พรีเซ็นเตอร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 29 Sep 2023 15:21:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 4 พรีเซ็นเตอร์ค่าย “อสังหาฯ” ตอบโจทย์การสร้างแบรนด์ให้องค์กรอย่างไร https://positioningmag.com/1446304 Fri, 29 Sep 2023 15:21:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446304
ไม่ใช่ทุกค่าย “อสังหาฯ” ที่มีการว่าจ้าง “พรีเซ็นเตอร์” ส่วนใหญ่จะมีการจ้างงานเป็นบางปีที่ต้องการสร้างแคมเปญพิเศษ​ หรือจ้างเป็นรายโครงการที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของปี เราไปดูกันว่า ค่ายอสังหาฯ ที่มีพรีเซ็นเตอร์ในช่วงนี้ เลือกใคร และต้องการตอบโจทย์อะไรให้กับองค์กร
—————
“ศุภาลัย: โบว์-เมลดา สุศรี”
คาแรกเตอร์: เป็นกันเอง เข้าถึงง่าย จริงใจ
โจทย์การสร้างแบรนด์: เข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ เพราะศุภาลัยกำลังรุกตลาดภูมิภาคมากขึ้น
—————
“เอพี: บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล”
คาแรกเตอร์: คนรุ่นใหม่ เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน รสนิยมดี
โจทย์การสร้างแบรนด์: เจาะกลุ่มเป้าหมายคนวัยต่ำกว่า 30 ปี เป็นวัยซื้อบ้านหลังแรก
แท็กไลน์: เลือกชีวิตดีๆ ที่ HAPPY
—————
“เอสซี แอสเสท: ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่”
คาแรกเตอร์: ไลฟ์สไตล์ทันสมัย โดดเด่นเป็นที่รู้จัก
โจทย์การสร้างแบรนด์: สะท้อนเอกลักษณ์ของเอสซี แอสเสทที่มีความทันสมัยเหมาะกับคนรุ่นใหม่
แท็กไลน์: อยู่แบบใหม่ แบบสับ
—————
“ซีพี แลนด์: สิงโต-นำโชค”
คาแรกเตอร์: สดใส สนุกสนาน รักครอบครัว
โจทย์การสร้างแบรนด์: รีเฟรชแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย เข้าถึงคนได้มากขึ้น
แท็กไลน์: ความสุขเดินทางได้
—————
]]>
1446304
อยู่มานาน 34 ปี “ศุภาลัย” เพิ่งมีพรีเซ็นเตอร์คนแรกคือ “โบว์-เมลดา” ทำไมต้องมีในจังหวะนี้!? https://positioningmag.com/1444937 Wed, 20 Sep 2023 07:25:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444937 ก่อนหน้านี้ “ศุภาลัย” ไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ระดับองค์กรมาก่อน จะมีก็แต่ระดับรายโครงการเป็นครั้งคราว แต่ล่าสุดบริษัททำเซอร์ไพรส์ เปิดตัว “โบว์เมลดา สุศรี” เป็นพรีเซ็นเตอร์องค์กรคนแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 34 ปี ทำไมศุภาลัยถึงต้องมีพรีเซ็นเตอร์ในจังหวะนี้ มีโจทย์อะไรที่ต้องตีให้แตกจากการโปรโมตผ่านดาราดังระดับประเทศ

“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เกริ่นถึงที่มาที่ไปของการมีพรีเซ็นเตอร์คนแรกว่า เกิดจากการเติบโตของศุภาลัยที่กลายเป็นเจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับประเทศ เพราะมีการขยายตัวออกจากกรุงเทพฯ-ปริมณฑลไปมาก ปัจจุบันเปิดขายอยู่ในภูมิภาค 28 จังหวัด และปี 2567 จะมีเพิ่มอีก 5 จังหวัดใหม่

เมื่อขยายไปทั่วประเทศ ศุภาลัยจึงอยากจะตอกย้ำแบรนด์ในระดับองค์กร (Corporate Brand) จะชูแท็กไลน์เรื่อง ‘Standard ดี Quality เดียวกัน’ เพราะต้องการให้ผู้บริโภคต่างจังหวัดมั่นใจว่าศุภาลัยในภูมิภาคจะใช้มาตรฐานการก่อสร้างเดียวกับที่กรุงเทพฯ

รวมถึงเป็นการย้ำแบรนด์ด้วยภาพลักษณ์ที่ ‘เป็นปัจจุบัน” มากกว่าเดิม

“คนรู้จักชื่อศุภาลัยกันอยู่แล้วทั่วประเทศ​ แต่หลายคนอาจจะรู้จักจากการไปเที่ยวบ้านเพื่อนเมื่อ 5 ปีก่อน” ไตรเตชะกล่าว “การดึงคุณโบว์ (เมลดา) มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็จะช่วยให้คนเห็นภาพโครงการที่เป็นปัจจุบันของเรา ได้รู้จักว่าโครงการใหม่ๆ ดีไซน์ของเราเป็นแบบไหน”

Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการ
ส่วนโคเวิร์กกิ้งสเปซใน Supalai Parc เอกมัย-พัฒนาการ

Positioning มองภาพลักษณ์ในวงการของศุภาลัยต่อผู้บริโภค ที่ผ่านมามักจะถูกมองว่าบ้านมีมาตรฐานการก่อสร้างและราคาดี แต่ดีไซน์อาจจะไม่ทันสมัย

อย่างไรก็ตาม ศุภาลัยเริ่มมีการปรับแก้ดีไซน์ให้ตามเทรนด์มากขึ้นแล้วในระยะหลัง ตัวอย่างเช่น มีการรีแบรนด์คอนโดมิเนียม “Supalai Park” เป็น “Supalai Parc” เปลี่ยนลุคมาใช้สีสันสดใสวัยรุ่น หรือทดลองออกแบบ “บ้านที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง” ในแง่การออกแบบฟังก์ชันหรือวัสดุที่ใช้ สะท้อนให้เห็นว่าศุภาลัยมีการปรับตัวตามเทรนด์คนรุ่นใหม่

การสื่อสารดีไซน์ใหม่และความเปลี่ยนแปลงของศุภาลัยจะถูกสื่อสารผ่านพรีเซ็นเตอร์ “โบว์-เมลดา สุศรี” นี่เอง

ศุภาลัย โบว์-เมลดา
โบว์-เมลดา สุศรี พรีเซ็นเตอร์คนแรกของ “ศุภาลัย”

 

เฟ้นหาเซเลบที่เข้าถึงคนได้ทุกภูมิภาค

ด้านการเฟ้นหาพรีเซ็นเตอร์คนแรกของบริษัท ไตรเตชะกล่าวว่า เหตุที่เลือกโบว์-เมลดาเพราะเธอสามารถเจาะตลาดได้ในระดับประเทศ บทบาทในละครของเธอรับบทมาแล้วทั้งสาวเหนือ สาวใต้ สาวอีสาน และสาวภาคกลาง จึงพูดภาษาถิ่นเข้าถึงคนได้ทุกภูมิภาค สอดคล้องกับการขยายโครงการของศุภาลัย

รวมถึงคาแรกเตอร์ของโบว์-เมลดาเป็นคนเข้าถึงง่าย จริงใจ เป็นกันเอง และมีหลายไลฟ์สไตล์ ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นศุภาลัยอีกเช่นกัน

การเปิดตัวโบว์-เมลดาครั้งนี้ ศุภาลัยจัดทำแคมเปญโฆษณาชุด “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” ขึ้นมาด้วย เปิดด้วยประโยคจาก ‘ดราม่า’ ของโบว์-เมลดาเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาว่า “อ้วนขึ้นแล้วบ้านแคบลงป้ะ?” คำตอบของเธอเมื่อถูกชาวเน็ตทักเรื่องรูปร่าง กลายมาเป็นโฆษณาบ้านในวันนี้

ไตรเตชะไม่ได้เปิดเผย ‘ค่าตัว’ ของพรีเซ็นเตอร์แต่รวมอยู่ในงบการตลาด 100-200 ล้านบาทที่ศุภาลัยใช้ในปีนี้ และจะเป็นปีที่บริษัททำการตลาดผ่าน TVC โทรทัศน์ด้วย เพราะต้องการส่งแคมเปญร่วมกับโบว์-เมลดาให้เข้าถึงทั้งประเทศ

“เราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลเป็นยอดขายทันที แต่เน้นการสื่อสาร Corporate Brand ในระยะยาวมากกว่า” ไตรเตชะกล่าว “เป็นการลองทำอะไรใหม่ๆ ทางการตลาดของเราด้วย”

สำหรับปี 2567 ศุภาลัยตั้งเป้าจะขยายตัวไปในอีก 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ลพบุรี, สระบุรี, เพชรบุรี, ราชบุรี และจันทบุรี ซึ่งน่าจะได้เห็นผลชัดขึ้นว่าแคมเปญจากพรีเซ็นเตอร์คนแรกจะช่วยสร้างการรับรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness) ได้มากแค่ไหน

]]>
1444937
ทำไม ‘เอไอเอส’ ต้องทุ่มจับ ‘New Gen’ และกลยุทธ์การใช้ ‘พรีเซ็นเตอร์’ จะเป็นอย่างไรเมื่อไร้ ‘ลิซ่า’ https://positioningmag.com/1387891 Mon, 06 Jun 2022 10:49:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387891 เอไอเอส (AIS) ถือเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมเบอร์ 1 ไทยที่ครองตำแหน่งมานานหลายสิบปี โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานรวมกว่า 44.6 ล้านเลขหมาย เรียกว่าเกินครึ่งของประชากรไทยที่มีกว่า 66 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่ของเอไอเอสจากนี้ก็คือ การควบรวม ทรู-ดีแทค ที่แม้จะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าจะเกิดขึ้น แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง และเมื่อวันนั้นมาถึงเอไอเอสอาจไม่ใช่เบอร์ 1 อีกต่อไปก็ได้ ดังนั้น เอไอเอสจึงเริ่ม ‘ลงทุนกับอนาคต’ เพื่อรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ต่อไป

หากพูดถึงประชากรไทย ปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2565 เนื่องจากมีจำนวนผู้สูงอายุราว 20-30% ของประชากร และไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอดเช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วน 28% ภายในปี 2574 กลับกันอัตราการเกิดของไทยก็ลดต่ำลงเรื่อย ๆ โดยในปี 2564 มีเด็กไทยเกิดเพียง 5.4 แสนคน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตเสียอีก คำถามคือ ทำไม เอไอเอส ถึงได้พยายามจับกลุ่ม New Gen มาเป็นลูกค้า

ซื้อใจ New Gen = ซื้ออนาคต

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส อธิบายว่า ภาพรวมกลุ่มลูกค้า New Gen (12-24 ปี) มีจำนวนประมาณ 15 ล้านคน โดยเอไอเอสมีส่วนแบ่งราว 40% แม้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะมีไม่มาก และมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนต่อคน (ARPU) ไม่สูงเพราะยังไม่มีรายได้ แต่เอไอเอสมองว่านี่คือ การลงทุนในอนาคต เพราะกลุ่ม New Gen มีความสำคัญตรงที่ ถ้าได้มาสัมผัสสินค้าหรือบริการในครั้งแรกหรือช่วงต้นของอายุจะทำให้เขาติด ใช้แล้วไม่อยากเปลี่ยน

“จริง ๆ แล้วเราให้ความสำคัญกับทุกกลุ่มลูกค้า ไม่ใช่ว่ากลุ่มนี้ใหญ่ให้ความสำคัญมากกว่า กลุ่มนี้เล็กเราไม่สนใจ แต่เราพยายามสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับทุกกลุ่ม เพียงแต่วิธีการต่างกันไป อย่างกลุ่มผู้ใช้อายุ 40 ปีขึ้นไปที่เป็นฐานใหญ่สุดเราก็มีเซเรเนด”

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส

ต่อสัญญาลิซ่าไม่สำเร็จไม่กระทบ

เอไอเอสถือเป็น เจ้าแห่งพรีเซ็นเตอร์ เพราะสามารถกวาดศิลปินเบอร์ใหญ่ของไทยเข้าสังกัดจำนวนมาก อาทิ เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์, มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน, เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ, เบลล่า-ราณี แคมเปน, เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ, เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร, ทอม Room39 และ วี วิโอเลต

และเพื่อจับกลุ่ม New Gen โดยเฉพาะ เอไอเอสได้ปั้นทีม #TEAMAIS5G พรีเซ็นเตอร์เลือดใหม่กว่า 20 คน นำโดย แบมแบม GOT7, วิน เมธวิน, แอลลี่, บิวกิ้น, พีพี, เจเจ, ต้าเหนิง, นนน,โอม, ทรินิตี้ และ 4EVE

“เมื่อก่อนพรีเซ็นเตอร์เราจะจับกลุ่มผู้ใหญ่หน่อย อย่างเป๊ก, เวียร์, เบลล่า ดังนั้น กลุ่ม TEAM AIS 5G จะเป็นมาจับกลุ่มเด็กวัยรุ่นจริง ๆ อย่างลิซ่าก็ไม่ได้เจาะแค่วัยรุ่นแต่เข้าถึงกลุ่มที่ค่อนข้างกว้าง เพราะถือว่าเป็นศิลปินที่รู้จักระดับโลก”

อย่างไรก็ตาม การเสีย ลิซ่า BlackPink หรือ ลลิษา มโนบาล ที่เป็นพรีเซ็นเตอร์มา 3 ปี เนื่องจากค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญาและไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest นั้น เอไอเอสเชื่อว่าจะ ไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเอไอเอสพยายามเต็มที่แล้วแต่ไม่สำเร็จ

“แน่นอนว่าเรื่องดึงพรีเซ็นเตอร์ก็มีการเเข่งขันสูงอย่างที่เห็น และที่เราต่อสัญญากับลิซ่าไม่สำเร็จก็ถือเป็นเรื่องปวดใจ แต่เราก็พยายามเต็มที่แล้ว”

พรีเซ็นเตอร์ไม่จำกัดแค่ดารา

เนื่องจากกลุ่ม New Gen จะเกิดมาในยุคดิจิทัลแบบ 100% ไลฟ์สไตล์ยิ่งมีความหลากหลาย, ซับซ้อนและยิบย่อยระดับนาโน ดังนั้น ทิศทางการใช้พรีเซ็นเตอร์กับกลุ่มนี้จะ ไม่จำกัดแค่ศิลปินดารา แต่ต้องเป็นคนที่สามารถ สร้างแรงบันดาลใจ หรือ สามารถพูดภาษาเดียวกันกับกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากนี้ การสื่อสารแบบเดิม ๆ ใช้ไม่ได้ผล อย่างกิจกรรม โรดโชว์ออกบูธ ตามสถานศึกษา เอไอเอสก็ได้เลิกใช้แล้วเพราะไม่ได้ผล ดังนั้น เอไอเอสจึงใช้กลยุทธ์ Co-Create กับพรีเซ็นเตอร์ในการสื่อสารเพื่อให้ตรงใจเป้าหมายที่สุด

“เด็กสมัยนี้เขาไม่สนใจโฆษณา แต่เลือกจากการศึกษา ฟังจากเพื่อน และค้นหาข้อมูล ดังนั้น พรีเซ็นเตอร์จะมีอิทธิพลกับเป้าหมายขึ้นอยู่กับว่าพูดในภาษาเดียวกับเป้าหมายแค่ไหน เราต้องทำให้เขารู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อน นี่คือฟิลลิ่งที่โฆษณาทำไม่ได้เพราะมีข้อจำกัด เราจึง Co-Create ร่วมกับพรีเซ็นเตอร์เพื่อให้สื่อความได้แม่นยำกว่า”

ราคาและสิทธิพิเศษต้องมาคู่กัน

แน่นอนว่าการแข่งขันเพื่อดึงลูกค้ากลุ่ม New Gen รุนแรงตั้งแต่เรื่องราคา และลอยัลตี้ในกลุ่มวัยรุ่นนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการแต่ละคนว่า หาของถูก หรือ หาสิทธิประโยชน์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูกค้าจะอยู่ยาวก็ต้องมี คุณภาพ ควบคู่ไปด้วย เพราะ 47% ของลูกค้าระบุว่า คุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทุกด้าน เอไอเอส ได้เพิ่ม AIS ZEED 5G สำหรับกลุ่มนักศึกษาโดยราคาเริ่มต้น 249 – 499 บาท ที่ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ทั้งด้านการเรียน ความบันเทิง และคอนเทนต์ รวมถึงแพ็กเกจแบบเติมเงินที่สามารถเลือกเองได้แบบ DIY แพ็กเกจ

ในส่วนของกิจกรรมพิเศษ เอไอเอส เตรียมจัดคอนเสิร์ต AIS 5G Faniverse จาก TEAM AIS 5G, การพบปะกับดารา ศิลปินใน AVATAR PARK, การถ่ายทอดสด ศึกแดงเดือดแบบ 360 องศา และสิทธิพิเศษจาก AIS Point รวมถึงการลุ้นรับรางวัลพิเศษทองคำมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

“เราเชื่อว่าถ้ามีของที่เขาชอบนำเสนอให้เขา เขาก็จะอยู่กับเรา เพราะตอนนี้ New Gen ไม่ได้มองแค่เรื่องราคาแล้ว”

ถ้าดูจากกลยุทธ์ในการมัดใจ New Gen ก็ต้องถือว่าเอไอเอสให้ความสำคัญกับ อนาคต มากทีเดียว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะ ทรู-ดีแทค จ่อควบรวมกัน อีกทั้ง 5 ปีจากนี้ เอไอเอสคาดว่า 5G จะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน ดังนั้น เอไอเอสต้องเร่งเดินเกมมัดใจ New Gen เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้เป็นลูกค้าเอไอเอสต่อไปในระยะยาว

]]>
1387891
จับตา “พรีเซ็นเตอร์ภูธร” เพิ่มพลังแมสให้มากกว่าพรีเซ็นเตอร์ตัวท็อป https://positioningmag.com/1350164 Sat, 04 Sep 2021 13:59:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350164 พรีเซ็นเตอร์ตัวท็อปของประเทศหลบไปก่อน ยุคนี้ต้อง “พรีเซ็นเตอร์ภูธร” แบรนด์ใหญ่พร้อมใช้เลือกศิลปินลูกทุ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์มากขึ้น หวังเจาะใจลูกค้าต่างจังหวัด สร้างภาพลักษณ์ให้แมสมากขึ้น

ดาราเบอร์ใหญ่ไม่ตอบโจทย์ ยุคนี้ต้องเจาะเซ็กเมนต์

ถ้าพูดถึงศิลปิน หรือดารานักแสดงชื่อดังของไทย ที่ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์สินค้ามากที่สุด คงหนีไม่พ้นชื่อดาราเบอร์ใหญ่ๆ เช่น อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, คิมเบอร์ลี่, ญาญ่า อุรัสยา, ณเดชน์ คุกิมิยะ, แพนเค้ก เขมนิจ, เก้า สุภัสรา, มาริโอ้ เมาเร่อ, ไบร์ท วชิรวิชญ์, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก, เป๊ก ผลิตโชค, เบลล่า ราณี, เจมส์ จิรายุ และอื่นๆ อีกมากมาย

จะเห็นว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะแบรนด์ไทย หรือแบรนด์อินเตอร์ ย่อมต้องเคยมีโอกาสใช้พรีเซ็นเตอร์เบอร์ใหญ่ๆ ที่กล่าวมาทั้งสิ้น เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

แต่ในช่วงในกี่ปีมานี้ หลายแบรนด์เริ่มปรับกลยุทธ์ใหม่ เนื่องจากการทำการตลาดที่เหวี่ยงแห หรือการตลาดแบบแมส ไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าที่ควร ต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่

จึงได้เห็นกลายแบรนด์เริ่มจับพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นกระแส ถึงแม้จะไม่เป็นที่รู้จักทั้งหมด แต่ก็สามารถสื่อสารกับคนบางกลุ่มได้อย่างดี เช่น BNK48 รวมไปถึงสินค้ากลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ก็จะเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ตามกลุ่มเป้าหมาย จึงได้เห็นนักร้องลูกทุ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ในสินค้าระดับแมสมากขึ้น เช่น หญิงลี กับแบรนด์แจ๋ว, ถั่งเช่ายิ่งยง และโสมพลัส ที่เลือกใช้จินตหรา พูนลาภ

หรืออย่างแบรนด์มาร์เก็ตเพลสอินเตอร์อย่าง “ช้อปปี้” ก็ยังเลือกเจาะพรีเซ็นเตอร์ระดับแมสสไตล์ภูธร ในปีที่แล้วได้เลือก “แก๊ง 3 ช่า” หรือหม่ำ เท่ง โหน่ง เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตามมาด้วยกิ๊ก สุวัจนี และล่าสุดกับแจ๊ส ชวนชื่น และเฉินหลง

“โออิชิ” ดึง “เบิ้ล ปทุมราช” ขยายฐานวัยรุ่นแดนอีสาน

แต่ไหนแต่ไรเราจะได้เห็นชาเขียว “โออิชิ” ทำตลาดที่จับกลุ่มวัยรุ่นมาโดยตลอด เพราะด้วยคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ ทำให้เลือกพรีเซ็นเตอร์ที่มีความแมสยอดนิยมในตอนนั้นอย่างมาก เรียกว่าไม่ให้หลุดกระแสไปได้ ที่ผ่านมาจึงได้เห็นทั้งเป๊ก ผลิตโชค หรือจะเป็นคู่จิ้นคู่วายอย่าง “ไบร์ท-วิน”

รวมไปถึงเมื่อปี 2562 โออิชิได้ออกแคมเปญใหญ่ “โออิชิ รถสุดฮิพ ทริปสุดโอ” ได้กวาดพรีเซ็นเตอร์ถึง 10 คน กับ 10 หนุ่ม GMM ทีน ไอดอล นำทีมโดย คริส-พีรวัส และ สิงโต-ปราชญา ตามด้วย ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร, กัน-อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์, เต-ตะวัน วิหครัตน์, นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ นนน-กรภัทร์ เกิดพันธุ์, ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์, ซิง-หฤษฏ์ ชีวการุณ และลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ

ในปีนี้โออิชิได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตัวเอง ด้วยการดึง “เบิ้ล ปทุมราช” นักร้องลูกทุ่งจากค่ายอาร์สยามขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด เพื่อต้องการจับกลุ่มวัยรุ่นชาวอีสานให้มากขึ้น เปิดตัวแคมเปญ “โออิชิ พลัสซี x เบิ้ล ปทุมราช” พร้อมกลยุทธ์ Regional Music Marketing

เจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“เรายังต้องการเพิ่ม Penetration ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอีสานให้ได้มากขึ้น และข้อมูลจาก Youtube Thailand ยังพบอีกว่าเพลงลูกทุ่งอีสานกวาดอันดับ Top Trend VDO ยอดนิยมสูงสุดบนช่องทาง Youtube ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความนิยมของคนอีสานที่ชื่นชอบการฟังเพลงนั่นเอง ดังนั้นการเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงอารมณ์และการเล่าเรื่องคงไม่มีอะไรตอกย้ำกลุ่มเป้าหมายได้ดีเท่าการนำดนตรี หรือมิวสิคมาร์เก็ตติ้งมาช่วยในการทำตลาด

ซึ่งมิวสิกมาร์เก็ตติ้งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่คลาสสิกสำหรับทุกยุค เพียงแค่เรานำมาปรับรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัยและผู้บริโภคโดยแคมเปญอีสานในครั้งนี้ เราเลือกเบิ้ล ปทุมราช นักร้องอันดับหนึ่งจากค่ายอาร์สยามที่มียอดวิวเพลงรวมกว่า 1,000 ล้านวิว และมียอดผู้ติดตามทาง Social Media มหาศาล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในครั้งนี้ได้จัดเต็มสื่อเอาต์ออฟโฮมจัดเต็มในพื้นที่อีสานกว่า 10จังหวัด”

แคมเปญนี้มาพร้อมกับเพลง และมิวสิกวิดีโอ พร้อมกับชิงโชคแจกทองคำแท่ง ส่งรหัสใต้ฝาผ่านแอปโออิชิคลับ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

“ไวไว” ก็ต้อง “เบิ้ล ปทุมราช”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ไวไว” เป็นแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไม่ค่อยได้ใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับแบรนด์ “ควิก” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในเครือ ที่จะมีสีสันที่หวือหวากว่า

ในปีนี้ไวไวได้เปิดเกมหนักตั้งแต่ต้นปี ประกาศดึง “เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม” เดินเกมพรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยการเปิดแคมเปญใหญ่ “ไวไวเข้มข้น จนต้องเบิ้ล” ชู 2 รสชาติยอดนิยม “ไวไว รสหมูสับ” และ “ไวไว รสหมูสับต้มยำ” เป็นตัวชูโรง

ยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย เผยถึงไอเดียการทำตลาดในปี 64 ว่า

“นอกจากจุดแข็งเรื่องเส้นของไวไวที่ถูกปากคนไทย ตามสโลแกนเหนียวนุ่ม…ไม่อืด ไวไวยังมีจุดเด่นเป็นที่พูดถึงกันมาก ในเรื่องของรสชาติที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น หอมอร่อยอย่างลงตัว ซึ่งในปีนี้ไวไวจะดึงเอาแนวคิด ความเข้มข้น มาตอกย้ำความชัดเจนด้วยการดึงศิลปินหนุ่มขวัญใจมหาชน เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม มาร่วมงาน สร้างความเข้มข้นของรสชาติตระกูลหมูสับ หนึ่งในกลุ่มรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ ให้เกิดภาพจำอีกหนึ่งจุดแข็งของไวไว ในสโลแกนใหม่ไวไวเข้มข้น จนต้องเบิ้ล”

เหตุผลที่เลือกเบิ้ล ปทุมราช มาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น ยศสรัลบอกว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่าง เบิ้ล ปทุมราช อาร์สยาม กับ ไวไว หมูสับทั้ง 2 รสชาติแล้ว เบิ้ลยังมีอีกคาแร็กเตอร์อีกด้านที่ชัดเจนในความเป็นศิลปิน New Gen ที่มีความพยายามมุ่งมั่นตามฝัน ด้วยใจที่ไม่ย่อท้อ จนกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เป็นที่รักของชาวอีสาน และใช้ความสามารถสร้างผลงานที่เป็นที่ชื่นชอบของมหาชนทั่วประเทศ ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ให้พร้อมรับประสบการณ์ความเข้มข้น กับไวไว หมูสับ รสชาติในแบบที่ใครก็ชื่นชอบ และพร้อมที่จะเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั่วไทย เหมือนกับ เบิ้ล ปทุมราช

“เลย์” คว้า “ครูเต้ย” เดินหน้าบุกอีสาน

ต้องบอกว่าที่ผ่านมา “เลย์” ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ในระดับท็อปๆ ที่อยู่ในกระแสทั้งสิ้น เช่น ณเดชน์-ญาญ่า, ใหม่ ดาวิกา, เป๊ก ผลิตโชค, แพรวา และคู่จิ้นบิวกิ้น-พีพี เป็นต้น

อีกหนึ่งกลยุทธ์ของเลย์ก็คือการออกรสชาติใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาด และสร้างสีสันให้ผู้บริโภค ในปีนี้เลย์รสชาติใหม่มาในคอนเซ็ปต์ “เลย์ชวนฟินกินสตรีทฟู้ด” จับกระแสเมนูดังที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เน้นรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย

โดยในไตรมาสแรกเริ่มต้นที่ กลิ่นแจ่วฮ้อนหม้อไฟ และรสมะนาวแซ่บซี๊ด ซึ่งวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ ทั้ง 2 รสชาติดังกล่าวเป็นรสชาติสไตล์อีสาน ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อเอาใจผู้บริโภคชาวอีสานตามแผนโปรโมตในปี 2564

จึงเป็นที่มาของการดึง “เต้ย – อภิวัฒน์ บุญเอนก” หรือ ครูเต้ย มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเป็นการบุกแดนอีสานอย่างเต็มที่

ศิเรมอร ศุภจรรยา ผู้จัดการอาวุโส ผลิตภัณฑ์เลย์ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า

“ในทุกๆ ปี เลย์จะออกรสชาติใหม่ หรือ Seasoning Flavor เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ผู้บริโภคที่ชอบลองรสชาติใหม่ๆ โดยในปี 2564 เลย์ได้จับกระแสสตรีทฟู้ด เสมือนนำเมนูเด็ดสุดฮิตจากร้านอาหารมาไว้ในซองเลย์ตลอดทั้งปี อร่อยฟินเหมือนไปกินที่ร้าน โดยได้วางขาย 2 รสชาติแรกแล้วเรียบร้อย นั่นคือ กลิ่นแจ่วฮ้อนหม้อไฟ และ รสมะนาวแซ่บซี๊ด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีถึงรสชาติที่แซ่บจัดจ้าน นอกจากนี้ อีกเป้าหมายสำคัญคือการเจาะกลุ่มผู้บริโภคอีสานอย่างเข้มข้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา โดยมีโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่สื่อสารกับผู้บริโภคชาวอีสานโดยเฉพาะผ่านพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ขวัญใจชาวอีสาน เต้ย – อภิวัฒน์ บุญเอนก หรือ ครูเต้ย ที่จะร่วมแสดงในภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ตลอดทั้งปี 2564”

“แลคตาซอย” จัดทัพเพลง “แลคตาซอยห้าบาท” ชุดใหม่

ถ้าพูดถึงชื่อแบรนด์แลคตาซอย หลายคนคงจะหักห้ามใจได้ยากที่จะไม่ฮัมเพลง “แลคตาซอย 5 บาท 125 มิลลิลิตร ปริมาณคับกล่องเต็มที่ ดื่มได้ดื่มดี ดื่มแลคตาซอย 5 บาท”

ก่อนหน้านี้แลคตาซอยได้วางจุดยืนให้แลคตาซอย 5 บาทจับกลุ่มเด็ก โฆษณาในอดีตจึงมีเด็กๆ ออกมาร้องเพลง หลังจากนั้นก็เริ่มวางภาพให้แมสมากขึ้น ได้ดึง BNK48 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

ทิศทางใหม่ของแลคตาซอยต้องการให้แบรนด์เข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกวัย และบุกตลาดขนาด 125 มิลลิลิตรมากขึ้น ในปีนี้จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “แลคตาซอยห้าบาท ส่งความสุขทั่วไทย” คว้าตัวศิลปินแม่เหล็กของประเทศ ได้ นิว-จิ๋ว, ลาบานูน, ตรี ชัยณรงค์ และหญิงลี มาร้องเพลงให้กับหนังโฆษณาแลคตาซอยห้าบาทชุดใหม่

จะเห็นได้ว่าศิลปินทั้ง 4 กลุ่มนี้มีความแมสเฉพาะตัว และมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ถ่ายทอดโดยศิลปินที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในทุกภาค ได้แก่ นิว-จิ๋ว ตัวแทนวัยทำงานในกรุงเทพฯ ภาคกลางและภาคเหนือ, ลาบานูน ตัวแทนภาคใต้ ตรี ชัยณรงค์ และ หญิงลี ตัวแทนความสนุกจากภาคอีสาน เพื่อย้ำสร้างความจดจำแบรนด์แลคตาซอย เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศ ทุกวัย

พรรวนา มหาทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด เปิดเผยว่า

“สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงต้นปีนี้ บริษัทได้จัดแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานผู้บริโภคเดิมให้แข็งแรง ควบคู่ไปกับการขยายฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ให้กว้างขึ้น โดยล่าสุดได้จัด แคมเปญแลคตาซอยห้าบาท ส่งความสุขทั่วไทยเพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยได้รับรู้และจดจำผลิตภัณฑ์แลคตาซอยขนาด 125 มิลลิลิตร ซึ่งจำหน่ายในราคา 5 บาท มาตลอด 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดในเดือนมีนาคม 2548”

“แซ็ค ชุมแพ-เบิ้ล ปทุมราช” พรีเซ็นเตอร์ LAMUS

LAMUS (ลามูส) น้ำหอมพลังดนตรี เป็นหนึ่งธุรกิจของนักธุรกิจสาว เจน-วิรสุรางค์ ศศิอานนท์ กรรมการบริหาร บริษัท ศศิอานนท์ (ประเทศไทย) จำกัด และยังเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท บางกอกเพย์ จำกัด ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ AJ SIM และตู้เติมเงิน AJ

LAMUS ได้เลือก 2 นักร้องลูกทุ่งหนุ่ม แซ็ค ชุมแพ และเบิ้ล ปทุมราช เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับเป็นหุ้นส่วน เป็นการผลิตน้ำหอมเอาใจคนชอบเสียงเพลง ถือว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ความหอมครั้งแรกในประเทศไทย โดยคัดสรรกลิ่นหอมในรูปแบบของดนตรีประเภทต่างๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของน้ำหอมที่มีความแตกต่างจากน้ำหอมยี่ห้ออื่น เช่น ใครชอบเพลงลูกทุ่งก็ใช้กลิ่นอินดี้ กลิ่นคาวบอย ใครชอบเพลงแจ๊สก็ใช้กลิ่นแจ๊ส

ประชากรภูธรยิ่งใหญ่ และเติบโตเร็ว

มีบางคำพูดที่ว่า การทำตลาดในยุคนี้ จะยึดแค่พฤติกรรม หรือความชอบของคนกรุงเทพฯ อย่างเดียวไม่ได้แล้ว ซึ่งพฤติกรรม ความชอบของคนเมือง และคนต่างจังหวัดย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องวัฒนธรรม รายได้ และการเข้าถึงสื่อต่างๆ

ตัวเลขจำนวนประชากรอัปเดตถึงสิ้นปี 2563 ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยมีประชากรรวม 66.1 ล้านคน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 5.5 ล้านคน ที่เหลือเป็นต่างจังหวัด โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานมีประชากรมากที่สุด 21.8 ล้านคน รองลงมาภาคกลาง 17.2 ล้าน ภาคเหนือ 12 ล้าน และภาคใต้ 9.4 ล้าน

นั่นเท่ากับว่ากลุ่มคนต่างจังหวัดเป็นกลุ่มใหญ่มาก จึงได้เห็นทิศทางของแบนด์ที่เริ่มจับทิศทางกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะการจับกลุ่มคนในเมืองเริ่มแคบ อีกทั้งพฤติกรรมของคนต่างจังหวัดก็เริ่มเข้าถึงสื่อดิจิทัลมากขึ้น

YDM Thailand ดิจิทัลเอเยนซี่เคยประเมินไว้ว่า พฤติกรรมการใช้งานสื่อดิจิทัลของคนในต่างจังหวัด ไม่ได้แตกต่างจากคนในกรุงเทพฯ แล้ว แบรนด์ใหญ่ๆ จึงต้องการใช้สื่อดิจิทัลเข้าเจาะกลุ่มคนภูธร ด้วยมีขนาดที่ใหญ่ประชากร 84% จาก 66 ล้านคนกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ

Photo : Shutterstock

ตัวเลขเมื่อ 2 ปีก่อน ตลาดภูธรครอบครองเม็ดเงินด้านการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศไว้มากกว่า 60% หรือประมาณ 307,000 ล้านบาท โดยมีข้อมูลบอกว่า มีการใช้เงิน 1,299 บาทไปไฮเปอร์มาร์เก็ตเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเดือน หรือไปร้านสะดวกซื้อ 169 บาท ทุกวันหรือทุกสัปดาห์

ความน่าสนใจยังอยู่ที่คนต่างจังหวัดมีอำนาจการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากสินค้าราคาถูกสู่สินค้าที่แพงมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายเพราะคนที่มีผลต่อการตัดสินใจเริ่มเปลี่ยน เมื่อก่อนที่เคยเชื่อเจ้าของร้านค้าปัจจุบันนี้ก็เริ่มน้อยลง เพราะรู้ว่าเจ้าของร้านมักดันแบรนด์ที่ตัวเองได้ผลประโยชน์ กลายเป็นว่าโฆษณามีผลน้อยกว่าคำพูดจากปากต่อปาก

จะเห็นได้ว่าการทำโฆษณามีความยากมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาการทำโฆษณาจะใช้อินไซต์ของคนกรุงเทพฯ เป็นจุดตั้งต้น การใช้เงินซื้อสื่ออย่างโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ กระจายโฆษณาตัวเดียวกันนี้ไปทั่วประเทศ ในอดีตอาจได้ผล แต่วันนี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว เพราะผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีเอกลักษณ์ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

ขณะเดียวกันคนภูธรใช้เวลาอยู่บนออนไลน์ไม่ต่างจากคนในเมืองมากนัก แต่เนื้อหาที่คนภูธรชอบจะแตกต่างออกไปกับคนเมือง อาทิ ฟังเพลงในสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน มีนักร้อง หรือศิลปินคนโปรดที่ไม่เหมือนกัน รวมทั้งละคร หรือรายการที่เลือกดูก็มีความแตกต่างกัน

ทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมแบรนด์ในยุคนี้ จึงเลือกที่จะทำตลาดจับกลุ่มภูธรคนต่างจังหวัด เพราะยังมีโอกาสมากมายมหาศาล อีกทั้งการจับแค่คนกรุงฯ ก็ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้วด้วย
]]>
1350164
ย้อนรอยพรีเซ็นเตอร์ ‘ช้อปปี้-ลาซาด้า เมื่อ ‘สายฮา’ ปะทะ ‘สายเกา (หลี)’ https://positioningmag.com/1348205 Mon, 23 Aug 2021 14:59:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348205 ใครที่พลาดช้อปในช่วง 8.8 ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะใกล้ถึงมหกรรมช้อปปิ้ง 9.9 ซึ่งถือเป็น Mega แคมเปญของ ‘ลาซาด้า’ ซึ่งแน่นอนว่าคู่แข่งไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน โดย ‘ช้อปปี้’ ก็ดึงซุปตาร์ในตำนาน ‘เฉินหลง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์มหกรรม 9.9 แย่งซีนกันซะแล้ว ดังนั้นไปย้อนรอยเหล่า ‘พรีเซ็นเตอร์’ ของบรรดามาร์เก็ตเพลสว่าเคยใช้งานใครไปแล้วบ้าง

จาก โรนัลโด ส่งไม้ต่อ เฉินหลง

หากย้อนไปเมื่อปี 2562 ช่วงก่อนจะจัดมหกรรม 9.9 Super Shopping Day ของ ‘ช้อปปี้’ (Shopee) ก็ได้คว้าเอาไอคอนระดับโลกอย่าง ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ นักฟุตบอลชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์โดยหวังว่า โรนัลโดจะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกเพศทุกวัย

แน่นอนหากวัดจากจำนวนผู้ติดตามโรนัลโดใน Instagram ที่ปัจจุบันมีกว่า 299 ล้านคน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นที่รู้จักของคนทุกวัยจริง ๆ ประกอบกับท่าเต้นสนุก ๆ ที่หลายคนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าโรนัลโดจะออกสเต็ปแดนซ์ ก็สามารถดึงดูดคนดูพุ่งทั่วโลก 35 ล้านวิวเลยทีเดียว กลายเป็นว่า โรนัลโดช่วยสร้างยอดขายร้านค้าในไทยในช่วง Shopee 9.9 Super Shopping Day โตถึง 480 เท่า!

มาปี 2563 ช้อปปี้ก็ได้คว้าเอาซุปตาร์ระดับตำนานของโลกที่แมสยิ่งกว่าโรนัลโดก็คือ อีกหนึ่งคน ‘แจ็คกี้ ชาน’ หรือ ‘เฉินหลง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในมหกรรม 9.9 Super Shopping Day ปี 63 นี้ และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ สเต็ปแดนซ์ สนุก ๆ ที่เข้ากับคาแรกเตอร์ของเฉินหลงได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะนอกจากการแสดงภาพยนตร์ เฉินหลงเองก็ชื่นชอบทั้งการร้องและเต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เพราะเป็นที่รู้จักของคนไทยและทั่วโลกมายาวนาน คนรู้จักทุกเพศทุกวัย และปัจจุบันผลงานของเฉินหลงก็ยังออกมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามเกือบทุกปี อีกทั้งยังเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี มีความบันเทิงในตัว ตรงกับคอนเซ็ปต์ของช้อปปี้ ดังนั้น ช้อปปี้เลยเลือกดึงเฉินหลงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์

หรือสายฮา คือทางที่ใช่?

สำหรับโรนัลโดและเฉินหลงเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับตลาดภูมิภาค แต่สำหรับพรีเซ็นเตอร์ในไทยนั้น ช้อปปี้เคยใช้คู่จิ้นอย่าง ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ และ ‘ญาญ่า- อุรัสยา เสปอร์บันด์’ แต่มาปี 2563 ช้อปปี้ก็เริ่มเปลี่ยนแกนมาเน้นความแมสยิ่งขึ้นด้วยการคว้าเอา ‘แก๊ง 3 ช่า’ ที่ประกอบด้วย ‘หม่ำ-เท่ง-โหน่ง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ในไทยช่วงมหกรรม 11.11 และที่ขาดไม่ได้ ‘ท่าเต้น’ สนุก ๆ ที่ยังมีเหมือนเดิม

ผ่านไปถึงมหกรรม 12.12 ช้อปปี้ก็ดึง ‘กิ๊ก สุวัจนี’ นางร้ายยุค 90 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังยาวนานจนถึงปัจจุบัน และเสียงหัวเราะกับท่าเบะปากอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากละคร ‘ไทรโศก’ จนกลายเป็นมีมที่ชาวเน็ตยังใช้จนทุกวันนี้ ถือว่าเป็นอีกพรีเซ็นเตอร์ที่แหวกแนวมากสำหรับช้อปปี้ นอกจากนี้ ในแคมเปญช้อปปี้ Low Price 9 บาท ทางช้อปปี้ก็เลือกที่จะใช้งานตลกซุปตาร์อย่าง ‘แจ๊ส ชวนชื่น’ มาโปรโมตแคมเปญพร้อมกับเพลงสนุก ๆ เช่นเคย

จะเห็นว่านับตั้งแต่ได้แก๊ง 3 ช่ามา ช้อปปี้ก็มาสายฮาไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการใช้ศิลปินตลกช่วยนำแบรนด์ให้เข้าถึงใจผู้บริโภคชาวไทยอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง มีภาพจำที่ชัดเจน ยิ่งปัจจุบันอีคอมเมิร์ซเข้าถึงคนต่างจังหวัดแล้ว ดังนั้น การใช้พรีเซ็นเตอร์ยิ่งแมสก็ยิ่งดีต่อการสื่อสารและการสร้างภาพจำให้แบรนด์

ลาซาด้าเน้น สายเกา+สายวาย

ตัดภาพมาที่ ‘ลาซาด้า’ (Lazada) ที่หากพูดถึงเหล่าพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์นั้นล้วนแต่เป็น ‘ตัว Top’ ทั้งสิ้น โดยในปี 63 ก็คว้าซุปตาร์ระดับเอเชียอย่าง ‘ลีมินโฮ’ ที่ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยบุคลิกสดใส อบอุ่น พร้อมมอบพลังบวกให้ทุกคนมาช่วยต่อยอดการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์

และมาในปี 64 นี้ ลาซาด้าก็ยังคงคว้าซุปตาร์เกาหลีที่เป็น ‘สามี (มโน) แห่งชาติ’ ของสาว ๆ อย่าง ‘ฮยอนบิน’ มาเป็น Brand Ambassador ระดับภูมิภาคคนใหม่ ซึ่งเพิ่งจะโด่งดังสุด ๆ กับบท สหายผู้กอง รีจองฮยอก ในซีรีส์ที่ ปักหมุดรักฉุกเฉิน (Crash Landing on You)

นอกจากในระดับภูมิภาคแล้ว ในประเทศไทยลาซาด้าก็จะเน้นเฉพาะซุปตาร์ตัวท็อปที่กำลังเป็นกระแส อย่างในช่วงปี 62 ละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ ดังเป็นพลุแตก เกิดกระแส ‘ออเจ้า’ ไปทั่วไทย ลาซาด้าก็ไม่พลาดที่จะคว้า ‘เบลล่า-ราณี แคมเปน’ หรือ ‘แม่การะเกด’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในไทย นอกจากนี้ยังสมทบด้วย ‘ต่อ ธนภพ’ พระเอกขวัญใจเหล่าวัยรุ่น

มาปี 64 ลาซาด้าก็เลือกจะหยิบนักแสดงรุ่นใหม่โดยเฉพาะสาย ซีรีส์วาย อย่าง ‘ไบร์ท – วชิรวิชญ์ ชีวอารี และ วิน – เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร’  ‘พีพี – กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และ บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ ซึ่งทั้ง 4 คนต่างก็มีฐานแฟนคลับวัยรุ่นติดตามเป็นจำนวนมาก

หากพิจารณาจากฐานลูกค้าของลาซาด้าที่กว่า 70% เป็น Gen Y (อายุระหว่าง 21-37 ปี) และถึง 52% ของผู้ใช้ยังเป็น ผู้หญิง อีกทั้งอนาคต Gen Z อายุระหว่าง 8-20 ปี ก็จะยิ่งมีส่วนสำคัญในอนาคต ดังนั้น การที่ลาซาด้าใช้งานเหล่าซุปตาร์สายสวย-หล่อน่าจะเข้าถึงฐานลูกค้าดั้งเดิม รวมถึงยังสร้างภาพจำให้กับฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ให้มาสนับสนุนและสร้างภาพของแบรนด์ได้ไม่ยาก

Konvy ดึงพระเอกหน้าฟ้าประทาน ชา อึนอู

หากพูดชื่อแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสอย่างลาซาด้า ช้อปปี้ แน่นอนว่าคงคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับ ‘คอนวี่’ (Konvy) หลายคนคงยังไม่คุ้นโดยเฉพาะเหล่าคุณผู้ชาย ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะคอนวี่เป็นอีคอมเมิร์ซสำหรับสินค้าความสวยความงามโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีอายุได้ 9 ปีแล้ว

และเพื่อฉลองครบรอบ 9 ปี คอนวี่ก็ทุ่มงบการตลาดมูลค่ากว่า 90 ล้านบาทในการเปิดตัวโลโก้และหนังโฆษณาตัวใหม่ พร้อมทั้งดึง ชา อึนอู ที่มีฉายา หน้าฟ้าประทาน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และด้วยหน้าตาที่หวานบวกกับลักษณะนิสัยสดใส ร่าเริง เอาใจใส่คนรอบข้าง ก็ยิ่งตอบโจทย์การวางแบรนด์โพสิชันนิ่งที่ต้องการสื่อสารว่าเป็น ‘คนที่ดูแล เอาใจใส่’ และสะท้อนถึง ‘ความงาม’ ได้อีกด้วย

JD CENTRAL ขอฉีกใช้มาสคอต

จะเห็นว่าทั้งช้อปปี้และลาซาด้าต่างก็มีพรีเซ็นเตอร์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไม่ซ้ำหน้า ขณะที่ JD CENTRAL ก็เคยมีการทำการตลาดสร้างการรับรู้ โดยมี เต๋อ ฉันทวิชช์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ในปีแรก

แม้ว่าข้อดีคือการได้ฐานแฟนคลับที่ติดตามตัวศิลปิน แต่สัญญาก็ต่อแบบปีต่อปี ดังนั้น JD CENTRAL จึงมองว่าผู้บริโภคอาจสับสน ดังนั้น การมีพรีเซ็นเตอร์ไม่ใช่เรื่อง จำเป็นที่สุด เลยเลือกที่จะใช้ น้อง Joy มาสคอตของแบรนด์ในการสื่อสาร เพื่อบ่งบอกถึง Brand Creator และจะเป็นภาพที่ติดอยู่กับแบรนด์ตลอดไปแทน อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่า JD CENTRAL อาจจะมีไม้เด็ดอื่น ๆ ที่มากกว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์ อาจต้องรอดูกันใน 9.9 นี้

คงบอกไม่ได้ว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์หรือไม่ใช้จะดีกว่ากัน และจะใช้พรีเซ็นเตอร์ประเภทไหนถึงจะดีกับแบรนด์ที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับแบรนด์ต้องการจะสื่อสารให้ภาพจำของตัวเองออกมาเป็นในทิศทางไหน แต่หากจะอยากได้ยอดขายการใช้แค่พรีเซ็นเตอร์คงไม่พอ ดังนั้น จากนี้คงจะเห็นอีกหลายกลยุทธ์โดยเฉพาะ โปรโมชัน มาอัดกันเพื่อดึงลูกค้าแน่นอน สำหรับลูกค้าก็เตรียมตัวเตรียมเงินให้พร้อมรอช้อป 9.9 ได้เลย

]]>
1348205
ส่องแบรนด์ที่ ‘โรนัลโด้’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ สตาร์ลูกหนังที่ทำรายได้อันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1337272 Wed, 16 Jun 2021 11:50:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337272 จากเหตุการณ์ล่าสุดในศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ได้ทำเอา ‘โค้ก’ (CoCa-Cola) สปอนเซอร์หลักของฟุตบอลยูโรต้องกุมขมับ เนื่องจากเจ้าตัวหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทน ซึ่งก็ได้ส่งผลให้หุ้นของ CoCa-Cola ตกไปถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124,500 ล้านบาท) เลยทีเดียว ดังนั้นไปดูกันว่านอกจากอิมแพคที่โรนัลโด้สามารถสร้างในสนามแล้ว นอกสนามเจ้าตัวสามารถสร้างอิมแพคได้ขนาดไหนบ้าง

กว่าจะเป็น ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส เกิดเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 ปัจจุบันอายุ 36 ปี โรนัลโด้เริ่มต้นอาชีพจากเด็กโนเนมในลีกบ้านเกิดของอังดูรีญา ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับนาซียูนัลในปี 1997 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะอกหักจากการดึงตัว โรนัลดินโญ่ มาร่วมทัพปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนโชคชะตาพาให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้พบกับโรนัลโด้จนได้ย้ายมาเล่นกับทีม ก่อนจะถูกดึงตัวไปร่วมงานกับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด และปัจจุบันยังคงค้าแข่งกับ ยูเวนตุส ในกัลโช่ เซเรีย อา

ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้าน โรนัลโด้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้รับรางวัลบาลงดอร์ 5 สมัย และ รางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีก 4 สมัย และเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำ 100 ประตูขึ้นไปในการเล่นให้กับ 3 สโมสร ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนยกย่องให้เป็นไอดอลในดวงใจ และไม่ว่าเขาจะทำอะไรมักจะมีผู้คนคอยเฝ้าติดตามอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลงานในสนามหรือสินค้าอะไรก็ตามที่เจ้าตัวหยิบจับ

Cristiano Ronaldo ในศึกยูโร 2020 ภายใต้ทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 36 ปี (Photo by Alex Pantling/Getty Images)

นักฟุตบอลรายได้สูงสุดอันดับ 2 ของโลก

ความเป็นสตาร์คนดังก็ไม่ได้สร้างอิมแพคแค่ในเกมการแข่งขัน แต่นอกสนามก็สามารถสร้างอิมแพคได้เช่นกัน อย่างใน Instagram ของเจ้าตัวนั้นก็มีผู้ติดตามกว่า 299 ล้านคน ในการโพสต์เพียงครั้งเดียวของเขาสามารถทำเงินได้ถึง 780,000 ปอนด์ หรือกว่า 34 ล้านบาท!

ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีเหล่าสินค้ามากมายหลายชนิดรุมจีบเพื่อดึงตัวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ และนั่นทำให้เขาได้รับรายได้จำนวนมหาศาล จนกลายเป็นนักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีรายได้ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,756 ล้านบาท เป็นรองแค่ ลิโอเนล เมสซี ที่มีรายได้ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,069 ล้านบาท จากการจัดอันดับของฟอร์บส์นิตยสารด้านการเงินชื่อดัง

หากอ้างอิงจากตัวเลขในปี 2018 พบว่าเฉพาะรายได้จากค่าพรีเซ็นเตอร์ โรนัลโด้สามารถทำได้ถึงปีละ 44 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,320 ล้านบาท ขณะที่ค่าเหนื่อยอยู่ที่ 31 ล้านยูโรต่อปี หรือประมาณ 1,140 ล้านบาท ยังไม่รวมธุรกิจส่วนตัวอื่น ๆ อีก ได้แก่

Pestana CR7 ธุรกิจโรงแรม, CR7 Crunch Fitness ธุรกิจฟิตเนสพิพิธภัณฑ์ CR7 Museum, แบรนด์แฟชั่น CR7, แบรนด์ชุดชั้นในและถุงเท้า CR7, แบรนด์รองเท้า CR7 footwear, แบรนด์แฟชั่น Cristiano Ronaldo & Sacoor Brothers, กางเกงยีนส์ CR7 Denim, แบรนด์น้ำหอม Cristiano Ronaldo Legacy และแม้แต่ CR7Selfie แอปถ่ายเซลฟี่

อยู่ในทุกสินค้าตั้งเเต่อุปกรณ์กีฬายันอีคอมเมิร์ซ

มาที่ฝั่งการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโรนัลโด้ ต้องบอกว่าสามารถอยู่ได้ในทุกสินค้า ชื่อเสียงของโรนัลโด้สามารถใช้กับอะไรก็ได้ โดยแบรนด์แรกที่ต้องพูดก็คือ ‘Nike’ (ไนกี้) บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลกที่เซ็นสัญญากับโรนัลโด้ ตลอดชีวิต! ซึ่งมีเพียงนักกีฬา 3 คนในโลกที่ได้รับเกียรตินี้ และเขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกด้วย

การมีสินค้าเกี่ยวกับกีฬามาจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาโรนัลโด้ยังเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอีกมากโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกีฬาเลย ไม่ว่าจะเป็น 

  • คาสตรอล (Castrol) บริษัทน้ำมันเครื่องยักษ์ใหญ่
  • อียิปต์เชียน สตีล (Egyptian Steel) เพื่อโปรโมตอุตสาหกรรมเหล็ก
  • Clear (แชมพูเคลียร์) โดยในปี 2014 โรนัลโด้เป็นได้ร่วมงานกับบริษัทแชมพูเคลียร์ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยทำหน้าที่โฆษณาเกี่ยวกับเรื่องการขจัดรังแค
  • ทรนนิ่ง เกียร์ ซิกซ์แพ็ด (Training Gear Sixpad) อุปกรณ์แผ่นเครื่องนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง
  • และด้วยหุ่นที่เฟิร์มอยู่ตลอด Emporio Armani ก็เคยคว้าโรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์แทน เดวิด เบ็คแฮม ในปี 2010
  • เพราะนักฟุตบอลต้องเดินทางไปแข่งขันในต่างที่ต่างถิ่นเสมอ ดังนั้น อเมริกัน ทัวริสเตอร์ (American Tourister) แบรนด์กระเป๋าเดินทางชื่อดังเลยคว้าโรนัลโด้มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์พร้อมค่าเหนื่อยประมาณประมาณ 312,000 ปอนด์ (ราว 14 ล้านบาท)
  •  อีเอ สปอร์ตส์ (EA Sports) สตูดิโอผลิตเกมชื่อดังเจ้าของเกม ‘ฟีฟ่า’ (Fifa) หลังจากที่เคยได้ ลิโอเนล เมสซี่ ขึ้นปกเกมเป็นเวลา 4 ปี มาในปี 2018 โรนัลโด้ก็ได้รับเสียงโหวตจากแฟน ๆ ให้ได้ขึ้นปก ฟีฟ่า 18 และ 19
  • แพนเซอร์ กลาสส์ (PanzeerGlass) บริษัทผลิตฟิล์มกระจกกันรอยแบรนด์ชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก เคยได้โรนัลโด้เป็นพาร์ตเนอร์พร้อมออกกระจกกันรอยและเคสรุ่น CR7 สัญลักษณ์ประจำตัวของโรนัลโด้
  • TAG Heuer (แทค ฮอยเออร์) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสก็เป็นอีกแบรนด์ที่ได้โรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมออกรุ่นพิเศษ ‘CR7’ ด้วย

และที่คนไทยน่าจะคุ้นกันสุด ๆ ก็คือ Shopee (ช้อปปี้) อีคอมเมิร์ซเจ้าดัง ซึ่งหลายคนออกแนวช็อกไปตามกันเมื่อเห็นโรนัลโด้เต้นเพลงช้อปปี้ ๆ ๆ ๆ แม้จะดูขัดกับภาพลักษณ์ไปหน่อย แต่พลังของโรนัลโด้ก็ช่วยให้ยอดขายช้อปปี้โตขึ้น 3 เท่าในแคมเปญ 9.9 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์ล่าสุดที่โรนัลโด้เลือกจะหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทนเพื่อแสดงถึงความใส่ใจสุขภาพ แต่หากย้อนการเป็นพรีเซ็นเตอร์ในด้านอาหารและเครื่องดื่มก็นับว่ามีความน่าสนใจ อย่างปี 2013 โรนัลโด้มี เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เป็นผู้สนับสนุนด้านโภชนาการ ส่วนในปี 2014 โรนัลโด้ก็เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไก่ทอด KFC ซึ่งดูขัดกับภาพลักษณ์นักกีฬาสายเฮลตี้อยู่เหมือนกัน

ยังไม่แขวนสตั๊ด ยังมีโอกาสรับทรัพย์อีกเพียบ

โดยปกติแล้วนักฟุตบอลอาชีพจะมีช่วงเวลาในการ แขวนสตั๊ด หรือ ยุติเส้นทางค้าแข้ง ในช่วงอายุประมาณ 34-36 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกแขวนสตั๊ดในช่วงอายุดังกล่าว บางคนก็เลิกเล่นก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงวัยที่เลยเลข 3 ไม่ใช่ช่วงอายุที่พีคสุดสำหรับการเล่นฟุตบอลแล้ว

แต่สำหรับโรนัลโด้ในวัย 36 ปี กลับยังฟิตพอ ๆ กับคนอายุ 20 ปี การจะรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเคล็ดลับสำคัญของ CR7 ที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลยืนยาว และรักษามาตรฐานการเล่นไม่ให้ตกลงไปคือ การดูแลสภาพร่างกายนอกสนามแข่งคือ การกิน, การนอน, การผ่อนคลาย และการว่ายน้ำ ที่ทำให้สุขภาพกายแข็งแรง และสุขภาพใจแข็งแกร่ง

หากโรนัลโด้ยังคงค้าแข้งต่อ แฟน ๆ ก็คงจะได้เห็นอีกหลายแบรนด์ที่พร้อมจะทุ่มเงินดึงโรนัลโด้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แน่นอน แต่อาจจะเดาทางยากสักหน่อยว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน เพราะหากย้อนดูที่ผ่านมาถือว่าสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟน ๆ อยู่เหมือนกัน หรือหากแขวนสตั๊ดไปแล้ว อย่าลืมว่าโรนัลโด้มีธุรกิจส่วนตัวอีกเพียบ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าชีวิตหลังแขวนสตั๊ดโรนัลโด้จะผุดแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาอีกก็เป็นได้

]]>
1337272
ตำนาน ‘เจ้าสัว’ ข้าวตังพันล้านจากโคราช รีแบรนด์สลัดภาพ ‘ของฝาก’ สู่ตลาดสแน็ก https://positioningmag.com/1323010 Thu, 18 Mar 2021 11:14:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323010 ย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 บ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองโคราช เริ่มทำหมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ส่งขายในท้องถิ่นจนเป็นที่เลื่องลือในรสชาติ ได้โอกาสขยายกิจการต่อ ด้วยการเปิดร้านขายของฝากในชื่อว่าเตียหงี่เฮียง

จากความอร่อยที่บอกเล่าปากต่อปาก ทำให้สินค้าของเตียหงี่เฮียง กลายเป็นของเด็ดที่เหล่านักท่องเที่ยวและผู้สัญจรไปมาต้องแวะซื้อ

หลายปีผ่านไป แม้กิจการร้านขายของฝากจะไปได้สวย แต่ก็เริ่มมีคู่เเข่งทำผลิตภัณฑ์เดียวกันออกมา ทำให้ทายาทรุ่นสองต้องคิดหา ‘เมนูชูโรง’ เพื่อสร้างความแตกต่าง จึงนำมาสู่การเปิดตัวข้าวตังหมูหยอง ขึ้นในปี 2531 และเริ่มขยายตลาดไปวางขายในหลายจังหวัด รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศด้วย

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปเตียหงี่เฮียงกลายเป็นชื่อจดจำได้ยากและดูไม่ทันสมัย ทางครอบครัวจึงตกลงกันเปลี่ยนชื่อใหม่ให้จำง่ายและคุ้นหูกันมากขึ้น โดยใช้ชื่อแบรนด์ใหม่นี้ว่าเจ้าสัวนับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา

และวันนี้เจ้าสัวการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวครั้งสำคัญก็มาเยือนอีกครั้ง ภายใต้การนำของทายาทรุ่นสาม กับการรีแบรนด์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น พร้อมใช้พรีเซ็นเตอร์ครั้งแรกในรอบ 63 ปี 

ก้าวออกจาก ‘ของฝาก’ สู่ตลาดสแน็ก

ณภัทร โมรินทร์’ หรือ กิ๊ฟ เริ่มเรียนรู้การทำงานในกิจการของครอบครัว มามากกว่า 10 ปี จากฝ่ายเซลส์ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนเป็นซีอีโอ แบรนด์เจ้าสัวท่ามกลางความท้าทาย หลังธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด

เธอยอมรับว่า การที่ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวน้อยลงนั้นมีผลต่อการวางแผนธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ไม่น้อย แต่ก็ทำให้รู้ว่าทิศทางต่อไปของ แบรนด์เจ้าสัวจะไม่เป็นแค่ร้านขายของฝากที่รอให้คนมาซื้ออีกต่อไป แต่จะต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค

จากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เร่งรีบ แข่งกับเวลา และคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น แม้จะเป็นอาหารทานเล่นหรือของขบเคี้ยวก็ตาม อีกทั้งตลาดในไทยยังมีของว่างทานเล่น ประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป’ ที่อร่อยและมีประโยชน์ทางสารอาหาร สามารถทานรองท้องระหว่างมื้อได้ ‘ไม่มากนัก’ 

จึงเป็นช่องว่างตลาดที่เจ้าสัวจะปรับภาพลักษณ์ใหม่ จากสินค้าของฝากสู่สินค้าอาหารที่ทานได้ทุกวัน ในรูปแบบสแน็ก และ Ready to eat และ Ready to cook meal ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาของว่างเพื่อรองท้อง รวมไปถึงอาหารที่สามารถปรุงง่าย ๆ หรือพร้อมทานได้ที่บ้าน ช่วยประหยัดเวลา และดีต่อสุขภาพ

ณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เตีย หงี่ เฮียง จำกัด เจ้าของแบรนด์เจ้าสัว

นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสของตลาดสแน็กในประเทศไทย ที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาท เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มสแน็ก ที่เป็น Meat หรือเนื้อสัตว์นั้น กลับมีมูลค่ารวมตอนนี้เพียง 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น และผู้ประกอบการคู่แข่งยังน้อยจึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก

ทั้งนี้ กลุ่มสแน็กที่เป็นเนื้อสัตว์ ตอนนี้มีแบรนด์อองเทร่ของเจ้าใหญ่อย่าง ส. ขอนแก่นครองตลาดอยู่

เบรกขยายสาขา หันมาบุกโมเดิร์นเทรด’

ในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้นักท่องเที่ยวจะหายไปอย่างมาก แต่จากการที่แบรนด์ได้ ปรับกลยุทธ์รองรับ โดยเฉพาะการขยายช่องทางจำหน่าย จากเดิมที่เน้นเพิ่มสาขา เปลี่ยนมาเป็นบุกโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำต่างๆ ทำให้ยอดขายรวมของปีที่แล้วเติบโต 15% และมีรายได้รวมเกินหลักพันล้านบาทเป็นครั้งแรก

ปีนี้เราตั้งเป้าจะเติบโตถึง 30% จากการรุกตลาดขนมขบเคี้ยวเต็มตัว ทำตลาดทุกช่องทางเพื่อปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ทันสมัย พกพาง่าย ออกสินค้าเละปรับราคาใหม่ ให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากที่สุด

ปัจจุบันร้านของฝากเจ้าสัว  มีจำนวนกว่า 100 สาขา แบ่งเป็นร้านค้าของตัวเอง (Stand Alone) ประมาณ 14 สาขา และแฟรนไชส์ 80 กว่าสาขา กระจายอยู่ในปั๊มนำ้มันปตท. ทั่วประเทศ พร้อมช่องทางออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งโซเชียลมีเดียและมาร์เก็ตเพลส โดยมีผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มไลน์โปรดักต์ ได้แก่ 

กลุ่มขนมทานเล่น สัดส่วนรายได้ 50% 

ของว่างรองท้อง ได้แก่ ข้าวตัง, ข้าวแต๋น ราคาตั้งแต่ 20-60 บาท

ของว่างทานเพลิน ได้แก่ หมูแผ่นกรอบ, หมูแท่งกรอบ และหมูทุบ ราคาตั้งแต่ 30-110 บาท

กลุ่มอาหาร สัดส่วนรายได้ 50%

อาหารพร้อมปรุง ได้แก่ กุนเชียง, หมูยอ, แหนม และไส้กรอกอีสาน ราคาตั้งแต่ 39-209 บาท

อาหารพร้อมรับประทาน ได้แก่ หมูหยอง, หมูแผ่นใหญ่

สำหรับสินค้าขายดีที่สุดของแบรนด์เจ้าสัวก็คือเบอร์หนึ่งอย่างข้าวตังตามมาด้วย หมูหยองและหมูแผ่น

ด้านการส่งออกไปต่างประเทศจะเน้นไปที่ตลาดเอเชียเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง จีน เวียดนาม สิงคโปร์ ฯลฯ ขณะที่ตลาดในยุโรปนั้น ยังติดข้อจำกัดด้านการนำเข้าสินค้าที่ทำจากเนื้อหมู จึงจะหันไปเน้นส่งสินค้ากลุ่มธัญพืชอบกรอบไปทำตลาดแทน

เมื่อถามถึงผลิตภัณฑ์อาหารเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช หรือ Plant-based ที่กำลังเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ที่มีผู้ผลิตอาหารหลายเจ้าลงมาเล่นในตลาดนี้ ผู้บริหารแบรนด์เจ้าสัว ตอบว่ามีแผนการจะพัฒนากลุ่มสินค้า Plant-based ในเร็วๆ นี้

ทุ่ม 100 ล้าน พลิกโฉมใหม่รอบ 63 ปี

สิริณัฏฐ์ ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ แบรนด์เจ้าสัว บอกว่า ตลอดทั้งปี 2564 บริษัทตั้งงบประมาณไว้ถึง 100 ล้านบาท เพื่อลุยทำการตลาดและขยับขยายธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ที่สุด ไม่เคยทำขนาดนี้มาก่อน นับตั้งแต่เปิดกิจการมากว่า 63 ปี

โดยจะสื่อสารรอบด้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งโปรโมตผ่านหนังโฆษณาถึง 3 เรื่องในปีนี้

จากแผนการโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และครอบครัวสมัยใหม่ จึงเป็นที่มาของการเลือกครอบครัวของ ลีเดีย ศรัณย์รัชต์แมทธิว น้องดีแลนและน้องเดมี่ ดีน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อบอุ่น เข้าถึงง่าย ทันสมัยและใส่ใจในสุขภาพ

“แบรนด์เจ้าสัวเป็นแบรนด์ที่มีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก แต่ในอนาคต หลังการท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาปกติ เราก็หวังจะเป็นแบรนด์ที่ชาวต่างชาติหิ้วกลับบ้าน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน

สำหรับกลยุทธ์หลัก ๆ ที่จะนำพาให้แบรนด์เจ้าสัวเติบโตได้แบบก้าวกระโดดในช่วง 3-5 ปีนี้ สิริณัฏฐ์ สรุปให้ฟังว่า

  1. ปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์ การไปอยู่ในสายตาของผู้บริโภคในช่องทางต่างๆ ทั้ง
    โซเชียลมีเดียและสื่อนอกบ้าน
  2. ออกสินค้าให้หลากหลาย โดยตั้งเป้าจะจะมีสินค้าใหม่ 8-10 ตัวต่อปี เพิ่มปัจจุบันที่มีอยู่ราว 300 SKU พร้อมกับปรับไซส์และราคา ให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นด้วย
  3. ขยายช่องทางการขายเพิ่มขึ้น เน้นเข้าไปกระจายในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วย โดยปีนี้จะไม่มีการขยายสาขาเพิ่มในประเทศไทย แต่จะมีการเจรจากับพาร์ตเนอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาโอกาสขยายตลาดในอาเซียนมากขึ้น
  4. ลงทุนขยายโรงงานแห่งใหม่ ในพื้นที่เดิมที่จังหวัดนครราชสีมา นำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังผลิตมากขึ้นอีก 40% รวมถึงทุ่มงบในระบบหลังบ้านเพื่อให้ทันยุคดิจิทัล

ต้องจับตาดูว่าการรีแบรนด์ของเจ้าสัว จากของฝากท้องถิ่น สู่ตลาดอาหารพร้อมทานอยู่ใกล้ๆ ในชีวิตประจำวัน จะสร้างอิมแพคในใจผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน

 

]]>
1323010
ย้อนรอยความ “ซวย” แบรนด์ใช้ “เฉินหลง” พรีเซ็นเตอร์ ส่อแววเจ๊ง โดนฟ้อง ยอดขายร่วง! https://positioningmag.com/1257539 Sat, 21 Dec 2019 15:37:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257539 ซูเปอร์สตาร์ชาวฮ่องกงถูกกล่าวหาว่าเป็น “ตัวซวย” เพราะโฆษณาให้ใคร สินค้า และบริษัทนั้นก็มักจะมีปัญหาเสมอ ล่าสุดเกิดขึ้นอีกครั้งกับสายการบิน “Hong Kong Airline”

ซูเปอร์สตาร์ชาวฮ่องกงโดนแซวอีกครั้งว่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ “ตัวซวย” หลังบริษัทที่เขาโฆษณาให้ มักจะประสบปัญหา ทั้งทำธุรกิจล้มเหลว, โดนฟ้อง กระทั่งเจ้าของสินค้าติดคุกก็มีมาแล้ว

ล่าสุดเกิดกรณีขึ้นอีกครั้งเมื่อในปี 2017 สายการบินดัง Hong Kong Airline เคยจ้าง เฉินหลง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา ที่เขาได้ถ่ายทำคลิปโปรโมตกับเหล่าแอร์โฮสเตส

จนปัจจุบันผ่านมาได้ 2 ปี ธุรกิจของ Hong Kong Airline แทบจะดิ่งลงเหว จนต้องมีการขอกู้เงินจากธนาคารจีนแผ่นดินใหญ่ถึง 4,000 ล้านหยวน มากู้วิกฤตฉุกเฉินกันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าปัญหาทางธุรกิจของสินค้า และบริษัทต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเฉินหลงเลย แต่การที่กรณีแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ทำให้พระเอกนักบู๊คนดังซวยไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่สินค้า, บริการ และบริษัทที่จ้าง เฉินหลง เป็นพรีเซ็นเตอร์ต้องเจอกับปัญหาจนถึงขั้นอาจจะต้องหยุดดำเนินธุรกิจ แต่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นบ่อยครั้งเหลือเกิน

ตัวซวย? ยอดขายร่วง, บริษัทเจ๊ง, เจ้าของโดนฟ้อง

โดยก่อนหน้านี้ เฉินหลง เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าหลายๆ อย่างที่ต่อมามีปัญหา และทำให้เขาต้องติดร่างแหโดนวิจารณ์ไปด้วย เพราะบริษัทที่เขาโฆษณาให้มักจะประสบปัญหา ทั้งทำธุรกิจล้มเหลว, โดนฟ้อง กระทั่งเจ้าของสินค้าติดคุกก็มีมาแล้ว

California Fitness ที่ฮ่องกงกำลังเผชิญกับปัญหาอย่างหนัก หลังลูกค้าจำนวนมากได้ยื่นฟ้องร้องเมื่อสาขาหลายๆ แห่งของทางฟิตเนสได้หยุดให้บริการอย่างกะทันหัน พร้อมกับมีข่าวว่า ทาง California Fitness ได้ติดหนี้ค่าเช่าสถานที่เป็นจำนวนเงินมหาศาล จนไม่สามารถจะดำเนินกิจการต่อไปได้อีก

แต่นอกจากเรื่องปัญหาการดำเนินธุรกิจของ California Fitness แล้ว พรีเซ็นเตอร์ที่เคยมีตำแหน่งเป็นทูตของ California Fitness ระหว่างปี 2005 – 2012 อย่าง เฉินหลง ก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย เพราะเป็นอีกครั้งที่สินค้า, บริการ และบริษัทที่จ้าง เฉินหลง เป็นพรีเซ็นเตอร์ต้องเจอกับปัญหาจนถึงขั้นอาจจะต้องหยุดดำเนินธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นบ่อยครั้งเหลือเกิน

โดยก่อนหน้านี้เฉินหลง เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าหลายๆ อย่างที่ต่อมามีปัญหา และทำให้เขาต้องติดร่างแหโดนวิจารณ์ไปด้วย ทั้งกรณีของแชมพูสมุนไพร BaWang ที่เคยมีข้อครหาว่ามีสารก่อมะเร็ง จนมีการฟ้องร้องนิตยสาร Next Magazine และสุดท้ายมีการจ่ายเงินค่ายอมความกันไปถึง 3 ล้านเหรียญฮ่องกง

Photo : jackiechanbuzz.wordpress.com

ส่วนน้ำอัดลม Fen Huang Cola ที่ลงทุนจ้าง เฉินหลง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ กลับมียอดขายที่ตกต่ำมาก จนต้องปิดตัวไปในปี 2001

เช่นเดียวกับ The Volkswagen Caddy ที่ลงทุนพิมพ์ภาพของ เฉินหลง ลงบนหีบห่อ แต่ก็ทำยอดขายได้ต่ำมาก

ส่วนเมื่อปี 2011 เฉินหลง ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของอาหารประเภทเกี้ยวแช่แข็งของบริษัท Synear แต่เจ้าหน้าที่กลับพบว่า มีแบคทีเรียอยู่ในอาหาร นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องเล่นวีซีดี Ai-duo ที่มีปัญหาฟ้องร้องถึงขั้นเจ้าของติดคุกกันเลยทีเดียว

เรื่องบังเอิญ, โชคลาง หรือ จิตวิทยา

อาจจะมีคนที่มองปรากฏการณ์แบบนี้เป็นเรื่องของโชคลาง แต่คนไม่เชื่อก็อาจจะเห็นเป็นแค่เหตุการณ์บังเอิญ แต่ในอีกมุมก็อาจจะมีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาราดังหลายๆ คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวซวยอยู่เหมือนกัน

กรณีของ เฉินหลง สาเหตุที่ทำให้สินค้าและบริการที่จ้างเขาไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเขามีปัญหาบ่อยๆ ก็อาจจะเป็เพราะเฉินหลงรับงานประเภทนี้เอาไว้เยอะมาก นักแสดงวัย 65 ปี เป็นดาราดังที่สุดในฮ่องกงมาหลายปี จะมีสินค้าที่เขาไปโฆษณาให้เจ๊งบ่อยๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่เท่านั้นในฮ่องกงระยะหลังๆ เฉินหลงก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากแล้ว เพราะการมีจุดยืนทางการเมืองอยู่ฝ่ายจีนแผ่นดินใหญ่เต็มตัว ก็ทำให้คนฮ่องกง “เหม็นหน้า” เฉินหลง ไปด้วย จึงไม่แปลกที่การเป็นพรีเซ็นเตอร์ในฮ่องกงของ เฉินหลง จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในระยะหลัง

นอกจากนั้นบางครั้งสินค้าบางอย่างเพิ่งจะเริ่มธุรกิจ หรือบางอย่างก็กำลังมีปัญหา ก็เลยพยายามใช้ เฉินหลง มาช่วยกระตุ้นยอดขาย แต่ถ้าสุดท้ายเขาช่วยอะไรไม่ได้ ก็คงจะไปโทษ เฉินหลง ไม่ได้เหมือนกัน

Source

]]>
1257539
อ่านเกม “กู๊ดเยียร์” 2020 บุกยางรถกระบะ ขยายตลาดต่างจังหวัด ดัน “บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ https://positioningmag.com/1257218 Mon, 16 Dec 2019 11:32:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257218 เเม้อุตฯ รถยนต์จะอยู่ในช่วงขาลง เเต่ “กู๊ดเยียร์ ประเทศไทย” ยังเดินหน้าขยายลงทุนโรงงานเฟส 2 พร้อมเปิดตัว Cargo Max ยางพรีเมียมเจาะกลุ่มรถกระบะเเละรถตู้ อัดเเคมเปญการตลาดในปี 2020 ดึง “บัวขาว” นักชกขวัญใจชาวไทยขึ้นเเท่นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึดความทน 

เรียกได้ว่าเตรียมเดินเกมการตลาดอย่างหนัก เพราะกู๊ดเยียร์ห่างหายจากการโปรโมตผ่านคนดังมานาน นับตั้งเเต่ “ ก้อง-สหรัถ” พรีเซ็นเตอร์คนแรกของกู๊ดเยียร์ในไทย เมื่อปี 2556 ที่มาพร้อมยางเอฟฟิเชี่ยนกริป เอสยูวี ชูจุดขายเป็นยางเงียบที่สุดและนุ่มที่สุด เข้ากับคาเเร็กเตอร์ของหนุ่มก้อง ผ่านมาหลายปีก็มาถึง บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยดุดัน เข้าคาเเร็กเตอร์กับยางรถกระบะรุ่นใหม่ชูความทนอย่าง Cargo Max เช่นกัน 

เปิดตัว Cargo Max เอาใจคนรักระกระบะ-รถตู้ 

ยางรถกระบะ Cargo Max ที่กำลังจะจำหน่ายทั่วประเทศในเดือนมกราคม ปี 2020 นี้ โดยออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถกระบะและรถตู้ เน้นจุดขายเรื่องความทนทาน ทางกู๊ดเยียร์เคลมว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่ายางคู่แข่งถึง 20% ซึ่งผ่านการทดสอบทั้งในสหรัฐฯ เเละในไทย

ความสำคัญของยางตัวนี้ได้มีการใช้เทคโนโลยีแมกซ์โหลด (MaxLoad) เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของกู๊ดเยียร์ ทำให้ขีดความสามารถในการรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับทุกสภาพถนนในไทย ออกแบบหน้ายาง และปรับปรุงเนื้อยางสูตรพิเศษ ที่ช่วยลดการสึกหรอเเละยังรักษาคุณสมบัติเรื่องการยึดเกาะบนถนนเปียก การรีดน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะกับฤดูฝนของประเทศไทย

ทำไมเลือกรุกตลาดรถกระบะ? 

ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย บอกว่า Cargo Max เกิดขึ้นจากการค้นหาว่าอะไรคือ Pain point และ Unmet needs ของลูกค้า พบว่า กระบะเป็นรถที่ใช้ 1 ใน 3 ของไทย ที่สำคัญนอกจากใช้เพื่อการขนส่งแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน จึงมีการใช้งานที่หนัก ดังนั้นต้องหายางที่มีความทนทานใช้ได้นาน ซึ่งกู๊ดเยียร์ต้องการตอบโจทย์นี้

ก่อนหน้านี้ กู๊ดเยียร์ได้ตีตลาดกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เเละกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ไปเเล้ว จึงต้องขยายให้ครอบคลุมสู่รถกระบะ เเละมองว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่นิยมใช้รถกระบะมากกว่าในเมือง ให้เข้ากับเเผนขยายช่องทางการขายที่ในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้านทั่วประเทศด้วย 

“ปัจจุบันเรามียางรุ่น แอสชัวแรนซ์ ทริปเปิลแมกซ์ (Assurance TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ แรงเลอร์ ทริปเปิลแมกซ์ (Wrangler TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) การเปิดตัวกู๊ดเยียร์ Cargo Max สำหรับกลุ่มรถกระบะและรถตู้ จึงทำให้ยางในตระกูลแมกซ์ครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งานในกลุ่มยางพรีเมียมของลูกค้า”

“บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึด 

ล่าสุดกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย ได้ดึงยอดนักชกขวัญใจมหาชนอย่าง “บัวขาว บัญชาเมฆ” มาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เพื่อต้องการสื่อถึงความแข็งแกร่ง ทนทาน

ลูก้า เครปาโชลี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า

“บัวขาวมีความเหมาะสมกับแบรนด์กู๊ดเยียร์ เป็นยอดนักชกที่โด่งดังท่ามกลางบรรดายอดนักชกมวยไทยมากว่า 30 ปี พร้อมทั้งมีสถิติคว้าชัยชนะในการขึ้นชกระดับโลกมาแล้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน สะท้อนความเเกร่ง เเละทรงพลังเหมือนยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์”

ฮึดสู้รอบใหม่ของธุรกิจยางรถยนต์ 

ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคขาลง เหล่าผู้ผลิตหลายใหญ่ต่างพากันหั่นค่าใช้จ่าย ปลดพนักงานเพื่อปรับโครงสร้างบริษัทกันถ้วนหน้า สำหรับอุตสาหกรรมยางรถยนต์เเล้วนั้นก็ย่อมได้รับผลกระทบตามๆ กัน

ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ เปิดเผยว่า “ในปี 2019 นับเป็นความท้าทายอย่างมาก ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลกเเละอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ธุรกิจยางรถยนต์ก็ต้องเผชิญกับปัญหา “วัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น” เเต่ด้วยความพยายามที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เเละการปรับกลยุทธ์การสื่อสารของกู๊ดเยียร์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้มองเห็นโอกาสที่จะกลับมาเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้า” 

“หากมองอีกมุมเราจะเห็นว่ามีรถใหม่ออกมาจำนวนมากเช่นกัน เเละจะต้องมีการเปลี่ยนยาง นี่คือโอกาสของกู๊ดเยียร์ ที่เราจะเสนอโปรดักส์ใหม่ที่ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานกว่าคู่เเข่ง 20% ให้กับผู้บริโภคที่กำลังลังเลใจในการซื้อ” 

สำหรับการลงทุนขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานี นับเป็นการลงทุนเฟส 2 ของงบการลงทุนกว่า 2.97 พันล้านบาทในเเผนปี 2018-2022 ที่คาดว่าจะเพิ่มผลผลิตยางรถยนต์ได้มากขึ้นราว 5-10 % ขึ้นอยู่กับคู่สัญญาซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยโรงงานในประเทศเเห่งนี้ จะผลิต Cargo Max ยางพรีเมียมรุ่นใหม่ รวมไปถึงยางที่ใช้ในเครื่องบินด้วย

ด้านภาพรวมการตลาดของอุตฯ ยางรถยนต์ในไทย เครปาโชลี่ เปิดเผยว่า ตั้งเเต่ช่วงไตรมาสที่ 1-3 ของปีนี้ยังติดลบอยู่ที่ -4% ถึง -5% เเละมียอดขายยางรถยนต์โดยรวมมากกว่า 10 ล้านเส้น อย่างไรก็ตาม มองว่าปี 2020 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น 

รวมถึงกลยุทธ์หลักในปีหน้าที่จะมี “กลุ่มยางติดรถยนต์ (OEM)” เพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการเจรจาเพิ่มสัญญากับเหล่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งรับรองว่ารถยนต์ป้ายเเดงที่จะออกมาในปี 2020 นั้นจะมีโอกาสได้ใช้ยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์ พร้อมกันนั้นจะมีการขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 

รวมไปถึงขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุม โดยในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้าน 

]]>
1257218
พรีเซ็นเตอร์ดังใช้แล้วโดน จ่ายเท่าไรก็ต้องทุ่ม!! บทพิสูจน์ เมื่อพลังแฟนคลับ PECKxBAMBAM ดันแบรนด์ AIS ลอยลม https://positioningmag.com/1211108 Tue, 29 Jan 2019 13:22:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1211108 ในยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคมีโซเชียลมีเดียเป็นสรณะ แบรนด์ต้องคิดเสมอว่า จะทำอย่างไรให้เข้าไปอยู่ในบทสนทนาของผู้บริโภคได้ตลอดเวลา หรือทำให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม หรือ Engagement กับแบรนด์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมากที่สุดเมื่อมีโอกาส

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่ได้ผลในแบบเอไอเอส ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา ก็เห็นจะเป็นผลงานการคัดสรรพรีเซ็นเตอร์ที่โดนใจคนหมู่มาก โดยเริ่มจากการรวบรวมดาราดังในไทย ระดับพระเอก นางเอก ของช่องใหญ่ ละครดัง ที่เอไอเอสกวาดเข้ามาอยู่ในเอไอเอสพรีเซ็นเตอร์แฟมิลี่จำนวนมาก 

ชนิดที่มีกิจกรรมที่ไหน เมื่อใด อย่างไร ไม่มีเหงา เพราะแฟนคลับแต่ละกลุ่มของดาราแต่ละคนก็จะไม่ยอมน้อยหน้า รวมตัวกันมาเชียร์มาให้กำลังใจดาราที่ชอบเต็มที่

กระทั่งเอไอเอสได้หมัดเด็ดเป็น เป๊ก ผลิตโชค ผู้ซึ่งมีเหล่านุช บรรดาแฟนคลับจำนวนมากและเหนียวแน่น ที่ล่าสุดพัฒนาการความสัมพันธ์ถึงขั้นดูแลภาพลักษณ์ซึ่งกันและกัน เหมือนดังปรากฏการณ์ล่าสุดเมื่อเหล่านุชพร้อมใจกันเก็บขยะหลังชมคอนเสิร์ต จนเป๊กเองต้องออกมาชื่นชมจากใจ 

ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นผลดีต่อการต่อยอดผลงานให้กับตัวศิลปินโดยตรง ทั้งต่อแบรนด์ และความชื่นชอบของแฟนคลับที่เชื่อว่าตัวเองเลือกชอบไม่ผิดคน

หมัดน็อกของเอไอเอสที่ทำให้แบรนด์พุ่งแรงยิ่งขึ้น ก็ต้องยกให้ แบมแบม กันต์พิมุกต์ หรือแบมแบม GOT7 ที่ดังขนาด #แค่ยกแขนก็ติดเทรนด์ ซึ่งเป็นแฮชแท็กขึ้นเทรนด์ล่าสุดไปเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากบินกลับมาพักผ่อนกับครอบครัวในประเทศไทย (อ่านเพิ่มเติม : หูยยยแบมแบม GOT7 ยกแขนโบกมือแว็บเดียว ติดทวิตเตอร์เทรนด์เลยจ้า

เอไอเอสทุ่มกับแบมแบมขนาดไหน

หลังจากได้แบมแบมมาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ฐานแฟนคลับของ GOT7 หรืออากาเซ่ โดยเฉพาะที่เป็นเมนแบมแบมจำนวนมหาศาล ก็ถูกนำมาผนวกกับเหล่านุชของเป๊ก ผลิตโชค ซึ่งบังเอิญว่าการชื่นชอบศิลปินอย่างสร้างสรรค์ ทำให้เกิดพลังบวกที่แฟนคลับแต่ละฝ่ายต่างส่งเสริมคู่กิจกรรมซึ่งกันและกัน 

ทำให้ทุกแฟนมีทและการจัดคอนเสิร์ต ภายใต้โปรเจกต์ AIS NEXT G ที่จับคู่ PECKxBAMBAM ในการทำกิจกรรมร่วมกันเสมอ ได้รับการตอบรับทุกครั้ง 

เอไอเอสเองก็ทุ่มให้กับทั้งคู่แบบไม่น้อยหน้ากัน ทั้งป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ตั้งแต่สนามบิน รถไฟฟ้า เอาต์ออฟโฮมทั้งที่เป็นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ แอลอีดี และป้ายแบบต่อเนื่องในตำแหน่งโฆษณาที่สำคัญ แม้กระทั่งในห้างสรรพสินค้าที่สะดุดตา 

เอาเป็นว่า แฟนคลับคนไหน หรือแค่ใครที่รู้จักแบมแบม และเป๊กอยู่แล้ว ผ่านมาเห็นก็อดไม่ได้ที่จะแชะภาพขึ้นโซเชียล

แน่นอนว่า ต้องมาพร้อมแฮชแท็ก และหนึ่งในแฮชแท็กที่ขาดไม่ได้ก็คือ แบรนด์ต้นตอที่เป็นที่มาของภาพศิลปินคนโปรดนั่นเอง 

นี่แหละ คือเทคนิคง่าย ที่ทำให้แบรนด์ถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วม และทอล์กของเหล่าแฟนคลับบนโซเชียลมีเดียในรูปแบบต่าง อยู่ตลอดเวลาแบบที่แบรนด์ตั้งใจ 

ตัวชี้วัดที่เป็นตัวชี้ขาดว่า แคมเปญที่ทำภายใต้พรีเซ็นเตอร์ที่เลือกสรรมาแล้วนี้ว่าได้ผลแค่ไหน ก็คือ การจัดเรตติ้งทั้งหลาย ซึ่งการประกาศผล #YearOnTwitter ประจำปี 2018 ก็คือหนึ่งในเรตติ้งที่พูดถึง

ผลล่าสุดปรากฏว่า เอไอเอส คว้าตำแหน่งแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบน Twitter ประจำปี 2018 โดยแอคเคาท์ Twitter @AIS_Thailand ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ในลิสต์ของ Most Engaged brands in Thailand หรือ แบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบน Twitter ประจำปี 2018 จากการเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับลูกค้า ตั้งแต่การทำ Viral Clip, Content Online และการบริหารจัดการ Community ไปจนถึงสามารถดึงลูกค้าให้เข้ามามีส่วนร่วมได้มากที่สุด 

โดยในส่วนของแบรนด์เอง ก็ไม่ได้ปล่อยให้แฟนคลับหรือตัวศิลปินเป็นคนขับเคลื่อนกระแสในโซเชียลมีเดียแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะมีการอัพเดตข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงทำ VDO สร้างความบันเทิงและใช้ความมีชื่อเสียงของ Celeb ดาราให้เกิดประโยชน์

ประกอบกับ 2 พรีเซ็นเตอร์ที่ฮอตที่สุด อย่าง @BamBam1A แบมแบมกันต์พิมุกต์ และ @peckpalit เป๊กผลิตโชค ก็ถูกพูดถึงบน Twitter มากที่สุดอีกด้วย โดยทั้งคู่ติดอันดับ 2018 Most Tweeted about Thailand entertainment account ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับอีกด้วย 

อีกทั้งในหมวดของ 2018 Most Tweeted account in Thailand ทั้งแบมแบม และเป๊ก ก็ติดอยู่ในอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ โดยมี GOT7 ซึ่งแบมแบมเป็นสมาชิกอยู่ด้วยติดอยู่ในอันดับ

ทั้งหมดล้วนเป็นพลังของโซเชียลมีเดียที่ส่งกลับไปที่แบรนด์อย่างเอไอเอสโดยตรง และทำให้มีตัวชี้วัดออกมาให้จับต้องได้แบบที่เห็นนี่เอง.

]]>
1211108