สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า H&M แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากสวีเดนเตรียมงัดกลยุทธ์เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท หลังจากบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่งหลายราย โดยเฉพาะแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นที่เน้นราคาสินค้าอย่าง Shein
Daniel Erver ซึ่งเป็น CEO ของ H&M กล่าวกับ Reuters ว่า บริษัทเตรียมลดราคาสินค้าของบริษัทผ่านโปรโมชั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องกระตุ้นยอดขาย และเขาต้องการให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นกับแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นรายนี้อีกครั้ง
แต่ CEO รายดังกล่าวก็ยังชี้ว่า การสร้างคอลเลกชัน ประสบการณ์ หรือแม้แต่กิจกรรมที่น่าตื่นเต้นก็เป็นอีกทางหนึ่งในการกระตุ้นยอดขาย
ผู้บริหารสูงสุดของ H&M ยังกล่าวเสริมว่า แผนการกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังนั้นจะทำให้เป้าหมายยอดขายนั้นกลับมาได้ แต่ถ้าหากเห็นยอดขายอ่อนแอลงในไตรมาส 3 แล้ว การที่จะกระตุ้นยอดขายให้กลับมาเข้าเป้าของบริษัทนับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ปัจจุบันคู่แข่งรายสำคัญของบริษัทมีทั้ง Inditex ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นอย่าง Zara นอกจากนี้ยังรวมถึงคู่แข่งจากจีนที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shein ซึ่งคู่แข่งรายหลังได้สร้างความปวดหัวให้กับ H&M ไม่น้อย จากราคาสินค้าที่ถูก
ก่อนหน้านี้แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากสวีเดนรายนี้ได้เน้นในเรื่องอัตราการทำกำไร มากกว่ายอดขาย โดยบริษัทคาดว่าแผนการดังกล่าวจะเข้าสู่เป้าหมายในปี 2024 นี้
เมื่อปลายปี 2023 อีกหนึ่งกลยุทธ์เพื่อที่จะเพิ่มรายได้และอัตราการทำกำไร โดย H&M ได้แก้เกมโดยการออกสินค้าแฟชั่นที่มีราคาแพงมากขึ้น เช่น เดรสตาข่ายเมทัลลิกที่ทำจากอะลูมิเนียม ราคา 749 ดอลลาร์สหรัฐ มินิเดรสปักเลื่อม ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงรองเท้าบูทคาวบอยสีเงิน ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดีบริษัทได้ออกมากล่าวว่าแผนการดังกล่าวนั้นไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ค่าเงินทั่วโลกที่ผันผวน หรือแม้แต่ต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งทำให้ท้ายที่สุดบริษัทต้องหันกลับมากระตุ้นยอดขายแทนอีกครั้ง
]]>สำนักข่าว Reuters และ Euronews รายงานข่าวว่า ฝรั่งเศสเตรียมที่จะเข็นกฎหมายชุดใหม่โดยพุ่งเป้าไปยังแบรนด์เสื้อผ้า Fast Fashion หลายแบรนด์ โดยชี้กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากเกินไป และยังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งฝรั่งเศส มองว่าเหล่าแบรนด์เสื้อผ้า Fast Fashion ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในระดับหลายพันรายการต่อวัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากเกินไปและยังก่อให้เกิดมลภาวะที่ไม่จำเป็น
ในร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ได้กล่าวถึง วิวัฒนาการของเครื่องแต่งกายไปสู่แฟชั่นแบบชั่วคราว ผสมกับจำนวนสินค้าที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ถูกนั้นกำลังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างแรงกระตุ้นในการซื้อและทำพฤติกรรมดังกล่าวซ้ำๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังระบุถึง Shein แบรนด์เสื้อผ้า Fast Fashion ที่กำลังมีชื่อเสียงในเวลานี้ โดยชี้ว่าบริษัทจากจีนรายดังกล่าวได้นำเสนอเสื้อผ้ารุ่นใหม่มากกว่า 7,200 รุ่นต่อวัน และผลิตผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันมากกว่า 470,000 รายการให้กับผู้บริโภค
คริสตอฟ เบชู รัฐมนตรีกระทรวงการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของฝรั่งเศส ได้กล่าวว่า เสื้อผ้าที่เป็น Fast Fashion ถือเป็นหายนะทางระบบนิเวศ โดยเขาชี้ว่าเสื้อผ้าเหล่านี้มีกระบวนการผลิตที่ไม่ดี มีการซื้อกันอย่างแพร่หลาย และถูกโยนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจาก UNEP ชี้ว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าทั่วโลกมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 10% ซึ่งมากกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากการขนส่งทางอากาศและทางทะเลด้วยซ้ำ
สำหรับบทลงโทษดังกล่าวถ้าหากกฎหมายออกมา คาดว่าจะมีการปรับเงินเหล่าแบรนด์เสื้อผ้า Fast Fashion เป็นรายชิ้นขั้นต่ำที่ 10 ยูโรต่อชิ้นและอาจปรับเงินเป็นจำนวนมากถึง 50% ของราคาสินค้าภายในปี 2030
]]>สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า H&M แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากสวีเดน เริ่มได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของ Shein ซึ่งเป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากประเทศจีน โดยเน้นขายสินค้าเสื้อผ้าแบบราคาถูก ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนกลยุทธ์อื่นมาสู้แทน
H&M ได้นำกลยุทธ์ใหม่มาใช้คือการออกเสื้อผ้าในราคาแพงมากขึ้น เพื่อที่จะจับลูกค้ากลุ่มตลาดบนที่มีกำลังซื้อ นอกจากนี้ยังทำให้อัตราการทำกำไรของบริษัทนั้นมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นด้วย
คอลเลกชัน Rabanne ซึ่งเป็น 1 ในคอลเลกชันสินค้าราคาแพงของ H&M นั้นมีสินค้า เช่น เดรสตาข่ายเมทัลลิกที่ทำจากอะลูมิเนียม ราคา 749 ดอลลาร์สหรัฐ มินิเดรสปักเลื่อม ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงรองเท้าบูทคาวบอยสีเงิน ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งราคาสินค้าคอลเลกชันใหม่ดังกล่าวนั้นเมื่อเทียบกับราคาสินค้าปกตินั้นถือว่ามีราคาแพงอย่างมาก และ H&M กำลังเร่งนำคอลเลกชันใหม่ที่มีราคาสูงกว่าเดิมออกสู่ตลาดให้ไวที่สุด เพื่อที่จะแข่งขันกับ Zara ซึ่งเป็นคู่แข่งเดิมรวมถึง Shein ที่เป็นคู่แข่งรายใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
กลยุทธ์ของ Shein ที่กดดัน H&M คือการขายเสื้อผ้าหรือสินค้าแฟชั่นราคาถูก เช่น การขายเดรสของผู้หญิงในราคา 8 ดอลลาร์สหรัฐ เสื้อยืดในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ หรือแม้แต่เครื่องประดับในราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อุตสาหกรรมเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที
การเข้ามาของ Shein นั้นไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับ H&M ซึ่งเป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นเท่านั้น แต่ยังกดดันถึงผู้เล่น E-commerce รายใหญ่อย่าง Amazon ด้วยเช่นกัน เนื่องจากราคาสินค้าโดยเฉพาะประเภทเสื้อผ้านั้นมีราคาที่ถูกกว่า Amazon อย่างมาก
โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา Shein เองยังเป็นแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นอันดับ 2 ที่ครองใจวัยรุ่นชาวสหรัฐฯ เนื่องจากราคาสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศจีนที่มีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่งผลทำให้แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นไม่เว้นแม้แต่ H&M ต้องงัดกลยุทธ์อื่นมาใช้
อย่างไรก็ดีการใช้กลยุทธ์ขายสินค้าที่เน้นตลาดบนมากขึ้น H&M เองก็ได้รับแรงกดดันจากลูกค้าไม่น้อย เนื่องจากแบรนด์คู่แข่งที่จับลูกค้าตลาดบนเน้นลูกค้าจับจ่ายใช้สอยราคาแพงนั้นมีอยู่หลายแบรนด์เช่นกัน
]]>เนื่องจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อบริษัทฟาสต์แฟชั่นในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้หลายบริษัทเริ่มส่งเสริมการ นํากลับสินค้ามาใช้ใหม่และการรีไซเคิลเสื้อผ้า โดยแบรนด์ H&M (เอช แอนด์ เอ็ม) ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นที่เริ่มทดลองนำสินค้ามือสองมาขายแบบออนไลน์ โดยเริ่มใน สหราชอาณาจักร ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเป็นที่แรก
ล่าสุด H&M ได้เตรียมนำ เสื้อผ้าและเครื่องประดับมือสอง มาขายที่ แฟลกชิปสโตร์ในลอนดอน โดยจะเริ่มวางขายตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยถึงราคาและแหล่งที่มาของเสื้อผ้ามือสองที่จะนำมาจำหน่าย
โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ H&M เนื่องจากสหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบใหม่เพื่อปราบปรามขยะจากสิ่งทอ โดยอียูเสนอให้ประเทศสมาชิกจะต้องแยกขยะสิ่งทอออกจากขยะประเภทอื่น ๆ ภายในเดือนมกราคม 2025 นอกจากนี้ ยังเสนอกฎให้บริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้า จ่ายเงินช่วยรับภาระค่าใช้จ่ายสำหรับงานเกี่ยวกับ การคัดแยกเสื้อผ้าใช้เเล้ว เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และการเอาวัตถุดิบไปรีไซเคิล
แม้ว่าเรื่องกฎระเบียบจะหนึ่งในปัจจัยที่บีบให้แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นต้องหันมาขายเสื้อผ้ามือสอง แต่อีกปัจจัยก็คือ ตลาดเสื้อผ้ามือสองที่ใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย อาทิ thredUP, Vinte, Depopmultiplying และแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นหลายแบรนด์ก็เริ่มหันมาขาย เสื้อผ้ามือสองของตัวเอง เช่น Zara ได้เปิดตัวบริการมือสองออนไลน์ในฝรั่งเศส
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ ThredUP เว็บไซต์ซื้อขายเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นมือสองได้คาดการณ์ว่า ตลาดเสื้อผ้ามือสองทั่วโลกจะเติบโตขึ้น +127% ภายในปี 2026 โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ราว 2.18 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 7.63 ล้านล้านบาท ถือว่าโตเร็วกว่าตลาดเสื้อผ้าโดยรวมเฉลี่ยเป็น 3 เท่า
]]>สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า H&M แบรนด์ Fast Fashion รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกประกาศว่าเตรียมยุติในการจ้างโรงงานในประเทศพม่าผลิตสินค้าให้กับบริษัท หลังจากที่มีการรายงานถึงการละเมิดสิทธิแรงงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในประเทศเพิ่มขึ้น
ประเด็นสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Fast Fashion ต้องยุติการจ้างผลิตสินค้าในพม่า เนื่องจากกลุ่มรณรงค์สิทธิมนุษยชนในอังกฤษได้ติดตามกรณีซึ่งกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิคนงานในในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของพม่ามาตั้งแต่เดือนก.พ. ปี 2022 ถึงปี 2023 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 156 กรณี
จำนวนของกรณีการละเมิดสิทธิแรงงานเพิ่มมากขึ้น 56 กรณีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้นบ่งชี้ถึงการเสื่อมถอยของสิทธิแรงงานพม่านับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2021 เป็นต้นมา โดยกรณีที่ถูกรายงานมากที่สุดคือการลดค่าจ้างรวมถึงการโกงค่าจ้าง ขณะที่กรณีอื่นๆ รองลงมา ไม่ว่าจะเป็น การเลิกจ้างงานจ้างอย่างไม่เป็นธรรม สภาพการทำงานที่ไร้มนุษยธรรม และการบังคับทำงานล่วงเวลา
แถลงการณ์ของบริษัทได้กล่าวว่า “หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว บริษัทได้ตัดสินใจที่จะค่อยๆ ยุติการดำเนินงานในพม่า” โดย H&M เป็นแบรนด์ล่าสุดที่เตรียมยุติการใช้โรงงานในพม่าผลิตสินค้าให้ ตามหลังแบรนด์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Zara หรือแม้แต่ Marks & Spencer เป็นต้น
อย่างไรก็ดีการประกาศของ H&M ที่ออกมานั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับการเผยแพร่รายงาน แต่เป็นผลจากการประเมินสถานการณ์ของตนเอง
โดยผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ มักจะใช้แรงงานจากประเทศที่มีค่าแรงต่ำ เพื่อที่จะสามารถผลิตสินค้าที่มีราคาถูกออกมาได้ และประเทศพม่าถือเป็นฐานการผลิตเสื้อผ้าที่ได้รับความนิยม ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในละแวกนี้เป็นฐานการผลิตเสื้อผ้าที่สำคัญคือ บังกลาเทศ หรือแม้แต่ กัมพูชา
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทต่างชาติได้ทยอยถอนการลงทุนในประเทศพม่าหลังจากการรัฐประหารในปี 2021 เป็นต้นมา เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากทั้งข้อระเบียบต่างๆ ข้อระเบียบด้าน ESG ไปจนถึงแรงกดดันจากนักลงทุน หรือแม้แต่แรงกดดันจากสถาบันการเงินต่างๆ เอง
]]>บริษัทฟาสต์แฟชั่นสัญชาติสวีเดน วางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 1,500 ราย จากปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดราว 155,000 ราย เนื่องจากวิกฤตเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้น โดยคาดว่าการลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้ปีละ 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,650 ล้านบาท
“เมื่อผู้บริโภคใช้จ่ายไปกับค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ และน้ำมัน พวกเขาก็จะใช้จ่ายน้อยลง ดังนั้นสิ่งที่ชัดเจนคือ เขาต้องความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเพิ่มขึ้น เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่และอุตสาหกรรมการค้าปลีกทั้งหมดกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย” Nils Vinge หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของ H&M กล่าว
ย้อนไปในช่วงเดือนกันยายน H&M มียอดขายรายไตรมาสที่ต่ำกว่าที่คาดไว้มาก เนื่องจากผู้บริโภครัดเข็มขัดจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้ H&M ได้ประกาศว่ามีแผนจะ ขึ้นราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ H&M ต้องเจอกับการแข่งขันทั้งที่ใหญ่กว่าอย่าง Zara และจากผู้เล่นรายใหม่ที่ทำราคาได้ดีกว่า อย่าง Primark แบรนด์แฟชั่นของอังกฤษที่เพิ่งได้ประกาศแผนการเพิ่มงาน 1,800 ตำแหน่ง ในสเปนและอังกฤษเพื่อขยายกิจการ
สำหรับ H&M ก่อตั้งขึ้นในสวีเดนในปี 2490 นอกจากร้านค้าปลีกเสื้อผ้าแล้ว กลุ่มนี้ยังรวมถึงแบรนด์ต่าง ๆ เช่น COS, Monki, Weekday, Cheap Monday, & Other Stories, H&M Home, ARKET และ Afound มีร้านค้าประมาณ 4,664 แห่งใน 77 ตลาดและมีตลาดออนไลน์ 57 แห่ง
]]>ฝ้ายซินเจียงกลับมาเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 64 สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป (EU), สหราชอาณาจักร และแคนาดา ร่วมกัน “คว่ำบาตร” เจ้าหน้าที่รัฐของจีนจำนวนหนึ่ง โดยสั่งห้ามเข้าประเทศและยึดทรัพย์
สาเหตุการแบน เกิดจากประเด็นที่พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงทั้งนี้ ประเทศตะวันตกมีการรายงานเสมอเรื่องแคมป์กักกันชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง และใช้แรงงานทาสคนอุยกูร์ในไร่ฝ้าย
ต่อมารัฐบาลจีนออกมาตอบโต้ประเด็นนี้ทันทีโดยปฏิเสธเช่นเคยว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ขณะที่ CGTN สื่อของรัฐบาลจีนมีการเผยแพร่วิดีโอคลิปใน Weibo โซเชียลมีเดียยอดฮิตของจีน แสดงภาพการใช้ระบบออโตเมชันเก็บฝ้ายในซินเจียง และเกษตรกรชาวอุยกูร์คนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า คนอุยกูร์ต้องต่อสู้ชิงตำแหน่งงานในไร่ฝ้ายเพราะว่าได้รายได้สูง
กระแสรณรงค์จึงถูกจุดขึ้นทั่วโลกออนไลน์ของจีน โดยแฮชแท็กที่แปลว่า “ฉันสนับสนุนฝ้ายซินเจียง” ถูกพูดถึงบน Weibo มากกว่า 1.8 พันล้านครั้ง
เรื่องนี้ไปเกี่ยวพันกับ H&M เพราะปีที่แล้ว H&M เคยออกแถลงการณ์ว่า แบรนด์มีความ “กังวล” เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์ และยืนยันว่าแบรนด์ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่ผลิตจากซินเจียง เมื่อชาวเน็ตพบข้อมูลดังกล่าว กระแสบอยคอต H&M จึงแพร่สะพัดทันที
กระแสที่รุนแรงนี้ทำให้ H&M เป็นแบรนด์แรกที่ถูกถอดรายการสินค้าทั้งหมดออกจากแอปฯ ขายของออนไลน์ดัง 3 แห่ง ได้แก่ JD.com, Taobao (เถาเป่า) และ Pinduoduo (พินตัวตัว) ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. 64 ผู้ใช้จะค้นหาสินค้าไม่เจออีกต่อไป แม้แต่แอปฯ แผนที่ของจีน เช่น Baidu (ไป่ตู้) ก็ถึงกับลบข้อมูลร้าน H&M ออกจากแผนที่ไปเลย หรือแอปฯ เรียกรถอย่าง Didi ก็ลบร้าน H&M ออกจากสารบบ ผู้ใช้จะไม่สามารถปักหมุดเรียกรถไปกลับจาก H&M สาขาใดๆ ได้
ไม่ใช่แค่ H&M อีกหลายแบรนด์ต่างประเทศกำลังเป็นเป้าหมายถัดไป เพราะเคยออกแถลงการณ์ไม่ใช้ฝ้ายซินเจียง เช่น Nike, Uniqlo, Adidas และแบรนด์ที่เริ่มมีชื่อตกเป็นเป้าบ้างแล้ว เช่น New Balance, Burberry
กระแสนี้เป็นเรื่องใหญ่มากในจีน เพราะแม้แต่ดาราเซเลบจีนหลายคน เช่น หวังอี้ป๋อ, หวงเซวียน, วิคตอเรีย ซ่ง ยังร่วมรณรงค์กับประชาชน โดยประกาศตัดสัมพันธ์ ยกเลิกสัญญากับแบรนด์ที่เป็นเป้าบอยคอต โดยให้เหตุผลว่า “ประโยชน์ของชาติอยู่เหนือทุกอย่าง”
ในทางกลับกัน กระแสบอยคอตแบรนด์ต่างชาติกลายเป็นอานิสงส์เชิงบวกให้กับแบรนด์จีน หลายแบรนด์พลิกกลับมาแรงตามความรู้สึก “ชาตินิยม” ที่เกิดขึ้น เช่น Li Ning (หลี่หนิง) แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาชื่อดัง จนหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 8.31% วันนี้
Source: BBC, SCMP, Yahoo Finance
]]>ย้อนกลับไปเมื่อเช้าวันที่ 24 เมษายน 2013 ตึกรานา พลาซา ใกล้กรุงดากา ประเทศบังกลาเทศ เกิดถล่มลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,134 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 2,500 คน ตึก 8 ชั้นแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงงานเย็บผ้าหลายบริษัท และคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ก็คือคนงานเย็บผ้า
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ โครงสร้างตึกเริ่มมีอาการร้าวตั้งแต่วันก่อนหน้า ทำให้บริษัทอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรงงานเย็บผ้าประกาศปิดชั่วคราว แต่คนงานเย็บผ้ากลับถูกสั่งให้กลับมาทำงานอีกในวันรุ่งขึ้น และกลายเป็นโศกนาฏกรรมกลางเมืองหลวง
โศกนาฏกรรมนี้ทำให้ความจริงเบื้องหลังอุตสาหกรรมแฟชั่นถูกเปิดโปง เพราะในบรรดากองเสื้อผ้าภายใต้ซากตึกถล่มคือเสื้อผ้าแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Prada, Gucci, Versace, Mango ฯลฯ โดยที่เจ้าของแบรนด์ส่วนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสื้อผ้าของตนถูกผลิตขึ้นที่นั่น จนต้องใช้เวลาสืบสาวกันหลายสัปดาห์กว่าจะรู้ว่าสัญญากับซัพพลายเออร์รายใดที่ไปผูกโยงกับโรงงานในตึกรานา พลาซา
จุดปริแตกที่รานา พลาซา ทำให้ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงการขูดรีดแรงงาน เพราะแหล่งผลิตเสื้อผ้าส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น บังกลาเทศ อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา รวมถึงประเทศไทยด้วย และคนงานเหล่านี้มักจะได้รับรายได้ต่ำแต่ทำงานหนัก เพื่อแข่งขันทำต้นทุนให้ถูกที่สุด มิต้องพูดถึงความปลอดภัยในชีวิตและที่ทำงานซึ่งอยู่ในระดับต่ำจนเกิดเหตุตึกถล่มขึ้น
ไม่เฉพาะโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า แต่ย้อนกลับไปถึงวัตถุดิบทำเส้นใยผ้าอย่าง “ไร่ฝ้าย” ชาวไร่ฝ้ายในอินเดียก็ได้รับรายได้ต่ำเช่นกัน รวมถึงไร่ฝ้ายในเขตซินเจียง ประเทศจีน มีรายงานว่าจีนมีการใช้แรงงานทาสชาวอุยกูร์ในไร่ฝ้ายและโรงงานผลิตเส้นใยฝ้าย แต่ทางการจีนปฏิเสธเรื่องนี้เสมอมา (อ่านเพิ่มเติม : สหรัฐฯ เตรียมแบนสินค้าที่ใช้ “ฝ้าย” จากซินเจียง โจมตีจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์)
ในด้านสิ่งแวดล้อม การผลิตผ้าคืออุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำล้างสีย้อมผ้าปริมาณมหาศาล และน้ำที่ชะล้างสีทำให้มีสารเคมีปนเปื้อน อุตสาหกรรมผ้าจึงเป็นตัวการสร้าง “น้ำเสีย” ถึง 20% ของโลก และถ้าย้อนกลับไปถึงไร่ฝ้าย ฝ้ายเป็นพืชที่มักจะใช้สารกำจัดศัตรูพืชสูง โดยคิดเป็น 10-20% ของสารกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ทั้งโลก (ข้อมูลจากธนาคารโลก)
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนตระหนักถึงความรับผิดชอบของแบรนด์แฟชั่น แม้ว่าแบรนด์หนึ่งๆ จะมีซัพพลายเออร์ที่ทำงานด้วยนับร้อยๆ ราย หรือบางบริษัทอาจมีนับพันๆ ราย แต่ผู้บริโภคก็ต้องการให้แบรนด์ตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกรายว่ามีการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมในทุกๆ ด้าน รวมถึงเริ่มมองเห็นความรับผิดชอบของตัวเอง และอำนาจของผู้ซื้อที่จะบีบให้แบรนด์ต้องสร้างความยั่งยืนขึ้น
กระแสการตระหนักถึงปัญหาของอุตสาหกรรมแฟชั่น ทำให้ผู้บริโภคมองการแก้ปัญหาเป็นสองทาง ทั้งตัวแบรนด์ที่ควรจะดูแลซัพพลายเชนดังกล่าว และตัวผู้บริโภคเองที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าด้วย
ย้อนไปก่อนหน้านี้ ตลาดแฟชั่นกำลังฮิตแบรนด์สินค้าแบบ “ฟาสต์แฟชั่น” นั่นคือเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูก คุณภาพต่ำ เปลี่ยนเทรนด์เร็ว เติมสินค้าแบบใหม่กันแทบจะสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ด้วยราคาที่ถูกและการสร้างค่านิยมเปลี่ยนเสื้อผ้าตามแฟชั่นให้ทัน ทำให้ผู้บริโภคสบายใจที่จะใส่เสื้อผ้าแค่ 1-2 ครั้งแล้วโยนทิ้ง ซื้อใหม่ กลายเป็นการสร้างขยะเสื้อผ้ากองโต และกระตุ้นให้แบรนด์ผลิตเสื้อผ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
มีการสำรวจของ Greenpeace เมื่อปี 2015 ที่ประเทศเยอรมนี สอบถามคนเยอรมันวัย 18-69 ปี ให้จัดแบ่งเสื้อผ้าในตู้ของตนเองว่าได้ใส่บ่อยแค่ไหน ค่าเฉลี่ยสัดส่วนเสื้อผ้ามีดังนี้ 36% ถูกสวมใส่เป็นประจำ 25% ถูกสวมใส่อยู่เรื่อยๆ 20% นานๆ หยิบใส่สักครั้ง และน่าตกใจที่มี 19% ของเสื้อผ้าในตู้ที่เจ้าของไม่เคยสวมใส่เลย ทั้งนี้ รายงานนี้ยังระบุด้วยว่าประเภทเสื้อผ้าที่ถูกใส่น้อยที่สุดคือ “ชุดงานปาร์ตี้” มีการใส่เฉลี่ยแค่ 1.7 ครั้ง
เมื่อเป็นดังนี้ ผู้บริโภคเริ่มเข้าใจแล้วว่า “ฟาสต์แฟชั่น” และวิธีบริโภคของตนเองคือสิ่งกระตุ้นให้เกิดการผลิตในราคาถูก ต้นตอการกดขี่แรงงาน ดังนั้น จึงเกิดกระแสลด ละ เลิกการใส่เสื้อผ้าแบบใช้ไม่กี่ครั้งก็โยนทิ้ง สนับสนุนแบรนด์ที่มีนโยบายความยั่งยืน รวมถึงนิยมเสื้อผ้ามือสองมากขึ้น
เทรนด์เลิกซื้อเสื้อผ้าบ่อยๆ และการมองหาแบรนด์ที่สร้างความโปร่งใสด้านแรงงาน-สิ่งแวดล้อม เริ่มเห็นได้ชัดช่วง 3-4 ปีก่อนนี้เอง ยิ่งเกิดโรคระบาด COVID-19 ขึ้น ยิ่งทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะฝั่งตะวันตกคำนึงถึงผลการกระทำของตนเองที่มีต่อโลก จากการสำรวจของ McKinsey สอบถามผู้บริโภค 2,000 คนในสหราชอาณาจักรและเยอรมนี เมื่อเดือนเมษายน 2020 คำถามบางส่วนเจาะลึกไปที่ธุรกิจแฟชั่นและเศรษฐกิจหมุนเวียน
McKinsey พบว่า ผู้บริโภคมี ปัจจัยสำคัญ 3 อันดับแรกเมื่อเลือกซื้อเสื้อผ้า คือ สไตล์ที่ชอบ สวมใส่สบาย และ คุณภาพวัสดุ
ส่วนเรื่อง “ความใหม่ เทรนด์ออกใหม่” กลายเป็นปัจจัยสุดท้ายที่คนให้ความสำคัญ รวมถึงเรื่อง “แบรนด์ที่มั่นใจ” ก็เป็นปัจจัยท้ายๆ เหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคพร้อมจะซื้อแบรนด์ใหม่ๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า ตัวเองตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าไว้ใช้งานให้นานกว่าเดิม และ 57% ตอบว่าตัวเองตั้งใจจะซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อให้เสื้อผ้าชิ้นนั้นใช้ได้นานขึ้น
แบบสอบถามยังพบว่า 48% ของคนเจนวาย (อายุ 24-39 ปี) และคนเจนซี (อายุ 18-23 ปี) มีแนวโน้มที่จะซื้อเสื้อผ้ามือสอง หลังจากเกิด COVID-19 ส่วนเจนที่อายุมากกว่านี้จะมีแนวโน้มซื้อเสื้อผ้ามือสองน้อยกว่า
เห็นได้ชัดว่ากระแสการตระหนักถึงความรับผิดชอบในการบริโภคแฟชั่นจุดติดแล้วในสังคมตะวันตก ส่วนผู้บริโภคไทยอาจจะยังเป็นนิชมาร์เก็ต แต่ก็มีการพูดถึงบนอินเทอร์เน็ต และมีบางแบรนด์ที่หยิบขึ้นมาเป็นจุดขาย เช่น Pomelo ที่ทำคอลเลกชัน Purpose ซึ่งผลิตเสื้อผ้าจากสีย้อมผ้าธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารเคมี
ความตระหนักรู้ได้กดดันให้แบรนด์ระดับโลกต้องยอมขยับทำอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น H&M เริ่มมีจุดรับคืนเสื้อผ้าเพื่อนำไปรีไซเคิลและนำเส้นใยนั้นมาผลิตใหม่ในคอลเลกชัน H&M CONSCIOUS หรือ Uniqlo เริ่มมีการรับเสื้อผ้าไปรีไซเคิลเช่นกัน รวมถึงมีเทคโนโลยีลดการใช้น้ำระหว่างผลิตผ้ายีนส์ด้วย (อ่านเพิ่มเติม : Uniqlo ทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อ “ความยั่งยืน” และอะไรที่ยังเป็นประเด็นอนาคต)
จากข้อมูลของ Fashion Revolution กลุ่มรณรงค์ให้แบรนด์แฟชั่นมีนโยบายที่โปร่งใสด้านแรงงาน-สิ่งแวดล้อมมีการจัดอันดับ Fashion Transparency Index 2020 โดยตรวจสอบนโยบายความยั่งยืนของแบรนด์ด้วยดัชนีชี้วัด 250 รายการ ตรวจสอบไปกว่า 250 แบรนด์ทั่วโลก รวมทั้งฟาสต์แฟชั่น ลักชัวรี และแบรนด์ที่ขายออนไลน์เท่านั้น โดยต้องเป็นแบรนด์ที่มียอดขายมากกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
องค์กรนี้พบว่า ค่าเฉลี่ยความโปร่งใสด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อมของโลกแฟชั่นอยู่ที่ 23% เท่านั้น แต่ดีขึ้นจากปี 2019 ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 21% โดยมุมบวกของปีที่ผ่านมาคือมีแบรนด์ที่ใส่ใจการจัดทำนโยบายมากขึ้น ส่วนมุมลบคือในแง่ความโปร่งใสด้านแรงงาน มีแบรนด์ไม่มากที่กล้าเปิดรายชื่อผู้ผลิตทั้งหมดในซัพพลายเชน และมีแค่ 5 แบรนด์เท่านั้นที่ประกาศไทม์ไลน์ชัดเจนในการส่งเสริมให้แรงงานในสายการผลิตทั้งหมดได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม
สำหรับแบรนด์ที่ทำคะแนนมากกว่า 60% มีเพียง 6 แบรนด์ ได้แก่ H&M (72.8%), C&A (69.8%), Adidas (69.4%), Reebok (69.4%), Esprit (64.2%) และ Patagonia (60.4%)
ส่วนแบรนด์กลุ่มฟาสต์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ได้คะแนนความโปร่งใสในระดับรองลงมา เช่น ASOS (54.8%), Gap (50%), Zara (44.2%), Uniqlo (39.6%), Topshop (38.2%) และ Mango (21.6%)
แบรนด์ลักชัวรีเองก็เข้าร่วมในเส้นทางสู่ความยั่งยืนด้วยเช่นกัน โดยในรายงานนี้ แบรนด์ลักชัวรีที่ได้คะแนนมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ Gucci (48.4%), Balenciaga (46.8%), Saint Laurent (46.8%), Bottega Veneta (46.4%) และ Burberry (36%)
กระแสผู้บริโภคมีพลังมากเมื่อร่วมมือกัน ทำให้แบรนด์ใหญ่ก็ต้องฟังความต้องการและปรับตัวตาม แต่จุดที่ต้องระวังจากนี้คือ นโยบายของแบรนด์เป็นสิ่งที่ ‘ทำจริง’ หรือเป็นเพียงแค่ข้อความการตลาด (greenwashing) เท่านั้น
Source: Fashion Revolution, McKinsey, EcoWatch
]]>โดยคาดว่าสาขาของ Gap ในสหราชอาณาจักร ไอร์เเลนด์เเละอิตาลี จะปิดตัวลงในช่วงฤดูร้อนปี 2021 พร้อมกับการปิดศูนย์กระจายสินค้าในอังกฤษด้วย
ต่อไปบริษัทจะเปลี่ยนไปเน้นทำตลาดในยุโรปให้เป็นลักษณะ “พาร์ตเนอร์ชิป” ในรูปแบบแฟรนไชส์ทั้งสาขาหน้าร้านเเละอีคอมเมิร์ซ ซึ่งปัจจุบัน Gap มีสาขาที่บริหารเองกลุ่มยุโรปทั้งหมด 129 สาขา และมีหน้าร้านที่อยู่ในรูปแบบแฟรนไชส์ราว 400 สาขา
ธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าเเฟชั่น ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤต COVID-19 หลังต้องปิดสาขาชั่วคราวในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ ขณะเดียวกัน พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปทั้งการเดินทางมาช้อปปิ้งน้อยลงเเละหันไปช้อปปิ้งออนไลน์อย่างรวดเร็ว ซึ่งคู่เเข่งรายสำคัญของ Gap อย่าง Asos และ Boohoo ก็เข้ามาเเย่งฐานลูกค้าเเละรุกทำตลาดออนไลน์ได้ประสบความสำเร็จมากกว่า
โดยก่อนที่จะเกิดโรคระบาด สถานการณ์ของ Gap ก็อยู่ในช่วงที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่าง หลังต้องเสียฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ให้กับเเบรนด์ฟาสต์เเฟชั่นที่ราคาถูกกว่าอย่าง Zara, H&M และ Forever 21 ซึ่งเเบรนด์เหล่านี้ก็กำลังปรับทิศทางการขายมาเน้นออนไลน์ เเละปิดสาขาเพื่อลดต้นทุนมากขึ้นเช่นกัน
เมื่อต้นปีนี้ Gap เปิดเผยว่า มีแผนที่จะปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรกว่า 225 แห่งทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างบริษัท โดยวิกฤต COVID-19 ทำให้ Gap ต้องขาดทุนกว่า 740 ล้านปอนด์ในช่วง 3 ไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนพ.ค. จึงเป็นปัจจัยที่เร่งให้เเผนการปรับลดต้นทุนเเละปรับมาทำธุรกิจแบบแฟรนไชส์เร็วขึ้นกว่าเดิม
เหล่านักช้อปเริ่มกลับมาซื้อสินค้าแฟชั่นอีกครั้งหลังร้านต่างๆ กลับมาเปิดอีกครั้ง โดย JP Morgan ระบุว่ายอดขายเสื้อผ้าแฟชั่นในยุโรปลดลงราว 15% ในเดือนก.ค. ฟื้นตัวขึ้นจากเดือนพ.ค. ที่ลดลงถึง 42% ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็มีการเลือกซื้อเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน เช่นมีการสั่งซื้อเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและไม่เป็นทางการมากขึ้น เมื่อต้องทำงาน Work from Home เเละงานสังสรรค์ปาร์ตี้ต่างๆ ถูกยกเลิกไปในช่วงที่ผ่านมา
ที่มา : BBC , The Guardian
]]>อีกหนึ่งความพยายามบนเส้นทางเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม H&M สวีเดน เปิดตัวระบบรีไซเคิลเสื้อผ้า Looop ที่สาขา Drottninggatan กรุงสตอกโฮล์ม โดยเครื่องจักรรีไซเคิลผ้าจะอยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์กระจกใส ทำให้ลูกค้าสามารถชมกระบวนการทำงานได้จากภายนอก และรอรับเสื้อผ้าใหม่หลังรีไซเคิลได้ทันที
กระบวนการทำงานของเครื่องจักรนี้ จะนำเสื้อผ้าเก่าของลูกค้ามาทำความสะอาด หั่นเป็นเส้นใย ปั่นเป็นเส้นด้าย และถักทอขึ้นรูปเป็นเสื้อผ้าชิ้นใหม่ โดยระหว่างกระบวนการจะมีการเติมวัสดุใหม่ลงไปด้วย แต่จะใส่เป็นสัดส่วนให้น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ รวมถึงตลอดกระบวนการจะไม่มีการใช้น้ำและสารเคมีเพิ่ม
ลูกค้าสามารถมาใช้เครื่องจักรที่เหมือนย่อส่วนโรงงานรีไซเคิลผ้าให้เหลือเท่าตู้คอนเทนเนอร์นี้ได้ โดยผู้ที่เป็นสมาชิก H&M จะมีค่าธรรมเนียม 100 โครนาสวีเดน (ประมาณ 350 บาท) ส่วนผู้ที่ไม่เป็นสมาชิกจะมีค่าธรรมเนียม 150 โครนาสวีเดน (ประมาณ 525 บาท) โดยรายได้ทั้งหมดบริษัทจะนำส่งให้โครงการต่างๆ ที่วิจัยเกี่ยวกับวัสดุ
ตัวโครงการเครื่องจักรรีไซเคิล Looop นี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการไม่แสวงหากำไร H&M Foundation ร่วมมือกันพัฒนากับ HKRITA (สถาบันวิจัยด้านสิ่งทอและเครื่องแต่งกายแห่งฮ่องกง) และบริษัทปั่นเส้นด้ายจากฮ่องกง Novetex Textiles
“จุดประสงค์ของโครงการนี้คือการให้แรงบันดาลใจกับลูกค้าของเรา ให้พวกเขาเก็บเสื้อผ้าของตนไว้ใช้ให้นานที่สุดที่เป็นไปได้ แต่ก็ยังช่วยให้พวกเขาเข้าใจด้วยว่า เสื้อผ้าเก่าเหล่านั้นยังมีคุณค่าเมื่อนำไปรีไซเคิล” พาสคาล บรุน หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนแบรนด์ H&M กล่าวกับสำนักข่าว Reuters
“สิ่งที่เราต้องการรีไซเคิลนั้นนอนอยู่ก้นตู้เสื้อผ้าของลูกค้านั่นเอง” อีริค แบง แห่ง H&M Foundation กล่าวเสริม ทั้งนี้ บริษัทไม่เปิดเผยว่าจะมีการขยายตู้คอนเทนเนอร์ปั่นเสื้อผ้าตัวใหม่จากตัวเก่านี้ไปสาขาใดอีกหรือไม่
อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ก่อให้เกิดมลพิษมากที่สุด จากการใช้น้ำและสารเคมีมหาศาลในการผลิตผ้าสักชิ้น โดยมีธุรกิจเสื้อผ้าแบบฟาสต์แฟชั่นเป็นตัวเร่งให้มีการผลิตเสื้อผ้ามากเกินจำเป็น เพราะลักษณะธุรกิจเน้นการกระตุ้นให้ลูกค้าใส่เสื้อผ้าแบบครั้งเดียวทิ้ง และเปลี่ยนเสื้อผ้าตามแฟชั่นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลเสียมากขึ้น ทำให้แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นต่างต้องปรับตัว
เป้าหมายของ H&M หลังการปรับตัวดังกล่าวนั้น ต้องการให้วัสดุ 100% ที่ใช้ผลิตเสื้อผ้าของแบรนด์ทำจากผ้ารีไซเคิลหรือมาจากแหล่งผลิตที่มีความยั่งยืนภายในปี 2030 โดยตัวเลขล่าสุดในปี 2019 อยู่ที่ 57% นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าจะกำจัดการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดระหว่างขั้นตอนผลิตให้ได้ภายในปี 2040
ก่อนหน้านี้ H&M มีโครงการเพื่อกระตุ้นด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นระยะ เช่น โครงการรับคืนเสื้อผ้าเก่าที่สาขาเพื่อบริษัทจะนำไปรีไซเคิล อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ต้องหยุดกะทันหันเพราะโรคระบาด COVID-19 ทำให้เกิดความกังวลในการเก็บเสื้อผ้ามือสอง
นอกจากนี้ H&M Foundation กับ HKRITA มีความร่วมมือกันอีกโครงการหนึ่งในสเกลที่ใหญ่กว่า คือการพัฒนาระบบแยกส่วนเส้นใยฝ้ายกับเส้นใยโพลีเอสเตอร์ออกจากกันในกลุ่มผ้าเส้นใยผสม โดยโรงงานที่จะใช้ระบบนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง
Source: H&M และ Reuters
]]>