การทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 15 Aug 2023 08:39:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สังคมอุดมดราม่า! “เพื่อนร่วมงาน” 5 ประเภทที่เป็นไปได้ “ควรหลีกให้ห่าง” https://positioningmag.com/1440928 Mon, 14 Aug 2023 09:10:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440928 ที่ทำงานส่วนใหญ่มักจะมีคนที่คอยสร้างสังคม ‘toxic’ เต็มไปด้วยปัญหาดราม่า โดยจำแนกบุคคลได้ 5 ประเภทที่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” แบบที่ควรหลีกห่างให้เร็วที่สุด

“แม็ตต์ ฮิกกินส์” ซีอีโอบริษัท RSE Ventures บริษัทด้านการลงทุนในนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยก่อตั้งบริษัทนี้มานานกว่า 10 ปี เขียนบทความลงใน CNBC แนะนำถึง “บุคคล 5 ประเภทที่มักจะก่อดราม่าในที่ทำงาน” ข้อมูลทั้งหมดมาจากประสบการณ์ส่วนตัวในการทำธุรกิจ ซึ่งทำให้ได้เห็นรูปแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคนกลุ่มนี้

แน่นอนว่า การพบกันครั้งแรกเรามักจะจับไม่ได้ว่าใครที่เป็นบุคคล ‘toxic’ แต่หากทำงานร่วมกันไปสักระยะและเริ่มจับสังเกตได้ว่า บุคคลคนนั้นมีพฤติกรรมเข้าข่ายคน 5 ประเภท ฮิกกินส์แนะนำให้หลีกให้ห่างโดยเร็ว แต่ถ้าห่างไม่ได้ก็ต้องหาทางรับมือ

5 ประเภทเพื่อนร่วมงานที่ควรหลีกให้ห่างเพื่อเลี่ยงดราม่า มีดังนี้

 

1.นางอิจฉา

นางอิจฉา ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแต่เพศไหนๆ ก็เป็นได้ เพราะพฤติกรรมของนางอิจฉาในที่ทำงานคือ คนที่ไม่สามารถรู้สึกชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของคนในทีมได้

พวกเขาจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตนเอง แต่กลับต้องการจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อทีม พวกเขาจะไม่ชอบใครก็ตามที่มีทักษะที่เขาเองทำไม่ได้ ถ้าหากคุณอยู่ทีมนี้และทำได้ดีโดดเด่นในการทำงาน พวกเขาจะเห็นว่าคุณคือเป้าหมายภารกิจของตน ภารกิจนั้นคือดึงคุณลงมาให้ได้

รับมืออย่างไร? : นางอิจฉาจะได้เปรียบหากเป้าหมายเป็นคนไม่พูดไม่จา การรับมือกับคนจำพวกนี้คือต้องคอยพูดเสมอว่าเราต่างก็มีจุดแข็งที่ดีต่อทีม ให้เขามองเห็นว่า การมีทั้งคุณและเขาร่วมมือกันจึงทำให้ทีมประสบความสำเร็จ

 

2.คนชอบเอาหน้า

คนชอบเอาหน้า คือนางอิจฉาที่มีความก้าวร้าวและรุกไล่มากยิ่งขึ้น พวกเขาจะหาจุดอ่อนของคุณ ขณะเดียวกันก็หาทางเอาหน้าจากสิ่งที่คุณทำได้ดี และขโมยความดีความชอบไปเป็นของตน

ฮิกกินส์กล่าวว่า จากการทำงานในสายบริหารมานาน ทำให้เห็นว่าคนชอบเอาหน้ามีจำนวนมาก คนกลุ่มนี้จะไม่รู้จักความเห็นอกเห็นใจ และจะเอารัดเอาเปรียบเมื่อมีโอกาส

รับมืออย่างไร? : คุณต้องปกป้องความสำเร็จของตัวเอง เรียกร้องขอเครดิตความดีความชอบบ้างเมื่อถึงจังหวะเวลา กลุ่มคนชอบเอาหน้าจะไม่ค่อยเลือกเอาเปรียบคนที่มีความหนักแน่นในการปกป้องตัวเอง และเห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวเองสูง

 

3.เหยื่อ

บางคนในที่ทำงานจะชอบรับบท “เหยื่อ” คนกลุ่มนี้จะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมตลอดเวลา พวกเขาเห็นว่าทุกอุปสรรคที่พบเจอคือเครื่องยืนยันว่าตัวเองกำลังถูกเล่นงานอยู่

รับมืออย่างไร? : คนที่เล่นบทเหยื่อมักจะบอกว่าตัวเองได้รับภาระงานมากเกินไป ดังนั้น คุณสามารถชูมืออาสาเข้าช่วยเหลือได้เลย เพราะส่วนใหญ่คนที่เล่นบทเหยื่อจะปฏิเสธความช่วยเหลือ ในอนาคตก็คอยบอกเขาและได้เลยว่ายินดีช่วยเสมอ พร้อมกับทำให้คนในทีมเห็นว่าคุณพยายามออกปากช่วยแล้ว เพื่อปกป้องตัวคุณเองว่าไม่ได้ผลักภาระงานให้คนที่รับบทเหยื่ออยู่

 

4.ผู้พลีชีพ

ผู้พลีชีพ คือขั้นกว่าของการเล่นบทเหยื่อ เพราะพวกเขาทำงานจริงนะแต่ว่าไม่ได้ทำงานได้ดีจนต้องเล่นแง่ทางจิตวิทยากับทั้งองค์กร

พวกเขามักจะชอบรับงานไปทำเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ใช่เพื่อช่วยทีม พวกเขาทำไปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเองถูกบีบบังคับให้ต้องทำงานแทนคนอื่น

รับมืออย่างไร? : หาทางคุยกับพวกผู้พลีชีพว่า จะเป็นการดีที่สุดถ้าพวกเขาแบ่งงานให้คนที่เหมาะกับงานนั้นๆ ทำบ้าง กระตุ้นให้พวกเขาปล่อยมือจากงานบางงานไปให้คนอื่นทำ ไม่ใช่รวบงานทุกอย่างมาทำเองหมด

 

5.ยอดนักปั่น

ยอดนักปั่นมักจะใช้พลังงานทุกหยาดหยดในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อจะสร้างความเสียหายให้ทุกคนรอบตัว ส่วนใหญ่คนประเภทนี้มักจะมีบุคลิกภาพแบบหลงตนเอง

นี่คือคนที่ทำทุกอย่างที่คน 4 ประเภทด้านบนทำ ไม่ว่าจะเป็นนางอิจฉา ชอบเอาหน้า เล่นบทเหยื่อและผู้พลีชีพไปพร้อมๆ กัน และมักจะ ‘ปั่น’ สร้างเรื่องราวให้คนในทีมเชื่อว่ามันมีดราม่าเกิดขึ้น

รับมืออย่างไร? : ใช้งานคนประเภทนี้เฉพาะทักษะการงานที่พวกเขามีก็พอ ส่วนอื่นไม่ต้องไปสนใจ ถ้าคุณไม่ไปเสียเวลาและพลังงานรับฟังว่าพวกเขาคิดอย่างไร การปั่นที่เขาพยายามเหลือเกินเพื่อให้เกิดดราม่า ก็จะไม่เกิดขึ้นจริง

Source

 

อ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1440928
ทางรอดของคนเจนเก่า! “ทักษะทางสังคม” (soft skills) คือสิ่งที่ AI ทดแทนไม่ได้ https://positioningmag.com/1437351 Mon, 10 Jul 2023 13:44:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437351 “AI จะมาทดแทนตำแหน่งงานของเราหรือไม่” กลายเป็นความกังวลที่เกิดขึ้นควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยี หรือถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น คำถามที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังก็คือ “Gen Z ที่รู้วิธีใช้งาน AI จะมีโอกาสได้งานมากกว่าคนเจนเนอเรชันก่อนหน้าหรือไม่” นักเศรษฐศาตร์จาก Oxford มีคำตอบที่อาจทำให้คนเจนเก่าใจชื้น เพราะ “ทักษะทางสังคม” (soft skills) ของคนเป็นสิ่งที่ AI ยังแทนไม่ได้

Carl Benedikt Frey นักเศรษฐศาสตร์จาก Oxford เคยคาดการณ์อนาคตไว้ในงานวิจัยของเขาเมื่อปี 2013 ว่า 47% ของตำแหน่งงานที่มีในสหรัฐอเมริกา จะถูกแทนที่ด้วยระบบออโตเมชันภายในทศวรรษ 2020s

อย่างไรก็ตาม 10 ปีผ่านไปหลังเขาตีพิมพ์งานวิจัย เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Business Insider ว่า เขามองบวกมากขึ้นว่า ‘Generative AI’ จะไม่มาทดแทนตำแหน่งงานได้มากขนาดนั้นและทำได้เร็วขนาดนั้นแล้ว

“คนที่สามารถเป็นจุดสนใจได้เมื่อเข้าไปในห้อง สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน สามารถกระตุ้นเร้าและสร้างความเชื่อมั่นกับผู้อื่นได้ นั่นคือคนที่จะเติบโตในยุคแห่ง AI” Frey กล่าว

เขามองว่า ความสามารถของ AI ถูกผูกติดอยู่กับการทำงานที่ใช้ระบบออนไลน์ ทำให้งานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ก่อนคืองานที่ทำได้จากระยะไกล (remote work)

ส่วนงานที่คนเจนเนอเรชันก่อนมักจะมีประสบการณ์ที่มีค่าสูง และไม่สามารถทำระบบออโตเมชันขึ้นมาทดแทนได้คือ “ทักษะทางสังคม” (soft skills) ของมนุษย์เมื่อต้องทำงานแบบพบปะกัน

หลังจากอยู่ในสิ่งแวดล้อมในออฟฟิศมาหลายปี คนเจนเก่ามักจะมีทักษะด้านการเป็นผู้นำและการเข้าสังคมมากกว่า ทำให้ Frey มองว่า AI จะเป็นเหมือนทักษะ ‘พรีเมียม’ ที่เพิ่มเติมให้กับคนมี soft skills

“เป็นไปได้ว่า พนักงานรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์สูงในตำแหน่งระดับบริหารจะมีแนวโน้มได้งานที่ดีกว่าในอนาคต” Frey กล่าว

Frey และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ต่างก็มองว่า Gen Z จะรอดได้สบายๆ ในยุคแห่ง AI เพราะเจนเนอเรชันใหม่มักจะปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ได้ดีกว่าอยู่แล้ว ทำให้คนเจนใหม่จะเรียนรู้การใช้เครื่องมือ AI มาเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานของพวกเขา

แต่ก็เช่นเดียวกับคนรุ่นเก่า Gen Z เองก็ต้องมี soft skills ไว้เป็นแต้มต่อให้ตนเองโดดเด่นกว่าคนอื่น หากใครๆ ก็สามารถใช้เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ในการทำงานทั่วไปในอุตสาหกรรม เช่น งานเขียน โค้ดดิ้ง ออกแบบกราฟิก ได้เหมือนๆ กันหมด

Gen Z ทำงาน
(Photo: Shutterstock)

ทักษะทางสังคมแบบ ‘พบปะกันต่อหน้า’ จึงเป็นแต้มต่อที่แตกต่างจริงๆ เพราะ AI ขณะนี้ยังเลียนแบบมนุษย์ไม่ได้อย่างสมบูรณ์ จะทำได้ใกล้เคียงก็แต่เฉพาะการสื่อสารผ่านออนไลน์

คุณสมบัติที่สำคัญของคนทำงานยุคนี้จึงเป็นเรื่องการทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ การปรับตัว ฯลฯ และคนที่ทำงานแบบที่ยังต้องไปเจอหน้ากันจะมีโอกาสเอาชนะ AI ได้มากกว่า

“ตำแหน่งงานที่ทำจากระยะไกลได้เสี่ยงต่อการถูกทดแทนด้วยระบบออโตเมชันมากกว่า” Frey กล่าว “ขณะที่การปฏิสัมพันธ์กันแบบเจอตัวซึ่งยังไม่สามารถถูกแทนที่ได้ทันทีตอนนี้ จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าในโลกของการทำงาน

Source

]]>
1437351
3 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเสพติด “ความเครียด” พฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั่วไปมากกว่าที่ใครคิด https://positioningmag.com/1434706 Tue, 20 Jun 2023 03:50:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434706 “ความเครียด” แม้จะมีผลลบต่อชีวิตมากมาย แต่กลายเป็นว่าหลายคนสามารถ “เสพติด” ความเครียดได้จริงๆ จากการวิจัยโดยนักจิตวิทยา Harvard และการเสพติดความเครียดย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกายในระยะยาว

Heidi Hanna นักประสาทวิทยา ให้ข้อมูลว่าความเครียดสามารถหลอกตัวเราเองได้ เพราะเมื่อเกิดความเครียดขึ้น สมองไม่ได้สั่งให้ร่างกายหลั่งเฉพาะฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา แต่ยังหลั่งโดปามีนมาด้วย ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เป็นสารเคมีแห่ง “ความรู้สึกดี” จึงทำให้สมองเราจดจำพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดความรู้สึกดีนี้ไว้เพื่อทำซ้ำ

เธอกล่าวด้วยว่า ความเครียดสามารถสร้างภาวะเหมือน ‘เคลิ้มยา’ ได้ตามธรรมชาติ เพราะความเครียดจะไปกระตุ้นศูนย์กลางระบบประสาทที่เกี่ยวกับสิ่งกระตุ้นเร้าและความสนใจ หากเครียดติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะทำให้ “เสพติดเหมือนกับการติดยา” ได้ด้วย

Debbie Sorensen นักจิตวิทยา Harvard ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะหมดไฟ (burnout) เสริมประเด็นนี้ว่า คนเรามักจะทำตัวให้ยุ่ง มีอะไรทำตลอดเวลาเพื่อหลีกเลี่ยง “อารมณ์ที่ไม่สบายใจ” ทั้งหลาย เช่น ความเบื่อหน่าย ความเหงา ความเศร้า ซึ่งทำให้การเสพติดความเครียดเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปมากกว่าที่ใครๆ คิด

อย่างไรก็ตาม ทุกคนทราบดีว่าความเครียดไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อร่างกายในระยะยาว อันตรายของการมีภาวะเครียดเรื้อรังคือโรคที่ติดตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ

 

3 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลัง “เสพติด” ความเครียด

ถ้าคุณทำได้ดีเวลามีกำหนดเส้นตายส่งงานเร่งด่วน และรู้สึกผิดทุกครั้งที่พักจากการทำงาน คุณอาจกำลังเสพติดความเครียดอยู่ก็ได้

Sorensen กล่าวว่า การเสพติดความเครียดมักจะเกิดขึ้นในคนที่ชอบกดดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จ ทำให้คนที่ทะเยอทะยานอยากประสบความสำเร็จมักมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะหมดไฟและภาวะเครียดเรื้อรัง

แต่ความกดดันจากสังคมก็มีผลกับการเสพติดความเครียดได้เหมือนกัน “วัฒนธรรมคลั่งการเพิ่มพูนประสิทธิผลของงาน คือตัวการที่สร้างให้ ‘ความเครียด’ เป็นดั่งเหรียญตราเกียรติยศ” Sorensen กล่าว “วัฒนธรรมแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดีในอัตตาของตัวเองเมื่อเรายุ่งกับการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเราตีความว่ายิ่งงานยุ่งมากเท่าไหร่ก็คือการประสบความสำเร็จมากเท่านั้น”

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเสพติดความเครียดเข้าแล้ว? Sorensen กล่าวว่ามี 3 สัญญาณที่มักจะพบเห็นได้ในกลุ่มคนที่เสพติดความเครียด ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงที่จะนอนพักหรือพักผ่อน
  • คอยเช็กโทรศัพท์ตลอดเวลา
  • ตอบ “ได้” กับทุกสิ่งทุกอย่าง

ผู้ที่เสพติดความเครียดมักจะเลือกผลักตัวเองเข้าไปสู่สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเครียด แม้จะมีทางเลือกในการหลีกเลี่ยง และถึงแม้ว่าทั้งร่างกายและจิตใจคุณจะ “ร้องขอให้หยุด” แล้วก็ตาม

Sorensen กล่าวเสริมว่า พฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกด้วยว่าคุณกำลังอยู่ใน ‘Toxic Workplace’ ได้ด้วย โดยเป็นสังคมที่ทำงานเป็นพิษ ต้องการให้คุณทำเกินกำลังของตัวเองและต้องตอบสนองการทำงานได้ตลอดเวลา ซึ่งแปลว่าคุณอาจจะไม่ได้เสพติดความเครียด แต่คุณทำสิ่งเหล่านี้เพราะถูกบีบบังคับจากที่ทำงานมากกว่า หากตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เธอขอแนะนำให้คุณพยายามขีดเส้นแบ่งระหว่างช่วงเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัว เพื่อทำให้ความเครียดลดลง

 

หยุดวงจรแห่งความเครียดอย่างไร

ยังไม่มีวิธีการตายตัวที่จะหยุดการเสพติดความเครียด แต่การออกกำลังกายและนั่งสมาธิถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะทั้งสองสิ่งนี้สามารถกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุขคือฮอร์โมนโดปามีนและเอ็นโดรฟินได้

Sorensen กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือแต่ละคนต้องสังเกตตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เกิดความเครียด สังเกตว่าเครียดแล้วทำอะไรบ้าง เช่น ปัญหาการนอนหลับ ปัญหาการทานอาหาร เสียสมาธิ อารมณ์เปลี่ยนไป และปกติแล้วเราแก้เครียดอย่างไร อะไรที่ทำให้เครียดน้อยลง และอะไรทำให้เครียดหนักกว่าเดิม

สุดท้ายแล้วสิ่งเดียวที่จะทำให้หยุดวงจรนี้ได้ คือการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตนเองโดยแก้ไขในจุดที่ทำให้เครียด เช่น เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับ เปลี่ยนพฤติกรรมหยุดรับผิดชอบมากเกินตัว

Source

]]>
1434706
“ลาออก” ดีไหม? ถ้าคุณอ่าน 7 คำถามนี้แล้วตอบ “ใช่” เป็นส่วนใหญ่ ก็ยื่นใบลาออกเลยดีกว่า https://positioningmag.com/1427953 Thu, 20 Apr 2023 05:35:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427953 มีหลายครั้งที่เราสับสนว่าควร “ลาออก” จากที่ทำงานปัจจุบันหรือยัง มีเหตุผลพอไหมที่จะออก 7 คำถามเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยกลั่นกรองการตัดสินใจลาออกของคุณ

แจ็ค เคลลี่ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพธุรกิจค้นหางาน WeCruitr เปิดตัวช่วยที่จะทำให้คนทำงานตัดสินใจง่ายขึ้นว่า ตอนนี้ควรหรือยังที่จะ “ลาออก” และหางานใหม่

เช็กสุขภาพจิตในการทำงานว่าคุณยังมีความสุขกับการงานอยู่หรือเปล่า ผ่านการถามตัวเองด้วย 7 คำถามเหล่านี้ หากพบว่าตัวเองตอบ “ใช่” กับคำถามส่วนใหญ่ ก็เป็นไปได้ว่าคุณควรจะยื่นใบลาออกได้แล้ว

1.คุณรู้สึกไม่พึงพอใจสุดๆ กับงานที่ทำอยู่หรือเปล่า?

ถ้าคุณรู้สึกไม่พอใจกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเป็นสัญญาณว่าได้เวลาต้องหางานใหม่แล้ว ถ้าคุณพบว่าตัวเองไม่สนุกกับงาน รู้สึกไม่ได้รับการเติมเต็ม หรืองานไม่ท้าทายพอ ต่อไปคุณจะเริ่มไม่กระตือรือร้นและทำงานไปวันๆ

การทำงานด้วยความรู้สึกแบบนี้จะดูดเอาแรงกระตุ้นในตัวคุณไปหมด ประสิทธิภาพการทำงานจะดิ่งลง จนกระทั่งผู้จัดการหรือหัวหน้าของคุณสังเกตเห็นและมองว่าคุณกำลัง ‘quiet quitting’ ทำงานเช้าชามเย็นชาม และอะไรๆ ก็จะแย่ลงไปอีก

2.คุณรู้สึกได้ว่าเส้นทางอาชีพมาถึงทางตันในบริษัทแล้วหรือเปล่า?

บางครั้งคุณอาจรู้สึกติดอยู่ในสภาพซึมๆ ในที่ทำงาน คือคุณไม่มีการเติบโต ได้เรียนรู้อะไรใหม่ หรือมีความท้าทายใหม่ในบริษัท แต่ละวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยน คุณรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ใช้ทักษะของตนให้เป็นประโยชน์ ไม่ได้แสดงความสามารถเต็มศักยภาพ

3.งานนี้ไม่มี Work-Life Balance หรือเปล่า?

หากงานของคุณต้องการเวลาและพลังงานจากตัวคุณมากเหลือเกิน มากเสียจนคุณแทบไม่เหลือเวลาให้กับตัวเองหรือครอบครัวเลย นี่คือสัญญาณเตือนว่าคุณต้องไปหาโอกาสใหม่ได้แล้ว

หากยังอดทนอยู่ ในอนาคตคุณอาจจะหมดไฟ (burn out) ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางจิตใจและร่างกาย การไม่มีสมดุลชีวิตกับการงานที่ดีพอจะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือกับเพื่อนๆ ตึงเครียด และคุณอาจจะเสียความสัมพันธ์ที่มีความหมายในชีวิตไปหมด

4.คุณติดอยู่ในสังคม “เป็นพิษ” ในที่ทำงานหรือเปล่า?

สังคม “เป็นพิษ” ในที่ทำงาน สามารถนิยามได้ว่า เป็นที่ทำงานที่เต็มไปด้วยความเครียด การสื่อสารระหว่างกันย่ำแย่ ไม่มีความเคารพนับถือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันเองและระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง

หากคุณอยู่ในที่ทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวไม่มีใครช่วย หรือถูกรังแกในที่ทำงาน ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาสุขภาพจิตขึ้นได้ มีผลกระทบให้ทำงานได้แย่ลง สุดท้ายคุณก็จะต้องหางานใหม่อยู่ดี

5.คุณทำงานไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเห็นค่าหรือเปล่า?

ถ้าคุณรู้สึกว่าการทำงานของคุณไม่มีใครเห็นค่าและใส่ใจ คุณน่าจะลาออกและหาที่ใหม่ที่คนเขาเห็นค่าคุณมากกว่านี้

แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้น คุณอาจจะลองขอนัดประชุมกับหัวหน้าดูก่อนว่าคุณรู้สึกอย่างไร โดยอธิบายถึงงานที่คุณได้สร้างประโยชน์มาทั้งหมด ยกตัวอย่างให้เห็นความสำเร็จที่ทำมา รวมถึงการทำงานมากกว่าหน้าที่ของตัวเอง เป็นการย้ำเตือนหัวหน้างานว่าคุณได้ทำมากกว่าที่บริษัทคาดหวังให้ทำแล้ว

6.คุณรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมองค์กรหรือเปล่า?

ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรที่นี่ หรือไม่เห็นด้วยกับภารกิจขององค์กรที่ตั้งไว้ อาจจะถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหาที่ทำงานใหม่ที่เข้ากันได้มากกว่า

แต่อย่าเพิ่งผลีผลามลาออกไปโดยยังไม่พยายาม คุณอาจจะลองหาเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เข้ากันได้ดูก่อน เพราะกลุ่มเล็กๆ ที่มีความคิดคล้ายกันอาจจะสร้าง ‘subculture’ เป็นกลุ่มย่อยที่แตกต่างในบริษัท และสามารถสนับสนุนช่วยเหลือกันและกันได้ ทำให้บรรยากาศการไปทำงานของคุณดีขึ้น

7.คุณไม่เชื่อมั่นในหัวหน้างานและทีมผู้บริหารหรือเปล่า?

หากคุณไม่มั่นใจหรือไม่เคารพการตัดสินใจของทีมบริหาร นั่นอาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณลาออก เพราะคุณต้องการอยู่ในบริษัทที่คุณมั่นใจกับกลุ่มผู้นำองค์กรได้จริงๆ

ลองถามตัวเองดูก่อนด้วยว่า ทำไมคุณถึงมีความรู้สึกไม่เชื่อมั่นในหัวหน้าหรือผู้บริหาร มีเหตุผลที่ชัดเจนจากบางอย่างที่พวกเขาตัดสินใจทำหรือพูดออกมาหรือเปล่า หรือแค่เป็นสัญชาตญาณบางอย่างเท่านั้น

สรุปสุดท้ายคือ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจอะไร ขอให้ลองปรึกษากับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ รุ่นพี่ที่สอนงาน หรือคุยกับฝ่าย HR ถึงความกังวลใจของคุณเองดูก่อน เผื่อว่าจะมีอะไรที่แก้ไขให้สถานการณ์ของคุณดีขึ้นได้ ทำให้การ “ลาออก” ไม่ใช่ตัวเลือกหนึ่งเดียวที่คุณต้องทำ

Source

]]>
1427953
ล้วงเคล็ดวิชาการทำงานจาก “พี่เบิร์ด-ธงไชย” ศิลปินดาวค้างฟ้าผู้ “อยู่มาทุกยุค” ตัวจริง! https://positioningmag.com/1427555 Mon, 17 Apr 2023 12:57:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427555 การเป็นศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์มาได้นานถึง 37 ปีไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่มาจากทัศนคติและวินัยที่เข้มแข็ง Positioning มีโอกาสได้พูดคุยกับ “พี่เบิร์ดธงไชย แมคอินไตย์” ตำนานศิลปินที่อยู่มาทุกยุค ขอเคล็ดวิชา “การทำงาน” ที่ทำให้พี่เบิร์ดยังมีไฟในการผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ธงไชย แมคอินไตย์” หรือ “พี่เบิร์ด” ของทุกคนปล่อยอัลบัมแรก “หาดทราย สายลม สองเรา” ออกมาตั้งแต่ปี 2529 นับถึงวันนี้ผ่านมา 37 ปีโดยที่พี่เบิร์ดไม่เคยหยุดสร้างผลงานเพลงใหม่ๆ ยังคงมีงานแสดงคอนเสิร์ตสม่ำเสมอ และยังคงถูกยกย่องเป็นซูเปอร์สตาร์นักร้องเบอร์ 1 ของประเทศไทยอย่างไร้ข้อกังขา

ว่าที่จริงแล้วสรรพสิ่งย่อมมีขึ้นแล้วมีลง แต่พี่เบิร์ดดูจะยังไม่ยอมถึงขาลงง่ายๆ แม้โลกจะหมุนไปเร็วขึ้น พร้อมด้วยแนวเพลงแนวดนตรีใหม่ๆ แต่พี่เบิร์ดยังคงอยู่พร้อมพิสูจน์ตัวว่า “อยู่มาทุกยุค” และจะยุคไหนพี่ก็จะอยู่ ด้วยงานเพลงที่สามารถปรับตามสมัยนิยม เปิดกว้าง มีผลงานคอลแลปกับศิลปินคลื่นลูกใหม่ ไม่เคยมีคำว่า ‘เอาต์’ สำหรับชายคนนี้

พี่เบิร์ด-ธงไชย
อัลบัม “22” ของพี่เบิร์ด อัลบัมล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อปี 2565

สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่เบิร์ดยังคงเป็นศิลปินร่วมสมัยแม้จะอยู่ในวัยย่าง 65 ปี และเป็น “การทำงาน” ที่เราอยากขอเคล็ดวิชาเพื่อนำมาสร้างความเป็นซูเปอร์สตาร์ในตัวเองเช่นกัน

 

Q: คำถามแรกที่ทุกคนอยากรู้คือพี่เบิร์ดเคยมีอาการหมดไฟ (burn out) แบบที่คนรุ่นใหม่ชอบพูดกันบ้างไหม

พี่เบิร์ด: เออ ทำไมพี่ไม่หมดเลยวะ พี่มีอยู่ตลอดเวลาเลย พี่คิดว่าเราต้องอยู่กับเขาให้ดี (เขา = งานที่ตัวเองทำ) แล้วก็สอบถามซักถามตัวเองให้ดีว่าชอบเขาหรือรักเขาตรงไหน

แล้วก็พี่เบิร์ดโตมาตั้งแต่อัลบัมแรกจนถึงอัลบัมนี้ ไม่มีนักร้องคนไหนทำอย่างที่พี่เบิร์ดทำ คือ พี่เบิร์ดสั่งทำ backing track ตั้งแต่วันแรกที่พี่เบิร์ดเข้ามาจนถึงวันนี้ มีทุกเพลงเลย แล้วพี่เบิร์ดเปิดร้องทุกวัน วันละหนึ่งหรือสองคอนเสิร์ต แล้วพี่เบิร์ดจะทำอย่างไรให้ร้องให้ได้เหมือนในเทปที่พี่เต๋อ (เต๋อ-เรวัติ พุทธินันทน์) เป็นคนดูแล แล้วทำไมเสียงพี่เบิร์ดเปลี่ยน แล้วถ้าร้องไม่เหมือนเดิมล่ะ อย่างนี้มันจะได้ประเมินตัวเองด้วย เราไม่สามารถที่จะโกหกตัวเองได้หรอก

 

Q: อาการหมดไฟมักจะชอบตามมาด้วยความไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง พี่เบิร์ดทำอย่างไรให้มั่นใจว่าเราเก่งจริง

พี่เบิร์ด: คือพี่ว่าเราต้องรู้ให้จริงก่อนว่าเราทำอะไร ต้องรู้ให้จริงก่อน เช่น หน้าที่ของเราเป็นนักข่าว ต้องรู้ให้จริงว่านักข่าวขายอะไร ทำไมต้องเป็นนักข่าว นักข่าวที่ดีคืออะไร ไม่ควรทำคืออะไร ไม่ควรพูดคืออะไร ควรทำคืออะไร ควรทำการบ้านแค่ไหน อย่างนี้ครับ

จริงๆ ความนานมันดีนะ มันดีกว่าความเร็ว เพราะความนานทำให้เรามั่นใจ แค่มั่นใจก็พอแล้ว

Q: ทำอย่างไรพี่เบิร์ดถึงยังทันสมัยไม่ตกเทรนด์เลย

พี่เบิร์ด: ก็อย่าขี้เกียจไง (หัวเราะ) ดูไปสิ TikTok เอยอะไรเอย พี่เบิร์ดเล่นโซเชียลมีเดียทุกอย่างเลยนะ

ล่าสุด Netflix เขายังเอา(คอนเสิร์ต)ของพี่เบิร์ดไปออกเต็มไปหมดเลย พี่จึงได้ learning by doing คือพี่เบิร์ดแข่งกับอะไรรู้ไหมตอนนี้ พี่เบิร์ดแข่งกับตัวพี่เองใน Netflix ย้อนกลับไปดูแล้วพี่เบิร์ดต้องแข็งแรงขนาดนี้ ต้องหล่ออย่างนี้ ต้องแดนซ์ขนาดนี้ อันนี้ไม่ดีตัดทิ้ง อันนี้ต้องไม่มีนะเบิร์ด มันดีมากนะ

 

Q: พี่เบิร์ดคิดอย่างไรกับคำว่า รุ่นใหม่รุ่นเก่า

พี่เบิร์ด: พี่เบิร์ดเป็นคนนะ เป็นเหมือนทุกๆ คน เป็นเหมือนคนรุ่นใหม่ เป็นคนรุ่นเก่า เป็นคนทุกรุ่นเลย พี่เบิร์ดไม่เคยคิดว่าใครจะรุ่นใหม่ใครจะรุ่นเก่า That’s people ทั้งนั้น คนทั้งนั้นเลย

การ name it คิดว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ คิดว่าตัวเองเป็นคนรุ่นเก่า นั่นแหละคืออันตรายที่สุด วันๆ ไม่ทำอะไร คิดถึงแต่เรื่องที่เราจะ name it ว่าอันนี้แก่ อันนี้อ่อน อันนี้เด็ก อันนี้เกย์ อันนี้แต๋ว อันนี้ตุ๊ด มันเหนื่อยนะ สู้เอาเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองดีกว่า

คอนเสิร์ตพี่เบิร์ดลงสตรีมมิ่งใน Netflix (Photo by Facebook@NetflixTH)
Q: เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็อยากเป็นซูเปอร์สตาร์ มีเคล็ดลับอะไรจะบอกไหมคะ

พี่เบิร์ด: อยากให้ลองมาเป็นพี่เบิร์ดสัก 3 วัน แล้วจะลาออกทันทีเลย (หัวเราะ)

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเป็นคนดังคือถึงแม้ว่าไม่มีคนดู ไม่มีคนเห็นพี่เบิร์ด แต่ต้องทำให้เหมือนคนดูพี่เบิร์ดตลอด ต้องออกกำลังกาย ต้องกินให้น้อย ต้องนอนให้เยอะ ต้องไม่ไปในสถานที่อโคจร พี่เบิร์ดไม่เคยไปเลย ไม่มีเลยนะ

 

Q: แล้วตัวพี่เองเคยอยากลาออกจากการเป็นซูเปอร์สตาร์บ้างหรือเปล่า

พี่เบิร์ด: ไม่เคยเลยแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เคยเลย เพราะพี่เลือกแล้ว และพี่ born to be ด้วย พี่ทำงานแบบนี้มานานๆ เนี่ย ยิ่งทำให้เรารู้ว่าเรามาได้ถูกทางแล้ว เราจึงไม่มีอาการเบื่อ ท้อน่ะมี คนเรามันต้องมีแน่ ‘อะไรวะเนี่ย กูจะทำได้หรอ’ มันมีอยู่แล้ว การที่ต้อง ‘ฮึบ (กัดฟัน) ต้องทำได้’ มันก็มีครับ

ปีนี้พี่เบิร์ดกลับมารับตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) อีกครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศ

 

Q: เรื่องอะไรที่พี่เบิร์ดท้อ และพี่ผ่านมาได้อย่างไร

พี่เบิร์ด: เรื่องเกี่ยวกับงานทั้งนั้นเลยครับ เรื่องเต้น เรื่องร้อง แต่พี่เบิร์ดจะไม่ยอมพูดคำว่า ‘ไม่เอา ไม่ไหว’ ไม่เคยได้ยินจากปากพี่เบิร์ดเลย มีแต่คำว่า ‘ไม่พอ พอแล้วเหรอ’ แล้วพี่เบิร์ดค่อยไปเหนื่อยที่บ้าน อะไรแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องอยู่คนเดียว ไม่สามารถจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าเหนื่อย เพราะพี่เบิร์ดไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่ทำงานกับทั้งหมู่คณะเลยครับ

…แต่พี่เบิร์ดจะไม่ยอมพูดคำว่า ‘ไม่เอา ไม่ไหว’ ไม่เคยได้ยินจากปากพี่เบิร์ดเลย มีแต่คำว่า ‘ไม่พอ พอแล้วเหรอ’

 

Q: ทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว มีอะไรที่พี่เบิร์ดอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีกไหม

พี่เบิร์ด: (นิ่งคิด) พี่เหมือนพี่ยังไม่ได้ร้องเพลงเลย เหมือนพี่ยังไม่ได้โชว์เลยนะ พี่อยากทำทุกวัน อยากทำตลอดเลย (หัวเราะ)

เอาอย่างนี้ดีกว่าน้อง เชื่อไหมว่า คนที่ต้องมาบอกพี่เบิร์ดว่าถึงเวลาหยุดเต้นไปพักทานข้าวได้เนี่ย ไม่มีเลยนะ เดินหนีกันหมดเลย แต่ถ้าพี่เบิร์ดกินข้าวอยู่แล้วต้องถึงเวลาไปเต้นแล้วเนี่ย มันมากันเป็นโขยงเลยนะ มาเรียกพี่เบิร์ดเต้น อย่างล่าสุดทั้งซ้อมร้องทั้งซ้อมเต้นสนุกสนานมากเลย

พี่ยังคิดว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดอายุ 90 แล้ว แล้วจะทำอย่างไรกับพี่เบิร์ดดีวะ พี่ถามพี่น้อย (นกน้อย-พรพิชิต พัฒนถาบุตร ผู้จัดการส่วนตัว) ตลอดเลยนะว่า ‘พี่น้อย  พี่น้อยก็อายุ 67 แล้วนะ พี่เบิร์ดก็ 65 แล้ว เราเลิกทำงานกันไหม เลิกกันเหอะ’ พี่น้อยพูดอย่างไรรู้ไหม พี่น้อยบอกว่า ‘พูดหมาๆ’ ‘อ๊าว ทำไมล่ะพี่น้อย’ ‘เอ้า! ก็ถ้าเบิร์ดเลิกเบิร์ดจะไปทำอะไร’ คำนี้แหละ เบิร์ดจะไปทำอะไร เบิร์ดจะออกกำลังกายเพื่ออะไร เบิร์ดจะดูแลตัวเองเพื่อใคร จึงทำต่อไปเอย

ส่วนเรื่องส่วนตัว ยังมีสถานที่ที่ไม่เคยไปและอยากไปคือ วัดพระธาตุพนม เพราะเป็นพระธาตุประจำตัวของพี่น้อยเขา

 

Q: ชีวิตพี่ช่วงนี้ถ้าให้เลือกเพลงธีมจากอัลบัมของพี่เบิร์ด จะเลือกเพลงไหน

พี่เบิร์ด: พี่เบิร์ดไม่เคยพ้นเพลง “สบาย สบาย” เลยครับ (หัวเราะ) พี่เบิร์ดเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ สบาย สบาย จริงๆ ครับ ยังไงก็คิดให้ได้ คิดให้ออก คิดให้ตก แก้ปัญหากัน วันนี้แก้ไม่ได้ จันทร์ถึงอาทิตย์มันก็ต้องมีสักวันวะที่เราแก้ได้ ขีดเส้นใต้ข้ามไปก่อน That’s it!

 

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1427555
50% ของพนักงาน ลาออกเพราะ “หัวหน้าแย่” พบกับ 10 นิสัยหัวหน้างานที่ลูกน้องเกลียดที่สุด https://positioningmag.com/1414323 Tue, 03 Jan 2023 05:57:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414323 คำกล่าวยอดฮิตที่คนมักจะพูดกันคือ “พนักงานลาออกจากหัวหน้า ไม่ใช่ลาออกจากบริษัท” เพราะหลายคนที่ลาออกมักจะเกิดจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ของตนกับหัวหน้า แม้ว่าเรื่องอื่นๆ เช่น เนื้องาน เพื่อนร่วมงาน จะดีก็ตาม แต่หัวหน้าแย่ๆ กลับทำให้พนักงานอยากให้เวลาเลิกงานมาถึงเร็วๆ

งานวิจัยของ Gallup จัดสำรวจวัยทำงานในสหรัฐฯ 7,000 คน และพบว่า 50% ของพนักงานที่เคยลาออก ออกเพราะต้องการจะหนีจากหัวหน้า

ในงานวิจัยเดียวกันนี้ยังพบด้วยว่า พนักงานส่วนใหญ่มองว่าหัวหน้าที่เคยเจอมามักจะมีปัญหาเรื่องการพัฒนาความสามารถของลูกน้อง ไม่สามารถให้ feedback การทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ และไม่สามารถตั้งเป้าหมายการทำงานให้ลูกน้องได้ชัดเจนพอ

นอกจากการพัฒนาทักษะให้ลูกน้องแล้ว พนักงานมักจะพบเจอหัวหน้าประเภท ‘toxic’ ด้วย และที่จริงหัวหน้าที่มีนิสัยเป็นพิษต่อสภาพแวดล้อมการทำงาน มักจะเป็นตัวแปรที่ส่งให้ลูกน้องวิ่งไปเปิดเว็บไซต์หางานใหม่กันทันที

แล้วหัวหน้าที่มีพฤติกรรมแบบไหนที่ทำให้ลูกน้องหางานใหม่ทันที? จากการสำรวจของ Signs.com พบว่า 10 พฤติกรรมของหัวหน้าที่ลูกน้องเกลียดที่สุด มีดังนี้

  • ลำเอียง/มี ‘ลูกรัก’ ในที่ทำงาน
  • ลักลอบนำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว
  • นำผลงานคนอื่นไปใช้เอาหน้า
  • หาเรื่องเพื่อจะไล่ลูกน้องออก
  • ประจานผลงานที่ไม่ดีให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นทราบ
  • ใช้ตำแหน่งเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงชู้สาว
  • ใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ในที่ทำงาน
  • จัดการบริหารเวลาได้แย่
  • สุขอนามัยไม่ดี
  • เฉื่อยชา

ทั้งนี้ เพศชายกับเพศหญิงมองพฤติกรรม “หัวหน้าแย่” ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว การจัดลำดับหัวหน้าที่แย่ที่สุดมีความแตกต่างระหว่างเพศ เช่น หัวหน้าที่แย่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในมุมมองของเพศชาย คือ “หาเรื่องเพื่อจะไล่ลูกน้องออก” ในขณะที่อันดับ 2 ในมุมมองเพศหญิงกลับเป็นเรื่อง “ลักลอบนำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว”

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “ลำเอียง/มี ‘ลูกรัก’ ในที่ทำงาน” เป็นรูปแบบหัวหน้าที่ลูกน้องเกลียดที่สุดในทั้งสองเพศ นี่คือหัวหน้าที่ ‘toxic’ มากที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการมีลูกรักทำให้พนักงานคนอื่นรู้ตัวว่า ไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นคนแรกที่ได้เลื่อนขั้น และทำให้บรรยากาศโดยรวมกลายเป็นที่ทำงานของการ ‘เอาใจนาย’ มากกว่าได้ทำงานกันจริงๆ

Source

 

อ่านเรื่องอื่นๆ ต่อ

]]>
1414323
คำแนะนำถึงคนที่กำลังสับสนเพราะอาชีพมาถึงทางตัน อยากเปลี่ยนงาน หรือถูกเลย์ออฟ https://positioningmag.com/1412003 Mon, 12 Dec 2022 07:36:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1412003 ในชีวิตการทำงานหลายครั้งต้องเผชิญจุดเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นจากความต้องการของตนเอง ต้องการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพ หรืออยากลาออกมาพัก หรือบางครั้งอาจถูกเลย์ออฟเพราะบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กร ปัญหาทางเศรษฐกิจ จะทำอย่างไรดีหากชีวิตเดินมาถึงจุดเปลี่ยนแบบนั้น

Joseph Liu ที่ปรึกษาด้านการงานอาชีพและนักพูดเจ้าของรายการพอดคาสต์ Career Relaunch โดยมีสำนักงานหลักที่ประเทศอังกฤษ มีคำแนะนำมาฝากสำหรับคนที่กำลังสับสนในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการงาน พาเดินไปทีละขั้นตอนเพื่อทำให้เส้นทางการตัดสินใจชัดเจนขึ้น

ขั้นแรก ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของคุณ

ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพของตัวเอง ใช้เวลาคิดสักนิดหนึ่งก่อนถึงสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และอะไรกันแน่ที่คุณอยากจะเปลี่ยน โดยเริ่มถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้

  • ฉันรู้สึกพอใจแค่ไหนกับอาชีพของตัวเอง?
    ในการพิจารณาสถานการณ์อาชีพของตัวเอง ลองให้คะแนนความพึงพอใจในหลายๆ มิติที่สำคัญกับคุณดู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตั้งสำนักงาน, ภาพรวมของอุตสาหกรรม, ภาพรวมขององค์กร, บทบาทหน้าที่, เงินเดือน, สมดุลการทำงาน, โอกาสการเติบโต, แรงสนับสนุนจากหัวหน้างาน, ความรู้สึกชื่นชอบในเนื้องานที่ตนทำ ไปจนถึงเรื่องโอกาสในการใช้ทักษะและจุดเด่นของตนเองได้อย่างเต็มที่
  • ฉันต้องการอะไรเพิ่มอีก?
    หลังจากประเมินตนเองแล้ว อาจจะเห็นได้ชัดขึ้นว่าส่วนไหนที่ขาดหายไปในงานปัจจุบัน โดยเฉพาะถ้าส่วนนั้นคุณรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญกับชีวิตและการงาน ให้เริ่มคิดถึงว่าคุณต้องการอะไรจากงานเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น อยากจะมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารคนมากกว่านี้ อยากมีโอกาสเป็นหัวหน้าโครงการสำคัญ หรืออยากได้รายได้เพิ่ม บางครั้งความต้องการนั้นอาจเป็นเรื่องจิตใจก็ได้ เช่น อยากรู้สึกมีพลังตื่นเต้นกับการทำงานมากขึ้น อยากได้ทำงานที่ตัวเองชื่นชอบใส่ใจกับผลิตภัณฑ์/แบรนด์นั้นจริงๆ
  • อะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันในขณะนี้?
    ขั้นตอนนี้จะซับซ้อนที่สุด เพราะหลายครั้งการเปรียบเทียบความสำคัญคือการที่ต้องเลือก เช่น ความต้องการรับผิดชอบงานบริหารมากขึ้น อาจหมายถึงคุณต้องทำงานหนักขึ้น ต้องยอมลดสมดุลชีวิตกับการทำงาน หรือความต้องการทำงานในอุตสาหกรรมที่ท้าทาย อาจหมายถึงคุณต้องละทิ้งตำแหน่งงานที่มั่นคงตอนนี้ ดังนั้น การจะเลือกเส้นทางอาชีพที่ได้ทุกอย่างนั้นเป็นได้ยากมาก คุณต้องตัดสินใจโดยดูจากช่วงชีวิตขณะนี้คุณต้องการอะไรมากที่สุด และต้องยอมเสียบางอย่างไป

ขั้นต่อไป มุ่งมั่นปฏิบัติจริง

หลังจากประเมินตนเองและทำความเข้าใจกับตนเองได้แล้วว่าตอนนี้ต้องการอะไร คุณต้องเข้าสู่ภาคปฎิบัติเพื่อทำให้สิ่งที่ต้องการเป็นจริง โดยมีขั้นตอนดังนี้

1.รวบรวมโอกาสทั้งหมดที่เป็นไปได้และหาว่าอะไรที่น่าสนใจมากที่สุด

เมื่อจะเปลี่ยนงานครั้งสำคัญ การเหวี่ยงแหออกไปหาโอกาสที่เป็นไปได้ให้ได้มากที่สุดโดยยังไม่ตัดสินใจอะไรไปก่อน เป็นเรื่องที่ดีมาก อาจจะเริ่มจากการประเมินสิ่งที่ตัวเองสนใจหรือสิ่งที่คุณเคยคิดมาตลอดว่าอยากจะทำ อาจจะเป็นกิจกรรมที่คุณเคยสนุกกับมันตอนเป็นเด็กก่อนที่จะถูกสังคมและชีวิตกดดันให้ไปทำอย่างอื่น แม้แต่การไล่ดูว่าตอนนี้มีเทรนด์อาชีพอะไรน่าสนใจบ้าง หรือบริษัทอะไรกำลังหาคนอยู่ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการหาตัวเลือกมาให้มากที่สุด

ระหว่างการไล่หาอาจจะไม่เห็นเส้นทางไหนเด่นชัดออกมาอย่างเดียว ถ้าคุณยังไม่รู้จะเริ่มคัดเลือกเส้นทางที่ใช่ได้อย่างไร อาจจะคัดจากอาชีพที่คุณจะได้ใช้ทักษะที่มี สิ่งที่คุณมีจะโดดเด่นในสายอาชีพนั้น หรือถ้าคิดไม่ออก ก็พิจารณาอาชีพที่เงินดีที่สุดไว้ก่อน

2.เตรียมข้อมูลสมัครงาน

เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะไปทางไหน จะทำให้การเตรียมข้อมูลเพื่อการสมัครงานง่ายขึ้น

เริ่มแรก คือ เตรียมจดหมายสมัครงานที่เป็นเทมเพลต มีโครงสร้างที่ทำให้ปรับเปลี่ยนเติมคำในช่องว่างได้ง่าย โดยจดหมายแนะนำตัวสมัครงานควรจะระบุว่า ทำไมคุณสนใจงานนี้ และ คุณมีจุดเด่นอะไรในฐานะผู้สมัคร

ขั้นที่สองคือ อัปเดตโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียที่เป็นสาธารณะ ต้องป้องกันไว้ก่อนว่ายุคนี้ฝ่ายบุคคลมักจะ Google หาชื่อของคุณบนโลกออนไลน์ ถ้าคุณมี LinkedIn อย่าลืมอัปเดตข้อมูลอาชีพการงาน ใช้ฟังก์ชันต่างๆ ในนั้นให้เป็นประโยชน์ หากมีบัญชี Twitter ทางการของตนเอง ให้ทวีตในสิ่งที่ช่วยสร้าง ‘personal brand’ ดูเป็นคนแบบที่คุณอยากเป็น นอกจากนี้ควรจะเช็ก Facebook และ Instagram ที่สาธารณะมองเห็นว่าเป็นอย่างไร ใช้ภาพโปรไฟล์ที่เป็นปัจจุบัน มีภาพปกที่ดูดีอยู่ด้านบน

ขั้นที่สาม คือ อัปเดตประวัติสมัครงาน ประวัติทั้งหมดควรจะมีรายละเอียดความรับผิดชอบว่าทำอะไรบ้าง และใส่ความสำเร็จสำคัญๆ ลงไป โดยเฉพาะถ้าเป็นความสำเร็จที่สอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพ/ตำแหน่งที่จะสมัคร

3.สำรวจหาเส้นทางที่เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง

หลายคนไม่รู้จะไปทางไหนต่อกับการทำงาน จะไปหางานจากที่ไหน หาโอกาสใหม่ๆ ได้อย่างไร สิ่งนี้แก้ได้ด้วยการสร้างความเป็นไปได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้

  • กลับไปสานต่อความสัมพันธ์กับคนที่รู้จักจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอดีตหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน คนในวงการ อาจารย์ รุ่นพี่รุ่นน้อง ฯลฯ เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่า คุณกำลังหางานอยู่ และคุณอาจไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาก็ได้
  • สร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ในวงการที่คุณสนใจ หาโอกาสพูดคุยทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในชุมชนคนวงการอาชีพนั้นๆ ขอข้อมูลความรู้ในวงการนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งหน้าที่ บริษัทที่น่าสนใจ
  • ทดลองชิมลางงานนั้นดู การเข้าคอร์สเรียนเพื่อ upskill เตรียมตัวสำหรับงานที่สนใจ หรือไปร่วมงานสัมมนา/เสวนาของวงการ ก็เป็นอีกวิธีที่ทั้งทำให้คุณได้ทักษะ ได้สร้างเครดิตว่าเคยผ่านงานมา และยังช่วยให้ตัวเองรู้ด้วยว่าจะชอบงานนั้นไหม

การเปลี่ยนงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต การออกจาก comfort zone ไปทำงานอื่น หรือแม้กระทั่งคนที่ตัดสินใจจะออกจากงานเพื่อมาดูแลตัวเอง/ครอบครัว ออกจากงานมาเริ่มทำธุรกิจของตนเอง ทั้งหมดนี้เป็นก้าวย่างสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องถามใจตัวเองว่า พร้อมหรือยัง?

Source

 

อ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1412003
วิจัยพบ “ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” ส่งรายได้บริษัทเพิ่ม 8% ลดภาวะ ‘burn out’ ในหมู่พนักงาน https://positioningmag.com/1410937 Fri, 02 Dec 2022 08:46:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410937 วิจัยชิ้นใหม่ที่ทำการศึกษาพบว่า “ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” ประสบความสำเร็จในโครงการนำร่อง โดยทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 8% ในระยะเวลา 6 เดือนที่ทดลอง รวมถึงทำให้พนักงานเกิดภาวะ ‘burn out’ น้อยลง ลดความอ่อนเพลีย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น

องค์กรไม่แสวงหากำไรในนิวซีแลนด์ชื่อ “4 Day Week Global” เปิดเผยข้อมูลการวิจัยใหม่ซึ่งทดลองในบริษัทจำนวน 33 แห่ง รวมพนักงาน 969 คน โดยบริษัทที่เข้าร่วมกระจายกันไปใน 6 ประเทศ คือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ และแคนาดา บริษัทเหล่านี้ได้ทดลองใช้นโยบาย “ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” เป็นเวลา 6 เดือน

งานวิจัยพบว่า สัปดาห์ทำงานที่สั้นลงนั้น “สร้างความสำเร็จอย่างเด่นชัดในทุกมิติ”

“บริษัทรู้สึกพึงพอใจอย่างมากต่อประสิทธิภาพการทำงาน ผลการดำเนินงาน และประสบการณ์โดยรวม และทำให้เกือบทุกบริษัทเตรียมแผนการหรือวางนโยบายเพื่อจะจัดตารางทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์แล้ว” รายงานการวิจัยระบุ “รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการทดลอง จำนวนวันลาป่วยหรือลาหยุดของพนักงานลดลง อัตราการลาออกลดลงเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วในช่วงที่เกิด ‘Great Resignation’ (การลาออกขนานใหญ่ในโลกตะวันตก) พนักงานยังคงกระตือรือร้นในการทำงานเช่นเดิม”

ในช่วงการทดลอง รายได้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น 8.14% โดยเฉลี่ย และถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เพิ่มขึ้นถึง 37.55%

ในมุมของพนักงาน ผลดียิ่งมีความสำคัญ เพราะ 67% ของพนักงานรู้สึกว่าลดภาวะ ‘burn out’ (หมดไฟในการทำงาน) หลังทดลองทำงาน 4 วัน และเมื่อมีวันพักผ่อนเพิ่มขึ้น 1 วัน ทำให้มีเวลาออกกำลังกายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 23 นาทีต่อสัปดาห์ ปัญหาการนอนหลับของพนักงานยังลดลง 8% ด้วย

มากไปกว่านั้น แม้ว่าแต่ละสัปดาห์จะมีวันทำงานน้อยลง ผู้เข้าร่วมทดลองกลับไม่รู้สึกว่ามีภาระงานเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

ผู้เข้าร่วมทดลองยังตอบแบบสอบถามในรายงานด้วยว่า พวกเขารู้สึกว่าการมีชั่วโมงทำงานสั้นลงในแต่ละสัปดาห์ “เปรียบเสมือนได้รายได้เพิ่มขึ้น 25% ทันที” อีกรายหนึ่งกล่าวว่า “การทดลองนี้มหัศจรรย์มาก เพราะทำให้ฉันได้วันหยุดหรือเวลาหยุดเพิ่ม ด้วยบทบาทหน้าที่การงานนี้ทำให้ที่ผ่านมาไม่สามารถจะหยุดได้ง่ายๆ เมื่อมีโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะหยุดเพิ่มแบบนี้ทำให้ไลฟ์สไตล์ของฉันเปลี่ยนไปอย่างมาก”

การทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ก็ยังคงเป็นวัตรปฏิบัติหลักในสหรัฐฯ แต่บางบริษัทก็เริ่มทดลองสัปดาห์การทำงานที่สั้นลงบ้างแล้ว และบริษัทที่ทดลองก็พบว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เริ่มได้รับความสนใจจากสภาคองเกรสด้วยเช่นกัน มาร์ก ทาคาโนะ ส.ส.รัฐแคลิฟอร์เนีย เริ่มผลักดัน “กฎหมายทำงาน 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” ไปเมื่อปีก่อน และได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพแรงงาน

สำหรับบริษัทในเอเชีย แนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ยังไม่เป็นที่ยอมรับ โดย Center for Creative Leadership สำรวจผู้ประกอบการในเอเชียแปซิฟิก 2,170 ราย พบว่ามีเพียง 2% ที่ยอมรับได้กับการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ แม้แต่การให้ Work from Anywhere ได้ก็ยังเป็นแนวคิดของบริษัทส่วนน้อย ในไทยเองมีบริษัทที่ยอมรับการทำงานแบบรีโมตจากนอกบริษัทเพียง 16% เท่านั้น (อ่านข้อมูลจากการสำรวจต่อที่นี่)

Source

]]>
1410937
ทำงานกับคน Gen Z ก็เหมือนทำงานกับคนต่างชาติ ถ้ารู้วิธีทำงานด้วย ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น https://positioningmag.com/1404298 Fri, 14 Oct 2022 09:42:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404298 เมื่อคน Gen Z เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เสมือนว่าสมรภูมิรบได้เกิดขึ้นระหว่างพนักงานใหม่วัยหนุ่มสาวกับพนักงานเก่าที่อยู่มาก่อน

หัวหน้าระดับผู้จัดการเรียกคนเจนเนอเรชันนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเป็นพวก “เรื่องเยอะ” ไม่สามารถทำงานง่ายๆ ให้สำเร็จได้ ขณะเดียวกัน Gen Z ก็คอยหงุดหงิดนายจ้างที่ไม่ค่อยจะใส่ใจกับประเด็นต่างๆ เช่น สวัสดิการด้านสุขภาพจิต, รายได้ที่เท่าเทียม, ความรับผิดชอบขององค์กร หรือความหลากหลายในองค์กร

Gen Z น่าจะกำลังเผชิญอุปสรรคแบบเดียวกับที่คน Gen Y เคยเผชิญมาก่อนเมื่อครั้งที่ก้าวเท้าเข้าสู่ตลาดแรงงานแรกๆ (เหมือนว่าพนักงานรุ่นเก่าจะชอบเรียกคนรุ่นใหม่กว่าทุกรุ่นว่าเป็น “พวกขี้เกียจ”) อย่างไรก็ตาม “ลินด์ซีย์ พอลลัก” ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานที่ทำงานและอาชีพ กล่าวว่า Gen Z น่าจะต้องเผชิญความท้าทายยิ่งกว่าท่ามกลางโรคระบาดโควิด-19 และการพัฒนาวัฒนธรรมการทำงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

“ทุกคนผ่านโรคระบาดมาด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน” พอลลักให้สัมภาษณ์นิตยสาร Fortune “เราต้องมองในมุม Gen Z ว่าพวกเขาเผชิญกับโรคระบาดในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตและการงานของตน ซึ่งทำให้พวกเขาเรียกร้องการสนับสนุนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากกว่าคนรุ่นอื่น รวมถึงมีความคาดหวังที่ชัดเจนเปิดเผยยิ่งกว่า”

Gen Z ทำงาน
(Photo: Shutterstock)

ทัศนคติของ Gen Z ที่ถูกคนรุ่นเก่ากว่ามองว่า “ขี้เกียจ” หรือ “เรื่องเยอะ” จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงแค่การให้คุณค่าและวิธีการทำงานที่แตกต่างไป

พอลลักกล่าวว่า บางครั้งปัญหาก็แก้ได้ง่ายๆ แค่เพียง “ใช้เวลา” สอนคน Gen Z ในเรื่องต่างๆ ที่คนรุ่นอื่นมองว่าควรจะเป็น “สามัญสำนึก” งานเล็กน้อยบางอย่างเช่นการชวนลูกค้าคุยสัพเพเหระ หรือการเขียนอีเมลด้วยภาษาที่เป็นมืออาชีพ สิ่งเหล่านี้พนักงานที่ทำงานมาหลายปีจะทำได้โดยอัตโนมัติ แต่สำหรับเจนเนอเรชันที่เด็กที่สุดในตลาดงานขณะนี้ไม่ได้โตมากับการทำสิ่งเหล่านี้เลย และยิ่งเข้าตลาดแรงงานมาในช่วงโรคระบาดก็ยิ่งไม่ได้รับการฝึกฝน

“มันเหมือนกับคนแต่ละรุ่นนั้นมาจากคนละประเทศ คุณไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน และไม่ได้มีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกัน” พอลลักกล่าว “คุณอาจจะรู้วิธีทำงานในประเทศนี้ แต่ถ้าหัวหน้าส่งคุณไปดูไบ คุณก็คงต้องเปลี่ยนวิธีทำงานบางอย่างบ้างเพราะวัฒนธรรมแตกต่างกัน คุณอาจจะฉลาด แต่มีความแตกต่างที่ทำให้คุณต้องปรับตัวและเรียนรู้ไประหว่างทาง”

ในทำนองเดียวกัน Gen Z ก็กำลังรับภาระรับผิดชอบในรูปแบบเดียวกันนั้น

 

จูนกับ Gen Z: ขีดเส้นความคาดหวังให้ชัด และคุยให้ละเอียด

ในทางปฏิบัติแล้ว นั่นหมายความว่าใครที่ทำงานกับ Gen Z จะต้องมีความอดทนและลงลึกในรายละเอียดเมื่อสั่งงาน “คุณต้องจำไว้ว่าจะต้องสั่งงานหรือให้ข้อมูลคนในทีมว่าคุณคาดหวังให้เขาทำอะไรแน่” พอลลักกล่าว เพราะแต่ละคนมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน สามัญสำนึกของสิ่งหนึ่งๆ ไม่ได้ตรงกัน จากการเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง

เธอเล่าถึงการทำงานเมื่อเร็วๆ นี้ของเธอกับบริษัทด้านการเงินแห่งหนึ่ง ระดับบริหารมีการตำหนิว่า Gen Z ชอบเอาเปรียบนโยบายวันลาโดยได้รับค่าจ้างของบริษัท แต่เมื่อพอลลักไปศึกษากฎบริษัทแล้ว ในเนื้อความมีระบุแค่ว่า พนักงานมีสิทธิที่จะลาหยุดได้ตามความเหมาะสม

พอลลักมองว่านั่นคือสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ “นิยามคำว่า ‘เหมาะสม’ ของคุณกับของฉันอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้” เธออธิบาย “คุณต้องระบุให้ชัดว่าความคาดหวังคืออะไร กฎที่ไม่เขียนให้ชัดคือกฎที่ไม่ยุติธรรม” และคุณไม่สามารถจะทึกทักเอาเองว่าทุกคนจะเข้าใจระเบียบการทำงานได้เอง

เมื่อมาถึงประเด็นการทำงานจากบ้าน (work from home) ระดับบริหารคงไปไหนไม่รอดถ้าเอาแต่บอก Gen Z ว่าคุณทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะประสิทธิภาพการทำงานจะต่ำลง เพราะพวกเขารู้แล้วว่าทำได้ จากการที่ใครๆ ก็ทำกันมาตลอดสองปีในช่วงโรคระบาด

แทนที่จะพูดแบบนั้น การพูดคุยทำความเข้าใจกับ Gen Z อาจจะต้องลงลึก และเปลี่ยนวิธีพูด เช่น เราอยากให้พนักงานกลับมาออฟฟิศเพราะทีมจะมีการประชุมและระดมสมอง ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าเมื่อทุกคนได้มาเจอกันต่อหน้า หรืออาจจะบอกว่า เพราะวิธีนี้ทำให้เพื่อนร่วมงานได้รู้จักกันอย่างเป็นส่วนตัวมากกว่า

“เราต้องให้ความชัดเจนไปเลยว่าประโยชน์ของการทำงานแบบไฮบริดหรือมาเจอตัวจริงคืออะไร” พอลลักกล่าว

“Gen Z ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีพื้นฐานแตกต่างสิ้นเชิง พวกเขาแค่โตมาในประเทศและวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปแล้ว ดังนั้น อย่าไปมองว่า Gen Z คือคนที่แตกต่าง แต่ให้ดูว่าวัฒนธรรมของพวกเขาเป็นอย่างไรในช่วงที่เขาโตมา” พอลลักกล่าว

Source

]]>
1404298
กรณีศึกษา “จีเอเบิล” กับนโยบาย “Work from Anywhere” อะไรที่ “เวิร์กจริง” และอะไรที่ต้องปรับต่อไป https://positioningmag.com/1396315 Tue, 16 Aug 2022 06:10:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396315 วิธีการทำงานหลังผ่านพ้นโรคระบาดคือสิ่งที่หลายบริษัทต้องตัดสินใจ เพราะการทำงานแบบ “Work from Anywhere” มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่ใครจะให้น้ำหนักกับฝั่งไหนมากกว่า ในกรณีของ “จีเอเบิล” เลือกที่จะไปต่อจนสุดทางหลังลงทุนระบบทำงานจากที่ไหนก็ได้จน full-function เราจะไปคุยกับแม่ทัพของบริษัทกันดูว่า นโยบายการทำงานแบบนี้มีอะไรที่ “เวิร์กจริง” และที่ยังต้องอุดจุดอ่อนต่อไป

Positioning สัมภาษณ์พิเศษ “ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ถึงนโยบายการทำงานแบบ “Work from Anywhere” ให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ ซึ่งเป็นนโยบายที่บริษัทตั้งใจจะคงไว้หลังเริ่มใช้ในช่วงเกิดโรคระบาด COVID-19 แม้ว่าขณะนี้ความจำเป็นบังคับจะน้อยลง แต่บริษัทเห็นข้อดีที่เกิดขึ้นจึงเลือกที่จะ ‘ไปต่อ’ อย่างไรก็ตาม แม้มีข้อดีแต่ก็ต้องมีการปรับตัวกันพอสมควรทีเดียว

 

Q: ในช่วง COVID-19 บริษัทมีการลงทุนอะไรไปบ้างเพื่อให้พร้อมกับการ Work from Anywhere?

A: ต้องบอกก่อนว่า Work from Anywhere ไม่ใช่เรื่องใหม่ของเรา เพราะเราเป็นบริษัทสายเทคที่ต้องมีการทำงานจากไซต์ของลูกค้า ต้องอยู่นอกออฟฟิศกันอยู่แล้ว แต่เมื่อมี COVID-19 เราจะต้องทำงานจากข้างนอกได้แบบ full-function เพราะจะไม่มีใครได้เข้าออฟฟิศเลย

เราจึงต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มคือ เพิ่มขนาดคลาวด์ จัดระบบระเบียบ และเน้นหนักเรื่อง Cybersecurity ส่วนนี้เราลงทุนไปมากกว่า 10 ล้านบาท เพราะเป็นเรื่องสำคัญมากในฐานะที่เราเป็นบริษัทเทค และประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ต้องป้องกันแน่นหนา เมื่อมีพื้นฐานอยู่แล้วแค่มาลงทุนเพิ่มบ้างจึงทำให้เราปรับตัวได้เร็ว

จีเอเบิล Work from Anywhere

Q: ขณะนี้จีเอเบิลอนุญาตให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ทุกคนหรือเปล่า?

A: เรามีนโยบายสนับสนุน Hybrid Workplace แล้ว แต่จะแยกย่อยไปตามความเหมาะสมของตำแหน่งงาน เช่น สายดีเวลอปเปอร์ สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ 100% แต่ถ้าเป็นหน่วยงานสนับสนุน เช่น การเงิน, ฝ่ายบุคคล ยังจำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ แต่จะสลับเป็นทีม A ทีม B

Q: บริษัทเล็งเห็นข้อดีอะไรบ้างจากการทำ Hybrid Workplace?

A: หนึ่ง คือ พนักงานได้เวลาเดินทางคืนมาวันละ 2-3 ชั่วโมง เราพบว่าประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานดีขึ้นเพราะมีเวลามากขึ้น และพนักงานมีเวลาส่วนตัวเพิ่ม เป็นสถานการณ์ที่ win-win ทั้งสองฝ่าย

สอง คือ พนักงานรู้สึกว่ามีสมดุลชีวิตกับการงานดีขึ้น จากเวลาที่ได้คืนมา เขาได้นำไปใช้ทำสิ่งที่มีประโยชน์กับตัวเอง

สาม คือ ขณะนี้ COVID-19 ยังไม่จบ การมีคนในออฟฟิศน้อยลงทำให้เสี่ยงติดเชื้อในที่ทำงานน้อยลง สอดคล้องกับการทำ BCP (Business Continuity Plan) ของเรา

สี่ คือ เราสามารถลดพื้นที่ออฟฟิศได้ 50% เพราะพนักงานไม่ได้เข้ามาใช้พื้นที่พร้อมกันหมด

จีเอเบิล Work from Anywhere

Q: แน่นอนว่าการทำงานแบบ Work from Anywhere ย่อมมีข้อเสียด้วย จีเอเบิลมองเห็นอะไรบ้าง?

A: หลักๆ คือ การควบคุมตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานจะยากขึ้นสำหรับหัวหน้างาน รวมถึงมีประเด็นเรื่องการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กร โดยเฉพาะกับพนักงานใหม่ เพราะปกติถ้าเข้าออฟฟิศก็ยังได้คุยเล่นกัน พักทานข้าวเที่ยงด้วยกัน

Q: ขอถกไปทีละประเด็น จีเอเบิลแก้ปัญหากับการควบคุมการทำงานออนไลน์ได้อย่างไร?

A: กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือต้องมี ‘Trust & Ownership’ คือ บริษัทหรือหัวหน้าก็ต้องมีความเชื่อใจลูกน้องว่าจะส่งงานได้ตามเวลาไม่ว่าทำงานจากที่ไหน การเช็กงานรายวันหรือเช็กเวลาเข้าออกงานต้องมีความเหมาะสม เราจะไม่มีการให้รายงานตัววันละ 5 ครั้ง หรือให้เปิดกล้องทิ้งไว้ เพราะการจะทำงานแบบไฮบริดได้ต้องอาศัยความเชื่อใจ

[ในส่วนนี้ “ธนัชชา อรุณประเสริฐกุล” Scrum Master/ Cloud Native Application Development ของจีเอเบิล ให้ข้อมูลเพิ่มว่าทีมของเธอมีการใช้แพลตฟอร์ม ‘Gather Town’ ในการสร้างที่ทำงานเสมือนจริงในทีม ลักษณะเหมือนสร้างอวาตาร์ของเราไว้ในเกมและ online ไว้ในเวลางาน ทำให้รู้สึกเหมือน login เข้ามาทำงานอยู่ด้วยกัน และสามารถเดินไปทักทายกันได้จริง มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายกว่า]

แพลตฟอร์ม Gather Town ที่ทำให้คนทำงานมีโลกเสมือนจริง ทำงานได้ราบรื่นและใกล้ชิดกันมากขึ้น
Q: แล้วกรณีของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรหรือการรับน้องใหม่ แก้ปัญหาอย่างไร?

A: เป็นประเด็นที่เรายังต้องพัฒนา เพราะวัฒนธรรมการทำงานแบบไทยต้องยอมรับว่ามีปัจจัยเรื่องความสนิทสนม ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงานค่อนข้างสูง ฝ่ายบุคคลของเรากำลังหาวิธีกระตุ้นให้เกิดการสร้างสัมพันธ์กันโดยธรรมชาติอยู่ หลังจากพ้นช่วง COVID-19 ระบาดหนักแล้ว เราคิดว่าบริษัทจะเริ่มมีกิจกรรมต่างๆ ได้แล้ว

อีกวิธีแก้หนึ่งของเราเป็นปัญหาเฉพาะตัวของบริษัท จีเอเบิลเรามีสำนักงานใหญ่บนถนนพระราม 3 ซึ่งหากไม่มีรถส่วนตัวจะเดินทางมาค่อนข้างยาก เราจึงลงทุน Satellite Office แล้วที่อาคารจามจุรีสแควร์ ซึ่งออกแบบให้รับกับ Hybrid Workplace เน้นสิ่งแวดล้อมที่ให้คนมามีตติ้ง มาทำงานร่วมกัน

เราคิดว่าการมีออฟฟิศย่อยในทำเลที่ไปมาง่าย มีแหล่งร้านอาหาร กิจกรรมโดยรอบ น่าจะกระตุ้นให้พนักงานอยากออกมาเจอกันบ้าง คาดว่า Satellite Office นี้น่าจะเปิดใช้ได้ช่วงพฤศจิกายนปีนี้

จีเอเบิล Work from Anywhere

Q: แสดงว่าการประชุมผ่านทางออนไลน์ก็ยังไม่เพียงพอ?

A: ปกติถ้าเป็นการประชุมประจำวันอัปเดตเนื้องาน เราสามารถประชุมออนไลน์ได้ราบรื่นแล้ว แถมยังประหยัดเวลากว่าด้วยเพราะไม่ต้องเสียเวลาแม้กระทั่งย้ายห้องประชุม แต่กับการประชุมที่เป็นการ workshop หรือแชร์ไอเดีย เป็นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ประชุมประเภทนี้เราพบว่ายังต้องเจอหน้ากันจะคุยกันได้มีประสิทธิภาพมากกว่า

กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือต้องมี ‘Trust & Ownership’ คือ บริษัทหรือหัวหน้าก็ต้องมีความเชื่อใจลูกน้องว่าจะส่งงานได้ตามเวลาไม่ว่าทำงานจากที่ไหน

Q: ผลตอบรับของพนักงานเป็นอย่างไรบ้าง?

A: จากการเซอร์เวย์พบว่า 80% ของพนักงานชอบ Work from Anywhere มีอยู่ 20% ที่ไม่ชอบ ซึ่งน่าจะเกิดจากสภาพแวดล้อมที่บ้านเขาไม่เหมาะกับการทำงาน แต่เราก็จะเน้นย้ำว่าคำว่า ‘จากที่ไหนก็ได้’ แปลว่าคนที่ชอบเข้าออฟฟิศก็ยังมาออฟฟิศได้เสมอ หรือจะทำงานจากร้านกาแฟก็ได้ ตามที่เขาสะดวก

Q: หลายๆ แห่งมีปัญหาเรื่องความต่างระหว่างเจนเนอเรชันในการปรับมาทำงานออนไลน์ ที่นี่เป็นแบบนั้นไหม?

A: ก็มีบ้างเพราะ Gen X กับ Baby Boomer มีความเชื่อในวิธีทำงานที่ต่างกัน เขาจะชอบการมาออฟฟิศ และต้องการให้ทุกคนมาออฟฟิศ เพราะควบคุมงานได้ง่ายกว่า

แต่เขาก็ต้องปรับตัว เพราะเราต้องฟัง Gen Y , Gen Z ที่รับผิดชอบตัวเองได้ รับผิดชอบงานได้ เขาต้องการจะทำงานแบบไหน เพราะยุคนี้คนทำงานสายเทคหายากมากโดยเฉพาะในไทย และ ‘คน’ คือต้นทุนที่สำคัญที่สุดในธุรกิจเทคคัมปะนีแบบเราครับ

 

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ Hybrid Workplace เพิ่มเติม

]]>
1396315