วีซ่า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 17 Jun 2024 02:26:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Visa และ Mastercard ยื่นข้อเสนอ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ยุติคดีผูกขาด แต่ผู้พิพากษาสหรัฐฯ เตรียมปัดตกดีลดังกล่าว https://positioningmag.com/1478305 Mon, 17 Jun 2024 01:40:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478305 วีซ่า (Visa) และ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) ได้ยื่นข้อเสนอที่จะยอมความในคดีผูกาขาด ซึ่งมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรูดบัตรที่เหล่าภาคธุรกิจในสหรัฐฯ มองว่าแพงมากเกินไป อย่างไรก็ดีในคดีความดังกล่าวผู้พิพากษาในคดีความนี้เตรียมที่จะปัดตกในข้อตกลงยอมความ

Visa และ Mastercard ได้ยื่นข้อเสนอมากถึง 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 1.1 ล้านล้านบาท ในการยุติคดีผูกขาดซึ่งกินระยะเวลาเกือบ 20 ปี หลังจากที่ผู้ประกอบการรายย่อยในสหรัฐอเมริกาได้ฟ้องร้องว่าทั้ง 2 นั้นผูกขาดในธุรกิจ ทำให้เกิดต้นทุนในการจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตและบัตรเดบิตสูงเกินไป

ตามบันทึกของศาลในสหรัฐอเมริกา Margo Brodie ผู้พิพากษาในเขตบรูคลิน ได้กล่าวกับทนายความของฝั่ง Visa และ Mastercard ในการพิจารณาคดีว่าเธอ “มีแนวโน้มจะไม่อนุมัติข้อตกลงในข้อเสนอดังกล่าว”

ผู้พิพากษาในเขตบรูคลินรายนี้ยังกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าข้อตกลงที่เหมาะสมจะเป็นอย่างไร แต่ฉันรู้ว่าฉันรู้สึกหนักใจกับข้อตกลงนี้ และไม่มีข้อตกลงใดๆ ที่ฉันได้ยินในวันนี้แล้วสามารถเปลี่ยนใจได้ว่า ข้อตกลงนี้ควรจะได้รับการอนุมัติ”

สำหรับคดีความดังกล่าวผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยในสหรัฐอเมริกาได้ฟ้องร้อง Visa และ Mastercard ในปี 2005 ว่าทั้ง 2 นั้นมีการผูกขาดตลาด ส่งผลทำให้ต้นทุนในการจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตและบัตรเดบิตสูงเกินไป และยังมีการขัดขวางไม่ให้ธุรกิจต่างๆ ในการหาวิธีที่ทำให้มีการจ่ายเงินได้ถูกลง

คดีความดังกล่าวนี้ได้มีการยอมความเมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา โดย Visa และ Mastercard จะลดค่าธรรมเนียมลงอย่างน้อยปีละ 0.04% เป็นเวลา 3 ปี และสามารถขยายได้ถึง 5 ปี รวมถึงสามารถให้ลูกค้าที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กสามารถให้ทางเลือกในการจ่ายเงินรูปแบบอื่นแก่ลูกค้าได้

ธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกามากกว่า 90% ของผู้ค้าที่ตกลงที่จะยุติคดีความดังกล่าวกับ Visa และ Mastercard

สมาพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ (NRF) มองว่าการยุติคดีดังกล่าวนั้นไม่ได้มอบผลประโยชน์ให้เหล่าธุรกิจมากพอ รวมถึงข้อเสนอจาก Visa และ Mastercard ถือว่ามีระยะเวลาสั้นไป รวมถึงการลดค่าธรรมเนียมลงนั้นถือว่าน้อยมาก และข้อตกลงดังกล่าวยังทำให้ 2 บริษัทควบคุมค่าธรรมเนียมในการรูดบัตรต่อไปได้

ปัจจุบันค่าธรรมเนียมรูดบัตรของ Visa และ Mastercard อยู่ในช่วง 1.5% ถึง 3.5%

ภาคธุรกิจในสหรัฐอเมริกาได้มีความพยายามอย่างหนักในการที่จะลดค่าธรรมเนียมในการรูดบัตรลงมา อย่างไรก็ดีนอกจาก Visa และ Mastercard ที่ได้รับค่าธรรมเนียมแล้ว ทางธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น JPMorgan Chase Bank of America และ Citibank รวมถึงธนาคารรายอื่นก็ได้รับค่าธรรมเนียมดังกล่าวด้วย

ในกรณีการยอมความดังกล่าวผู้พิพากษา Margo ยังเตรียมวางแผนที่จะเขียนความคิดเห็นเพื่ออธิบายการตัดสินใจพร้อมทั้งยกเหตุผลว่าทำไมเธอถึงปัดตกในเรื่องการยุติคดี

ที่มา – Reuters, Bloomberg

]]>
1478305
“สิงคโปร์” อัปเดตระบบ “วีซ่า” ดึงทาเลนต์เข้าประเทศ เปิด 27 อาชีพคะแนนสูง-พร้อมอ้าแขนรับ https://positioningmag.com/1427050 Mon, 10 Apr 2023 11:44:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427050 รัฐบาล “สิงคโปร์” เปิดรายละเอียดอัปเดตระบบ “วีซ่า” ทำงานของชาวต่างชาติที่จะเริ่มใช้ในเดือนกันยายน 2023 โดยจะเปลี่ยนมาเป็นการ “ให้คะแนน” รวมจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือการประกอบ 27 อาชีพที่สิงคโปร์ต้องการ

ตั้งแต่วิศวกรด้านปัญญาประดิษฐ์​ (AI) จนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ หรือสายงานนักวิทยาศาสตร์ด้านโปรตีนทางเลือก เหล่านี้คือส่วนหนึ่งในรายการอาชีพ 27 รายการที่รัฐบาลสิงคโปร์ปล่อยออกมาว่าจะเป็นอาชีพที่ได้คะแนนสูงในระบบให้วีซ่าแบบใหม่ และเป็นเครื่องสะท้อนว่าสิงคโปร์กำลังต้องการผลักดันให้เหล่าบริษัทต่างๆ เดินไปในทิศทางไหนหลังโรคระบาดคลี่คลาย

นักวิเคราะห์มองว่า ระบบวีซ่าใหม่ของสิงคโปร์มุ่งเน้นให้นายจ้างมีส่วนร่วมในการผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มากขึ้น กรุยทางให้ธุรกิจต่างๆ เปลี่ยนกลยุทธ์การจ้างงานเพื่อให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสิงคโปร์เป็นอันดับแรก

ปัจจุบันสิงคโปร์มีแรงงานต่างชาติคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งเกาะซึ่งมีอยู่ 5.64 ล้านคน ในจำนวนนี้มีกลุ่มที่ได้วีซ่าประเภท Employment Pass (EP) ซึ่งเป็นวีซ่าของชาวต่างชาติที่ทำงานในระดับผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือทำงานอาชีพพิเศษต่างๆ ประมาณ 187,300 คน หรือ 13% ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2022)

ระบบใหม่ที่จะเริ่มใช้เดือนกันยายน 2023 นั้นจะเรียกว่า COMPASS ซึ่งเน้นการประเมินกลุ่มแรงงาน EP เป็นหลัก ผู้สมัครวีซ่าประเภท EP ทั้งหมดจะต้องผ่านการประเมิน 4 หัวข้อ ได้แก่ เงินเดือน, คุณสมบัติ, ความหลากหลายภายในบริษัทผู้ว่าจ้าง และอัตราส่วนของคนสิงคโปร์ที่อยู่ในบริษัทนั้นๆ

ทั้งนี้ การประเมินแต่ละหัวข้อจะให้คะแนนเป็น 3 ระดับ คือ 0 คะแนน, 10 คะแนน และ 20 คะแนน เพื่อที่จะได้ EP ในระบบใหม่ ผู้สมัครจะต้องได้คะแนนครบ 40 คะแนน

ในหัวข้อคุณสมบัตินั้นจะถูกประเมินเรื่องอาชีพที่ทำ ซึ่งสิงคโปร์มีการออก “ลิสต์อาชีพที่ขาดแคลน” (SOL) เมื่อเดือนมีนาคม ปรากฏว่า มีทั้งหมด 27 สายอาชีพใน 6 อุตสาหกรรม ที่ถือว่าขาดแคลน และจะได้คะแนนเต็ม 20 คะแนนไปในหัวข้อนี้

อาชีพเหล่านี้รัฐบาลสิงคโปร์มองว่าเป็นอาชีพที่มีแรงงานไม่เพียงพอ จำเป็นต้องดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาเสริมชาวสิงคโปร์ โดย Nikkei Asia มีการรวบรวมตัวอย่างจาก 27 อาชีพไว้ ดังนี้

อุตสาหกรรมเกษตร: นักวิทยาศาสตร์ด้านโปรตีนทางเลือก

อุตสาหกรรมการเงิน: ที่ปรึกษาด้านการลงทุนให้กับผู้มีความมั่งคั่งสูง, ที่ปรึกษา Family Office (สำนักงานครอบครัวเพื่อดูแลทรัพย์สินตระกูล), ที่ปรึกษาด้านการกุศล

อุตสาหกรรมสีเขียว: ผู้จัดการโครงการคาร์บอนเครดิต, เทรดเดอร์คาร์บอนเครดิต

อุตสาหกรรมสุขภาพ: นักจิตวิทยาคลินิก, นักรังสีการแพทย์, นักกายภาพบำบัด, พยาบาลอาชีพ

อุตสาหกรรมไอซีที: วิศวกรด้านปัญญาประดิษฐ์​ (AI), ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์, ผู้เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยงทางไซเบอร์, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, นักพัฒนาซอฟต์แวร์

อุตสาหกรรมเดินเรือ: ผู้กำกับการเดินเรือ

System Security Specialist Working at System Control Center. Room is Full of Screens Displaying Various Information.

ไฮไลต์ในลิสต์ SOL จะเห็นว่าอย่างไรคนทำงานสายเทคก็ยังเป็นที่ต้องการตัว ขณะเดียวกันคนทำงานสายการเงินที่สิงคโปร์พุ่งเป้าจะเป็นกลุ่มที่จัดการเกี่ยวกับความมั่งคั่ง เพราะสิงคโปร์เห็นโอกาสที่จะเป็นฮับสำหรับบุคคลผู้มีความมั่งคั่งสูงในเอเชียมากยิ่งขึ้น

รวมถึงการมุ่งหาทาเลนต์ด้านการพัฒนาโปรตีนทางเลือก ก็เพราะสิงคโปร์วางเป้าไว้แล้วว่าจะเป็นฮับด้านนวัตกรรมอาหารแห่งเอเชีย

รัฐบาลสิงคโปร์ยังระบุด้วยว่า SOL จะถูกอัปเดตทุกๆ 3 ปี แต่ถ้าหากจำเป็น บางอาชีพอาจจะรีวิวใหม่ทุกปีก็ได้

สำหรับหัวข้ออื่นๆ ที่นำมาคิดคะแนนด้วย เช่น อัตราส่วนของพนักงานชาวสิงคโปร์ในบริษัท สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้สนใจเฉพาะตัวบุคคลที่ขอเข้ามาทำงานในประเทศเท่านั้นอีกต่อไปแล้ว แต่ต่อไปนี้บริษัทที่มาตั้งในสิงคโปร์จะต้องช่วยรัฐบาลพัฒนาคนสิงคโปร์ด้วย เป็นการผลักดันให้บริษัทต้องรับคนสิงคโปร์และช่วยฝึกฝนให้พนักงานสิงคโปร์มีทักษะสูงขึ้น ลดการพึ่งพิงแต่ชาวต่างชาติ

ที่ผ่านมาสถาบันการเงินจากต่างประเทศมากมาย เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป ที่เข้ามาปักหลักสำนักงานในสิงคโปร์ มักจะใช้ระดับผู้บริหารเป็นคนจากประเทศต้นกำเนิดของตนเอง ซึ่งระบบ COMPASS ก็จะกดดันให้บริษัทลักษณะนี้หันมาจ้างคนสิงคโปร์ให้มากขึ้น

Source

]]>
1427050
วีซ่า-มาสเตอร์การ์ด ทิ้งบอมลูกใหญ่! ประกาศระงับการทำธุรกรรมในรัสเซีย https://positioningmag.com/1376485 Sun, 06 Mar 2022 05:33:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1376485 วีซ่า (Visa) และ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) 2 ผู้ให้บริการบัตรชำระเงินยักษ์ใหญ่ ได้ประกาศว่ากำลังระงับการดำเนินงานในรัสเซีย ซึ่งถือเป็นการทิ้งบอมระบบการเงินของประเทศรัสเซียครั้งล่าสุด หลังจากที่มีการบุกโจมตียูเครน

โดยมาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า บัตรที่ออกโดยธนาคารในรัสเซียจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายอีกต่อไป และบัตรมาสเตอร์การ์ดที่ออกนอกประเทศจะสามารถใช้งานที่ร้านค้าหรือตู้เอทีเอ็มของรัสเซีย

“เราไม่ได้ใช้การตัดสินใจนี้อย่างไม่ใส่ใจ แต่การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการหารือกับลูกค้า พันธมิตร และรัฐบาล” มาสเตอร์การ์ดกล่าว

ด้าน วีซ่า กล่าวว่า กำลังทำงานร่วมกับลูกค้าและคู่ค้าในรัสเซียเพื่อยุติการทำธุรกรรมของวีซ่าทั้งหมดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดย อัล เคลลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวีซ่า ระบุในถ้อยแถลงว่า “เราถูกบังคับให้ดำเนินการหลังจากการรัสเซียบุกโจมตียูเครนอย่างไม่มีเหตุ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยอมรับไม่ได้”

เมื่อต้นสัปดาห์วีซ่าและมาสเตอร์การ์ด ได้ประกาศการเคลื่อนไหวที่จำกัดมากขึ้นเพื่อบล็อกสถาบันการเงินจากเครือข่ายที่ทำหน้าที่เป็นหลอดเลือดแดงสำหรับระบบการชำระเงิน ทำให้ชาวรัสเซียได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการคว่ำบาตรรวมถึงบทลงโทษทางการเงินที่บังคับใช้โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของ มาสเตอร์การ์ดและวีซ่า ก็ส่งผลต่อกำไรทั้ง 2 บริษัท เพราะรายได้จากรัสเซียคิดเป็น 4% ของรายรับสุทธิทั้งหมดของวีซ่าในปีงบประมาณที่แล้ว ซึ่งรวมถึงเงินที่ได้จากกิจกรรมในประเทศและข้ามพรมแดน ส่วนประเทศยูเครนมีสัดส่วนประมาณ 1% ส่วนมาสเตอร์การ์ดเปิดเผยว่ารายได้จากรัสเซียคิดเป็น 4% ของรายรับสุทธิ อีกประมาณ 2% มาจากยูเครน

ทั้งนี้ นับตั้งแต่การรุกรานของยูเครน ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียก็ลดลงมากกว่า 1 ใน 3 สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นั่นเป็นการผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้กับครัวเรือนในรัสเซีย ทำให้ชาวรัสเซียแห่ถอนเงินออกจากธนาคาร และไม่ใช่แค่สถาบันการเงิน แต่บริษัทอื่น ๆ ทั่วโลกได้เคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มแรงกดดันทางการเงินต่อรัสเซียและผู้คนในรัสเซีย เนื่องจากการจู่โจมยูเครน บางคนขายหุ้นของตนในบริษัทรัสเซีย เช่น BP ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน เป็นต้น

Source

]]>
1376485
เเคนาดา เปิดช่องทางพิเศษ ดึงหนุ่มสาว ‘ชาวฮ่องกง’ ย้ายประเทศง่ายขึ้น เสียงตอบรับล้นหลาม ! https://positioningmag.com/1333388 Fri, 21 May 2021 11:52:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333388 ผ่านไปเพียง 3 เดือน หลังที่นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดเปิดช่องการย้ายถิ่นฐานแบบใหม่ให้ชาวฮ่องกงวัยหนุ่มสาว มาอยู่อาศัยในเเคนาดาได้ง่ายขึ้น เเน่นอนว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีผู้สมัครมากเกือบ 6,000 คนเเล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่เเล้ว รัฐบาลแคนาดาประกาศจะช่วยเหลือให้เยาวชนชาวฮ่องกง ได้เข้ามาเรียนเเละทำงานในเเคนาดาง่ายขึ้นเพื่อตอบโต้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ที่กำหนดขึ้นโดยจีน เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกง

ภายใต้กฎการขอวีซ่าใหม่นี้ ระบุว่า ชาวฮ่องกงที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในแคนาดา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สามารถสมัครวีซ่าทำงานได้ถึง 3 ปี รวมถึงผู้ที่มีใบรับรองการวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศ ก็มีสิทธิ์สมัครได้เช่นกัน

โครงการนี้ ถือเป็นโครงการแรกที่กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยตรงไปยังชาวฮ่องกงวัยหนุ่มสาวเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2021 ปัจจุบันมีผู้สมัครมาแล้วกว่า 5,727 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม) โดยได้รับใบสมัครจากชาวฮ่องกงมากถึง 503 คนภายใน 3 สัปดาห์แรกหลังเปิดตัวโครงการ

แคนาดาและฮ่องกง มีสายสัมพันธ์อันเเน่นเเฟ้นเรื่อยมา จากความต้องการของหนุ่มสาวชาวฮ่องกงที่ต้องการไปยังต่างแดน เราอยากให้พวกเขาเลือกมาที่เเคนาดาเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองผู้ลี้ภัยและพลเมืองแคนาดากล่าว

(Photo by Ivan Abreu/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)

แคนาดา นับเป็นบ้านหลังที่สองของชาวฮ่องกงจำนวนมาก โดยมีครอบครัวชาวฮ่องกงย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่แวนคูเวอร์และโตรอนโต มาตั้งเเต่ก่อนที่อังกฤษจะส่งมอบอาณานิคมเดิมให้กับจีนในปี 1997

หลังจากได้รับสัญชาติแคนาดา มีหลายครอบครัวตัดสินใจกลับบ้านเกิดมาอยู่อาศัยในฮ่องกง ทำให้ปัจจุบันฮ่องกงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่ถือสัญชาติแคนาดาประมาณ 3 เเสนคน ถือเป็นชุมชนชาวแคนาดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในต่างประเทศ

จากสถานการณ์ขัดเเย้งทางการเมืองเเละการประท้วงครั้งใหญ่ รัฐบาลจีนได้บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2020 ซึ่งประชาชนชาวฮ่องกงหลายคนมองว่าเป็นการริดลอนสิทธิเสรีภาพ ทำให้พลเมืองจำนวนมากที่อาศัยในฮ่องกง ตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน ขนสินทรัพย์หลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปยังต่างเเดน เพื่อสร้างอนาคตใหม่

เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักร ประกาศว่าจะมอบเงินสนับสนุน 43 ล้านปอนด์ (ราว 2 พันล้านบาท) ช่วยเหลือชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษโพ้นทะเล ที่มีศักยภาพสูงกว่า 5 ล้านคนให้เริ่มต้นชีวิตใหม่และตั้งถิ่นฐานในอังกฤษได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการหางาน ที่อยู่อาศัยและการเข้ารับการศึกษา

 

 

ที่มา : Reuters , SCMP 

]]>
1333388
เปิดอินไซต์ พฤติกรรม ‘Contactless’ ของคนไทย ใช้จ่ายโดยไม่พึ่ง ‘เงินสด’ ได้นานถึง 8 วัน https://positioningmag.com/1324731 Thu, 25 Mar 2021 09:03:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324731 วิกฤตโรคระบาด กระตุ้นให้ผู้คนปรับไลฟ์สไตล์เข้ากับดิจิทัลมากขึ้น หลายคนได้ทดลองใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดเเละมีทัศนคติในการชำระเงินที่เปลี่ยนไปจากเดิม

ผลสำรวจล่าสุดจากวีซ่า’ (VISA) ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดหรือ Cashless Society ได้ในปี 2026 หรือเพียง 4-5 ปี นับจากนี้ ถือว่าเร็วขึ้น’ จากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลานานถึง 10 ปี หรือปี 2030

จากความเห็นของผู้บริโภคจำนวน 1,000 คน อายุระหว่าง 18-65 ปี รายได้ 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน พบว่ากว่า 4 ใน 5 หรือประมาณ 82% ของกลุ่มตัวอย่างได้ทดลองใช้ชีวิตแบบไร้เงินสด โดยเฉลี่ยคนไทยเห็นว่าพวกเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างไร้เงินสดได้นานถึง 8.1 วัน เพราะสามารถสั่งอาหารเเบบเดลิเวอรี่ รถเมล์เเละร้านสะดวกซื้อก็แตะบัตรจ่ายได้ 

เมื่อเจาะลึกลงไป เห็นได้ชัดว่าการมาของ COVID-19 มีผลต่อการใช้จ่ายอย่างมาก โดยสัดส่วนผู้ที่ใช้ชีวิตโดยไร้เงินสด 1 สัปดาห์เพิ่มขึ้นเป็น 19% จากปีก่อนที่ 17% และเมื่อเพิ่มระยะเวลาเป็น 1 เดือนจะมีสัดส่วนที่ 4% จากปีก่อนหน้าที่ 3%

โดยมีคนไทยพกเงินสดน้อยลงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 51% จากเดิมอยู่ที่ 30% เนื่องจากหันมาใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยเห็นว่ามีความสะดวก ไม่ต้องต่อคิว เช็กความเคลื่อนไหวของบัญชีได้ง่าย เเละที่สำคัญกว่า 61% มองว่าช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้ด้วย


ไทยเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญของวีซ่า สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย ระบุ

วีซ่าเป็นผู้ให้บริการชำระเงินรายใหญ่ ครอบคลุม 200 ประเทศทั่วโลก ที่มีฐานลูกค้า 3,500 ล้านบัญชี ทั้งบัตรเครดิต เดบิต และพรีเพด มีธนาคารพาณิชย์พันธมิตร 15,300 แห่ง ร้านค้า 70 ล้านร้านค้า จำนวนธุรกรรมกว่า 1 แสนล้านรายการ คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่าย 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน ประเทศไทย มีจำนวนผู้ถือบัตรทั้งเครดิตเเละเดบิตกว่า 70-80 ล้านใบ และมีประชากรที่เข้าถึงบัญชีธนาคารสัดส่วนค่อนข้างสูงถึง 83% ทำให้สัดส่วนการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สูงตามไปด้วยที่ 72% และใช้เงินสดเพียง 28%

ปัจจัยที่สนับสนุนต่อ Cashless Society หลักๆ มาจากความก้าวหน้าของโลกเทคโนโลยีเเละการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 78% มีสมาร์ทโฟน 134% และการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก 79%

พร้อมๆ กับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กระตุ้นการใช้ผ่านบริการรับโอนเงินรูปแบบใหม่ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อพร้อมเพย์ให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ผู้บริหารวีซ่า บอกว่า จุดเด่นการใช้จ่ายของคนไทย คือ ชื่นชอบการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดมากที่สุดถึง 94% ตามด้วยวิธีการชำระเงินแบบแตะเพื่อจ่ายผ่านสมาร์ทโฟน 92% และการแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตรคอนแทคเลส (Contactless) 89%

ส่วนในด้านของการใช้งานจริงนั้น 45% ของผู้ทำแบบสอบถามเลือกชำระเงินแบบแตะเพื่อจ่ายผ่านสมาร์ทโฟนมากที่สุด ตามมาด้วยการสแกนชำระผ่านคิวอาร์โค้ด 42% และแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตร 41%

คนไทยคุ้นเคยกับการจ่ายผ่านคิวอาร์โค้ด หรือโอนเงินเพื่อจ่าย มากกว่าในต่างประเทศที่นิยมแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตร เพราะคิดว่าการพกบัตรก็ไม่ได้ลำบากมากนัก ขณะเดียวกันช่วงอายุของลูกค้าก็มีผลต่อการเลือกใช้ โดยกลุ่มผู้ใหญ่ยังนิยมพกบัตร ส่วนคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีก็จะถนัดจ่ายทางสมาร์ทโฟนมากกว่า

ส่วนในอนาคตนั้นมองว่า การชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน จะเข้ามาเเทนที่การใช้จ่ายผ่านบัตรในทึ่สุด เเต่ยังไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ โดยบัตรที่ทำจากพลาสติกจะยังคงมีต่อไปอีกสักระยะ เเต่จะค่อยๆ ลดลง ตามเจเนอเรชันที่เปลี่ยนไปของสังคม

Photo : Shutterstock

เตรียมบุก ‘เเตะเพื่อจ่าย’ ทางเรือ ส่วน MRT ยังต่อรอไปก่อน 

เหล่านี้ ทำให้กลยุทธ์ของวีซ่าในปี 2021 จะมุ่งไปที่การเพิ่มสัดส่วนธุรกรรมการจ่ายผ่านบัตรคอนแทคเลสเป็น 20% ของธุรกรรมทั้งหมด จากเดิมที่อยู่ราว 15% เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 1 ปี จากก่อนหน้าที่มีแค่ 0.1% เท่านั้น

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนธุรกรรมนั้น มีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนบัตรเดบิตเครดิตที่หมดอายุของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากบัตรรุ่นใหม่จะมีฟังก์ชันการใช้งานเเบบคอนแทคเลสได้ทันที รวมไปถึงความก้าวหน้าของเครื่องรับบัตร (EDC) ที่สามารถรับชำระได้ 4 in 1 ได้ โดยล่าสุดยอดการใช้ธุรกรรมการใช้ผ่านคอนแทคเลสในไทยมีมากกว่า 2 ล้านรายการต่อเดือน

นอกจากนี้ วีซ่าจะมีแคมเปญส่งเสริมการใช้จ่ายเเบบคอนแทคเลส โดยการร่วมมือกับพันธมิตรเช่น ผู้ให้บริการทางเรือและรถไฟฟ้าใต้ดิน เเละจับมือกับธุรกิจ e-Wallet รวมไปถึงการทำโปรเจกต์กับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะนำข้อมูล Big Data อย่างพฤติกรรมผู้บริโภค การใช้จ่ายต่างๆ มาพัฒนาร่วมกัน โดยจะเริ่มใน 2-3 เดือนนี้

บริการเเตะเพื่อจ่ายในบริการขนส่งทางเรือ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงไม่กี่เดือนนี้ ส่วนการเเตะเพื่อใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น ยังต้องรอการเจรจาจากหลายฝ่ายทั้งภาครัฐเเละเอกชน ซึ่งมีความพยายามจะทำมานานเเล้ว เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาได้ว่าจะใช้ได้จริงเมื่อใด

โดยที่ผ่านมา หลังจากมีบริการเเตะเพื่อจ่ายบนรถเมล์ในไทยกว่า 3,000 คันนั้น พบว่ามีกระเเสตอบรับที่ดี เเต่เมื่อต้องเจอกับการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้การเดินทางต้องมีช่วงหยุดชะงักชั่วคราว ก็ส่งผลกระทบเช่นกัน เเต่ก็หวังว่าประชาชนจะกลับมาใช้เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายเเละมีการกระจายวัคซีนทั่วถึง

เเม้จะมีปัจจัยหนุนมากมายที่จะทำให้ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดเร็วขึ้นตามยุคสมัย เเต่ในอีกมุมเมื่อถามว่าอะไรเป็นอุปสรรคบ้าง สุริพงษ์มองว่าคือปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตก็ยิ่งมีผลต่อการใช้จ่ายของผู้คนด้วย

 

 

]]>
1324731
“อังกฤษ” จ่อบังคับใช้วีซ่าพิเศษให้ “ฮ่องกง” อพยพเข้าประเทศได้ คาดมีราว 3 แสนคน https://positioningmag.com/1317187 Fri, 29 Jan 2021 14:40:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317187 รัฐบาลอังกฤษประกาศขอยืนเคียงข้างชาวฮ่องกง ด้วยการยืนยันการเชิดชูหลักการเสรีภาพ และการปกครองตนเองระหว่างเตรียมพร้อมบังคับใช้วีซ่าใหม่ฮ่องกงที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 31 ม.ค. ผู้นำอังกฤษคาดอาจมีพลเมืองถึง 300,000 คนอพยพเข้า

AFP รายงานว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางอังกฤษสัญชาติโพ้นทะเล BN(O) (British National (Overseas) ของฮ่องกงที่มีจำนวนราว 3 ล้านคน นับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 31 ม.ค. นี้ จะสามารถอาศัย และทำงานในอังกฤษได้นานสูงสุด 5 ปี และในท้ายที่สุดจะสามารถสมัครเพื่อขอสัญชาติอังกฤษได้ด้วย

แต่เดิมผู้ถือหนังสือเดินทางดังกล่าวมีสิทธิ์แค่เดินทางเข้าประเทศชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ธุรกิจ และเยี่ยมญาติ และอยู่ในอังกฤษได้นานสูงสุดแค่ 6 เดือน

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน แถลงอย่างภาคภูมิใจว่า

“ผมรู้สึกภาคภูมิเป็นอย่างมากที่ทางเราได้เปิดโอกาสให้กับเหล่าผู้ถือหนังสือเดินทาง BN(O) ในส่วนของชาวฮ่องกงสำหรับการอาศัยและทำงานเพื่อสร้างครอบครัวในประเทศของเรา”

และในแถลงการณ์ยังกล่าวต่อว่า “ในการทำเช่นนั้นเพราะเราต้องการให้เกียรติต่อความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาอย่างยาวนาน และความเป็นมิตรกับประชาชนฮ่องกง และเรายืนหยัดเพื่อเสรีภาพ และการปกครองตนเอง ซึ่งเป็นคุณค่าที่ชาวฮ่องกงและชาวอังกฤษให้การยึดถือ”

จากที่ AFP ประเมินว่ามี BN(O) จำนวนราว 2.9 ล้านคน และลูกหลานของคนกลุ่มนี้อีก 2.3 ล้านคน

แต่ทางปฏิบัติอังกฤษประเมินว่า น่าจะมีประชาชนชาวฮ่องกงแค่ 322,400 คน ของประชากรฮ่องกงทั้งหมด 7.5 ล้านคน ออกเดินทาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอังกฤษได้สูงสุดถึง 2,900 ล้านดอลลาร์

18 ส.ค. 2019 ผู้ประท้วงเรียกร้องเสรีภาพให้ฮ่องกงชุมนุมกัน ณ สวนสาธารณะเบลมอร์ในซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย (photo : Brook Mitchell/Getty Images)

แต่อย่างไรก็ตาม วีซ่าพิเศษฮ่องกงนี้แพงเอาการ วีซ่าระยะเวลา 5 ปี ตกราว 250 ปอนด์/หัว แต่สิ่งที่แพงมากคือค่าธรรมเนียมการเข้าถึงระบบสาธารณสุขอังกฤษ 3,120 ปอนด์/หัว และอีก 2,350 ปอนด์สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

ทั้งนี้ วีซ่าสำหรับระยะเวลาที่สั้นกว่านั้น โดยสามารถอาศัยได้สูงสุดนาน 30 เดือน มีให้เช่นกันสำหรับชาวฮ่องกงที่ประสงค์การร้องขอ

รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ โดมินิค ราบ กล่าวว่า “ทางเรามีความชัดเจนที่ว่าเราจะไม่มองไปถึงทางอื่นสำหรับกรณีของฮ่องกง เราจะยังคงอยู่กับความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานต่อประชาชนเหล่านั้น”

และยังย้ำว่า อังกฤษต้องเดินหน้าเนื่องมาจากปักกิ่งได้ละเมิดปฏิญญา ร่วม ซิโน-อังกฤษ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่

และผลจากกฎหมายดังกล่าว ทำให้รัฐบาลฮ่องกงสามารถเดินหน้ากวาดล้างฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยที่มีบุคคลสำคัญ เป็นต้นว่า โจชัว หว่อง ผู้ก่อตั้งเจ้าของหนังสือพิมพ์แอปเปิลเดลี

AFP ชี้ว่า นับตั้งแต่กรกฎาคม ปีที่แล้วจนถึงมกราคม 2021 พบว่า มีชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง BN(O) รวมลูกหลานทั้งหมดราว 7,000 คน ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษในการอพยพเข้าอาศัยในอังกฤษ

Source

]]>
1317187
สหรัฐฯ ยกเลิกวีซ่า “พลเมืองจีน” กว่าพันคน อ้างเป็น “ภัยความมั่นคง” พยายามขโมยข้อมูล https://positioningmag.com/1296274 Thu, 10 Sep 2020 17:20:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1296274 สหรัฐฯ ยกเลิกวีซ่าพลเมืองจีนกว่า 1,000 คน โดยเป็นไปตามคำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ระงับการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ของนักศึกษาและนักวิจัยจีนที่ “เป็นภัยต่อความมั่นคง”

แชด วูล์ฟ รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ยืนยันว่า วอชิงตันได้ยกเลิกวีซ่านักศึกษา และนักวิจัยจีนบางคนที่มีความเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ทางทหารของจีน เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปขโมยทรัพย์สินทางปัญญา หรือข้อมูลงานวิจัยที่มีความอ่อนไหว

วูล์ฟ อ้างว่า จีนมีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม และพยายามจารกรรมข้อมูลต่างๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงงานวิจัยด้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และยังกล่าวหาปักกิ่งว่าใช้วีซ่านักศึกษาเป็นช่องทางแสวงหาประโยชน์จากสถาบันการศึกษาในอเมริกา

โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการยกเลิกวีซ่านี้เป็นไปตามประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ซึ่งมุ่งตอบโต้กรณีจีนบั่นทอนประชาธิปไตยในฮ่องกง

“จนถึงวันที่ 8 ก.ย. 2020 กระทรวงการต่างประเทศได้ทำการยกเลิกวีซ่าพลเมืองจีนกว่า 1,000 คนซึ่งเข้าข่ายตามประกาศของประธานาธิบดีหมายเลข 10043 และไม่มีสิทธิ์ถือครองวีซ่าเข้าสหรัฐฯ” โฆษกกระทรวง ระบุ

เธอย้ำว่า “นักศึกษา และนักวิชาการที่มีความเสี่ยงสูง” เหล่านี้มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับชาวจีนทั่วๆ ไปที่ตั้งใจมาศึกษาเล่าเรียน และทำวิจัยในอเมริกา และสหรัฐฯ ยังคงยินดีต้อนรับบุคคลกลุ่มหลัง

เมื่อเดือน มิ.ย. รัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาคัดค้านกรณีที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันนักศึกษาชาวจีน และเรียกร้องให้วอชิงตันพยายามส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความเข้าใจระหว่างกันให้มากกว่านี้

ปัจจุบันมีชาวจีนราว 360,000 คนที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้นักศึกษาจากแดนมังกรกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของมหาวิทยาลัยในอเมริกา

นักศึกษาจีนบางคนระบุว่า พวกเขาเพิ่งได้รับอีเมลแจ้งจากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงปักกิ่ง หรือสถานกงสุลสหรัฐฯ ในจีนเมื่อวันพุธที่ 9 ก.ย. ว่าถูกยกเลิกวีซ่าประเภท F-1 และจะต้องดำเนินการยื่นขอวีซ่าใหม่ หากยังต้องการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา

นักศึกษากลุ่มนี้ส่วนใหญ่เรียนในสายวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ บางคนเป็นนักศึกษาปริญญาโท-เอกซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในจีน และมีความเชื่อมโยงกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน

Source

]]>
1296274
Harvard เเละ MIT ยื่นฟ้องรัฐบาลทรัมป์ ระงับวีซ่า-ส่งนักเรียนต่างชาติกลับประเทศ หากสอนออนไลน์ 100% https://positioningmag.com/1287119 Thu, 09 Jul 2020 10:04:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1287119 มหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ร่วมยื่นฟ้องรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เเห่งสหรัฐฯ กรณีสั่งระงับวีซ่าของนักเรียนเเละนักศึกษาต่างชาติ หากสถานศึกษาจัดการสอนผ่านทางออนไลน์เเบบ 100% ในภาคการศึกษาที่จะถึงนี้

การเรียนออนไลน์ กลับมาเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง หลังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) ออกประกาศเมื่อวันที่ 6 ..ที่ผ่านมาว่า นักเรียนต่างชาติภายใต้ วีซ่า F-1 และ M-1 ที่สถานศึกษาปรับให้ต้องเรียนออนไลน์นั้น จะไม่สามารถเรียนออนไลน์เเบบ 100% ได้ หากยังอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ โดย ICE อนุโลมให้มีการเรียนการสอนเเบบผสมระหว่างการเรียนออนไลน์และเรียนในชั้นเรียน

ขณะเดียวกัน ทางการจะไม่ออกวีซ่าให้กับนักเรียนต่างชาติที่ต้องเรียนแบบออนไลน์ทั้งหมด รวมถึงไม่อนุญาตให้นักเรียนกลุ่มนี้เดินทางเข้าสหรัฐฯ ด้วย

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้มหาวิทยาลัย Harvard และ MIT ต้องออกมาตอบโต้เพื่อปกป้องนักศึกษา โดยยื่นฟ้องร้องต่อศาลแขวงแมสซาชูเซตส์ เพื่อขอให้ศาลหยุดคำสั่งของรัฐบาลทรัมป์

Larry Bacow อธิการบดีมหาวิทยาลัย Harvard กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะติดตามคดีนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้นักเรียนต่างชาติของเรา และนักเรียนต่างชาติในสถาบันอื่นทั่วประเทศ สามารถเรียนต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกส่งตัวกลับประเทศ

ก่อนหน้านี้ มหาวิทยาลัย Harvard ประกาศว่า จากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 จะมีการกำหนดหลักสูตรเป็นการเรียนการการสอนผ่านออนไลน์เเบบ “เต็มรูปแบบ” รวมถึงนักศึกษาที่อาศัยอยู่ภายในมหาวิทยาลัยด้วย ดังนั้น กฎระเบียบใหม่ของ ICE ครั้งนี้จะทำให้นักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัย กว่า 5,000 คนได้รับผลกระทบ ขณะที่นักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ มีอยู่ทั้งหมดราว 1 ล้านคน

อธิการบดีมหาวิทยาลัย Harvard ระบุอีกว่า คำสั่งดังกล่าวออกมาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า โหดร้ายเกินกว่าจะเป็นเพียงความประมาท เเละดูเหมือนจะมีจุดประสงค์เพื่อกดดันโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ให้เปิดชั้นเรียนแบบปกติภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียน อาจารย์ และคนอื่นๆ

การตอบโต้รัฐบาลทรัมป์ของ Harvard และ MIT ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยทางมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ชี้ว่า นโยบายดังกล่าวไร้เหตุผลและไม่ยุติธรรม สวนทางกับทุกสิ่งที่สถาบันยืนหยัด และเป็นการตัดสินใจที่ทำให้นักเรียนต่างชาติจำนวนมาก ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถรับมือได้ เพราะเหลือเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง

นอกจากนี้ การที่จะให้นักเรียนต่างชาติ กลับไปประเทศบ้านเกิดเพื่อเข้าร่วมการเรียนผ่านออนไลน์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และไม่สามารถทำได้จริง เพราะมีความยากลำบากในการเดินทาง มีค่าใช้จ่ายสูงเเละอาจเป็นอันตราย

ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำหนิมหาวิทยาลัย Harvard เเละสถานบันการศึกษาขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ยังคงจะจัดการเรียนการสอนทางออนไลน์เเบบ 100% พร้อมเตือนว่า หากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเเห่งใดก็ตามไม่จัดการเรียนการสอนแบบปกติในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ จะไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง

ทั้งนี้ นักศึกษาต่างชาติ ถือเป็นรายได้สำคัญของมหาวิทยาลัยในหลายประเทศ โดยก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยชื่อดังในออสเตรเลียอย่าง แคนเบอร์รา (University of Canberra) และมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) กำลังเตรียมเเผนที่จะเช่าเครื่องบินไปรับนักศึกษาต่างชาติราว 350 คนกลับเข้าออสเตรเลีย โดยหวังว่าจะสามารถทำได้ในช่วงเดือนก..นี้ เพื่อให้นักศึกษาต่างชาติได้ผ่านการกักตัวก่อนกลับเข้าชั้นเรียน

 

ที่มา : CNN

]]>
1287119
ทรัมป์ ระงับออก “วีซ่าแรงงานต่างชาติ-กรีนการ์ด” ยาวถึงสิ้นปี ให้คนอเมริกันได้งานก่อน https://positioningmag.com/1284776 Tue, 23 Jun 2020 11:46:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284776 โดนัลด์ ทรัมป์” ออกประกาศประธานาธิบดี (Presidential Proclamation) ขยายเวลาระงับการ
ออกกรีนการ์ด หรือ เอกสารอนุมัติการอยู่อาศัยและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่นอกสหรัฐฯ ไปจนถึงสิ้นปีนี้ รวมทั้งระงับสั่งการออกวีซ่าทำงานหลายประเภทสำหรับชาวต่างชาติชั่วคราว

โดยประกาศประธานาธิบดีดังกล่าว ได้สั่งระงับการออกวีซ่าประเภท H-1B, H-4, H-2B, J-1 , J-2 เเละ L-1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มิ..ไปจนถึง 31 .. 2020 

สำหรับวีซ่า H-1B เป็นประเภทที่ออกให้กับลูกจ้างชาวต่างชาติของบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ส่วนวีซ่า H-2B ออกให้กับคนทำงานตามฤดูกาลที่ไม่ใช่ในภาคการเกษตร วีซ่า J-1 สำหรับลูกจ้างชั่วคราว และวีซ่าชั่วคราวประเภทอื่นสำหรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และวัฒนธรรม รวมทั้ง วีซ่า L-1 สำหรับผู้บริหารของบริษัทระหว่างประเทศ

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า มาตรการนี้จะช่วยให้มีตำแหน่งงานว่างสำหรับคนอเมริกันราว 525,000 ตำแหน่ง เเละป้องกันไม่ให้แรงงานจากต่างชาติมาเเย่งตำเเหน่งงานในช่วงฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังการระบาดของ COVID-19 ที่ยังคงมีผู้คนว่างงานจำนวนมาก โดยเดือนพ..ที่ผ่านมา ยอดว่างงานในสหรัฐฯ เคยพุ่งสูงถึง 36.5 ล้านราย เเละแรงงานอเมริกัน 1 ใน 4 ไม่มีงานทำ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาคบริการในสหรัฐฯ ได้กลับมาจ้างงานเพิ่มขึ้นเเล้วราว 2 ล้านตำเเหน่ง ส่วนภาคการผลิตมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 2 เเสนตำเเหน่ง

การสั่งระงับการออกวีซ่าชั่วคราวให้กับชาวต่างชาติครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจร้านอาหาร และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาแรงงานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติทักษะสูงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley กำลังจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ด้วยข้อจำกัดวีซ่าจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี 

Sundar Pichai  ซีอีโอของ Google บอกว่า แรงงานต่างชาติมีความสำคัญอย่างมากในความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ทำให้อเมริกาได้เป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี บริษัทรู้สึกผิดหวังกับคำสั่งนี้ โดยจะยังคงยืนหยัดเพื่อผู้อพยพเเละเปิดโอกาสการทำงานให้ทุกคนต่อไป

ด้าน Global Public Policy ของทวิตเตอร์ ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า คำสั่งนี้จะทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจอเมริกา รวมถึงความหลากหลายของผู้คนในประเทศนี้ เพราะพวกเขาต่างเดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อมาทำงาน จ่ายภาษี และมีส่วนร่วมในการแข่งขันในเวทีโลก

 

 

ที่มา : Reuters , CNN

 

]]>
1284776
อินเดียปิดเมือง! สั่งระงับออกวีซ่า ห้ามต่างชาติเข้าประเทศ เพื่อสกัด COVID-19 https://positioningmag.com/1267923 Thu, 12 Mar 2020 05:18:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1267923 รัฐบาลอินเดีย ประกาศระงับออกวีซ่าเเละตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเเก่ “พลเมืองต่างชาติทุกประเทศ”
จนถึงวันที่ 15 เม.ย.นี้ พร้อมยกระดับมาตรการการกักตัว เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโคโรนา COVID-19 หลัง WHO ประกาศเป็น “การรระบาดใหญ่ทั่วโลก”

กระทรวงต่างประเทศอินเดีย ออกเเถลงการณ์วันนี้ (12 มี.ค.) ว่าด้วยการะงับการออกวีซ่าท่องเที่ยวให้กับพลเมืองชาวต่างชาติทุกประเทศ ตั้งเเต่เวลา 12.00 น. (หรือ 19.00 น. ตามเวลาในไทย) ของวันศุกร์ที่ 13 มี.ค. จนถึงวันที่ 15 เม.ย.นี้ พร้อมด้วยการระงับตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว ในทุกช่องทางที่ผ่านดินเเดน ตามกำหนดวันเเละเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ จะมีการ “ยกเว้น” การออกวีซ่าและการตรวจลงตราให้กับนักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ และพลเมืองต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทโครงการคู่สัญญากับรัฐบาลอินเดียเท่านั้น

นอกจากนี้ ได้ยกระดับมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่มีประวัติเดินทางเยือนจีน อิตาลี อิหร่าน เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส สเปนเเละเยอรมนี นับตั้งเเต่วันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ต้องถูกกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ซึ่งมาตรการครอบคลุมทุกคนทั้งพลเมืองอินเดียเเละชาวต่างชาติ รวมถึงจะมีการด่านตรวจตามจุดผ่านเเดนทุกจุด ทั้งทางบก ทางอากาศเเละทางทะเล

โดยเเนะนำชาวอินเดียที่อยู่อาศัยอยู่ในประเทศ ไม่ควรเดินทางไปต่างประเทศ “ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม” ในช่วงนี้ เพราะจะต้องถูกกักตัวอย่างน้อย 14 วัน ส่วนการรับพิจารณาคำร้องและอนุมัติบัตรประจำตัวชาวอินเดียโพ้นทะเล (OIC) ให้ระงับไว้ก่อน

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลนิวเดลีได้ระงับวีซ่าท่องเที่ยวเเก่พลเมืองจีน เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่วนพลเมืองอิตาลี อิหร่าน เกาหลีใต้เเละญี่ปุ่น ที่ได้รับการอนุมัติวีซ่าท่องเที่ยว ก่อนประกาศนี้ต้องให้ระงับไว้ก่อน ขณะที่พลเมืองชาติอื่นที่เข้าพำนักในอินเดียอย่างถูกต้องเเล้วสามารถอยู่ต่อได้จนครบกำหนด

การประกาศยกระดับควบคุมการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ของรัฐบาลอินเดีย เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดหลัง องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “การระบาดใหญ่” หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปใน 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลก และมีผู้ติดเชื้อกว่า 121,000 คน ทั้งได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 4,300 คน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นอกประเทศจีนได้พุ่งพรวดขึ้น 13 เท่าตัวภายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

]]>
1267923