เมื่อคุณอายุ 25 ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร... สำหรับหนุ่มคนนี้ โชคชัย ณ ระนอง เขามีชีวิตที่น่าอิจฉาอย่างยิ่ง อายุ 25 ปีของเขา คือการก้าวขึ้นสู่ผู้บริหารด้านการตลาดในองค์กรชั้นนำ และกำลังเรียนด็อกเตอร์ ถ้าใครได้คุยกับมุมมองของนักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่คนนี้ อาจจะรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรกับชีวิตตัวเองบ้างแล้ว 1. แผนที่ชีวิตของคนบางครั้งก็คดเคี้ยวเลี้ยวลด แต่ถ้าวันหนึ่งหันมาถูกทิศทางก็ย่อมประสบความสำเร็จ เหมือนชีวิตของโชคชัย ย้อนไปในช่วงวัยเด็ก โลกของเขาไม่ใช่เด็กใฝ่เรียนเลย เกเร กระทั่งต้องส่งไปเรียนเมืองนอกเพื่อหวังขัดเกลานิสัย แต่ก็ไม่สำเร็จ ครอบครัวจึงให้กลับมาเรียนเมืองไทย โดยใช้วิธีเรียนที่บ้าน สอบเทียบในช่วงชั้นมัธยม ทำให้โชคชัยไม่มีเพื่อนและชีวิตในช่วงมัธยมเลย “ผมไม่มีความทรงจำในชั้นมัธยมเลย เพราะเกเรมาก ไม่ได้เรียน แต่มาใช้วิธีสอบเทียบจนจบมัธยม และในที่สุดเราคิดได้ มุ่งเรียนจนจบปริญญาตรีและโท ซึ่งผมเรียนจบเร็วเมื่ออายุยังน้อยอยู่” ชีวิตที่ไม่มีความสัมพันธ์ในรั้วโรงเรียน อาจไม่ใช่ชีวิตที่ดีนัก แต่มีจุดดีตรงที่เขาเรียนจบเร็วกว่าคนทั่วไป...
“Brand Ambassador” เป็นปรากฏการณ์ที่ทวีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีแบรนด์ แอมสเดอร์ บ้างก็ว่านักการตลาดคิดอะไรไม่ออก เอะอะก็ใช้ Presenter ใช้ Brand Ambassador กัน แต่ในบางกรณีกลยุทธ์ใช้ได้ผลจริง ไม่ใช่เพียงแค่ ตู้ม! เดียวหาย เพียงชั่วครูผู้คนก็ลืมเลือน นักการตลาดบางรายแสดงทัศนะว่า Brand Ambassador ตัวจริงเสียงจริงคือพนักงานบริษัททุกคนโดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของด้วยแล้ว แทบจะเป็น Brand Ambassador ที่ชัดเจนที่สุด แต่อาจเป็นได้เฉพาะในแวดวง ไม่สามารถสร้างความจดจำได้เหมือน Brand Ambassador ที่เป็นดารา นักร้อง หรือนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ระวัง ! ...
กลายเป็น Talk of the town ไปแล้ว “I am Titanium MasterCard” ของ “เคทีซี” ที่มุ่งเจาะกลุ่ม“ผู้ชายนะยะ” โดยเฉพาะ อะไรคือ Positioning ที่แท้จริงของบัตร ที่มา และวิธีคิด ทั้งหมดนี้เรามีคำตอบ หลายคนคงเกิดอาการสงสัยกับภาพยนตร์โฆษณาบัตรเครดิตล่าสุดของเคทีซี ที่พุ่งตรงกระแทกใจกลุ่มเป้าหมายอย่างจัง…ถ้าคุณงง แสดงว่าคุณอยู่นอกเหนือขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายที่ บัตรเคทีซี “I am Titanium MasterCard” ต้องการนำเสนอ แต่ถ้าไม่งง แถมเข้าใจทุกทุกตอน นับได้ว่าคุณมีโอกาสสูงที่จะให้ความสนใจใคร่รู้ในรายละเอียดของบัตรเครดิตที่แหวกแนวนี้...โปรดติดตาม และจะได้รู้ว่าคุณเหมาะที่จะพูดคำว่า “Stand up…Say I...
พรีทีน วัยทีน วัยซ่าส์ ...จะนิยามอย่างไรก็แล้วแต่ หากคำดังกล่าวนี้ กำลังเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่บรรดาเจ้าของแบรนด์สินค้าช่วงนี้กำลังมองเห็นผล และพลังจากผู้บริโภคกลุ่มนี้อย่างน่าติดตาม 3 กรณีศึกษาที่หยิบยกมานำเสนอครั้งนี้ ทั้ง EGV เปิดโรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก, สายการบินเอมิเรตส์ เปิดรันเวย์สำหรับเด็ก และซีซ่าดอทคอม เว็บไซต์เจาะวัยทีนของอาร์เอส นับเป็นวิธีสร้างตลาดที่มีนัย และหวังผลอย่างมหาศาล เจ้าของแบรนด์เหล่านี้กำลังมองเห็นอะไร ทำไมนักการตลาดเปรียบเปรยว่า ตลาดเด็กโชติช่วงชัชวาล เหมือน “ยิงปืนนัดเดียวได้นกมาเป็นฝูง” ล้วนมีคำตอบที่น่าสนใจ... เจาะเด็กซีนีม่า EGV Kids Cinema ซึ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นกรณีศึกษาของเกมรุกครั้งสำคัญที่จับตายิ่ง เพราะ “โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก”แห่งแรกนี้ เมเจอร์ตั้งใจวางแบรนด์...
มีจุดที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งของการวาง POSITIONING ที่ทำการพรรคการเมือง นั่นคือ การเปิดร้านกาแฟภายในสถานที่ทำการพรรค ซึ่งทั้งสองพรรคอย่างประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทย ล้วนมีนัยสำคัญ เพราะร้านกาแฟแห่งนี้ ไม่ใช่มีไว้ขายกาแฟอย่างเดียว หากยังแฝงด้วยการสร้างคอมมูนิตี้ ในการติดต่อสื่อสารของสมาชิกพรรคสไตล์ใหม่ และยังมีผลต่อภาพลักษณ์ใหม่ของพรรค ให้ดูทันสมัยมากขึ้น สภากาแฟแบบประชาธิปัตย์ ...กลางซอยเย็นอากาศ ถนนนางลิ้นจี่ ที่เคยมืดตึ๊ดตื๋อ แต่ตั้งแต่เมื่อกลางปี 2548 ใครที่ผ่านไปมาต้องสะดุดกับแสงไฟที่ดูอบอุ่น ส่องผ่านจากบ้านไม้ 2 ชั้นหลังหนึ่งที่ปรับโฉมเป็นร้านกาแฟ ในแบรนด์ “สภากาแฟ” “สภากาแฟ” คนในพื้นที่ยังรู้จักกันดีกันว่านอกจากเป็นร้านกาแฟแล้ว ยังเป็นสาขาที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี ส.ส. ในพื้นที่ “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นผู้บริหารจัดการร้านเก๋ไก๋ประจำซอยนี้ ที่ตั้งขึ้นหลังจากชนะการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2548 “กรณ์”...
“มัชฌิมา” กลุ่มการเมืองใหม่ ภายใต้การนำนักการเมืองหน้าเก่า “สมศักดิ์ เทพสุทิน” อดีตผู้บริหารพรรคไทยรักไทย ที่นำเรื่องของการ “แบรนดิ้ง” มาใช้ ตั้งแต่การเลือกชื่อที่มีความหมาย ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ทางการเมือง แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากกว่านั้น กลับถูกมองว่าเป็นเป็นเพียงร่างทรงพรรคไทยรักไทย ถ้าเปรียบเป็นสินค้าแล้ว ก็เป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ อันเป็นที่มาของการรีแบรนดิ้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า “กลุ่มการเมืองไทยส่วนใหญ่มักจะใช้ชื่อที่ไม่ได้มีความหมายเชิงทฤษฎีหรือปรัชญา ดังนั้นการที่กลุ่มมัชฌิมาซึ่งต่อไปคงจะกลายเป็นพรรคการเมือง เลือกชื่อที่มีความหมายเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า ต่อไปการเสนอนโยบายของพรรคนี้จะเป็นไปในทางสายกลางหรือไม่ ที่สำคัญก็คือ แล้วพฤติกรรมทางการเมืองของผู้อยู่ในกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร” เป็นส่วนหนึ่งในบทความของอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ในคอลัมน์ ชีวิตที่เลือกได้ วันที่ 15 เมษายน 2550 เป็นการสะท้อนภาพของการเริ่มต้นของกลุ่มการเมืองใหม่ ภายใต้การนำของ “สมศักดิ์...
ครั้งหนึ่งพรรคมหาชนเคยตั้งเป้าหมายว่า อยากจะเป็นแบรนด์สินค้าชนิดใหม่ต่อการตัดสินใจของประชาชนได้เลือกใช้สินค้าใหม่ๆ แต่สุดท้ายตลาดผู้บริโภคกลับไม่ยอมรับ เมื่อผู้ผลิตยังเป็นคนหน้าเดิม มีวิธีสร้างสินค้าแบบเดิมๆ แม้ผู้ผลิตจะพยายามปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ดึงบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือทางนักวิชาการมาช่วยเป็นผู้นำก็ตาม ทุกอย่างก็ช่วยสร้างพรรคนี้ไม่ได้ หากวันนี้ของ “มหาชน” คงเป็นเพียงพรรคเล็กๆ ที่อาศัยเพียงเวลาและจังหวะทางการเมืองเติบโตในยามที่คนเบื่อพรรคใหญ่เท่านั้น พรรคมหาชน ถูกวางโพสิชันนิ่งตั้งแต่ก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2547 ว่า ต้องการเป็นพรรคทางเลือกใหม่ของประชาชน หรือพรรคทางเลือกที่สาม ต่อจากพรรคไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ โดยมีพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เป็นแกนนำในการจัดตั้ง เกษม ศิริสัมพันธ์ ได้กล่าวไว้ในบทบาทตอนหนึ่งว่า พรรคมหาชนนี้จะเรียกว่าเป็นพรรคทางเลือกที่สาม เห็นจะไม่ได้! เพราะพรรคชาติไทยยังเป็นพรรคทางเลือกที่สามอยู่อีกทั้งพรรค เสธ.หนั่นตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาได้ ก็ด้วยความช่วยเหลือของคุณวัฒนา อัศวเหม เจ้าของพรรคราษฎร โดยนำเอาพรรคราษฎรมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคมหาชน ไม่ต้องเสียเวลาจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ ซึ่งยืดเยื้อกินเวลา ทว่า...
ถ้าแบรนด์ของพรรคไทยรักไทย และประชาธิปัตย์เปรียบเหมือนรถยนต์ขายดี เหมือนเช่นรถยี่ห้อโตโยต้า และฮอนด้า พรรคชาติไทยยุคใหม่ในวันนี้ ก็อาจเป็นเพียงรถยี่ห้อมาสด้า ซึ่งแม้ไม่ใช่รถหวือหวา ขายดี หากจะอาศัยจังหวะเวลาช่วงนี้ขยายตลาด เผื่อคนเบื่อรถโตโยต้า และฮอนด้า จะหันมานิยมขับเคลื่อนของชาติไทย ยุคขุนศึกนายทุน สามสิบกว่าปีนับตั้งแต่การก่อตั้งพรรคชาติไทยเมื่อปี 2517 โดยมีพลตรีประมาณ อดิเรกสาร เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยคนแรก ภาพที่เห็นเด่นชัด คือ ชาติไทยในขณะนั้นถือเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มี Positioning ของระบบ “ขุนศึกนายทุน” หมายถึงมีนายทหาร และนายทุนกลุ่มพ่อค้าท้องถิ่น เป็นตัวขับเคลื่อนพรรค และพวกเขาเหล่านี้ มีฐานเสียงอยู่ในท้องถิ่นอย่างเข้มแข็ง บางคนเปรียบเปรยว่า พรรคชาติไทยคือ “พรรคภูธร” ที่สร้างขุนศึกภายในพรรคจากนายทุนท้องถิ่นแถบภาคกลางถึงอีสานเป็นกระแสหลัก เรียกได้ว่า ในสมัยนั้นเขตเมืองหลวงแทบไม่ปรากฏขุนพลภายในพรรคมีบทบาทในแถบกรุงเทพฯ เลย แต่ถ้าแถบสุพรรณบุรี นครราชสีมา...
ในทางการตลาด บางครั้งบางแคมเปญก็ไม่อาจจะยิงออกไปในชื่อเจ้าของแบรนด์เองได้ อาจต้องตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือยืมชื่อ "คนนอก" มารณรงค์โฆษณาประชาสัมพันธ์แทน เพื่อมุ่งสร้าง “Word Of Mouth” หรือกระแส "ปากต่อปาก" ที่มีน้ำหนักมากกว่า ในการสงคราม หลายครั้งกลยุทธ์ "แยกกันเดิน รวมกันตี" ก็ถูกนำมาใช้ในภาวะที่กองทัพหนึ่งกำลังตกที่นั่งที่ยังไม่อาจชูธงของกองทัพตัวเองได้สะดวกนัก จำต้องแยกกองกำลังออกเป็นหลายสาย ชูธงอื่นไปก่อน แต่ก็บุกโจมตีเป้าหมายเดียวกัน ในวันนี้พรรคไทยรักไทยก็ตกอยู่ในสภาพคล้ายกองทัพนั้นที่ต้อง "แยกกันเดิน" และเป้าหมาย "รวมกันตี" ย่อมเป็น คมช. และรัฐบาลสุรยุทธ์ และขั้วตรงข้ามอย่างกลุ่มพันธมิตรฯ และ ASTV ด้วย สถานีโทรทัศน์ PTV จึงเกิดขึ้นในรูปแบบสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมระบบเดียวกับ ASTV ของเครือผู้จัดการซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม ตาต่อตาฟันต่อฟัน เพราะทีวีเครื่องไหนติดจานดู...
จากสินค้าที่เคยทุ่มงบโฆษณามหาศาล กลายเป็นสินค้าที่ถูกควบคุม ส่งผลให้ชะตากรรมของ ”สินค้าควบคุม” อย่างพรรคไทยรักไทยในยุค คมช. นี้ จึงต้องอาศัย “สื่อ” ทางเลือกที่ค่อนข้างเสรีและมาแรงอย่าง “เว็บไซต์” มาเป็นตัวกระตุ้นกระแสชื่อ “ไทยรักไทย” และ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังคงอยู่ นอกจาก www.thairakthai.or.th เว็บไซต์หลักที่เปิดเผยและชัดเจนในการสื่อสารความเป็นแบรนด์แล้วยังมีเว็บไซต์ "เครือข่าย" อีกมากที่จดชื่อเว็บต่างๆ ออกไป โดยมีเว็บที่สามารถสร้างกระแสและเป็น Talk of the town ได้มากที่สุดคือ hi-thaksin.org www.hi-thaksin.orgนำเสนออดีตหัวหน้าพรรค ทักษิณ ชินวัตร หน้าแรกเป็นกลอนเขียนถึงความรู้สึกที่ต้องจากไปอยู่ไกลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและแผ่นดินไทย เนื้อหาด้านในเป็นจดหมายที่ส่งถึงคนไทยในสำนวนที่เน้นอารมณ์คิดถึงห่วงใยเป็นหลัก เสริมด้วยบทความของเว็บที่มีเนื้อหาโจมตี คมช. เป็นระยะๆ หัวข้อหนึ่งในนั้นคือ...








