คอนเสิร์ต – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Oct 2024 04:29:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “อิมแพ็ค” แย้มสนใจเปิดโรงแรมเพิ่ม 1,000 ห้อง เทรนด์อีเวนต์กลับมา – คิวคอนเสิร์ตเต็มเอี้ยดทั้งปี’68! https://positioningmag.com/1496548 Wed, 30 Oct 2024 12:25:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496548
  • “พอลล์ กาญจนพาสน์” เผยปีหน้าลุ้นขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองรีท หมุนเงินลงทุนโรงแรมแห่งที่ 3 เพิ่ม 1,000 ห้องใน อิมแพ็ค เมืองทองธานี เน้นระดับ 5 ดาวตอบโจทย์แขกวีไอพี
  • ปี 2567 เทรนด์อีเวนต์กลุ่มคอนเสิร์ตและอินเซนทีฟพุ่งทะยาน เหลือกลุ่มจัดประชุมและนิทรรศการยังรอฟื้น ภาพรวมรายได้กลับมาใกล้เคียงก่อนโควิด-19
  • ปี 2568 สัญญาณบวกงานคอนเสิร์ตจองคิว อิมแพ็ค อารีน่าเต็มยาวถึงสิ้นปีแล้ว
  • การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขั้นต่อไปภายใต้วิสัยทัศน์ของ “พอลล์ กาญจนพาสน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ไม่ใช่การสร้างฮอลล์จัดงานเพิ่ม แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการมาจัดงานอีเวนต์นั่นคือ “โรงแรม”

    ปัจจุบันในเมืองทองธานีบริเวณใกล้สถานที่แสดงสินค้าของอิมแพ็คมีโรงแรม 2 แห่งหลัก คือ ไอบิส กรุงเทพ อิมแพ็ค กับ โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค พอลล์ระบุว่าทั้ง 2 แห่งรวมกันมีจำนวนห้องพักประมาณ 1,000 ห้อง ซึ่งปรากฏว่าไม่เพียงพอแล้วในวันนี้

    “exhibitor พูดมาเยอะมากว่าอยากให้เรามีโรงแรม 5 ดาวในบริเวณ เพราะแขกผู้ที่จะมาร่วมงานของเขามีเงื่อนไขว่าจะต้องพัก 5 ดาว” พอลล์กล่าวถึงช่องว่างที่ต้องการจะอุดให้อิมแพ็คเป็นสถานที่จัดงานที่สมบูรณ์แบบ “รวมถึงจำนวนห้องพักก็ไม่พอ exhibitor หลายรายบอกว่า ขอห้องพักรอบๆ ขั้นต่ำ 2,000 ห้อง ถ้าเรามีให้ไม่พอ เขาก็ตัดเราออกจากตัวเลือกเลย”

    โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค (Photo: Facebook@NovotelIMPACT)

    ทำให้ปี 2568 นี้อิมแพ็คมีแนวทางว่าอาจจะมีการขายโรงแรมทั้งไอบิสและโนโวเทลเข้ากองทรัสต์ IMPACT GROWTH REIT เพื่อนำเงินมาใช้ในการลงทุนโรงแรมแห่งใหม่ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องใช้เงินลงทุนราว 4,000 ล้านบาทขึ้นไป หากต้องการมีโรงแรม 5 ดาวเพิ่ม 1,000 ห้องในเมืองทองธานี

    “จริงๆ การมีโรงแรมเพิ่มจะดีกับทั้งเมืองทองธานี เพราะอิมแพ็คก็มีโอกาสได้รายได้ค่าเช่าเพิ่มจากจำนวนงานที่เพิ่มมากขึ้น และแขกที่พักโรงแรมก็มีโอกาสจะมาใช้จ่ายกับร้านค้าต่างๆ แถวอิมแพ็ค” พอลล์กล่าว

    ทั้งนี้ หากมีนักลงทุนรายใดสนใจที่จะร่วมพาร์ทเนอร์กับอิมแพ็คเพื่อก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ดังกล่าวก็ไม่ขัดข้อง เปิดรับเจรจาทุกดีล

     

    ปี’67 ธุรกิจอีเวนต์กลับมาใกล้เคียงก่อนโควิด-19

    ด้านภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ปี 2567 สำหรับอิมแพ็คแล้วพอลล์กล่าวว่ากลับมาฟื้นตัวใกล้เคียงกับก่อนโควิด-19 โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มที่มีทั้งเติบโตมากกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ได้แก่

    • กลุ่มคอนเสิร์ตคาดการณ์รายได้ปีนี้ 380 ล้านบาท เติบโตเกือบ 70% จากปี 2562 ถือเป็นปีที่การจัดแสดงทางดนตรีเฟื่องฟูอย่างมาก
    • กลุ่มอินเซนทีฟ (เลี้ยงลูกค้าหรือพนักงาน) – คาดการณ์รายได้ปีนี้ 250 ล้านบาท เติบโต 103% จากปี 2562 เป็นธุรกิจที่เติบโตดีมากในปีนี้ สามารถดึงลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามาได้มาก
    • กลุ่มจัดประชุมสัมมนา รายได้ยังเติบโตได้ไม่เท่ากับปี 2562 อยู่ระหว่างร่วมมือกับภาครัฐเพื่อดึงงานประชุมสัมมนาจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น
    • กลุ่มจัดนิทรรศการและแสดงสินค้าถือเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะต้องรออีกราว 18 เดือนจึงจะฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจร่วมกับค่าเงินบาททำให้การดึงการจัดงานเข้าสู่เมืองไทยทำได้ยากขึ้น ประกอบกับ exhibitor หลายรายปิดตัวไปตั้งแต่เกิดโควิด-19

    อิมแพ็ค

    หากวัดตามฐานลูกค้ามาจากแหล่งใดนั้น อิมแพ็คให้ข้อมูลไว้ว่าเมื่อรอบปีบัญชีก่อน (1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2567) อิมแพ็คมีสัดส่วนงานจากภาคเอกชน 57% จากรัฐบาล 21% และจากผู้จัดต่างประเทศ 22%

     

    สัญญาณดีคอนเสิร์ตจองเต็มทั้งปี’68

    ขณะที่สัญญาณธุรกิจอีเวนต์ปีหน้า พอลล์กล่าวว่าในกลุ่มคอนเสิร์ตเป็นไปในเชิงบวกมาก ปัจจุบันอิมแพ็ค อารีน่ามีคิวจองเต็มตลอดทั้งปี 2568 เรียบร้อยแล้ว

    อิมแพ็ค

    ส่วนกลุ่มอื่นๆ นั้นอิมแพ็คมีกลยุทธ์ “หากลุ่มเป้าหมายใหม่” 2 กลุ่มที่จะช่วยดึงการจัดงานเข้ามาได้มากขึ้น คือ

    1.กลุ่มตลาด “จีน”

    เนื่องจากจีนถือเป็นตลาดใหญ่ มีโอกาสที่จะดึงทั้งกลุ่มจัดแสดงสินค้าและอินเซนทีฟเข้ามาไทยได้จำนวนมาก และประเทศจีนเริ่มเปิดให้คนเดินทางออกนอกประเทศได้มากขึ้น จากปี 2567 มีกลุ่มอีเวนต์จากประเทศจีนเข้ามาเช่าจัดแสดงคิดเป็นรายได้กว่า 100 ล้านบาท คาดว่าปี 2568 น่าจะดันขึ้นไปถึง 200-250 ล้านบาทได้ โดยอิมแพ็คมีการจัดทีมเซลส์สำหรับเจาะตลาดจีนโดยเฉพาะ เพื่อสร้างโปรไฟล์ให้ exhibitor ชาวจีนรู้จักอิมแพ็คมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มต่างประเทศอื่นๆ ที่ถือว่าน่าสนใจสำหรับอิมแพ็คและมีการจัดเซลส์เข้าไปเจาะตลาดด้วยเช่นกัน เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ เวียดนาม เป็นต้น

    2.กลุ่มลูกค้าใหม่ – อินฟลูเอนเซอร์และสื่อ

    สมัยก่อนนี้การจัดงานอีเวนต์ต่างๆ มักจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย exhibitor มืออาชีพเป็นหลัก แต่ระยะหลังมีเทรนด์ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่หันมาเป็นผู้จัดกันมากขึ้น คือ “อินฟลูเอนเซอร์และสื่อ” โดยมักจะจัดงานที่สอดคล้องกับสิ่งที่สื่อของตนสื่อสารและมีกลุ่มลูกค้าของตนเองอยู่แล้ว เช่น ปีนี้มีการจัดงาน Restech 2024 ที่จัดโดย TORPENGUIN ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ทำให้อิมแพ็คมองเห็นว่าลูกค้าจัดงานในกลุ่มนี้จะเป็น ‘New S-Curve’ ได้ จึงมีแนวคิดจะจัดเป็นแพ็กเกจราคาเฉพาะกลุ่มที่ทำให้อินฟลูฯ สามารถขึ้นงานอีเวนต์ใหม่ได้ง่ายขึ้น มีโอกาสโตไปด้วยกันมากขึ้น

    บรรยากาศจากงาน Restech 2024 (Photo: Facebook@Restechthailand)

    พอลล์ยังมองด้วยว่าปี 2568 อิมแพ็ค เมืองทองธานี น่าจะได้แรงบวกหลักจาก “รถไฟฟ้าสายสีชมพู” ส่วนต่อขยาย 2 สถานีเข้าสู่เมืองทองธานี ซึ่งคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการภายในไตรมาส 2/2568 ขณะที่การก่อสร้างโครงการ Sky Entrance ทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสู่อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์นั้นคืบหน้าไป 62.6% คาดจะเสร็จรอการมาถึงของรถไฟฟ้าได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568

    อิมแพ็ค เมืองทองธานีนั้นถือเป็นสถานที่จัดแสดงสินค้าและการประชุมที่ใหญ่ที่สุดและมีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดหากวัดตามขนาดพื้นที่เช่า โดยคิดเป็น 50% ของตลาดพื้นที่จัดงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล แต่ถ้าเทียบกับสถานที่จัดงานแห่งอื่นอาจจะยังเสียเปรียบในเรื่องขนส่งมวลชน เพราะสถานที่ที่เป็น ‘คู่แข่ง’ อื่นๆ ได้แก่ ไบเทค บางนา, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และพารากอน ฮอลล์ ล้วนเข้าถึงได้ด้วยรถไฟฟ้าแล้วทั้งหมด ดังนั้น การมาถึงของส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่อิมแพ็คน่าจะเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับพื้นที่

    อิมแพ็คให้ข้อมูลด้วยว่าอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยรวมขณะนี้ (ณ เดือนเมษายนมิถุนายน 2567) อยู่ที่ 50% ซึ่งพอลล์มองว่าหากสามารถดันอัตราเช่าให้ขึ้นไปถึง 60% ได้จะถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

    ]]>
    1496548
    Live Nation โดนผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ฟ้องร้องคดีกลุ่ม จากพฤติกรรมผูกขาด เรียกค่าเสียหายรวม 183,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1475105 Mon, 27 May 2024 02:09:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475105 ไลฟ์เนชั่น (Live Nation) ล่าสุดโดนผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ฟ้องร้องคดีกลุ่ม เรียกค่าเสียหายรวม 183,000 ล้านบาท จากกรณีที่บริษัทพยายามผูกขาดการควบคุมอุตสาหกรรมการจัดแสดงคอนเสิร์ต คุกคามเจ้าของสถานที่จัดงานซึ่งอาจใช้โปรโมเตอร์ที่เป็นคู่แข่งของบริษัท และพยายามกีดกันโปรโมเตอร์กับคู่แข่งให้ออกจากการแข่งขันดังกล่าว

    สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Live Nation รวมถึงธุรกิจภายใต้เครือบริษัทอย่าง Ticketmaster ล่าสุดนั้นมีผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ได้ฟ้องร้องคดีกลุ่ม โดยเรียกร้องค่าเสียหายรวมกันมากถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 183,000 ล้านบาท

    สาเหตุสำคัญของคดีฟ้องร้องกลุ่มคือ Live Nation พยายามผูกขาดการควบคุมอุตสาหกรรมการจัดแสดงคอนเสิร์ต คุกคามเจ้าของสถานที่จัดงานซึ่งอาจใช้โปรโมเตอร์ที่เป็นคู่แข่งของบริษัท และพยายามกีดกันโปรโมเตอร์กับคู่แข่งให้ออกจากการแข่งขันดังกล่าว

    ในเอกสารในการฟ้องร้องยังชี้ว่า Ticketmaster ยังครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70-80% ในการจัดจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตตามสถานที่จัดแสดงขนาดใหญ่ ทำให้ Live Nation และ Ticketmaster มีบทบาทมากเกินไปจนสามารถควบคุมในเรื่องธุรกิจการจัดคอนเสิร์ต หรือแม้แต่การจัดเทศกาลดนตรี ไปจนถึงการกดดันให้สถานที่จัดคอนเสิร์ตใช้บริการขายตั๋วจากบริษัทได้

    การฟ้องร้องดังกล่าวยังชี้ถึงพฤติกรรมของ Live Nation ในการตั้งค่าธรรมเนียมที่สูง ซึ่งส่งผลทำให้ตั๋วคอนเสิร์ตมีราคาแพงมากขึ้น หรือแม้แต่การซื้อตั๋วคอนเสิร์ตต่อจากผู้อื่นนั้นมีราคาแพงเกินไป ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ต้องการดูคอนเสิร์ต

    กรณีการฟ้องร้องดังกล่าวตามหลังมาจากอัยการ 30 มลรัฐและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้ฟ้องร้อง Live Nation เพื่อที่จะแยกบริษัทออกจากัน โดยให้เหตุผลเนื่องจากทาง Live Nation นั้นเป็นโปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ตตามสถานที่แสดงต่างๆ เป็นสัดส่วนมากถึง 60% ในสหรัฐอเมริกา

    มีความเป็นไปได้ว่า กรณีการฟ้องร้องคดีดังกล่าวกับ Live Nation และ Ticketmaster นั้นจะยิ่งเร่งให้คดีความดังกล่าวต้องมีการตัดสินคดีดังกล่าวไวขึ้นกว่าเดิมด้วย

    ]]>
    1475105
    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้อง Live Nation ให้แยกธุรกิจออกมา สาเหตุทำตั๋วคอนเสิร์ตแพงกระทบทั้งศิลปินและผู้ชม https://positioningmag.com/1474926 Fri, 24 May 2024 02:34:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474926 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และอัยการ 30 มลรัฐ ได้ฟ้อง Live Nation ให้แยกธุรกิจออกมา เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีอำนาจทางการตลาดในธุรกิจการจัดคอนเสิร์ตหรือแม้แต่มิวสิคเฟสติวัล ไปจนถึงช่องทางการจำหน่ายตั๋ว จนกินส่วนแบ่งการตลาดมากเกินไป

    กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ และอัยการ 30 มลรัฐ ได้ยื่นฟ้องโปรโมเตอร์คอนเสิร์ตชื่อดังอย่าง Live Nation ให้แยกกิจการไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการเป็นโปรโมเตอร์คอนเสิร์ตและธุรกิจในการเป็นผู้จัดจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตและงานมิวสิคเฟสติวัลออกจากกัน

    Merrick Garland อัยการของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า “ได้เวลาที่จะต้องแยกกิจการของ Live Nation ออกจากกัน”

    ในเอกสาร 128 หน้าเหล่าอัยการได้ยื่นต่อศาลแขวงประจำเขตตอนใต้ของนิวยอร์ก ได้กล่าวถึง Live Nation ได้ขัดขวางการแข่งขันอย่างผิดกฎหมาย และสร้างภาระแก่ผู้บริโภคอย่างไม่เหมาะสม และบริษัทยังเป็นเจ้าของ Ticketmaster แพลตฟอร์มขายตั๋วคอนเสิร์ตและงานมิวสิคเฟสติวัล ซึ่งถือว่ามีส่วนในการควบคุมตลาดมากเกินไป

    นอกจากนี้ในเอกสารดังกล่าวยังชี้ว่า Live Nation นั้นเป็นโปรโมเตอร์จัดคอนเสิร์ตตามสถานที่แสดงต่างๆ เป็นสัดส่วนมากถึง 60% ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Ticketmaster ยังครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 80% ในการจัดจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตตามสถานที่จัดแสดงขนาดใหญ่

    เหล่าอัยการที่ได้ยื่นฟ้อง Live Nation มองว่าบริษัทนั้นมีบทบาทมากเกินไปจนสามารถควบคุมในเรื่องธุรกิจการจัดคอนเสิร์ต หรือแม้แต่การจัดเทศกาลดนตรี ไปจนถึงการกดดันให้สถานที่จัดคอนเสิร์ตใช้บริการขายตั๋วจากบริษัท เพราะไม่งั้นแล้วอาจสูญเสียแฟนเพลงหรือสูญเสียรายได้

    สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สถานที่จัดคอนเสิร์ตนั้นไม่มีโปรโมเตอร์เจ้าใหม่ หรือแม้แต่แฟนเพลงที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นจากบริการของ Live Nation รวมถึง Ticketmaster ขณะที่โปรโมเตอร์รายเล็กในประเทศแคนาดารายหนึ่งเองก็ได้รับแรงกดดันจากเรื่องนี้เช่นกัน

    กรณีสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มจับตามอง Live Nation คือกรณีในการจัดจำหน่ายตั๋วคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดตามเมืองต่างๆ ซึ่งแฟนคลับหลายรายได้บ่นถึงราคาตั๋วที่เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่ประสบการณ์การเข้าซื้อตั๋วผ่านแพลตฟอร์มของ Ticketmaster กลับย่ำแย่กว่าที่คาด

    อย่างไรก็ดีในฝั่งของ Live Nation ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า การฟ้องร้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาตั๋วคอนเสิร์ตแพงได้ และบริษัทมองว่าการแข่งขันในธุรกิจดังกล่าวนั้นเพิ่มมากขึ้น

    การดำเนินการทางกฎหมายดังกล่าวถือการตอกย้ำแนวทางเชิงรุกที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้นำมาใช้ เนื่องจากต้องการสร้างการแข่งขันที่มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ไล่ตั้งแต่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปจนถึงธุรกิจการดูแลสุขภาพหรือแม้แต่ธุรกิจความบันเทิงอย่างเช่นกรณีของ Live Nation

    ที่มา – CBS News, ABC, BBC, CBC

    ]]>
    1474926
    แข่งเป็นเมืองแห่งอีเวนต์! “ฮ่องกง” วางแผนดึง “ศิลปิน” ระดับโลกจัด “คอนเสิร์ต” กระตุ้นเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1460319 Thu, 25 Jan 2024 12:40:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460319 “จอห์น ลี” (ลี กาจิว) ผู้นำสูงสุดของฮ่องกง ประกาศนโยบายดึง “ศิลปิน” ระดับโลก เช่น เทย์เลอร์ สวิฟต์ เข้ามาจัด “คอนเสิร์ต” บนเกาะเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แข่งขันกับเมืองหลักอื่นๆ ของเอเชียให้ได้

    สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า จอห์น ลี ผู้นำสูงสุดของฮ่องกง ให้คำมั่นว่าจะนำซูเปอร์สตาร์ระดับโลกมาจัดการแสดงบนเกาะฮ่องกงให้ได้ แต่ยอมรับว่าการเชิญชวนศิลปินมาจัดคอนเสิร์ตนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมาก “เหมือนชวนใครสักคนออกเดต”

    โดยจะมีการทำงานผ่านคณะกรรมการด้านการท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนใ ‘one-stop shop’ ให้กลุ่มออร์กาไนเซอร์คอนเสิร์ตสามารถผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้ง่ายที่สุด ทำให้ฮ่องกงมีเสน่ห์ดึงดูดการจัดอีเวนต์มากขึ้น

    ไม่เฉพาะการดึงดูดคอนเสิร์ตของซูเปอร์สตาร์เท่านั้น ฮ่องกงยังต้องการดึงดูดอีเวนต์ระดับโลกทุกประเภทให้มาจัดบนเกาะ

    “เราจะต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ แต่ก็เหมือนการขอใครสักคนออกเดต” ลีกล่าว “ผมโทรฯ ไปหาเขาได้อยู่แล้ว แต่ก่อนอื่นต้องขึ้นอยู่กับเขาด้วยว่ามีเวลาจะคุยกับผมไหม และการมาจัดงานที่ฮ่องกงจะใส่เข้าไปในแผนของเขาได้หรือเปล่า”

    ลีมองว่าการสร้างความสำเร็จของรัฐในประเด็นนี้ จะต้องอาศัยส่วนผสมของ “จังหวะเวลา สถานที่ และคน” ที่ถูกต้อง

    เรจิน่า อิป ที่ปรึกษาคนสำคัญของรัฐบาลฮ่องกง เคยวิจารณ์ภาครัฐไว้ก่อนหน้านี้ที่ไม่สามารถดึงซูเปอร์สตาร์อย่าง “เทย์เลอร์ สวิฟต์” มาจัดคอนเสิร์ตในฮ่องกงได้ โดยสวิฟต์มีการจัดเวิลด์ทัวร์ 2024 ในเอเชีย แต่เธอเลือกจัดแสดงเพียง 2 ประเทศเท่านั้น คือ ญี่ปุ่น กับ สิงคโปร์

    นอกจากสวิฟต์แล้ว อีกหนึ่งศิลปินดังระดับโลกที่มีทัวร์คอนเสิร์ตในเอเชียปีนี้อย่าง “Coldplay” ก็เลือกจัดแสดงเพียง 2 ประเทศเช่นกัน คือ สิงคโปร์ กับ ไทย ไม่มีแผนการจัดแสดงบนเกาะฮ่องกง

    จอห์น ลี (ลี กาจิว) ผู้นำสูงสุดของฮ่องกง (Photo: Shutterstock)

    ฮ่องกงจึงตื่นตัวมากในการดึงอีเวนต์ระดับโลกให้เข้ามามากขึ้น เพราะต้องการใช้อีเวนต์เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภายในได้สองต่อคือทั้งการจัดอีเวนต์และการท่องเที่ยว

    ระหว่างการหารือของภาครัฐ ซันนี่ ถัน ประธานสภาการสร้างประสิทธิผลแห่งฮ่องกง คือผู้เรียกร้องถึงรัฐบาลว่าควรจะมีการสร้าง “สถานที่” จัดคอนเสิร์ตหรืออีเวนต์ใหญ่ๆ ที่เหมาะสม โดยกล่าวเปรียบเทียบถึง “Opera House” ของซิดนีย์ ที่สามารถเป็นทั้งจุดจัดงานสำคัญและแลนด์มาร์กของเมืองได้

    จอห์น ลีตอบเห็นด้วยว่าฮ่องกงควรจะมีสถานที่จัดงานที่ดีกว่านี้และมากกว่านี้ พร้อมเสนอแผนงานว่าจะมีการจัดสร้างสถานที่จัดอีเวนต์ให้มากขึ้นอีก 40% จากที่มีอยู่เดิม แต่จะต้องใช้เวลากว่าจะไปถึงจุดนั้นได้

    ลียังเชิญชวนให้ภาคธุรกิจต่างๆ เข้าร่วมรวมกำลังกันเพื่อผลักดัน “เศรษฐกิจอภิมหาอีเวนต์” ให้เกิดขึ้นจริงบนเกาะฮ่องกง

    “เพื่อฟื้นชีวิตชีวาให้กับเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับการจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ บทบาทของภาครัฐคือการเป็นโปรดิวเซอร์และคนเขียนบท” ลีกล่าว “แต่ออร์กาไนเซอร์และภาคธุรกิจต่างๆ ต้องเล่นตามบทบาทที่เขียนไว้ด้วย รวมไปถึงผู้บริหารและพนักงานในธุรกิจท่องเที่ยว เคเทอริ่ง และอุตสาหกรรมรีเทล”

    เขากล่าวด้วยว่าตลาดเองก็ต้องมีสินค้าใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวและทำให้นักเดินทางต้องการอยู่เที่ยวต่อ รวมถึงกระตุ้นให้คนท้องถิ่นเองต้องการออกมาใช้จ่ายในเศรษฐกิจช่วงกลางคืนด้วย

    “ผมเชื่อว่าผู้บริหารและพนักงานในฮ่องกงมีความสามารถ พวกเขาจะแสดงถึงองค์ประกอบที่สามารถสร้างความภาคภูมิใจและความสำเร็จให้กับฮ่องกงได้อีกครั้ง” ลีกล่าว

    Source

    ]]>
    1460319
    ปรากฏการณ์ Taylor Swift ส่งผลให้ UOB ได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 89% ในไตรมาสที่ผ่านมา https://positioningmag.com/1449401 Thu, 26 Oct 2023 10:20:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449401 คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดในประเทศสิงคโปร์ ได้สร้างผลดีกับสถาบันการเงินอย่าง UOB เมื่อรายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 89% ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากเหล่าแฟนคลับแห่กันสมัครและใช้งานบัตรเครดิตเพื่อที่จะจองตั๋วคอนเสิร์ต

    สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า UOB สถาบันการเงินในสิงคโปร์ ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยรายได้ค่าธรรมเนียมของบัตรเครดิตของสถาบันการเงินรายดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากถึง 89% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา และยังทำสถิติใหม่ด้วย

    ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตของ UOB เพิ่มมากขึ้นก็คือ ผลจากปรากฏการณ์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดในประเทศสิงคโปร์ ทำให้เหล่าแฟนคลับแห่กันสมัครบัตรเครดิตในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากสิทธิพิเศษของผู้ถือบัตรคือสามารถที่จะจองตั๋วคอนเสิร์ตได้ก่อนใคร

    ปกติแล้วรายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วน 10% ของรายได้รวมทั้งหมดของ UOB แต่ปรากฏการณ์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่จัดในประเทศสิงคโปร์ส่งผลทำให้ไตรมาสที่ผ่านมารายได้นั้นทะลุเป้าเกือบ 20% ของรายได้รวมทั้งหมด

    ไม่ใช่แค่ Taylor Swift เท่านั้น ล่าสุดทาง UOB ได้จับมือกับผู้จัดคอนเสิร์ต Ed Sheeran ในการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ถือบัตรเครดิตของสถาบันการเงินรายนี้สามารถซื้อตั๋วคอนเสิร์ตได้ก่อนใครด้วย

    Wee Ee Cheong ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของ UOB ได้กล่าวว่า ถ้าคุณมีบัตรเครดิตของ UOB ก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเล็กๆ น้อยๆ และจะมีอีกมากมายตามมาในภายหลังอย่างเช่น คอนเสิร์ตของ Ed Sheeran ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน (กับคอนเสิร์ตของ Taylor Swift)

    ]]>
    1449401
    ไม่แผ่ว! ภาพยนตร์คอนเสิร์ต ‘เทเลอร์ สวิฟต์’ ทำยอดขายล่วงหน้าทะลุ 100 ล้านดอลลาร์ ช่วยดันหุ้นโรงหนัง ‘AMC’ พุ่ง 11% https://positioningmag.com/1447241 Sun, 08 Oct 2023 13:38:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447241 ยอดขายตั๋วชอมคอนเสิร์ตจริงว่าปังแล้ว ยอดขายภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour ก็มียอดขายตั๋วไม่แพ้กัน โดยเฉพาะยอดขายตั๋วล่วงหน้าในสหรัฐอเมริกาก็ทำยอดทะลุ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เรียบร้อยแล้ว

    สำหรับคอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour มียอดขายบัตรในอเมริกาเหนือสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จสุด ๆ แล้ว แต่ดูเหมือนว่ากระเเสจะไม่ได้แผ่วลงไปเลย

    เพราะหลังจากที่ เทเลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ได้ประกาศให้ผู้ติดตามเกือบ 275 ล้านคนของบนอินสตาแกรมในวันที่ 31 สิงหาคม ว่าจะมี ภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour โดยจะฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ส่งผลให้มียอดจองตั๋วล่วงหน้าเฉพาะแค่ในสหรัฐฯ ทะลุ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

    ด้วยกระเเสดังกล่าวส่งผลให้หุ้นของ AMC Entertainment พุ่งขึ้น +11.5% เนื่องจากภาพยนตร์คอนเสิร์ตดังกล่าวทําลายสถิติการขายตั๋วล่วงหน้าวันแรกของ AMC ที่ 26 ล้านดอลลาร์ โดย AMC Theatres Distribution พร้อมด้วยพันธมิตร sub-distribution Variance Films, Trafalgar Releasing, Cinepolis และ Cineplex ได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ประกอบการในการแสดงภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์กว่า 8,500 แห่งใน 100 ประเทศ โดยโรงภาพยนตร์ประมาณ 4,000 แห่ง อยู่ในสหรัฐอเมริกา

    ไม่ใช่แค่ AMC ที่หุ้นเด้งเพราะภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour แต่หุ้นของ Cinemark Holdings ซึ่งเป็นบริษัทเครือโรงภาพยนตร์ที่มีสถานที่ตั้งประมาณ 500 แห่ง เพิ่มขึ้นมากกว่า +5

    ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour แต่โรงภาพยนตร์จะยิ้มได้จาก Renaissance: A Film by Beyonce ภาพยนตร์คอนเสิร์ตของ บียอนเซ Beyoncé ที่จะเข้าฉายในช่วงเดือนธันวาคมนี้

    Source

    ]]>
    1447241
    UOB- The EM District ร่วมปั้น “ยูโอบี ไลฟ์” ฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่ใน THE EMSPHERE รองรับ 6,000 คน https://positioningmag.com/1441251 Thu, 17 Aug 2023 15:45:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441251 UOB และ The EM District รวมถึง AEG ร่วมปั้น “ยูโอบี ไลฟ์” ฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่ใน THE EMSPHERE รองรับ 6,000 คน คาดว่าในแต่ละปีจะสามารถจัดงานต่างๆ ได้มากถึง 100 งาน โดยจะเน้นไปที่การจัดคอนเสิร์ตและกีฬาเป็นหลัก

    ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารยูโอบีประเทศไทย, ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) รวมถึง เออีจี (AEG) ประกาศความร่วมมือในการให้สิทธ์ยูโอบีใช้ชื่อแบรนด์ ยูโอบี ไลฟ์ (UOB LIVE) ศูนย์กลางการจัดงานแห่งใหม่ที่ครบครันและล้ำสมัยที่สุดในอาเซียน

    การให้สิทธิ์ใช้ชื่อ UOB LIVE นั้นจะมีอายุ 5 ปี นับตั้งแต่การเปิดใช้งานวันแรก คาดว่าจะมีการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า และเริ่มมีการติดต่อขอใช้พื้นที่ดังกล่าวบ้างแล้วด้วย

    ขณะที่ ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และ ดิ เอ็มดิสทริค ได้เล่าถึง AEG มีแผนจะขยายธุรกิจ โดยบอร์ดผู้บริหารบอกว่ายุโรปน่าสนใจ แต่ Philip Anschutz ซึ่งเป็นเจ้าของ AEG กลับไม่เห็นด้วย

    หัวเรือใหญ่ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป รายนี้ได้แนะนำประเทศไทยไปหลังจากการเข้าพบกับเจ้าของ AEG ซึ่งเขาเองเห็นด้วยกับแผนการดังกล่าวนี้ เธอยังได้พาบอร์ดผู้บริหารมาเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเธอมองว่าไทยสามารถผลักดัน World Class Entertainment ได้ และต่างฝ่ายต่างจริงจังในเรื่องนี้เช่นกัน

    UOB LIVE นี้สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ถึง 6,00 คน โดยที่โฟกัสหลักจะอยู่ที่งานประเภทคอนเสิร์ต และ กีฬา แต่สามารถรองรับจัดงานประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น งานสัมมนา หรือแม้แต่งานแต่งงานได้เช่นกัน โดยคาดว่าในแต่ละปีจะมีการจัดงาน 100 งานต่อปี แต่จะเน้นไปที่คอนเสิร์ตกับกีฬาเป็นหลัก

    โดยฮอลล์ดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งในไฮไลต์ของ ดิ เอ็มสเฟียร์ (THE EMSPHERE) ศูนย์การค้าแห่งใหม่ ที่มาพร้อมกับแหล่งช็อปปิ้งระดับโลก ตัวเลือกร้านอาหารที่หลากหลาย และพื้นที่สำหรับความบันเทิง

    ตัน ชุน ฮิน (ที่ 3 จากด้านซ้าย), ศุภลักษณ์ อัมพุช (กลาง), อดัม วิลคส์ (ที่ 4 จากด้านขวา)

    อดัม วิลคส์ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่ยุคใหม่ด้านความบันเทิง โดย UOB LIVE จะเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคต ด้วยการมอบประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ผ่านความร่วมมือของ AEG, UOB และ เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดกิจกรรมระดับเวิลด์คลาสเพื่อสร้างช่วงเวลาสุดพิเศษที่น่าจดจำให้กับผู้เข้าชมงานทั้งในไทยและระดับนานาชาติ

    นอกจากนี้ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้เล่าถึงสาเหตุที่จะทำให้ศิลปินต่างชาติไม่เข้ามาในประเทศไทย สาเหตุส่วนหนึ่งที่เขามองเป็นเพราะโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่ไม่ดี

    สำหรับความร่วมมือกับ UOB และ AEG นั้นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินจากประเทศสิงคโปร์รายนี้ได้จับมือกันโดยการให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าบัตรเครดิตของ UOB สามารถที่จะซื้อบัตรคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ที่ประเทศสิงคโปร์ได้ก่อนเพื่อน ก่อนที่จะมาจับมือกับ The EM District และ AEG อีกครั้งในกรุงเทพ

    ขณะที่เม็ดเงินลงทุนของ UOB LIVE ที่ The EM District อยู่ที่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เม็ดเงินอีก 350 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นทาง AEG และ The Mall Group ได้ลงทุนในฮอลล์จัดอีเวนต์ที่ Bangkok Mall แต่ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องของการให้สิทธิ์ใช้ชื่อแต่อย่างใด

    ประธานและผู้บริหารสูงสุดของบริษัท AEG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ UOB LIVE รวมไปถึงกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะประกาศให้ทราบอีกครั้งในเร็วๆ นี้

    นอกจากนี้ทาง The EM District และ AEG ก็กำลังคุยกับผู้สนับสนุนรายอื่นๆ (Founding Sponsor) ของฮอลล์จัดอีเวนต์แห่งใหม่นี้ด้วย โดยเบื้องต้นมีทั้งแบรนด์รถยนต์ รวมถึงแบรนด์เครื่องดื่มเข้าร่วมแล้ว

    ]]>
    1441251
    กลยุทธ์จัดคอนเสิร์ต “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ลดจำนวนเมือง โชว์หลายรอบในที่เดียว ช่วยให้กำไรเพิ่มอื้อ https://positioningmag.com/1440296 Tue, 08 Aug 2023 13:22:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440296 ทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ของนักร้องสาวซูเปอร์สตาร์ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” มีแววว่าจะทำลายสถิติเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้ได้ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเธอน่าจะทำกำไรส่วนตัวได้สูงหลายล้านเหรียญจากกลยุทธ์การ “อยู่ยาว” ในเมืองเดียวแต่จัดโชว์หลายรอบการแสดง แทนที่การย้ายเมืองทุกรอบการแสดงอย่างที่เคยทำมา

    The Wall Street Journal รายงานว่า Eras Tour ของ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” อาจจะเป็นทัวร์คอนเสิร์ตแรกในโลกที่สามารถทำรายได้ได้ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และน่าจะทำให้เธอได้ส่วนแบ่งกำไรส่วนตัวกลับบ้านถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (รวมส่วนที่จะจ่ายเป็นโบนัสให้ทีมงานคนขับรถบรรทุก แดนเซอร์ ทีมงานซาวด์ ฯลฯ ประมาณ 55 ล้านเหรียญแล้วในก้อนนี้)

    การที่เธอน่าจะได้กำไรสูงจากการจัดทัวร์ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์การ “อยู่ยาว” ในบางเมือง จัดรอบการแสดงติดต่อกัน 6 รอบในเมืองเดียว ได้แก่ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา, โทรอนโต แคนาดา และ สิงคโปร์ รวมถึงมีอีกหลายเมืองที่จัดรอบการแสดงสูงถึง 4 รอบในเมืองเดียว ได้แก่ เม็กซิโก ซิตี้ เม็กซิโก, โตเกียว ญี่ปุ่น และ ซิดนีย์ ออสเตรเลีย

    เห็นได้ว่าทัวร์รอบนี้ของเทย์เลอร์ไม่มีการจัดแสดงในบางเมืองหรือบางประเทศที่เคยจัดในทัวร์ก่อนๆ เช่น ซานดิเอโก สหรัฐฯ, ออตตาวา แคนาดา

    การตัดสินใจที่จะอยู่ยาวในบางเมือง ไม่มีการจัดรอบการแสดงในเมืองใกล้เคียงหรือประเทศใกล้เคียง มาจากสมมติฐานทางธุรกิจว่า บรรดา “สวิฟตี้” (ชื่อเรียกกลุ่มแฟนคลับของเทย์เลอร์ สวิฟต์) จะยินดีจ่ายทั้งค่าตั๋วเข้าชมและค่าเดินทางเพื่อไปชมคอนเสิร์ตในเมืองอื่น ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหน

    เมื่อมีการย้ายพื้นที่แสดงให้น้อยลง ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเวทีและโปรดักชัน ค่าเดินทาง ค่าแรงงาน ลดน้อยลงไปด้วย

    “ในแง่ของต้นทุน การลดจำนวนเมืองที่แสดงย่อมลดค่าโสหุ้ยในทัวร์คอนเสิร์ตนั้นลงไปอย่างเห็นได้ชัด” นาธาน ฮับบาร์ด อดีตซีอีโอบริษัท Ticketmaster และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทบริหารจัดการ Firebird กล่าวกับ Insider

    “คิดดูสิว่าต้นทุนการรื้อเวทีทั้งเวทีลง ขนย้ายขึ้นรถบรรทุก 50 คัน ขนส่งรถทุกคันไปยังอีกเมืองหนึ่ง ค่าใช้จ่ายพวกนี้จะถูกตัดออกได้คืนละหลายล้านเหรียญสหรัฐ” ฮับบาร์ดกล่าว

     

    View this post on Instagram

     

    A post shared by Taylor Swift (@taylorswift)

    “หลังจากผ่านโควิด-19 มา บรรดาศิลปินใหญ่ทั้งหลายต่างก็รู้ว่าแฟนคลับจะเดินทางไปที่ไหนก็ได้เพื่อให้ได้เจอศิลปินคนโปรดของตัวเอง” ฮับบาร์ดกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ มีแค่เมืองลาส เวกัสที่ดึงดูดให้คนยอมลงทุนเดินทางมาเพื่อดูคอนเสิร์ตได้ แต่วันนี้หลายเมืองสามารถเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสนุกๆ ไปในตัว ให้แฟนๆ และกลุ่มเพื่อนได้ไปเที่ยวด้วยกันในทริปเพื่อไปชมคอนเสิร์ต นั่นเป็นแรงขับเคลื่อนให้เริ่มเปลี่ยนแปลงระบบทัวร์”

    สำนักข่าว Insider สอบถามแฟนๆ สวิฟตี้หลายคน พบว่าส่วนใหญ่ยินดีที่จะเดินทางข้ามรัฐข้ามประเทศเพื่อไปดูคอนเสิร์ตเทย์เลอร์ สวิฟต์ จนทำให้เมืองไหนก็ตามที่ได้จัดคอนเสิร์ตของเธอ จะทำให้เศรษฐกิจท่องเที่ยวของเมืองนั้นดีดตัวขึ้นแรงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่มีคอนเสิร์ต

    The Common Sense Institute กล่าวว่า Eras Tour เฉพาะส่วนที่ทัวร์ในสหรัฐฯ​ เองคาดว่าจะช่วยสร้างการใช้จ่ายของผู้บริโภคถึง 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.61 แสนล้านบาท) เป็นเม็ดเงินที่ใหญ่กว่าจีดีพีของ 35 ประเทศบนโลกนี้

    แน่นอนว่าจะ “อยู่ยาว” หลายเมืองมากไม่ได้ เพราะ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” เองก็ขึ้นชื่อเรื่องความเอาใจใส่ในแฟนคลับของเธอ การเลือกจัดคอนเสิร์ตน้อยแห่งลงมากอาจจะกระทบกับชื่อเสียงได้ ปัจจุบัน Eras Tour มีแผนจัดการแสดงทั้งหมด 146 รอบ ในมากกว่า 50 เมือง ถือเป็นตัวเลขที่สูงมากแล้ว

    เห็นได้ว่าการจัด “สมดุล” ของทัวร์คอนเสิร์ต หากทำสำเร็จก็จะได้ทั้งใจของแฟนๆ และกำไรที่ดีขึ้นด้วย และ Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ กำลังจะเป็นผู้ดิสรัปต์วงการในการคิดสูตรทัวร์ที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมนี้

    source

    ]]>
    1440296
    รู้หรือไม่ Taylor Swift ทำรายได้มากกว่า 452 ล้านบาทต่อคืน ในการทัวร์คอนเสิร์ตรอบล่าสุด https://positioningmag.com/1436588 Wed, 05 Jul 2023 03:44:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436588 Taylor Swift นักร้องสาวชาวสหรัฐฯ ที่กำลังจะเดินทางมาทัวร์คอนเสิร์ตในทวีปเอเชียในช่วงปี 2024 นี้ เธอได้ทำรายได้ในการทัวร์คอนเสิร์ตในแต่ละคืนมากกว่า 13 ล้านเหรียญสหรัฐต่อคืน หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 452 ล้านบาท และจะทำให้เธอกลายเป็นศิลปินที่สร้างรายได้จากการออกทัวร์คอนเสิร์ตมากที่สุด

    อ้างอิงข้อมูลจาก Pollstar ซึ่งเป็นสื่อที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิง รายงานว่านักร้องสาวชาวสหรัฐฯ ทำเงินจากการทัวร์ในสหรัฐฯ มากถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลา 22 วันของการทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งในตางรางการแสดงของเธอในสหรัฐอเมริกามีทั้งหมด 50 ทัวร์ด้วยกัน

    ขณะเดียวกัน Pollstar ได้ประเมินว่าการทัวร์คอนเสิร์ตของเธอในต่างประเทศในชื่อ Eras Tour นั้นอาจทำเงินได้มากถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโชว์ของ Taylor Swift ถือเป็นทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปิน 7 ใน 25 ที่ขายดีสุดและมีตั๋วคอนเสิร์ตเฉลี่ยมากกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ

    ไม่เพียงเท่านี้ทัวร์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ถ้าหากไปย้อนดูราคาตั๋วคอนเสิร์ตเฉลี่ยจะอยู่ไม่เกิน 120 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าหากทัวร์ล่าสุดของเธออย่าง Eras Tour เฉลี่ยราคาตั๋วออกมาแล้วจะอยู่ที่ราวๆ 254 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 8,800 บาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า

    นอกจากนี้ถ้าหากเทียบ Eras Tour กับ Speak Now ซึ่งเป็นทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของ Taylor Swift เองนั้นค่าตั๋วคอนเสิร์ตของเธอเพิ่มขึ้นมามากกว่า 3 เท่าแล้ว

    ข้อมูลจาก Pollstar เองยังชี้ถึงราคาตั๋วคอนเสิร์ตในปัจจุบันที่แพงมากขึ้น ซึ่งถ้าหากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วตั๋วคอนเสิร์ตที่มีราคาเฉลี่ยเกิน 200 ดอลลาร์สหรัฐนั้นมีเพียงแค่ Britney Spears และ Celine Dion โดยราคาเฉลี่ยของตั๋วคอนเสิร์ตของศิลปินที่ขายดี 25 รายนั้นอยู่ที่ราวๆ 136 ดอลลาร์เท่านั้น

    อย่างไรก็ดีไม่ว่าตั๋วคอนเสิร์ตของ Taylor Swift จะมีราคาแพงในปัจจุบันมากแค่ไหน แต่แฟนคลับของเธอทั่วโลกมากถึงหลักล้านคนต่างรอแย่งที่จะเข้าชมการแสดงของเธอ ส่งผลทำให้เธออาจเป็นศิลปินที่รับรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตมากที่สุดในปี 2023 ได้

    ]]>
    1436588
    บูมอีสาน! “ยูดี ทาวน์” อัดงบ 40 ล้านจัดสงกรานต์ “EDM” ปี’66 กรุยทางดึงจีนสายมูเที่ยว “อุดร” https://positioningmag.com/1422060 Tue, 07 Mar 2023 07:32:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422060 สายแดนซ์เตรียมพร้อม “ยูดี ทาวน์” เตรียมจัดใหญ่ UDON SONGKRAN FESTIVAL 2023 จัดปาร์ตี้ดนตรี “EDM” รับช่วง “สงกรานต์” ใหญ่ที่สุดที่เคยจัดในภาคอีสาน คาดการณ์ปี’66 ท่องเที่ยว “อุดร” ฟื้นตัวได้เท่าก่อนโควิด-19 ลุ้นดึงนักท่องเที่ยวจีน “สายมู” ทัวร์ริมโขง-ไหว้พระขอพร

    “ยูดี ทาวน์” ศูนย์การค้าท้องถิ่นแห่งอุดรธานี เตรียมกลับมาจัดเทศกาลสงกรานต์ครั้งใหม่ใหญ่กว่าเดิมในงาน UDON SONGKRAN FESTIVAL 2023 ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2566 บนพื้นที่ลานเดอะแลนด์ ขนาด 12,000 ตร.ม. พร้อมอุโมงค์น้ำขนาดยักษ์

    ไฮไลต์งานนี้คือเทศกาลดนตรี EDM Party ที่จะจัด 4 คืนต่อเนื่อง (13-16 เม.ย. 66 เวลา 17:00-24:00 น.) พร้อมเชิญศิลปิน-ดีเจทั้งในไทยและต่างประเทศกว่า 40 ราย เปิดรายชื่อดีเจระดับโลกที่จะมาแสดงในงาน เช่น Mike William จากเนเธอร์แลนด์, Gammer จากสหราชอาณาจักร, Bonka จากโคลัมเบีย ส่วนของไทยจะมีวงหมอลำอินเตอร์ฯ Paradise Bangkok ร่วมแสดง

    ยูดี ทาวน์
    ยูดี ทาวน์ อุดรธานี

     

    ปาร์ตี้ EDM ต้อนรับชาวอีสานกลับบ้าน-เศรษฐีชาวลาว

    “อภิชา วีรชาติยานุกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุดรพลาซ่า จำกัด รุ่นสองของกลุ่มยูดี ทาวน์ กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ว่าเป็นการกลับมาในรอบ 3 ปี โดยงานดนตรี EDM ทางยูดี ทาวน์มีการจัดครั้งแรกเมื่อปี 2559 เริ่มจากงานขนาดเล็ก ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นทุกปีจนถึงปี 2562 ที่จัดครั้งสุดท้ายก่อนต้องหยุดจัดอีเวนต์ใหญ่เพราะโควิด-19

    งานครั้งนี้ใช้งบลงทุนไป 30-40 ล้านบาท จัดใหญ่กว่าเมื่อปี 2562 ถึง 2 เท่า และคาดว่าจะมีทราฟฟิกเฉพาะในงานนี้รวม 5 วัน 100,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 20,000 คน

    ตัวอย่าง headliner งาน

    ราคาตั๋วในงานจะมีตั้งแต่ระดับสูงสุด VVIP First Class ราคาเหมา 4 วัน 100,000 บาทต่อโต๊ะ 6 ท่าน ซึ่งจะได้สิทธิ Private Dry Zone ทางเข้าส่วนตัว ห้องน้ำส่วนตัว แพ็กเกจเครื่องดื่ม ฯลฯ ไปจนถึงตั๋วโซน GA ผู้ชมทั่วไป ราคา 400 บาทต่อวันต่อคน

    อภิชากล่าวว่า บริษัทคาดหวังรายได้ขั้นต่ำ 30 ล้านบาทจากงานนี้ และหากขายตั๋วได้เต็มอัตราน่าจะทำรายได้ได้ถึง 100 ล้านบาท

    “เป้าหมายของงานนี้จะเป็นคนวัย 20 ปีขึ้นไป ตอบโจทย์ชาวอุดรและชาวอีสานที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านจากการไปทำงานที่กรุงเทพฯ และคนอีสานก็ต้องการเทศกาล EDM แบบนี้เหมือนกัน รวมไปถึงชาวลาวที่มีกำลังซื้อสูง สนใจเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์” อภิชากล่าว

    ยูดี ทาวน์ สงกรานต์
    งานสงกรานต์ที่ยูดี ทาวน์ รอบปี 2562

    งานครั้งนี้ยังมีการจัดพื้นที่ให้กับกลุ่ม VVIP แพ็กเกจทั้งหมดประมาณ 20% ของพื้นที่ เพิ่มขึ้นจากครั้งล่าสุดในปี 2562 ที่กันไว้ 10% ของพื้นที่ เพราะจากงานครั้งก่อนพบว่า แพ็กเกจระดับนี้ขายหมดเร็วมาก ไม่เหลือพอที่จะขายหน้างาน สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อและต้องการโต๊ะแบบ VVIP เพื่อสะท้อนไลฟ์สไตล์ของตน

    อีเวนต์ใหญ่รับสงกรานต์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวในช่วงหลังโควิด-19 ของยูดี ทาวน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เริ่มสั่งอาหารและสินค้าทางเดลิเวอรีมากขึ้น ทำให้ทราฟฟิกเข้าศูนย์ฯ ลดลงเหลือ 8,000 คนต่อวัน จากก่อนโควิด-19 มีลูกค้าเฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน

    แม้ยอดขายของร้านค้าเช่าจะไม่ต่ำลงเพราะลูกค้าเพียงหันมาซื้อผ่านเดลิเวอรี แต่ศูนย์ฯ จะต้องปรับมามีอีเวนต์มากขึ้น และมีการตกแต่งใหม่บ่อยขึ้นเพื่อดึงให้คนมาใช้ชีวิต ถ่ายรูป มีความบันเทิงนอกบ้าน โดยอภิชากล่าวว่าจากนี้ยูดี ทาวน์จะมีอีเวนต์ใหญ่ทุกๆ 2 เดือน และมีพันธมิตรสำคัญคือ “ไทยเบฟเวอเรจ” และ “เป๊ปซี่” ที่จะสร้างสีสันผ่านคอนเสิร์ตหมุนเวียนเข้ามาต่อเนื่อง

     

    ท่องเที่ยวฟื้นปีนี้ หวังปีหน้าดึง “จีน” ทัวร์ทำบุญ

    ด้าน “ธนกร วีรชาติยานุกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุดรพลาซ่า จำกัด รุ่นหนึ่งผู้ก่อตั้งศูนย์ฯ เปิดภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดอุดรธานี จากสถิติผู้โดยสารเข้าออกทางเครื่องบินเมื่อปี 2565 มีผู้โดยสาร 1.77 ล้านคน ปี 2566 นี้เป็นไปได้ว่าจะมีผู้โดยสารทางเครื่องบินกลับไปเท่าปี 2562 คืออยู่ที่ 2.8 ล้านคนต่อปี เนื่องจากเที่ยวบินเข้าออกอุดรธานีเพิ่มขึ้นเกือบจะเท่ากับปีก่อนโควิด-19 แล้ว

    (จากซ้าย) อภิชา วีรชาติยานุกูล, ภาสกร วีรชาติยานุกูล, ธนกร วีรชาติยานุกูล

    ธนกรกล่าวถึงจุดยุทธศาสตร์ของอุดรธานีว่า เป็นจังหวัดศูนย์กลางการเดินทางไปหนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม หนองคาย เวียงจันทน์ ได้สะดวก และมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติ/วัฒนธรรม เช่น ทะเลบัวแดง บ้านเชียง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวสายธรรมะ ไหว้พระทำบุญ อุดรธานีและทัวร์ภาคอีสานมีความโดดเด่นมาก เชื่อว่าจะเป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ต่อเนื่อง

    นอกจากนักท่องเที่ยวไทยแล้ว ภาคอีสานยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต หลังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เริ่มโปรโมตเส้นทางท่องเที่ยวริมโขง ตั้งแต่หนองคาย อุดรธานี ไล่ไปจนถึงนครพนม และชาวจีนเริ่มแสดงความสนใจ เนื่องจากชาวจีนบางกลุ่มก็มีความเชื่อในทางวัตถุมงคล การไหว้พระทำบุญ เช่นเดียวกับคนไทย เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการทำการตลาด อาจจะยังไม่เห็นชัดเจนในปีนี้ แต่ปี 2567 น่าจะเห็นชาวจีนเที่ยวอีสานมากขึ้น

     

    โรงแรมเติบโต วางแผนเปิดแห่งที่สองเพิ่ม

    “ภาสกร วีรชาติยานุกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาทิพย์ 456 จำกัด รุ่นสองที่เข้ามาช่วยบริหารงานโรงแรมโมโค (MOCO) และศูนย์ประชุมนานาชาติมลฑาทิพย์ กล่าวว่า โรงแรมโมโคซึ่งเป็นบูทีคระดับ 4 ดาว ขนาด 68 ห้อง หลังเปิดมาเกือบ 2 ปี ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 60% และคาดว่าปีนี้น่าจะขยับเป็น 70-80% ได้ หลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว เที่ยวบินกลับมาเปิดบินเต็มที่

    ส่วนศูนย์ประชุมฯ มลฑาทิพย์ก็เริ่มกลับมาคึกคัก มีงานอีเวนต์ แต่งงาน จัดประชุม ทุกวัน ขณะนี้อยู่ระหว่างกระตุ้นตลาดเพิ่ม

    ธนกรกล่าวต่อถึงแผนอนาคตของกลุ่มยูดี ทาวน์ ยังเหลือที่ดินอีก 2 แปลง แปลงละ 4 ไร่ รวมถึงที่ดินใกล้เคียงกับโรงแรมโมโคที่สามารถปรับการใช้งานได้ ที่ดินเหล่านี้กำลังวางแผนว่าอาจจะเปิดเป็นโรงแรมระดับกลาง ราคาห้องพักคืนละ 1,500-2,000 บาท คาดว่าจะก่อสร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น 2 อาคาร รวม 140 ห้อง ใช้งบลงทุนราว 200 ล้านบาท แต่จังหวะการลงทุนอาจใช้เวลาอีก 2-3 ปีในการตัดสินใจ

    ]]>
    1422060