Bitkub – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 25 Aug 2022 07:32:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ล้มดีลอย่างเป็นทางการ! SCBX แจ้ง “ยกเลิก” เข้าซื้อหุ้น “บิทคับ ออนไลน์” แล้ว https://positioningmag.com/1397583 Thu, 25 Aug 2022 07:22:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1397583 จากเดิมมีประกาศ “เลื่อนดีล” แต่ครั้งนี้ “ล้มดีล” อย่างเป็นทางการ ที่ประชุมคณะกรรมการ SCBS ครั้งที่ 15/2565 มีมติให้ SCBS ยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้น “บิทคับ ออนไลน์” (Bitkub) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2565

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX ระบุว่าบริษัทฯ ได้สอบทานธุรกิจด้วยความระมัดระวังตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ขายคือ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ถึงแม้จะไม่พบข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญ แต่ Bitkub “ยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและสั่งการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาในการหาข้อสรุปดังกล่าว”

ด้วยเหตุนี้ ทั้งผู้ซื้อคือ SCBX และผู้ขายคือ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด จึงตกลงร่วมกันที่จะยกเลิกธุรกรรมซื้อขายหุ้นในครั้งนี้

ทั้งนี้ SCBX แจ้งเพิ่มเติมด้วยว่า ทางบริษัทยังคงมุ่งมั่นกับการเข้าสู่เทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและภาคการเงินของประเทศไทย

SCBX ยกเลิก เข้าซื้อหุ้น Bitkub

สำหรับข่าวที่ SCBX จะทำการเข้าซื้อหุ้นสัดส่วน 51% ใน Bitkub ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 โดยจะใช้เม็ดเงินลงทุนถึง 17,850 ล้านบาท

แต่หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 ปรากฏว่า SCBX แจ้งเลื่อนดีลการเข้าซื้อไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด ก่อนที่จะมาสู่การยกเลิกในครั้งนี้

ก่อนหน้าที่ SCBX จะเลื่อนการเข้าซื้อ Bitkub ไม่กี่วัน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ทาง Bitkub ประสบปัญหาเนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีคำสั่งให้แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาเทรดในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท เพราะ ก.ล.ต. พบว่า Bitkub มีการให้คะแนนคัดเลือกเหรียญ KUB เข้ามาเทรดโดยไม่ถึงเกณฑ์ Listing Rule ที่ Bitkub ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. แล้ว โดย Bitkub มีการให้คะแนนเรื่องมาตรฐานเทคโนโลยีของเหรียญ KUB ในระดับ “สูงกว่ามาตรฐานอย่างไม่เคยมีมาก่อน” ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานที่แสดงว่ามีเทคโนโลยีนั้นจริง

]]>
1397583
เบื้องหลัง SCBX เท “บิทคับ” คริปโตดิ่งเหว-โดนโทษบ่อย-ปั่นเหรียญ KUB-บัญชีม้า-สองมาตรฐาน-การตลาดยุเยาวชน-ธรรมาภิบาลมีปัญหา https://positioningmag.com/1392049 Mon, 11 Jul 2022 05:35:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392049 บทความโดย ibit ผู้จัดการออนไลน์
เบื้องหลังไทยพาณิชย์เทบิทคับตลาดคริปโตฯดิ่งเหว และ ด้วยวีรกรรมของยูนิคอร์นรายนี้เอง ทั้งจากการถูก ...ลงโทษและถูกปรับกว่า 11 ครั้ง ผู้บริหารขาดธรรมาภิบาลระบบงานมีปัญหา ตรวจพบบัญชีม้า นอมินี สร้างดีมานด์เทียม ปั่นราคา ให้คะแนนเหรียญ KUB ตัวเองเวอร์ สองมาตรฐาน อุ้มแต่รายใหญ่ ทิ้งรายย่อย เก็บค่าต๋งแพงลิบค่าธรรมเนียมเอาเปรียบ การตลาดที่ปลุกปั่นต้อนเยาวชน

ดูท่าฝันจะค้างเสียแล้วสำหรับกลุ่มบิทคับเมื่อยานแม่กลุ่มไทยพาณิชย์ในนาม บริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX เริ่มลังเลเปิดตู้เซฟควักเงิน 1.78 หมื่นล้านบาทจ่ายแลกหุ้น 51% ใน บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ Bitkub กระดานเทรดคริปโตเคอร์เรนซี อันดับหนึ่งของไทย จนแวดวงตลาดทุนต่างพากันเชื่อว่า งานนี้ก็คือการบอกเทแบบสุภาพนั่นเอง

ขณะที่แวดวงรายย่อยทั้งสายหุ้นและสายเหรียญต่างก็บ่นอุบเพราะโดนแกงโดย ณ ช่วงเวลานี้หลายฝ่ายมีความเชื่อว่าดีลดังกล่าวมีโอกาสล่มที่สูงมาก เพราะหากพิจารณาจากสำนวนตัวอักษรที่ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาให้ข้อมูลแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา (8 ..65) พอจะจับประเด็นได้ว่า กำหนดการเดิมที่หมายมั่นจะสู่ขอ Bitkub ขึ้นมาอยู่ในยานแม่ SCBX ไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในไตรมาสแรกปีนี้ นั่นเพราะดีลดิลิเจนท์ที่เข้าไปส่องดูบิทคับมานานกว่า 6 เดือนข้อมูลในการตรวจสอบที่ได้รับ น่าจะเป็นที่ไม่น่าพึงพอใจของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะในส่วนสาระสำคัญที่น่าจะเกิดปัญหา หรือไม่เป็นไปตามที่ต่างฝ่ายต่างคาดหวังไว้ระหว่างกัน

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือคำยืนยันจากไทยพาณิชย์ว่ายานแม่ของกลุ่มอย่าง SCBX จะดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามกฏเกณฑ์และข้อกำหนดของ Regulator ที่เกี่ยวข้อง หรือพูดง่ายๆ ว่าออกมาย้ำจุดยืนของตนเองว่าจะไม่มีการแหกคอกเกิดขึ้น เพียงเพื่อหวังจะคว้าดีลๆ เดียว แต่อาจสร้างผลกระทบให้กับการดำเนินธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่ม โดยเน้นย้ำในข้อความชี้แจงว่า ….. “ดีลดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจของบิทคับ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจและคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน

ก่อนจะปิดท้ายอย่างสุภาพว่าปัจจุบันยังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบทางธุรกิจ และระหว่างการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยมีการขยายเวลาการเข้าทำธุรกรรมออกไปจากกำหนดการเดิม แบบไม่ขอระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนจนอาจรัดคอตนเอง นั่นทำให้โอกาสรับทรัพย์ก้อนโตของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในบิทคับเป็นอันต้องฝันค้างเอาไว้ต่อไป รวมศิริอายุของดีลผ่านพ้นมาแล้ว 8 เดือน จากวันที่เขย่าวงการตลาดทุน หรือตลาดคริปโตฯไทยเมื่อเมื่อวันที่ 2 .. 64 

ผู้ถือหุ้นโล่งไม่ต้องจ่ายโอเวอร์?

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พบว่า นักลงทุนต่างมีความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยในกลุ่มที่ลงทุนในหุ้นของ SCB ณ ช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่พอใจกับข้อมูลที่ชี้แจงออกมา เนื่องจากเชื่อว่าการเข้าลงทุนในบิทคับในช่วงเวลานี้มีความเสี่ยงทั้งจากสภาวะตลาดเหรียญคริปโตฯ ที่อยู่ในช่วงขาลงในทุกตลาดทั่วโลกนั่นย่อมส่งผลให้มูลค่าของเหรียญ KUB Coin ลดลงไปในทิศทางเดียวกับเหรียญอื่นๆ และนั่นย่อมส่งผลให้จำนวนผู้เข้ามาลงทุนผ่านกระดานเทรดบิทคับ ออลนไลน์อ่อนตัวลงไปด้วย ซึ่งน่าจะมีผลให้มูลค่าในการเข้าซื้อหุ้น 51% ด้วยเม็ดเงิน 1.78 หมื่นล้านบาทไม่สมเหตุสมผล

ขณะเดียวกันบางส่วนยังเชื่อว่า เหตุผลที่ SCB เลื่อนการเข้าลงทุนเป็นเจ้าของกระดานเทรดเหรียญ น่าจะมาจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เป็นไปตามที่ทั้งสองฝ่ายคาดการณ์ไว้ หรือไม่ตรงปกอาทิเรื่องของอัตราการเติบโตของธุรกิจ หรือกรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของดีลที่เจรจาร่วมกันไว้ 

เพราะที่ผ่านมานอกเหนือจากข่าวดีในด้านการขยายตลาดและการเติบโตธุรกิจ Bitkub ข่าวด้านลบออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการถูกกล่าวโทษ หรือถูกปรับจาก regulator อย่างคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) ตลอดจนแผนการตลาดซึ่งเป็นที่ค้านสายตาหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะการเชิญชวนเข้ามาลงทุนในเหรียญ KUB ด้วยเม็ดเงินเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับโอกาสของผลตอบแทนในอนาคต “10บาทก็ลงทุนได้จนถูกใครต่อใครมองว่าเป็นบ่อนพนัน หนำซ้ำยังแทรกซึมเข้าไปในสถานศึกษาต่างๆ เข้ามาลงทุน

มูลค่าการเข้าลงทุนรอบนี้สูงมาก ช่วงประกาศข่าวออกมาถือว่าเป็นปรากฏการณ์แก่ตลาดทุนและตลาดเหรียญคริปโตฯ เลยก็ว่าได้ แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อเทียบกับ Binance รายใหญ่ระดับโลกที่จับมือกับ Gulf บริษัทจดทะเบียนใหญ่ในตลาดหุ้นร่วมกันจัดตั้งธุรกิจหลายคนเริ่มมองว่าลงทุนได้ฉลาดกว่า และใช้ต้นทุนได้ต่ำกว่ามาก

ตลาดคริปโตดิ่งเหวมูลค่าลดฮวบ

นอกจากนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า หากดีลดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริงราคาที่ใช้ในการซื้อขายหุ้น 51% ไม่ควรจะเป็น 1.78 หมื่นล้านบาทเหมือนตอนแรก เมื่อเทียบกับสภาวะตลาดคริปโตฯในปัจจุบันที่ดิ่งเหว ดังนั้นหากดันทุรังตัวเลขเดิมในการดีลอาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่ประเมินกันในตอนแรกที่ 1.78 หมื่นล้าน ว่ากันว่า เป็นตัวเลขที่สูงเกินจริงไปมากอยู่แล้ว ขณะนั้นบิทคับได้โชว์ตัวเลขผลประกอบการที่ระบุว่า สามารถทำกำไรได้ปีละกว่า 2 พันล้าน โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 1,000% ตลอดสามปีที่ผ่านมา ทว่า นับแต่ค้นปี65 จนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่า ภาวะตลาดคริปโตฯผันผวนตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้มูลค่า และโอกาสทำรายได้ของบิทคับก็ลดลงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Photo : Shutterstock

แม้ว่าตลาดจะตกต่ำ และแม้ว่า บิทคับ จะมีปัญหาอย่างไร 7-8 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารไทยพาณิชย์ กลับไม่แสดงท่าทีจะบอกให้ชัดเจนว่า จะไปต่อ หรือ พอกันทีกับดีล บิทคับ ไม่ยอมตอบกระทั่งข้อซักถามของผู้ถือหุ้นในการการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนปล่อยให้มีข้อสังสัยกันเรื่อยมาว่า เพราะอะไร?

ว่ากันว่า ที่ SCBX ยื้อเวลามานานไม่ปล่อยมือจากบิทคับ มีคำถามว่า นั่นเพราะ นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กับ นายจิรายุส หรือ ท๊อป ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง บิทคับ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันดี ใช่หรือไม่? ซึ่งที่ผ่านมา ทราบกันดีว่า นายอาทิตย์ เป็นผู้ผลักดันดีลนี้มาตั้งแต่ต้น ออกตัวแรงว่าต้องการจะให้ธนาคารซื้อหุ้นของบิทคับ โดยพยายามโน้มน้าวผู้บริหารไทยพาณิชย์คนอื่นๆ ให้เห็นด้วย ทั้งๆ ที่หลายคนก็ฝืนใจโดยไม่เห็นด้วยนัก

ส่วนฝั่งท๊อป จิรายุส ผู้ขาย หากดีลนี้ไม่เกิดขึ้น นอกจากจะฝันค้างถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้ากระเป๋าส่วนตัวหลายพันล้าน ย่อมต้องมีผลกระทบเกิดขึ้นกับพาร์ตเนอร์ธุรกิจรายอื่นๆ ที่เข้ามาแล้ว และกำลังจะเข้ามาร่วมมือในอนาคต

การได้อยู่ใต้ร่มเงาของ SCBX ย่อมช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การเรียกร้องราคาความร่วมมือย่อมโก่งราคาได้มากกว่า แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในส่วนหนึ่งของแผนยานแม่ มูลค่าที่พันธมิตรรายอื่นๆ ที่ควักจ่ายไว้อาจต้องมีเงินทอนคืน หรือความน่าสนใจเข้าร่วมมือที่ลดลง นอกจากนี้ ด้วยเงื่อนไขสัญญาที่พันธมิตรจะต้องมีการลงทุนในเหรียญ KUB แม้จะเคยออกมาการันตีรับซื้อคืนในราคาเดิม แต่ระยะเวลาที่ต่างกัน และสถานการณ์ที่ต่างกัน บางทีเงินที่ประกาศรับซื้อคืนในราคาเดิมก็อาจสร้างปัญหาในอนาคตได้เช่นกัน

วีรกรรมบิทคับทำพิษ

จริงๆ มีหลายฝ่ายเห็นว่า ไทยพาณิชย์ ไม่ควรจะซื้อบิทคับตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถ้าไม่นับตลาดคริปโตฯที่ดิ่งนรก ด้วยการกระทำของตัวเองของบิทคับในช่วงที่ผ่านมา และจากการเข้าไปตรวจสอบของธนาคารเองก็น่าจะได้เห็น ว่า ภาพที่สร้าง ไม่เหมือน ภาพจริงที่ปรากฏ ใช่หรือไม่ ป้ายโฆษณาชวนเชื่อมต่อโลกอนาคตของนายท็อปที่ติดอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างสวยหรู ภาพจริง Bitkub ถูกตรวจสอบ หรือถูกติดตามการกระทำในหลายด้าน ดังที่ “ibit” เคยวิเคราะห์และไล่เรียงให้ฟังดังนี้

สร้างวอลุ่มเทียมเรียกแขกเข้าวง

โดยสามารถสรุปได้ อาทิ 1.ปั่นวอลุ่มเทียมหลอกนักเทรด จากกรณี ก...ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 3 ราย กรณีสร้างปริมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub (ศูนย์ซื้อขาย Bitkub) ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินรวม 24.16 ล้านบาท พร้อมกับกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร

เนื่องจาก ก..ต พบเหตุสงสัยว่า อาจมีการสร้างปริมาณเทียมในศูนย์ซื้อขาย Bitkub จึงได้ตรวจสอบโดยพบการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดของบุคคล 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท บิทคับ (2) นายอนุรักษ์ เชื้อชัย (Market Maker) ร่วมกันในการส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขาย (3) นายสกลกรย์ สระกวี ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัท สั่งการ หรือกระทำการหรือไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้บริษัท บิทคับ กระทำความผิดดังกล่าวในช่วงก..2562

ระบบงานและบริการที่ยังมีปัญหา

ประเด็นถัดมาที่หลายฝ่ายเชื่อว่ามีผลต่อการตัดสินใจดีล SCBX ถูกให้น้ำหนักไปที่ระบบสารสนเทศ และรับงานให้บริการลูกค้าที่เคยมีปัญหาจนถูก ก...สั่งให้ดำเนินการแก้ไข อาทิ ในช่วงเดือนมกราคม 2564 “บิทคับ ออนไลน์ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รายงานเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบสารสนเทศที่มีความสำคัญ ประเภทระบบหยุดชะงัก (system disruption) ต่อสำนักงานล่าช้ากว่าระยะเวลาที่ประกาศกำหนด เป็นจำนวน 6 ครั้ง

ถัดมาวันที่ 8 .. – 7 มี.. 2564 “บิทคับมีระบบงานในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (compliance) “ไม่รัดกุมเพียงพอ” ที่จะทำให้บริษัท บิทคับ สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก่อนหน้านั้นวันที่ 28 .. 2563 – 20 .. 2564 “บิทคับ ออนไลน์มีระบบงานที่เกี่ยวกับการรับและจัดการข้อร้องเรียน และการจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า รวมทั้งจำนวนและความรู้ความสามารถของบุคลากรไม่เหมาะสมและเพียงพอให้บิทคับประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (trading rules) ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก...

หรือเหตุการณ์ในช่วง วันที่ 2 -21 .. “บิทคับ ออนไลน์มีระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย ระบบรับฝากและถอนทรัพย์สิน และระบบการแสดงยอดทรัพย์สินของลูกค้า ไม่เหมาะสมและเพียงพอให้บิทคับประกอบธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เป็นต้น จนทำให้ถูก ก...กล่าวโทษ หรือมีคำสั่งปรับเงิน และคำสั่งอื่น ๆ เข้ามาควบคุมอีกมากมาย

ป้ายโฆษณาชวนเชื่อเชื่อมต่อโลกอนาคต ที่ติดตามตอม่อ บนทางด่วน และท้องถนน ยังคงมีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง ขณะที่ “SCBX” ประกาศเลื่อนดีลซื้อหุ้นบิทคับออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ตรวจพบ บัญชีม้านอมินี

จากการตรวจสอบของ ก... ยังพบว่า บิทคับเคยมีปัญหาปรากฏเหตุระบบการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทขัดข้องในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2563 ต่อเนื่องถึงต้นเดือนมกราคม 2564 อันส่งผลกระทบก่อให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าของบริษัทเป็นวงกว้าง

คณะกรรมการ ก... ในการประชุมครั้งที่ 3/2564 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 สั่งการให้บริษัทระงับการเปิดรับลูกค้าใหม่ รวมถึงลูกค้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการยืนยันหรือเพื่อพิสูจน์ตัวตนเพื่อเปิดบัญชี หรือ KYC

มีข้อสังเกตว่า บิทคับตอนนั้นปล่อยผี การเปิดบัญชีไม่เป็นไปตาม ก... กำหนดโดยเฉพาะกรณีลูกค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มประเภทที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณารับลูกค้าของบริษัทก่อน

ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และหากที่ก่อนนี้ ผู้ก่อตั้งบิทคับ ระบุว่า บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่าจำนวนมากหลัง BX ปิดตัวไปหลายแสนบัญชีที่เข้ามาในช่วงระหว่างนั้น ผ่านระบบ KYC เข้ามาได้อย่างไร? และใครเลยจะรู้ได้ว่า บัญชีกว่า 3 ล้านบัญชีที่บิทคับกวาดมาจะมีบัญชีตัวแทน หรือนอมินีหรือบัญชีม้า อยู่มากน้อยแค่ไหนหลุดลอดมา

Photo : Shutterstock

...ยังระบุว่า การพิสูจน์ตัวตนของลูกค้า และผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงของลูกค้าบิทคับ (“enhanced KYC/CDD”) ของกลุ่มลูกค้าที่เป็น “market maker” จำนวน 17 ราย พบว่า  มีจำนวน 4 รายที่ไม่รัดกุม โดยบริษัทยังไม่ได้ enhanced KYC/CDD ซึ่งลูกค้า 4 รายดังกล่าวมียอดทรัพย์สินเป็นเงินสดและเหรียญเป็นจำนวนมากไม่สอดคล้องกับเอกสารหลักฐานที่แสดงศักยภาพทางการเงินของลูกค้าที่นำมา

ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก การพิสูจน์ตัวตนไม่ได้ว่าลูกค้าเป็นใคร หรือมีบัญชีม้า หรือนอมินีจำนวนมากในตลาด ย่อมทำให้เปิดช่องในการฟอกเงิน เลี่ยงภาษี ทำราคาซื้อขาย หรือปั่นเหรียญ ทำรายการที่ไม่เหมาะสม หรือธุรกรรมที่กระทำการผิดกฎหมาย

เรื่องนี้มีตัวอย่าง ของ อีลอน มัสก์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทเทสลา และสเปซเอ็กซ์ ที่เพิ่งประกาศ ตัดสินใจยุติการยื่นข้อเสนอมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง เมื่อวันศุกร์ (8 ..) เพราะพบว่ามีการละเมิดข้อตกลงหลายอย่าง

โดยมัสก์ระบุว่า สาเหตุที่ไม่ไปต่อกับข้อตกลงซื้อกิจการนี้ก็เพราะทวิตเตอร์ล้มเหลวในการให้ข้อมูลที่เพียงพอเรื่องการ สแปม และบัญชีผู้ใช้ปลอม หรือ บัญชีม้า นั่นเอง

KUB Coin ไม่มีมาตรฐาน

เงื่อนงำของบิทคับยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะเพียงแค่เมื่อ ก...ประกาศมาตรการลงโทษผู้บริหารของบิทคับกับ Market Maker ได้ไม่เท่าไรก็มีคำสั่งออกมาอีกฉบับบิทคับ ออนไลน์แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โดยให้ Bitkub ประสานกับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ KUB ดำเนินการแก้ไขมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ของเหรียญ KUB ให้เป็นไปตามคะแนนที่ Bitkub ได้พิจารณาไว้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และให้ Bitkub แสดงหลักฐานอย่างชัดเจนต่อ ก... ว่า มาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจคของเหรียญ KUB เป็นไปตามคะแนนที่ Bitkub ได้พิจารณาไว้

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เมื่อ Bitkub ได้พิจารณาอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายฯ ของ Bitkub โดยที่เหรียญ KUB มีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้รับอนุมัติเข้ามาซื้อขายตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก...

Photo : Shutterstock

นั่นทำให้ ก... ได้ตรวจสอบการคัดเลือกเหรียญ KUB แล้ว พบว่า Bitkub มีการให้คะแนนการคัดเลือกเหรียญ KUB เพื่ออนุมัติให้เข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายฯ ของ Bitkub ไม่เป็นไปตาม Listing Rule ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก... ขณะเดียวกัน Bitkub ได้ให้คะแนนในเรื่องมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานและไม่เคยมีมาก่อนแต่ไม่ปรากฏหลักฐานและเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า เหรียญ KUB มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่จริง

ให้คะแนนเหรียญตัวเองเวอร์

นอกจากนี้ Bitkub ยังให้คะแนนในหัวข้อการระดมทุนและหัวข้อส่วนลด Pre-ICO Sale ที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของเหรียญ KUB ด้วย จึงทำให้ ก... เห็นว่า คะแนนการคัดเลือกเหรียญ KUB โดยรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่จะอนุมัติเข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อราคาเหรียญ KUB จะดิ่งลงมาต่ำกว่า 100 บาท/เหรียญ หลังจาก ก...มีคำสั่งดังกล่าวออกมา เรียกได้ว่าผลกรรมของบิทคับกำลังทยอยถูกเปิดเผยออกมาตามกรรมที่ได้กระทำไว้อย่างต่อเนื่อง

แต่สิ่งที่ชวนให้น่าติดตามต่อสำหรับประเด็นดังกล่าว คือ การแก้ไขคะแนนของเหรียญ KUB Coin ให้ต้องกับเงื่อนไขของ ก...จะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันได้หรือไม่ และเมื่อแก้ไขได้จะมีผลต่อราคาเหรียญในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด

ขณะเดียวกันหากไม่สามารถแก้ไขได้ เหรียญ KUB จะสามารถซื้อขายบนกระดานเทรดต่อไปได้หรือไม่ รวมไปถึงนักลงทุนที่ถือเหรียญอยู่จะได้รับความยุติธรรมจากผลที่เสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า?

ลาก Kub Coin ขึ้นไปถึง 1,833%

Kub Coin เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 ..2564 แต่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่นักเทรดคิด โดยการซื้อขายเปิดด้วยตัวแดงจากการเทขายอย่างหนัก ราคาร่วงจาก 30 บาทไหลรูดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 12 บาท นักวิเคราะห์มองว่า นั่นคือภาพสะท้อนความเชื่อมั่นและปัจจัยพื้นฐานที่มีต่อ Kub Coin และเจ้ามือถือโอกาสทำกำไรตั้งแต่แรกเลย

แต่ราคา Kub Coin ที่เปิดตัวไม่สวยด้วยแดงเลือดสาดทำให้บรรดานักลงทุนเรียกร้องผ่านโซเชียลทวีตข้อความเรียกร้องให้ท๊อป จิรายุส ที่สร้างตัวตนให้แฟนคลับบนโลกออนไลน์รับรู้ถึงคนที่จะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิตนักเทรด ให้เชื่อมั่นในเหรียญ Kub ออกมาช่วยเหรียญหน่อย ซึ่ง ท๊อป ก็ขานรับได้โพสต์ลงทวิตเตอร์ว่าเดี๋ยวคอยดูกัน

ว่ากันว่า ใน 2 วันแรกที่ KUB Coin สามารถขายได้ 50 ล้านเหรียญ จากนั้นราคาก็ร่วงลงมาเหลือ 13-14 บาท เนื่องจาก ก... มองเห็นสัญญาณอันตราย จึงตั้งกฎว่า ห้ามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขายออกเหรียญเองเทรดเอง เพราะขัดแย้งผลประโยชน์ แม้จะไม่มีผลย้อนหลัง แต่ทำให้ศูนย์ซื้อขายอื่นๆ ทำไม่ได้จนเกิดเป็นดราม่ากัน

หลังจากนั้น ปรากฏในเวลาต่อมาเพียง 1 เดือน บิทคับต้องออกประกาศไวท์เปเปอร์ V2 ออกมา ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญ คือ การเผาเหรียญทิ้ง 89% หรือ จาก 1,000 ล้านเหรียญให้เหลือเพียง 110 ล้านเหรียญ เพื่อดึงราคา และสภาพคล่องให้ Kub Coin

ทว่า จุดเปลี่ยนของ Kub Coin ก่อนที่ราคาถูกปั่นทะลุเมฆต้องบอกว่า มาจากข่าวการเข้ามาซื้อหุ้นของผู้เล่นรายใหญ่ SCBX ค่ำคืนวันที่ 2 .. 2564 ราคาเหรียญขยับจากเดิมที่ระดับ 30-33 บาทต่อ 1 เหรียญ พุ่งสูงขึ้นถึง 98 บาทต่อเหรียญ หรือกว่า 196%

แต่หลังจากราคา KUB Coin ขึ้นไปทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันที่ 28 .. 64 ที่ราคา 580 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าราคาตั้งต้นกว่า 1,833% ได้ไม่นาน ก็มีแรงเทขายอย่างหนักในช่วงเช้าวันที่ 30 ..2564 ส่งผลให้ราคาเหรียญดิ่งเหวลงไปอยู่ต่ำสุดของวันที่ 150 บาท หรือ ร่วงไป 70%

สองมาตรฐาน รายย่อยตาย อุ้มรายใหญ่

ขณะเดียวกันยังมีข่าวประเภทบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่ไหลออกมาต่อเนื่อง อย่างเช่น ล่าสุด ในกรณีของ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN และ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ลงทุนเหรียญ KUB Coin เข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับบิทคับเพื่อวัตถุประสงค์การเป็นพาร์ตเนอร์ในการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator Node) ในระบบการตรวจสอบธุรกรรมบล็อกเชน (Block chain)

โดย บมจ.โปรเอ็น คอร์ป ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 2.5 แสนเหรียญ ในราคาลงทุนเฉลี่ยเหรียญละ 291 บาท (ประมาณ 72.9 ล้านบาท) เมื่อราคาเหรียญปรับตัวลงมา ล่าสุด ( 31 ..) ราคาเหรียญเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 112 บาทต่อ 1 เหรียญ นั่นทำให้มูลค่าลงทุนของ PROEN ลดลงไปประมาณ 179 บาท หรือกว่า 159%

ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือหุ้น PROEN ตัดสินใจเทขายหุ้นออกมา เนื่องจากกังวลว่าบริษัทจะได้รบผลกระทบจากการลงทุนในเหรียญ KUB ทำให้ผู้บริหารบริษัทต้องออกมาชี้แจง (31 ..) ว่า การร่วมลงทุนกับ Bitkub นั้นมีข้อตกลงในการยืนยันการรับประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำเมื่อครบกำหนดภายในวันที่ 31 .. 2566 ที่ไม่ต่ำกว่าราคาต้นทุน แต่หากราคาซื้อขายสูงกว่าบริษัทจะได้รับส่วนต่างกำไรทั้งหมด

Closeup – Woman is checking Bitcoin price chart on digital exchange on smartphone, cryptocurrency future price action prediction.

ขณะที่ บมจ.ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD ทำสัญญาซื้อเหรียญ KUB Coin ที่ราคา 104.26 บาท/เหรียญ จำนวน 125,000 เหรียญ ใช้เงินทุนราว 13 ล้านบาท โดยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงรองรับในระดับ 12% หรือจำนวน 15,000 เหรียญ ราคาซื้อคืนที่ 90 บาท ระยะเวลาสัญญา 1 ปี

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 กรณี ทำให้เริ่มมีหลายฝ่ายมองว่า เป็นการเอาเปรียบนักลงทุนทั่วไปหรือไม่? เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องยอมรับความเสี่ยงต่อการขึ้นลง หรือความผันผวนของราคาเหรียญด้วยตนเอง และบิทคับก็ไม่มีมาตรการอะไรออกมารับรอง

คำถามก็คือ พฤติการณ์ช่วงโปรโมชัน KUB ราคาดิ่งเหว ช่วยเหลือพันธมิตรด้วยการอุ้มสมประกันราคา โดยที่มีมาตรฐานไม่เท่ากันกับรายย่อยที่อยู่บนดอยสูงของเจ้าของเหรียญ KUB เพื่อดันราคาของ KUB ให้สูงขึ้น เพื่อมิให้มูลค่าของตลาดซื้อขายคริปโตของบิทคับดูราคาต่ำไปด้วย เพียงเพื่อให้ SCBX ไม่ทิ้งดีล

ค่าต๋งแพง โขกค่าธรรมเนียมสูง

บิทคับ เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตสูงเป็นที่ต้องตาของ SCBX นั้น ถูกพบว่า บิทคับ คิดค่าธรรมเนียมในการเทรด 0.25% ไปกลับซื้อขาย เก็บค่าต๋ง 0.50% ถือว่าแพงกว่า กระดานเทรดคริปโตรายอื่นๆ หรือ อย่างไบแนนซ์กว่าเท่าตัว และเมื่อมีการทำรายการถอนบิทคับ จะคิดค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อรายการกับนักลงทุน ซึ่งว่ากันว่าเป็นค่าธรรมเนียมที่มหาโหดที่คนในวงการการเงินมองว่า บิทคับเอากำไรเกินควร ทั้งๆ ที่แบงก์คิดค่าธรรมเนียมค่าบริการกับบิทคับเพียง 3 บาทต่อรายการ แต่บิทคับเอามาเรียกเก็บจากลูกค้าเพิ่มถึง 17 บาท

ปั่นเยาวชน มอมเมาด้วยการตลาด

สิ่งที่สังคมรับไม่ได้ และ เห็นว่า ไทยพาณิชย์ต้องคิดให้รอบคอบในการเข้าลงทุนเทกโอเวอร์บิทคับ ก็คือ การทำการตลาดของยูนิคอร์นรายนี้ที่ทำทุกวิถีทางที่จะได้ลูกค้ามาเปิดบัญชีเทรดกับตลาดตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนที่อ่อนด้อยประสบการณ์ ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ไทยพาณิชย์จะได้รับคือ การซื้อบ่อนพนัน

จากทั้งหมด บทสรุปของบิทคับ จากสตาร์ทอัป อัปเกรดขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยการขี่กระแสขาขึ้นของบิตคอยน์พร้อมกับความพยายามในการสร้างลัทธิหรือการสร้างภาพให้ธุรกิจและตัวของท๊อปจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ให้เป็นดั่งเจ้าลัทธิที่ปลุกเร้าเจ้าของธุรกิจ ชนชั้นอีลิท และ คนดัง ด้วยการตั้งโปรแกรม “ Chosen1” ทุ่มงบประมาณการตลาดมากมายมหาศาล ชวนเชื่อให้เชื่อไปในแนวทางเดียวกันกับบิทคับ ว่า บิทคับคือผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงิน และเชื่อมต่ออนาคตด้วยนวัตกรรมใหม่ พร้อมกับการปูพรมกวาดต้อนนักลงทุนหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ นักเรียนมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองด้วยแคมเปญเช่น 10 บาทก็ลงทุนได้ สะท้อนให้เห็นว่า บิทคับนั้นเอาการตลาดนำหน้าเพื่อรายได้ เพื่อผลกำไรทางธุรกิจ มากกว่าผลลัพธ์การพัฒนาตลาดคริปโตฯ

ธรรมาภิบาลแบบนี้ ไทยพาณิชย์ ไม่เทไหวหรือ?

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1392049
เทแบบสุภาพ SCBX แจ้ง ตลท.เลื่อนดีล “บิทคับ” ไม่มีกำหนด https://positioningmag.com/1391987 Fri, 08 Jul 2022 13:31:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1391987 เทแบบสุภาพ ธนาคารไทยพาณิชย์ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ “SCBX” ประกาศเลื่อนดีลซื้อ “บิทคับ” มูลค่า 1.78 หมื่นล้านไม่มีกำหนด อ้างอยู่ระหว่างตรวจสอบธุรกิจ และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ใช้เวลานานกว่า 8 เดือน และตั้งเป้าจะจบดีลตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า จากหนังสือของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ EI 6400008 ลงวันที่ 2 พ.ย. 2564 เรื่องการเข้าลงทุนบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) หรือ บิทคับ ของ บริษัทที่ได้แจ้งว่าคาดการณ์ว่าธุรกรรมการซื้อขายหุ้นดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565 นั้น

บริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) แจ้งถึงการเข้าทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นใน บิทคับ ดังกล่าวอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องและมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจของบิทคับ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจและคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน

ทั้งนี้ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบทางธุรกิจและระหว่างการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องโดยมีการขยายเวลาการเข้าทำธุรกรรมออกไปจากกำหนดการเดิม เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยกลุ่มเอสซีบีเอ็กซ์ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ประกาศเข้าซื้อหุ้นของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ Bitkub กระดานเทรดคริปโตเคอร์เรนซี อันดับหนึ่งของไทย ในสัดส่วน 51% มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 17,850 ล้านบาท โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2565

Source

]]>
1391987
ให้คะแนนเหรียญตัวเองสุดเวอร์ ก.ล.ต.ชี้เหรียญ KUB ขาดคุณสมบัติเทรด บี้ “บิทคับ” แก้ไขใน 30 วัน https://positioningmag.com/1390887 Fri, 01 Jul 2022 07:23:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1390887 บอร์ด ... ชี้ บิทคับ ให้คะแนนเหรียญตัวเองสุดเวอร์ KUB ขาดคุณสมบัติเข้ามาเทรดในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ขีดเส้นแก้ไขให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน

คณะกรรมการ ก... ในการประชุมครั้งที่ 7/2565 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อาศัยอำนาจตามมาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.. 2561 (... สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) ออกประกาศฉบับที่ 108 / 2565 สั่งการให้ Bitkub แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB ในการเข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (ศูนย์ซื้อขายฯ) ของ Bitkub ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565

โดยให้ Bitkub ประสานกับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ KUB โดยให้ BBT แก้ไขมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจคของเหรียญ KUB ให้เป็นไปตามคะแนนที่ Bitkub ได้พิจารณาไว้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และให้ Bitkub แสดงหลักฐานอย่างชัดเจนต่อ ก... ว่า มาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ของเหรียญ KUB เป็นไปตามคะแนนที่ Bitkub ได้พิจารณาไว้

สืบเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 Bitkub ได้พิจารณาอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายฯ ของ Bitkub โดยที่เหรียญ KUB มีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้รับอนุมัติเข้ามาซื้อขายตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ของ Bitkub ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ... 

โดย ก... ได้ตรวจสอบการคัดเลือกเหรียญ KUB แล้ว พบว่า Bitkub มีการให้คะแนนการคัดเลือกเหรียญ KUB เพื่ออนุมัติให้เข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายฯ ของ Bitkub ไม่เป็นไปตาม Listing Rule ของ Bitkub ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ... โดย Bitkub ให้คะแนนในเรื่องมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจคในระดับที่ “สูงกว่ามาตรฐานและไม่เคยมีมาก่อน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานและเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า เหรียญ KUB มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่จริง 

นอกจากนี้ Bitkub ยังให้คะแนนในหัวข้อการระดมทุนและหัวข้อส่วนลด Pre-ICO Sale ที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของเหรียญ KUB ด้วย จึงทำให้ ก... เห็นว่า คะแนนการคัดเลือกเหรียญ KUB โดยรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่จะอนุมัติเข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้

ทั้งนี้หลังจากที่ทาง ก... ได้ออกประกาศฯ ล่าสุด ณ เวลา 23.15 . (30 มิ..) พบว่าราคาเหรียญ Kubcoin ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 92 บาท/เหรียญ จากราคาที่สูงที่สุดของวันนี้ที่ 107 บาท/เหรียญ

Source

]]>
1390887
เจาะแผน Bitkub ปั๊มบัญชีลูกค้า แจกฟรีเครดิตเทรดไม่ต่างเว็บพนัน https://positioningmag.com/1383855 Thu, 05 May 2022 04:10:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383855 บทความโดย iBit

“บิทคับ” เร่งสร้างความเชื่อมั่น หลังราคาเหรียญคู่บุญ KUBcoin หล่นวูบสวนทางผลประกอบการ ปูพรมแจกของพรีเมียมหวังโกยเรตติ้ง ลือราคาเหรียญที่หดตัวอาจกดดันดีลเข้าร่วมยานแม่ SCBX ถูกลดมูลค่า ขณะที่โปรโมชันเรียกแขกแจกฟรีเครดิตเทรดก็โดนข้อครหา ไม่ต่างจากเว็บพนันออนไลน์

เมื่อเร็วๆ นี้ Bitkub ประกาศงบผลประกอบการงวดบัญชี ปี 2564 รวยอู้ฟู่ฟันกำไรกว่า 2.54 พันล้านบาท จากรายได้รวมกว่า 5.16 พันล้านบาท มากกว่าปี 2563 ที่มีรายได้เพียง 325 ล้านบาท และกำไร 79 ล้านบาท จากการโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ดึงนักลงทุนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดซื้อขายคริปโตฯ ชูจุดขาย 10 บาทก็เทรดได้ โขกค่าธรรมเนียมการซื้อหรือขายต่อครั้งกว่า 0.25% และค่าบริการการโอนต่อรายการที่แพงระยับกว่า 20 บาทต่อรายการ

ยิ่งห้ามยิ่งโฆษณา

รายได้และกำไรของบิทคับยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นบริษัทที่นำหน้าด้วยการตลาด หรือมาร์เกตติงคอมปะนี ที่ไม่ว่าผู้คนจะเดินไปไหนก็พบเห็นป้ายโฆษณาเชิญชวนอยู่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกค้าเข้าแถวแคชเชียร์รอจ่ายเงินร้านสะดวกซื้อที่ขึ้นวิดีโอโฆษณาชวนเปิดบัญชีเทรด 10 บาทก็ลงทุนได้ ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่ใช้งบลงทุนเพื่อการโฆษณาอย่างบ้าคลั่ง แต่นำมาซึ่งรายได้และผลกำไรที่มากขึ้น

การวางยุทธศาสตร์การตลาดของบิทคับยังใช้ “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้งเป็น LOGO จุดขาย ควบคู่ไปกับว่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ในทุกวงการ จ้างปฏิบัติการข่าว หรือไอโอ สร้างคอมมูนิตี สร้างอีเวนต์ คอยป้อนชุดความเชื่อ และกระตุ้นความคิดของเยาวชนให้สร้างความมั่งคั่งในยุค 5G ผ่านการลงทุนในธุรกิจศูนย์แลกเปลี่ยนซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี และ สินทรัพย์ดิจิทัล NFT ยังคงถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และแผนในอนาคตกับการขยายอาณาจักรไปยัง metaverse ถูกยกเป็นโปรเจกต์สำคัญต่อผลักดันราคาเหรียญ และรายได้ขององค์กร

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ บิทคับ เป็นลัทธิ ที่มีคนเปรียบเทียบว่าแทบไม่ต่างกับ ลัทธิธรรมกาย ซึ่งว่าด้วยการโฆษณาคริปโตฯ หรือเชิญชวนให้คนมาลงทุนในคริปโตฯ ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าไม่เหมาะสม เพราะมีแต่ข้อความในด้านดี ไม่มีระบุถึงความเสี่ยง หรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับการลงทุน ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างการพิจารณา “ห้ามโฆษณาในพื้นที่สาธารณะ” และต้องมีข้อความกำกับทุกครั้งถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ลงทุน

แต่ดูเหมือนว่า ท๊อป จิรายุส และบิทคับ อาศัยความเชื่องช้าของ ก.ล.ต. ยิ่งโฆษณาหนักขึ้น โดยเฉพาะความสนใจของสาธารณะ ทั้งการเข้าไปเป็นสปอนเซอร์สมาคมฟุตบอล แมตช์การแข่งขัน “แดงเดือด” ระหว่างสโมสรฟุตบอลชื่อดัง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล แถมยังโพสต์เรียกความสนใจว่าจะอยากจะซื้อสโมสรฟุตบอลของไทย รวมไปถึงการทำ CSR เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าฐานราก พ่อค้า แม่ค้า เช่น การแจกร่มขนาดใหญ่ให้พ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดคลองเตย หวังสร้างกระแสบิทคับ และการรับรู้แบรนด์บิทคับในพื้นที่สาธารณะ ไม่เว้นแม้แต่ตลาดสด

ทั้งนี้ Bitkub รายงานว่าในส่วนรายได้ของธุรกิจนั้นมาจากค่าธรรมเนียมและบริการถึง 5.16 พันล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบรายได้ของปี 2563 กับ 2564 พบว่า มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก โดยในปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 330 ล้านบาท ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยในปี 2563 มีกำไร 79 ล้านบาทเพียงเท่านั้น

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจเมื่อดูผลประกอบการของ Bitkub คือ ในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการของธุรกิจที่เติบโตก้าวกระโดด แสดงให้เห็นว่าปริมาณการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์มของ Bitkub มากขึ้น ส่วนจะมาจากไหนอย่างไรนั่นเป็นคำถาม เพราะต้องไม่ลืมว่า ก.ล.ต. เคยลงโทษบิทคับ และสั่งให้แก้ไขกรณี “การพิสูจน์ตัวตน” หรือ KYC ของลูกค้า และมาร์เกตเมกเกอร์ที่พบว่าไม่มีตัวตน หรือพิสูจน์ไม่ได้ หรือ “บัญชีม้า” จำนวนหนึ่ง**

แต่หาก เทียบค่าธรรมเนียมกับกระดานเทรดอื่นๆ นั้น ในประเทศไทยนั้น Bitkub และ Bitazza และ Z.com EX ที่มีค่าธรรมเนียมที่ 0.25% ขณะที่ Satang และ Zipmex มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่เพียง 0.2% ขณะที่กระดานเทรด Binance ซึ่งเป็นกระดานเทรดอันดับ 1 ของโลก มีค่าธรรมเนียมเพียง 0.1% เท่านั้น

KUB ร่วงหนักสวนผลกำไร

สำหรับในปี 2564 ที่ผ่านมา Bitkub มีกิจกรรมต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ทางธุรกิจต่อบริษัทมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกเหรียญประจำกระดานเทรด ที่กำหนดราคา 1 KUBcoin เท่ากับ 30 บาท หรือ 1 USD เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2564 โดยเริ่มเปิดการซื้อขายครั้งแรกด้วยราคา 30 บาท และกำหนดจำนวนเหรียญไว้ทั้งหมด 1,000 ล้านเหรียญ แต่ราคากลับดิ่งสู่ระดับ 12-13 บาท ทำให้บริษัทแก้เกมโดยการเผาเหรียญ KUB ทิ้ง 89% ของจำนวนทั้งหมดให้เหลือเหรียญในระบบแค่ 110 ล้านเหรียญเท่านั้น และหลังจากนั้นสร้างข่าวจุดพลุเก็งกำไร โดยเฉพาะการสร้างจุดที่พีกด้วยการนำเหรียญ KUB จะเป็นช่วงข่าวการนำเหรียญไปลิสต์ใน 3 กระดานเทรดต่างประเทศ ได้แก่ Gate.io, CoinEx และ MEXC Global จนราคาเหรียญ KUB พุ่งทะยานสูงสุดสร้างสถิติแตะ 580 บาท/เหรียญ

สิ่งที่น่าสนใจคือหลังจากนั้น เหรียญ KUB ไม่เคยกลับไปยืนเหนือจุดเดิมได้อีกเลย และล่าสุดยังคงไหลลงอย่างต่อเนื่อง จนไม่อาจคาดเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วเหรียญ KUB ราคาจะหยุดอยู่ที่เท่าไหร่ นั่นเพราะล่าสุด (3 พ.ค.) ณ 16.15 น. เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 170.82 บาท ซึ่งปรับตัวลดลงกว่า -70% จากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ที่ 580 บาท/เหรียญ เมื่อช่วงปลายปี 2564

สถานการณ์ดังกล่าวกลาย เป็นหนึ่งประเด็นเหรียญร้อนแรงที่สุดในรอบวันของกลุ่มนักลงทุนคริปโตฯ ที่ราคาเหรียญ KUBcoin ซึ่งเป็นเหรียญคู่บุญกระดานเทรด Bitkub ปรับตัวร่วงลงเหวอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาแรมเดือนแล้ว โดยยังไม่สามารถหาจุดสิ้นสุดของราคาได้ หลังร่วงลงจากช่วงราคา 280 บาท ลงมาระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ระดับ 161 บาท

ทำให้หลายคนเชื่อว่าแม้ว่าผลประกอบการของ Bitkub จะประกาศออกมาเติบโตค่อนข้างดี แต่ในความเป็นจริงแล้วผลประกอบการไม่ได้ส่งผลต่อราคาเหรียญโดยตรง เนื่องจากเหรียญ KUB เป็น Utility ที่ใช้ร่วมกับ Bitkub Chain ในวงจำกัด

ขณะเดียวกัน การดิ่งเหวของราคาเหรียญ KUB จะส่งผลในเชิงจิตวิทยาและวิกฤตศรัทธาของเหล่าสาวกเหรียญ KUBcoin ซึ่งในหลายๆ กลุ่ม Facebook ที่เคยมีเหล่าแฟนคลับบูชา “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ซึ่งเป็นดั่งศาสดา ปัจจุบันกลับกลายเป็นเหมือนหนังคนละม้วน เพราะมีนักลงทุนจำนวนมากติดค้างขาดทุนจากการเข้าซื้อเหรียญในช่วงที่ราคาสูง จากแรงกาวของเหล่าบรรดาสาวกที่สร้างความเพ้อฝันช่วยกันเชียร์ว่า KUBcoin อาจจะทะลุไปถึง 1,000 บาท/เหรียญ จึงแห่เข้าไปเก็งกำไรจำนวนมาก

ต่อมาเมื่อราคาปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ไม่สามารถ Cut Loss ขายออกไปได้ทัน ทำให้ขาดทุนอย่างหนัก จนมีการเรียกร้องให้ “ท๊อป” จิรายุส ทำอะไรสักอย่างเพื่อเบรกราคาเหรียญไม่ให้ปรับตัวลดลงไปมากกว่านี้ ขณะที่ในอีกมุมหนึ่งของนักลงทุนมองว่าจะหาโอกาสเข้าซื้อเหรียญ KUB หากกลับลงมาที่ 20-25 บาท ซึ่งอาจเป็นราคาพื้นฐานเหรียญที่เหมาะสม

และจากราคาเหรียญ KUBcoin ที่ร่วงลงหนัก ทำให้หลายฝ่ายเริ่มประเมินว่าดีลการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของยานแม่ SCBX อาจไม่ประสบความสำเร็จ นั่นเพราะเมื่อพิจารณาจากราคาเหรียญค้ำจุนองค์กรที่ลดลงอย่างมาก ย่อมทำให้มูลค่าในการเข้าลงทุนของ SCBX ใน Bitkub อาจไม่จำเป็นต้องใช้มูลค่าเท่าเดิม โดยอาจถูกปรับลดลงไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ หรือยกเลิกดีลดังกล่าวเพราะอาจไม่คุ้มค่าลงทุนนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น นั่นย่อมสะท้อนว่าธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถช่วยตอบโจทย์ให้ SCBX เติบโตก้าวไกลไปได้

ปั่นโปรฯ แจกเครดิตให้เล่นไม่ต่างจากบ่อนออนไลน์

นอกจากนี้ ด้วยแผนการตลาดที่แยบยลเจาะทุกเป้าหมายของ Bitkub แม้จะให้คุณในการสร้างจำนวนยอดผู้เข้าใช้งานเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่การที่บริษัทนิยมจัดโปรโมชันล่อใจมือใหม่ด้วยการแจกฟรีเครดิตเทรดมูลค่า 200-500 บาท หรือแจกเป็นเหรียญคริปโตฯ มูลค่า 300 บาทนั้น เริ่มทำให้มีหลายคนมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับเว็บพนันออนไลน์ที่มักจะล่อตาล่อใจผู้ลงทุนหน้าใหม่ด้วยการแจกเครดิตให้เข้ามาลงทุนในเว็บไซต์ของตน ซึ่งทำให้อาจเข้าข่ายมอมเมาคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าในการลงทุนเหรียญคริปโตฯ ได้ดีพอ

ปัจจุบันนักลงทุนบางส่วนยังเริ่มเชื่อว่าดีลการเข้าร่วมยานแม่ SCBX ของ “บิทคับ” อาจต้องถอยออกมา หรือมีการปรับแก้ใหม่อีกครั้งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะแม้ SCBX จะอยากได้ Bitkub เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผนเติบโตทางธุรกิจ แต่คงไม่ปรารถนาคว้าธุรกิจที่ยอดบัญชีลูกค้าเริ่มทรงตัว อีกทั้งเหรียญคู่บุญอย่าง KUBcoin อยู่ในช่วงขาลงแบบที่ต่ำมาก นั่นจะทำให้จุดคุ้มทุนที่คำนวณไว้จำเป็นต้องเลื่อนออกไป

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะได้เห็น Bitkub มุ่งสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคและประชาชน ด้วยการเร่งเดินสายการตลาดไล่แจกสินค้า พรีเมียมของบริษัท และเพื่อผลักดันให้มูลค่าเหรียญให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

Source

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1383855
ดีล SCBX-Bitkub ส่อแวว ล่ม-เลื่อน-หลุดราคาคุย ขัดกับมายาภาพที่ “ท๊อป จิรายุส” พยายามสร้าง https://positioningmag.com/1381242 Mon, 11 Apr 2022 09:48:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381242 บทความโดย iBit ผู้จัดการออนไลน์

ผู้ถือหุ้น “ไทยพาณิชย์” ยังคาใจ ผู้บริหารไม่เคลียร์ประเด็นเข้าซื้อ “บิทคับ” 51% ขณะที่ ธปท. ยังไม่ได้รับแผน “ซุปเปอร์ดีล” อย่างเป็นทางการ แค่เข้ามาหารือรายละเอียด เตรียมคลอดเกณฑ์คุมเข้มแบงก์พาณิชย์ลงทุนธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุนภายในกลางปีนี้ ด้านโบรกเกอร์ ประเมินดีลต้องเลือนออกไปหลังไตรมาส 2 คาดต่อรองราคาใหม่ต่ำกว่า 1.78 หมื่นล้านบาท หลังวอลุ่มเทรดลดฮวบกว่า 60%

แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจของ “ไทยพาณิชย์” (SCB) สู่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ถือเป็นโปรเจกต์ที่น่าจะได้รับการตอบรับจากทุกฝ่าย โดย SCBX ได้กำหนดระยะเวลาการแลกหุ้นไว้ 30 วันทำการ ตั้งแต่ 2 มี.ค. 65 จนถึง 18 เม.ย. 65 ซึ่งจะเป็นวันที่ครบกำหนดเป็นวันสุดท้าย

bitkub

แต่ประเด็นที่ถูกจับตามองและสร้างความกังวลให้แก่ผู้ถือหุ้น คือ แผนการเข้าซื้อหุ้นบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ Bitkub ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 1.78 หมื่นล้านบาท จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดยมีผู้ก่อตั้งคือ “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ “ซุปเปอร์ดีล” ที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายหรือคำตอบที่ชัดเจนของผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์

โดยในที่ประชุมสามัญประจำปีของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดขึ้น วันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยวิธีประชุมอี-มีตติ้ง ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นหลายคนได้ถามคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในบิทคับของ SCBX แต่ฝ่ายบริหารได้ตัดและปิดกั้นคำถามเหล่านี้โดยไม่ได้ตอบคำถามเลยแม้แต่คำถามเดียว ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยแก่ผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก

“ไทยพาณิชย์” ยังไม่ยื่นขออนุมัติจาก ธปท.

ขณะที่ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ยังไม่ได้ยื่นแผนการลงทุนในบิทคับอย่างเป็นทางการ มีเพียงการเข้ามาคุยเรื่องในรายละเอียดเท่านั้น ดังนั้น ธปท.จึงยังไม่ได้มีการพิจารณากรณีดังกล่าว ส่วนหนึ่งทาง SCBX อาจรอดูความชัดเจนของเกณฑ์การกำกับดูแลของธปท.ด้วย

“เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 บริษัท ยังอยู่ระหว่างการสอบทานธุรกิจ (Due diligence) อยู่ โดยยังไม่รู้ว่าในท้ายสุดราคาตกลงซื้อขายจริงจะอยู่ที่เท่าไร และภายใต้การจัดโครงสร้างของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน (โฮลดิ้ง) ภายใต้บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) หากเกินเพดาน 3% ของเงินกองทุน ก็สามารถทำได้ แต่จะคิดในกองทุนที่แพงขึ้น หรือเงินกองทุนจะย่อมลง”

แบงก์ชาติคุมเข้มธนาคารลงทุน DA

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์ควบคุมธนาคารพาณิชย์ลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปี 65 นี้ ประกอบด้วย

1. ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset : DA) ที่ได้รับการอนุญาตและมีหน่วยงานการกำกับดูแล เช่น DA exchange, Broker, dealer ธนาคารพาณิชย์ลงทุนได้ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุน กรณีที่เป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน (โฮลดิ้ง) ลงทุนได้เกิน 3% ของเงินกองทุน แต่จะนำส่วนเกินไปหักเงินกองทุน ทำให้เงินกองทุนลดลงได้

2. ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset : DA) ที่ไม่มีการกำกับดูแล เช่น Metaverse และ Defi ธปท.กำหนดให้ทำอยู่ในขอบเขต (Sandbox) โดยจะมีการพิจารณา 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการรับเข้าทดสอบ จะพิจารณาถึงประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ และต้นทุนลดลง และ ขั้นตอนหลังการทดสอบก่อนจะให้บริการวงกว้าง จะพิจารณาประโยชน์ต่อภาพรวมหรือไม่ โดยการทดสอบดังกล่าวยังคงอยู่ในเพดาน 3%

bitkub

นอกจากนี้ ธปท.ยังกำหนดให้แยกคณะกรรมการระหว่างธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจโฮลดิ้งที่ทำเรื่องของธุรกิจ DA โดยเฉพาะอย่างชัดเจน รวมถึงระบบไอที ระบบคอร์แบงกิ้งออกจากกันอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดต่อระบบของธนาคารพาณิชย์ ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์จะต้องไม่ส่งเสริมหรือเชิญชวนประชาชนทั่วไปลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านสาขาธนาคารและเว็บไซต์ เพราะการลงทุน DA ไม่เหมาะกับลูกค้าทุกคน ยกเว้นกับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง (HNW) ตามเกณฑ์ของก.ล.ต. ที่มีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน แต่ธนาคารจะเป็นการให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น

โบรก ฯ คาดมูลค่าดีลต่ำกว่า 1.78 หมื่นล้าน

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ประเมินว่า แผนการเข้าซื้อบิทคับของกลุ่มไทยพาณิชย์ จะยังคงเดินหน้าต่อไป แต่อาจจะต้องเลื่อนสรุปแผนออกไปเป็นหลังไตรมาส 2 จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ไตรมาสแรกปีนี้ เพื่อรอความชัดเจนหลักเกณฑ์ของ ธปท. ที่จะประกาศมีผลบังคับใช้ภายในกลางปีนี้ ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์เองก็เตรียมแผนปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้งส์ เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ของธปท.

ส่วนทางเลือกของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เองมี 3 ทางเลือก คือ 1. ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ขอผ่อนผันหลักเกณฑ์การลงทุนเกินเพดานได้หรือไม่ 2.ต่อรองราคาซื้อขายให้ต่ำลง หรือ 3.ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบิทคับ เพื่อให้สอดคล้องกับเพดานข้อกำหนดของ ธปท.

ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า มูลค่าการซื้อขายบิทคับ มีโอกาสต่ำกว่าที่ไทยพาณิชย์เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.78 หมื่นล้านบาท เมื่อพิจารณามูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายเดือน ของก.ล.ต. ในเดือน ก.พ. 65 อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ลดลงกว่า 60% เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายในเดือน พ.ย. 64

ขณะที่จำนวนบัญชีที่มีการ Active เดือนก.พ. 65 อยู่ที่ 4.95 แสนบัญชี ลดลงจากเดือนพ.ย.ปี 64 ถึง 29% จึงอาจเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ใช้เป็นอำนาจต่อรองราคาการซื้อบิทคับได้

จากการนำเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์ “Bitkub ยูนิคอร์นสายพันธุ์อันตราย” ความยาว 5 ตอน และตอนพิเศษ ที่ผ่านมา ได้สะท้อนภาพปัญหาต่างๆ อาทิ ความเสี่ยงได้คุ้มเสียหรือไม่? เพราะข้อมูลตัวเลขของบิทคับหลายตัวนำเสนอยังค้านสายตาหลายคน รวมถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ไบแนนซ์” ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ประกาศจับมือกับบมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลล็อปเม้นท์ ท่ามกลางกระแสตลาดคริปโตเคอร์เรนซีช่วงขาลง

ขณะที่ ก.ล.ต.และ ธปท.ประกาศควบคุมการทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ด้วยการห้ามไม่ให้ใช้เงินดิจิทัลชำระค่าสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ห้ามไม่ให้มีการโฆษณา ชักชวน หรือแสดงตนว่าพร้อมเป็นผู้ให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ และไม่ให้บริการอื่นใดที่มีลักษณะเป็นการสนับสนุนการรับชำระค่าสินค้าและบริการ

ส่วน “บิทคับ” เองก็โหมทำการตลาดอย่างบ้าคลัง จนดันราคา “Kub Coin” พุ่งทะยานกว่า 1,800% จากราคา 30 บาท ไปสูงสุดที่ 500 บาท ไม่ว่าจะให้ตัว “ท๊อป จิรายุส” เป็นไลฟ์โค้ช การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง หรือมีอิทธิพล (Influencer) ดึงภาคธุรกิจระดมทุนด้วยการออก ICO หรือ NFT แม้กระทั่งการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเจาะตลาดกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อกระตุ้นความสนใจตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ขณะที่ระบบของ “บิทคับ” เองยังไม่มีความพร้อมและประสิทธิภาพรัดกุมเพียงพอ จน ก.ล.ต. ต้องเข้าไปตรวจสอบ และเปรียบเทียบปรับ มาหลายครั้งตลอดปี 64 ดังรายละเอียดดังนี้

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ดีล “SCBX-บิทคับ” ยังจบไม่ลง เป็นไปได้หรือไม่ว่า จากการเข้าไปทำดีลดิลิเจนท์แล้วพบว่า ป้ายโฆษณาไม่ตรงปก เสมือน … ข้างนอกสุกใส ข้างใน …!? หรือไม่

อ่านต่อ

Source

]]>
1381242
แฉบิทคับเดินสายล้างสมองเยาวชน ผู้บริหาร SCBX พยายามปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ (ตอนพิเศษ) https://positioningmag.com/1380702 Thu, 07 Apr 2022 05:16:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380702 ข่าวเชิงวิเคราะห์ “บิทคับยูนิคอร์นสายพันธุ์อันตราย?” ตอนพิเศษ โดย iBit

ผ่าแผนตลาดอำมหิตของบิทคับสร้างคอมมูนิตี้ล้างสมองเด็ก จ้างอินฟลูเอนเซอร์เจาะโรงเรียน-มหา’ลัย กล่อม ก่อน “ท๊อป-จิรายุส” สวมบท “ไลฟ์โค้ช” ปิดจ็อบขายฝันมอมเมาชวนล่าคริปโตฯ รู้ทั้งรู้ แต่ผู้บริหาร SCB กลับกำลังปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ!!?

ดีล 17,850 ล้านระหว่างไทยพาณิชย์กับบิทคับมีการประเมินกันว่า “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าส่วนตัวคิดเป็นมูลค่า 4,260 ล้านบาท

จิรายุส นั้นถือหุ้น 23.87% ถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดในบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ที่ถือหุ้น 99% ใน ”บิทคับออนไลน์” เจ้าของ Exchange ตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่ไทยพาณิชย์จะซื้อหุ้น 51% เพื่อครอบครอง

ขณะที่ไทยพาณิชย์ จะได้อะไร? ยังเป็นคำถามบนความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนของอนาคตสินทรัพย์ดิจิทัล และ ความเข้มงวดของการกำกับดูแลของแบงก์ชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ทำไม? ไทยพาณิชย์ต้องทุ่มเงินมหาศาล เพื่อ Exchange ที่อนาคตไม่แน่นอน ทำไม? ต้องสนับสนุนตลาดที่มีภาพลักษณ์ของ “บ่อนพนัน” ความผันผวนสูง

จากตัวอย่างของ KUB Coin เหรียญของบิทคับ และเหรียญสัญชาติไทยเช่น JFIN และ SIX ที่เจ้ามือแสดงอิทธิฤทธิ์สร้างราคา-ปั่นเหรียญ จนกลายเป็นหายนะของรายย่อย ด้วยราคาขึ้นลงมากกว่า 1,800%

ไม่นับรวม ประเด็นที่ ก.ล.ต.เข้าตรวจสอบระบบการซื้อขาย พบข้อบกพร่อง ทำธุรกิจไม่รัดกุม ไร้ประสิทธิภาพ หรือ ตรวจพบ “นอมินี” หรือ “บัญชีม้า” ที่ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ ถูกสั่งให้แก้ไข และ โดนลงโทษมาก็หลายครั้ง นับแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน การทำธุรกิจ Exchange ของ บิทคับ ออนไลน์ เมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง ไบแนนซ์ ยังพบว่า บิทคับทั้งเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่สูง 0.25% เก็บค่าบริการในการถอน 20 บาทต่อรายการโดยที่ธนาคารคิดเพียง 3 บาท

ผ่าแผนตลาดอำมหิต

แน่นอนว่า ปัจจัยภาพลักษณ์ติดลบนี้ ย่อมเป็นภาระที่ธนาคารไทยพาณิชย์จะต้อง “แบกหม้อก้นดำ” หรือ มารับเคราะห์แทนบิทคับโฮลดิ้งส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่า เรื่องของบิทคับไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากถามคนในวงการเทคโนโลยี หรือ แวดวงการเงินการธนาคาร สิ่งที่พวกเขารับไม่ได้มากที่สุดในการทำธุรกิจของบิทคับ และ ท๊อป จิรายุส คืออะไร? เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เห็นว่า กลยุทธ์การตลาดที่บ้าคลั่ง โดยเฉพาะ การทำตลาดกับ เยาวชน เด็กนักเรียน นักศึกษา เพื่อโน้มน้าวให้ เข้ามาเป็นลูกค้าเปิดบัญชีเทรดคริปโตฯ กับบิทคับ

จิรายุส มักกล่าวเสมอว่า บิทคับ เป็นสตาร์ทอัปที่มีการเติบโตสูงปีละ 1,000% และ จะเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้ได้อีก ซึ่งหากจะรักษาการอัตราการเติบโตของธุรกิจ และ กำไรเอาไว้ได้ วิเคราะห์กันว่า Exchange จะต้องมีผู้เข้ามาเปิดบัญชีเทรดกันมากขึ้น ฐานลูกค้า ยิ่งขยายนั่นหมายถึงค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และ รายได้ที่จะมากขึ้น โดยเป้าหมายอยู่ที่ 7 ล้านบัญชี

ในปี 2565 “บิทคับ ออนไลน์” ตั้งเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าให้ได้ 7 ล้านราย จากเดิมที่เคลมว่ามีอยู่แล้ว 3 ล้านบัญชี หรือ เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว และมีสินทรัพย์ดิจิทัลให้เลือกซื้อขายมากกว่า 100 สกุลในกระดาน Bitkub จากที่มีอยู่ 50 กว่าเหรียญในปัจจุบัน

จากเป้าหมายดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายเชื่อ วิธีทำให้ลูกค้าเพิ่มเป็น 7 ล้านรายให้ได้ คาดว่ากว่าครึ่งน่าจะมาจากกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่หรือนักเรียนนักศึกษานั่นเอง และนั่นย่อมทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดการลงทุนผิดพลาดเพิ่มสูงขึ้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ไร้ประสบการณ์การลงทุน ขณะที่เป้าหมายของบริษัทสำเร็จผลท่ามกลางเงินจำนวนมากของผู้ปกครองที่ต้องสูญเสียไปใครต้องรับผิดชอบ?

นี่คือแผนการตลาดที่อำมหิต และเป็นอันตรายต่ออนาคตของชาติ ที่กำลังหวั่นวิตกกัน

เห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บิทคับ ขยายฐานลูกค้า เจาะตลาดเยาวชนคนรุ่นใหม่ โหมกระพือด้วยแคมเปญต่างๆ ด้วยการเจาะเข้าสู่สถานศึกษา โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย เพื่อให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตน

bitkub

รวมไปถึงการใช้โฆษณา ที่มีตัวของ จิรายุส ลงทุนเป็นพีอาร์ด้วยตนเอง ดังจะเห็นจากป้ายโฆษณาทั้งออฟไลน์และออนไลน์อยู่แทบจะทุกจุดที่มองเห็น จนวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่เด็กนักเรียน นักศึกษา ว่า ทุกวันนี้ไปไหนมาไหน แม้แต่เล่นมือถือเข้าอินเทอร์เน็ตเห็นหน้าท๊อป จิรายุส มากกว่า หน้าพ่อแม่ไปแล้ว หรือ มากกว่าป้ายผู้สมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. ก็ป้ายท๊อป จิรายุส นี่แหละ

กลยุทธ์ตลาดของ Bitkub วิธีการคือสูตรสำเร็จด้วยการนำเสนอ “สิ่งใหม่” จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และ นวัตกรรม ที่ทำดีไซน์ออกมาทำให้ดูเหมือนว่า เยาวชนต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชน และ สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น “เชื่อมทุกโอกาสสู่โลกแห่งอนาคต” แต่สุดท้าย ก็คือการแอบแฝงชักชวนให้เด็กนักเรียนและนักศึกษาต้องเชื่อมต่อกับบิทคับด้วยการเปิดบัญชีเสียก่อนจึงจะเรียนรู้ได้

วิธีการสมัครเปิดบัญชีก็แสนง่ายดายด้วยแคมเปญ “10 บาท” ก็ลงทุนได้ ที่เป็นกับดัก ดักรออยู่ ทำให้มีนักเรียน นักศึกษา ถูกกวาดต้อนเข้ามาเป็นสมาชิกบิทคับจำนวนมาก

เชื่อได้ว่า ผู้ปกครองของบรรดานักเรียน นักศึกษา เหล่านี้ ก็กำลังปวดหัวกับ การที่ลูกหลานมาขอคำยินยอม ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ว่า คริปโตฯ คืออะไร ทำไมต้องใช้เงินไปลงทุน และ อนาคตอะไร นอกจากการเทรดเหรียญที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทอง ไม่ต่างกับการ เล่นพนัน ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาภายในครอบครัวตามมา

ไล่จับเด็กตั้งแต่มัธยม

การทำตลาดเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายเยาวชนของบิทคับมีอะไรบ้าง ลองมาไล่เรียงกัน บิทคับและจิรายุส พยายามนำความคิด ความเชื่อเดียวกันกับ Bitkuber ที่ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเป็นเทรนด์ยอดฮิต ซึ่งคนในเจเนอเรชันนี้จำเป็นต้องตามให้ทันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต กล้าที่จะลุกขึ้นปฏิวัติตัวเองเพื่อไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า หรือความมั่งคั่งร่ำรวย ครอบงำความคิดของเยาวชน หรือ อีกนัยหนึ่ง ก็คือ การปลูกฝังความเชื่อ ล้างสมองเด็กให้คิดถึง ความร่ำรวยที่จะมาพร้อมกับโอกาสของสินทรัพย์ดิจิทัล

กลยุทธ์เริ่มด้วยการสร้างชุมชน หรือ คอมมูนิตี้ เช่นเดียวกันกับ The Chosen one สำหรับกลุ่มชนชั้นดารา เซเลบ หรือ เจ้าของธุรกิจ คอมมูนี้ตีสำหรับเด็กของ บิทคับ จะทำผ่าน Bitkub Academy

ยกตัวอย่างเช่น Bitkub Academy จับมือกับ รร.อัสสัมชัญ จัดหลักสูตรเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี ให้นักเรียน ม.ปลาย ที่สนใจ โดยจัดเต็มตลอดภาคเรียนที่ 2/2564

คำเสนอเชิญชวนเด็ก ม.ปลาย.เหล่านี้ ระบุว่า จะได้พัฒนาความรู้ธุรกิจและทักษะแห่งอนาคต Blockchain เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่นักเรียนอัสสัมชัญจะมีโอกาสก้าวทันนวัตกรรมของโลก รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ทางด้านการเงินธุรกิจ และผลักดันให้ประเทศพร้อมเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการ AC Cryptocurrency & Blockchain Club : Cryptocurrency NFT Defi Learning บอกว่า เป็นหลักสูตรการสอนให้กับนักเรียนอย่างเต็มที่เริ่มตั้งแต่พื้นฐานและเนื้อหาสุดเข้มข้นไม่ว่าจะเป็น Blockchain & Cryptocurrency Decentralized Finance WHAT IS NFTS AND WHY IT IS COMMON? GAMEFI & HOWTO MAKE PROFITS แน่นอนว่า การเรียนรู้ต้องประกอบไปด้วยการสร้าง Community นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะได้เข้ากลุ่ม Line เพื่อร่วมพูดคุย ปรึกษา แนะนำ การพัฒนา แนวทางเกี่ยวกับ Blockchain จากรุ่นพี่อัสสัมชัญผู้อยู่ในวงการ Blockchain ด้วย

ทว่า มีตัวอย่างของเยาวชนที่สะท้อนผ่านสื่อโซเซียลฯ ที่เมื่อได้เห็นหรือฟัง ท๊อป จิรายุส เซเลบคริปโตฯ แล้วเปิดบัญชีเทรดกับบิทคับแล้วไปได้ไม่สวยเหมือนโฆษณา พอร์ตไม่ปังมีแต่พังเพราะ ขาดทุนและแขวนอยู่บนดอยด้วยราคาที่สูงลิบ

นอกจาก รร. อัสสัมชัญ แล้วบิทคับยังมีอีกหลายโครงการที่เข้าสู่โรงเรียนชื่อดังอื่นๆ และ ระดับอุดมศึกษา พยายามเข้าไปวางหลักสูตร การเรียน การสอน เพื่อให้สถานศึกษานำไปบรรจุให้นักศึกษาได้เรียนรู้ ด้วยการสนับสนุนของบิทคับ และ ถือโอกาสไทอินโฆษณาไปด้วย

ดังตัวอย่าง “Bitkub Academy” ที่ไปร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จัดทำความร่วมมือ MOU ร่วมกันจัดกิจกรรมให้ความรู้บล็อกเชนและคริปโตฯ ในรูปแบบออนไลน์ให้กับนักศึกษา กับโครงการ Bitkub Cryptonity

โดยจะจัดกิจกรรมผ่านการเรียนการสอนทั้งหมด 3 ครั้ง แบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ ได้แก่ Let’s Play with Crypto เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์โลกการเงินตั้งแต่อดีตถึง Cryptocurrency และเรียนรู้เรื่องราวโลก Cryptocurrency , What is Blockchain? How Does it Work? เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่อดีตถึงเทคโนโลยี Blockchain

สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ โดย เป็นข้อที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักศึกษากันว่า บรรดาอาจารย์ ครูผู้สอน กลายเป็นพีอาร์ให้บิทคับ มากกว่าจะให้ความรู้เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลจริงๆ

“Bitkub ICON” เฟ้นสตาร์ไปหาแมงเม่า

สำหรับระดับมหาวิทยาลัย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “Bitkub” เดินเกมไล่จับกลุ่มนักศึกษาผ่านการจัดแคมเปญเฟ้นหา “Bitkub ICON” กลุ่มแรกของประเทศไทย จำนวน 16 คนจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ครอบคลุม 4 ภูมิภาคตามสัดส่วน ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

โดย Bitkub ICON ถูกประโคมโอ่ว่า คือ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก มีความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน และสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะได้รับเงินรางวัลและเป็นตัวแทนของ Bitkub ในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนสังคมการเงินแห่งโลกยุคดิจิทัล และสร้างคอมมูนิตี้ให้ทุกคนเข้าถึงได้

นอกจากนี้ Bitkub ICON จะนำความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้เรียนรู้จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปจัดทำกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ต่อให้คนในชุมชนและคนในมหาวิทยาลัยของตนเอง รวมทั้งจัดตั้งคอมมูนิตี้หรือชมรมในมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่อนาคตไปด้วยกัน

ทั้งนี้ Bitkub รายงานว่า แคมเปญ Bitkub ICON ได้รับผลตอบรับดีเกินคาดจากนักศึกษา จากหลายมหาวิทยาลัยกว่า 40 แห่ง

เรียกว่า บิทคับ พยายามอย่างมากในการสร้างคอมมูนิตี้ที่จะเป็นเครือข่ายขยายไปเรื่อยๆ ครอบคลุมครอบงำเด็กทุกระดับ หรือ นักลงทุนรายใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ให้มากที่สุด

จับมือกับวิชัย จับเด็กอาชีวะ

กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา Bitkub และกลุ่มนายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจชื่อดัง ลงนาม MOU จับมือเป็นพันธมิตรจัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท บิทคับ เวิลด์เทค จำกัด (BITKUB WORLDTECH) โดยระบุว่า เพื่อพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างให้เด็กไทย มีทักษะ ตามเป้าหมาย “สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สู่โลกอนาคต”

“วิชัย ทองแตง” ระบุว่า “บิทคับ เวิลด์เทค” จะมุ่ง 3 ด้าน คือ 1. จะไม่นำเทคโนโลยี มาโกงและหลอกลวงผู้อื่น 2. จะเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม และ 3. เราจะแบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้อื่น

จากนั้นเพียง 1 เดือน “บิทคับ เวิลด์เทค” ได้จัดโครงการ “ปั้น” อาชีวะสู่ Digital Transformation ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีและมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

จ้างอินฟลูเอนเซอร์นำกล่อม – ท๊อป ปิดจ็อบ

นอกจากการจับมือกับสถานศึกษา เสนอหลักสูตรคริปโตฯ แล้ว เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนมากขึ้น บิทคับ ยังว่าจ้างบรรดา “ยูทูบเบอร์” “อินฟลูเอนเซอร์” ที่บรรดาเด็กและเยาวชนติดตามตระเวนให้ไปร่วมพูดคุย เป็นวิทยากรในเวที หรือ อีเวนต์ที่ บิทคับ ให้ออกเงินจัดงาน

อินฟลูเอนเซอร์ ที่ถูกว่าจ้างมีหลากหลายสาขาอาชีพ มีทักษะในการสื่อสาร แต่อาจจะไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี สินทรัพย์ดิจิทัล แต่ท๊อป-จิรายุ ไม่ได้ขัดข้องขอให้แต่ละคนสามารถโน้มน้าวคน แฟนคลับ ให้เข้ามาคอมมูนิตี้ของบิทคับก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย โดยตัวเขา จะเข้ามาปิดจ็อบ ด้วยการทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ไลฟ์โค้ช” พูดให้แรงบันดาลใจ ให้เยาวชน มีความรู้สึกดีกับ “ความเชื่อ” ที่บิทคับนำเสนอ

bitkub

อาทิ เช่น เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนภาคใต้ จัดงานวันการศึกษาเอกชนภาคใต้ ครั้งที่ 6 ซึ่งว่ากันว่า บริษัท บิทคับ เวิลด์เท็ค จำกัด ให้การสนับสนุน ณ โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ จังหวัดภูเก็ต

ภายใต้หัวข้อ “Metaverse กับการศึกษาในอนาคต” ในวันนั้น ว่ากันว่า มีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังร่วมงานหลายคน และ เจ้าของธุรกิจ “After yum” ที่มีลูกค้าและแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมากเปิดเวที แล้ว จิรายุส ก็ขึ้นมาเป็นไลฟ์โค้ช ให้กับผู้ฟัง

อีเวนต์การตลาดกับสถาบันการศึกษาเช่นนี้ ฟังว่า จะเดินสายจัดไปทั่วประเทศตามหัวเมืองใหญ่ และ จะมีที่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น ลาว ด้วย

แทรกซึมทุกไลฟ์สไตล์เด็ก

นอกจากคอมมูนิตี้เด็กนักเรียน นักศึกษา กลยุทธ์การตลาดของบิทคับ ยังมุ่งเข้าหาไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นใหม่ในทุกๆ กิจกรรมที่พวกเขาสนใจ

ตัวอย่างเช่น เข้าไปสนับสนุนกิจกรรมการแข่งขัน อีสปอร์ต หรือ วงการเกม เช่น สนับสนุน ทีม เบคอนไทม์ ทีมอีสปอร์ต ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับประเทศและเอเชีย โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งแต่ละรายเป็นกลุ่มเพื่อนวัยรุ่นที่ชื่นชอบในการเล่นเกมมีแฟน ๆ ที่เป็นเด็กและเยาวชนติดตามจำนวนมาก โดยล่าสุดก็เพิ่งจะคว้าแชมป์แต่ก็มีเรื่องที่เป็นดราม่าในโซเชียลฯ เมื่อบิทคับให้ถ่ายทอดสดผ่านเพจของตนเอง หวังจะให้แฟนๆ ผู้รักอีสปอร์ตเข้ามารับชม แต่กลับปิดกั้นโอกาสแฟนคลับที่ตั้งตารอติดตามไลฟ์ผ่านเพจของเบคอนไทม์ไม่สามารถรับชมได้จึงกลายเป็นดราม่าขึ้นมา

จากหลากหลายกลยุทธ์การตลาดที่แทรกซึมไปในทุกที่ของบิทคับ พิสูจน์ได้ว่า คำกล่าวที่ว่า บิทคับ เท่ากับ มาร์เกตติ้ง คอมปะนี หรือ บริษัทด้านการตลาด นั้นไม่ได้ผิดไปนัก หลายฝ่ายเริ่มหวั่นเกรงว่า การปลูกฝังชุดความคิดแบบนี้ จะกลายเป็นการมอมเมาเยาวชน ให้เห็นดีเห็นงามกับโอกาสในการได้กำไรสูงๆ จากการลงทุนหรือจากบล็อกเชน โดยเฉพาะการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่ราคาผันผวน หรือ “ตลาดซิ่ง” ทั้งที่ปัจจุบันหลายคนยังไม่เคยเข้าใจต่อความเสี่ยงจากการลงทุนที่อาจเกิดความเสียหายมากกว่าจะได้มาง่ายๆ

นอกจากนี้ยังมีคำถามที่คาใจคือ มีนักศึกษาในสัดส่วนเท่าใด ที่ไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ หรือมีเงินพอที่จะสามารถกระโดดเข้ามาสู่บล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วยเงินของตนเอง

ไทยพาณิชย์ปัดตอบคำถาม

เรียกได้ว่า Bitkub จัดเต็มไล่ล่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งไลฟ์โค้ช ซีอีโอรุ่นใหม่หมื่นล้าน เพื่อดึงดูดใจให้เข้ามาเป็นสาวกล่าคริปโตฯ ไปด้วยกันกับบริษัท จึงแผนตลาดอำมหิตบิทคับ ล้างสมองเด็กให้ไล่ล่าคริปโตฯ ทั้งๆ ที่ประสบการณ์อ่อนด้อย ตัวเองร่ำรวยจากการเก็บค่าต๋ง ค่าบริการ กอบโกยรายได้จากตลาดซื้อขาย แต่ความหายนะและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงของการลงทุน เป็นอย่างไรไม่รับรู้ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?

จากสตาร์ทอัป ก้าวขึ้นเป็นยูนิคอร์น และ วาดหวังจะเป็น ซูเปอร์แอปฯ โกอินเตอร์ แต่ถามว่า คนไทย ประเทศไทย ได้อะไรกับการเติบโตของบิทคับในลักษณะนี้

เยาวชนเหล่านี้ควรเป็นอนาคตของชาติ และ สังคม กลับต้องมาติดกับดัก บิทคับ ที่ชักชวนให้คนมาซื้อขายเหรียญดิจิทัลที่ราคาผันผวนสูง ฤาไทยพาณิชย์ต้องการแบบนี้หรือ?

ยิ่งถ้ามองบรรดาผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน ธนาคารที่น่าภาคภูมิใจในฐานะธนาคารที่เก่าเเก่ที่สุดในไทย ที่มีอายุกว่า 115 ปี มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุดในวงการธนาคารไทยที่ 228,353.45 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวนหุ้น 793,832,359 คิดเป็น 23.38% กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) จำนวนหุ้น 392,649,100 คิดเป็น 11.56% กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวนหุ้น 392,649,100 คิดเป็น 11.56% บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวนหุ้น 346,262,309 คิดเป็น 10.20% และ สำนักงานประกันสังคม จำนวนหุ้น 109,198,100 คิดเป็น 3.22%

ยิ่งต้องมีคำถามถึง คณะกรรมการธนาคาร ตลอดจนผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ ควรละหรือที่จะหอบเงิน 17,850 ล้านบาทไปลงทุน Exchange หรือ Marketing company ดังที่กล่าวมาแล้วในบทวิเคราะห์ “บิทคับยูนิคอร์นสายพันธ์ุอันตราย?” ทั้งหมด 5 ตอน?

ประเด็นคำถามนี้ มีรายงานว่า ในที่ประชุมสามัญประจำปีของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดขึ้น วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยวิธีประชุมอี-มีตติ้ง ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นหลายคนได้ถามคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในบิทคับของ SCBX แต่ฝ่ายบริหารได้ตัดและปิดกั้นคำถามเหล่านี้โดยไม่ได้ตอบคำถามเลยแม้แต่คำถามเดียว

คำถามคือบรรดาผู้บริหารไทยพาณิชย์ที่ต้องบริหารสินทรัพย์ต่างพระเนตรพระกรรณพวกนี้กำลังปิดบังอะไรอยู่ คิดว่าจะปิดฟ้าด้วยฝ่ามือได้หรือ และสมควรหรือที่จะเข้าไปลงทุนในกิจการที่กำลังล้างสมองเยาวชนไทยให้กลายเป็นสาวกบิทคับเบอร์ของนายท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

Source

]]>
1380702
Bitkub เทียบ Binance ค่าต๋งแพง-ค่าถอนโหด กับดักแมงเม่า https://positioningmag.com/1380226 Mon, 04 Apr 2022 08:02:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380226 ข่าวเชิงวิเคราะห์บิทคับ ยูนิคอร์นสายพันธุ์อันตราย!?” ตอนที่ 5 โดย iBit

เทียบแพลตฟอร์มบิทคับกับไบแนนซ์ พบเก็บค่าธรรมเนียมแพงกว่าเท่าตัว ค่าถอนโขกส่วนต่างระยับ 17 บาทต่อรายการ ไม่เปิดฟีเจอร์ป้องลูกค้าตัดขาดทุน ผวาระบบล่มซ้ำแฮกเกอร์เจาะ โอ่เชื่อมต่ออนาคตแต่วันนี้ยังเชื่อมต่อระบบดั้งเดิม แถมขายให้แบงก์ นวัตกรรมไม่ใหม่ จับตาพร้อม “Exit” 100% บทสรุปสุดท้ายยูนิคอร์นไทย = Marketing Company 

กรณีกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCBX มีความต้องการจะซื้อหุ้น บิทคับ ออนไลน์ ผู้ให้บริการศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 51% คิดเป็นมูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่เดือนพ.. 2564 ที่ประกาศข่าวออกมา ผ่านมาถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้วดีลนี้แม้แต่การยื่นขออนุญาตอย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่เกิดขึ้น!

ความล่าช้าของดีลนี้ วิเคราะห์กันว่า มีความเป็นไปได้ทั้ง SCBX และ กลุ่ม บิทคับ อาจจะกำลังต่อรองกันอย่างหนัก ภายหลัง SCBX ได้เข้าตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางธุรกิจ หรือ ดีลดิลิเจนท์ พบเห็นอะไรที่ไม่ตรงปกหรือไม่? เช่น ปัญหาบัญชีสมาชิกที่ยังไม่รู้ว่า ในจำนวน 3 ล้านบัญชีมี ผู้ลงทุนตัวจริงที่พิสูจน์ตัวตนได้เท่าไหร่ ที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นนอมินีหรือบัญชีม้า ปะปนอยู่มากน้อยแค่ไหน ปริมาณการซื้อขาย รายได้ ที่อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่บิทคับ โฆษณาชี้ชวน (ตามที่เคยวิเคราะห์ไว้ในตอนที่ผ่านมา) เป็นต้น

ขณะที่ เกณฑ์การควบคุมดูแล จาก “ Regulator” ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และ ตลาดหลักทรัพย์ (...) ที่เห็นความเสี่ยงจากการเข้าตรวจสอบบิทคับ และ ที่เกิดจากการทำตลาดอย่างบ้าคลั่งของบิทคับก็ดี จนต้องออกประกาศ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข หรือ ข้อห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตัลดำเนินการในหลายอย่างที่เป็นความเสี่ยงแก่ ผู้ลงทุน องค์กรธุรกิจ และ ระบบเศรษฐกิจ มาอย่างต่อเนื่องตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา และ ยังจะนำออกมาบังคับใช้อีกหลายมาตรการภายในกลางปีนี้

ยิ่งกรณีของ “KUB” เหรียญที่บิทคับออกมาแล้วซื้อขายในตลาดของตัวเอง ต่อมาเกิดอภินิหารที่อธิบายโดยปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ว่า ทำไมราคาของเหรียญจึงพุ่งทะลุฟ้า จากราคา 30 บาทขึ้นไปถึง 500 กว่าบาท หรือ บวกขึ้นไปเกือบๆ 1,800% ก่อนจะถูกเทขายราคาไหลรูดลงมา ซึ่งอธิบายได้อย่างเดียวว่า นี่คือการสร้างราคาหรือปั่นเหรียญเล่นเก็งกำไรในตลาดทำให้ เจ้ามือรวย คนที่ซวย ก็คือ รายย่อย หรือ แมงเม่าทิ่บินเข้ากองไฟ โดยที่ผ่านมา ก... ได้เข้าตรวจสอบแล้วซึ่งอีกไม่นานคงจะมีคำตอบให้สังคมอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม ...เล็งสอบ ปั่น “KUB-JFIN-SIX” หลังพบความผิดปกติราคาผันผวนรุนแรง

ว่ากันว่า ปรากฏการณ์ปั่น “KUB” เย้ยฟ่าท้าดิน หากเทียบกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้าออกหุ้นเอง เทรดเอง ลักษณะนี้ย่อมมีการใช้ข้อมูลภายใน การสร้างราคา เพื่อประโยชน์ของตัวตลาดเองอย่างไม่ต้องนำสืบ ตลาดนั้นๆ ก็จะไม่ต่างกับบ่อนพนันและ ย่อมเกิดคำถามกับ SCBX ที่จะให้ บล.หลักทรัพย์ของตัวเองเข้าไปถือหุ้นในบ่อนพนันเช่นนี้หรือ?

เงินลงทุน 17,850 ล้านบาท โดยเหตุผลต้องการเชื่อมต่อกับโลกการเงินดิจิทัล หรือ โลกอนาคต เป็นวิชั่นที่ไม่อาจจะปฏิเสธเทรนด์ของโลกการเงิน แต่สิ่งที่เป็นไปและจะได้มาคือตลาดซื้อขายคริปโตที่ภาพกลายเป็นแหล่งพนันไปแล้ว เชื่อได้ว่า SCBX เองก็ต้องคิดหนัก

อ่านเพิ่มเติม KUB-JFIN กอดคอกันร่วง หลังนักเทรดแห่เทขายทำกำไร

ไบแนนซ์ ตัวเปลี่ยนเกม

นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ SCBX จะต้องคิดหนักแน่ๆ คือ การเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยของ Cryptocurrency Exchange เบอร์หนึ่งโลก อย่าง Binance แม้บิทคับจะเคลมว่า ตัวเองเป็นเจ้าตลาดของศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย แต่สำหรับนักลงทุนคริปโตฯ ไทยรู้จัก ไบแนนซ์มาก่อนบิทคับตั้งนานแล้ว และเปิดบัญชีกับ ไบแนนซ์ ไม่น้อย ซึ่งเป็นไปได้สูงว่า จำนวนบัญชีและปริมาณการซื้อขายในปัจจุบันของคนไทยอาจจะมากกว่า บิทคับ เสียด้วยซ้ำ

การมาของไบแนนซ์ จะเป็นตัวเปรียบเทียบ และเปลี่ยนเกมตลาดคริปโตฯ เมืองไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยมาตรฐานแพลตฟอร์มที่เป็นสากลระดับโลก และพิสูจน์ตัวเองด้านระบบการซื้อขาย และความปลอดภัย ระดับของเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่ตลอด จะเป็นจุดที่นักลงทุน จะสัมผัสเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่า ไบแนนซ์อยู่เหนือบิทคับทุกประตู

สิ่งสำคัญที่สุดของ Cryptocurrency Exchange หรือ แม้แต่ตลาดหุ้น ก็คือ การซื้อขายที่เป็นธรรม ไบแนนซ์ ที่ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งโลกย่อมต้องได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุน แต่สำหรับ บิทคับ นั้นยังเต็มไปด้วยคำถาม

ขณะที่บิทคับเริ่มต้นมา 3 ปีเศษ มีรายงานจากการเข้าตรวจสอบของ ก...บ่งชี้พบข้อบกพร่อง การทำธุรกิจไม่รัดกุมเพียงพอ ระบบขาดประสิทธิภาพ อยู่เป็นระยะ ตั้งแต่การเปิดบัญชี การพิสูจน์ตัวตนจองลูกค้า Market Marker การซื้อขาย การปล่อยให้มีการสร้างราคาของ KUB ไปจนถึง รวมไปถึงการปล่อยให้คนนอกเข้ามามีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการในตลาดซึ่งเป็นข้อที่หนักหนาสาหัสกับธรรมาภิบาลที่จำเป็นต้องมีสำหรับ Exchange

วันที่ ไบแนนซ์ ซึ่งจับมือกับ กัลฟ์ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจพลังงาน เปิดศูนย์การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยเมื่อไหร่ ภาพการเปรียบเทียบระหว่าง Exchange สองรายนี้จะยิ่งชัดขึ้น

เทียบ ไบแนนซ์ VS บิทคับ กระดูกคนละเบอร์

ลองมาเปรียบเทียบ ไบแนนซ์ กับ บิทคับ กันดู จากการสัมผัสของลูกค้าที่เปิดทั้งสองบัญชีใช้บริการซื้อขายคริปโตฯ โดยส่วนใหญ่ เห็นว่า โดยพื้นฐาน เปิดบัญชีกับไบแนนซ์สะดวกและรวดเร็วกว่า แม้จะปลอดภัยสูงกว่าบิทคับแต่ก็ถ้าผ่านการพิสูจน์ตัวตนได้ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที กับบิทคับต้องใช้เวลานาน 15-30 วัน การใช้งานล็อกอินไบแนนซ์เข้าง่าย แต่บิทคับขั้นตอนยุ่งยาก

ขณะที่จำนวนเหรียญในกระดานเทรดไบแนนซ์มีมากกว่าบิทคับหลายเท่าตัว ซึ่งมาพร้อมกับสภาพคล่องที่แตกต่างกันด้วยปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนที่มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ขณะที่บิทคับเทรดเฉลี่ยวันละไม่ถึง 1 ล้านดอลลาร์สภาพคล่องถือว่าน้อยกว่ามากไม่นับรวมเรื่องของการการโอนเหรียญคริปโต ฯ ระหว่างกระดานเทรดหรือระหว่างแพลตฟอร์ม ไบแนนซ์มีความหลากหลายและทางเลือกมากกว่า

ค่าธรรมเนียมบิทคับแพงค่าถอนโหด

ค่าธรรมเนียมในการเทรด ไบแนนซ์ คิด 0.1% หรือ ซื้อขายไปกลับ อยู่ที่ 0.2% หากใช้เหรียญ BNB หรือ เหรียญไบแนนซ์ เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมได้ 25% ขณะที่ บิทคับ จะคิดค่าธรรมเนียมในการเทรด 0.25% ไปกลับซื้อขาย เก็บค่าต๋ง 0.50% ถือว่าแพงกว่า ไบแนนซ์เกือบเท่าตัว และ เมื่อมีการถอนบิทคับก็จะคิดค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อรายการกับนักลงทุน ซึ่งว่ากันว่า เป็นค่าธรรมเนียมที่มหาโหดที่คนในวงการการเงินมองว่า บิทคับเอากำไรเกินควร ทั้ง ๆ ที่ แบงก์คิดค่าธรรมเนียมค่าบริการกับบิทคับเพียง 3 บาทต่อรายการ แต่บิทคับเอามาเรียกเก็บจากลูกค้าเพิ่มถึง 17 บาท

ฟีเจอร์แตกต่าง บิทคับไม่มี Stop Limit

ในด้านฟังก์ชันหรือฟีเจอร์เครื่องมือทางเลือกในการลงทุน ไบแนนซ์ มีมากกว่า ใช้งานง่ายกว่า บิทคับ ไม่ว่าจะเป็น การเทรดเหรียญแบบ Spot, Futures และ Options ตลอดจนการเทรดแบบใช้มาร์จิน ซื้อขายกันเองแบบ P2P รวมไปถึงการปล่อยกู้รับผลตอบแทน หรือ เก็บเหรียญเพื่อรับดอกเบี้ย

ที่สำคัญ ระบบการซื้อหรือขายของบิทคับ เล่นหรือลงทุนได้แบบ Spot อย่างเดียวซึ่งอาจจะเป็นสวรรค์ของนักลงทุนทำกำไรในช่วงตลาดขาขึ้น แต่สำหรับขาลงนั้น ต้องบอกว่า นรกมาเยือนผู้ลงทุนมือใหม่มีโอกาสที่จะขึ้นไปพำนักบนดอยแขวนตัวเองอยู่ไปราคาสูงไม่สามารถบริหารจัดการพอร์ตของตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ได้

ยิ่งหากดูรายละเอียดของการทำคำสั่งซื้อขายเปรียบเทียบกันของสองแพลตฟอร์ม บิทคับ มักถูกลูกค้านักเล่นบ่นกรณีไม่สามารถกดซื้อหรือขายในราคาตลาดได้แบบเรียลไทม์บ่อยครั้ง จนสูญเสียโอกาสได้ราคาที่อยากจะซื้อหรือขาย

bitkub

ขณะที่ ฟีเจอร์ “Stop Limit order” หรือ เครื่องมือ “Cut Loss” ที่จะช่วยปกป้องผู้ลงทุนจากความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง สามารถกำหนดราคาเอาไว้ล่วงหน้าเมื่อถึงระดับที่ไม่สามารถแบกรับการขาดทุนระบบก็จะเตือนให้ขาย หรือ ขายให้ทันที หากไม่ได้ติดตามหรือมอนิเตอร์การลงทุนของตัวเองแบบ 24 ชั่วโมง หรือ เฝ้ากระดานเทรดได้ทั้งวันทั้งคืน ไบแนนซ์นั้นมีฟีเจอร์นี้เอาไว้ช่วยนักลงทุน แต่สำหรับบิทคับให้ใช้เฉพาะ บิตคอยน์ และ อีเทอร์เรียม ในวงการนักลงทุนคริปโตฯ ถือว่า เป็นข้อเสียอย่างร้ายแรงในสายตาของนักเทรด

ดังที่เกิดโศกนาฎกรรม กับการกอดคอดิ่งเหวของ 3 เหรียญ KUB JFIN และ SIX ที่ถูกเทขายเหมือนตั้งใจจากเจ้ามือทำปลั๊กหลุดอย่างเป็นปริศนา ในช่วงกลางคืนของวันที่ 30 .. 2564 มีผลกระทบกับรายย่อยชนิดที่ไม่สามารถตัดขาดทุนได้ทัน เหตุการณ์นั้นต้องบันทึกเอาไว้ในบัญชีหนังหมาของ ก...ว่า มีพิรุธในการสร้างราคาปั่นและทุบเหรียญของใคร และ ใครที่ได้ประโยชน์จากรูโหว่ของระบบของ บิทคับ

ผวาระบบล่มหลอนโดนแฮกเกอร์ทดสอบ

จุดที่นักลงทุนหรือลูกค้ายังคาใจบิทคับที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า เป็นความเสี่ยงที่ไม่มีใครกล้าการันตีจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะปัญหาระบบล่มของเครือข่ายบิทคับที่เคยเกิดขึ้น ทำให้การซื้อขายหยุดชะงักเมื่อวันที่ 2 วันที่ 3 และวันที่ 16 มกราคม 2564

รวมไปถึงระบบสำคัญ เช่น ระบบการฝากถอนเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบการแสดงข้อมูลทรัพย์สินลูกค้า ระบบการให้บริการติดต่อลูกค้า ทั้งหลายเหล่านี้เป็นปัญหาที่ก...ได้สั่งการให้บิทคับแก้ไขและเยียวยาผู้เสียหายมาโดยตลอด เพราะมีลูกค้าร้องเรียนจำนวนมาก เมื่อเทียบกับไบแนนซ์แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้น

bitkub

อีกประการที่พูดกันในวงในเทคโนโลยีก็คือ ระบบการป้องกันความปลอดภัยจากการโจมตีของแฮกเกอร์ซึ่งถือว่าสำคัญมากของตลาดซื้อขายคริปโตฯ โดยแม้ว่า แฮกเกอร์ จะเลือก Exchange ที่เป็นเจ้าใหญ่ มีชื่อเสียงของโลก แต่ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นกับบิทคับ ซึ่งก็เป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่า บิทคับ พร้อมหรือไม่สำหรับการทดสอบอันตรายจากแฮกเกอร์

ที่ผ่านมา แฮกเกอร์ เจาะเข้าระบบของเครือข่ายบล็อกเชนของเจ้าใหญ่ๆ หลายราย โดยรายล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมาบล็อกเชน โรนิน เน็ตเวิร์กก็เพิ่งถูกแฮกเกอร์โอนเงินออกจากระบบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,455ล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่เมื่อเทียบกับความเสียหายครั้งก่อนหน้าหลายครั้ง

บิทคับ = มาร์เก็ตติ้งคอมปะนี

จากทั้งหมด บทสรุปของบิทคับ จากสตาร์ทอัปอัปเกรดขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยการขี่กระแสขาขึ้นของบิตคอยน์พร้อมกับความพยายามในการสร้าง “ลัทธิ หรือ การสร้างบุคคลิกให้กับธุรกิจและตัวของ ท๊อปจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ให้เป็นดั่งเจ้าลัทธิ” ที่ปลุกเร้าเจ้าของธุรกิจ และ คนดัง ด้วยการทุ่มงบประมาณการตลาดให้เชื่อไปในแนวทางเดียวกันกับบิทคับ

บิทคับ คือ ผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงิน และ เชื่อมต่ออนาคต ด้วยนวัตกรรมใหม่ พร้อมกับการปูพรมกวาดต้อนนักลงทุนหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ นักเรียนมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองด้วยแคมเปญเช่น 10 บาทก็ลงทุนได้ เมื่อเทียบกับ ไบแนนซ์ หรือ แม้แต่ ศูนย์การซื้อขายคริปโตฯ ของไทยด้วยกันเองก็จะไม่บ้าคลั่งเช่นนี้ เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ว่าบิทคับนั้นเอาการตลาดนำหน้าเพื่อรายได้ เพื่อผลกำไรทางธุรกิจ มากกว่าผลลัพธ์การพัฒนาตลาดคริปโตฯ

จิรายุส มักพูดเสมอถึง การเปลี่ยนแปลงโลกการเงินดิจิทัลที่จะเข้ามาดีสทรับ หรือทำธุรกิจให้ชะงักงันได้หากไม่เข้าร่วมขบวนคล้ายๆเขียนเสือให้วัวกลัวส่วนของบิทคับรอจับปลาตอนน้ำขุ่น เมื่อธุรกิจตอบรับเข้าร่วมลัทธิ บนความไม่รู้เรื่องของคริปโตฯ และเทคโนโลยีก็ต้องจ่ายค่าบริการและ ราคาที่ต้องจ่าย” เพราะวาดหวังจะออกเหรียญของตัวเอง ทำกำไรเหมือน KUB ของบิทคับที่ทำตัวอย่างให้ดูแล้ว

ในความเป็นจริง เมื่อแบงก์ชาติออกกฎคุมเข้ม เช่น ห้ามนำเหรียญมาชำระสินค้าหรือบริการ นี่ก็ไปไม่เป็นหลายราย หรือ กระทั่งล่าสุด ...ออกหลักเกณฑ์กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจัดทำและส่งรายงานข้อมูลการซื้อขาย การแลกเปลี่ยน และการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าเพื่อประโยชน์ในการสอบทานทรัพย์สินของลูกค้า

นั่นหมายความว่า ก...ไม่ไว้ใจ บริษัทที่ดูแลคริปโตฯ ของลูกค้าอาจจะไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดส่งผลให้นักลงทุนมีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งความเสี่ยงนี้ย่อมกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจและเงื่อนไขทางการเงินของบริษัทต่างๆ อาจจะมีการเล่นแร่แปรธาตุไว้นอกงบการเงิน ไปปล่อยกู้กันเอง หลีกภาษี หรือ แม้แต่ ฟอกเงิน

ดังที่เป็นกระแสกังวลกันทั่วโลกของหมู่ Regulator ว่า สินทรัพย์ดิจิทัล ถูกใช้เพื่อการมุ่งหวังทำกำไร สร้างความมั่งคั่ง ให้คนบางกลุ่มมากกว่า มุ่งพัฒนาเพื่อโลกการเงินในอนาคต โดยการทำทุกวิถีทางที่จะหาองค์กรธุรกิจมาเป็นลูกค้ายกกระแสเปลี่ยนแปลงมากล่าวอ้าง

เพราะฉะนั้นเวลาที่ จิรายุส เสนอผ่านสื่อจะโน้มน้าวให้เจ้าของธุริกิจ หรือ ชนชั้นนำของสังคม กลุ่มอีลิท ดารา เซเลบ ผ่านการตั้งหลักสูตร หรือ โปรแกรม เช่น The chosen one เปลี่ยนองค์กร เปลี่ยนชีวิตให้หนีจากกับดักรายได้ปานกลางที่ทำกันแค่ สร้างผลผลิต และ บริการ โดยบอกว่า เมืองไทยบริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม สูญเสียโอกาสมหาศาลใน ไปยึดติดกับการทำธุรกิจแบบเดิมๆ ซึ่งก็พอจะอยู่รอดในยุคนั้นเท่านั้น

วันนี้ทุกคนต้องสามารถสร้างธุรกิจในเลเยอร์ที่ 3 – 4- 5 ขึ้นมาได้ เหมือนกับ บิทคับ ที่ยกระดับจากสตาร์ทอัปมาเป็น ยูนิคอร์น และ กำลังจะก้าวต่อไปในอีกระดับที่สูงกว่า เพื่อรองรับการเติบโตสู่โลกใหม่ และ ทุกคนก็ควรสนับสนุนให้บิทคับไปถึง level 4 คือ super app อยู่เหนือตลาด ถึงตรงนั้น ก็ต้องถามว่า คนไทย ประเทศไทยได้อะไรจากบิทคับ?

ด้วยนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจดังกล่าวของบิทคับ จึงไม่แปลกที่คนในวงการเทคโนโลยี จะมองว่า บิทคับ เป็นเพียง Marketing Company ที่หากให้วิเคราะห์กันจริงๆ เทคโนโลยี หรือ นวัตกรรม ของบิทคับที่ว่า เป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาเปลี่ยนโลก เชื่อมต่ออนาคต ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้มีผู้พัฒนาเอาไว้อยู่แล้ว

ตรงกันข้าม วันนี้ระบบสำคัญของบิทคับก็ยังพึ่งพาเชื่อมต่อกับ การเงินแบบดั้งเดิมอยู่มาก เรียกว่า นำของที่มีผู้คิดค้นไว้เอาป้ายสติกเกอร์ใหม่ของตัวเองมาแปะทับเท่านั้นเอง

ที่หัวเราะไม่ออกร่ำไห้มิได้ คือ การบอกว่า โลกการเงินแบบเก่าซึ่งหมายถึงระบบการเงินที่พึ่งพาแบงก์ จะถูกดิสรัปต์ด้วยเทคโนโลยีเงินดิจิทัล ทำการตลาดให้คนเชื่อมั่นเข้าสู่ธุรกิจเงินดิจิทัล แต่บิทคับกลับเสนอขายหุ้นบิทคับให้กับกลุ่มธนาคาร และ เชื่อว่า บรรดาผู้ก่อตั้ง รวมทั้ง จิรายุส เองก็ยังต้องฝากเงินในระบบธนาคารแบบดั้งเดิมเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

ถึงวันนี้ คนในวงการเทคโนโลยีหลายคนรู้สึกผิดหวัง และเสียดาย ที่ให้โอกาสบิทคับมาเชื่อมต่อระบบ โดยไม่เพียงไม่ให้เครดิต ยังนำระบบนั้นๆ ไปทำการตลาดเสนอลูกค้าโกยกำไร

แน่นอนว่า จิรายุส ก็รู้ซึ่งถึงข้อนี้ดี ระหว่างการพัฒนาสินทรัพย์ไปสู่โลกอนาคตจริงๆ บนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดำเนินการเพื่อปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนด้านเทคโนโลยี กฎหมายและกฎระเบียบของ แบงก์ชาติ และ ก...โดยเฉพาะการทำธุรกิจ “Exchange” นั้นอยู่บนความไม่แน่นอนไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่พยายามจะ “Exit” ออกจากธุรกิจที่ตั้งมากับมือ แว่วว่า ใน 49% ที่เหลือในบิทคับออนไลน์ ทางบิทคับโฮลดิ้งส์ก็กำลังวางแผนที่จะเสนอขายให้กับผู้สนใจอยากจะกระโจนเข้ามาเป็นเจ้าของตลาดซื้อขายคริปโตฯ 

หากมองตามวิถีของสตาร์ทอัพเมื่อถึงจุดพีคแล้วต้องรีบ Exit ให้หมดเพื่อ “Win” ในธุรกิจก็มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มบิทคับจะทำ

นั่นหมายความว่า เป้าหมายใหม่ของบิทคับ หรือ Bitkub The next chapter อยู่ที่  Bitkub Chain Bitkub Next กับโปรแกรม The chosen one ที่เป็นกลุ่ม elite insider เหรียญสุดอันตราย ท่ามกลางความพินาศฉิบหายของแมงเม่า ใน Bitkub exchange ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของ SCBX ที่ไปวัดดวงเอาในวันข้างหน้า

ประการสำคัญบทสรุปสุดท้าย  ซีรีส์บิทคับ ตีแผ่เรื่องของธุรกิจคริปโตฯ ในอีกด้านจะเป็นอย่างไรที่มุ่งแต่ฉกฉวยหากำไร สร้างความร่ำรวยให้คนบางกลุ่ม มาถึงตรงนี้ 5 ตอน SCBX จะมีคำตอบอย่างไรให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะสำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่ กับการจะทะเล่อทะล่าละเลงเงินลงทุน 17,850 ล้านให้กับ Bitkub Exchange หรือกลุ่มของ จิรายุส นั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร นี่ก็ต้องติดตามกันต่อไป

Source

อ่านต่อ

]]>
1380226
ดีล SCBX ฮุบ Bitkub เริ่มเสี่ยง… ได้ไม่คุ้มเสีย? https://positioningmag.com/1376593 Tue, 08 Mar 2022 04:27:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1376593 นับถอยหลัง Bitkub ขึ้นยานแม่ SCBX เสียงท้วงติงเริ่มปะทุ ได้คุ้มเสียหรือไม่ จะฝ่าด่านแบงก์ชาติอย่างไร เหตุมูลค่าดีลสูงจัด ใช่ Fair Value หรือไม่ ท่ามกลางความเสี่ยงของตลาดซิ่ง ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนเร็ว คู่แข่งใหม่-เก่า Binance จ่อเขย่าขวัญ ขณะที่ตัวเลขรายได้กับวอลุ่มซื้อขายดูค้านสายตา โดยเฉพาะจ้าง Market Maker เทรดฟรีไม่มีพูดถึง และบททดสอบการโดนแฮกที่บิทคับยังต้องพิสูจน์ ปลอดภัยจริงหรือ? ขณะที่วิถีสตาร์ทอัป “ท๊อป-จิรายุส” Exit พร้อมเงินก้อนโต 1.78 หมื่นล้าน

ช่วงนี้กลุ่มไทยพาณิชย์อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจทางการเงิน และโครงสร้างการถือหุ้น ตามยุทธศาสตร์องค์กรที่ต้องการสร้างการเติบโตและมูลค่าในระยะยาวตามบริบทของโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งประกาศเริ่มกระบวนการแลกหุ้นระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) สู่บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) เพื่อเดินเครื่องนำยานแม่ SCBX เข้าตลาดหลักทรัพย์แทนที่ SCB

ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนของ SCBX ที่มุ่งมั่นจะไม่ใช่แค่ทำธุรกรรมธนาคารแบบดั้งเดิมเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และหนึ่งในการปรับโครงสร้างธุรกิจการเงินที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 พ.ย. สร้างความสั่นสะเทือนวงการ กล่าวกันว่าเป็น “ซูเปอร์ดีล” หรือ “เซอร์ไพรส์ดีล” คือ การจะซื้อหุ้น 51% จากบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ Bitkub สตาร์ทอัปเจ้าของตลาดซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ที่เติบโตพรวดพราดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าการลงทุนสูงกว่า 17,850 ล้านบาท

Photo : Shutterstock

ความเคลื่อนไหวในครั้งนั้นมีการวิเคราะห์กันว่าทั้ง SCBX และบิทคับ จะ WIN-WIN ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งราคาหุ้นของ SCB และ Kubcoin เหรียญของบิทคับเองราคาพุ่งไปกว่า 200% จากการแห่แหนเก็งกำไรแบบเย้ยฟ้าท้าดิน ท่ามกลางความประหลาดใจระคนสงสัยว่า พื้นฐานที่แท้จริงอยู่ตรงไหน มิหนำซ้ำเวลานั้นว่าไปแล้ว ดีลยังไม่จบไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน? งานนั้นใครลาก ใครปั่น และใครได้ ใครเสีย? ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่ชวนให้น่าตรวจสอบ (โปรดติดตามอ่านรายละเอียดได้ในตอนต่อไป)

เนื่องเพราะดีลนี้ตามขั้นตอนทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีเงื่อนไขว่า ผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องออกมาเป็นที่น่าพอใจ หรือเรียกว่า “ตรงปก” และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสํญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน

ยังไม่ทันปัง ฤาจะพังเสียก่อน?

มีรายงานว่า กลุ่มไทยพาณิชย์ ได้ดำเนินการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) และยื่นคำขอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยในการลงทุนใน Bitkub เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่มีใครยืนยันรายละเอียดว่า หลังจากทำดีลดิลิเจนท์แล้วมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ หรือมูลค่าการซื้อขายระหว่างกันหรือไม่ ซึ่งหมายความว่า ขณะนี้ซูเปอร์ดีลระหว่าง SCBX กับ Bitkub อยู่ในการพิจารณาของแบงก์ชาติ

ผลการพิจารณาของแบงก์ชาติจะออกหัวหรือก้อยยังต้องติดตามกัน แต่จากสัญญาณที่แบงก์ชาติในฐานะผู้กำกับดูแลตลาดเงินดูเหมือนจะมีความเข้มข้นในการปกป้องความเสี่ยง เน้นมาตรการปลอดภัยไว้ก่อน หลายฝ่ายเชื่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าด่านธปท.

ยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ผลกระทบจากภัยพิบัติโควิดระบาด มาจนถึงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีความผัวผวนอย่างหนัก ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีอยู่ในภาวะดิ่งเหวที่มองไม่เห็นก้นเหว ซึ่งหวั่นวิตกกันว่า ตลาดเทรดคริปโตฯ ที่ได้ชื่อว่า “ตลาดซิ่ง” ขึ้น-ลง ไม่มีเพดาน ไม่ต่างกับรถไฟเหาะตีลังกา จะเข้าสู่วงจร ‘ภาวะหมี’ แตกต่างจาก ‘ภาวะกระทิง’ ช่วงเฟื่องฟูปี 2564 ที่ SCBX จะเข้าซื้อ Bitkub เหมือนที่เคยเกิดขึ้นช่วง 3-4 ปีก่อนนี้ทำให้มูลค่าหดหายไปมหาศาล

กล่าวได้ว่า ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อคริปโตฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่ SCB ประกาศจะซื้อหุ้นบิทคับดังกล่าว มิพักต้องสงสัยว่า เวลานี้มูลค่าของตลาดคริปโตฯ ของบิทคับจะหายไปแค่ไหน ขณะที่นักลงทุนขยาดที่จะลงทุนเพิ่ม ติดอยู่บนดอยสูง เกิดความเสียหายโดยที่การฟื้นตัวยังมองไม่เห็น ย่อมส่งผลต่อ รายได้จากค่าต๋งในการเทรดและกำไรของบิทคับโดยตรง

ประกอบกับความเข้มงวดของแบงก์ชาติที่ผ่านมา ตีกรอบไว้ชัดเจนเป็นกฎเหล็กไว้ว่า ถึงแม้ธนาคารพาณิชย์จะปรับโครงสร้างธุรกิจการเงินอย่างไร แบงก์ต่างๆ ยังมีหน้าที่รับเงินฝากจากประชาชน เพราะฉะนั้นการดำเนินการใดๆ ที่จะนำความเสี่ยงมาสู่แบงก์ ธปท.จะไม่ยอมให้เกิดขึ้น พูดง่ายๆ ว่า กรณีของบิทคับก็ไม่มีข้อยกเว้น ต้องไม่นำความเสี่ยงใดๆมาสู่แบงก์ไม่ว่าจะในมิติใดก็ตาม

ปกติแล้ววงจรของตลาดคริปโตฯ ผันผวนขึ้นสูงสุดเป็นพันๆ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ลงได้เป็นพันๆ เปอร์เซ็นต์เช่นกัน เป็นวงจรที่สลับไปมาอยู่เสมอ ตอนนี้ภาวะยิ่งผันผวนหนัก นั่นทำให้บิทคับ ถูกมองว่าอยู่ในโซนมีความเสี่ยงสูง ดีลที่ไทยพาณิชย์คาดหวังไว้สูงจะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต นำยานแม่ตะบึงไปในจักรวาล ถึงเวลานี้เริ่มมีคำถามถึง “ความเสี่ยง” ที่จะได้มากกว่าความคุ้มค่าหรือไม่? หรืออีกนัหนึ่ง ว่า ความปังยังไม่เกิด หรือ ความพังจะมาก่อน?

คำถามคือ แล้วผู้คุมกฎอย่างแบงก์ชาติ-ก.ล.ต.จะยอมหรือ?

SCBX ได้คุ้มเสีย? ที่แน่ๆ Bitkub นับเงินเพลิน

เดิมความปังของ SCBX ที่ว่ามาจากการคาดการณ์ว่าความเป็นเจ้าของในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จะเปลี่ยนมือมาเป็น SCBS ภายในไตรมาสแรกปีนี้ และหลายฝ่ายเชื่อว่านี่คือการตอบโจทย์ในแผนกระโดดขึ้นยานแม่ SCBX ของ SCB เพราะเดิมการเป็นเพียงแค่ธนาคาร ทำให้จะลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมจึงเป็นเรื่องที่ยาก จึงจำเป็นต้องใช้บริษัทลูกเข้าทำ แม้ตัวเองจะเป็นผู้ลงทุน

เงื่อนไขดังกล่าวจึงเป็นที่มาในการตั้ง Holding Company เพื่อตั้งบริษัทลูกขึ้นมาหลายบริษัท เพื่อมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายกิจการท่ามกลางธุรกิจธนาคารที่เผชิญการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หากธนาคารเข้าลงทุนโดยตรงจะเจออุปสรรค โดยเฉพาะเรื่องการสำรองเงินเผื่อฉุกเฉินที่ธนาคารต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ SCB มองเห็นว่าสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็น New Growth ที่น่าสนใจลงทุน เพราะจะช่วยให้ SCBX สามารถสร้างคุณค่าใหม่ที่สามารถเติบโตในระยะยาวไปกับโลกใหม่ได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ยานแม่ ในการยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงิน สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค และสามารถเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

Photo : Shutterstock

ทั้งที่ Bitkub นั้นคือ Decentralized Finance (Defi) หรือการกระจายศูนย์ทางการเงิน ซึ่งระบบเดิมจะมีธนาคารเป็นผู้ดูแล แต่ Defi นั้นจะเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ผ่านธนาคาร ซึ่งเหมือนสิ่งที่ย้อนแย้งกัน

ประการสำคัญ ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนับแต่เข้าสู่ปีเสือ 2565 หากตลาดเทรดคริปโตฯ ดำดิ่งเช่นนี้ ซึ่งคาดกันว่า ไซเคิลจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 ปีกว่า ผลประกอบการที่คาดหวังไว้ในการลงทุน Bitkub ย่อมไม่เป็นไปตามที่คาดอย่างแน่นอน นั่นจะผลักดันให้กลุ่มไทยพาณิชย์กลายเป็นเสือลำบาก มูลค่าการลงทุน 1.78 หมื่นล้านจะต้องมีคำถามว่าคุ้มหรือไม่เมื่อต้องแบกรับ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับ Bitkub โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเทียบกับกำไรของบิทคับที่แปรผันตามตลาดเทรดคริปโตฯ ก่อนนี้ มีกำไรเกือบๆ 2 พันล้านบาทต่อปี ถือว่ามี Valuation ที่เหมาะสม จากนี้ไปยังจะเหมาะสมอยู่อีกหรือไม่ กับโอกาสการที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นมีหรือไม่? นี่เป็นคำถามที่นักวิเคราะห์เริ่มมองกัน

SCBX ประเมินไว้ว่า หลังเข้าบริหารกิจการบิทคับ ข้อดีของ Bitkub คือ การเป็นกระดานเทรดสัญชาติไทยที่มีผู้เปิดบัญชีอยู่กว่า 3 ล้านบัญชี สามารถแลกเปลี่ยนจากเงินบาทเป็นเหรียญดิจิทัลได้เลย ขณะเดียวกัน ด้วยเหตุที่ Bitkub สามารถผูกบัญชีธนาคารไว้กับบัญชีผู้ใช้ ดังนั้นการที่ SCB เข้ามาถือหุ้น 51% ย่อมได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้ เพราะปัจจุบันการจะถอนเงินจาก Bitkub เข้าบัญชีธนาคารต้องเสียค่าธรรมเนียม และ SCB สามารถดึงลูกค้าเข้ามาเปิดบัญชีกับตัวเองได้เพิ่มเพียงแค่ลดค่าธรรมเนียมให้น้อยกว่าเจ้าอื่นๆ

นอกจากนี้ ดีลครั้งนี้จะทำให้ SCB ได้เทคโนโลยีของ Bitkub เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องเริ่มลงทุนจากศูนย์ หรือเริ่มตั้งแต่ตั้งไข่ ขณะเดียวกัน Bitkub จะได้รับเงินทุนจำนวนมากเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบจาก SCB

แต่ด้วยดีลนี้เป็นดีลขนาดใหญ่ และหากเป็นดีลขนาดใหญ่โดยทั่วไปจะต้องมีการพิจารณาจากบอร์ด และการทำข้อตกลงร่วมกัน จากนั้นจะใช้ระยะเวลาในการคิดคำนวณหามูลค่าลงทุนที่เป็น Fiar Value ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อได้ราคามายังจำเป็นต้องมีการเจรจาต่อรองกันอีกรอบ

จากข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอข้างต้น จึงกลายเป็นคำถามว่า “สรุปแล้วดีลนี้มัน win-win หรือได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายจริงหรือไม่?”

Photo : Shutterstock

หันมาดูฝากของ Bitkub บ้าง สำหรับ Bitkub ถือเป็น 1 ใน 7 กระดานเทรดเหรียญดิจิทัลของไทย ซึ่งได้ไลเซนส์จากคณะกรรมการกำกับและดูแลหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อตั้งโดย “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลังจากก่อตั้งบริษัท ท๊อปกลายเป็นเน็ตไอดอลของนักเทรดคริปโตฯ มือใหม่ Bitkub เป็นที่รู้จักในหมู่คนรุ่นใหม่ บรรดาสตาร์ทอัป นักเรียนนักศึกษา ไปจนรายย่อยที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเทรดคริปโตฯ เก็งกำไร

Bitkub นั้นขี่กระแสบิตคอยน์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ประกอบกับการปูพรมทำการตลาดแบบออฟไลน์-ออนไลน์ ให้ทุกคนได้เห็นและคุ้นชื่อ คิดถึง บิตคอยน์ คิดถึงบิทคับ ชวนเชื่อว่า นี่เป็นโลกใหม่ แพลตฟอร์มที่จะเชื่อมทุกคนไปสู่โลกอนาคต

ว่ากันว่า ก่อนที่ท๊อปจะปิดดีลกับไทยพาณิชย์ เขาเร่เสนอขายหุ้นให้บรรดาเศรษฐีทั่วฟ้าเมืองไทย แต่ไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งน่าคิดว่า ทำไม? เพราะอะไร? เศรษฐีนายทุนทั้งหลายจึงปฏิเสธที่จะลงทุน? ต่อมานักวิเคราะห์เชื่อกันว่า สาเหตุที่หลายคนปฏิเสธ บิทคับอาจจะเห็นว่า มูลค่าที่ท๊อปเสนอมานั้นสูงเกินจริง ขณะที่คริปโตฯ เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างจาก “บ่อนพนัน” โอกาสที่จะให้ผลประโยชน์คุ้มค่าในการลงทุนนั้นประเมินยาก

วันนี้ โดยหากไม่นำไปเปรียบเทียบกับ Binance ซึ่งเป็นกระดานเทรดระดับโลกที่คนไทยนิยมเปิดบัญชี Bitkub ใช้เวลาเพียง 3 ปีสามารถเป็นกระดานเทรดที่มีคนใช้มากที่สุดในไทย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 3 ล้านบัญชี ทำให้ครองส่วนแบ่งการตลาดในไทยประมาณ 90% และมีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วง 9 เดือนแรกในปี 2564 มากกว่า 1.03 ล้านล้านบาท

เมื่อข่าวว่าท็อปจบดีลกับไทยพาณิชย์ได้เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2564 จึงทำให้หลายคนประหลาดใจ แน่นอนว่า ฝ่าย SCBX ก็ไม่ได้จีบแค่ท๊อปคนเดียว แต่สิ่งที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในกลุ่มแฟนคลับของบิทคับ คือ ทำไมเขาจึงยอมเสียการบริหารบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือโดยยอมขายให้ไทยพาณิชย์มากถึง 51% เหลือสถานะแค่ผู้ถือหุ้นจนแฟนคลับบางกลุ่มรับไม่ได้ถอนตัว ปิดบัญชีไปเลยก็มี

ก่อนหน้านี้ เคยมีการซื้อขายหุ้นในธุรกิจตลาดเทรดคริปโตฯ และโบรกเกอร์คริปโตฯ รายอื่นๆ ให้ผู้เล่นรายใหญ่เกิดขึ้นบ้าง เช่น การเข้าถือหุ้นใน Zipmex ของธนาคารกรุงศรีฯ แต่ก็ไม่ใช่สัดส่วนที่สูงถึง 51% เหมือนกรณี SCBX กับบิทคับ

ในวงการสตาร์ทอัป ว่ากันว่า จุดหมายปลายทางของธุรกิจเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งหรือจุดพีก ผู้ก่อตั้งที่มองเห็นโอกาสมักจะขายธุรกิจเพื่อทำกำไร หรือ “EXIT” ออกมาพร้อมกับเงินก้อนโตที่ได้จากนักลงทุน หรือผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้ามาเทกโอเวอร์กิจการ เพื่อไปหาความท้าทายใหม่ หรือปั้นธุรกิจใหม่ย่อมดีกว่า และเป็นวิถีที่สตาร์ทอัพกระทำกัน เพราะ “จังหวะ” คือ “โอกาส” นั่นเอง

“SCB เวลานั้นต้องการหาการฟื้นตัว หาธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโต และอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วคือ Start Up โดย Start Up ที่เป็นไฟแนนซ์และเติบโตเร็วที่สุดก็ต้องตลาดคริปโตเคอร์เรนซี นั่นจึงทำให้ก่อนที่จะมาจบดีลกับ Bitkub นั้น SCB มีการส่งทีมงานผู้คุยกับ Exchange ที่มีใบไลเซนส์จากคณะกรรมการกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกราย เพราะเขาสนใจเข้าลงทุนเพื่อให้มาเป็นธุรกิจหลักในอนาคต แต่หลายบริษัทเขามองต่างว่า นี่คือธุรกิจหลักที่กำลังเติบโตอยู่ในปัจจุบัน และไม่ต้องการให้มีใครเข้ามาควบคุมหรือแบ่งปันอำนาจเลยมีการปฏิเสธไป แต่เผอิญการพูดคุยกัย Bitkub มันประสบความสำเร็จ จึงเกิดดีลนี้ขึ้น” แหล่งข่าวในวงการตลาดคริปโตฯ แสดงความเห็น

“นอกจากนี้ นี่เป็นความฉลาดท๊อป-จิรายุสเจ้าของ Bitkub ที่มองออกว่า ตลาดในช่วงนั้นสำหรับบิทคับน่าจะเป็นจุดสูงสุด (Peak) แล้ว ดังนั้น การที่ได้รับโอกาสเป็นเม็ดเงินที่เหมาะสม จึงไม่แปลกที่ยอมขายหุ้นบางส่วนออกมาเพื่อทำกำไร มันก็เหมือนกับหลายธุรกิจอื่นๆ ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ เมื่อมีรายใหญ่เข้ามาซื้อกิจการส่วนมากก็จะเป็นช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดของบริษัทนั้นแล้ว ขายไปแล้วได้กำไรได้เงิน อนาคตจะออกไปเปิดใหม่อีกย่อมทำได้” แหล่งข่าวกล่าวและว่า นี่เป็นอีกสิ่งที่จะทำให้ในอนาคตตลาดคริปโตฯ เมืองไทยหวือหวานั่นคือราคาประเมินในดีลดังกล่าวที่สูงมาก นั่นย่อมทำให้ต่อไป หากธนาคารไหนสนใจจะเข้าเทกโอเวอร์ Exchange แบบนี้ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาลงทุน บนความเสี่ยงที่มีอยู่

นั่นหมายความว่า เมื่อไรก็ตามที่ซูเปอร์ดีลนี้จบสมบูรณ์ SCBX เดินไปบนความเสี่ยงของธุรกิจบิทคับแต่สำหรับกับ “ท๊อป-จิรายุส” มีแต่ได้กับได้ มีคนมาช่วยรับความเสี่ยงไป และ ยัง Exit ออกมาด้วยเม็ดเงิน 1.78 หมื่นล้าน นับกันเพลินๆ มองหาโอกาสใหม่ให้ตัวเองสบายๆ และยังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง หลัง SCBX ใส่เงินลงทุนมา บิทคับ ที่ก่อตั้งกลายเป็น “ยูนิคอร์น” ติดปีกบินเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแวดวงสตาร์ทอัปเมืองไทยอีกด้วย

ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทลูกในเครือบิทคับในส่วนที่ท๊อป-จิรายุส ยังดูแลเริ่มขยับร่วมมือกับพันธมิตร เปิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นๆ (โปรดติดตามอ่านรายละเอียดได้ในตอนถัดไป)

3.5 หมื่นล้านบาทสูงไปหรือเปล่า?

ทีนี้กลับมาย้อนดูความเสี่ยงของ SCBX กันทีละประเด็น เริ่มกันที่มูลค่าของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ที่ถูกคำนวณว่าสูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาท และ SCB ต้องใช้เงินสูงถึง 1.78 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ได้สิทธิในการเข้าถือหุ้น 51% นั้น จนปัจจุบันนี้ก็มีหลายเสียงที่มองว่า มูลค่าดังกล่าวนั้นสูงมาก สูงจนอาจเรียกได้ว่าสูงจนเกินไป แม้จะมีรายได้ 9 เดือนแรกปี 2564 ที่ระดับ 3.27 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1.53 พันล้านบาท นั่นเพราะทุกธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง ไม่พ้นแม้แต่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ เพราะอาจจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับปัจจุบัน โดยราคาเหรียญสำคัญอาจจะลดลงไป ซึ่งจะมีผลให้รายได้ของบริษัทลดลงไปด้วย

รายได้กับวอลุ่มที่ชวนสงสัย

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ชวนสงสัย นั่นคือ รายได้กับปริมาณการซื้อขายของ Bitkub เพราะจากข้อมูลที่นำเสนอมาด้วยวอลุ่มซื้อขายรวม 9 เดือน 1.03 ล้านล้านบาท กับค่าธรรมเนียม 0.25% นั้นไม่สามารถออกดอกผลมาเป็นรายได้ถึงระดับ 3.27 พันล้านบาทได้ และน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาท

“เขาอาจจะมีรายได้จากค่าฟีในการถอนเงินเข้ามาเสริม แต่เชื่อว่ามันไม่ได้เยอะขนาดนั้น เพราะหากต้องการให้ได้รายได้ระดับนั้นมันต้องใช้ Trading Volume ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท คือมากขึ้นอีก 2 แสนล้านบาท อันนี้มันทำให้น่าสงสัย”

Closeup – Woman is checking Bitcoin price chart on digital exchange on smartphone, cryptocurrency future price action prediction.

Market Maker นัยแฝงของค่าฟี

แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า การจะออกเหรียญแต่ละเหรียญนั้นมันมีต้นทุนหลายด้าน นั่นรวมถึงการมี Market Maker หรือบุคคลที่ถูกเชิญเข้ามาช่วยดูแลสภาพคล่อง เพื่อให้ตลาดเทรดนั้นมีความเคลื่อนไหว เพราะว่าไปแล้ว ตลาดเทรดในไทยยังเป็นกลุ่มเฉพาะนักลงทุนในตลาดไม่ได้มากเหมือนตลาดหุ้นที่มีมานาน จำเป็นต้องอาศัยกลุ่มคนมาสร้างสภาพคล่อง ซึ่งบางเหรียญ Market Maker อาจมีมากกว่า 3-5 ราย ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับ Trading Volume ที่ข้อมูลของบิทคับเปิดเผยมา ปริมาณการซื้อขายแท้จริงจึงไม่น่าจะถึง เพราะส่วนนี้รวมต้องไม่ลืมนับ Maket Maker เข้าไปด้วย

“มากที่สุดอาจเหลือแค่ 1 ใน 3 จากข้อมูลที่นำเสนอออกมา และเราต้องไม่ลืมว่า Maket Maker พวกนี้เข้าเทรดฟรี โดยไม่มีการคิดค่าฟี หรือค่าธรรมเนียม นั่นยิ่งทำให้ตัวเลขรายได้ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น”

กัลฟ์กับไบแนนซ์เขย่าขวัญ SCBX – บิทคับ

ประเด็นถัดมาถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงทางธุรกิจนั่นคือ โอกาสที่จะเกิด “คู่แข่งขัน” นั้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเข้ามาโดยตรงจากต่างประเทศ หรือการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรร่วมกับธนาคารอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีแนวคิดเดียวกันกับ SCB เกิดขึ้น นั่นย่อมหมายถึงสงครามในการแย่งชิงจำนวนบัญชีลูกค้าในอนาคตที่มีความเป็นไปได้มาก แม้ Bitkub จะออกตัวนำเจ้าอื่นๆ ไปก่อนก็ตาม แต่หากเกิดสงครามแย่งชิงลูกค้าทำให้ต้องเกิดการตลาดลดราคาค่าบริการ ซึ่งจะนำไปสู่การไม่คุ้มค่ากับการลงทุนตามมา

กรณีของบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเม้นท์ ส่งกัลฟ์ อินโนวา ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุ่มไบแนนซ์ (Binance) ซึ่งดำเนินธุรกิจ ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่เบอร์ต้นๆ ของโลกที่มีปริมาณการซื้อขายมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ที่นักเทรดคริปโตฯ เมืองไทยรู้จักกันดีจะเข้ามาเปิดแนวรุกเปิดตลาดในไทย กำลังได้รับการจับตาว่า จะเข้ามาเปลี่ยนเกมตลาดคริปโตฯ ที่บิทคับครองส่วนแบ่งตลาดอยู่อย่างแน่นอน

งานนี้นักวิเคราะห์มองกันว่า บิทคับ ที่เคยดำเนินธุรกิจแบบไร้คู่แข่งจะเจอศึกหนัก และเรื่องนี้ถือเป็นความเสี่ยงของ SCBX ที่แม้จะคาดไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้

1.78 หมื่นล้านบาทคืนทุนเมื่อใด?

มาถึงคำถามที่ขณะนี้กำลังเป็นประเด็น นั่นคือ โอกาสในการคืนทุนของ SCBX จะต้องรอถึงเมื่อใด นักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่า หากคำนวณจากตัวเลขที่ Bitkub นำเสนอในช่วงที่เป็นข่าวคืองวด 9 เดือนแรกปี 2564 มาคำนวณโอกาสในการคืนทุนภายใน 1-2 ปีนั้นยังเป็นไปได้ยากเพราะตลาดคริปโตฯ เมืองไทยแม้จะเติบโตต่อเนื่อง แต่ยังไม่ใหญ่มากพอกับตลาดในต่างประเทศ อีกทั้งการจะทำให้เติบโตได้ต้องมีโปรดักต์ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาลงทุน

เมื่อประมวลจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นดังที่กล่าวมาการคืนทุนอาจจะใช้เวลานานกว่าเดิม ที่เหลือต้องพยายามอย่างหนักเพื่อรอให้ไซเคิลของคริปโตเคอร์เรนซีหวนกลับมาอยู่ในภาวะกระทิง และผลักดันแผนในการทำ IPO ของบิทคับที่คาดว่าจะระดมทุนได้อีกรอบให้ลุล่วงโดยเร็ว แต่ปัญหาที่จะตามมาก็คือ ปัจจัยเสี่ยงกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบิทคับ SCBX น่าจะต้องทำใจกับมูลค่าที่ลดลง และประเด็นที่ไม่เคยมีใครมอง นั่นคือ การลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และการให้ความสำคัญในเรื่องระบบหลังบ้านและด้าน SECURITY เพราะ Bitkub เคยมีปัญหารับออเดอร์ไม่ทัน และยังไม่เคยเจอบททดสอบที่สำคัญ เช่น การโดนแฮกข้อมูล (Hack) ในฐานะ Exchange ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นกับ Exchange รายใหญ่มามากแล้ว

“ถ้าโดนแฮกขึ้นก็ไม่รู้จะเกิดอะไรกับ SCB ยิ่งโดนหลังจากดีลนี้จบแล้วยิ่งน่ากังวล เพราะเวลาแฮกกันเขาไม่ได้แฮกกันน้อยๆ มันเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก และการที่ Exchange โดนแฮก มันหมายถึงต้องรับผิดชอบในส่วนที่สูญหายไปของลูกค้าด้วย ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามว่าจะรับมือกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร”

งานนี้ต้องติดตามกันต่อไป เมื่อ SCBX กระโดดขี่หลังยูนิคอร์น Bitkub บทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

(โปรดติดตามอ่านตอนที่ 2 ย้อนรอยซูเปอร์ดีล หุ้นพุ่ง-Kubcoin ทะลุเมฆ ใครปั่น ใครได้ ใครเสีย ในวันจันทร์ถัดไป)

Source

]]>
1376593
ย้อนดู ‘3 ยูนิคอร์น’ สัญชาติไทยที่เกิดพร้อมกันในปี 2021 https://positioningmag.com/1369454 Wed, 05 Jan 2022 07:47:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369454 หากพูดถึงวงการสตาร์ทอัพไทยที่มีมานานเกือบ 10 ปี แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังหลายคนเริ่มมองว่าเป็นขาลง ขนาด ‘Dtac’ ยังยุบ ‘Dtac Accelerate’ ไป หลายคนในแวดลงมองว่ามีเพียง ‘ยูนิคอร์น’ หรือ บริษัทที่มีมูลค่า ‘1,000 ล้านดอลลาร์’ เท่านั้นที่จะฟื้นความเชื่อมั่นได้ และในที่สุดปี 2021 ที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยก็มียูนิคอร์นถือกำเนิดแถมไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่กลับมีถึง 3 ราย ภายในปีเดียวกัน โดย Positiongmag จะสรุปยูนิคอร์นไทย 3 รายว่ามีใครบ้าง

1. Flash Express

ผู้ก่อตั้ง : นายคมสันต์ ลี

ธุรกิจ : บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส โลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซครบวงจร (Flash Logistics, Flash Fulfillment, Flash Home, Flash Pay, Flash Money)

Flash Express (แฟลช เอ็กซ์เพรส) ก่อตั้งเมื่อปี 2017 ก่อนจะให้บริการในปี 2018 ซึ่งถือเป็นช่วงที่อีคอมเมิร์ซกำลังเติบโต จุดเด่นของแฟลชคือ ให้บริการตลอด 7 วันไม่มีหยุด มีบริการรับถึงบ้านฟรี เพื่อตัดปัญหาการหาหน้าร้าน รวมถึงราคาที่เริ่มต้นเพียง 15 บาท โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา Flash มีการเติบโตกว่า 1,000% และได้มีการแตกบริการไปอย่างครบวงจร และในวันที่ 31 พ.ค. 2021 Flash ได้ระทมทุนซีรีส์ D+ และ E จาก SCB 10X, PTTOR, TOP และอื่น ๆ ส่งผลมูลค่าบริษัททะลุ 30,000 ล้านบาท ขึ้นเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย

2. Ascend Money

ผู้ก่อตั้ง : นายศุภชัย เจียรวนนท์

ธุรกิจ : บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ในเครือแอสเซนด์ ให้บริการ Fintech เช่น E-Wallet (True Money), สินเชื่อออนไลน์ (Ascend Nano), ประกันออนไลน์ (Ascend Assurance, Ascend Weath)

Ascend Money เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม Ascend Group ในเครือซีพี หากพูดถึงชื่อบริษัทหลายคนคงไม่คุ้น แต่ถ้าพูดชื่อของ True Money คนต้องรู้จักแน่นอน โดย True Money เริ่มให้บริการปี 2003 และในปี 2016 สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยบริการ True Money Wallet นอกจากนี้ยังได้ Ant Financial Services Group บริษัทในเครือของ Alibaba Group เป็นพันธมิตร

ปัจจุบัน True Money ได้ให้บริการใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดผู้ใช้กว่า 50 ล้านราย เฉพาะยอดผูู้ใช้ไทยมีมากกว่า 20 ล้านราย ส่วนยอดการทำธุรกรรมรวมทั้งหมดกว่า 2,200 ล้านครั้ง เป็นมูลค่ารวมกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ (ตัวเลขสิ้นปี 2020)

และในเดือน ก.ย 2021 Ascend Money ก็มีมูลค่าเพิ่มเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากระดมทุนรอบล่าสุดจำนวน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัท โบว์ เวฟ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ (Bow Wave Capital Management) จากสหรัฐอเมริกา มาลงทุนร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ แอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ทำให้บริษัทกลายเป็นฟินเทคยูนิคอร์นรายแรกของประเทศไทย

3. Bitkub 

ผู้ก่อตั้ง : นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโอชา

ธุรกิจ : บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ในเครือบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป Exchange Platform สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

หากพูดถึงคริปโตเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัล แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะไม่ว่าจะเป็น Bitcoin, Ethereum ต่างก็มีอยู่นานเเล้ว เเต่กระเเสกลับมาร้อนแรงขึ้นในช่วงปี 2020-2021 เนื่องจากมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนใคร ๆ ก็อยากลงทุน โดยในไทยเองก็มี บิทคับ (Bitkub) Exchange Platform สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018

เนื่องจากกระเเสความร้อนแรงของคริปโตเคอร์เรนซีรวมถึงแพลตฟอร์มของ Bitkub ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน 2021 กลุ่ม SCBX ประกาศใช้เงินลงทุนถึง 17,850 ล้านบาท เข้าถือหุ้นสัดส่วน 51% ใน Bitkub ทำให้กลายเป็นยูนิคอร์นตัวที่ 3 ของเมืองไทยทันที

เชื่อว่าอนาคตของสตาร์ทอัพไทยคงไม่ได้มียูนิคอร์นแค่ 3 ตัวนี้แน่ ๆ เพราะยังมีสตาร์ทอัพอีกหลายรายที่มีศักยภาพในการเติบโต ไม่ว่าจะเป็น ‘LineMan Wongnai’ ที่ปัจจุบันมีมูลค่าถึงระดับ ‘เซนทอร์’ หรือประมาณ 3,300 ล้านบาท หรืออย่าง ‘Omise’ ก็เพิ่งสามารถระดมทุนในซีรีส์ C มาได้ ดังนั้น ในปี 2022 นี้จะได้เห็น ยูนิคอร์น ตัวที่ 4 หรือไม่ต้องติดตาม

]]>
1369454