Subway – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 05 Jun 2024 12:49:17 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ซับเวย์” เปิดสาขาแบบ “Ghost Kitchen” ตอบโจทย์เดลิเวอรี ดึงพรีเซ็นเตอร์เกาหลี “ชาอึนอู” หนุนการตลาดในไทย https://positioningmag.com/1476665 Wed, 05 Jun 2024 10:18:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1476665 เมื่อ 2 เดือนก่อนทาง บริษัท โกลัค จำกัด ประกาศแผนธุรกิจการรับสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ร้าน “ซับเวย์” (Subway) แต่เพียงผู้เดียวในไทย และตั้งเป้าจะขยายสาขาปีละ 50 สาขาในอีก 10 ปีข้างหน้าไปแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดว่าจะเป็นที่ไหน และจะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาบ้าง

ล่าสุด “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการของโกลัค เล่าถึงความคืบหน้าว่า เดือนกรกฎาคมนี้ “ซับเวย์” สาขาแรกที่เปิดภายใต้การบริหารของโกลัคจะให้บริการที่สาขา “CW Tower” ถ.รัชดาภิเษก เป็นสาขาแรก และมีการปรับดีไซน์ใหม่ให้ดูสดใสขึ้นภายใต้ธีม “Fresh Forward 2.0”

ส่วนการเปิดสาขาใหม่อื่นๆ ในปี 2567 จะมาแน่ๆ “25 สาขา” รวมถึงสาขาไดรฟ์ทรูที่ปั๊ม PT นครชัยศรี กำลังก่อสร้าง เตรียมเปิดให้บริการเดือนพฤศจิกายนนี้

 

Ghost Kitchen เพื่อส่งเดลิเวอรีโดยเฉพาะ

เพชรัตน์ยังแนะนำโมเดลแบบใหม่ของซับเวย์ที่จะเกิดขึ้นในไทยด้วย นั่นคือโมเดล “Ghost Kitchen” ลักษณะเป็นสาขาสำหรับป้อนตลาด “เดลิเวอรี” กับ “สั่งแล้วมารับ” (Order & Pick-up) เท่านั้น

ซับเวย์

เหตุที่มาเน้นสาขาเพื่อส่งเดลิเวอรี เพราะซับเวย์พบว่า สัดส่วนยอดขายของร้านมาจากเดลิเวอรีถึง 40% และถ้าจะมัดใจลูกค้าเดลิเวอรี สาขาของซับเวย์ต้องอยู่ห่างจากลูกค้าไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อให้ค่าส่งไม่เกิน 30 บาท ลูกค้าถึงจะยอมกดสั่ง

แต่ถ้าจะรอขยายสาขารูปแบบปกติที่มีที่นั่งจะต้องใช้เงินลงทุนสูงและการหาพื้นที่ก็ไม่ง่าย ทำให้มาลงตัวที่โมเดล Ghost Kitchen ซึ่งลดพื้นที่ร้านและเงินลงทุนลงได้ครึ่งหนึ่ง เหลือใช้พื้นที่แค่ 20-25 ตร.ม. และเงินลงทุน 2.5 ล้านบาทต่อสาขา

เพชรัตน์คาดว่าปีนี้จะเปิดโมเดลแบบ Ghost Kitchen ได้ 3-5 สาขา โดยเล็งทำเลย่าน ถ.สีลม, ถ.สาธุประดิษฐ์, ถ.จันทน์ เพราะเป็นย่านที่อยู่ท่ามกลางตึกออฟฟิศและคอนโดฯ น่าจะมีลูกค้าสั่งเดลิเวอรีสูง

 

ดึง “ชาอึนอู” ทำแคมเปญในไทย

ระหว่างที่รอสาขาแรกสร้างเสร็จ ทางโกลัคก็ไม่ได้รอช้าในการทำการตลาด โดยมีการดึง “ชาอึนอู” ซึ่งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ “ซับเวย์” ในระดับเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) มาขึ้นป้ายทำแคมเปญในไทยด้วย โดยทุ่มงบลงทุนถึง 30 ล้านบาท

“Subway Pop-up Store @ AIS SIAM”

แคมเปญของซับเวย์ไทยกับชาอึนอูจะเน้นสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยมีโปรเจ็กต์ร่วมกับ AIS ตั้ง “Subway Pop-up Store @ AIS SIAM” กลางแหล่งวัยรุ่นสยามสแควร์ และสาขานี้จะเป็นสาขาพิเศษที่มี “สแตนดี้” ของชาอึนอูให้แฟนๆ ได้มาถ่ายรูปคู่

ส่วนแคมเปญทั่วประเทศกับซับเวย์ทั้ง 148 สาขา ลูกค้าสามารถซื้อสินค้ามูลค่าเท่าไหร่ก็ได้แล้วสแกน QR CODE ในใบเสร็จเพื่อตอบแบบสอบถามง่ายๆ จากนั้นรับสิทธิโหลดดิจิทัล วอลเปเปอร์ชาอึนอูไปได้เลย โดยมีทั้งหมด 4 แบบให้สะสม เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม – 28 มิถุนายน 2567

ซับเวย์ ชาอึนอู
เพชรัตน์ อุทัยสาง กับสแตนดี้ชาอึนอู แบรนด์แอมบาสเดอร์ของซับเวย์

เนื่องจากชาอึนอูจะหมดสัญญาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ซับเวย์วันที่ 28 มิถุนายนนี้ ทำให้เป็นแคมเปญระยะสั้นในเมืองไทย แต่เพชรัตน์แย้มว่าปีหน้าซับเวย์จะมีการทำแคมเปญแบบ “Soft Power” กับช่องโทรทัศน์/ผู้ผลิตซีรีส์ในไทย เพื่อทำให้ชื่อ “ซับเวย์” ติดหูคนไทยมากกว่านี้

  • “ซับเวย์” เปลี่ยนสู่มือ “พีทีจี” ตั้งเป้าขยาย 500 สาขาใน 10 ปี เปิดโมเดล “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี
  • กำลังซื้อต่ำทำพิษ! “KFC” ในมือ “CRG” ลดเป้าการเติบโตปี 2567 เหลือ 7-8%

นอกจากนี้ ซับเวย์จะเริ่มใช้ประโยชน์จากการอยู่ภายใต้อาณาจักร “PTG” ด้วยโปรโมชันพิเศษร่วมกับ PT Max Card ใช้คะแนน Max Point มาแลกซื้อสินค้าราคาพิเศษที่ซับเวย์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. – 31 ก.ค. 67 ซึ่งจะทำให้ซับเวย์ได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาลองชิมสินค้ามากขึ้น

]]>
1476665
“ซับเวย์” เปลี่ยนสู่มือ “พีทีจี” ตั้งเป้าขยาย 500 สาขาใน 10 ปี เปิดโมเดล “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี https://positioningmag.com/1471172 Thu, 25 Apr 2024 10:41:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471172
  • “ซับเวย์” (Subway) ในไทยเปลี่ยนมืออีกครั้งหลัง “โกลัค” ได้สิทธิบริหารมาสเตอร์แฟรนไชส์ โดยบริษัทนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างยักษ์พลังงาน “พีทีจี” กับ “เพชรัตน์ อุทัยสาง”​ ผู้บริหารมือเก๋าในวงการ QSR
  • ปัจจุบันซับเวย์ในไทยมีอยู่ 148 สาขา โกลัคจะลงทุนเพิ่มปีละ 50 สาขา รวม 10 ปี 500 สาขา และจะเป็น Top 3 ในธุรกิจ QSR เมืองไทยภายใน 3 ปี
  • โมเดลร้านแบบใหม่จะเปิดร้านแบบ “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี ภายในไตรมาส 4
  • “บริษัท โกลัค จำกัด” ประกาศได้สิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของแบรนด์ร้าน “ซับเวย์” (Subway) ในไทยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยบริษัทนี้เป็นบริษัทร่วมทุนของยักษ์ใหญ่พลังงานอย่าง “บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี” (PTG) ถือหุ้น 70% กับ “เพชรัตน์ อุทัยสาง” ถือหุ้น 30% (รวมทั้งในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล)

    (ซ้าย) “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี และ (ขวา) “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด

    “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี กล่าวว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) คือ 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่บริษัทจะเข้าลงทุนตามแผนการกระจายพอร์ตโฟลิโอ (Diversify) โดยพีทีจีมี F&B ที่เป็นเรือธงอยู่แล้วอย่าง “กาแฟพันธุ์ไทย” ที่ขยายไปกว่า 800 สาขาทั่วประเทศ การได้สิทธิร้าน “ซับเวย์” เข้ามาในพอร์ตจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในการขยายพอร์ตธุรกิจนี้ให้กว้างขึ้น โดยจะใช้โกลัคเป็นบริษัทที่คว้าสิทธิการบริหาร F&B แบรนด์อื่นๆ เข้ามาอีกในอนาคต

    ปัจจุบันธุรกิจกลุ่มที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ในรายได้รวมของพีทีจี พิทักษ์กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะทำให้สัดส่วนกลุ่มนี้ขึ้นไปแตะ 40-50% ภายในปี 2570

     

    โหมขยาย 500 สาขา “ซับเวย์” ภายใน 10 ปี

    “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด กล่าวต่อถึงเป้าหมายของ “ซับเวย์” ในไทยภายใต้การบริหารของโกลัค จะมีการขยายสาขารวม 500 สาขาภายใน 10 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 50 สาขา โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 4-5 ล้านบาท

    จากเป้าหมายดังกล่าว เชื่อว่าซับเวย์จะได้ขึ้นเป็น Top 3 ร้านอาหารประเภทจานด่วน หรือ QSR (Quick Service Restaurant) ในไทยภายใน 3 ปี โดยวัดทั้งจากด้านรายได้และจำนวนสาขา

    หากวัดจากจำนวนสาขา Positioning พบว่าถ้าซับเวย์ขยายได้ตามเป้า อนาคตจะเป็นรองแค่เพียง “KFC” ที่เปิดไปมากกว่า 1,000 สาขา (*รวมสิทธิแฟรนไชส์ของทุกบริษัท) และ “แมคโดนัลด์” ซึ่งมีกว่า 220 สาขาในปัจจุบัน

    ซับเวย์
    ตัวอย่างเมนูแซนด์วิชของซับเวย์

    เพชรัตน์กล่าวต่อว่า แผนการเปิดสาขาจะมีการขยายไปทุกจุดที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาล สนามบิน ตึกสำนักงาน และสถานีน้ำมัน ซึ่งกรณีสาขาในปั๊มน้ำมันจะไม่มีการจำกัดโอกาสเรื่องที่ตั้ง สามารถเปิดในปั๊มน้ำมันได้ทุกแบรนด์

    นอกจากสถานที่ตั้งแล้ว เพชรัตน์มองว่าซับเวย์จะต้องเจาะตลาดต่างจังหวัดให้มากกว่าเดิม โดยวางเป้าจะบุกตลาดเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองการศึกษาเป็นหลัก เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่

    ซับเวย์ ภายใต้โกลัคจะเริ่มเปิดสาขาแรกเดือนมิถุนายนนี้ และจะมีโมเดลใหม่เกิดขึ้นช่วงไตรมาส 4 เป็นร้านแบบ “ไดรฟ์ทรู” ครั้งแรกในไทยของซับเวย์ ซึ่งจะเปิดทำการที่ “ปั๊มพีที นครชัยศรี”

    สำหรับสาขาเดิมของซับเวย์ในไทยมีทั้งหมด 148 สาขา ซึ่งโกลัคจะได้สิทธิเฉพาะการเก็บค่าบริหารแฟรนไชส์ ขณะที่รายได้เต็มจากยอดขายอาหารจะมาจากสาขาใหม่ที่โกลัคเป็นผู้ลงทุนเปิดเองเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เฉลี่ยปีละ 10 ล้านบาทต่อสาขา (*สำหรับสาขาขนาดมาตรฐาน 50 ตร.ม.)

     

    อยู่มานาน 2 ทศวรรษแต่ยังไม่ปัง

    ประวัติการโลดแล่นของ “ซับเวย์” ในประเทศไทยผ่านความเปลี่ยนแปลงมามาก เพราะแบรนด์นี้เข้ามาเปิดในไทยตั้งแต่ปี 2546 แต่ช่วงเริ่มต้น Subway International บริษัทแม่ของซับเวย์ในสหรัฐฯ เลือกบริหารโดยให้สิทธิแฟรนไชส์ในไทยแยกเป็นหลายบริษัท รวมแล้วเคยมีผู้ได้รับสิทธิพร้อมกันกว่า 20 บริษัท ต่างคนต่างบริหารสาขาในมือตามเขตที่ได้รับสิทธิมา

    ด้วยเหตุที่เคยมีหลายบริษัทถือสิทธิ ซับเวย์จึงไม่ค่อยได้ทำการตลาดเพราะไม่มี ‘เจ้ามือ’ ที่แน่ชัด ทำให้กลุ่มลูกค้าหลักมักจะเป็นชาวต่างชาติที่รู้จักแบรนด์นี้อยู่แล้วมากกว่าคนไทย

    จนกระทั่งปี 2562 มี “บริษัท อะเบาท์ แพสชั่น กรุ๊ป จำกัด” ที่ร้องขอจนได้รับโอกาสจากบริษัทแม่ให้ถือสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ในไทย ทำให้ซับเวย์มีการทำการตลาดถึงคนไทยมากขึ้น และมีการขยายสาขาเข้าพื้นที่คนไทย เช่น ปั๊มน้ำมัน

    แต่เมื่อต้นปี 2567 นี้เอง “เพชรัตน์” ระบุว่า ทาง Subway International มีการเปิดเฟ้นหาผู้รับสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์รายใหม่ในไทย จึงทำให้ “โกลัค” เห็นโอกาสเข้าไปเสนอแผนและสิทธิได้เปลี่ยนมือมาสู่กลุ่มพีทีจี

     

    ยังต้องแก้โจทย์เดิมคือ “สั่งยาก” – “ราคาสูง”

    เพชรัตน์มองว่า ที่จริงแล้วซับเวย์มีจุดแข็งที่ชัดเจน คือการเป็น QSR ที่เหมาะกับ “สุขภาพ” มากที่สุด ด้วยเมนูอาหารมีผักสดให้เลือกหลากหลาย และใช้ขนมปังอบสดใหม่ในร้าน

    ซับเวย์

    เพียงแต่ว่าจุดอ่อนก็มีไม่น้อย จากการวิจัยผู้บริโภคพบว่าส่วนใหญ่รู้สึกว่าร้านซับเวย์ “สั่งยาก” จากการที่ต้องเลือกทั้งชนิดขนมปัง เลือกไส้ เลือกผัก เลือกซอส รวมถึงผู้บริโภคมองว่า “ราคา” ยังแพงกว่าถ้าเทียบกับ QSR แบรนด์อื่น

    • 40 ปีทั้งที KFC ประเทศไทยเปิดตัว “แบมแบม กันต์พิมุกต์” เป็น Friend of KFC คนแรกของประเทศไทย
    • “แมคโดนัลด์” กับรายได้นิวไฮในประวัติศาสตร์  7.2 พันล้าน อานิสงส์เปิดร้านในสุวรรณภูมิ

    ทั้งหมดคือโจทย์ที่ซับเวย์ในไทยจะต้องแก้โจทย์ต่อไป โดยเพชรัตน์วางแผนแก้ไขเรื่องการสั่งอาหารด้วยการจัด “เมนูยอดฮิต” ให้ลูกค้าสั่งได้โดยไม่ต้องเลือกส่วนประกอบต่างๆ เพราะซับเวย์จัดไว้ให้แล้ว รวมถึงจะเริ่มลงระบบ “สั่งอาหารด้วยตนเอง” (Self-Order) ไม่ว่าจะสั่งผ่าน Kiosk หรือผ่าน QR CODE บนมือถือ เพื่อให้ลูกค้าสบายใจขึ้นในการใช้เวลาเลือกและไม่ต้องห่วงว่าจะอ่านออกเสียงชื่อเมนูหรือซอสต่างๆ ผิด

    ส่วนปัญหา “ราคา” เพชรัตน์กล่าวว่าจะแก้โจทย์นี้แน่นอน ขณะนี้กำลังพิจารณาแนวทางต่างๆ เช่น ลดไซส์ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาชิมง่ายขึ้น หรือ พัฒนาเมนูที่ต้นทุนต่ำลง เพื่อทำราคาให้แข่งขันกับ QSR อื่นได้

    การเปลี่ยนมือครั้งนี้ของสิทธิแฟรนไชส์ “ซับเวย์” เป็นการย้ายเข้ามาอยู่ใต้ร่มหลังคาบ้านขนาดใหญ่ จากเครือข่ายของพีทีจีที่มีสมาชิกบัตร PT Max Card มากกว่า 21 ล้านสมาชิก และมีเครือข่ายสถานีน้ำมันมากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ น่าจะช่วยให้ซับเวย์มีแต้มต่อมากขึ้นในการเป็น QSR ในดวงใจของคนไทย

    ]]>
    1471172
    Subway ขายกิจการให้กับเจ้าของ Baskin-Robbins และ Dunkin’ มูลค่า 335,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1442373 Fri, 25 Aug 2023 07:02:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442373 Roark Capital บริษัทลงทุนบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ได้เป็นเจ้าของกิจการเชนร้านแซนด์วิชชื่อดังอย่าง Subway แล้ว ด้วยมูลค่าถึง 9,550 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากผู้ก่อตั้งได้ประกาศขายกิจการ และหาผู้ที่สนใจซื้อกิจการตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023

    เชนร้านแซนด์วิชชื่อดังอย่าง ซับเวย์ (Subway) ล่าสุดได้เจ้าของใหม่เป็น Roark Capital บริษัทลงทุนบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) แล้ว โดยปิดดีลการซื้อกิจการไปถึง 9,550 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยราวๆ 3.35 แสนล้านบาท หลังจากที่ผู้ก่อตั้งกิจการต้องการขายกิจการในช่วงเดือนมกราคม

    ก่อนหน้านี้มีคู่แข่งหลายรายที่ต้องการประมูลซื้อกิจการ ไม่ว่าจะเป็น Private Equity รายใหญ่อย่าง Bain Capital และ TDR Capital ที่ได้จับมือกับ EG Group รวมถึง TPG เป็นต้น อย่างไรก็ดีในการประมูลซื้อกิจการ คู่แข่งเหล่านี้ได้ให้มูลค่ากิจการต่ำกว่าที่ Roark Capital

    การซื้อกิจการ Subway นั้นมีเงื่อนไขการซื้อกิจการว่าจะมีการจ่ายเงินเต็มมูลค่า 9,550 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับตระกูล DeLuca และ Buck ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกิจการ ก็ต่อเมื่อกระแสเงินสดของเชนร้านแซนด์วิชตรงกับเงื่อนไขของ Roark Capital ในช่วง 2 ปีหลังจากนี้

    ถ้าหากไม่ใช้เงื่อนไขดังกล่าว สำนักข่าว Reuters รายงานว่าดีลดังกล่าวจะมีมูลค่า 8,950 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของตระกูล DeLuca และ Buck ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกิจการที่ต้องการขายกิจการให้ได้มูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

    เงื่อนไขในการซื้อกิจการดังกล่าวทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถเจรจาและปิดดีลกันได้ในที่สุด เพราะ Roark Capital จะจ่ายเงินตามเงื่อนไขที่ผลประกอบการ Subway ทำได้ ขณะเดียวกันตระกูล DeLuca และ Buck ก็ไม่โดนกดราคาจากผู้ซื้อกิจการรายอื่น ที่มองว่าเชนร้านแซนด์วิชนั้นเป็นธุรกิจที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว

    John Chidsey ซึ่งเป็น CEO ของ Subway กล่าวว่า ดีลการซื้อกิจการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวของบริษัท และมูลค่าของแบรนด์และแฟรนไชส์ของเราทั่วโลก นอกจากนี้ยังมองเห็นอนาคตที่สดใสภายใต้การบริหารของ Roark Capital ด้วย

    สำหรับ Roark Capital นั้นถือเป็นเจ้าของกิจการหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Baskin-Robbins หรือ Arby’s ที่เป็นเชนร้านฟาสต์ฟู้ดที่เน้นขายแซนด์วิช หรือแม้แต่เป็นเจ้าของกิจการ Dunkin’ ด้วย

    ในปี 2021 เชนร้านแซนด์วิชรายนี้มีสาขาราวๆ 37,000 สาขา ยอดขายรวมอยู่ที่ 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2020 ซึ่งทั่วโลกประสบกับวิบากกรรมของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้ Subway มีรายได้ลดลง และยังต้องทำให้บริษัทต้องจ้าง CEO ภายนอกมาดูแลกิจการแทนตระกูล DeLuca

    โดยยอดขายของ Subway ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเติบโต 9.8% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา แต่บริษัทก็พบกับอุปสรรคไม่น้อยเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น หรือแม้แต่ต้นทุนสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นจากปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา

    ที่มา – BBC News, Yahoo Finance, Reuters

    ]]>
    1442373
    ศึกชิงร้านแซนด์วิช Subway เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังมีผู้เข้าร่วมประมูลกิจการมากกว่า 4 ราย https://positioningmag.com/1421931 Mon, 06 Mar 2023 11:42:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421931 ศึกชิงร้านแซนด์วิชแสนล้านอย่างซับเวย์ (Subway) กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากที่สื่อต่างประเทศอย่าง Sky News ของอังกฤษได้รายงานว่ามีผู้เข้าร่วมประมูลกิจการไม่ต่ำกว่า 4 ราย และยังมีผู้สนใจที่อาจกระโดดเข้าร่วมประมูลกิจการด้วย รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าอาจต้องมีการจับมือประมูลกิจการเนื่องจากขนาดกิจการที่ใหญ่ ต้องใช้เงินมาก

    สำนักข่าว Sky News ของอังกฤษได้รายงานข่าวว่า มีผู้สนใจในการประมูลร้านแซนด์วิชชื่อดังอย่าง Subway มากกว่า 5 ราย หลังจากที่มีข่าวว่าบริษัทจะขายกิจการในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และมีการชี้แจงอย่างเป็นทางการว่าบริษัทกำลังดูลู่ทางขายกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

    ผู้ที่สนใจประมูลกิจการของ Subway ได้แก่เหล่าบรรดาบริษัทลงทุนในบริษัทนอกจากตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) เช่น Bain Capital และ TDR Capital ที่ได้จับมือกับ EG Group รวมถึง TPG นอกจากนี้ยังมีบริษัทบริหารจัดการกองทุน (บลจ.) อย่าง Goldman Sachs Asset Management ก็เข้าร่วมด้วย

    ไม่เพียงเท่านี้ Sky News ยังรายงานว่ามี TSG Consumer Partners ก็กำลังจับตาดีลดังกล่าวด้วย

    ในปี 2021 นั้น Subway มีสาขาทั้งสิ้น 37,000 สาขาใน 100 ประเทศทั่วโลก ไม่เพียงเท่านี้ ร้านแซนด์วิชรายดังกล่าวยังถือเป็นเชนร้านอาหารประเภทเสิร์ฟด่วน (QSR) ที่มีสาขาในสหรัฐอเมริกามากที่สุดอีกราย และในปีดังกล่าวยอดขายของเชนร้านแซนด์วิชรายนี้อยู่ที่ 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2020 หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรายได้ของเชนร้านดังกล่าวลดลง

    คาดว่าการประมูลกิจการนั้นอาจใช้เงินมากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้ เนื่องจากผู้ร่วมเข้าประมูลนั้นสนใจในกิจการดังกล่าวจำนวนมาก และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการจับมือกันเพื่อประมูลกิจการ เนื่องจากธุรกิจมีขนาดใหญ่ และต้องใช้เงินมหาศาล

    ที่มา – Sky News

    ]]>
    1421931
    สื่อนอกรายงาน Subway ดูลู่ทางขายกิจการ ดีลอาจมีมูลค่าสูงถึง 334,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1415145 Thu, 12 Jan 2023 08:56:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415145 เชนร้านแซนด์วิชอย่าง Subway ล่าสุดเตรียมหาลู่ทางที่จะขายกิจการแล้ว ซึ่งดึงดูดนักลงทุนหลายประเภท คาดว่ามูลค่ากิจการอาจสูงถึง 334,000 ล้านบาท ในปี 2021 ยอดขายของเชนร้านแซนด์วิชรายนี้กลับมาฟื้นตัวได้ถึง 13% จากปี 2020 อย่างไรก็ดีการดูลู่ทางนั้นเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น และบริษัทอาจไม่ขายกิจการก็ได้

    สื่อต่างประเทศทั้ง Reuters และ Wall Street Journal รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า ซับเวย์ (Subway) เตรียมดูลู่ทางที่จะขายธุรกิจให้กับนักลงทุนที่สนใจ โดยคาดว่ามูลค่ากิจการของเชนร้านแซนด์วิชรายนี้จะสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 334,000 ล้านบาท

    โดยแหล่งข่าวของสื่อทั้ง 2 แห่งรายงานว่าบริษัทกำลังเริ่มต้นหาลู่ทางในการขายกิจการ คาดว่าดีลดังกล่าวนั้นดึงดูดทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาที่ทำธุรกิจร้านอาหาร รวมถึงบริษัทที่เน้นลงทุนในกิจการนอกตลาดหุ้น (Private Equity) ให้สนใจเข้ามาซื้อกิจการของ Subway

    ในปี 2021 ยอดขายของเชนร้านแซนด์วิชรายนี้อยู่ที่ 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2020 ซึ่งทั่วโลกประสบกับวิบากกรรมของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้ Subway มีรายได้ลดลง และยังต้องทำให้บริษัทต้องจ้าง CEO ภายนอกมาดูแลกิจการแทนตระกูล DeLuca ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท

    สาขาทั่วโลกของ Subway ในปี 2021 ที่ผ่านมามีสาขาทั้งสิ้น 37,000 สาขาใน 100 ประเทศทั่วโลก ไม่เพียงเท่านี้ ร้านแซนด์วิชรายดังกล่าวยังถือเป็นเชนร้านอาหารประเภทเสิร์ฟด่วน (QSR) ที่มีสาขาในสหรัฐอเมริกามากที่สุดอีกราย

    ขณะที่ร้าน Subway ในประเทศไทยนั้นทาง อะเบาท์ แพสชั่น เป็นผู้ที่ได้มาสเตอร์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวและคาดว่าสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมาจะมีสาขาทั่วประเทศมากกว่า 200 สาขา

    อย่างไรก็ดีในการดูลู่ทางขายกิจการนั้นยังเป็นขั้นตอนเริ่มต้น และเชนร้านแซนด์วิชอาจตัดสินใจไม่ขายกิจการ นอกจากนี้ตัวแทนของบริษัทยังไม่ขอตอบเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แต่ได้กล่าวถึงการพาบริษัทกลับมาสู่เส้นทางทำกำไรอีกครั้ง

    ]]>
    1415145
    ยุคใหม่ “ซับเวย์” แก้โจทย์คนไทย “สั่งไม่เป็น” เป้า 10 ปี 1,000 สาขา ท้าชิงขึ้น Top 3 ฟาสต์ฟู้ด https://positioningmag.com/1393059 Mon, 18 Jul 2022 11:39:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393059 ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ น่าจะสังเกตเห็นว่าร้าน “ซับเวย์” (Subway) เริ่มเปิดสาขาเพิ่มอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะตามปั๊มน้ำมัน เหตุเพราะการเข้ามาลุยตลาดของ “อะเบาท์ แพสชั่น” ที่ปัจจุบันได้มาสเตอร์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวในไทย และพร้อมลงทุนขยายให้ครบ 1,000 สาขาภายใน 10 ปี ลุยแก้อุปสรรคของผู้บริโภคไทย “สั่งไม่เป็น” และแบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก

    ร้านอาหาร “ซับเวย์” (Subway) เข้ามาครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2546 แม้จะอยู่มานานแต่ชื่อเสียงของแบรนด์ก่อนหน้านี้ก็อยู่ในวงจำกัด ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ขณะที่คนไทยไม่นิยม หรือเรียกได้ว่าคนไทยไม่รู้จักแบรนด์นี้ก็ว่าได้

    เพชรัตน์ อุทัยสาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อะเบาท์ แพสชั่น กรุ๊ป จำกัด เจ้าของมาสเตอร์แฟรนไชส์ซับเวย์ที่เพิ่งได้สิทธิเต็มอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เล่าให้ฟังว่า บริษัทมีการสำรวจตลาดพบว่า จุดเด่นแบรนด์คือการเป็นแซนด์วิชแบบ DIY ให้เลือกประเภทขนมปังได้ถึง 5 แบบ เลือกไส้ เลือกผัก เลือกซอสเองได้ แต่สิ่งนี้ก็กลายเป็นดาบสองคมที่ไทยด้วย เพราะคนไทยที่ไม่ทานก็เป็นเพราะว่าซับเวย์ “สั่งยาก สั่งไม่เป็น”

    Subway
    ความท้าทายของ “ซับเวย์” : ลูกค้าคนไทย ‘งง’ ตั้งแต่เลือกชนิดขนมปัง ทำให้ต้องทำการตลาดเพิ่ม

    อุปสรรคเหล่านี้ไม่เคยมีเจ้าภาพในการแก้ไข เพราะการขายแฟรนไชส์ของซับเวย์แตกต่างจากเชนร้านอาหารจานด่วน (QSR: Quick Service Restaurant) โดยทั่วไป ที่ผ่านมาในไทยมีแฟรนไชซีที่รับสิทธิจากบริษัทแม่โดยตรงมามากกว่า 20 บริษัท แต่ละบริษัทมีเขตดูแลของตนเอง และบางบริษัทมีการเปิดสาขาแค่เพียง 3-4 สาขาเท่านั้น นั่นทำให้การลงทุนทางการตลาดของบริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งไม่คุ้มค่า

    ขณะที่อะเบาท์ แพสชั่นนั้นเพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2561 แม้จะเป็นหน้าใหม่ แต่เพชรัตน์นั้นคือผู้บริหารหญิงที่อยู่ในวงการร้านอาหารมามากกว่า 15 ปี เคยทำงานกับแมคโดนัลด์ ประเทศไทยมายาวนาน จึงมีความถนัดในธุรกิจนี้โดยตรง

    ซับเวย์
    เพชรัตน์ อุทัยสาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อะเบาท์ แพสชั่น กรุ๊ป จำกัด

    อะเบาท์ แพสชั่นเข้ามาเป็นแฟรนไชซีเจ้าหนึ่งของซับเวย์เมื่อปี 2562 ด้วยความตั้งใจที่จะปั้นแบรนด์ให้แจ้งเกิดในไทยอย่างแท้จริง จนทำให้บริษัทแม่ยอมให้ประเทศไทยมีมาสเตอร์แฟรนไชส์เพียงบริษัทเดียวในปีนี้ โดยมีแค่ 3 ประเทศในโลกที่ซับเวย์ยอมทำธุรกิจในลักษณะมาสเตอร์แฟรนไชส์

    “คนที่รู้ว่าตอนนั้นเราจะเลือกซื้อแฟรนไชส์ซับเวย์ เขาบอกเลยว่า ‘บ้าหรือเปล่าพี่’ เพราะตั้งแต่เข้ามาเปิดในไทย แบรนด์ไม่เคยดังเลย รายได้ก็แทบไม่เติบโต แต่เรากลับมองเห็นว่าทำได้ เพราะว่าไทยกำลังเกิดเทรนด์ใส่ใจสุขภาพ และเราเป็นร้านเดียวที่มีผักเยอะมากให้เลือก ซับเวย์จึงเป็น QSR เดียวในไทยที่ไม่ใช่ Junk Food” เพชรัตน์กล่าว

     

    3 ปีแรกวางรากฐาน “ไซส์เล็ก-เปิดในปั๊ม”

    ตั้งแต่ปี 2562 บริษัทมีการวางโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนมาก คือ การเลือกใช้โมเดลร้านเล็ก 50 ตร.ม. เข้าไปเปิดใน “ปั๊มน้ำมัน” เป็นหลัก รวมถึงตามตึกแถวในแหล่งชุมชน ไฮเปอร์มาร์เก็ต คอมมูนิตี้ มอลล์ เพราะขณะนั้นเพชรัตน์เห็นว่าถ้าเข้าศูนย์การค้าจะเจอคู่แข่งที่แข็งแรงจำนวนมาก โอกาสแจ้งเกิดน้อยลง จึงขอหลบทำเลดีกว่า

    ซับเวย์
    โมเดลร้านไซส์เล็ก 50 ตร.ม. ตั้งในปั๊มน้ำมัน (ภาพจากสาขา ปตท. พระราม 2 ซอย 48)

    ปรากฏว่าเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เพราะร้านเล็กลงทุนน้อยเพียง 4 ล้านบาทต่อสาขา คู่แข่งในปั๊มน้อย เดลิเวอรีง่าย ประกอบกับไทยเริ่มเผชิญ COVID-19 ในปี 2563 ยิ่งทำให้ร้านได้โอกาสเพราะไม่ถูกล็อกดาวน์ และคนไทยสั่งเดลิเวอรีกันมากยิ่งขึ้น

    โชคดีอีกประการที่เกิดขึ้นคือ “ซีรีส์เกาหลี” ชื่อดัง เช่น Goblin, Record of Youth มีการ tie-in ร้านซับเวย์ (ในเกาหลีใต้) พอดี ทำให้คนไทยที่ได้ชมรู้จักแบรนด์มากขึ้นและเกิดดีมานด์ โดยบริษัทไม่ต้องลงทุนการตลาดเลย

    ปัจจุบันอะเบาท์ แพสชั่นขยาย “ซับเวย์” ไปแล้ว 142 สาขา และสิ้นปี 2565 นี้ตั้งเป้าเพิ่มให้ครบ 214 สาขา ทำรายได้เมื่อปี 2564 ไปมากกว่า 500 ล้านบาท และตั้งเป้าปีนี้รายได้จะเติบโต 3 เท่า

    ฉากหนึ่งในเรื่อง Goblin ถ่ายทำในร้านซับเวย์

     

    เป้า 1,000 สาขา ขอขึ้น Top 3 เชนร้านฟาสต์ฟู้ด

    เมื่อได้มาสเตอร์แฟรนไชส์มาแล้ว ทำให้การวางแผนกลยุทธ์ลุยเดินหน้าได้เต็มที่ ขยับได้มากขึ้น เพชรัตน์ระบุว่าอะเบาท์ แพสชันมี 6 เป้าหมายที่จะทำให้ได้กับแบรนด์ซับเวย์ คือ

    1. เป็น Top 3 ในธุรกิจ QSR ภายใน 3 ปี โดยวัดจากจำนวนสาขาปัจจุบันถือว่าอยู่ในอันดับ 3 แล้ว แต่ในแง่ยอดขายรวมยังต้องใช้เวลา (*อันดับ 1 คือ KFC และอันดับ 2 คือ แมคโดนัลด์)
    2. เปิดให้ครบ 1,000 สาขา ภายใน 10 ปี โดยจะต้องเปิดใหม่เฉลี่ยปีละ 70-80 สาขา และคาดว่าในปี 2575 เมื่อเปิดครบตามเป้าจะทำรายได้ปีละ 9,000 ล้านบาท
    3. Brand Awareness ต้องดีขึ้น ดังที่กล่าวไปว่าโจทย์หลักของซับเวย์ไทยคือไม่เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
    4. สาขาเยอะ เข้าถึงง่าย สอดคล้องกับการระดมเปิดสาขา และหลายสาขาจะเปิดตั้งแต่ 00 – 22.00 น. ครอบคลุมทุกมื้ออาหาร บางสาขาจะเปิด 24 ชั่วโมงด้วย
    5. ตัวเลือกแรกของมื้อเช้า เนื่องจากเปิดเช้าทำให้ซับเวย์เป็นตัวเลือกที่คนนึกถึงเมื่อจะทานอาหารเช้า
    6. ทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย เนื่องจากบริษัทเล็ก งบไม่สูง ดังนั้นจะเน้นการตลาดดิจิทัลและ KOL

     

    แก้โจทย์ “สั่งไม่เป็น” ให้ลูกค้า “อร่อยตามสูตร”

    แล้วซับเวย์จะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร? เมื่อปัญหาหลักคือเรื่อง “สั่งยาก สั่งไม่เป็น” ทีมอะเบาท์ แพสชั่นจึงพลิกแพลง จัด 6 เมนูยอดฮิต ให้พนักงานร้านถามลูกค้าที่ไม่คุ้นชินกับแบรนด์ว่าจะ “อร่อยตามสูตรเลยไหมคะ/ครับ” นั่นคือพนักงานจะทำแซนด์วิชแบบมาตรฐานสำหรับไส้นั้นๆ ใส่ผักใส่ซอสที่เหมาะสมให้เสร็จสรรพ ลูกค้าไม่ต้องคิดมากหรือเคอะเขินที่หน้าบาร์อีกต่อไป

    ผักเยอะ ซอสมาก ลูกค้าเลือกยาก แก้ได้ด้วยการทำสูตรมาตรฐาน ให้ลูกค้าสั่งอร่อยตามสูตรได้โดยไม่ต้องเลือก

    หรือถ้าลูกค้าสั่งผ่านเดลิเวอรีก็จะเห็นว่ามีรายละเอียดคำแนะนำแต่ละเมนูว่า เมนูนี้สามารถทานใส่ซอสอะไรจะอร่อยที่สุด

    • กลยุทธ์ร้านอาหารปั้น “มาสคอต” มาช่วย “คุยกับลูกค้า” สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่จดจำ

    นอกจากนี้ บริษัทกำลังเร่งพัฒนาเมนูที่เป็นไส้แบบไทยๆ ขึ้นมา เพื่อลดกำแพงที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าซับเวย์เป็นแบรนด์ฝรั่ง สินค้าคงไม่ถูกปากคนไทย เป็นอีกส่วนที่ช่วยสร้างแบรนด์คู่ไปกับการโปรโมตเรื่องร้าน QSR ที่ดีต่อสุขภาพ อาหารทำสด สะอาด

    ตัวอย่างเมนูแรกที่ทำการ ‘localized’ เมนูซีฟู้ดแพตตี้ ซอสต้มยำ

     

    เตรียมออกไซส์ 4 นิ้ว ราคาประหยัด

    ประเด็นถัดมาที่สำคัญคือ อุปสรรคการเปิดสาขาต่างจังหวัด นอกจากแบรนด์ไม่เป็นที่รู้จักแล้ว ยังมีเรื่องราคาอาจจะสูงเกินไป เพราะราคาเฉลี่ยของซับเวย์อยู่ที่ 99 บาทต่อแซนด์วิชขนาด 6 นิ้วหนึ่งชิ้น

    ทำให้ในปีนี้จะได้เห็น “ซับเวย์” ออกแซนด์วิชขนาด 4 นิ้ว คาดว่าจะทำราคาได้ไม่เกิน 60 บาท เปิดประตูให้ลูกค้าใหม่ลองชิม และลูกค้าที่ชื่นชอบรสชาติแล้วตัดสินใจกลับมาทานซ้ำได้เรื่อยๆ

    (ภาพจาก สาขาเอสโซ่ ราชพฤกษ์)

    นอกจากนี้ ซับเวย์ยังทำเมนูและโปรโมชันสำหรับมื้อเช้าโดยเฉพาะ เปิดเมนูไซส์ 6 นิ้วราคาเริ่มต้น 59 บาท +19 บาทรับกาแฟร้อนทานคู่กัน เพื่อเร่งยอดขายในช่วงเช้า ชิงความได้เปรียบจากการเปิดสาขาในปั๊มน้ำมันเป็นหลัก

    • ชำแหละกลยุทธ์ ‘ชิค-อะ-บูม’ จากเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ลั่นกลองรบด้วย ‘ไก่ชิ้นใหญ่’ ท้าชน ‘KFC’

    การแจ้งเกิดครั้งใหม่ของ “ซับเวย์” ในไทยต่อจากนี้จึงน่าสนใจมาก เพราะจะต้องเบียดแย่งลูกค้าในตลาด QSR ที่แข่งดุ มีแบรนด์ดังๆ อยู่แล้วมากมาย เช่น KFC, แมคโดนัลด์, เบอร์เกอร์คิง, เท็กซัส ชิคเก้น ต้องติดตามกันต่อว่า การทำตลาดเต็มที่และมีทิศทางเจาะผู้บริโภคไทยชัดเจนของซับเวย์ภายใต้บริษัทใหม่หนึ่งเดียวจะสำเร็จหรือไม่

    ]]>
    1393059
    ต่างชาติถอนทุนจาก “รัสเซีย” แล้วกว่า 400 บริษัท แต่หลายแบรนด์ยังหย่าขาดไม่ได้เพราะเหตุนี้… https://positioningmag.com/1378207 Sat, 19 Mar 2022 07:14:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1378207 บริษัทต่างชาติถอนทุนออกจาก “รัสเซีย” แล้วกว่า 400 บริษัท ตามมาตรการร่วมกันคว่ำบาตรตอบโต้การทำสงคราม แต่หลายๆ แบรนด์ตะวันตกก็ยังออกจากรัสเซียไม่ได้ เพราะสัญญาสิทธิแฟรนไชส์ที่ซับซ้อน แบรนด์ใหญ่เหล่านี้ที่ยังต้องอยู่ต่อ เช่น Burger King, Subway, Marks & Spencer

    วลาดิเมียร์ เซเลนสกี้ ประธานาธิบดีแห่งยูเครน เพิ่งร้องขอสภาครองเกรสของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยขอให้แบรนด์ระดับโลกทั้งหมดหยุดดำเนินการในประเทศรัสเซีย ตลาดที่ ‘เต็มไปด้วยเลือด (ของชาวยูเครน)’ เพื่อสร้างความพยายามต่อเนื่องในการกดดันทางเศรษฐกิจ

    ตั้งแต่รัสเซียเริ่มบุกประเทศยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 มีบริษัทมากกว่า 400 แห่งที่ประกาศถอนทุนออกจากรัสเซียแล้ว (ข้อมูลรวบรวมจากลิสต์ของ Yale School of Management)

    อย่างไรก็ตาม สำหรับบางแบรนด์แล้ว การตัดขาดจากรัสเซียเป็นเรื่องที่พูดง่ายกว่าลงมือทำจริง

    ฟาสต์ฟู้ดเชนใหญ่อย่าง Burger King และ Subway ร้านค้าปลีกจากอังกฤษ Mark & Spencer จนถึงเชนโรงแรม Accor และ Marriott เป็นหนึ่งในตัวอย่างบริษัทที่ไม่สามารถถอนตัวออกจากรัสเซียได้ง่ายๆ เนื่องจากมีการทำสัญญาสิทธิแฟรนไชส์ที่ซับซ้อน

    “ไม่เหมือนกับกลุ่มบริษัทที่เข้าไปดำเนินการด้วยตนเอง หลายบริษัทข้ามชาติใช้วิธีทำสัญญาแฟรนไชส์ให้บริษัทที่น่าเชื่อถืออีกแห่งหนึ่งมีสิทธิบริหารในประเทศนั้นๆ โดยเป็นสัญญาที่ผูกพันระยะยาว” Dean Fournaris พาร์ตเนอร์บริษัทบริหารแฟรนไชส์ Wiggin and Dana กล่าวกับสำนักข่าว CNBC

    Subway รัสเซีย หนึ่งในแบรนด์ที่ทำสัญญาแฟรนไชส์ ทำให้ปิดสาขาไม่ได้เลย และเจ้าของแบรนด์กำลังถูกกดดันจากผู้บริโภคตะวันตกอย่างหนัก (Photo: Shutterstock)

    สัญญาที่เจ้าของแฟรนไชส์อนุญาตให้แฟรนไชซีเช่าแบรนด์ไปบริหารในพื้นที่หนึ่งๆ จะทำให้เจ้าของแบรนด์ขยายธุรกิจได้ง่ายกว่า แต่เมื่อเซ็นไปแล้ว เจ้าของแฟรนไชส์มักจะเหลือสิทธิควบคุมการปฏิบัติการได้น้อยลง

    นั่นทำให้แบรนด์ที่บริหารด้วยระบบแฟรนไชส์ถอนตัวหรือปิดสาขารัสเซียได้ยาก ท่ามกลางกระแสเพื่อนๆ แบรนด์ตะวันตกอื่นที่ถอนออกไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสังคมที่ต้องการต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย หรือเหตุผลของบริษัทเองที่เล็งเห็นว่าจะต้องประสบปัญหาการขนส่งซัพพลายต่างๆ

     

    ทำได้แค่…หยุดการสนับสนุนจากบริษัท

    สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ของเจ้าของแฟรนไชส์ เช่น Burger King ซึ่งมีบริษัท Restaurant Brands International เป็นเจ้าของ เมื่อสัปดาห์ก่อนบริษัทประกาศ “หยุดการสนับสนุนของบริษัท” ให้กับร้านแฟรนไชซี 800 กว่าสาขาในรัสเซีย และบริษัทจะไม่อนุมัติการขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต แน่นอนว่าสาขาที่เปิดไปแล้วก็ยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้ตามปกติ ภายใต้การบริหารของบริษัทคู่สัญญาที่เป็นมาสเตอร์แฟรนไชซีในรัสเซีย

    Subway ก็เช่นกัน บริษัทไม่มีการเปิดสาขาด้วยตนเองเลยในรัสเซีย แต่มีบริษัทรับแฟรนไชส์ไปบริหาร 450 สาขา ถ้าเทียบกันแล้ว McDonald’s นั้นเป็นเจ้าของสาขาส่วนใหญ่ในรัสเซียโดยตรง ทำให้บริษัทสามารถปิดการดำเนินการ 850 สาขาได้อย่างใจ (การปิดบริการนี้ทำให้บริษัทสูญเสียรายได้ราว 50 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน)

    สาขาส่วนใหญ่ในรัสเซียของ McDonald’s บริหารแบรนด์โดยตรงจากบริษัทเอง ทำให้การสั่งปิดสาขาทำได้ง่ายกว่าแบรนด์ที่เปิดสัญญาแฟรนไชส์

    “เราไม่มีสิทธิควบคุมแฟรนไชซีเหล่านี้ได้โดยตรง และมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปฏิบัติการวันต่อวันอย่างจำกัด” Subway ชี้แจงในแถลงการณ์

    • ประเมินเศรษฐกิจ ‘รัสเซีย’ ถดถอยไป 30 ปีหลังถูกทั่วโลกคว่ำบาตร ย้อนกลับสู่ยุค ‘โซเวียต’ อีกครั้ง!

    ด้านร้านค้าปลีกอังกฤษ Mark & Spencer ระบุกับ CNBC ว่า บริษัทหยุดการส่งสินค้าให้กับแฟรนไชซีทั้ง 48 สาขาในรัสเซียแล้ว โดยผู้รับสิทธิส่วนนี้เป็นบริษัทตุรกี FiBA และทั้งสองบริษัทกำลังพูดคุยกันอยู่ว่า จะดำเนินกิจการแบรนด์นี้ต่อไปได้อย่างไร

    เช่นเดียวกันกับแบรนด์โรงแรม Accor และ Marriott สิ่งที่บริษัททำได้คืองดการทำสัญญาเปิดโรงแรมใหม่ในรัสเซีย แต่โรงแรมที่เปิดไปแล้วก็ยังใช้แบรนด์ต่อไปได้

     

    เสี่ยงถูกฟ้องร้อง vs แบรนด์เสียภาพลักษณ์

    ขณะนี้แบรนด์ที่ยังหย่าขาดจากรัสเซียไม่ได้ถือว่าอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงมาก เพราะหากพยายามที่จะปิดสาขาแฟรนไชส์หรือกระทำสิ่งใดที่ทำให้บริษัทแฟรนไชซีเสียโอกาสทางธุรกิจ ก็เป็นไปได้ว่าจะมีการฟ้องร้องทางกฎหมายตามมา

    ในทางกลับกัน แบรนด์ก็ต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์ในระดับโลกไว้ ในช่วงที่คนทั่วโลกต่อต้านสงครามรัสเซีย-ยูเครน

    Novotel Moscow Kievskaya ตัวอย่างโรงแรมแห่งหนึ่งในเครือ Accor ที่เปิดอยู่ในรัสเซีย

    ทางออกในเชิงกฎหมายของแบรนด์เหล่านี้ อาจจะกล่าวอ้างเรื่องการซัพพลายวัตถุดิบหรือสินค้าเข้าไปยังรัสเซียที่ไม่สามารถทำได้หรือทำได้ลำบาก เนื่องจากการถูกคว่ำบาตรของรัสเซีย ซึ่งจะทำให้เจ้าของแฟรนไชส์ขอยกเลิกสัญญาได้

    • ไม่ใช่แค่ชิป “นิกเกิล” ราคาพุ่งเพราะคว่ำบาตร “รัสเซีย” ปัญหาใหม่ของการผลิต “รถยนต์ไฟฟ้า”

    Craig Tractenberg พาร์ตเนอร์บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย Fox Rothschild ให้ความเห็นว่า แต่สุดท้ายแล้วแบรนด์ต้องมาถามตัวเองด้วยว่า ค่ายกเลิกสัญญาและความยุ่งยากทางกฎหมายทั้งหมด จะคุ้มค่ากับการรักษาแบรนด์ในระยะยาวหรือไม่ ตัดสินใจอย่างไรจึงจะดีกับแบรนด์มากที่สุด

    ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้อาจจะนำไปสู่การร่างสัญญายุคใหม่ของการให้สิทธิแฟรนไชส์ เป็นไปได้ว่าในอนาคตสัญญาจะมีการระบุถึงความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองต่างๆ เช่น สงครามกลางเมือง การจลาจล หรือเหตุใดๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าของแบรนด์มีทางเลือกในการดึงแบรนด์ออกจากพื้นที่นั้นๆ

    “เจ้าของเครื่องหมายการค้าอาจจะโต้กลับได้ว่า แบรนด์สามารถปิดตัวเองออกจากพื้นที่ดังกล่าว เพราะแบรนด์อาจได้รับความเสียหายหากดำเนินการต่อไป หรือช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำที่เป็นอาชญากรรม” Tractenberg กล่าวปิดท้าย

    Source

    ]]>
    1378207
    แซนด์วิชไม่ฮิต? Subway เล็งปิดร้าน 500 แห่ง https://positioningmag.com/1167725 Sun, 29 Apr 2018 04:38:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1167725 เชนร้านจำหน่ายแซนด์วิชฟาสต์ฟู้ด Subway คาดว่าจะปิดร้านสาขากว่า 500 แห่งในอเมริกาเหนือภายในปีนี้ แต่ประเมินว่าจะสามารถเปิดร้านใหม่ได้มากถึง 1,000 แห่งในต่างประเทศนอกสหรัฐฯ แทน

    วันนี้ Subway มีร้านค้ามากกว่า 44,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งถือว่ามากกว่าแบรนด์ค้าปลีกรายใด โดยสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ National Retail Federation บันทึกว่า Subway มีร้านค้าในสหรัฐอเมริการาว 27,000 แห่งในปี 2016 น้อยกว่า 17,500 แห่งของ Yum Brands ที่ดำเนินธุรกิจ Pizza Hut, Taco Bell และ KFC รวมถึง 14,000 แห่งของ McDonald’s 

    ล่าสุด Subway ประกาศเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะปิดร้านค้าบางส่วนเนื่องจากแผนปรับปรุงร้านที่บริษัทประกาศในช่วงฤดูร้อน โดยแผนนี้ต้องการให้เจ้าของแฟรนไชส์ Subway เทเงินลงทุนมากขึ้นในการดำเนินงานของทุกร้าน

    ปัจจุบัน ร้านค้าปลีกของ Subway ทั้งหมดเป็นเจ้าของโดยแฟรนไชส์ ไม่ได้เป็นของบริษัทเอง แผนการปรับปรุงร้านนั้นได้แก่ การเพิ่มจุดให้บริการตัวเอง เก้าอี้ที่นั่งที่สะดวกสบายมากขึ้น มีระบบอินเทอร์เน็ต Wi-Fi และมีพอร์ตชาร์จ USB ให้ลูกค้าได้ใช้งาน ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Subway ได้ประกาศแผนงานหลายด้าน เพื่อหวังชนะใจลูกค้าและกู้วิกฤติยอดขายลดลง

    การปิดร้านสาขาถือเป็นนิมิตใหม่ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับ Subway ที่ผ่านมา มีรายงานว่าร้านค้า Subway มากกว่า 350 แห่งในสหรัฐฯ นั้นขาดทุนในปี 2016 ซึ่งเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่หันมาควบคุมร้านมากกว่าการเพิ่มจำนวนร้านค้า อย่างไรก็ตาม Subway ไม่มีการเปิดเผยจำนวนสาขาที่แน่ชัดในปี 2017 แต่มีรายงานวงในว่ามีการปิดสาขาหลายร้อยแห่งแล้ว

    ทั้งหมดนี้ Subway เพิ่งยอมรับครั้งแรกเรื่องการปิดสาขา โดยแถลงการณ์ระบุว่าบริษัทหวังว่าจะมีตัวตนที่เล็กกว่า แต่มีผลกำไรที่มากกว่าในช่วงทศวรรษหน้า โดยเชื่อว่าผลกำไรที่มากขึ้นจะชัดเจนทั้งในภูมิภาคอเมริกาเหนือ 

    แต่ในภูมิภาคอื่นของโลก Subway ชี้ว่าบริษัทจะขยายฐานตลาดให้ใหญ่ขึ้น เบื้องต้น มีการประเมินว่า Subway สามารถขยายสาขาตามที่ประกาศไว้ได้ เนื่องจากที่ตั้งร้านของ Subway นั้นใช้พื้นที่น้อยกว่าคู่แข่งรายอื่น ทำให้เป็นเหตุผลหลักที่ Subway สามารถขายแฟรนไชส์ในราคาไม่แพงมาก ส่งให้มีการเปิดร้าน Subway หลายจุดมากกว่าที่จะเป็นร้าน McDonald’s หรือ Burger King

    อีกเหตุผลที่บีบให้ร้าน Subway ในสหรัฐฯ กำลังจะหายไปอีกหลายจุด คือภาวะร้านค้าและห้างสรรพสินค้าในสหรัฐฯ นั้นทยอยปิดตัวลงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้คนซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น แต่กรณีของ Subway อาหารจานด่วนไม่มีคู่แข่งบนสังเวียนออนไลน์ก็จริง แต่เมื่อผู้คนเดินทางมาห้างน้อยลง ร้านค้า Subway ก็ให้บริการลูกค้าน้อยลงตามไปด้วย

    สำหรับ Subway นักวิเคราะห์ประเมินว่าเจ้าพ่อแซนด์วิชได้รับผลกระทบทางอ้อมเหมือนร้านค้าอาหารจานด่วนรายอื่น ที่ต้องเจ็บปวดกับจำนวนลูกค้าเข้าร้านที่ลดลงตามจำนวนคนเดินห้าง นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์ความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งทำให้ฟาสต์ฟู้ดอย่าง Subway ถูกมองข้ามไป

    ผลกระทบจากจำนวนคนเดินห้างในสหรัฐฯ ที่น้อยลง ยังส่งถึงแบรนด์อื่นด้วย โดยล่าสุดมีข่าวว่าเชนร้านวิตามินดังอย่าง GNC ก็กำลังปิดร้านสาขากว่า 200 แห่งในสหรัฐฯ ทำให้ GNC Holdings ถูกมองว่าเป็นอีกรายล่าสุดที่ร่วมขบวนพาเหรดปิดร้านสาขาเพื่อลดค่าใช้จ่ายและกู้วิกฤติ

    กรณีของ GNC แบรนด์ค้าปลีกวิตามินแจ้งในเอกสารถึงหน่วยงานสหรัฐฯ ว่าจะปิดร้าน 200 สาขาในปีนี้ ปัจจุบัน GNC มีร้านมากกว่า 3,385 แห่งในแดนลุงแซมและแคนาดา.

    • Source
    • Source
    ]]>
    1167725