ขายของออนไลน์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 22 Oct 2025 08:15:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปร่างประกาศ ‘คุมอีคอมเมิร์ซ’ เพื่อสกัด ‘ผูกขาด’ ในวันที่ตลาดถูกครองโดยมาร์เก็ตเพลสต่างชาติ https://positioningmag.com/1543839 Wed, 22 Oct 2025 07:07:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543839 สถานการณ์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย กว่าครึ่ง ครองโดย E-Marketplace ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada และ TikTok Shop จากประมาณการของ ป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pay Solutions และในฐานะอนุกรรมาธิการการพาณิชย์ วุฒิสภา คาดว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2024 รวมยอดขายจากทั้ง 3 แพลตฟอร์มมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท ได้แก่

  • Shopee: 1.6 ล้านล้านบาท (40.9%)
  • Lazada: 6.6 แสนล้านบาท (34.9%)
  • TikTok Shop: 2.8 แสนล้านบาท (24.1%)

โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่อีมาร์เก็ตเพลสเจ้าตลาดที่เคย ขาดทุนสะสมมานาน แต่หลังจากที่กลายเป็น ช่องทางหลัก ของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นช่วง ทำกำไร ของผู้เล่นเหล่านี้

อย่าง Shopee ที่เคย ขาดทุนสะสม 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ในปีที่ผ่านมามี รายได้เกือบ 5 หมื่นล้านบาท เติบโต +69% กำไร 4.6 พันล้านบาท +113.82% ดังนั้น ด้วยอัตราเร่งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2 ปี ลบการขาดทุนสะสมทั้งหมด และ Shopee ไม่ได้ทำแค่อีคอมเมิร์ซ แต่มีบริการทางการเงิน เช่น Spaylater ขายประกัน และ Food Delivery รวมแล้วมีบริษัทในกลุ่มประมาณ 9 บริษัท มีรายได้รวม 8.5 หมื่นล้านบาท

ด้าน Lazada ขาดทุนสะสม 1.3 หมื่นล้านบาท โดยปีที่ผ่านมา Lazada มี รายได้ 2.8 หมื่นล้านบาท +31.38% กำไร 836 ล้านบาท + 38.34% รวมรายได้ทั้ง 6 บริษัทในกลุ่มที่ 4.3 หมื่นล้านบาท กำไร 2.4 พันล้านบาท ด้าน TikTok Shop ปีเดียว ทำรายได้ 12,000 ล้านบาท ขาดทุน 3,600 ล้านบาท

4 ประเด็นใช้อำนาจเหนือตลาด?

ภาวุธ มองว่า E-Marketplace ต่างชาติอาจกำลัง ใช้อำนาจเหนือตลาด จาก 4 ประเด็น ได้แก่

  1. ค่าธรรมเนียม: จากที่ช่วงแรกที่แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสให้บริการฟรี แต่ปัจจุบันเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่น ซึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย ภาวุธ ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง Shopee และ Lazada มีการขึ้นค่าธรรมเนียมถึง 300% ภายในครึ่งปี ปัจจุบันค่าธรรมเนียมรวมแล้วอยู่ที่ 15-25%
  2. เลือกขนส่งเองไม่ได้: ร้านค้าไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ โดย ภาวุธ กล่าวว่า อาจมี ดีลลับ ระหว่างแพลตฟอร์มกับขนส่ง เพื่อให้บริษัทนั้น ๆ เป็นขนส่งรายเดียว ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มได้กำไรมากขึ้น
  3. ไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ซื้อกับร้านค้า: บางแพลตฟอร์มจะไม่เปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้กับร้านค้ารู้ ดังนั้น ถือเป็นการกีดกันไม่ให้ลูกค้าซื้อตรงกับร้านค้าโดยไม่ผ่านแพลตฟอร์มหรือไม่
  4.  เปลี่ยนนโยบายหรือปิดร้าน โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

นอกจากนี้ ภาวุธ มองว่า ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านการใช้อำนาจเหนือตลาด แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่กำลังทำให้ร้านค้ารายย่อยอยู่ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่คนทำธุรกิจทั่วประเทศต้องเข้า Marketplace แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังต้องเจอ ร้านจากต่างประเทศที่อาจจะทำไม่ถูกต้องถามกฎหมายไทย

“ไม่ใช่แค่ผูกขาดในตลาดอีคอมเมิร์ซ แต่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนส่ง ธนาคาร ประกัน และสื่อโฆษณา เพราะบางแพลตฟอร์มมีอีโคซิสเต็มส์ครบ” ภาวุธ กล่าว

ขึ้นค่าแพลตฟอร์มเพื่อส่วนลด จะทำรายย่อยตาย

เจตน์ โสภิตวิริยาภรณ์ เจ้าของเพจ Jade : เลือดสาดมาร์เกตติ้ง กล่าวเสริมว่า ตนทำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายกล้องติดรถยนต์ ปัจจุบันยอดขายหลักมาจาก Shopee (75%), Lazada (25%) และ TikTok (5%) ขณะที่ยอกขายผ่านเว็บไซต์ตัวเองแทบไม่มี และการขายบนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสกำลังเผชิญความท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าธรรมเนียม, การเลือกขนส่ง และการแข่งขัน

โดยเฉพาะในเรื่องของ ค่าธรรมเนียม ที่เข้าใจว่าแพลตฟอร์มเก็บไปส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็น ส่วนลดให้ลูกค้า แต่มองว่า แพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าธรรมเนียม เพื่อมาให้ส่วนลดเยอะ ๆ ก็ได้ เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการ รายย่อยตาย อยู่ได้แค่รายใหญ่ นอกจากนี้ ขนส่ง ก็เป็นอีกประเด็นที่ร้าน เลือกเองไม่ได้ อีกทั้งบางแพลตฟอร์มยัง คิดค่าส่งเป็นรายได้ของร้าน ไม่ได้แยกระหว่างยอดขายกับค่าส่ง แปลว่าฐานภาษีของร้านจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

“มันจำเป็นไหมที่ต้องให้ส่วนลดเพื่อสปอยลูกค้าขนาดนั้น ทุกครั้งที่แพลตฟอร์มให้ส่วนลดลูกค้า แล้วมาขยับค่าธรรมเนียม มันอาจจะดีกับลูกค้าในระยะสั้น แต่ตอนนี้ร้านเล็กปิดไปเยอะมาก เพราะสู้รายใหญ่ที่ลงมาขายเองไม่ไหว เพราะส่วนลดที่ลูกค้าได้ มันถูกกว่าต้นทุนราคาขายส่งที่ผมต้องเปิดบิลเป็นล้านบาท แล้วอย่างนี้รายย่อยจะอยู่อย่างไร”

สุดท้าย การ แข่งกับผู้เล่นต่างชาติ ซึ่ง เจตน์ มองว่า ผู้ประกอบการไทย สู้ไม่ได้เพราะกฎระเบียบที่ไม่เอื้อ ซึ่งส่วนนี้อาจโทษแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสไม่ได้ แต่อยากให้กฎหมายไทยมีความเข้มงวดกับสินค้าจากต่างประเทศ

“อย่างร้านที่นำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มาขาย สายไฟต้องมี มอก. ต้องโดน กสทช. ตรวจสอบ ต้องเสียภาษี แต่ร้านที่ส่งจากต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี บางทีก็เอา มอก. ปลอมมาสวม กลายเป็นว่าคนที่ทำธุรกิจแบบถูกต้อง ไม่สามารถสู้ได้ เพราะกฎระเบียบไม่ได้เอื้อให้ผู้ประกอบการไทยสู้”

สรุป ร่างประกาศคุมอีคอมเมิร์ซ

จากภาพรวมของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่สะท้อนการยึดตลาด ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ออกร่างประกาศแนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multisided Platform) ประเภทธุรกิจบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าหรือบริการ (e-Commerce)” โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (3) แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ พฤติกรรมด้านราคา และ พฤติกรรมทางการค้าอื่น

1. พฤติกรรมด้านราคา (Price Behavior)

  • ห้ามขายต่ำกว่าทุนโดยไม่มีเหตุผล: ป้องกันการทุ่มตลาดเพื่อทำลายคู่แข่ง
  • ห้ามกำหนดราคาขายเท่ากันทุกช่องทาง (Rate Parity): ผู้ขายควรมีอิสระในการตั้งราคาที่ต่างกันตามต้นทุนแต่ละช่องทาง เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกด้านราคา
  • ห้ามกำหนดราคาขายต่อ (Resale Price Maintenance): ห้ามบังคับผู้ขายให้ตั้งราคาตามที่แพลตฟอร์มกำหนด และห้ามปฏิเสธการจำหน่ายหากไม่ทำตาม
  • ห้ามเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยไม่มีเหตุผล/ไม่แจ้งล่วงหน้า: ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่น, ค่าโฆษณา, ค่าขนส่ง, ค่าโปรโมชั่น หรือค่าบริการชำระเงิน ต้องสมเหตุสมผลและมีการแจ้งล่วงหน้า

2. พฤติกรรมทางการค้าอื่น (Nonprice Behavior)

  • ห้ามกีดกันการมองเห็นและให้สิทธิพิเศษเฉพาะตน (Self-preferencing): ห้ามใช้ระบบอัลกอริทึมปิดกั้นการมองเห็นสินค้าของผู้ขายรายอื่น และห้ามเอื้อประโยชน์ให้สินค้าของตนเองหรือผู้ขายที่ตนได้ประโยชน์มากกว่า
  • ห้ามบังคับใช้บริการบางอย่าง: ห้ามบังคับให้ผู้ขายต้องใช้บริการขนส่ง (Carrier), บริการจัดการคลังสินค้า (Fulfillment) หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ของแพลตฟอร์มหรือที่แพลตฟอร์มกำหนดแต่เพียงผู้เดียว
  • ห้ามจำกัดสิทธิ (Exclusive Dealing) โดยไม่มีเหตุผล: เช่น การบังคับเข้าร่วมโปรโมชั่น, การบังคับใช้ระบบชำระเงิน (Payment), การบังคับซื้อโฆษณา หรือการปกปิดข้อมูลลูกค้า
  • ห้ามเลือกปฏิบัติ (Discrimination): ห้ามเลือกปฏิบัติในการจัดอันดับสินค้า, การแบ่งสัดส่วนคำสั่งซื้อ หรือการขนส่งพัสดุ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
  • ห้ามเอื้อประโยชน์แก่บริษัทในเครือ/ผู้ค้ารายอื่น: ห้ามนำข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลทางการค้าไปใช้ประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทในเครือ (เช่น ขายประกัน, เสนอสินเชื่อ) หรือผู้ค้ารายอื่น
  • ห้ามร่วมมือกันเพื่อลดการแข่งขัน: ห้ามแพลตฟอร์มคู่แข่งร่วมกันกระทำใด ๆ ที่มีผลเป็นการจำกัดการแข่งขัน เช่น การพร้อมใจกันขึ้นค่าธรรมเนียม
  • ห้ามกระทำที่ผิดหลักการทางธุรกิจ: ห้ามการกระทำใด ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ หรือการตลาด หรือไม่เป็นไปตามจารีตปฏิบัติธุรกิจปกติ
วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)

คาดบังคับใช้ในปีนี้

วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยว่า ร่างประกาศจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 2568 และคาดว่าจะบังคับใช้ได้ทันที ดังนั้น คาดว่าประกาศจะบังคับใช้ภายในปีนี้แน่นอน และถ้าผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 50 การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม 

โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในกรณีที่กระทำความผิดในปีแรกของการประกอบธุรกิจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม วิษณุ เชื่อว่า หลังจากที่ร่างได้บังคับใช้ ปัญหาเรื่องการบังคับเลือกขนส่งจะถูกแก้ไข แต่ในส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมการขาย อาจจะเข้าไปช่วยในเรื่องของการ ควบคุมไม่ให้ขึ้นค่าธรรมเนียมพร้อมกัน แต่ไม่สามารถไป กำหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของสำนักงาน กขค.

]]>
1543839
อยู่รอดอย่างไรในยุค ‘แม่ค้าล้นตลาด’ เพราะใคร ๆ ก็ ‘ได้ขาย’ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ ‘ขายได้’ https://positioningmag.com/1531748 Thu, 31 Jul 2025 04:44:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531748 ต้องยอมรับว่าในยุคนี้ ใคร ๆ ก็เป็น แม่ค้า-พ่อค้าออนไลน์ ได้ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ขายของได้ง่าย ๆ แค่สมัคร Affiliate marketing เท่านี้ก็ ปักตะกร้า ขายของได้แล้ว ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เกิดใหม่เต็มไปหมด คำถามคือ คนขายมีเป็นล้าน แต่กำลังซื้อมีจำกัด แบรนด์จะอยู่รอดอย่างไร

9 ล้าน จำนวนผู้ขายมืออาชีพ-สมัครเล่น

มีการคาดการณ์ว่า การซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท และในวันที่ใคร ๆ ก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ง่าย ๆ ทำให้ทุกวันนี้มี ผู้ขายเกิดใหม่ ในทุกช่องทาง ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึง Influencers, Creators ก็ขายของบนโซเชียลได้หมด 

โดยมีการคาดการณ์ว่า หากนับเฉพาะผู้ขาย มืออาชีพ จะมีจำนวนรวมกว่า 3 ล้านราย แต่ถ้ารวมผู้ขาย มือสมัครเล่น ที่มาปักตะกร้าขำ ๆ คาดว่าจะมีจำนวนแตะ 9 ล้านราย เลยทีเดียว กลับกัน จำนวนผู้ขายที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ กำลังซื้อกลับซบเซาลงต่อเนื่อง แปลว่ายุคที่ ใคร ๆ ก็ได้ขาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ขายได้

Young Asia girl selling clothes online by live streaming. selling it online live streaming Concept

ทุกแบรนด์มีภาษีเท่ากัน เพราะตลาดถูกขับเคลื่อนโดยอินฟลูฯ

คำถามคือ แบรนด์ จะอยู่รอดได้อย่างไร เมื่อผู้ซื้อมีทางเลือกมากเกินไป เพราะความท้าทายของแบรนด์ยุคนี้คือ แบรนด์ไม่ได้แข่งกันเอง แต่ต้องแข่งกับทั้ง Creator, Micro-seller และ Affiliate การแข่งขันสูงขึ้น แต่ความภักดีของลูกค้ากลับลดลง นอกจากนี้ ต้นทุนการเข้าถึงสูงขึ้น เพราะ Reach แพงขึ้น Attention สร้างยากขึ้น Conversion ต่ำลง โดยแบรนด์ใหม่ = คนก็ยังไม่รู้จัก ส่วนแบรนด์เก่า = คนคาดหวังสูง และพร้อมจะเปลี่ยนใจ

“ตอนนี้ทุกแบรนด์มีภาษีเท่ากัน เพราะการขายถูกขับเคลื่อนโดย Influencers และ affiliate marketing ลูกค้าไม่มีความภักดีกับแบรนด์ พร้อมเปลี่ยนตามการรีวิวของอินฟลูฯ” ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าว

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด

ไม่ใช่แค่ ขายให้ได้ แต่คือ ขายให้โดนใจ

ดังนั้น สิ่งที่แบรนด์ต้องตอบให้ได้ไม่ใช่แค่ ขายให้ได้ แต่คือ ขายให้โดนใจ เพราะลูกค้าในยุคนี้ ไม่ได้ซื้อของ    แต่ซื้อเหตุผล เพราะแม้จะมีทางเลือกมากมาย ผู้บริโภคกลับเลือกซื้อจาก แบรนด์ที่ตนเชื่อใจ มากกว่าแบรนด์ที่ดัง ตัดสินใจจาก ความรู้สึก ไม่ใช่แค่โปรโมชั่น เชื่อ Creator และ Community มากกว่าการโฆษณา สนใจแบรนด์ที่มีคุณค่าและจุดยืน

ดังนั้น การอยู่รอดไม่ใช่แค่ ขายเก่ง แต่ต้อง เข้าใจเก่ง คือ วาง Positioning ให้ชัด ขายให้เฉพาะคนที่ใช่ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่อินกับแบรนด์ ขายของที่มีความหมายไม่ใช่แค่ขายได้ Connection ก่อน Conversion โดยคอนเทนต์ที่จริงใจ = เครื่องมือสำคัญ มีบทสนทนา ไม่ใช่แค่ยิงโฆษณา ฟังลูกค้าให้มากเท่าที่พูดกับเขา

โดยควรเริ่มจาก กลุ่มเล็ก ๆ เช่น เจาะ Subculture, Niche หรือ Community สร้าง แฟนคลับ ไม่ใช่แค่ลูกค้า เปลี่ยนลูกค้าเป็น Brand Advocate เพื่อ ขายเหตุผล ไม่ใช่แค่สินค้า มีจุดยืนที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกค้าเชื่อ สร้าง Meaning มากกว่าแค่ Function เพราะยุคนี้ แบรนด์ที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่เพราะเสียงดังที่สุด แต่เพราะ เข้าใจลึกที่สุด

“ทำไมลูกค้า เลือกซื้อของกับอินฟลูฯ แต่ไม่ซื้อกับแบรนด์โดยตรง เพราะเขาซื้อด้วยอารมณ์มากขึ้น ดังนั้น ที่อินฟลูฯ ขายได้ไม่ใช่เพราะขายเก่ง แต่เขาเข้าใจผู้บริโภคเก่ง เข้าใจว่าแฟน ๆ ชอบอะไร ซื้อเพราะอะไร ดังนั้น ไม่ใช่ต้องตะโกนให้ดังที่สุด แต่เข้าใจลึกสุด และต้องเชื่อมโยงคุณค่าของผู้ซื้อกับสินค้าได้ดีที่สุด

]]>
1531748
เปิด 5 เมกะเทรนด์ปี 2565 ของวงการจัดหาสินค้าออนไลน์ “สินค้ากรีนๆ” ยืนหนึ่ง https://positioningmag.com/1383673 Tue, 03 May 2022 06:34:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383673
Alibaba.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ B2B ของอาลีบาบาสำหรับการค้าระดับโลก เผยเมกะเทรนด์ (Megatrend)  4 ประการเกี่ยวกับวงการจัดหาสินค้าออนไลน์ทั่วโลก โดยอิงจากการวิเคราะห์สินค้าขายดีและสินค้าใหม่บนแพลตฟอร์ม

โดยเฉลี่ยแล้ว สินค้าใหม่ๆ ถูกเพิ่มในสินค้าสี่ประเภทนี้เร็วกว่าสินค้าประเภทอื่นอย่างน้อย 5 เท่า และสินค้าที่มาแรงเหล่านี้ยังดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับสินค้าหมวดอื่น โดยในที่นี้ เราจะมาเจาะลึกกับ 4 เมกะเทรนด์ ที่เป็นโอกาสสำหรับผู้ซื้อทางธุรกิจและผู้ขาย

เมกะเทรนด์ 1 : สินค้าที่ยั่งยืน

สินค้าที่จัดอยู่ในประเภทสินค้ายั่งยืนกำลังเติบโตเร็วกว่าสินค้าประเภทอื่นๆ ตั้งแต่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และจักรยานไฟฟ้าไปจนถึงสินค้าแบบใช้แล้วทิ้ง “สีเขียว” อย่างหลอดชานอ้อย ข้อมูลที่ได้จากสัปดาห์แรกของแคมเปญ March Expo ประจำปีของ Alibaba.com ชี้ว่า ความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังพุ่งสูงขึ้น อย่างแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน แผงโซลาร์เซลล์ หรือแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน นอกจากนี้ แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดบนหลังคาบ้านก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบปีต่อปี

Photo : Shutterstock

เมกะเทรนด์ 2 : สินค้าอัจฉริยะ

สินค้าอัจฉริยะหรือที่เรียกว่าสินค้า IoT นั้น เป็นสินค้าที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและสามารถแชร์ข้อมูลได้ ซึ่งเป็นสินค้าอีกประเภทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว บน Alibaba.com มีสินค้าประเภทนี้รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์เสริมต่างๆ และอุปกรณ์ไร้สัมผัสที่เอาไว้ใช้ในสถานที่สาธารณะ เช่น ก๊อกน้ำอัตโนมัติ และโซลูชันบ้านอัจฉริยะ ตั้งแต่ระบบล็อกอัจฉริยะไปจนถึงเตียงที่ปรับระดับได้

ทั้งนี้ สินค้าอัจฉริยะที่เพิ่งจดทะเบียนลงขายบน Alibaba.com มีคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ยมากกว่าสินค้าประเภทอื่นๆ ถึง 70% ในช่วงระยะเวลาสามเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึงกุมภาพันธ์ 2565

Metaverse
Photo : Shutterstock

สินค้าอัจฉริยะดังกล่าวยังรวมไปถึงสินค้าในวงการเกมที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลเชิงลึกของ Alibaba.com การแพร่ระบาดของโควิดและการพัฒนาของเทคโนโลยี Virtual Reality ทำให้ตลาดของอุปกรณ์ที่ใช้เล่นเกมเติบโตขึ้น เช่น คีย์บอร์ดและไมโครโฟนสำหรับเล่นเกม เพราะปัจจุบันเกมถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยระบายความเครียด โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีนี้ยังสร้างความสนใจให้กับสินค้าประเภท Wearable ที่ช่วยมอนิเตอร์ไบโอเมตริกซ์และการนอนหลับอีกด้วย

เมกะเทรนด์ 3 : สินค้าสุขภาพ

แม้กระทั่งช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด ความสนใจในสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพก็เฟื่องฟูอยู่แล้ว เห็นได้ชัดจากแคมเปญ March Expo ของ Alibaba.com ที่สินค้าเพื่อสุขภาพอย่างจักรยานไฟฟ้าอเนกประสงค์ แทรมโพลีนแบบเป่าลม และเสื่อโยคะ ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยสินค้าเพื่อสุขภาพที่เพิ่งจดทะเบียนลงขายบน Alibaba.com มีคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ยมากกว่าสินค้าประเภทอื่น 2.5 เท่าในช่วงสามเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึงกุมภาพันธ์ 2565

Photo : Shutterstock

เมกะเทรนด์ 4 : สินค้าไลฟ์สไตล์

สินค้าไลฟ์สไตล์ที่จัดว่าเป็นเมกะเทรนด์นั้นคือเทรนด์การแต่งกาย ของตกแต่งบ้าน เทรนด์การแสดงออกด้านตัวตน และการใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ

ความต้องการทางธุรกิจสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์บน Alibaba.com มีแนวโน้มที่สูงขึ้น ตัวขับเคลื่อนหลักที่ช่วยให้สินค้าประเภทนี้เติบโตคือการซื้อสินค้าทางโซเชียลอย่าง Instagram โดยบริษัทต่างๆ ที่ซื้อเครื่องประดับ แว่นกันแดด หมวกชายหาด และสินค้าอื่นๆ ต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

นอกจากนี้ สินค้าหมวดไลฟ์สไตล์ที่เพิ่งจดทะเบียนลงขายบน Alibaba.com ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึงกุมภาพันธ์ 2565 นั้น มีคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ยมากกว่าสินค้าประเภทอื่นประมาณ 2.3 เท่า เทียบเท่าสินค้าเพื่อความงามที่เป็นคลีนบิวตี้ หรือสินค้าเพื่อความงามที่ใส่สารเคมีน้อยลง

Photo : Shutterstock

เทรนด์ทั่วโลกที่มีความสนใจในกิจกรรม “กลางแจ้ง” มากขึ้นรวมไปถึงการใช้จ่ายซื้ออุปกรณ์กีฬานั้น กำลังเพิ่มขึ้นในหลายๆ ประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งใน Alibaba.com ก็มีหมวดหมู่ย่อยอย่าง “call of the wild” ที่ขายสินค้าอย่างเรือคายัค กระเป๋าเป้สะพายหลังเดินป่า และหูฟังกันน้ำเช่นกัน

อุปกรณ์ทำความสะอาดอัจฉริยะก็เป็นสินค้าอีกหนึ่งประเภทที่ยังสามารถเติบโตในตลาด และยังเป็นการควบรวมเทรนด์ต่างๆ อีกด้วย เช่น เครื่องดูดฝุ่น และไม้ถูพื้นแบบ 2-in-1 ซึ่งการใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นทำให้คนลงทุนกับเครื่องมือที่ช่วยประหยัดเวลา เพื่อทำให้พื้นที่อยู่อาศัยสะอาดเรียบร้อย

อนาคตของการค้าออนไลน์แบบ B2B

นอกเหนือจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นในหมวดหมู่สินค้าดังกล่าวแล้ว Alibaba.com ยังสังเกตเห็นความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภาพรวมตลาด B2B ทั่วโลก จากผลการสำรวจของ Alibaba.com พบว่า ในเดือนธันวาคม 2564 เกือบสามในสี่ (74%) ของบริษัท SMEs ในสหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมในการตอบแบบสำรวจเห็นสัญญาณบวกของเศรษฐกิจ ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดที่มีเพียง 62% แม้จะมีความท้าทายในด้านซัพพลายเชน รวมไปถึงเงินเฟ้อและตลาดแรงงานในปัจจุบันก็ตาม

จากรายงานร่วมที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2565 โดย Alibaba.com และบริษัทวิจัย Euromonitor International กล่าวว่า ภาคธุรกิจ B2B จำเป็นต้องพึ่งช่องทางอีคอมเมิร์ซมากกว่าเดิม เพราะการระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและจำกัดการเดินทางข้ามพรมแดน นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 จำนวนธุรกิจที่เกิดขึ้นทางออนไลน์อาจเริ่มเข้ามามีพื้นที่ในธุรกิจมากขึ้น โดยคิดเป็น 32.6% ในประเทศเยอรมนี 25.3% ในประเทศสเปน 16.4% ในประเทศอิตาลี และ 16.8% ในประเทศตุรกี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญมากขึ้นของอีคอมเมิร์ซต่อตลาด B2B

]]>
1383673
‘LnwShop’ ขอสลัดภาพแพลตฟอร์มปั้น ‘เว็บขายของ’ สู่บริการ ‘ฟูลฟิลล์เมนท์’ เต็มตัว https://positioningmag.com/1380218 Mon, 04 Apr 2022 07:19:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380218 อย่างที่รู้กันว่าตลาด ‘อีคอมเมิร์ซ’ นั้นเติบโตมาโดยตลอด และยิ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่การมาของ COVID-19 แต่ปฏิเสธช่องทางหลักในการช้อปปิ้งในทุกวันนี้ก็คือ อีมาร์เก็ตเพลส และโซเชียลมีเดีย ในขณะที่ เว็บไซต์ของตัวเอง อาจไม่ใช่ช่องทางที่ทุกคนต้องมี คำถามคือ ทำไม LnwShop (เทพช้อป) ถึงยังอยู่ได้ ซึ่ง ณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข LnwShop Co-Founder ได้ออกมาเล่าถึงสิ่งที่ทำให้ LnwShop ยังอยู่ในตลาดมาถึง 11 ปี

จากข้อมูลของ ไพรซ์ซ่า พบว่าในปี 2021 ช่องทางอีคอมเมิร์ซที่มีความนิยมสุดของผู้บริโภคไทย ได้แก่

  • อีมาร์เก็ตเพลส (32%)
  • โซเชียลมีเดีย (21%)
  • บริการสั่งอาหารออนไลน์/แอปพลิเคชันครบวงจร (13%)
  • เว็บไซต์แบรนด์ (12%)
  • เว็บไซต์ห้างสรรพสินค้า (12%)
  • ร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็ก (12%)

แน่นอนว่าที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันไปเปิดร้านในอีมาร์เก็ตเพลสก็เพราะขายง่าย โดยแต่ละแพลตฟอร์มก็มีโปรโมชันกระตุ้นตลาดตลอด ส่วนโซเชียลมีเดียก็เป็นพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากอยู่แล้ว อีกทั้งยังตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าไทยที่ชอบ แชท คุยกับร้านเพื่อซื้อของ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีแพลตฟอร์มหรือช่องทางไหนจะดีที่สุด อย่างอีมาร์เก็ตเพลสในไทยไม่ได้มีรายเดียว ถ้าขายทุกแพลตฟอร์มก็ต้องบริหารจัดการเยอะ ขณะที่จำนวนร้านค้าที่ขายสินค้าเหมือน ๆ กันก็มีมหาศาล การที่จะให้ลูกค้ามาซื้อซ้ำร้านเดิมหรือจดจำชื่อแบรนด์บนอีมาร์เก็ตเพลสก็ยาก หรือการขายผ่านโซเชียลมีเดียแม้จะง่าย แต่ก็มีการปรับอัลกอริทึมใหม่ จนทำให้โพสต์ของร้านถูกลดการมองเห็นลงอย่างมาก

ส่วนข้อดีของการมี เว็บไซต์ ก็คือ ความน่าเชื่อถือ สามารถ แสดงตัวตนของแบรนด์ได้ชัดเจน สามารถ เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อใช้ประโยชน์ ได้ง่ายกว่า แถมหน้าเว็บไซต์มีโอกาสคงอยู่ใน Google Search มากกว่าอีกด้วย ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าคนไทยชอบค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า

ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ออนไลน์ แต่เป็นบริการฟูลฟิลล์เมนท์

ในช่วงแรก LnwShop เป็นเหมือน Welove Shopping หรือ Talad.Com คือ เป็นแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ออนไลน์ให้ร้านค้าที่ต้องการขายของ แต่ตั้งแต่มีโซเชียลมีเดียมีอีมาร์เก็ตเพลสเข้ามา ทำให้ผู้ที่จะเริ่มต้นขายของก็จะเริ่มกับสิ่งที่คุ้นเคย ขณะที่มองว่าเว็บไซต์เป็นเรื่องยุ่งยาก ทำให้ตอนนี้ เว็บไซต์ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่จะสร้าง

“ข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ประกอบการไม่เปิดเว็บไซต์ของตัวเองก็เพราะหน้าที่ของเว็บยังเป็นแบบ Passive หรือซื้อขายแบบต้อนรับ เช่นเดียวกับอีมาร์เก็ตเพลส แต่เพราะเขามีส่วนลดคนเลยเข้าเรื่อย ๆ ดังนั้น คนที่จะทำเว็บเองต้องมั่นใจว่ามีลูกค้า สามารถขายได้ด้วยตัวเอง”

 

ดังนั้น LnwShop ต้องการปรับภาพไม่ใช่แค่ เว็บไซต์ ที่แต่ต้องเป็นบริการ ฟูลฟิลล์เมนท์ หรือระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์ครบวงจร โดยล่าสุด ได้เปิดตัว LnwShop Pro ซึ่ง LnwShop ได้เป็นพันธมิตรกับหลาย ๆ แพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee, JD Central, Facebook Shop Instagram Shopping และ Google Shopping ในการเชื่อมต่อกับหลังบ้านให้สามารถบริหารจัดการผ่านเว็บไซต์ได้ โดยที่ข้อมูลทุกช่องทางจะเชื่อมถึงกันหมด และอัพเดทถึงกันทุกช่องทางอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, สต็อกสินค้า, การขนส่ง, การทำบัญชี และการชำระเงิน เป็นต้น

LnwShop Pro จะเหมาะกับร้านระดับองค์กรที่มียอดขายเยอะ มีหลากหลายช่องทาง เพราะนี่จะช่วยให้แบรนด์บริหารจัดการการขายได้ง่ายขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกให้ร้านค้า”

คู่แข่งเยอะ แต่อยู่ได้เพราะฟังเสียงลูกค้า

แน่นอนว่าการที่อีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมาก เพราะทุกแบรนด์ปรับตัวจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ และสิ่งที่ตามมาก็คือ คู่แข่งจากต่างประเทศ อาทิ SHOPLINE ผู้ให้บริการแบบ Total Solution ทั้งการทำเว็บไซต์และการจัดการโซเชียลคอมเมิร์ซจากฮ่องกง หรือ GoDaddy ผู้ให้บริการเว็บไซต์จากอเมริกา

ซึ่งความน่ากลัวของคู่แข่งจากต่างประเทศคือ เงินทุน ในการทำตลาด แต่ LnwShop มองว่าจุดแข็งของแพลตฟอร์มคืคือความเป็นโลคอลแบรนด์ทำให้สามารถ เข้าใจความต้องการลูกค้าได้อย่างแท้จริง และสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด

เพิ่มลูกค้า 10,000 รายใน 3 ปี

ที่ผ่านมา LnwShop เห็นการเปลี่ยนแปลงแทบในตลาดแทบจะทุกไตรมาส โดยเฉพาะ พฤติกรรมผู้บริโภค และ การตลาด ที่เปลี่ยนไป แต่ที่ LnwShop ยังสามารถทำตลาดได้ตลอด 11 ปีเป็นเพราะมีความ ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจจนปัจจุบันไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการเว็บไซต์ แต่เป็น ระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์ครบวงจร

“ที่ผ่านมาเราดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ทำให้เราเห็นปัญหาจริง ๆ ของเขา เราจึงรู้และเข้าใจว่าทิศทางของบริษัทต้องไปทางไหน และออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงใจจริง ๆ”

ปัจจุบัน LnwShop มีลูกค้ากว่า 850,000 ร้านค้า จากทุกภูมิภาค โดยภายใน 3 ปีจากนี้ LnwShop ตั้งเป้าที่จะเพิ่มลูกค้าเฉพาะส่วนของ LnwShop Pro ให้ได้ 10,000 ราย

]]>
1380218
คว้าโอกาส ตลาด ‘อีคอมเมิร์ซ’ ไทย ฉายเเววรุ่ง โตเฉลี่ยปีละ 20% คาดเเตะ 7.5 แสนล้านในปี 68 https://positioningmag.com/1349187 Mon, 30 Aug 2021 08:59:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349187 ตลาด ‘อีคอมเมิร์ซ’ ในไทย หลังโควิดฉายเเววรุ่ง ประเมินขยายตัวเฉลี่ย 20% ตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดอาจพุ่งเเตะ 7.5 แสนล้านในปี 2568 จาก 3 แสนล้านในปัจจุบัน E-marketplace เเข่งขันดุเดือดเหลือเจ้าใหญ่ไม่กี่ราย โอกาสร้านเล็กกระจายความเสี่ยง ปรับตัวรับลูกค้าเเนวใหม่ 

KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ตลาดค้าปลีกออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ในไทยหลังวิกฤตโควิด-19 จะขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปีตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากระดับ 3 แสนล้านบาท เป็น 7.5 แสนล้านบาทในปี 2568 หรือคิดเป็น 16% ของตลาดค้าปลีกรวม

โดยในปี 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยขยายตัวก้าวกระโดดถึง 80% สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาสู่ช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น ท่ามกลางข้อจำกัดการเดินทางเเละมาตรการล็อกดาวน์

สำหรับสินค้าที่มีเเนวโน้ม ‘ขยายตัวได้ดี’ จะอยู่ในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและสุขภาพ สวนทางกับยอดใช้จ่ายเพื่อการจองโรงแรมและการเดินทางท่องเที่ยวที่หดตัวลงอย่างรุนแรง 

อีคอมเมิร์ซไทย ใหญ่เบอร์ 2 อาเซียน มีปัจจัยหนุนอะไรบ้าง 

ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย แต่ในแง่มูลค่าใช้จ่ายต่อผู้ใช้ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ชี้ให้เห็นโอกาสในการเติบโตได้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นโดย 3 ปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้อีคอมเมิร์ซในไทยเเละอาเซียน สามารถเติบโตได้สูงต่อเนื่อง ได้แก่

1. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต : เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปัจจุบันที่เฉลี่ยราว 80% ของประชากร

2. การใช้โทรศัพท์มือถือและเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเข้มข้น : โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z โดยกลุ่มประเทศในอาเซียนมีจำนวนบัญชี Facebook ต่อประชากรสูงที่สุดในโลกและเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญ

3.บริการชำระเงินออนไลน์ที่แพร่หลายในอาเซียน : ไทยเป็นประเทศที่มีการใช้บริการธนาคารผ่านมือถือ (mobile banking) และการชำระเงินผ่านมือถือ (mobile payments) สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก โดยมีบริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ที่สะดวกและมีต้นทุนต่อผู้ใช้ต่ำ

เเพลตฟอร์มใหญ่ ‘คุมตลาด’ 

ธุรกิจค้าปลีกในไทย เปลี่ยนไปเป็นการซื้อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์หรือ E-marketplace มากขึ้น คิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซรวมของไทย
“โดยเป็นการแข่งขันระหว่างสองแพลตฟอร์มข้ามชาติ ได้แก่ Shopee และ Lazada ทิ้งห่างแพลตฟอร์มรายอื่น” 
ส่วนแนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจแพลตฟอร์มที่เข้มข้นเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด และเป็นฐานต่อยอดไปสู่โอกาสธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้โดยรวมแล้วแม้รายได้ของธุรกิจแพลตฟอร์มจะขยายตัวขึ้นอย่างมาก แต่ยังคงมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการร่วมอุดหนุนการขาย
KKP Research ประเมินว่า ท้ายที่สุดจะเหลือธุรกิจแพลตฟอร์มที่สามารถทำกำไรได้เพียงไม่กี่ราย และอาจมีผู้ชนะเพียงรายเดียว เช่นเดียวกับตลาดอีคอมเมิร์ซในจีนและสหรัฐฯ ที่มีกลุ่ม Alibaba และ Amazon เป็นเจ้าตลาดทิ้งห่างคู่แข่งที่เหลือ

ร้านเล็ก-ใหญ่ ต้องกระจายความเสี่ยง 

ธุรกิจค้าปลีก ที่มีหน้าร้านสามารถปรับกลยุทธ์ไปสู่ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 และขยายโอกาสการเติบโตในคราวเดียวกัน ในภาวะที่สูตรสำเร็จของธุรกิจค้าปลีกเปลี่ยนจากการมีทำเลที่ตั้งที่ใกล้แหล่งผู้บริโภค (localization) ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย (trust) และประสบการณ์หน้าร้าน (human touch) และถูกแทนที่ด้วย

1.การส่งสินค้าถึงบ้าน (home delivery)

2. คะแนนรีวิวและยอดขาย (online reputation)

3. การสอบถามและบริการผ่านการสนทนาออนไลน์ (online support) บนอีคอมเมิร์ซ 

ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีหน้าร้านควรเริ่มสร้างรอยเท้าดิจิทัล (Digital footprint) บนช่องทางและแพลตฟอร์มที่หลากหลายเพื่อเพิ่มการมองเห็น (visibility) และเพื่อกระจายความเสี่ยงหากบางแพลตฟอร์มต้องปิดตัวลง

KKP Research มองว่า ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่นห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าประเภทที่มีผู้ให้คำแนะนำ (Specialist Shops) มีข้อได้เปรียบในด้านความน่าเชื่อถือของผู้ขายเป็นทุนเดิมและมีบริการหลังการขายที่ดี สามารถนำช่องทางออนไลน์มาหลอมรวมกับหน้าร้านเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค (omnichannel experience) หรืออาจสร้างช่องทางออนไลน์แยกจากช่องทางหน้าร้าน (multichannel) และเน้นการส่งสินค้าอย่างรวดเร็วถึงบ้าน เช่น การส่งสินค้าถึงบ้านใน 3 ชั่วโมงในเขตกรุงเทพฯ

แม้ฐานลูกค้า E-commerce ของธุรกิจค้าปลีกเดิม จะมีไม่สูงนักเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรายใหญ่ แต่จำนวนผู้เข้าใช้บริการสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ธุรกิจหน้าร้านยังคงมีข้อเสียเปรียบในด้านโครงสร้างต้นทุน โดยเฉพาะค่าเช่าพื้นที่และค่าจ้างพนักงาน จึงจำเป็นต้องปิดจุดอ่อนผ่านการบริหารต้นทุนของช่องทางหน้าร้าน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรักษาอัตรากำไรในระยะต่อไป”

Photo : Shutterstock

เเนะรัฐส่งเสริม ‘โลจิสติกส์-ระบบการเงิน’ ลดขั้นตอนระหว่างแดน

การขยายตัวธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ยังส่งเสริมให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับประโยชน์ไปด้วย ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และขนส่ง (Logistics) รวมถึงโฆษณาออนไลน์

ขณะที่มีบางธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่อาศัยหน้าร้าน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการขายหรือให้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ หรือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ถูกแย่งส่วนแบ่งจากบริการส่งอาหาร (Food Delivery)

กลยุทธ์การปรับตัวไปสู่ภาวะปกติใหม่ (New Normal) จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับธุรกิจที่จะอยู่รอดต่อไป และเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตใหม่ของธุรกิจได้

KKP Research วิเคราะห์ว่า ภาครัฐสามารถมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ เพื่อยกระดับผลิตภาพในภาคบริการ สร้างงานในภาคธุรกิจใหม่ และสร้างการเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมแก่ธุรกิจรายย่อย ผ่านการส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานและลดขั้นตอนและกฎระเบียบใน 3 ด้าน ได้แก่

(1) ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพโลจิสติกส์ในประเทศ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนการจัดตั้งคลังสินค้าสมัยใหม่แบบครบวงจร (Fulfillment center)

2) สนับสนุนการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์และการจัดเก็บภาษีบนธุรกิจออนไลน์อย่างโปร่งใสและเป็นระบบ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกรรมค้าปลีกออนไลน์ในอนาคต

3) ขยายตลาดค้าปลีกออนไลน์ ให้ไปไกลกว่าตลาดในประเทศผ่านการลดขั้นตอนและกฎระเบียบระหว่างแดน เพื่อให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต 470 ล้านคนในอาเซียนได้

 

 

]]>
1349187
ขนส่งสินค้าออนไลน์สะดุด ‘โควิด’ ชั่วคราว ตลาดยังโตได้ ต้องสู้ตัดราคา-เเบกต้นทุนมากขึ้น  https://positioningmag.com/1345391 Thu, 05 Aug 2021 10:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1345391 โควิดระบาดรุนเเรงบวกมาตรการล็อกดาวน์ต่อเนื่อง กระทบภาคขนส่งสะเทือนธุรกิจขายของออนไลน์ KBANK มองเป็นปัญหาชั่วคราวต่อการจัดส่งสินค้า เเต่ภาพรวมตลาดปีนี้ ยังเติบโตได้ 7.1 หมื่นล้านเเต่จะโตน้อยลง ต้องสู้เเข่งตัดราคา-เเบกต้นทุนมากขึ้น 

ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์ หรือ Last-mile delivery เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ขยายตัวตามการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคกังวลในเรื่องของความปลอดภัยและงดทำกิจกรรมนอกบ้าน มีการปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและหันมาซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น จึงหนุนให้ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย

สะดุด เจอพนักงานติดโควิด 

เเต่จากการระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น จนทำให้ปัจจุบันมีพนักงานขนส่งสินค้าออนไลน์ของหลายบริษัทและในหลายพื้นที่ติดเชื้อโควิด โดยเฉพาะในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี อยุธยา ชลบุรี ประกอบกับการขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปอีกอย่างน้อย 14 วันในเดือนสิงหาคม 2564 (อาจมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนมาตรการอีกครั้ง) จนส่งผลให้ศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญในบางพื้นที่ รวมถึงสาขาที่รับ-ส่งสินค้าบางแห่ง ทั้งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าและนอกห้างสรรพสินค้าต้องปิดทำการชั่วคราว

“บางสาขาที่ยังคงเปิดให้บริการได้นั้น ก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ปลายทางที่นานขึ้นกว่าช่วงปกติ” 

เหล่านี้ ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์อาจได้รับผลกระทบและทำให้การจัดส่งสินค้าออนไลน์ติดขัดเป็นการชั่วคราว ประกอบกับการแข่งขันของธุรกิจที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันเรื่องราคาค่าขนส่งสินค้า

“ธุรกิจขนส่งในภาพรวมปีนี้ แม้คาดว่ารายได้จะยังคงเติบโต แต่ก็เผชิญความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ” 

shopping online

สินค้าอาหาร-ของสด กระทบหนักสุด

การจัดส่งสินค้าออนไลน์ในกลุ่มอาหาร (Food) น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าในกลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food) เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่เน่าเสียง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นที่คาดว่าผู้บริโภคน่าจะยังคงมีการวางแผนใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นในช่วงที่โควิดระบาด

แต่เมื่อขนส่งไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ หรือใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ รวมถึงยานพาหนะที่ใช้ในการจัดส่งสินค้ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เอื้อต่อการจัดเก็บหรือควบคุมคุณภาพได้นาน สินค้ามีความเน่าเสียได้ง่าย จึงทำให้ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างมาก จนผู้ประกอบการบางราย บางพื้นที่ต้องงดรับการจัดส่งสินค้าในกลุ่มนี้เป็นการชั่วคราว

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food) หรือสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ของตกแต่งบ้าน เนื่องจากยอดขายได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัว และใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้

ดังนั้น สถานการณ์ดังกล่าว ก็อาจจะกระทบต่อการจัดส่งสินค้ากลุ่มนี้ในระดับที่น้อยกว่า หรือหากมีคำสั่งซื้อมองว่าผู้บริโภคบางรายก็อาจจะรอสินค้าได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะเป็นปัญหาชั่วคราว และจากการเร่งแก้ปัญหาและการปรับตัวของผู้ประกอบการ ส่งผลให้สาขาในบางพื้นที่ที่ปิดทำการชั่วคราวเริ่มกลับมาเปิดทำการได้บ้าง แต่ยังคงต้องรอสินค้าที่นานกว่าช่วงปกติ

ขนส่งต้องสู้เเข่งตัดราคา-เเบกต้นทุนมากขึ้น 

ส่วนรายได้ของธุรกิจจัดส่งสินค้าออนไลน์ ในภาพรวมปี 2564 ยังคงขยายตัวได้จากการระบาดของโควิดที่ยังคงหนุนให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น แต่การเติบโตคาดว่าจะชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักๆ มาจากการแข่งขันด้านราคาค่าส่งสินค้า อีกทั้งยังต้องเผชิญกับต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น

แม้ว่าการระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่งสินค้าให้หยุดชะงักลงเป็นการชั่วคราวในบางพื้นที่ แต่เนื่องจากผู้บริโภคยังคงกังวลกับการออกไปใช้จ่ายหรือทำกิจกรรมนอกบ้าน การประกาศล็อกดาวน์ของภาครัฐ อีกทั้งผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ มีการอัดโปรโมชันกันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ 

“ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันที่แข่งขันกันรุนแรงจากจำนวนผู้เล่นในตลาดมากราย โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาค่าขนส่งของผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ต้องปรับตัวตาม และท้ายที่สุดหากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถแบกรับหรือบริหารจัดการต้นทุนได้ ก็อาจจะเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบากขึ้น” 

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า แม้ว่ารายได้ของธุรกิจจัดส่งสินค้าออนไลน์ (Last-mile delivery) ในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 71,800 ล้านบาท ขยายตัว 19.0% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 31.3%

แต่หากพิจารณาในส่วนของต้นทุนในการบริหารจัดการคาดว่าน่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะต้นทุนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการโควิดเพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและพนักงาน ต้นทุนจากการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น (ทดแทนพนักงานที่ติดโควิด และรองรับกับคำสั่งซื้อออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น) 

รวมถึงต้นทุนในการบริหารจัดการเส้นทางการส่งสินค้าใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมที่มีปัญหา ในขณะที่ต้องลดราคาค่าขนส่งให้ถูกลง เพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าผลประกอบการของผู้ประกอบการบางรายยังคงประสบภาวะขาดทุน

เเนะลงทุนเพื่อความปลอดภัย ให้ลูกค้ามั่นใจสั่งของ 

การเติบโตของรายได้ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์ในภาพรวมที่อัตรา 2 หลัก อาจจะไม่ได้สะท้อนถึงผลประกอบการสุทธิที่ดีขึ้นของผู้ประกอบการได้ทุกราย และเมื่อมองไปข้างหน้า ด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังไม่คลี่คลาย ความเสี่ยงต่างๆ ยังคงเกิดขึ้นได้ ก็น่าจะทำให้ต้นทุนในการบริหารจัดการโควิดของผู้ประกอบการยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยจากโรค การกระจายศูนย์กระจายสินค้าไปยังพื้นที่ศักยภาพใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงการให้บริการเรื่องของสินค้าที่ครบวงจร 

หากผู้บริโภคมีความกังวลและไม่มั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยจนทำให้มีการสำรองสินค้ามากขึ้นเพื่อลดจำนวนครั้งในการสั่งซื้อ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการจัดส่งที่น้อยลงและส่งผลต่อผลประกอบการของธุรกิจตามมา

โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดในเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุน เงินทุน และการปรับตัวที่ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ทัน ซึ่งน่าจะยังคงเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน

 

 

 

]]>
1345391
อาลีบาบา รุกตลาด ‘คลาวด์ คอมพิวติ้ง’ สู้เจ้าใหญ่ Amazon ดัน ‘ไลฟ์สด’ เจาะร้านค้าออนไลน์ทั่วโลก https://positioningmag.com/1336729 Sun, 13 Jun 2021 09:36:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1336729 อาลีบาบา’ (Alibaba) ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของจีน รุกตลาดคลาวด์ คอมพิวติ้ง’ สู้เจ้าใหญ่อย่าง Amazon ขยายบริการไลฟ์สตรีมมิ่งสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่กำลังเป็นเทรนด์ฮิต ท่ามกลางการเเข่งขันในที่ดุเดือดขึ้น

สำหรับคลาวด์ คอมพิวติ้ง’ (Cloud computing) ถูกมองว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะมาทำกำไรให้อาลีบาบาในระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ทุ่มเงินทุนเเละผลักดันให้ธุรกิจนี้ขยายเชิงรุกออกไปยังต่างประเทศ

อาลีบาบา เพิ่งประกาศแผนการเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในฟิลิปปินส์ภายในสิ้นปีนี้ และกำลังจะเปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งที่ 3 ในอินโดนีเซีย เพื่อสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเเละบริการในระดับภูมิภาค

ล่าสุดมีการออกโซลูชันใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ด้วยการเปิดตัวบริการไลฟ์สตรีมมิ่งสำหรับร้านค้าในอีคอมเมิร์ซ ให้สามารถสตรีมบนเว็บไซต์หรือเเอปพลิเคชันของตัวเองบนคลาวด์ของอาลีบาบา มีฟีเจอร์หลากหลาย เพื่อรองรับการนำเสนอสินค้า แสดงตัวหนังสือข้อความระหว่างไลฟ์ เเละเครื่องมือเพื่อนำไปสู่การซื้อขายต่างๆ

โดยเทรนด์การสตรีมมิ่งหรือไลฟ์สดได้รับความนิยมอย่างมากในจีนเเละประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ส่วนใหญ่จะเป็นไปในรูปเเบบที่มี โฮสต์ (ผู้ขาย) พูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าสามารถกดซื้อได้โดยตรงผ่านการถ่ายทอดสด

ในปี 2020 โมเดลการไลฟ์สตรีมมิ่งเพื่อขายของออนไลน์ ดึงดูดผู้ใช้ชาวจีนมากกว่า 388 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจีน 

อาลีบาบา หวังว่าบริการใหม่นี้จะสร้างความเเตกต่างจากผู้บริการคลาวด์รายอื่นของสหรัฐฯ อย่าง Microsoft และ Amazon

ตามข้อมูลของ IDC อาลีบาบานับเป็นเบอร์หนึ่งเป็นในตลาดคลาวด์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีส่วนแบ่ง 19.2% สิ้นปี 2020 จากแรงหนุนจากความนิยมในจีน ตามมาด้วยอันดับสองอย่าง Amazon ที่มีส่วนแบ่ง 10.5% เเต่ในตลาดโลกเเล้วอาลีบาบายังเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีส่วนเเบ่งเป็นอันดับ 4 เป็นรองจาก Amazon, Microsoft และ Google ตามลำดับ

ความเคลื่อนไหวของอาลีบาบาที่ขยับมาดันธุรกิจคลาวด์ครั้งนี้มีขึ้นหลัง บริษัทขาดทุนจากการดำเนินงาน 7.66 พันล้านหยวนในไตรมาส 4 ของปีการเงินล่าสุด  นับเป็นครั้งแรกที่อาลีบาบาขาดทุนจากการดำเนินงานในฐานะบริษัทมหาชน หลังรัฐบาลจีนสั่งปรับเป็นเงินกว่า 1.8 หมื่นล้านหยวนในข้อหาผูกขาดตลาดเมื่อเดือนที่ผ่านมา

การหันมาหารายได้จากธุรกิจใหม่จึงกลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญของบริษัทในปีงบประมาณปัจจุบัน ท่ามกลางการเเข่งขันในตลาดที่ดุเดือดขึ้น โดยอาลีบาบากำลังเผชิญกับคู่เเข่งที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในจีนอย่าง Huawei และ Tencent ที่เพิ่งประกาศเพิ่มลงทุนด้านคลาวด์ คอมพิวติ้งไปเมื่อเร็วๆ นี้

 

ที่มา : CNBC , technode

 

]]>
1336729
“ฟ่านเย่อปิง” สาวจีนผู้เป็น “ฟ่านปิงปิง” ตัวปลอม ขายของออนไลน์ได้คืนละครึ่งล้าน! https://positioningmag.com/1294939 Tue, 01 Sep 2020 14:59:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1294939 สาวฉายา “ฟ่านปิงปิง” ตัวปลอม สามารถทำเงินจากการขายของออนไลน์แต่ละวันสูงถึงมากกว่า 1 แสนหยวน บางคนบอกว่าแม้แต่ “ฟ่านปิงปิง” ตัวจริง ยังน่าจะทำไม่ได้เลย

สาวสวยวัย 28 ปี คนนี้สามารถทำเงินอย่างถล่มทลายจากการขายเครื่องสำอางออนไลน์ เพียงเพราะเธอหน้าตาดูคล้ายนางเอกคนดังอย่าง ฟ่านปิงปิง มีคนแซวว่าเธออาจจะทำเงินได้มากกว่า ฟ่านปิงปิง ที่ตอนนี้ถูกแบนงานเพราะปัญหาภาษีซะอีก

โดย ฟ่านปิงปิง ตัวปลอมคนนี้ชื่อว่า “เหอเจิ้งสี” และใช้ชื่อในวงการว่า “ฟ่านเย่อปิง” ซึ่งเป็นการผสมกับระหว่างชื่อ “ปิงปิง” ของนางเอกคนดัง กับฉายา “ฟ่านเย่อ” ที่แปลว่า “อาจารย์ฟ่าน” อย่างที่บรรดาทีมงาน และแฟนๆ ใช้เรียกตัวของ ฟ่านปิงปิง ข่าวบอกว่าเธออายุประมาณ 27 ปี และผ่านการทำศัลยกรรมมาหลายรอบจนหน้าตาแทบจะเหมือนนางเอกชื่อดังของจีนแผ่นดินใหญ่

ตามข่าวเธอสามารถขายของได้สูงถึงมากกว่า 1 แสนหยวน หรือ 4.5 แสนบาท ในทุกๆ คืน และทำได้ติดต่อกันมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว รวมรายได้ถึงปัจจุบันเธอน่าจะหาเงินได้มากกว่า 10 ล้านบาทไปแล้ว

มีคนแซวกันว่าเธอน่าจะหาเงินจากการขายเครื่องสำอางพวกนี้ได้มากกว่า ฟ่านปิงปิง ตัวจริงด้วยซ้ำไป โดยนางเอกสาววัย 38 ปี โดนดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องการหนีภาษี จนสุดท้ายต้องจ่ายค่าปรับ, สูญงานไปมหาศาล จนแทบจะต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่ในเวลาเดียวกันก็มีคนตำหนิ ฟ่านปิงปิง ตัวปลอมคนนี้มีพฤติกรรมเข้าข่าย “หลอกลวง” และไม่ได้มีคุณสมบัติความสามารถใดๆ นอกจากการ “ลอกเลียนใบหน้าของ ฟ่านปิงปิง” มีคนเรียกร้องถึงขั้นให้เธอคืนเงินลูกค้าที่นึกว่าเธอคือ ฟ่านปิงปิง กันเลยทีเดียว “หยุดขโมยหน้า ฟ่านปิงปิง ได้แล้ว เธอก็แค่คนโกหก” ชาวเน็ตจีนบอก

Source

]]>
1294939
Tencent เปิดตัว Minishop ให้ร้านค้าเปิดหน้าร้านออนไลน์ฟรีบน Wechat ท้าชน Alibaba เเละ JD https://positioningmag.com/1288200 Thu, 16 Jul 2020 09:53:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288200 Tencent ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน เปิดตัว Minishop ช่วยร้านค้าเปิดหน้าร้านออนไลน์บนเเอป Wechat ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ท้าชนเจ้าตลาดอีคอมเมิร์ซอย่าง Alibaba และ JD

ความเคลื่อนไหวของ Tencent ครั้งนี้เป็นไปเพื่อดึงลูกค้าเเละผู้ขายในตลาดอีคอมเมิร์ซจีนให้เข้ามาร่วมในเเพลตฟอร์ม WeChat มากขึ้น

โดย WeChat เป็นแอปพลิเคชันเเชทยอดนิยม ที่มีผู้ใช้งานมากกว่าพันล้านคน นับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวจีนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก นอกจากนี้ WeChat ยังถูกขนานนามว่าเป็น “Super-App” ด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของผู้คน เช่น ผู้ใช้สามารถซื้อเที่ยวบินและทำการชำระเงินต่างๆ ได้ด้วยแอปฯ เดียว

ก่อนหน้านี้ Tencent มีบริการอีคอมเมิร์ซบน WeChat ที่มีชื่อว่า mini-program” มาสักระยะหนึ่งเเล้ว เเต่ WeChat Minishop จะเป็นการให้ร้านค้ามาเปิดหน้าร้านโดยใช้เครื่องมือของ Tencent เเบบไม่ต้องพึ่งพานักพัฒนาซอฟต์แวร์ เเละไม่ต้องลงทุนสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง อีกทั้งยังไม่เป็นระบบรวมศูนย์แบบ JD.com หรือ Taobao ของ Alibaba

Tencent หวังว่าจะสามารถดึงดูดธุรกิจขนาดเล็กให้ออกห่างจากแพลตฟอร์มคู่เเข่งเหล่านี้ได้ ด้วยการไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม สำหรับการเปิดร้านค้าออนไลน์บน WeChat Minishop ขณะที่เเพลตฟอร์มของ Alibaba ยังมีการเก็บค่าธรรมเนียมกับผู้ขายอยู่

ข้อได้เปรียบของ WeChat คือการมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่เเละมีการใช้งานทุกวัน ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่จะนำมาพัฒนาด้านอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ยังมีบริการ WeChat Pay เพื่อชำระค่าสินค้าบนเว็บไซต์อื่นๆ เเละฟังก์ชัน “Moments” ให้ผู้ใช้สามารถโพสต์รูปภาพ วิดีโอและลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของธุรกิจได้

อย่างไรก็ตาม Tencent ยังต้องเผชิญความท้าทายในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทั้งคู่เเข่งที่มีความเเข็งเเกร่งเเละติดตลาดเเล้วอย่าง Alibaba และ JD อีกทั้งยังต้องสร้างความเชื่อมั่นกับทางการจีนว่าสินค้าปลอมต่างๆ จะไม่ได้วางขายอยู่มากมายบนเเพลตฟอร์มนี้

 

ที่มา :  CNBC

]]> 1288200 ขายออนไลน์ยุค COVID-19 ไม่ง่าย E-Market Place ต่างชาติในไทยขาดทุนต่อเนื่อง 30-40% https://positioningmag.com/1280713 Tue, 26 May 2020 11:34:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1280713 อีกมุมของการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ในไทยช่วง COVID-19 เเม้ตลาดจะขยายตัวจากพฤติกรรม New Normal ที่ผู้คนหันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการเเข่งขันสูงเเละรุนเเรง เจอความเสี่ยงจากกำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลง ต่อไปจากนี้จะเป็นความท้าทายอีกขั้นของผู้ค้าปลีกออนไลน์เเละ E-Market Place ต่างชาติ

เห็นได้ชัดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤต COVID-19 ตลอดช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคเกิดการปรับตัวและหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้นในช่วงที่มีการกักตัวและทำงานอยู่ที่บ้าน (Work from Home)

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการค้าปลีกแต่ละราย ต่างก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรุกเข้าสู่ตลาดค้าปลีกออนไลน์เพื่อหาช่องทางสร้างรายได้ ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยข้อจำกัดในเรื่องของการออกไปใช้จ่ายนอกบ้าน ความกังวลในเรื่องของสุขภาพ ส่งผลให้ตลาดค้าปลีกออนไลน์มีการขยายตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การดำเนินธุรกิจค้าปลีกภายใต้สภาวะ New Normal แม้ว่าส่วนหนึ่งจะกระตุ้นให้ตลาดค้าปลีกออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตขึ้น แต่ถึงกระนั้น ผู้ประกอบการค้าปลีกต่างก็เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ E-Market Place ต่างชาติ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบและเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น 

ภายหลังจากการเกิดวิกฤต COVID-19 ทำให้ E-Market Place ต่างชาติ ซึ่งเน้นจำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าไม่จำเป็น (Non-food) เช่น สินค้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์ไอที ของใช้ในครัวเรือน เผชิญความท้าทายและแรงกดดันรอบด้าน เช่น

  • กำลังซื้อที่ยังอ่อนแรงอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภค และคาดว่าจะยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น หรือเลือกใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น สินค้ากลุ่มฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็นกลุ่ม Non-food จึงเป็นสินค้าที่คาดว่าผู้บริโภคจะลดการใช้จ่ายลง และน่าจะได้รับผลกระทบที่มากกว่าสินค้ากลุ่มอาหาร (Food) และสินค้าอุปโภคบริโภคหรือของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน (Fast-Moving Consumer Goods: FMCG)
  • เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มสินค้า Non-food กับกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสินค้าเฉพาะ (Specialty Store) ที่มี Website หรือ Brand ของตนเอง เช่น ร้านค้าปลีกเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไอที ของใช้จำเป็นภายในบ้าน ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวได้เร็ว อีกทั้งยังอาศัยความน่าเชื่อถือของแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ควบคู่กับการจัดทำโปรโมชั่นและยกระดับคุณภาพของการให้บริการที่ดีสม่ำเสมอในการแย่งชิงกำลังซื้อของลูกค้า เช่น ลดราคาสินค้า ผ่อน 0% ที่ยาวนานขึ้น เเละยังมีการจัดส่งสินค้าฟรี รวมถึงการเอาใจใส่ลูกค้า บริการหลังการขาย มีการสื่อสารและสามารถตอบคำถามลูกค้าได้เร็ว รวมถึงการเชื่อมโยงสิทธิพิเศษต่างๆ ของลูกค้าผ่านช่องทาง Online to Offline (020) ทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายและมั่นใจมากขึ้น เป็นต้น
เหอหม่า ซูเปอร์มาร์เก็ตที่หลอมรวมออนไลน์และออฟไลน์ของ Alibaba
  • โอกาสเจาะตลาดสินค้ากลุ่มอาหาร (Food) และอุปโภคบริโภค (FMCG) ที่จำกัดลงมาก เพราะบรรดาผู้ประกอบการค้าปลีก Modern Trade อย่างพวกซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ต่างโหมเข้ามาทำการตลาดในกลุ่มสินค้านี้บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างรวดเร็ว ในระยะข้างหน้า หลังเกิดโควิด-19 สินค้ากลุ่มอาหารและอุปโภคบริโภคจะขึ้นมามีบทบาทในตลาดค้าปลีกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งการที่ผู้ประกอบการ E-Market Place ต่างชาติ ไม่สามารถขยายผลิตภัณฑ์มาครอบคลุมสินค้ากลุ่มนี้จนสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกลับถูกคู่แข่งที่สำคัญอย่างกลุ่ม Modern Trade รายใหญ่ที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 และคาดว่าผู้ประกอบการค้าปลีก Modern Trade จะยังคงเร่งปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจบนแพลตออนไลน์ชัดเจนขึ้นอีก แนวโน้มดังกล่าว ทำให้คาดว่าผู้ประกอบการค้าปลีก Modern Trade จะกลายเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทมากขึ้นในสินค้ากลุ่มนี้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ประกอบการ E-Market Place ต่างชาติ จะขยายตลาดมาครอบคลุมสินค้ากลุ่มนี้ และอาจต้องเผชิญโจทย์การแข่งขันที่หนักเพิ่มขึ้น
(Photo by Mario Tama/Getty Images)

E-Market Place ต่างชาติในไทยจะขาดทุนต่อเนื่อง 30-40%

จากปัจจัยดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่า ภายหลังจากการเกิดวิกฤต COVID-19 บทบาทของ E-Market Place ต่างชาติ ในตลาดรวมของ E-Commerce น่าจะเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่คาดว่าจะมีความได้เปรียบและมีบทบาทมากขึ้นในระยะข้างหน้า ก็อาจจะเผชิญการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น และยังต้องทำการอัดโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายบนแพลตฟอร์มของตนเอง

“คาดว่าผลประกอบการจะยังคงขาดทุนต่อเนื่อง ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงนี้ โดยผลประกอบการของ E-Market Place ต่างชาติ น่าจะยังคงขาดทุนต่อเนื่องร้อยละ 30-40 ต่อปี เมื่อเทียบกับรายได้ในปี 2563-2565 และถือเป็นการขาดทุนมาโดยตลอดเฉลี่ยร้อยละ 46 ต่อปี เมื่อเทียบกับรายได้ นับตั้งแต่ปีที่ผู้ประกอบการ E-Market Place กลุ่มดังกล่าวเริ่มเข้ามาลงทุนแพลตฟอร์มและทำตลาดค้าปลีกออนไลน์ในไทย” 

ด้านผู้ประกอบการที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Social Commerce ไม่ว่าจะเป็นรายเล็ก-รายใหญ่ รวมถึงผู้เล่นที่เดิมไม่ได้ทำธุรกิจค้าปลีก ที่ต่างก็เข้ามาเพื่อหาทางสร้างรายได้นั้น โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหม่ที่อยู่ในกลุ่มสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นรายย่อยที่เน้นขายสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เช่น อาหารพร้อมทาน อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง เครื่องดื่ม สินค้าเกษตร เช่น ผลไม้ เป็นต้น

ในระยะสั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ผลกระทบจาก COVID-19 น่าจะทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีโอกาสทำรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขายบน Social Commerce ของกลุ่มสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งถือเป็นสีสันที่เกิดขึ้นในช่วงกักตัวหรือ Work from Home มีการซื้อขาย ช่วยเหลือและอุดหนุนกันภายในกลุ่มพี่น้องร่วมสถาบัน หรือแม้แต่การช่วยเหลือและอุดหนุนสินค้าของกลุ่มเกษตรกรที่เกิดขึ้นในระยะสั้น

ในระยะกลางถึงยาว ผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้ น่าจะต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้นจากคู่แข่งที่มีจำนวนมากราย บวกกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีจำกัด หากสินค้าและบริการไม่แตกต่างหรือปรับตัวไม่ทันตามความต้องการของผู้บริโภค ก็จะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและยากลำบาก โดยผู้ประกอบการที่สร้างรายได้สุทธิไม่เพียงพอหรือไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้เล่นรายย่อย สุดท้ายอาจต้องออกจากธุรกิจไป

ทั้งนี้ แม้ว่าส่วนหนึ่งปัจจัยทางด้าน COVID-19 จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดค้าปลีกออนไลน์โตขึ้นจากการเข้าสู่สภาวะ New Normal แต่อีกส่วนหนึ่งก็กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัว และคาดว่าจะไม่กลับมาฟื้นตัวได้เร็วนัก จึงทำให้ผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและประหยัด เพราะไม่มั่นใจรายได้ของตนเองในอนาคต

ค้าปลีกออนไลน์ โตเเต่ชะลอตัว 

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่า ตลาดค้าปลีกออนไลน์ B2C E-Commerce (เฉพาะสินค้า) ในปี 2563 แม้ว่าจะยังคงขยายตัวราวร้อยละ 8-10 แต่ก็เป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขยายตัวราวร้อยละ 20 หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 3.0-3.2 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.7 ของมูลค่าตลาดค้าปลีกรวม

โดยกลุ่มสินค้าอาหารและของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน น่าจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากสภาวะ New Normal ส่วนสินค้าที่ไม่จำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างกลุ่มแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า น่าจะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง และคงใช้เวลาในการฟื้นตัวที่นานกว่าสินค้ากลุ่มอาหารและของใช้จำเป็น

 

“ภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เข้าสู่สภาวะ New Normal ผู้ประกอบการค้าปลีกทุกรายจะเผชิญความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ E-Commerce ที่ยากลำบากขึ้น และอาจจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าที่คาดในการกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว ให้สามารถตอบโจทย์หรือสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้” 

]]>
1280713