาม “บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด” หรือ ALPHA โดยเป็นการร่วมทุนฝั่งละ 50%

    เป้าหมายของแอลฟา ต้องการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property) เป็นหลัก เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม โดยใช้ความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายเป็นฐานการขยายตัว

    (จากซ้าย) “ปธาน สมบูรณสิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชัน จำกัด, “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ “ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)

    ฝั่ง JWD เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดโลจิสติกส์มากว่า 40 ปี มีพื้นที่คลังสินค้าในมือ 1.8 ล้านตร.ม. ชำนาญพิเศษด้านคลังสินค้าเคมีภัณฑ์-วัตถุอันตรายและด้านห้องเย็น รวมถึงมีฐานการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในเวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซียอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ออริจิ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ดินและการก่อสร้าง จึงเลือกจะจับมือกันเป็นบริษัทแอลฟา ขยายธุรกิจตอบรับตลาดอี-คอมเมิร์ซที่กำลังมาแรง

     

    ตีตลาด B2B ควบ B2C

    “ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กางแผนและทิศทางบริษัทแอลฟาว่า จะทำตลาดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

    1. กลุ่มอสังหาฯ อุตสาหกรรม (Industrial Property) – จับตลาดธุรกิจดาวรุ่งและที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น ห้องเย็น, e-Commerce Fulfillment, ศูนย์คัดแยกพัสดุ Last-Mile, สินค้าเคมีภัณฑ์และวัตถุอันตราย, ดาต้า เซ็นเตอร์ และธุรกิจยานยนต์ใหม่ (รถอีวี)
    2. กลุ่มอสังหาฯ ในเมือง (Urbanized Property) – ธุรกิจในระบบโลจิสติกส์ที่เหมาะกับชีวิตคนเมือง เช่น Self-Storage, Micro Fulfillment และ e-Commerce Pick up & Drop off
    3. กลุ่มบริการในนิคมอุตสาหกรรม (Property Services) – ต่อยอดจากการให้บริการด้านคลังสินค้าและนิคม จะมีรายได้การให้บริการสาธารณูปโภค พลังงาน และบำบัดน้ำเสีย

    แอลฟา

    ทั้งนี้ จะเน้นหนักที่กลุ่มอุตสาหกรรม 70-80% เสริมด้วยอสังหาฯ ในเมือง 20-30% ขณะที่รายได้การบริการจะเพิ่มเติมมาในภายหลัง เห็นได้ว่าแอลฟาจะมีความต่างจากบริษัทอสังหาฯ อุตสาหกรรมในตลาดคือมีทั้งขาฝั่ง B2B และฝั่ง B2C

    ชวนินทร์ปักหมุดการเติบโตของบริษัท เป้าปี 2566 จะเริ่มขายอสังหาฯ ในมือเข้ากองรีท และปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่บริการครบ 1 ล้านตร.ม. มูลค่าตลาด 12,000 ล้านบาท พร้อมเข้าเปิด IPO

     

    ลงทุนเองผสมล่าซื้อกิจการ

    จะไปให้ถึงเป้าหมายอย่างไรนั้น “ปธาน สมบูรณสิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชัน จำกัด กล่าวว่า บริษัทแบ่งการเติบโตเป็น 2 ทาง คือ 60% มาจากการลงทุนก่อสร้างเอง และ 40% เข้าซื้อกิจการ โดยคาดว่าจะเพิ่มพื้นที่ได้เฉลี่ยปีละ 2 แสนตร.ม.

    ทำเลที่บริษัทสนใจทั้งก่อสร้างเองและซื้อกิจการ แบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้

    1. แหล่งอุตสาหกรรม ได้แก่ บางนา, แหลมฉบัง-ระยอง (EEC), วังน้อย
    2. หัวเมืองในภูมิภาค ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคใต้, ภาคเหนือ
    3. พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจในเมือง (CBD) เช่น กรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต
    4. ต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม โซนท่าเรือไฮฟงและโฮจิมินห์, อินโดนีเซีย โซนท่าเรือใกล้จาการ์ตาและอุตสาหกรรมเคมีโซนสุราบายา, กัมพูชา โซนนิคมอุตสาหกรรมพนมเปญและโซนการค้าใกล้ชายแดนไทย

    แอลฟา

    ปัจจุบันแอลฟาเริ่มการลงทุนโครงการแรกแล้วที่ “บางนา กม.22” เป็นคลังสินค้าห้องเย็นพื้นที่ 20,000 ตร.ม. ลงระบบออโตเมชันทั้งหมด ใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท โดยมีลูกค้ารองรับแล้วเพื่อก่อสร้างแบบ built-to-suit คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณไตรมาส 2-3/65

    นอกจากนี้ มีที่ดินรองรับพร้อมเริ่มก่อสร้างในปีนี้อีก 2 แห่ง คือ บริเวณ บางพลี-บางนา จะเป็นคลังสินค้าผสมทั้ง built-to-suit และ ready-built พื้นที่ 70,000-80,000 ตร.ม. (แบ่งเฟสพัฒนา) คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 2/65 อีกแห่งหนึ่งอยู่ในโซน ปทุมธานี-วังน้อย ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

     

    ทุนตั้งต้น 2,300 ล้าน ใช้ระบบ “กองรีท” ต่อทุน

    ด้าน “พีระพงศ์ จรูญเอก” ซีอีโอ ORI อธิบายด้านการเงินว่า ขณะนี้บริษัทมีทุนจดทะเบียนแล้ว 235 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มทุนไปถึง 500 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ โดยทั้งสองผู้ร่วมทุนมีแผนเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวม 2,300 ล้านบาทภายใน 3 ปีแรก ก่อนที่จะเริ่มขายสินทรัพย์เข้ากองรีทเป็นครั้งแรกประมาณ 1 แสนตร.ม. ซึ่งจะทำให้แอลฟามีเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุนเพิ่ม ต่อด้วยการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2568 ตามแผน

    สำหรับการรับรู้รายได้เข้าออริจิ้น พีระพงศ์คาดว่าในปี 2568 รายได้จากแอลฟาน่าจะคิดเป็นสัดส่วน 5-15% ของเครือ

    แอลฟา บางนา กม.22
    โครงการแรกของแอลฟา คลังสินค้าห้องเย็นตั้งอยู่บริเวณบางนา กม.22

     

    หวังขึ้น Top 3 วงการ อี-คอมเมิร์ซดันการเติบโต

    พีระพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า จากเป้าหมายพื้นที่ 1 ล้านตร.ม. จะทำให้บริษัทติด 1 ใน 3 บริษัทด้านอสังหาฯ อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยตลาดนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น

    ชวนินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเกิด “COVID-Drive” ในปีที่ผ่านมา การเติบโตมหาศาลทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าได้ประโยชน์สูง นอกจากในเขตอุตสาหกรรมอย่าง ถ.บางนาจนถึง EEC อนาคตการลงทุนที่น่าสนใจต่อจากนี้คือจังหวัดหัวเมืองในภูมิภาค ซึ่งหลายจังหวัดกำลังแข่งขันเพื่อเป็นฮับกระจายสินค้า และแอลฟาจะเร่งเข้าไปจับโอกาสส่วนนี้

    • 10 เรื่องน่ารู้ “ไปรษณีย์ไทย-JWD-Flash” ร่วมทุนปั้น FUZE POST บุกตลาดส่งควบคุมอุณหภูมิ
    • FoodStory รับเงินลงทุน Series B รุกคืบวงการ “ร้านอาหาร” จากระบบ POS สู่การจัดส่งวัตถุดิบ

    มิติใหม่ “รายย่อย” หาที่เก็บสินค้าในเมือง

    ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ในเมือง แม้มูลค่าไม่สูงเท่าอุตสาหกรรม แต่เป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยพีระพงศ์เล่าจากประสบการณ์กับลูกค้าออริจิ้นที่มีกว่า 100 โครงการ พบว่าคนรุ่นใหม่ในเมืองค้าออนไลน์มากขึ้น ตั้งแต่ผู้ค้าเป็นอาชีพเสริมจนถึงระดับ SMEs ทำให้เห็นโอกาสที่จะทำระบบห้องเก็บของหรือ “Self-Storage” และ Micro fulfillment จนถึงระบบตู้รับ-ส่งพัสดุในโครงการ ไว้รองรับคนกลุ่มนี้

    Self Storage

    นอกจากจะจับตลาดที่กำลังมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ยังเป็นการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าด้วย หากวันหนึ่งลูกค้าเติบโตจากระดับ SMEs ไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แอลฟาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีในการดึงลูกค้ามาใช้ระบบคลังสินค้าต่อได้

    ]]>
    1349214
    ใครๆ ก็ไปเฮลท์แคร์! “ออริจิ้น” เปิดรพ.กายภาพบำบัด Kin Origin Healthcare Center https://positioningmag.com/1344143 Tue, 27 Jul 2021 07:12:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344143 “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” รุกธุรกิจบริการสุขภาพเต็มสูบตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL ประกาศจับมือ KIN Rehabilitation & Homecare ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และการฟื้นฟูครบวงจร และ 2 ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์การฟื้นฟู ผุดโรงพยาบาลกายภาพบำบัดแห่งแรก ในเครือออริจิ้น “Kin Origin Healthcare Center” ในโครงการมิกซ์ยูสใหม่ Origin Wellness Complex Sukhumvit 107 เจาะกลุ่ม Silver Age รองรับไทยก้าวสู่ยุค Aging Society ในราคาเข้าถึงง่าย พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2565

    ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging Society อย่างเต็มรูปแบบ เป็นประเทศแรกๆ ของภูมิภาค ด้วยสัดส่วนประชากรผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงถึงเกือบ 15% แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีพื้นที่ที่เป็นคอมมูนิตี้ และมีอีโคซิสเท็มในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้อย่างเพียงพอ

    ออริจิ้นจึงมองเห็นทั้งโอกาสและความจำเป็นที่เราต้องเข้ามาพัฒนาทั้งที่อยู่อาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนบริการสุขภาพ ที่จะมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องการ รองรับยุค Aging Society

    พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า

    “บริษัทเตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานหลัก ภายใต้วิสัยทัศน์ ORIGIN NEXT LEVEL ที่ประกาศไปเมื่อช่วงต้นปี 2564 โดยเริ่มต้นจากการจัดตั้งบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ขึ้นมาเป็นบริษัทหลักในการดำเนินกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ และเริ่มต้นความร่วมมือธุรกิจแรกด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ KIN Rehabilitation & Homecare ผู้พัฒนาธุรกิจบริการด้านสุขภาพเพื่อการดูแลด้านเวชศาสตร์การฟื้นฟูเฉพาะทาง และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การฟื้นฟูอีก 2 ท่าน ในสัดส่วน 40 ต่อ 40 ต่อ 20 ภายใต้ชื่อ บริษัท คิน ออริจิ้น เฮลแคร์ จำกัด เพื่อร่วมกันพัฒนาและดำเนินโครงการ คิน ออริจิ้น เฮลท์แคร์ เซ็นเตอร์ (Kin Origin Healthcare Center) โรงพยาบาลกายภาพบำบัดและสหคลินิกเวชกรรม ที่จะให้บริการดูแลด้านสุขภาพเวชศาสตร์การฟื้นฟูและกายภาพบำบัดแห่งแรกในเครือออริจิ้น”

    Kin Origin Healthcare Center เป็นอาคารสูง 8 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมอยู่ที่ประมาณ 2,800 ตร.ม.จำนวน 58 เตียง ประกอบด้วยโรงพยาบาลกายภาพบำบัดและสหคลินิกเวชกรรม ที่ให้บริการดูแลด้านสุขภาพเวชศาสตร์การฟื้นฟูและกายภาพบำบัด พร้อมเป็นศูนย์ให้บริการสุขภาพแบบครบวงจร รองรับความต้องการด้าน Medical service ของลูกบ้านออริจิ้น อาทิ การบำบัดโรคยอดฮิตของคนวัยทำงานอย่างโรคออฟฟิศซินโดรมเรื้อรัง จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/2565

    ตัวโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการออริจิ้น เวลเนส คอมเพล็กซ์ สุขุมวิท 107 (Origin Wellness Complex Sukhumvit 107) โครงการมิกซ์ยูส บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ผสมผสานระหว่าง KIN Origin Healthcare Center และโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับพักอาศัยแบรนด์ใหม่ ออริจินัล (Original) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุ (Silver Age) รวมถึงการบริการจาก KIN โดยพื้นที่ส่วนที่พักอาศัยนั้น คาดว่าจะเปิดตัวโครงการพร้อมทั้งเปิดเผยรายละเอียดได้ในช่วงไตรมาส 4/2564 นี้

    ด้าน ธงชัย โชคถนอมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KIN Rehabilitation & Homecare กล่าวว่า ความร่วมมือกับเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้ประกอบการจะยก Healthcare Center มาไว้ในโครงการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน อีกทั้งโครงการคอนโดมิเนียมที่จะถูกพัฒนาในอนาคต ยังออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มผู้สูงอายุอีกด้วย

    “ผู้ที่เข้ามารับบริการ Kin Origin Healthcare Center จะมี พญ.หทัยรัตน์ ผดุงกิจ หรือ คุณหมอปุ้ม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอายุรกรรมระบบประสาทวิทยา เวชศาสตร์ผิวพรรณ และความงาม ที่จะคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือด้านการแพทย์ต่างๆ ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย รวมถึงการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke หลังการรักษา การดูแลผู้สูงอายุ ทั้งระยะยาว และชั่วคราว Nursing Home มาให้บริการใน Kin Origin Healthcare Center ด้วย” นายธงชัย กล่าว

    สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 86 โครงการ (สถานะ ณ สิ้นไตรมาส 2’2564) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 134,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงบริการใหม่ๆ แบบ Next Level ที่จะมาช่วยเติมเต็มให้โครงการที่อยู่อาศัยไม่ใช่โครงการแบบเดิมๆ เช่น บริการทางการแพทย์รองรับในโครงการมิกซ์ยูส และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร

    ]]>
    1344143