แบรนด์เนม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 24 Jul 2023 10:20:16 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดจักรวาล “Marimekko” ผ่านประสบการณ์ใน “คาเฟ่” กลยุทธ์จาก “ธนจิรา” ที่ช่วยพาแบรนด์สู่ SEA https://positioningmag.com/1438786 Mon, 24 Jul 2023 09:37:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438786 ปี 2558 “ธนจิรา กรุ๊ป” ใช้หมัดเด็ดแจ้งเกิดแบรนด์ “Marimekko” ได้จากกลยุทธ์​ “ถุงผ้า” กระทั่งในปี 2565 ธนจิรายกระดับการส่งเสริมแบรนด์ไปอีกขั้น โดยผลักดันให้เกิด “Marimekko Kafé” แห่งแรกในโลกขึ้นที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ส่งแบรนด์สุดน่ารักเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนไทย และกำลังจะยกโมเดลนี้ไปใช้ในอีกประเทศหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ย้อนไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน ถ้าเราไปเดินเล่นในสยามสแควร์จะได้เห็นวัยรุ่นตั้งแต่วัยมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จนไปถึงคนทำงานกลุ่ม first jobber หอบหิ้ว “ถุงผ้าลายดอก” สีสันสดใสเดินกันเต็มสยาม ถุงผ้าสุดฮิตนั้นมาจากร้าน “Marimekko” (มารีเมกโกะ) แบรนด์ใหม่ในไทยแต่เป็นแบรนด์เก่าแก่ของฟินแลนด์ที่ “ธนจิรา กรุ๊ป” เป็นผู้ได้รับสิทธินำเข้า

“ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ธนจิรา กรุ๊ป เล่าย้อนความเป็นมาว่า การเลือก “ถุงผ้า” มาเป็น ‘must-have item’ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเป็นกลยุทธ์ของบริษัทแม่ แต่เป็นการวางแผนทางการตลาดของธนจิราเอง

“เราพยายามตีโจทย์ความเป็น Marimekko ที่เด่นด้านลายพิมพ์สนุกสนานให้คนไทยได้เข้าใจก่อน โดยเราเริ่มจากสินค้าราคาไม่แพงมากเพื่อให้คนไทยเห็นแบรนด์ จึงเลือกเป็นถุงผ้าพิมพ์ลาย” ธนพงษ์กล่าว

Marimekko
ถุงผ้าของ Marimekko ไอเทมสร้างกระแสในช่วงแบรนด์เข้าไทยใหม่ๆ

ที่จริงต้นตำรับ Marimekko ในฟินแลนด์เป็นแบรนด์ที่เด่นเรื่องของใช้ในบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่นถือเป็นเรื่องที่ตามมา แต่ในไทยธนจิรามองว่าคนไทย ณ ช่วงเวลานั้นสนใจด้านแฟชั่นมากกว่า จึงเลือกหมวดเสื้อผ้ามาเป็นสินค้าเรือธงในการทำตลาด

ถุงผ้าลายดอกอุนิกโกะของ Marimekko กลายเป็นสินค้ายอดฮิตได้จริงๆ จากความโดดเด่นของลายพิมพ์ที่เห็นที่ไหนก็จำได้ และธนจิรายังกระตุ้นการทำการตลาดแบบบอกต่อด้วยพลังแห่ง User-Generated Content (UGC) ใครที่ได้เป็นเจ้าของต่างก็ถ่ายรูปเจ้าถุงผ้าสุดน่ารักนี้ลงโซเชียลมีเดีย จนทำให้เกิดกระแสในหมู่วัยรุ่น และกลายเป็นประตูเบิกทางไปสู่ของชิ้นอื่นๆ ในร้าน

 

“คาเฟ่” เปิดใจให้ Marimekko ไปอยู่ในบ้าน

หลังจากปักหมุดในไทยได้สำเร็จ ขั้นต่อมาที่ธนจิรา กรุ๊ปผลักดันคือ “การเชื่อมโยง Marimekko บนโต๊ะอาหาร” เพราะอย่างที่บอกไปว่า แบรนด์นี้ไม่ได้มีแค่เสื้อผ้า-กระเป๋าซึ่งฮิตในไทย แต่มีของใช้ในบ้านอีกหลายอย่าง เช่น ถ้วย ชาม แก้วน้ำ หมอนอิง

เมื่อกลางปี 2565 ธนจิรา กรุ๊ป จึงเปิด “Marimekko Kafé” ขึ้นที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เป็นลักษณะ pop-up café ที่มีที่นั่งพร้อมให้คนมาสัมผัสประสบการณ์ข้าวของเครื่องใช้ของแบรนด์ และตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบสแกนดิเนเวียเพื่อตอกย้ำความเป็นฟินแลนด์ (ไม่ใช่ญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคมักเข้าใจผิด!)

Marimekko Kafé สาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี

“Marimekko Kafé” แห่งนี้ถือเป็นแห่งแรกในโลก โดยทางธนจิราเป็นผู้นำเสนอไอเดียกับบริษัทแม่ด้วยตนเอง เพราะต้องการจะตอบโจทย์ของประเทศไทยได้ดีขึ้น

“เราจะเป็นธุรกิจที่ทำแค่ซื้อมาขายไปไม่ได้ เราต้องเพิ่มความเข้าใจในแบรนด์ แบรนด์ถึงจะมีคุณค่า ต้องทำให้ลูกค้าพอใจมากๆ ที่จะซื้อ พอใจที่จะเก็บรักษาแบรนด์นี้ไว้ในบ้านของเขา” ธนพงษ์กล่าว “เราจึงเลือกเปิดเป็นคาเฟ่ เพราะอาหารเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์เลี้ยงฉลองวันเกิดคนในครอบครัวไปจนถึงอีเวนต์ธุรกิจ ร้านอาหารจะเป็นมิติที่ทำให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น”

เราจะเป็นธุรกิจที่ทำแค่ซื้อมาขายไปไม่ได้ เราต้องเพิ่มความเข้าใจในแบรนด์ แบรนด์ถึงจะมีคุณค่า ต้องทำให้ลูกค้าพอใจมากๆ ที่จะซื้อ พอใจที่จะเก็บรักษาแบรนด์นี้ไว้ในบ้านของเขา

กลยุทธ์ของธนจิราที่ใช้กับ Marimekko เป็นวิธีที่แบรนด์เนมระดับโลกหลายแบรนด์เคยใช้มาแล้ว เช่น Café Dior ในกรุงโซล หรือ Le Café V ของ Louis Vuitton ในโอซาก้า แบรนด์เหล่านี้ต่างใช้ร้านอาหารเป็นพื้นที่นำเสนอวิถีและไอเดียคอนเซ็ปต์ของแบรนด์นั้นๆ และเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้คนได้เข้ามารู้จักแบรนด์

ธนพงษ์กล่าวต่อว่า 1 ปีที่เปิด “Marimekko Kafé” สาขาแรก ผลปรากฏว่าสินค้ากลุ่ม Home Collection เติบโต ‘อย่างมีนัยสำคัญ’ ปัจจุบันยอดขายของแบรนด์ในไทยมีสัดส่วนมาจากเสื้อผ้า Ready-to-wear มากที่สุด 49% รองมาเป็นกระเป๋าและเครื่องประดับ 30% ตามด้วยเครื่องใช้ในบ้านหรือ Home Collection ที่มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 20% แล้ว

 

ขยายเป็น “ร้านอาหาร” ที่เอ็มโพเรียม

จากความสำเร็จของสาขาแรก ปี 2566 ธนพงษ์จึงประกาศการเปิดสาขาที่สองที่ “เอ็มโพเรียม” โดยครั้งนี้ยกระดับเป็นร้านอาหาร สามารถมาทานเป็นมื้ออาหารหลักได้ จากเดิมเน้นเป็นเครื่องดื่มและขนม รวมถึงเป็นการผนวกร้านอาหารเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร้านขายสินค้าเลย จากเดิมเป็น pop-up ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน

Marimekko Kafe สาขาดิ เอ็มโพเรียม

ธนพงษ์กล่าวว่า โมเดลการประกบร้านอาหารเข้ากับร้านขายสินค้า เป็นไปได้ที่จะเปิดในสาขาอื่นๆ อีกแต่จะต้องได้พื้นที่อย่างน้อย 200 ตารางเมตรจากทางศูนย์การค้า ดังนั้น จะพิจารณาตามความเหมาะสม

ปัจจุบัน Marimekko มีทั้งหมด 13 สาขาในไทย มีสาขาในต่างจังหวัดสาขาเดียวที่ เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้ Marimekko จะเปิดสาขาที่ 14 ที่ เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ แต่จะปรับเป็นสโตร์ขนาดเล็ก 60 ตารางเมตร ซึ่งลงจำหน่ายสินค้ากลุ่มยอดฮิตเป็นหลัก (ไม่มีคาเฟ่)

 

ยกโมเดล “ไลฟ์สไตล์” เข้าสู่ SEA

จากกลยุทธ์ทั้งหมดที่ธนจิรากรุยทางทำให้ขณะนี้ Marimekko ประเทศไทย สามารถทำยอดขายและมีสาขามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่น เอาชนะประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอื่นๆ ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้

Marimekko Kafe
อาหารสไตล์สแกนดิเนเวียฟิวชันกับอาหารไทย

เหตุนี้ธนจิรา กรุ๊ปจึงได้รับความไว้วางใจรับสิทธิจัดจำหน่ายแบรนด์ Marimekko ในอีกประเทศหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะเป็น “สิงคโปร์” อีกหนึ่งประเทศกำลังซื้อสูงในแถบนี้ และเตรียมจะประกาศอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4

ธนพงษ์กล่าวว่า รูปแบบร้านที่เป็นไลฟ์สไตล์ผสมผสานระหว่างร้านขายสินค้าที่เน้นแฟชั่นนำเข้ากับร้านอาหาร จะเป็นฟอร์แมตร้านที่นำไปใช้ขยายตัวใน SEA เพราะมองว่าน่าจะเข้ากับไลฟ์สไตล์คนภูมิภาคนี้ซึ่งมีความชื่นชอบและการใช้ชีวิตคล้ายกัน

“ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ธนจิรา กรุ๊ป และ “แพรวไพลิน เอมอักษร” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ บริษัท ธนจิรา โฮม

กลยุทธ์ร้านอาหารนำทางเข้าหาแบรนด์ไม่ได้ใช้กับ Marimekko แบรนด์เดียวในเครือของธนจิรา ปีนี้ธนจิรา กรุ๊ปเพิ่งจะเปิด “Cath Kidston Tea Room” ขึ้นที่เซ็นทรัลเวิลด์ด้วย เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ธนจิราได้รับสิทธิจัดจำหน่าย และต้องการจะสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคได้คุ้นเคยกันมากขึ้น

ปี 2565 ธนจิรา กรุ๊ป ทำรายได้ไปกว่า 1,200 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ยังไม่สามารถเปิดเผยหรือคาดการณ์เป้ารายได้ได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยธนจิรา กรุ๊ปเป็นผู้นำเข้าแบรนด์ดัง ได้แก่ Pandora (แพนดอร่า), Marimekko (มารีเมกโกะ), Cath Kidston (แคท คิดสตัน) และเป็นเจ้าของแบรนด์ผ่านการควบรวมกิจการ คือ HARRN (หาญ) และ VUUDH (วุฒิ)

]]>
1438786
“ฮ่องกง” เสียตำแหน่งแหล่งช้อป “แบรนด์เนม” แห่งเอเชีย ร้านค้าเลือกขยายในจีนแผ่นดินใหญ่ https://positioningmag.com/1422142 Tue, 07 Mar 2023 10:10:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422142 “ฮ่องกง” หนึ่งในแหล่งช้อปปิ้ง “แบรนด์เนม” สุดหรูระดับโลก ไม่น่าจะหวนคืนตำแหน่งนั้นได้อีกแล้ว หลังแบรนด์ลักชัวรีหลายรายเลือกการขยายตัวในจีนแผ่นดินใหญ่แทน ทำให้หน้าร้านบนถนนช้อปปิ้งดังของฮ่องกงว่างลงกว่าครึ่ง!

ฮ่องกงเคยเป็นแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์เนมยอดฮิตของเอเชีย สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึงปีละ 56 ล้านคนในช่วงก่อนเกิดโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันราคาค่าเช่าในย่านจิมซาจุ่ยกลับดิ่งลงถึง 41% เทียบกับก่อนเกิดโรคระบาด ตามข้อมูลของ Cushman & Wakefield บริษัทอสังหาฯ จนทำให้เมื่อปี 2022 ย่านนี้เสียบัลลังแชมป์ย่านรีเทลที่แพงที่สุดในโลกให้กับถนน Fifth Avenue ในเมืองนิวยอร์ก

Savills บริษัทที่ปรึกษาอสังหาฯ อีกรายหนึ่งรายงานว่า Canton Road ถนนช้อปปิ้งชื่อดังในย่านจิมซาจุ่ย มีอัตราพื้นที่ว่างสูงถึง 53%

“ค้าปลีกลักชัวรีส่วนใหญ่ไม่คิดว่าฮ่องกงจะกลับไปสู่จุดสูงสุดเมื่อปี 2014 อีกแล้ว” Simon Smith ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการวิจัยและที่ปรึกษาของ Savills Hong Kong กล่าว

“ถ้าคุณไปเดินย่านช้อปปิ้งวันนี้ในฮ่องกง คุณจะไม่เห็นคนมารอต่อคิวเข้าร้านแบรนด์เนมกันอีกแล้ว หรือถ้ามีก็น้อยมากๆ” Smith กล่าว

Photo : Shutterstock

หลายแบรนด์เลือกปิดหน้าร้านในจิมซาจุ่ยไปแล้ว เช่น Tiffany, Valentino, Burberry ร้านเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยแบรนด์อีกแบบหนึ่ง เช่น Adidas แบรนด์กีฬา

การปิดหน้าร้านแบรนด์เนมเกิดขึ้นหลังเหตุประท้วงเพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยและการปราบปรามของภาครัฐ หลังจากนั้นยอดขายแบรนด์เนมเริ่มตกต่ำลง เพราะจีนสั่งห้ามการเดินทางของคนจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังฮ่องกง ซึ่งปกติกำลังซื้อจากจีนคือแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดลักชัวรี และสถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อเผชิญกับโควิด-19 เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ ก็ไม่สามารถเข้ามาช้อปปิ้งได้

 

ทางเลือกใหม่ของแบรนด์เนม: จีนแผ่นดินใหญ่

ลักชัวรีแบรนด์มากมายขยายตัวเข้าไปเปิดร้านในจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงที่เกิดโควิด-19 โดยเฉพาะเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น “เกาะไห่หนาน” หรือเกาะข้างเคียงอย่าง “มาเก๊า” ก็กลายเป็นปลายทางใหม่ของแบรนด์เนม ทั้งสองหมุดหมายนี้ยังได้ประโยชน์จากนโยบายของจีนที่พัฒนาให้เป็นเกาะ “ปลอดภาษี”

“ฮ่องกงไม่น่าจะกลับไปสู่จุดที่เคยเป็นในทศวรรษที่แล้วได้อีก เพราะขณะนั้นฮ่องกงแทบจะเป็นจุดหมายเดียวที่คนจีนเลือกไปเพื่อช้อปแบบดิวตี้ฟรี” Nicolas Hieronimus ซีอีโอ L’Oreal กล่าวกับ Reuters “วันนี้พวกเขามีทางเลือกอีกมากมาย”

ศูนย์การค้าดิวตี้ฟรีบนเกาะไห่หนาน (Photo : Shutterstock)

เมื่อโควิด-19 ปิดประเทศจีน และมีการพัฒนาดิวตี้ฟรีขึ้นมาทดแทน ทำให้ร้านค้าดิวตี้ฟรีในเกาะไห่หนานทำยอดขายพุ่งถึง 84% ในปี 2021 จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Bain & Co ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยยอดขายลักชัวรีทั้งประเทศจีนซึ่งเติบโต 36%

ปี 2021 ประเทศจีนจึงมียอดขายสินค้าลักชัวรีในประเทศแตะ 4.71 แสนล้านหยวน (ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปี 2019 เทียบแล้วยังมากกว่ายอดขายรีเทลในฮ่องกงที่เคยขึ้นไปสูงสุดเมื่อปี 2013 ด้วยมูลค่า 4.94 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 2.17 ล้านล้านบาท)

เมื่อเข้าไปขายในจีนก็ขายดี ทำให้แบรนด์ลักชัวรีจึงหันมาเลือกเปิดหน้าร้านในจีนแผ่นดินใหญ่แทน เช่น Hermes ที่เปิดไปแล้ว 27 สาขาในจีน ปีนี้เพิ่งจะเปิดหน้าร้านใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมที่เมืองนานจิง เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่ Saint Laurent แบรนด์ในเครือ Kering เพิ่งจะเปิดแฟลกชิปสโตร์สองแห่งแรกที่เซี่ยงไฮ้และปักกิ่งเมื่อปี 2019 นี้เอง

อย่างไรก็ตาม มุมมองอีกทิศทางหนึ่งก็เห็นว่า ฮ่องกงอาจจะยังมีความหวังในระยะยาวได้เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกกลับมาปกติ และการท่องเที่ยวกลับมา

อีกทั้งเสน่ห์ของร้านแบรนด์เนมในฮ่องกงยังคงเป็นหน้าร้านแบบแยกตึกเดี่ยวของแบรนด์นั้นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกพิเศษที่หาไม่ได้ในศูนย์การค้าของไห่หนาน จุดนี้อาจจะเป็นจุดที่เอาชนะใจผู้ซื้อได้โดยเฉพาะผู้ซื้อจากจีนแผ่นดินใหญ่เอง

Source

]]>
1422142
นักวิเคราะห์มั่นใจ ‘สินค้าลักชัวรี่’ จะยิ่งเติบโตหลัง ‘จีน’ เปิดประเทศ https://positioningmag.com/1416732 Thu, 26 Jan 2023 04:22:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416732 ตลาดสินค้าลักชัวรี่ ของยุโรปกำลังยิ้มต้อนรับ ‘นักท่องเที่ยวจีน’ หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกข้อจำกัดมาตรการควบคุม COVID-19 ซึ่งการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้น จะช่วยให้ตลาดลักชัวรี่เติบโตได้มากขึ้น

Joelle de Montgolfier หัวหน้าแผนกสินค้าหรูหราของบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการ Bain and Company เปิดเผยว่า ก่อนเกิดโรคระบาด นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวยุโรปเนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดแบรนด์สินค้าลักชัวรี่ โดย ชาวจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของการยอดขายสินค้าลักชัวรี่ในโลก และ ยอดขาย 2 ใน 3 เกิดขึ้นนอกประเทศจีน

โดยการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ธนาคาร RBC ปรับคาดการณ์การเติบโตของตลาดลักชัวรี่โลกในปี 2023 ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 11%

“การเปิดประเทศอีกครั้งของจีนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สำคัญสำหรับตลาดสินค้าลักชัวรี่ในปี 2023″ ธนาคาร RBC กล่าว

อย่างไรก็ตาม Arnaud Cadart ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของผู้จัดการสินทรัพย์ Flornoy คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาจำนวนมาก แต่จะมีแนวโน้มมากขึ้นในไตรมาสที่ 2 เพราะปัจจุบันโควิดยังคงแพร่ระบาดอย่างมากในจีน และยังส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก

ย้อนไปปี 2020 ตลาดลักชัวรี่นั้นไม่เติบโต เนื่องจากช็อกจากการระบาดของ COVID-19 แต่ผ่านไปเพียงปีเดียว ตลาดก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้มากกว่าก่อนที่เกิดการระบาด โดยการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจาก นักท่องเที่ยวสหรัฐฯ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็ง นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจาก นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนจะมีความสำคัญอย่างมากต่อตลาดลักชัวรี่ หากกระแสนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ชะลอตัวลง

Source

]]>
1416732
‘เกาหลีใต้’ ขึ้นแท่นประเทศที่ใช้เงินกับ ‘แบรนด์เนม’ มากที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1415463 Fri, 13 Jan 2023 07:52:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415463 ถ้าใครเป็นแฟนซีรีส์เกาหลี น่าจะเห็นเสื้อผ้าหน้าผมเครื่องแต่งกายของตัวละครโดยเฉพาะพระนางที่เป๊ะปัง แถมยังใช้แบรนด์เนมทั้งตัว ซึ่งภาพลักษณ์ในซีรีส์นั้นก็ไม่ได้เกินจริงเท่าไหร่นัก เพราะจากผลสำรวจพบว่าชาวเกาหลีนั้นใช้เงินกับสินค้าหรู ๆ มากที่สุดในโลก

จากการประเมินของ มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า ชาวเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดในโลก โดยในปี 2022 ที่ผ่านมาการใช้จ่ายในสินค้าหรูเติบโตขึ้นถึง 24% เป็น 1.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.6 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 325 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน (ราว 10,000 บาท) นั่นมากกว่าค่าใช้จ่าย 55 ดอลลาร์สหรัฐ และ 280 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ของชาวจีนและชาวอเมริกันตามลำดับ

การเติบโตของแบรนด์หรูในเกาหลีใต้นั้น เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ในช่วงไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley อธิบายว่า ความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยของผู้ซื้อชาวเกาหลีใต้นั้นได้รับแรงหนุนจากทั้ง กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้ต่อครัวเรือนของคนเกาหลีเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2021 และ 76% ของรายได้ต่อครัวเรือนมาจากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี 2020

อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเกาหลีใช้เงินซื้อแบรนด์เนมก็คือ การแสดงถึงสถานะทางสังคม โดยในเกาหลีใต้นั้น การแสดงความมั่งคั่งถือเป็นที่ยอมรับของสังคม โดยจากการสำรวจของ McKinsey พบว่ามีเพียง 22% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวเกาหลีเท่านั้นที่คิดว่า การอวดรวยโดยใช้แบรนด์เนมนั้นนิสัยที่ไม่ดี เทียบกับ 45% ของญี่ปุ่นและ 38% ของจีน

“คนดังในเกาหลีเกือบทั้งหมดต่างก็เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์หรู เพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภค เช่น Fendi ที่ใช้ Lee Min-Ho, Chanel ที่ใช้ G-Dragon และ Dior ที่มี Rose แห่งวง Blackpink เป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งก็ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า”

สำหรับภาพรวมของสินค้าลักชัวรี่ทั่วโลกในปี 2023 นี้ McKinsey คาดการณ์ว่า จะเติบโตประมาณ 5-10% โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการจากสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าปัจจุบัน ผู้บริโภคจีนจะใช้จ่ายกับสินค้าหรูน้อยกว่าเกาหลีใต้ถึง 6 เท่า แต่ตลาดเกาหลีใต้กับจีนนั้นมีความใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะการใช้สินค้าฟุ่มเฟือยเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะ

“เราคาดว่าการเติบโตจะกลับมาหลังจากจีนฟื้นตัวจากโควิดในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะได้เห็นภายในไตรมาสแรก”

Source

]]>
1415463
5 ร้านอาหาร-คาเฟ่ “แบรนด์เนม” ในเอเชีย สายกิน+หรูไม่ควรพลาด! https://positioningmag.com/1414296 Thu, 29 Dec 2022 16:39:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414296 “แฟชั่นไม่ใช่สิ่งที่มีแค่ในเสื้อผ้าเท่านั้น” โคโค่ ชาแนล ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Chanel เคยกล่าวไว้ “แฟชั่นนั้นอยู่ในท้องฟ้า ในท้องถนน แฟชั่นคือเรื่องของไอเดีย วีถีการใช้ชีวิต และอะไรที่กำลังมาแรง”

เมื่อแฟชั่นไม่ใช่แค่เสื้อผ้า ทำให้แบรนด์ลักชัวรีหลายรายไม่ได้มีแค่ไลน์เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเครื่องสำอาง แต่ยังขยายไปเปิด “ร้านอาหาร” ด้วยเช่นกัน เพื่อใช้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสะท้อนนิยามหรือวิถีของแบรนด์

Positioning รวบรวม 5 ร้านอาหาร “แบรนด์เนม” ที่น่าสนใจ และเปิดอยู่ในภูมิภาคเอเชีย เพื่อเสนอเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางระหว่างการท่องเที่ยวในปีหน้า

 

1.BULGARI’s Ristorante Luca Fantin ,โตเกียว, ญี่ปุ่น

ร้านอาหาร แบรนด์เนม
BULGARI’s Ristorante Luca Fantin

เริ่มกันที่ประเทศยอดนิยมของคนไทย “ญี่ปุ่น” มีร้านอาหารแบรนด์ BULGARI เครื่องเพชรชื่อดังจากอิตาลีถึง 2 ร้าน การตกแต่งภายในร้านออกแบบโดย Antonio Citterio สถาปนิกชาวอิตาเลียน และเชฟประจำร้าน Luca Fantin คือเชฟมิชลินสตาร์ 1 ดาว 11 ปีซ้อน

อาหารที่เสิร์ฟจะเป็นอาหารสไตล์อิตาเลียน แต่เน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของญี่ปุ่น เมนูเด็ดแนะนำโดยมิชลินไกด์คือ “ตัลโยลีนีที่ทำจากอูนิกับน้ำแครอต”

ร้านในโตเกียวตั้งอยู่ที่ กินซ่า ทาวเวอร์ นอกจากร้านอาหารแล้วจะมี BULGARI Ginza Bar และ Il Cioccolato ร้านช็อกโกแลตแฮนเมด อยู่ในตึกเดียวกันด้วย

 

2.Le Café V and Sugalabo V, โอซาก้า, ญี่ปุ่น

Le Café V and Sugalabo V

ร้านอาหารและคาเฟ่ของแบรนด์ Louis Vuitton ตั้งอยู่ในชั้น 4 และรูฟท็อปของอาคารแฟลกชิปสโตร์ของแบรนด์ที่โอซาก้า เชฟผู้รับผิดชอบคือ โยสุเกะ ซูงะ อดีตลูกศิษย์ของ Joel Robuchon เชฟมิชลินสตาร์ 32 สมัย

ภายในร้านมีทั้งโซนคาเฟ่ และโซนร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่เปิดเฉพาะมื้อเย็น แนะนำควรจองก่อนเข้าไปทานอาหาร เนื่องจากที่นั่งมีจำกัด

 

3.Café Dior by Pierre Herme, โซล, เกาหลีใต้

คาเฟ่บนตึก Dior สีขาวสุดโดดเด่นที่ย่านกังนัม กรุงโซล ให้บริการโดย Pierre Herme เชฟขนมชาวฝรั่งเศสชื่อดัง ตกแต่งในธีมที่สื่อถึงแบรนด์ Dior ทั้งร้าน รวมถึงในขนม-เครื่องดื่มบางชิ้นด้วย เช่น ลาเต้อาร์ต ช็อกโกแลต แน่นอนว่าร้านนี้ต้องเสิร์ฟมาการอง ขนมขึ้นชื่อของ Pierre Herme และอีกเมนูไม่ควรพลาดคือครัวซองต์

 

4.Hermes Café Madang, โซล, เกาหลีใต้

Cafe Madang

อีกหนึ่งคาเฟ่แบรนด์เนมในย่านกังนัม กรุงโซล ตั้งอยู่ชั้นล่างในตึก Hermes แฟลกชิปสโตร์ ภายในคาเฟ่จะใช้เครื่องจานชามจาก Hermes ทุกชิ้น ขนมในร้านมาจากฝีมือทีมงานเชฟชาวเกาหลี มีซิกเนเจอร์เมนูคือช็อกโกแลตรูปร่างโลโก้ตัว H ของแบรนด์

 

5.Vivienne Westwood Café, ฮ่องกง

คาเฟ่ในธีมของ Vivienne Westwood แบบจัดเต็ม! การตกแต่งแบบผสมผสานสไตล์วินเทจเข้ากับโลกโมเดิร์น และผสมทั้งแฟชั่น ดีไซน์ และอาหารเข้าด้วยกัน ที่นี่เสิร์ฟทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน โดยเน้นอาหารอังกฤษต้นกำเนิดของแบรนด์นี้ คาเฟ่ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ย ฮ่องกง

]]>
1414296
สินค้า ‘ลักชัวรี’ เติบโตเป็นประวัติการณ์ ‘Gen Z’ ฐานลูกค้าใหม่ช่วยดันตลาด https://positioningmag.com/1408708 Thu, 17 Nov 2022 05:03:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408708 แม้จะมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจท่วโลก แต่อุตสาหกรรมสินค้าหรูหราทั่วโลกยังคงเติบโตและคาดว่าจะขยายตัวต่อไปในปี 2566 และยาวไปจนถึงปี 2573 ตามผลการศึกษาล่าสุดของ Bain & Company Luxury ที่ความร่วมมือกับ Fondazione Altagamma

ยอดขาย สินค้าลักชัวรี ทั่วโลกเติบโตเร็วกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย โดยได้แรงหนุนจากความต้องการของลูกค้าที่อั้นตั้งแต่ช่วงการระบาดของ COVID-19 โดยคาดว่ามูลค่าของตลาดลักชัวรีปีนี้จะเติบโต 22% ในปีนี้เป็น 3.53 แสนล้านยูโร (1.3 ล้านล้านบาท) จากปี 2564 ที่มีมูลค่า 2.90 แสนล้านยูโร (1 ล้านล้านบาท) และคิดว่าจะเติบโตเป็น 5.5-5.7 แสนล้านยูโร ภายใน 5 ปีข้างหน้า

“การบริโภคไม่ใช่แค่กลับมาอยู่ในระดับก่อนวิกฤต แต่เป็นการเกิดใหม่ของตลาด เนื่องจากเห็นการเติบโตของฐานผู้บริโภคอายุน้อย Claudia D’Arpizio ผู้ร่วมวิจัยกล่าว

ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมสินค้าลักชัวรีเติบโตนอกจากที่อั้นมาจาก 2-3 ปีก่อนแล้ว อีกส่วนคือ ฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น โดย อายุเฉลี่ยของนักช้อปสินค้าลักชัวรีลดลงเรื่อย ๆ แม้ปัจจุบัน 50% ของนักช้อปจะมาจากกลุ่มอายุ 25-40 ปี แต่กลุ่ม Gen Z (12-25 ปี) คิดเป็นเกือบ 20% ของยอดขายสินค้าลักชัวรี และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ แบรนด์เองก็พัฒนาด้านการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียจนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมถึงการมุ่งเน้นประสบการณ์การช้อปปิ้งในช็อปของแบรนด์

ในส่วนของตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุด แม้จะมีสัญญาณความอิ่มตัว โดยแต่ละตลาดเติบโตขึ้นประมาณ 1 ใน 4 โดยในตลาดสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะสูงถึง 1.13 แสนล้านยูโรในปีนี้ ในขณะที่ยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่มียอดขาย 9.4 หมื่นล้านยูโร ส่วนตลาดรัสเซียที่กำลังทำสงครามกับยูเครนนั้น แทบจะไม่ส่งผลกระทบเพราะคิดเป็นเพียง 2% ของตลาดรวม

วิถีคนรวย! LVMH ขายดีสวนกระแสเศรษฐกิจ ดีมานด์กระเป๋า-เสื้อผ้าหรูแรงต่อเนื่อง

ส่วนกลุ่ม ผู้บริโภคชาวจีน ยังเป็นตัวขับเคลื่อนที่แข็งแกร่ง แม้ว่ามีผลกระทบจากการล็อกดาวน์ COVID-19 ที่กำลังดำเนินอยู่ ทำให้น้ำหนักโดยรวมของพวกเขาก็ลดลงจากการเกิดขึ้นของตลาดใหม่ โดยก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่านักช้อปชาวจีนจะคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของตลาดภายในปี 2573 แต่ปัจจุบันคาดว่าจะลดลงเหลือ 40%

สำหรับเทรนด์สินค้าลักชัวรี่ที่มาแรง อาทิ กระเป๋าถือขนาดเล็กที่สำหรับผู้บริโภควัยรุ่น นอกจากนี้ แบรนด์ก็เริ่มทำราคาที่จับต้องได้มากขึ้นเพื่อสร้างความผูกพันกับแบรนด์ อย่างไรก็ตาม ภายในรายงานดังกล่าวไม่ได้ใช้เป็นข้อพิสูจน์ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งสูงขึ้นก็ตาม

Source

]]>
1408708
Louis Vuitton เปิดร้านอาหารที่ “เฉิงตู” ไม่เลือกเมืองหลวง แต่เลือก “เมืองใหม่” ที่คนพร้อมจ่าย https://positioningmag.com/1406951 Mon, 07 Nov 2022 05:45:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1406951 Louis Vuitton สร้างเซอร์ไพรส์ในการเปิด “ร้านอาหารแบรนด์” แห่งที่ 5 ของโลก และเป็นแห่งแรกใน “จีน” โดยเลือกเมือง “เฉิงตู” แห่งมณฑลเสฉวน แทนที่จะเลือกเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง หรือเมืองหลวงเศรษฐกิจอย่างเซี่ยงไฮ้

ร้านอาหารใหม่ของ Louis Vuitton ในเฉิงตูใช้ชื่อว่า “The Hall” เพราะตั้งอยู่ในอาคาร “หอประชุมกวางตุ้ง” ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี ภายในโครงการย่านช้อปปิ้งไท่กู๋หลี่ เสิร์ฟอาหารสไตล์ฝรั่งเศส-เมดิเตอเรเนียน ปรุงโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์

หลังจากเปิดตัวไป ร้านอาหารได้รับความสนใจจากชาวจีนค่อนข้างมาก โดยมีคิวจองยาวไปถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน และหน้าร้านกลายเป็นจุดเช็กอินที่วัยรุ่นจีนมาถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย

Louis Vuitton ร้านอาหาร
ตัวอย่างอาหารที่จะเสิร์ฟใน The Hall ผ่านฝีมือการปรุงของเชฟระดับมิชลินสตาร์

กลับมาที่ทำไม LV ไม่เลือกเปิดร้านอาหารในเมืองที่เป็น ‘first-tier’ มานานอย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ นักวิเคราะห์มองว่าเป็นเพราะเมืองเหล่านั้นมีการแข่งขันสูงมากในกลุ่มสินค้าลักชัวรี

ขณะที่การมาเปิดในเมืองที่เป็น ‘new first-tier’ คือกลุ่มเมืองที่เจริญทางเศรษฐกิจจนขึ้นมาเป็นเมืองชั้นนำแห่งใหม่ น่าจะมีโอกาสมากกว่า และราคาบ้านในเมืองแบบนี้จะต่ำกว่า ทำให้ประชากรมี ‘เงินเหลือ’ ไว้จับจ่ายกับสินค้าลักชัวรี

ส่วนการเลือกเมือง “เฉิงตู” ท่ามกลางกลุ่มเมืองใหม่ทั้งหลาย ก็ด้วยลักษณะเมืองที่มีความ ‘ชิล’ กว่าที่อื่น คนเฉิงตูชอบการสังสรรค์และมีวัฒนธรรมอาหารแข็งแรง ประกอบกับกำลังซื้อในหมวดสินค้าลักชัวรีก็ดีมาก ยกตัวอย่างเช่น ร้าน Gucci ในเมืองเฉิงตูเป็นสาขาที่ทำยอดขายสูงที่สุดในโลกของแบรนด์นี้เมื่อปีที่แล้ว

Louis Vuitton ร้านอาหาร
บรรยากาศร้านอาหาร Louis Vuitton ในเฉิงตู

ร้านอาหาร LV ทั้ง 4 สาขาก่อนหน้านี้ มี 2 สาขาถาวรในโอซาก้าและโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และ 2 สาขาแบบ pop-up store ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และแซ็ง-ทรอเป เมืองชายทะเลในประเทศฝรั่งเศส

ไม่ได้มีเฉพาะ LV ที่สนใจเปิดร้านอาหารแบรนด์ แบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ ก็มีเช่นกัน เช่น Tiffany & Co. , Dior, Gucci, Chanel, Hermes

เพราะพื้นที่ร้านอาหาร/คาเฟ่ทำให้คนมาสัมผัสประสบการณ์ของแบรนด์ได้ในราคาต่ำกว่า แทนที่จะต้องจ่ายหลายหมื่นบาทเพื่อสินค้าสักชิ้น แค่ยอมจ่ายค่ากาแฟแก้วละหลักร้อยก็ได้รูปเก๋ๆ ลงโซเชียลแล้ว และการมีคนแวะเวียนมาถ่ายรูปเหล่านี้เผยแพร่ก็จะยิ่งทำให้แบรนด์น่าสนใจมากขึ้น

ที่มา: South China Morning Post, Jing Daily

]]>
1406951
เลิกอีกหนึ่ง! D&G แบรนด์เนมรายล่าสุดที่ประกาศหยุดใช้ “ขนสัตว์” ผลิตเสื้อผ้า https://positioningmag.com/1372612 Tue, 01 Feb 2022 14:54:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372612 Dolce & Gabbana หรือ D&G เป็นแบรนด์เนมรายล่าสุดที่ประกาศเลิกใช้ “ขนสัตว์” ในสินค้าของแบรนด์ หลังการรณรงค์อย่างต่อเนื่องของนักสิทธิสัตว์ ทำให้มีแบรนด์ดังจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เลิกใช้ขนสัตว์เป็นส่วนประกอบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

Dolce & Gabbana ออกแถลงการณ์ร่วมกับ Humane Society International กลุ่มรณรงค์สิทธิสัตว์ ประกาศว่า แบรนด์จะทยอยเลิกใช้ “ขนสัตว์” เป็นส่วนประกอบสินค้าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป โดยแบรนด์จะพัฒนาขนสัตว์เทียมที่ผลิตในแนวทางความยั่งยืนมาใช้ทดแทน จะใช้วัสดุจากระบบรีไซเคิลและสามารถรีไซเคิลหมุนเวียนกลับไปใหม่ได้อีก

“Dolce & Gabbana กำลังกรุยทางไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งไม่สามารถไปด้วยกันได้กับการใช้ขนสัตว์แท้” Fedele Usai เจ้าหน้าที่ด้านการตลาดและการสื่อสารของกลุ่มกล่าวผ่านข่าวประชาสัมพันธ์ “ระบบแฟชั่นทั้งหมดมีบทบาทสำคัญด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งต้องการการสนับสนุนและส่งเสริม”

หลายปีที่ผ่านมามีแบรนด์เนมหรูหลายรายที่ประกาศเลิกใช้ขนสัตว์ไปแล้ว เช่น Gucci, Chanel, Prada, Burberry, Michael Kors, Versace, Armani ทำให้แบรนด์อย่าง D&G รับแรงกดดัน ถูกเรียกร้องมากขึ้นให้เลิกใช้ขนสัตว์ทั้งหมด รวมถึงขนสุนัขจิ้งจอกและขนมิงค์ด้วย

กลุ่มนักสิทธิสัตว์ประท้วงในร้าน D&G สาขาเมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา เมื่อปี 2019 (Photo: blogto.com)

กลุ่มนักกิจกรรมที่รณรงค์กับแบรนด์หนักมากคือ People for the Ethical Treatment of Animals (PETA) ได้จัดการประท้วงทั้งในร้านและหน้าร้าน D&G มาแล้วหลายครั้ง PETA ระบุว่า กลุ่มได้รับอีเมลร้องเรียนการใช้ขนสัตว์ของ Dolce & Gabbana มามากกว่า 3 แสนฉบับในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา และเมื่อแบรนด์ประกาศเลิกการใช้ขนสัตว์ PETA จึงรู้สึกยินดีและมองว่าแบรนด์ “มีความเห็นอกเห็นใจและฉลาดทางธุรกิจ”

กระแสการเลิกใช้ขนสัตว์ของแบรนด์หรูมีแบรนด์ที่นำเทรนด์อย่าง Gucci ซึ่งประกาศมาตั้งแต่ปี 2017 ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่ให้คำมั่นสัญญา ทำให้ทาง Humane Society International ถึงกับมองว่าความเคลื่อนไหวนี้เป็น “ตัวเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่”

จากนั้นเมื่อเดือนกันยายน 2021 บริษัทเจ้าของแบรนด์ Gucci คือ Kering ก็ประกาศอีกครั้งว่าแบรนด์หรูทั้งหมดในเครือบริษัทจะทยอยเลิกใช้ขนสัตว์ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 เป็นต้นไป ได้แก่แบรนด์ Yves Saint Laurent, Alexander McQueen และ Balenciaga

ชุดของแบรนด์ Oscar de la Renta ที่ Billie Eilish นักร้องดังยินดีใส่เดินพรมแดง Met Gala 2021 แลกกับแบรนด์จะต้องประกาศเลิกใช้ขนสัตว์อย่างถาวร (IG@billieeilish)

ระบบนิเวศในอุตสาหกรรมแฟชั่นก็เริ่มร่วมด้วยช่วยกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น London Fashion Week และนิตยสาร Elle ต่างประกาศว่า ไม่อนุญาตให้สินค้าที่ใช้ขนสัตว์ขึ้นโชว์บนรันเวย์หรือลงตีพิมพ์ในคอนเทนต์ของนิตยสาร

แม้แต่คนดังก็มีส่วนช่วยในประเด็นนี้ เช่น กระแสข่าวจากช่างแต่งกายอาวุโสประจำพระองค์ระบุว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เลิกใช้เสื้อผ้าที่มีขนสัตว์จริงประดับไปแล้ว หรือข้อต่อรองของ Billie Eilish นักร้องชื่อดังแห่งยุค ระบุว่าให้แบรนด์ Oscar de la Renta ประกาศเลิกใช้ขนสัตว์ แล้วเธอจะยอมใส่ชุดของแบรนด์ไปเดินพรมแดงงาน Met Gala เมื่อปี 2021

Source

]]>
1372612