ต่างจังหวัด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 16 Feb 2022 00:51:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 LINE BK เเข่งตลาดสินเชื่อ ขยับหาลูกค้าทั่วประเทศ สร้างวลีติดหูผ่าน Music Marketing https://positioningmag.com/1374025 Tue, 15 Feb 2022 10:55:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374025 LINE BK เดินเกมสู้ตลาดสินเชื่อเต็มรูปแบบ ขยับหาลูกค้าคนไทยทั่วประเทศ สร้างการรับรู้ พร้อมวลีติดหูผ่านกลยุทธ์ Music Marketing ดึงกลุ่มอาชีพอิสระเข้ามากู้ในระบบมากขึ้น 

ความยุ่งยากในการเข้าถึงสินเชื่อยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนที่ไม่มีรายได้ประจำและคนทำงานอาชีพอิสระไม่ได้รับโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อมากนัก ผลักดันให้พวกเขาเหล่านั้น จำใจต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีความเสี่ยงสูงเเละไม่ปลอดภัย

นี่เป็นหนึ่งในภารกิจของ ‘LINE BK’ ผู้ให้บริการ Social Banking รายแรกของไทย ที่พยายามจะเพิ่มโอกาสให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงสินเชื่ออย่างถูกกฎหมายได้มากขึ้น ด้วยบริการสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งเป็นเเอปฯ ยอดนิยมที่คนไทยกว่า 2 ในใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องมีสาขา ไม่ต้องไปธนาคาร

ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด หรือ LINE BK กล่าวว่า ในปี 2565 เศรษฐกิจไทยเเละเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ทำให้ความต้องการสินเชื่อของภาคครัวเรือน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกประเภท ผู้คนต้องการเงินทุนไปทำธุรกิจ

นั่นก็ทำให้การเเข่งขันในตลาดสินเชื่อดุเดือดตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งผู้เล่นรายเล็กรายใหญ่ รวมไปถึงเเพลตฟอร์มอื่นๆ จากต่างประเทศ

บุกตลาดทั่วประเทศ เน้นกลุ่มอาชีพอิสระ 

สำหรับบริการสินเชื่อของ LINE BK ขณะนี้ มีอยู่ 2 ประเภทได้เเก่

  • วงเงินให้ยืม (Credit Line) – สินเชื่อส่วนบุคคล
  • วงเงินให้ยืมนาโน (Nano Credit Line) – สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ

หลังเปิดตัวมาได้ เพียง 15 เดือน LINE BK มีจำนวนผู้ใช้บริการ 4 ล้านราย บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 4.8 ล้านบัญชี เเละมีจำนวนบัตรเดบิต 2.2 บัตร

โดยมีการปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 5.4 แสนบัญชี ยอดปล่อยสินเชื่อรวมกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ยอดสินเชื่อส่วนบุคคลอนุมัติเฉลี่ย 3.5 หมื่นบาทต่อราย เเละยอดสินเชื่อนาโนเฉลี่ย 1.1 หมื่นบาทต่อราย

ขณะที่ยอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ราว 4% ซึ่งเขามองว่า อยู่ระดับที่บริหารจัดการได้ ไม่สามารถเทียบได้ว่าสูงหรือน้อยกว่าในอุตสาหกรรม เพราะ LINE BK ยังคงเป็นผู้บริการสินเชื่อน้องใหม่ในตลาด

ที่น่าสนใจคือ สัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของลูกค้า LINE BK เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระและอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเกือบ 80% มีรายได้ขั้นต่ำ 5,000 บาทขึ้นไป

ดังนั้น เป้าหมายหลักของ LINE BK ในปี 2565 จึงเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้นและครอบคลุมทั่วประเทศทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด เน้นเจาะกลุ่มคนที่ไม่มีรายได้ประจำเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ต้องการเข้าแหล่งเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย

โดยตั้งเป้ายอดสินเชื่อคงค้างโตกว่า 20,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ จากยอดคงค้างในปีก่อนที่ 16,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การที่ LINE BK มีอัตราการอนุมัติสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 10% นับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ที่จะต้องเฟ้น หากลุ่มลูกค้าเครดิตดีในกลุ่มเป้าหมายตลาดเเมสให้เจอ ผ่านการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น เป็นธุรกิจการเงินที่กระจายไปทั่วประเทศ เพราะตอนนี้คนไทยยังรู้จักเเอปพลิเคชัน LINE มากกว่า Social Banking อย่าง LINE BK เเละเมื่อเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็หวังว่าอัตราอนุมัติสินเชื่อจะอยู่ที่ราว 20%

โดยในช่วงต้นปีนี้ อาจยังต้องใช้ความระมัดระวังและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่บ้าง เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดยังไม่แน่นอน

-ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด หรือ LINE BK

Music Marketing : สร้างวลีติดหู ร้อนเงินเมื่อไหร่ ยืมไลน์ง่ายกว่า’ 

ล่าสุด LINE BK นำกลยุทธ์ ‘Music Marketing’ มาใช้เพื่อสร้างการรับรู้ให้เข้าถึงคนไทยในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เน้นไปที่ความสนุกสนาน จดจำง่ายเเละการมีส่วนร่วมในโลกโซเชียล

แคมเปญการตลาดผ่านเพลงที่พึ่งทางไลน์ เป็นความร่วมมือกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ RSIAM ในเครือ RS GROUP โดยได้ดึงนักร้องลูกทุ่งชื่อดังอย่าง ใบเตย อาร์สยาม และ URBOYTJ แร็ปเปอร์ขวัญใจวัยรุ่น มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของเพลงในรูปแบบลูกทุ่งผสมแร็ป

ธนา บอกว่า เพลงนี้ตั้งใจจะสื่อสารด้วยเนื้อหาที่ฟังง่าย ติดหู สนุกสนาน และเข้าถึงผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย โดยได้หยิบเอา ‘Pain Point’ จากปัญหาเรื่องเงินของคนไทยมาผสมกับกลิ่นอายของเพลงลูกทุ่งและแร็ป เน้นด้วยคำติดหูอย่างไม่ไหวไลน์มา หรือ ร้อนเงินเมื่อไหร่ ยืมไลน์ง่ายกว่า

โดยที่ผ่านมา ปัญหาที่ผู้คนอาจเข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน คือ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท มีความซับซ้อน เข้าถึงยาก จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าแต่ละผลิตภัณฑ์เหมาะกับใครและตัวเขาเองนั้นเหมาะกับผลิตภัณฑ์ไหน

ดังนั้นการทำการตลาดให้ติดหูมีท่อนฮิตหรือวลีเด็ดติดปาก พยายามหาคำกลางๆ ที่ไม่ได้ใส่ชื่อแบรนด์หรือทำให้ดูขายมากจนไป รวมถึงมีท่าเต้นติดตาเป็นที่จดจำ ก็เป็นเหมือนการเชื้อเชิญให้ลูกค้าอยากทำความรู้จักกับเเบรนด์มากขึ้น ซึ่งจะต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์เเละบริการอื่นๆ ได้

ด้านกระเเสตอบรับ Brand Awareness หลังปล่อยเพลงที่พึ่งทางไลน์ออกมาได้ 2 สัปดาห์ ผู้บริหาร LINE BK มองว่าน่าพึงพอใจเเละถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

โดยมียอดการรับชมเอ็มวีบนยูทูปอยู่ที่ราว 5 ล้านวิว เเละมีแคมเปญบน TikTok เพื่อให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมมากขึ้นผ่าน #ที่พึ่งทางไลน์Dance ซึ่งมียอดเข้าชมวิดีโอที่ร่วมแคมเปญรวมกว่า 375 ล้านวิว

นอกจากการทำเพลงเเละเอ็มวีที่พึ่งทางไลน์” เพื่อส่งเสริมด้านการตลาดรูปแบบใหม่ แล้ว LINE BK ยังมีแผนการทำตลาดที่จะมาช่วยตอกย้ำภาพ ‘ร้อนเงินเมื่อไหร่ ยืม LINE ง่ายกว่า’ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่าง LINE MELODY เเละสติกเกอร์ LINE ที่เป็นคาแร็กเตอร์เฉพาะของ LINE BK 

ขณะเดียวกัน LINE BK จะเดินหน้าจับมือกับพาร์ทเนอร์รอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากอีโคซีสเต็มภายในก่อน ค่อยขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ โดยจะเน้นหาพันธมิตรในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากต้องการจะจับตลาดคนไทยให้ได้มากที่สุด

โดยปีที่ผ่านมา ได้จับมือกับ DTAC เปิดให้บริการ “ใจดี มีวงเงินให้ยืม” เเละมีลูกค้าประมาณ 10,000 ราย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบต่อไป

เราจะเจาะตลาดไปทางสื่อต่างๆ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้เกิดการสื่อสารไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแบบครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

 

 

]]>
1374025
จับตา “พรีเซ็นเตอร์ภูธร” เพิ่มพลังแมสให้มากกว่าพรีเซ็นเตอร์ตัวท็อป https://positioningmag.com/1350164 Sat, 04 Sep 2021 13:59:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350164 พรีเซ็นเตอร์ตัวท็อปของประเทศหลบไปก่อน ยุคนี้ต้อง “พรีเซ็นเตอร์ภูธร” แบรนด์ใหญ่พร้อมใช้เลือกศิลปินลูกทุ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์มากขึ้น หวังเจาะใจลูกค้าต่างจังหวัด สร้างภาพลักษณ์ให้แมสมากขึ้น

ดาราเบอร์ใหญ่ไม่ตอบโจทย์ ยุคนี้ต้องเจาะเซ็กเมนต์

ถ้าพูดถึงศิลปิน หรือดารานักแสดงชื่อดังของไทย ที่ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์สินค้ามากที่สุด คงหนีไม่พ้นชื่อดาราเบอร์ใหญ่ๆ เช่น อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, คิมเบอร์ลี่, ญาญ่า อุรัสยา, ณเดชน์ คุกิมิยะ, แพนเค้ก เขมนิจ, เก้า สุภัสรา, มาริโอ้ เมาเร่อ, ไบร์ท วชิรวิชญ์, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก, เป๊ก ผลิตโชค, เบลล่า ราณี, เจมส์ จิรายุ และอื่นๆ อีกมากมาย

จะเห็นว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะแบรนด์ไทย หรือแบรนด์อินเตอร์ ย่อมต้องเคยมีโอกาสใช้พรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่ๆ ที่กล่าวมาทั้งสิ้น เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

แต่ในช่วงในกี่ปีมานี้ หลายแบรนด์เริ่มปรับกลยุทธ์ใหม่ เนื่องจากการทำการตลาดที่เหวี่ยงแห หรือการตลาดแบบแมส ไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าที่ควร ต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่

จึงได้เห็นกลายแบรนด์เริ่มจับพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นกระแส ถึงแม้จะไม่เป็นที่รู้จักทั้งหมด แต่ก็สามารถสื่อสารกับคนบางกลุ่มได้อย่างดี เช่น BNK48 รวมไปถึงสินค้ากลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ก็จะเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ตามกลุ่มเป้าหมาย จึงได้เห็นนักร้องลูกทุ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ในสินค้าระดับแมสมากขึ้น เช่น หญิงลี กับแบรนด์แจ๋ว, ถั่งเช่ายิ่งยง และโสมพลัส ที่เลือกใช้จินตหรา พูนลาภ

หรืออย่างแบรนด์มาร์เก็ตเพลสอินเตอร์อย่าง “ช้อปปี้” ก็ยังเลือกเจาะพรีเซ็นเตอร์ระดับแมสสไตล์ภูธร ในปีที่แล้วได้เลือก “แก๊ง 3 ช่า” หรือหม่ำ เท่ง โหน่ง เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตามมาด้วยกิ๊ก สุวัจนี และล่าสุดกับแจ๊ส ชวนชื่น และเฉินหลง

“โออิชิ” ดึง “เบิ้ล ปทุมราช” ขยายฐานวัยรุ่นแดนอีสาน

แต่ไหนแต่ไรเราจะได้เห็นชาเขียว “โออิชิ” ทำตลาดที่จับกลุ่มวัยรุ่นมาโดยตลอด เพราะด้วยคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ ทำให้เลือกพรีเซ็นเตอร์ที่มีความแมสยอดนิยมในตอนนั้นอย่างมาก เรียกว่าไม่ให้หลุดกระแสไปได้ ที่ผ่านมาจึงได้เห็นทั้งเป๊ก ผลิตโชค หรือจะเป็นคู่จิ้นคู่วายอย่าง “ไบร์ท-วิน”

รวมไปถึงเมื่อปี 2562 โออิชิได้ออกแคมเปญใหญ่ “โออิชิ รถสุดฮิพ ทริปสุดโอ” ได้กวาดพรีเซ็นเตอร์ถึง 10 คน กับ 10 หนุ่ม GMM ทีน ไอดอล นำทีมโดย คริส-พีรวัส และ สิงโต-ปราชญา ตามด้วย ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร, กัน-อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์, เต-ตะวัน วิหครัตน์, นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ นนน-กรภัทร์ เกิดพันธุ์, ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์, ซิง-หฤษฏ์ ชีวการุณ และลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ

ในปีนี้โออิชิได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตัวเอง ด้วยการดึง “เบิ้ล ปทุมราช” นักร้องลูกทุ่งจากค่ายอาร์สยามขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด เพื่อต้องการจับกลุ่มวัยรุ่นชาวอีสานให้มากขึ้น เปิดตัวแคมเปญ “โออิชิ พลัสซี x เบิ้ล ปทุมราช” พร้อมกลยุทธ์ Regional Music Marketing

เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“เรายังต้องการเพิ่ม Penetration ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอีสานให้ได้มากขึ้น และข้อมูลจาก Youtube Thailand ยังพบอีกว่าเพลงลูกทุ่งอีสานกวาดอันดับ Top Trend VDO ยอดนิยมสูงสุดบนช่องทาง Youtube ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความนิยมของคนอีสานที่ชื่นชอบการฟังเพลงนั่นเอง ดังนั้นการเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงอารมณ์และการเล่าเรื่องคงไม่มีอะไรตอกย้ำกลุ่มเป้าหมายได้ดีเท่าการนำดนตรี หรือมิวสิคมาร์เก็ตติ้งมาช่วยในการทำตลาด

ซึ่งมิวสิกมาร์เก็ตติ้งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่คลาสสิกสำหรับทุกยุค เพียงแค่เรานำมาปรับรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัยและผู้บริโภคโดยแคมเปญอีสานในครั้งนี้ เราเลือกเบิ้ล ปทุมราช นักร้องอันดับหนึ่งจากค่ายอาร์สยามที่มียอดวิวเพลงรวมกว่า 1,000 ล้านวิว และมียอดผู้ติดตามทาง Social Media มหาศาล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในครั้งนี้ได้จัดเต็มสื่อเอาต์ออฟโฮมจัดเต็มในพื้นที่อีสานกว่า 10จังหวัด”

แคมเปญนี้มาพร้อมกับเพลง และมิวสิกวิดีโอ พร้อมกับชิงโชคแจกทองคำแท่ง ส่งรหัสใต้ฝาผ่านแอปโออิชิคลับ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

“ไวไว” ก็ต้อง “เบิ้ล ปทุมราช”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ไวไว” เป็นแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไม่ค่อยได้ใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับแบรนด์ “ควิก” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในเครือ ที่จะมีสีสันที่หวือหวากว่า

ในปีนี้ไวไวได้เปิดเกมหนักตั้งแต่ต้นปี ประกาศดึง “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” เดินเกมพรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยการเปิดแคมเปญใหญ่ “ไวไวเข้มข้น จนต้องเบิ้ล” ชู 2 รสชาติยอดนิยม “ไวไว รสหมูสับ” และ “ไวไว รสหมูสับต้มยำ” เป็นตัวชูโรง

ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย เผยถึงไอเดียการทำตลาดในปี 64 ว่า

“นอกจากจุดแข็งเรื่องเส้นของไวไวที่ถูกปากคนไทย ตามสโลแกนเหนียวนุ่ม…ไม่อืด ไวไวยังมีจุดเด่นเป็นที่พูดถึงกันมาก ในเรื่องของรสชาติที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น หอมอร่อยอย่างลงตัว ซึ่งในปีนี้ไวไวจะดึงเอาแนวคิด ความเข้มข้น มาตอกย้ำความชัดเจนด้วยการดึงศิลปินหนุ่มขวัญใจมหาชน เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม มาร่วมงาน สร้างความเข้มข้นของรสชาติตระกูลหมูสับ หนึ่งในกลุ่มรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ให้เกิดภาพจำอีกหนึ่งจุดแข็งของไวไว ในสโลแกนใหม่ไวไวเข้มข้น จนต้องเบิ้ล”

เหตุผลที่เลือกเบิ้ล ปทุมราช มาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น ยศสรัลบอกว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่าง เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม กับ ไวไว หมูสับทั้ง 2 รสชาติแล้ว เบิ้ลยังมีอีกคาแร็กเตอร์อีกด้านที่ชัดเจนในความเป็นศิลปิน New Gen ที่มีความพยายามมุ่งมั่นตามฝัน ด้วยใจที่ไม่ย่อท้อ จนกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เป็นที่รักของชาวอีสาน และใช้ความสามารถสร้างผลงานที่เป็นที่ชื่นชอบของมหาชนทั่วประเทศ ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ให้พร้อมรับประสบการณ์ความเข้มข้น กับไวไว หมูสับ รสชาติในแบบที่ใครก็ชื่นชอบ และพร้อมที่จะเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั่วไทย เหมือนกับ เบิ้ล ปทุมราช

“เลย์” คว้า “ครูเต้ย” เดินหน้าบุกอีสาน

ต้องบอกว่าที่ผ่านมา “เลย์” ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ในระดับท็อปๆ ที่อยู่ในกระแสทั้งสิ้น เช่น ณเดชน์-ญาญ่า, ใหม่ ดาวิกา, เป๊ก ผลิตโชค, แพรวา และคู่จิ้นบิวกิ้น-พีพี เป็นต้น

อีกหนึ่งกลยุทธ์ของเลย์ก็คือการออกรสชาติใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาด และสร้างสีสันให้ผู้บริโภค ในปีนี้เลย์รสชาติใหม่มาในคอนเซ็ปต์ “เลย์ชวนฟินกินสตรีทฟู้ด” จับกระแสเมนูดังที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เน้นรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย

โดยในไตรมาสแรกเริ่มต้นที่ กลิ่นแจ่วฮ้อนหม้อไฟ และรสมะนาวแซ่บซี๊ด ซึ่งวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ ทั้ง 2 รสชาติดังกล่าวเป็นรสชาติสไตล์อีสาน ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อเอาใจผู้บริโภคชาวอีสานตามแผนโปรโมตในปี 2564

จึงเป็นที่มาของการดึง “เต้ย – อภิวัฒน์ บุญเอนก” หรือ ครูเต้ย มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นการบุกแดนอีสานอย่างเต็มที่

ศิเรมอร ศุภจรรยา ผู้จัดการอาวุโส ผลิตภัณฑ์เลย์ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า

“ในทุกๆ ปี เลย์จะออกรสชาติใหม่ หรือ Seasoning Flavor เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคที่ชอบลองรสชาติใหม่ๆ โดยในปี 2564 เลย์ได้จับกระแสสตรีทฟู้ด เสมือนนำเมนูเด็ดสุดฮิตจากร้านอาหารมาไว้ในซองเลย์ตลอดทั้งปี อร่อยฟินเหมือนไปกินที่ร้าน โดยได้วางขาย 2 รสชาติแรกแล้วเรียบร้อย นั่นคือ กลิ่นแจ่วฮ้อนหม้อไฟ และ รสมะนาวแซ่บซี๊ด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีถึงรสชาติที่แซ่บจัดจ้าน นอกจากนี้ อีกเป้าหมายสำคัญคือการเจาะกลุ่มผู้บริโภคอีสานอย่างเข้มข้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา โดยมีโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่สื่อสารกับผู้บริโภคชาวอีสานโดยเฉพาะผ่านพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ขวัญใจชาวอีสาน เต้ย – อภิวัฒน์ บุญเอนก หรือ ครูเต้ย ที่จะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ตลอดทั้งปี 2564”

“แลคตาซอย” จัดทัพเพลง “แลคตาซอยห้าบาท” ชุดใหม่

ถ้าพูดถึงชื่อแบรนด์แลคตาซอย หลายคนคงจะหักห้ามใจได้ยากที่จะไม่ฮัมเพลง “แลคตาซอย 5 บาท 125 มิลลิลิตร ปริมาณคับกล่องเต็มที่ ดื่มได้ดื่มดี ดื่มแลคตาซอย 5 บาท”

ก่อนหน้านี้แลคตาซอยได้วางจุดยืนให้แลคตาซอย 5 บาทจับกลุ่มเด็ก โฆษณาในอดีตจึงมีเด็กๆ ออกมาร้องเพลง หลังจากนั้นก็เริ่มวางภาพให้แมสมากขึ้น ได้ดึง BNK48 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

ทิศทางใหม่ของแลคตาซอยต้องการให้แบรนด์เข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกวัย และบุกตลาดขนาด 125 มิลลิลิตรมากขึ้น ในปีนี้จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “แลคตาซอยห้าบาท ส่งความสุขทั่วไทย” คว้าตัวศิลปินแม่เหล็กของประเทศ ได้ นิว-จิ๋ว, ลาบานูน, ตรี ชัยณรงค์ และหญิงลี มาร้องเพลงให้กับหนังโฆษณาแลคตาซอยห้าบาทชุดใหม่

จะเห็นได้ว่าศิลปินทั้ง 4 กลุ่มนี้มีความแมสเฉพาะตัว และมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ถ่ายทอดโดยศิลปินที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในทุกภาค ได้แก่ นิว-จิ๋ว ตัวแทนวัยทำงานในกรุงเทพฯ ภาคกลางและภาคเหนือ, ลาบานูน ตัวแทนภาคใต้ ตรี ชัยณรงค์ และ หญิงลี ตัวแทนความสนุกจากภาคอีสาน เพื่อย้ำสร้างความจดจำแบรนด์แลคตาซอย เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศ ทุกวัย

พรรวนา มหาทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด เปิดเผยว่า

“สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงต้นปีนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานผู้บริโภคเดิมให้แข็งแรง ควบคู่ไปกับการขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ให้กว้างขึ้น โดยล่าสุดได้จัด แคมเปญแลคตาซอยห้าบาท ส่งความสุขทั่วไทยเพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยได้รับรู้และจดจำผลิตภัณฑ์แลคตาซอยขนาด 125 มิลลิลิตร ซึ่งจำหน่ายในราคา 5 บาท มาตลอด 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดในเดือนมีนาคม 2548”

“แซ็ค ชุมแพ-เบิ้ล ปทุมราช” พรีเซ็นเตอร์ LAMUS

LAMUS (ลามูส) น้ำหอมพลังดนตรี เป็นหนึ่งธุรกิจของนักธุรกิจสาว เจน-วิรสุรางค์ ศศิอานนท์ กรรมการบริหาร บริษัท ศศิอานนท์ (ประเทศไทย) จำกัด และยังเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท บางกอกเพย์ จำกัด ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ AJ SIM และตู้เติมเงิน AJ

LAMUS ได้เลือก 2 นักร้องลูกทุ่งหนุ่ม แซ็ค ชุมแพ และเบิ้ล ปทุมราช เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับเป็นหุ้นส่วน เป็นการผลิตน้ำหอมเอาใจคนชอบเสียงเพลง ถือว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ความหอมครั้งแรกในประเทศไทย โดยคัดสรรกลิ่นหอมในรูปแบบของดนตรีประเภทต่างๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของน้ำหอมที่มีความแตกต่างจากน้ำหอมยี่ห้ออื่น เช่น ใครชอบเพลงลูกทุ่งก็ใช้กลิ่นอินดี้ กลิ่นคาวบอย ใครชอบเพลงแจ๊สก็ใช้กลิ่นแจ๊ส

ประชากรภูธรยิ่งใหญ่ และเติบโตเร็ว

มีบางคำพูดที่ว่า การทำตลาดในยุคนี้ จะยึดแค่พฤติกรรม หรือความชอบของคนกรุงเทพฯ อย่างเดียวไม่ได้แล้ว ซึ่งพฤติกรรม ความชอบของคนเมือง และคนต่างจังหวัดย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องวัฒนธรรม รายได้ และการเข้าถึงสื่อต่างๆ

ตัวเลขจำนวนประชากรอัปเดตถึงสิ้นปี 2563 ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยมีประชากรรวม 66.1 ล้านคน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 5.5 ล้านคน ที่เหลือเป็นต่างจังหวัด โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานมีประชากรมากที่สุด 21.8 ล้านคน รองลงมาภาคกลาง 17.2 ล้าน ภาคเหนือ 12 ล้าน และภาคใต้ 9.4 ล้าน

นั่นเท่ากับว่ากลุ่มคนต่างจังหวัดเป็นกลุ่มใหญ่มาก จึงได้เห็นทิศทางของแบนด์ที่เริ่มจับทิศทางกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะการจับกลุ่มคนในเมืองเริ่มแคบ อีกทั้งพฤติกรรมของคนต่างจังหวัดก็เริ่มเข้าถึงสื่อดิจิทัลมากขึ้น

YDM Thailand ดิจิทัลเอเยนซี่เคยประเมินไว้ว่า พฤติกรรมการใช้งานสื่อดิจิทัลของคนในต่างจังหวัด ไม่ได้แตกต่างจากคนในกรุงเทพฯ แล้ว แบรนด์ใหญ่ๆ จึงต้องการใช้สื่อดิจิทัลเข้าเจาะกลุ่มคนภูธร ด้วยมีขนาดที่ใหญ่ประชากร 84% จาก 66 ล้านคนกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ

Photo : Shutterstock

ตัวเลขเมื่อ 2 ปีก่อน ตลาดภูธรครอบครองเม็ดเงินด้านการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศไว้มากกว่า 60% หรือประมาณ 307,000 ล้านบาท โดยมีข้อมูลบอกว่า มีการใช้เงิน 1,299 บาทไปไฮเปอร์มาร์เก็ตเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเดือน หรือไปร้านสะดวกซื้อ 169 บาท ทุกวันหรือทุกสัปดาห์

ความน่าสนใจยังอยู่ที่คนต่างจังหวัดมีอำนาจการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากสินค้าราคาถูกสู่สินค้าที่แพงมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายเพราะคนที่มีผลต่อการตัดสินใจเริ่มเปลี่ยน เมื่อก่อนที่เคยเชื่อเจ้าของร้านค้าปัจจุบันนี้ก็เริ่มน้อยลง เพราะรู้ว่าเจ้าของร้านมักดันแบรนด์ที่ตัวเองได้ผลประโยชน์ กลายเป็นว่าโฆษณามีผลน้อยกว่าคำพูดจากปากต่อปาก

จะเห็นได้ว่าการทำโฆษณามีความยากมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาการทำโฆษณาจะใช้อินไซต์ของคนกรุงเทพฯ เป็นจุดตั้งต้น การใช้เงินซื้อสื่ออย่างโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ กระจายโฆษณาตัวเดียวกันนี้ไปทั่วประเทศ ในอดีตอาจได้ผล แต่วันนี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว เพราะผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีเอกลักษณ์ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

ขณะเดียวกันคนภูธรใช้เวลาอยู่บนออนไลน์ไม่ต่างจากคนในเมืองมากนัก แต่เนื้อหาที่คนภูธรชอบจะแตกต่างออกไปกับคนเมือง อาทิ ฟังเพลงในสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน มีนักร้อง หรือศิลปินคนโปรดที่ไม่เหมือนกัน รวมทั้งละคร หรือรายการที่เลือกดูก็มีความแตกต่างกัน

ทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมแบรนด์ในยุคนี้ จึงเลือกที่จะทำตลาดจับกลุ่มภูธรคนต่างจังหวัด เพราะยังมีโอกาสมากมายมหาศาล อีกทั้งการจับแค่คนกรุงฯ ก็ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้วด้วย
]]>
1350164
เช็กเลย ! จังหวัดไหนบ้างที่ประกาศรับ ‘ผู้ป่วยโควิด’ กลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด พร้อมเบอร์ติดต่อ https://positioningmag.com/1340112 Thu, 01 Jul 2021 13:26:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340112 เช็กเลย…จังหวัดไหนบ้างที่ประกาศรับ ‘ผู้ป่วยโควิด’ กลับมารักษาตัวที่ภูมิลำเนา (มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามพื้นที่) พร้อมเบอร์ติดต่อประสานงานการเดินทาง เพื่อลดการเเพร่เชื้อ

จากสถานการณ์โรคระบาดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ เเละปริมณฑลเริ่มขาดเเคลนเตียงในการรักษา สำนักงานสาธารณสุขในหลายจังหวัด จึงออกประกาศ ให้ประชาชนผู้ที่มีผลตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 ที่มีความประสงค์จะกลับมารักษาตัวในพื้นที่ภูมิลำเนา โดยต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามพื้นที่ สามารถติดต่อสายด่วนของจังหวัดนั้นๆ เพื่อประสานงานกับทีมเเพทย์ในการเดินทางได้

โดยรายชื่อจังหวัดที่รับผู้ป่วยโควิด ‘กลับบ้าน’ ได้เเก่

1. จังหวัดมหาสารคาม
เบอร์ติดต่อ : 096-3423450

2. จังหวัดกาฬสินธุ์
เบอร์ติดต่อ : 043-019760 ต่อ 120-130
(ทุกวัน 08.30-20.00 น.)

3. จังหวัดนครพนม
เบอร์ติดต่อ : 082-8498155 , 061-0992999

4. จังหวัดสิงห์บุรี
เบอร์ติดต่อ : 061-3902229

5. จังหวัดกำแพงเพชร
เบอร์ติดต่อ : 093-1118594

6. จังหวัดมุกดาหาร
เบอร์ติดต่อ : 042-614270 , 081-2055908

7. จังหวัดอุบลราชธานี
เบอร์ติดต่อ : 082-6489270 , 096-6932139 , 096-3961783
(จันทร์ถึงศุกร์ 08.30-20.30 น.)

8. จังหวัดสุรินทร์
เบอร์ติดต่อ : 044-513999 (ในเวลาราชการ) , 092-5995108 (ตลอด 24 ชม.)

9. จังหวัดสระแก้ว
เบอร์ติดต่อ : 098-2728734 , 081-0510074

10. จังหวัดพะเยา
เบอร์ติดต่อ : 054-409123 (เวลา 08.30-16.30 น.)

11. จังหวัดยโสธร
เบอร์ติดต่อ : 045-712233 , 045-712234

12. จังหวัดอุตรดิตถ์
เบอร์ติดต่อ : 095-3126690

13. จังหวัดเลย
เบอร์ติดต่อ : 042-862123 ต่อ 2709 , 062-1977501 , ไลน์ : Referloei

14. จังหวัดเพชรบูรณ์
เบอร์ติดต่อ : 091-025-3596

15. จังหวัดสกลนคร
เบอร์ติดต่อ : 093-3285264

16. จังหวัดศรีสะเกษ
เบอร์ติดต่อ : 065-2400691 , 065-240680 , 065-2400688

17. จังหวัดพิษณุโลก
เบอร์ติดต่อ : 055-241555-9 (ในเวลาราชการ) , 088-2752261, 088-2919271 , 088-2752217 (นอกเวลาราชการ)

18. จังหวัดขอนแก่น
เบอร์ติดต่อ : 099-1692254 , 081-2604433 , 094-2891345

19. จังหวัดลำปาง
เบอร์ติดต่อ : 093-1408023

20. จังหวัดนครราชสีมา
เบอร์ติดต่อ : 081-2655604 , 065-1990188 (เวลา 08.30-20.30 น.) , 044-465010-4 ต่อ 440 (ในเวลาราชการ)

*ข้อมูลรวบรวม ณ วันที่ 1 ก.ค. 2564

 

 

 

 

 

 

 

]]>
1340112
ก้าวต่อไปของ Foodpanda ขอเป็น “ฟู้ดเดลิเวอรี่ ภูธร” มุ่งเข้าหา “ร้านอาหารเล็ก” ในชุมชน https://positioningmag.com/1305563 Thu, 12 Nov 2020 10:49:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305563 หลังเข้ามาตีตลาดในไทยได้ 8 ปี วันนี้ฟู้ดเเพนด้า” (Foodpanda) เดลิเวอรี่ชื่อดังจากเยอรมนี ขยายให้บริการครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ได้เป็นเจ้าเเรกเเล้ว

อย่างที่ทราบกันว่า ฟู้ดเเพนด้า มีกลยุทธ์หลักคือ Hyperlocalization ขยายไปยังต่างจังหวัดให้ได้มากที่สุด เเตกต่างจากฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่รายอื่นที่เข้ามาทำตลาดไทย โดยเน้นพื้นที่กรุงเทพฯ เเละปริมณฑลเป็นหลัก

ฟู้ดเเพนด้า เป็นผู้เล่นรายแรกๆ ที่ทำตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทย มาตั้งแต่ปี 2012 ตอนนั้นกระเเสเดลิเวอรี่ไม่ได้บูมเช่นปัจจุบัน บริษัทเริ่มรุกตลาดต่างจังหวัดไปที่เชียงใหม่ในปี 2014 เเละตอนนี้ก็ยังครองตลาดเมืองเหนือได้อย่าง
เหนียวเเน่น

การลงเล่นในสนามฟู้ดเดลิเวอรี่ต่างจังหวัดนั้นมีโอกาสและความท้าทายอยู่ไม่น้อย

อเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ กรรมการผู้จัดการ ฟู้ดแพนด้า ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่าประชากรไทยมีอยู่ราว 70 ล้านคน อยู่ในกรุงเทพฯ 10 ล้านคน ดังนั้นที่เหลืออีกกว่า 60 ล้านคนคือโอกาสที่จะมาเป็นลูกค้าเรา” 

เเม้ฟู้ดแพนด้าจะให้บริการ 77 จังหวัดเเล้ว เเต่ในต่างจังหวัดก็ยังจะครอบคลุมเเค่พื้นที่ในเมืองเป็นหลักเท่านั้น ซึ่งก้าวต่อไปที่บริษัทจะต้องทำให้ได้ ก็คือการเข้าถึงพื้นที่ชุมชนที่เล็กกว่านั้นเจาะทั้งอำเภอเเละตำบลต่างๆ

อเล็กซานเดอร์ เฟลเดอร์ กรรมการผู้จัดการ ฟู้ดแพนด้า ประเทศไทย

ปัจจุบัน ฟู้ดเเพนด้ามีจำนวนร้านอาหารอยู่ในระบบราว 120,000 ร้าน เพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ร้าน ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา จากอานิสงส์ช่วงล็อกดาวน์จากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมีไรเดอร์หรือคนขับ เพิ่มขึ้นเป็นหลักเเสนคน” (จากช่วงกลางปีอยู่ที่ 90,000 คน)

บริษัทเคลมว่า ตอนนี้มีระยะเวลาการจัดส่งอาหารถึงมือผู้สั่งเร็วที่สุดในบรรดาฟู้ดเดลิเวอรี่ไทยที่ 19.9 นาที จากเดิมในปี 2016 ท่ีมีระยะเวลาส่งเฉลี่ย 45 นาที

ฟู้ดเดลิเวอรี่ “ต่างจังหวัด” …ไม่ง่าย 

หลังการดำเนินกลยุทธ์ Hyperlocalization มาหลายปี มองอะไรเป็นความท้าทายเเละอุปสรรคของการทำตลาดเจาะฟู้ดเดลิเวอรี่ต่างจังหวัดในไทย

ผู้บริหารฟู้ดเเพนด้า ตอบว่า เเม้วงการนี้จะมีการเเข่งขันที่ดุเดือด เเต่ในต่างจังหวัดยังไม่มีคู่เเข่งมากนัก เป็นโอกาสที่จะไปเปิดฐานลูกค้าใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อจากต่างจังหวัดสูงถึง 50% ของออเดอร์ทั้งหมด

เเต่ยังมีความท้าทายสำคัญที่ต้องฝ่าฟันต่อไป เช่น ระยะทางของร้านอาหารกับผู้ซื้อที่ห่างกันเเละจำนวนไรเดอร์ก็มีน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่เเละกรุงเทพฯ จึงทำให้มีระยะเวลาการจัดส่งอาหารนานขึ้นตามไปด้วย

อีกทั้งผู้บริโภคต่างจังหวัดในเมืองรอง ยังไม่คุ้นชินกับการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่มากนัก ส่วนใหญ่นิยมซื้ออาหารเเล้วทานที่ร้านเลย

ซึ่งต่อไปฟู้ดเเพนด้าจะพยายามอุดช่องว่างปัญหาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ผ่านการโปรโมตต่างๆ จัดโรดโชว์เพิ่มการรับรู้เรื่องการใช้เเอปพลิเคชัน เเละอัดโปรโมชันส่วนลด เพื่อดึงดูดให้คนต่างจังหวัดหันมาใช้มากขึ้น

ทั้งนี้ คู่เเข่งรายใหญ่อย่าง Grab ให้บริการใน 32 จังหวัด ส่วน LINE Man WongNai เปิดให้บริการใน 14 จังหวัด , Gojek ให้บริการใน 6 จังหวัด ขณะที่น้องใหม่ Robinhood จากค่ายไทยพาณิชย์ ยังให้บริการเเค่ในกรุงเทพฯ ส่วนที่เหลือจะเป็นเเอปฯ ฟู้ดเดลิเวอรี่เล็กๆ ท้องถิ่นของคนไทย

เจาะ “ร้านเล็ก” ขยาย Grocery 

จำนวนร้านอาหารในระบบของฟู้ดเเพนด้า ล่าสุดที่มีอยู่ราว 120,000 ร้านนั้น หากเเบ่งเป็นสัดส่วนจะเห็นว่า กว่า 90% เป็นร้านอาหารรายย่อยแบบสแตนด์อะโลน ส่วนอีก 10% เป็นร้านอาหารของเชนแบรนด์ใหญ่

เฟลเดอร์ บอกว่า ถือเป็นจำนวนร้านเล็กที่สูงกว่าฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าอื่นๆ เเต่ตลาดเมืองไทยยังมีโอกาสที่บริษัทจะขยายไปได้มากกว่านั้น เพราะยังมีร้านอาหารมากกว่าอีก 3-4 แสนแห่งที่อยู่นอกระบบรอเราอยู่

อย่างที่ทราบกันว่า ความท้าทายของร้านอาหารเล็กๆคือเมื่อเจอการหักค่าธรรมเนียมสูง เเต่ออเดอร์ต่อรายการยังน้อยกว่าเชนใหญ่ ทำให้บางร้านไม่สามารถขายผ่านเเพลตฟอร์มด้วยราคาปกติได้

สำหรับประเด็นการหักค่า GP และการจ่ายเงินร้านอาหารล่าช้านั้น ผู้บริหารฟู้ดเเพนด้า ตอบว่า การหัก GP ในเรตดังกล่าวถือเป็นตัวเลขที่เหมาะสมแล้วในแง่ของการดำเนินธุรกิจ

บริษัทต้องพัฒนาเเพลตฟอร์ม ลงทุนด้านดิจิทัลให้ตอบโจทย์กับทุกฝ่าย ทั้งร้านอาหารที่ต้องขายได้ คนขับที่ต้องมีรายได้ เเละลูกค้าที่จะจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผล เเละยังต้องช่วยผลักดันยอดขายร้านอาหารนั้นๆ ให้สูงขึ้นตามไปด้วย อย่างการทำตลาดออนไลน์ให้ โดยที่ร้านอาหารไม่ต้องไปลงทุนทำเดลิเวอรี่ด้วยตัวเอง ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า

เป้าหมายต่อไปของฟู้ดเเพนด้า คือการการขยับมาส่งทุกอย่างไม่จำกัดเเค่อาหาร เเต่ครอบคลุมการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างหลากหลาย เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ , ยา , เครื่องสำอาง หรือเเม้กระทั่งดอกไม้

ในช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ฟู้ดแพนด้าปล่อยฟีเจอร์ “แพนด้ามาร์ท” รับส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ตามโมเดล Quick Commerce การันตีการส่งภายใน 20 นาที นำร่องเปิด 7 โลเคชั่นในกรุงเทพฯ ต่อยอดความสำเร็จจากสิงคโปร์ที่ได้เปิดให้บริการมาเกือบ 1 ปี มีการเติบโต 20-25 เท่า ได้มาปรับใช้ในไทย เป็นอีกโมเดลเพื่อ “เสริมรายได้ทางใหม่”

โดยตั้งเป้าขยาย “แพนด้ามาร์ท” ให้ในครอบคลุม 30 แห่งทั่วประเทศ ล่าสุดผลตอบรับค่อนข้างดี จึงได้เริ่มเปิดที่ “เชียงใหม่” ก่อนจะกระจายไปยังภาคใต้ เริ่มจาก “ภูเก็ต” เเม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ทำรายได้ในสัดส่วนที่มากนัก เเต่เป็นอีกช่องทางธุรกิจที่จะเติบโตไปข้างหน้าอย่างเเน่นอน

pandamart

ยิ่งเเข่งดุ…ยิ่งโต 

การเเข่งขันฟู้ดเดลิเวอรี่ในประเทศไทยนั้น ยิ่งจะดุเดือดเเละชิงเค้กกันมากขึ้นตามกระเเสความนิยมเเละทางเลือกที่หลากหลายของผู้บริโภค

ผู้เล่นรายใหญ่ๆ ที่มีสายป่านยาว ยังเผาเงินขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จากการแข่งขันในธุรกิจนี้ เนื่องจากต้องวางรากฐานให้ลูกค้าติดก่อนเเละค่อยหวังผลระยะยาวในอนาคต โดยในปี 2019 ฟู้ดเเพนด้าขาดทุนที่ 1,264.50 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ให้บริการหน้าใหม่เข้ามาไม่ขาดสาย อย่าง Robinhood ของ SCB ที่กระโดดเข้ามาร่วมสงครามนี้ ดูการชูไม่เก็บค่า GP ส่วน LINE MAN ก็ประกาศควบรวมกิจการกับสตาร์ทอัพไทยอย่าง Wongnai ด้าน Gojek ก็รีแบรนด์จาก Get ประเทศไทย

โดยภาพรวมการเติบโตของตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทยปี 2020  มีปริมาณคำสั่งอาหารต่อวันที่ 1.5 ล้านออเดอร์ นับว่าเติบโตจากปีที่เเล้วราว  6-7 เท่า ชะลอลงจากการเติบโตระหว่างปี 2018-2019 ซึ่งทำได้ที่ 8-9 เท่า

ผู้บริหารฟู้ดเเพนด้า เชื่อว่า ยิ่งตลาดมีการแข่งขันดุเดือดมากเท่าไหร่ตลาดยิ่งโตเเละผู้บริโภคก็ยิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น ซึ่งตลาดไทยยังมีโอกาสขยายไปได้อีกมาก เเละทิศทางของธุรกิจแพลตฟอร์มสั่งอาหารก็จะเติบโตแบบต่อเนื่อง

 

 

]]>
1305563
กรุงเทพฯ คงไม่พอ! “เอพี” หาน่านน้ำใหม่ เปิดตัวบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ “หัวเมืองรอง” เป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1266117 Thu, 27 Feb 2020 09:58:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1266117
  • กลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์ ปี 2563 เตรียมเปิดตัว 37 โครงการ มูลค่า 47,150 ล้านบาท เทน้ำหนักแนวราบสูงขึ้น ลดการเปิดคอนโดมิเนียม เน้นเซ็กเมนต์ถนัดระดับกลางถึงกลางบน
  • ตั้งเป้ายอดขายทรงตัว 33,000 ล้านบาท โตเพียง 2% ส่วนเป้ารายได้ 40,550 ล้านบาท เติบโตสูง 25% เนื่องจากมีการโอนคอนโดฯ 4 โครงการ
  • มองหาโอกาสใหม่ในต่างจังหวัด วางแผนชิมลาง 4-5 โครงการแนวราบในหัวเมืองรองทุกภูมิภาคเพื่อทดลองตลาด ประเดิมโครงการแรกที่นครศรีธรรมราช
  • มุมมองของเอพีปีนี้ยังคงวางแผนแบบระมัดระวังตามสถานการณ์ปัจจัยลบรอบด้าน “วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยแผนธุรกิจของบริษัทปี 2563 ว่า ปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการทั้งหมด 37 โครงการ มูลค่ารวม 47,150 ล้านบาท โดยลดสัดส่วนคอนโดมิเนียมลงจากปีที่ผ่านๆ มา วางแผนเปิดเพียง 4 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด

    โดยโครงการแนวราบส่วนใหญ่ที่จะเปิดปีนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นบ้านเดี่ยวแบรนด์ Centro ราคา 5-10 ล้านบาท และแบรนด์ The City ราคา 10-13 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮาส์เกือบทั้งหมดเป็นแบรนด์ Pleno ราคาเริ่มต้นเกือบ 3 ล้านบาท เพราะต้องการเจาะเซ็กเมนต์กลางและกลางบนเป็นหลัก อันเป็นตลาดที่เอพีถนัดและลูกค้ามีกำลังซื้อ

    สำหรับคอนโดฯ ที่จะเปิดเป็นแบรนด์ระดับกลางและกลางล่าง ได้แก่ Aspire เอราวัณ ไพรม์, Life ลาดพร้าว-จตุจักร, Life สุขุมวิท-พระราม 4 และ Life ราชปรารภ

     

    เป้ายอดขายเสมอตัว รอรับโอนคอนโดฯ

    “ปีนี้เปิดมา 2 เดือนแรก เราทำยอดขายแล้ว 4,300 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าที่คาดและดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะแนวราบเริ่มเปิดตัวแล้ว 11 โครงการ พบว่าตลาดยังมีดีมานด์สูง” วิทการกล่าว

    อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มตลาดจะดีขึ้น แต่เอพียังวางเป้ายอดพรีเซลแบบค่อนข้างเสมอตัว คืออยู่ที่ 33,000 ล้านบาท เติบโตเพียง 2% จากปีก่อน เพราะมีปัจจัยที่คาดไม่ถึงตั้งแต่ต้นปี เช่น ไวรัสโคโรนา มีผลกับเศรษฐกิจ

    Life อโศก-พระราม 9 หนึ่งในคอนโดฯ ที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้

    ส่วนเป้าหมายรายได้ วางไว้สูง 40,550 ล้านบาท (รวมรายได้โครงการร่วมทุนทั้งหมด) เติบโต 25% จากปีก่อน เนื่องจากปีนี้จะมีการโอนคอนโดฯ สร้างเสร็จใหม่ถึง 4 โครงการ มูลค่าแบ็กล็อก 16,560 ล้านบาท ได้แก่ Life ลาดพร้าว (ยอดขาย 93%), Life อโศก-พระราม 9 (ยอดขาย 93%), Aspire สุขุมวิท-อ่อนนุช (ยอดขาย 50%) และ Aspire อโศก-รัชดา (ยอดขาย 98%) รวมถึงมี 2 โครงการที่โอนต่อเนื่องมาจากปีก่อน

     

    ชิมลางต่างจังหวัด หาโอกาสใหม่

    ในแง่ทำเลการเปิดโครงการ ปีนี้ยังจะเป็นปีแรกที่เอพีไปเปิดตัวโครงการแนวราบในต่างจังหวัด จากที่ผ่านมา บริษัทเคยทำตลาดต่างจังหวัดเฉพาะคอนโดมิเนียม และพัฒนาเพียง 2 โครงการที่ จ.อุดรธานี และ จ.พิษณุโลก เมื่อ 5 ปีก่อน แต่ไม่เคยมีการเปิดโครงการแนวราบมาก่อน

    “วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป

    “เราไปเพื่อไปหาดีมานด์ใหม่ๆ เพิ่ม โดยจะมีการทดลองเปิด 4-5 โครงการ กระจายตามหัวเมืองรองภูมิภาคละ 1 โครงการ เพื่อดูโมเดลการพัฒนารูปแบบไหนที่จะเหมาะสมและภูมิภาคไหนที่เราทำได้” วิทการกล่าว “นอกจากผู้ซื้อกลุ่มใหม่แล้ว เรายังต้องไปเรียนรู้ผู้รับเหมาและซัพพลายเออร์ท้องถิ่นด้วย”

    โดยสาเหตุที่เอพีเลือกเมืองรองมากกว่าหัวเมืองหลักหรือท่องเที่ยว เพราะเห็นว่ามีคู่แข่งน้อยกว่าแต่ยังมีดีมานด์ เช่น นครศรีธรรมราช จังหวัดแรกที่จะไปเปิดโครงการช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ แม้ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวแต่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ

    “หัวเมืองหลักคู่แข่งเยอะและอยู่มานาน เราอาจจะสู้ยาก จึงขอเริ่มที่เมืองรองก่อน ถ้าเราแข็งแกร่งพอก็อาจจะขยับไปเมืองหลักต่อ”

    การไปบุกต่างจังหวัด เอพีจะเปิดตัวชื่อโครงการแบรนด์ใหม่ เพราะมองว่าจะเป็นโครงการที่มีสินค้าหลายแบบรวมกัน และอาจจะเปิดราคาเริ่มต้นที่ 1-2 ล้านบาทสำหรับทาวน์เฮาส์ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างซื้อที่ดินรวมแปลงในนครศรีธรรมราช และมองหาที่ดินในจังหวัดอื่นๆ

    ]]>
    1266117
    ห้างล้น กทม. ที่ดินแพง ทุนใหญ่พาเหรดลุย ตจว. https://positioningmag.com/1145373 Fri, 03 Nov 2017 10:22:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1145373 “โคราช” นับเป็นภูมิภาคทำเลทองล่าสุดที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกไปลงทุนกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจทุนหนาระดับมหาเศรษฐีของไทย และของโลก ไปรวมตัวกันครบแล้ว

    อย่างล่าสุด “เซ็นทรัล” ที่กำลังจะเปิดตัวที่โคราช หลังรอมานาน 16 ปี ของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ก็ร่วมลงสนามแล้ว จากก่อนหน้านี้ แม้จะมีศูนย์การค้ารูปแบบที่ต่างกันไปรออยู่แล้ว อย่างทุนจากเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ปักธง “บิ๊กซี” ไปแล้ว ทุนจากเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เปิดแนวรบเป็นเพื่อนโชห่วยด้วย “แม็คโคร” แล้ว และยังมีทุนจากกลุ่มเดอะมอลล์ และทุนต่างชาติ อย่าง “เทสโก้ โลตัส” รวมถึงเจ้าพ่อแลนด์แอนด์เฮาส์ “อนันต์ อัศวโภคิน” ที่จุดพลุห้างแนวใหม่ อย่างเทอร์มินอล 21 เมื่อปีที่แล้ว

    ในมุมมองของ สุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ที่ดินใน กรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มหายาก และแพง แต่ธุรกิจค้าปลีกก็ต้องลงทุนเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ของตนเองให้ต่อเนื่อง ทุกบริษัทที่มีทุน ก็รุกเต็มที่ในต่างจังหวัด

    ลักษณะการบุกต่างจังหวัดหลายปีที่ผ่านมาไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวกันจำนวนมาก เช่น ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต จากนั้นก็ไปบุกลงทุนในหัวเมืองใหญ่ ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างโคราช ล่าสุด ที่มีห้างไปเปิดบริการกันมาก บนถนนมิตรภาพ ที่เปรียบเทียบได้ว่าเป็นย่านธุรกิจของเมือง เหมือนซีบีด

    แม้ว่า ณ ปัจจุบันจำนวนลูกค้าจะยังไม่สามารถทำให้เกิดการคุ้มทุนได้เร็ว และยังต้องรอโครงสร้างระบบการคมนาคมอย่างรถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางเบา (โมโนเรล) แต่ธุรกิจค้าปลีกต้องมองระยะยาว คือ การซื้ออนาคต รอเวลาการคุ้มทุน และที่ได้แน่ๆ ในปัจจุบัน คือการครอบครองที่ดิน

    นอกจากการลงทุนในเมืองใหญ่ๆ กระแสที่กำลังมาคือการไปลงทุนในหัวเมืองรองมากขึ้น เช่น บางรายไปลำพูน ตาก เชียงราย พิษณุโลก แล้ว

    ขณะที่การลงทุนในกรุงเทพฯ กลุ่มห้างสรรพสินค้าเริ่มชะลอตัว เพราะที่ดินแพง หายากดังกล่าว และยังรองรับกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย ขณะที่กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต ก็จะขยายสาขาในขนาดพื้นที่เล็กลง

    ดังนั้น พื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศไทยปี 2560 ที่มีประมาณ 18.7 ล้านตารางเมตร อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 7 ล้านตารางเมตร อยู่ในต่างจังหวัด 1.1 ล้านตารางเมตร ในปีหน้าพื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 300,000-400,000 ตารางเมตร ที่เหลือจึงมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัดกันอย่างคึกคัก

    เทรนด์นี้ จากการสำรวจของ Positioning พบว่า แผนการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์ จะมีสัดส่วนในต่างจังหวัดมากกว่า หรือพอ ๆ กัน อย่างเช่นเซ็นทรัล ปี 2560 มีท้ังหมด 30 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 แห่ง ในต่างจังหวัด 17 แห่ง ส่วนใน 5 ปี ช่วงปี 2560-2564 เซ็นทรัล มีแผนขยายสาขาในต่างจังหวัด 7 จังหวัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล 7 แห่ง และที่มาเลเซีย 1 แห่ง

    นอกจากนี้ยังมีโรบินสันที่รุกต่างจังหวัด นอกจากไปกับห้างเซ็นทรัลแล้ว หากแยกตั้งเอง ก็จะเน้นความเป็นห้างไลฟ์สไตล์ ที่มีแผนเปิดใน 3 จังหวัดในปีนี้

    ขณะที่แม็คโคร ที่เป็นห้างที่ต้องใช้พื้นที่กว้าง หยุดขยายสาขาในกรุงเทพฯ มาแล้วหลายปี โดยตั้งแต่ปี 2557 มีสาขาในกรุงเทพฯ 9 แห่ง แต่ขยายสาขาในต่างจังหวัดในช่วงปี 2557-2562 แล้ว 48 แห่ง

    ส่วนบิ๊กซี ก็มีแผนการขยายห้างขนาดใหญ่ 9 แห่งในปีนี้ ที่เกือบทั้งหมดอยู่ในต่างจังหวัด.

    ]]>
    1145373