จับตา “พรีเซ็นเตอร์ภูธร” เพิ่มพลังแมสให้มากกว่าพรีเซ็นเตอร์ตัวท็อป

พรีเซ็นเตอร์ตัวท็อปของประเทศหลบไปก่อน ยุคนี้ต้อง “พรีเซ็นเตอร์ภูธร” แบรนด์ใหญ่พร้อมใช้เลือกศิลปินลูกทุ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์มากขึ้น หวังเจาะใจลูกค้าต่างจังหวัด สร้างภาพลักษณ์ให้แมสมากขึ้น

ดาราเบอร์ใหญ่ไม่ตอบโจทย์ ยุคนี้ต้องเจาะเซ็กเมนต์

ถ้าพูดถึงศิลปิน หรือดารานักแสดงชื่อดังของไทย ที่ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์สินค้ามากที่สุด คงหนีไม่พ้นชื่อดาราเบอร์ใหญ่ๆ เช่น อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, คิมเบอร์ลี่, ญาญ่า อุรัสยา, ณเดชน์ คุกิมิยะ, แพนเค้ก เขมนิจ, เก้า สุภัสรา, มาริโอ้ เมาเร่อ, ไบร์ท วชิรวิชญ์, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก, เป๊ก ผลิตโชค, เบลล่า ราณี, เจมส์ จิรายุ และอื่นๆ อีกมากมาย

จะเห็นว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะแบรนด์ไทย หรือแบรนด์อินเตอร์ ย่อมต้องเคยมีโอกาสใช้พรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่ๆ ที่กล่าวมาทั้งสิ้น เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

แต่ในช่วงในกี่ปีมานี้ หลายแบรนด์เริ่มปรับกลยุทธ์ใหม่ เนื่องจากการทำการตลาดที่เหวี่ยงแห หรือการตลาดแบบแมส ไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าที่ควร ต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่

จึงได้เห็นกลายแบรนด์เริ่มจับพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นกระแส ถึงแม้จะไม่เป็นที่รู้จักทั้งหมด แต่ก็สามารถสื่อสารกับคนบางกลุ่มได้อย่างดี เช่น BNK48 รวมไปถึงสินค้ากลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ก็จะเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ตามกลุ่มเป้าหมาย จึงได้เห็นนักร้องลูกทุ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ในสินค้าระดับแมสมากขึ้น เช่น หญิงลี กับแบรนด์แจ๋ว, ถั่งเช่ายิ่งยง และโสมพลัส ที่เลือกใช้จินตหรา พูนลาภ

หรืออย่างแบรนด์มาร์เก็ตเพลสอินเตอร์อย่าง “ช้อปปี้” ก็ยังเลือกเจาะพรีเซ็นเตอร์ระดับแมสสไตล์ภูธร ในปีที่แล้วได้เลือก “แก๊ง 3 ช่า” หรือหม่ำ เท่ง โหน่ง เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตามมาด้วยกิ๊ก สุวัจนี และล่าสุดกับแจ๊ส ชวนชื่น และเฉินหลง

“โออิชิ” ดึง “เบิ้ล ปทุมราช” ขยายฐานวัยรุ่นแดนอีสาน

แต่ไหนแต่ไรเราจะได้เห็นชาเขียว “โออิชิ” ทำตลาดที่จับกลุ่มวัยรุ่นมาโดยตลอด เพราะด้วยคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ ทำให้เลือกพรีเซ็นเตอร์ที่มีความแมสยอดนิยมในตอนนั้นอย่างมาก เรียกว่าไม่ให้หลุดกระแสไปได้ ที่ผ่านมาจึงได้เห็นทั้งเป๊ก ผลิตโชค หรือจะเป็นคู่จิ้นคู่วายอย่าง “ไบร์ท-วิน”

รวมไปถึงเมื่อปี 2562 โออิชิได้ออกแคมเปญใหญ่ “โออิชิ รถสุดฮิพ ทริปสุดโอ” ได้กวาดพรีเซ็นเตอร์ถึง 10 คน กับ 10 หนุ่ม GMM ทีน ไอดอล นำทีมโดย คริส-พีรวัส และ สิงโต-ปราชญา ตามด้วย ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร, กัน-อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์, เต-ตะวัน วิหครัตน์, นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ นนน-กรภัทร์ เกิดพันธุ์, ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์, ซิง-หฤษฏ์ ชีวการุณ และลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ

ในปีนี้โออิชิได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตัวเอง ด้วยการดึง “เบิ้ล ปทุมราช” นักร้องลูกทุ่งจากค่ายอาร์สยามขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด เพื่อต้องการจับกลุ่มวัยรุ่นชาวอีสานให้มากขึ้น เปิดตัวแคมเปญ “โออิชิ พลัสซี x เบิ้ล ปทุมราช” พร้อมกลยุทธ์ Regional Music Marketing

เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“เรายังต้องการเพิ่ม Penetration ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอีสานให้ได้มากขึ้น และข้อมูลจาก Youtube Thailand ยังพบอีกว่าเพลงลูกทุ่งอีสานกวาดอันดับ Top Trend VDO ยอดนิยมสูงสุดบนช่องทาง Youtube ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความนิยมของคนอีสานที่ชื่นชอบการฟังเพลงนั่นเอง ดังนั้นการเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงอารมณ์และการเล่าเรื่องคงไม่มีอะไรตอกย้ำกลุ่มเป้าหมายได้ดีเท่าการนำดนตรี หรือมิวสิคมาร์เก็ตติ้งมาช่วยในการทำตลาด

ซึ่งมิวสิกมาร์เก็ตติ้งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่คลาสสิกสำหรับทุกยุค เพียงแค่เรานำมาปรับรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัยและผู้บริโภคโดยแคมเปญอีสานในครั้งนี้ เราเลือกเบิ้ล ปทุมราช นักร้องอันดับหนึ่งจากค่ายอาร์สยามที่มียอดวิวเพลงรวมกว่า 1,000 ล้านวิว และมียอดผู้ติดตามทาง Social Media มหาศาล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในครั้งนี้ได้จัดเต็มสื่อเอาต์ออฟโฮมจัดเต็มในพื้นที่อีสานกว่า 10จังหวัด”

แคมเปญนี้มาพร้อมกับเพลง และมิวสิกวิดีโอ พร้อมกับชิงโชคแจกทองคำแท่ง ส่งรหัสใต้ฝาผ่านแอปโออิชิคลับ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

“ไวไว” ก็ต้อง “เบิ้ล ปทุมราช”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ไวไว” เป็นแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไม่ค่อยได้ใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับแบรนด์ “ควิก” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในเครือ ที่จะมีสีสันที่หวือหวากว่า

ในปีนี้ไวไวได้เปิดเกมหนักตั้งแต่ต้นปี ประกาศดึง “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” เดินเกมพรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยการเปิดแคมเปญใหญ่ “ไวไวเข้มข้น จนต้องเบิ้ล” ชู 2 รสชาติยอดนิยม “ไวไว รสหมูสับ” และ “ไวไว รสหมูสับต้มยำ” เป็นตัวชูโรง

ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย เผยถึงไอเดียการทำตลาดในปี 64 ว่า

“นอกจากจุดแข็งเรื่องเส้นของไวไวที่ถูกปากคนไทย ตามสโลแกนเหนียวนุ่ม…ไม่อืด ไวไวยังมีจุดเด่นเป็นที่พูดถึงกันมาก ในเรื่องของรสชาติที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น หอมอร่อยอย่างลงตัว ซึ่งในปีนี้ไวไวจะดึงเอาแนวคิด ความเข้มข้น มาตอกย้ำความชัดเจนด้วยการดึงศิลปินหนุ่มขวัญใจมหาชน เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม มาร่วมงาน สร้างความเข้มข้นของรสชาติตระกูลหมูสับ หนึ่งในกลุ่มรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ให้เกิดภาพจำอีกหนึ่งจุดแข็งของไวไว ในสโลแกนใหม่ไวไวเข้มข้น จนต้องเบิ้ล”

เหตุผลที่เลือกเบิ้ล ปทุมราช มาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น ยศสรัลบอกว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่าง เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม กับ ไวไว หมูสับทั้ง 2 รสชาติแล้ว เบิ้ลยังมีอีกคาแร็กเตอร์อีกด้านที่ชัดเจนในความเป็นศิลปิน New Gen ที่มีความพยายามมุ่งมั่นตามฝัน ด้วยใจที่ไม่ย่อท้อ จนกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เป็นที่รักของชาวอีสาน และใช้ความสามารถสร้างผลงานที่เป็นที่ชื่นชอบของมหาชนทั่วประเทศ ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ให้พร้อมรับประสบการณ์ความเข้มข้น กับไวไว หมูสับ รสชาติในแบบที่ใครก็ชื่นชอบ และพร้อมที่จะเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั่วไทย เหมือนกับ เบิ้ล ปทุมราช

“เลย์” คว้า “ครูเต้ย” เดินหน้าบุกอีสาน

ต้องบอกว่าที่ผ่านมา “เลย์” ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ในระดับท็อปๆ ที่อยู่ในกระแสทั้งสิ้น เช่น ณเดชน์-ญาญ่า, ใหม่ ดาวิกา, เป๊ก ผลิตโชค, แพรวา และคู่จิ้นบิวกิ้น-พีพี เป็นต้น

อีกหนึ่งกลยุทธ์ของเลย์ก็คือการออกรสชาติใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาด และสร้างสีสันให้ผู้บริโภค ในปีนี้เลย์รสชาติใหม่มาในคอนเซ็ปต์ “เลย์ชวนฟินกินสตรีทฟู้ด” จับกระแสเมนูดังที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เน้นรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย

โดยในไตรมาสแรกเริ่มต้นที่ กลิ่นแจ่วฮ้อนหม้อไฟ และรสมะนาวแซ่บซี๊ด ซึ่งวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ ทั้ง 2 รสชาติดังกล่าวเป็นรสชาติสไตล์อีสาน ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อเอาใจผู้บริโภคชาวอีสานตามแผนโปรโมตในปี 2564

จึงเป็นที่มาของการดึง “เต้ย – อภิวัฒน์ บุญเอนก” หรือ ครูเต้ย มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นการบุกแดนอีสานอย่างเต็มที่

ศิเรมอร ศุภจรรยา ผู้จัดการอาวุโส ผลิตภัณฑ์เลย์ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า

“ในทุกๆ ปี เลย์จะออกรสชาติใหม่ หรือ Seasoning Flavor เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคที่ชอบลองรสชาติใหม่ๆ โดยในปี 2564 เลย์ได้จับกระแสสตรีทฟู้ด เสมือนนำเมนูเด็ดสุดฮิตจากร้านอาหารมาไว้ในซองเลย์ตลอดทั้งปี อร่อยฟินเหมือนไปกินที่ร้าน โดยได้วางขาย 2 รสชาติแรกแล้วเรียบร้อย นั่นคือ กลิ่นแจ่วฮ้อนหม้อไฟ และ รสมะนาวแซ่บซี๊ด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีถึงรสชาติที่แซ่บจัดจ้าน นอกจากนี้ อีกเป้าหมายสำคัญคือการเจาะกลุ่มผู้บริโภคอีสานอย่างเข้มข้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา โดยมีโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่สื่อสารกับผู้บริโภคชาวอีสานโดยเฉพาะผ่านพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ขวัญใจชาวอีสาน เต้ย – อภิวัฒน์ บุญเอนก หรือ ครูเต้ย ที่จะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ตลอดทั้งปี 2564”

“แลคตาซอย” จัดทัพเพลง “แลคตาซอยห้าบาท” ชุดใหม่

ถ้าพูดถึงชื่อแบรนด์แลคตาซอย หลายคนคงจะหักห้ามใจได้ยากที่จะไม่ฮัมเพลง “แลคตาซอย 5 บาท 125 มิลลิลิตร ปริมาณคับกล่องเต็มที่ ดื่มได้ดื่มดี ดื่มแลคตาซอย 5 บาท”

ก่อนหน้านี้แลคตาซอยได้วางจุดยืนให้แลคตาซอย 5 บาทจับกลุ่มเด็ก โฆษณาในอดีตจึงมีเด็กๆ ออกมาร้องเพลง หลังจากนั้นก็เริ่มวางภาพให้แมสมากขึ้น ได้ดึง BNK48 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

ทิศทางใหม่ของแลคตาซอยต้องการให้แบรนด์เข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกวัย และบุกตลาดขนาด 125 มิลลิลิตรมากขึ้น ในปีนี้จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “แลคตาซอยห้าบาท ส่งความสุขทั่วไทย” คว้าตัวศิลปินแม่เหล็กของประเทศ ได้ นิว-จิ๋ว, ลาบานูน, ตรี ชัยณรงค์ และหญิงลี มาร้องเพลงให้กับหนังโฆษณาแลคตาซอยห้าบาทชุดใหม่

จะเห็นได้ว่าศิลปินทั้ง 4 กลุ่มนี้มีความแมสเฉพาะตัว และมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ถ่ายทอดโดยศิลปินที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในทุกภาค ได้แก่ นิว-จิ๋ว ตัวแทนวัยทำงานในกรุงเทพฯ ภาคกลางและภาคเหนือ, ลาบานูน ตัวแทนภาคใต้ ตรี ชัยณรงค์ และ หญิงลี ตัวแทนความสนุกจากภาคอีสาน เพื่อย้ำสร้างความจดจำแบรนด์แลคตาซอย เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศ ทุกวัย

พรรวนา มหาทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด เปิดเผยว่า

“สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงต้นปีนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานผู้บริโภคเดิมให้แข็งแรง ควบคู่ไปกับการขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ให้กว้างขึ้น โดยล่าสุดได้จัด แคมเปญแลคตาซอยห้าบาท ส่งความสุขทั่วไทยเพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยได้รับรู้และจดจำผลิตภัณฑ์แลคตาซอยขนาด 125 มิลลิลิตร ซึ่งจำหน่ายในราคา 5 บาท มาตลอด 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดในเดือนมีนาคม 2548”

“แซ็ค ชุมแพ-เบิ้ล ปทุมราช” พรีเซ็นเตอร์ LAMUS

LAMUS (ลามูส) น้ำหอมพลังดนตรี เป็นหนึ่งธุรกิจของนักธุรกิจสาว เจน-วิรสุรางค์ ศศิอานนท์ กรรมการบริหาร บริษัท ศศิอานนท์ (ประเทศไทย) จำกัด และยังเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท บางกอกเพย์ จำกัด ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ AJ SIM และตู้เติมเงิน AJ

LAMUS ได้เลือก 2 นักร้องลูกทุ่งหนุ่ม แซ็ค ชุมแพ และเบิ้ล ปทุมราช เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับเป็นหุ้นส่วน เป็นการผลิตน้ำหอมเอาใจคนชอบเสียงเพลง ถือว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ความหอมครั้งแรกในประเทศไทย โดยคัดสรรกลิ่นหอมในรูปแบบของดนตรีประเภทต่างๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของน้ำหอมที่มีความแตกต่างจากน้ำหอมยี่ห้ออื่น เช่น ใครชอบเพลงลูกทุ่งก็ใช้กลิ่นอินดี้ กลิ่นคาวบอย ใครชอบเพลงแจ๊สก็ใช้กลิ่นแจ๊ส

ประชากรภูธรยิ่งใหญ่ และเติบโตเร็ว

มีบางคำพูดที่ว่า การทำตลาดในยุคนี้ จะยึดแค่พฤติกรรม หรือความชอบของคนกรุงเทพฯ อย่างเดียวไม่ได้แล้ว ซึ่งพฤติกรรม ความชอบของคนเมือง และคนต่างจังหวัดย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องวัฒนธรรม รายได้ และการเข้าถึงสื่อต่างๆ

ตัวเลขจำนวนประชากรอัปเดตถึงสิ้นปี 2563 ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยมีประชากรรวม 66.1 ล้านคน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 5.5 ล้านคน ที่เหลือเป็นต่างจังหวัด โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานมีประชากรมากที่สุด 21.8 ล้านคน รองลงมาภาคกลาง 17.2 ล้าน ภาคเหนือ 12 ล้าน และภาคใต้ 9.4 ล้าน

นั่นเท่ากับว่ากลุ่มคนต่างจังหวัดเป็นกลุ่มใหญ่มาก จึงได้เห็นทิศทางของแบนด์ที่เริ่มจับทิศทางกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะการจับกลุ่มคนในเมืองเริ่มแคบ อีกทั้งพฤติกรรมของคนต่างจังหวัดก็เริ่มเข้าถึงสื่อดิจิทัลมากขึ้น

YDM Thailand ดิจิทัลเอเยนซี่เคยประเมินไว้ว่า พฤติกรรมการใช้งานสื่อดิจิทัลของคนในต่างจังหวัด ไม่ได้แตกต่างจากคนในกรุงเทพฯ แล้ว แบรนด์ใหญ่ๆ จึงต้องการใช้สื่อดิจิทัลเข้าเจาะกลุ่มคนภูธร ด้วยมีขนาดที่ใหญ่ประชากร 84% จาก 66 ล้านคนกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ

Photo : Shutterstock

ตัวเลขเมื่อ 2 ปีก่อน ตลาดภูธรครอบครองเม็ดเงินด้านการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศไว้มากกว่า 60% หรือประมาณ 307,000 ล้านบาท โดยมีข้อมูลบอกว่า มีการใช้เงิน 1,299 บาทไปไฮเปอร์มาร์เก็ตเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเดือน หรือไปร้านสะดวกซื้อ 169 บาท ทุกวันหรือทุกสัปดาห์

ความน่าสนใจยังอยู่ที่คนต่างจังหวัดมีอำนาจการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากสินค้าราคาถูกสู่สินค้าที่แพงมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายเพราะคนที่มีผลต่อการตัดสินใจเริ่มเปลี่ยน เมื่อก่อนที่เคยเชื่อเจ้าของร้านค้าปัจจุบันนี้ก็เริ่มน้อยลง เพราะรู้ว่าเจ้าของร้านมักดันแบรนด์ที่ตัวเองได้ผลประโยชน์ กลายเป็นว่าโฆษณามีผลน้อยกว่าคำพูดจากปากต่อปาก

จะเห็นได้ว่าการทำโฆษณามีความยากมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาการทำโฆษณาจะใช้อินไซต์ของคนกรุงเทพฯ เป็นจุดตั้งต้น การใช้เงินซื้อสื่ออย่างโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ กระจายโฆษณาตัวเดียวกันนี้ไปทั่วประเทศ ในอดีตอาจได้ผล แต่วันนี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว เพราะผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีเอกลักษณ์ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

ขณะเดียวกันคนภูธรใช้เวลาอยู่บนออนไลน์ไม่ต่างจากคนในเมืองมากนัก แต่เนื้อหาที่คนภูธรชอบจะแตกต่างออกไปกับคนเมือง อาทิ ฟังเพลงในสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน มีนักร้อง หรือศิลปินคนโปรดที่ไม่เหมือนกัน รวมทั้งละคร หรือรายการที่เลือกดูก็มีความแตกต่างกัน

ทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมแบรนด์ในยุคนี้ จึงเลือกที่จะทำตลาดจับกลุ่มภูธรคนต่างจังหวัด เพราะยังมีโอกาสมากมายมหาศาล อีกทั้งการจับแค่คนกรุงฯ ก็ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้วด้วย