โดยจากรายงานของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการย้ายถิ่นฐาน เผยว่า ในปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีน ที่มีรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36.7 ล้านบาท) อพยพออกนอกประเทศถึง 13,800 คน ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกนอกประเทศมากสุดในโลก และในปี 2024 นี้ คาดว่าจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 15,200 คน
โดย สิงคโปร์ ถือเป็นปลายทาง Top 3 ที่เศรษฐีจีนย้ายไปอยู่มากที่สุด นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เนื่องจากรัฐออกมาตรการดึงดูดหลายประการ เช่น การลดหย่อนภาษีสำนักงานครอบครัว, โปรแกรมวีซ่าและจัดหาถิ่นที่อยู่ นอกจากนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของสิงคโปร์ยังเป็นคนเชื้อสายจีนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีฟอกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมีความผิดฐานพัวพันกับการพนันออนไลน์ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับสำนักงานธุรกิจครอบครัว (Family Office) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของครอบครัวที่สิงคโปร์ในอนาคต ทำให้มีมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการฟอกเงิน ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนไม่อยากมาใช้บริการสำนักงานธุรกิจครอบครัว เพราะหงุดหงิดกับกระบวนการและคำถามที่ถูกถาม
“สำหรับมหาเศรษฐีบนแผ่นดินใหญ่หลายคน เพราะพวกเขาไม่ชอบการแทรกแซงของรัฐบาลตามอำเภอใจ การตรวจสอบของรัฐบาล หรือการคุกคามต่อความมั่งคั่งส่วนบุคคลของพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องการย้ายเงินออกจากจีน หากสิงคโปร์จะตรวจสอบและกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเช่นเดียวกับแผ่นดินใหญ่ แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากไปที่นั่น?” Zhiwu Chen ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยของฮ่องกง กล่าว
ส่งผลให้คาดว่า ฮ่องกง จะได้อ้าแขนรับเศรษฐีจีนกลับมาประมาณ 200 คนในปีนี้ เนื่องจาก ธุรกิจในฮ่องกงกำลังฟื้นตัว โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของฮ่องกงเติบโต 2.1% เป็น 31 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง (5.4 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์)
“ผมเริ่มเห็นมหาเศรษฐีที่เริ่มเข้าไปสร้างธุรกิจสำนักงานครอบครัวในฮ่องกงมากขึ้น หลังธุรกิจของธนาคารเอกชนในจีนฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่การเติบโตของกลุ่มเดียวกันในสิงคโปร์ชะลอตัวลง ซึ่งหมายความว่าเงินจะย้ายไปสิงคโปร์น้อยลง”
อีกจุดที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าเงินของเศรษฐีจีนที่จะไปสิงคโปร์ตอนนี้มุ่งหน้าไปยังฮ่องกงก็คือ ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ยอดนิยมของชาวจีนผู้มั่งคั่งจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 63% เป็น 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023
ขณะที่ พอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในเดือนนี้ว่า ในปีที่ผ่านมา กระแสเงินไหลเข้าสุทธิของกองทุนพุ่งสูงขึ้น มากกว่าสามเท่า เป็นเกือบ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง จากที่ในปี 2022 กระแสเงินไหลเข้าของกองทุนความมั่งคั่งและธนาคารส่วนตัวลดลงประมาณ 80%
]]>
เสื้อผ้าพิมพ์ลายโลโก้ Gucci หรือ Louis Vuitton พร้อยไปทั้งตัวเริ่มไม่ใช่เสื้อผ้าที่คนรวยจีนต้องการเป็นอันดับแรกๆ อีกต่อไป
Daniel Langer ศาสตราจารย์ด้านสินค้าลักชัวรีที่ Pepperdine University เปิดเผยกับ Business Insider ว่า คนจีนรุ่นใหม่มองหาสินค้าและประสบการณ์ที่สะท้อนสไตล์และแรงบันดาลใจส่วนตัว ลูกค้าจะต้องการไอเทมที่เป็นตัวเองมากกว่าอะไรที่ใช้กันเกร่อทั่วไปเพียงเพื่อบ่งบอกว่ามีฐานะ
จากข้อแรกนำมาสู่ข้อที่สอง เทรนด์การแต่งตัวแบบ “Quiet Luxury” จึงเริ่มได้รับความนิยมในจีนเช่นกัน เทรนด์นี้หมายถึงการแต่งตัวให้ “ดูรวย” แบบไม่ต้องพยายาม ให้ลุคที่ดูเหมือนเศรษฐีเก่าจากยุโรป ด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ไม่วิ่งตามแฟชั่นใหม่ เน้นไปที่ความเรียบง่าย ใส่สบาย แต่มีรายละเอียด
เราจะได้เห็นเศรษฐีจีนยุคใหม่หันมาใส่เสื้อยืดและสนีกเกอร์แบบสบายๆ แต่เป็นของมีราคา ผสมไปกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมแบบดั้งเดิมมากขึ้น
สินค้าแบรนด์เนมมือสองเป็นที่ยอมรับในโลกตะวันตกมานานแล้วเพราะถือว่าดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ในจีนสินค้ามือสองมักจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี เพราะมีความเชื่อที่ส่งต่อกันมาว่าของมือสองจะนำมาซึ่งโชคร้าย
อย่างไรก็ตาม คนจีนรุ่นใหม่เริ่มยอมรับสินค้ามือสองมากขึ้น และมองในแง่บวกว่าแบรนด์เนมมือสองมักจะมีของ “วินเทจ” ที่มีเอกลักษณ์พิเศษมาให้ช้อปและเลือกใช้
สำหรับคนรวยเจนวายชาวจีนจะเปลี่ยนรสนิยมการท่องเที่ยวจากรุ่นพ่อแม่ เพราะหลายคนเคยไปเรียนเมืองนอกหรือเคยเดินทางมามากแล้ว ทำให้ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยหรือความสะดวกเหมือนพ่อแม่ พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปกับกรุ๊ปทัวร์ แต่ไปเที่ยวคนเดียวหรือไปเป็นกลุ่มเล็กมากกว่า
นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวที่เศรษฐีจีนรุ่นใหม่เลือกก็มักจะเป็นสถานที่แปลกใหม่ที่คนไม่ค่อยไปกัน เช่น แคมป์ปิ้งหรูในซาฟารีแอฟริกา เที่ยวขั้วโลกเหนือ ล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์ เป็นต้น
ผู้บริโภคชาวจีน(และเอเชีย)รุ่นใหม่มักจะต้องการประสบการณ์เสริมพิเศษเข้าไปในตัวสินค้าหรูด้วย ถึงจะเป็นการแสดงฐานะได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารจาก Diageo ระบุว่าบริษัทมีการเปิดโรงกลั่นแห่งใหม่ที่ Port Ellen ที่สก็อตแลนด์ เพื่อให้โรงนี้เป็นพื้นที่จัด “วิสกี้ทัวร์” ได้โดยเฉพาะ เพราะลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่ซื้อเหล้าสก็อตวิสกี้ชั้นดีเท่านั้น แต่อยากจะมีเรื่องเล่าด้วยว่าพวกเขาได้บินข้ามโลกเพื่อไปเห็นวิธีการทำ และได้ลองชิมวิสกี้มาแล้วมากมายจากแหล่งกำเนิด
กิจกรรมใหม่ของเศรษฐีจีนเจนวายคือการไปลิ้มรสร้านอาหารระดับไฟน์ไดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านระดับ “มิชลินสตาร์” หรือ “แบล็กเพิร์ล” (*Black Pearl เป็นการแนะนำร้านอาหารชั้นดีแบบเดียวกับมิชลินสตาร์ แต่จัดทำโดย Meituan ยักษ์ใหญ่เดลิเวอรีอาหารของจีน)
ลูกค้ามีฐานะของจีนมักจะต้องการเก็บร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งในเมืองของตัวเองให้ครบ และไปเยือนร้านเหล่านี้ในแต่ละเมืองที่พวกเขาไปท่องเที่ยว
เกิดความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในจีน นั่นคือแม้แต่เศรษฐีจีนรุ่นใหม่เองก็ไม่อยากจะมีลูกหรือบางคนไม่แม้แต่จะแต่งงาน
เหตุเพราะหลายคนมองว่าการมีลูกเป็น ‘การลงทุนที่แย่’ และเจนเนอเรชันนี้ต้องการจะเป็นอิสระ เน้นเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และหาความสุขส่วนตัวมากกว่าความสุขจากการสร้างครอบครัว
สำหรับเศรษฐีจีนเจนวาย แม้จะมีลูกก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องประหยัดเพื่อใช้เงินเลี้ยงลูก พวกเขาจะยังคงปรนเปรอตัวเองต่อไปในฐานะพ่อแม่
ตัวอย่างเช่น “แพ็กเกจหลังคลอด” เป็นกิจกรรมที่ฮิตมากในหมู่คนจีนเจนวายที่มีฐานะ แพ็กเกจเหล่านี้อาจมีราคาสูงถึง 200,000 หยวน (ประมาณ 1 ล้านบาท) ต่อเดือน โดยเป็นแพ็กเกจที่จะพาคุณแม่ชาวจีนบินไปยังสถานฟื้นฟูหลังคลอดในสิงคโปร์
ในสถานฟื้นฟูที่คุณแม่จะเข้ามาพักต่อเนื่องหลายเดือน จะมีเจ้าหน้าที่ พี่เลี่ยงเด็ก และเชฟคอยดูแลเรื่องจำเป็นที่เกี่ยวกับคุณแม่และทารกตลอด 24 ชั่วโมง เช่น ให้คำปรึกษาเรื่องการให้นมบุตร การอาบน้ำสมุนไพร กายภาพบำบัด และแน่นอนว่าคุณแม่จะได้รับการปรนนิบัติด้วยอาหารหรูทุกมื้อ ขณะที่มีพยาบาลคอยดูแลทารกให้
คนจีนเจนวายมักจะลงทุนกับการแต่งบ้านเพื่อยกระดับการอยู่อาศัยและคุณภาพชีวิต ทุกห้องในบ้านจะต้องมีดีไซน์อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ การจัดไฟ หรือเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
ชาวจีนรุ่นใหม่สนใจการบริการด้าน “เวลเนส” ในระดับลักชัวรีและสินค้าที่เกี่ยวข้องมากขึ้น เช่น สกินแคร์ อาหารเสริม เสริมความงาม เป็นสินค้าที่ขายดีในจีนตั้งแต่เกิดโควิด-19 ขึ้น
คนจีนที่มีฐานะรุ่นเจนวายถือว่าการไปคลินิกเวลเนสต่างๆ มีความสำคัญลำดับแรกๆ ไม่ใช่แค่เพื่อความงาม แต่ยังหมายถึงการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีด้วย
]]>
ในปี 2020 ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีระดับ ‘พันล้านดอลลาร์สหรัฐ-Billionaire’ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 259 คน ด้วยอานิสงส์ธุรกิจดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ เเละเกมออนไลน์ที่ความนิยมพุ่งกระฉูด รวมถึงตลาดหุ้นที่เฟื่องฟูเเละการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของหลายบริษัท ช่วยชดเชยหายนะจาก COVID-19
จากรายงานของ Hurun Global Rich List พบว่า จำนวนของเศรษฐีของจีนในปี 2020 รวมกันเเล้ว ‘มากกว่า’ ของทั้งโลกรวมกัน โดยจีนมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านกว่า 1,058 คน นับเป็นประเทศแรกในโลกที่มีตัวเลขเกิน 1,000 คน ทั้งห่างอันดับ 2 อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นอีก 70 คน รวมเป็น 696 คน
โดยผู้ครองเเชมป์มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนตามรายงานนี้ คือ ‘จง สานส่าน’ เจ้าของกิจการน้ำดื่ม ‘หนงฟู สปริง’ (Nongfu Spring) ที่เพิ่งโค่น ‘มูเกช อัมบานี’ นักธุรกิจอินเดียไปหมาดๆ ด้วยทรัพย์สินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีรวยที่สุดในเอเชีย เเละติด 1 ใน 10 ของโลกไปหมาดๆ
เขาได้รับว่าฉายาว่า ‘หมาป่าเดียวดาย’ เนื่องจากเป็นคนชอบเก็บตัว ต่างจากผู้นำธุรกิจรายใหญ่อื่นๆ ของจีน และเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในจีน ที่สามารถสร้างบริษัทมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถึง 2 บริษัท
ความรุ่งเรืองของ ‘จง สานส่าน’ ในปีที่ผ่านมา สวนทางกับเศรษฐีจีนชื่อก้องโลกอย่าง ‘แจ็ค หม่า’ ที่อันดับความรวยลดลง หลังมีข้อขัดเเย้งกับ ‘รัฐบาลจีน’ ในประเด็นผูกขาดทางการค้า อีกทั้งยังโดนสกัดการเสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชน (IPO) ของบริษัทฟินเทคในเครืออย่าง Ant Group ซึ่งเคยถูกประเมินว่าจะเป็นหุ้น IPO ที่ระดมทุนได้สูงสุดในโลก
ในการสำรวจนี้ ยังพบว่า มหาเศรษฐี Elon Musk ซีอีโอของ Tesla , Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งของ Amazon และ Colin Huang จาก Pinduoduo หนึ่งในอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดของจีน มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ‘ภายในปีเดียว’
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เเซงหน้าหลายประเทศ อีกทั้งในปีที่ผ่านมาก็สกัดความเสียหายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้รวดเร็วทำให้มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ด้านรายงานขององค์การ Oxfam ระบุว่า เกือบทุกประเทศในโลก มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
เมื่อนำสินทรัพย์ของเหล่ามหาเศรษฐีรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มระบาด พบว่ามีมูลค่าสูงกว่าประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีระบบเศรษฐกิจเอื้อให้กลุ่มคนร่ำรวย สามารถรักษาความร่ำรวยไว้ได้ ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางอันเลวร้าย
ที่มา : AFP
]]>เเจ็ค หม่า สร้างชื่อจากการปลุกปั้นอาณาจักรอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ “Alibaba” เรื่องราวชีวิตของเขา เป็นเเรง
บันดาลใจให้ผู้คน จากครูยากจนสู่คนรวยระดับท็อป 20 ของโลก มีทรัพย์สินกว่า 1.5 ล้านล้านบาท
แม้ในปี 2019 เขาจะลาออกจากตำแหน่งประธานบริหารของ Alibaba ไปแล้ว พร้อมทยอยเทขายหุ้นเรื่อยๆ เพื่อเดินหน้าไปทำงานการกุศล เเต่ก็ยังไม่ได้วางมือจากการดูเเล Ant Group ฟินเทคเจ้าของ ‘Alipay’ แอปพลิเคชันชำระเงินและบริการออนไลน์สุดฮิตของคนจีนที่มีผู้ใช้งานหลายร้อยล้านคน
อนาคตของ Ant Group (เเอนท์ กรุ๊ป) ดูเหมือนจะไปได้สวย เคยถูกประเมินว่าจะดมทุนได้ถึง 3.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติที่สูงสุดในโลก เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จนกระทั่งกลายเป็น “IPO ตกสวรรค์” หลังถูกรัฐบาลจีน “เบรก” กะทันหันก่อนเปิดขายหุ้นให้เเก่สาธารณชนเพียงไม่กี่วัน ด้วยเหตุว่ามีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน
ความชุลมุนวุ่นวายระหว่าง Ant Group เเละรัฐบาลจีนภายใต้การนำของ “สีจิ้นผิง” จุดประเด็นข้อสงสัยในการไม่ปรากฏตัวของ “เเจ็ค หม่า” ในตอนนี้
สำนักข่าวต่างประเทศโยงเหตุการณ์ IPO ตกสวรรค์ เข้ากับ “คำพูด” ของแจ็ค หม่า ที่ได้เเสดงความเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์บนเวทีการประชุมในเมืองเซี่ยงไฮ้ เกี่ยวกับ “ระบบธนาคารจีน” อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียโอกาสรับทรัพย์มหาศาลไปในพริบตา
โดย แจ็ค หม่า บอกว่าระบบการเงินและกฎระเบียบด้านการเงินของทางการจีนในปัจจุบัน ขัดขวางการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีการเงินของประเทศ ที่จำเป็นต้องมีการ “ปฏิรูป” เพื่อให้มีการเติบโตไปได้
เขายังบอกอีกว่า ธนาคารจีนเป็นเหมือน “โรงรับจำนำ” ที่ต้องใช้หลักประกันมูลค่าสูง ผลคือบางบริษัทต้องตัดสินใจลงทุนให้ใหญ่เกินและต้องห้ามล้มเหลว
มีข่าวลือว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงไม่ค่อยพอใจที่เเจ็ค หม่าพูดในแง่ลบถึงระบบการเงินของประเทศจีน
เเต่หลายสื่อเห็นว่าคำพูดของเเจ็ค หม่า “ไม่ได้เกินจริง” เพราะธนาคารจีนมักไม่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้กู้รายย่อย ทำให้ SMEs จีนไม่ค่อยมีโอกาสลงทุนแบบสมตัวนัก
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ความเคลื่อนไหวของทางการจีน ตีความได้ว่าเป็นการ “สั่งสอน” มหาเศรษฐีแจ็ค หม่า ให้รู้ว่าอำนาจรัฐในการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ ซึ่งข่าวนี้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไม่น้อย เเละอาจมีผลต่อการพิจารณาซื้อหุ้นทั้งของ Ant Group เเละ IPO อื่นๆ ของจีนด้วย เพราะเกรงว่าต่อไปทางการจีนก็อาจเข้ามาเเทรกเเซงเช่นนี้ได้อีก
โดยความคืบหน้าตอนนี้ Ant Group เพิ่งเริ่มต้นปรับโครงสร้างและรูปแบบธุรกิจของบริษัทให้เป็นไปตามกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับฯ ซึ่งมีกฎระเบียบใหม่สำหรับผู้ประกอบธุรกิจด้านฟินเทค อย่างการให้สินเชื่อส่วนบุคคล
งานหินของ Ant Group คือการต้องเจรจากับหน่วยงานที่รัฐบาลจีนจัดตั้งขึ้นเพื่อดูเเลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งผู้ควบคุมระบบการเงิน หน่วยงานของธนาคารกลาง และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ที่จะเข้ามาอัปเดตเเละรวมรวบข้อมูลต่างๆ ของบริษัท เพื่อนำไปสู่การร่างกฎระเบียบอื่นๆ ในอุตสาหกรรมฟินเทค
Bloomberg เคยคาดการณ์ว่า ร่างกฎระเบียบสำหรับผู้ให้กู้รายย่อย ที่ทางการจีนเพิ่งประกาศออกมาเมื่อเดือนพ.ย. อาจเป็นการบังคับให้ Ant Group ต้องเพิ่มเงินทุนถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้บริษัทผ่านเกณฑ์ข้อกำหนด
นอกจากนี้ Ant Group ยังต้องยื่นขอใบอนุญาตใหม่สำหรับแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมขนาดย่อม เบื้องต้นอีก 2 แพลตฟอร์ม อย่าง Huabei และ Jiebei ซึ่งคาดว่าหน่วยงานกำกับฯ ไม่น่าจะอนุมัติใบอนุญาตทั้ง 2 ใบให้กับบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าใหญ่เช่นนี้
ยังไม่หมด Ant Group ยังจะต้องยื่นขอใบอนุญาตบริษัทโฮลดิ้งทางการเงินแยกต่างหากจากธนาคารกลาง เพราะมีการทำงานครอบคลุมส่วนงานการเงินมากกว่า 2 ส่วน ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ
อุปสรรคมากมายเหล่านี้ ทำให้การเสนอขายหุ้น IPO ไม่ได้เป็นเเผนการใหญ่ลำดับต้นๆ ของ Ant Group อีกต่อไป (อย่างน้อยก็ในช่วง 2 ปีนี้)
ก่อนสิ้นปี 2020 ยังไม่วายที่ Ant Group จะถูกรัฐบาลจีนซัดอีกรอบ เมื่อรายงานหน่วยงานการเงิน ต้องการจะมากำกับธุรกิจ Ant Group โดยอาจจะถึงขั้นยกเลิกบริการให้เงินกู้และอื่นๆ ให้เหลือเพียงธุรกิจรับชำระเงินเท่านั้น
เมื่อ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศสอบสวนบริษัทเเม่ของ Ant Group อย่าง Alibaba ในข้อกล่าวหาว่ามีแนวโน้ม “ผูกขาดอีคอมเมิร์ซ” ในจีน เเละการปล่อยกู้โดยไม่มีหลักประกันผ่านระบบออนไลน์ของ Ant Group อาจส่งผลกระทบต่อระบบธนาคารจีน
ด้าน Ant Group ยืนยันว่ากำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับทางหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของจีน เพื่อให้ธุรกิจทำตามหลักการ และเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ในอนาคต
การหายตัวไปจากพื้นที่สาธารณะของ “เเจ็ค หม่า” ถูกจุดประเด็นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม หลังเขาไม่ได้ไปเข้าร่วมรายการธุรกิจที่เป็นหนึ่งในกรรมการตัดสิน ตามกำหนดออกอากาศเดิม
โดยโฆษกของ Alibaba ชี้แจ้งกับสำนักข่าว Reuters ถึงกรณีที่ไม่ได้มาออกรายการนั้นว่า เป็นเพราะมีปัญหาด้านตารางงานที่ไม่ตรงกัน
หลายคนมองว่า การหายไปของมหาเศรษฐีจีนผู้นี้ อาจเป็นการเก็บตัวเงียบเพื่อต่อรองอะไรบางอย่างกับรัฐบาลจีน หรืออาจจะมีอะไรที่พูดไม่ได้ หรืออาจไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น
และนี่คือคืออัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับมหาเศรษฐี “เเจ็ค หม่า” ที่กำลังเป็นปริศนาอยู่ตอนนี้
ที่มา : Aljazeera , nytimes , Reuters , ibtimes
]]>
Huran Report จัดอันดับความร่ำรวยของเศรษฐีจีนล่าสุด พบว่า เหล่ามหาเศรษฐีจีน มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 47 ล้านล้านบาท) ในปี 2020 มากกว่าตัวเลขรายได้จาก 5 ปีที่ผ่านมารวมกัน
ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ยังทำให้เกิดมหาเศรษฐีจีนหน้าใหม่ ที่มีความมั่งคั่งระดับ “พันล้าน” เพิ่มขึ้นอีก 257 คน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากจำนวนเศรษฐีพันล้านรายใหม่ไม่เพิ่มขึ้นมา 2 ปีติดกัน
จีนเป็นชาติมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีพันล้านอยู่ 878 คน ขณะที่สหรัฐฯ มีมหาเศรษฐีพันล้านอยู่ที่ 626 คน ตามจัดอันดับมหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
อีกประเด็นที่น่าสนใจใน Huran Report ฉบับล่าสุด คือชาวจีนราว 2,000 คนมีทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า 2,000 ล้านหยวน (ราว 9,450 ล้านบาท) โดยทรัพย์สินของคนกลุ่มนี้รวมกันจะอยู่ที่ราว 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 126 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
“แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ “Alibaba” กลับมาคืนตำเเหน่งอันดับ 1 อีกครั้ง โดยมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 45% มาอยู่ที่ 5.88 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หลังการระบาดของ COVID-19 ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้หันมาช้อปปิ้งออนไลน์กันอย่างคึกคัก
อันดับ 2 ตามมาติดๆ คือ “โพนี หม่า” เจ้าของอาณาจักรเทคโนโลยี “Tencent” บริษัทเกมรายใหญ่และเเอปพลิเคชัน Wechat มีทรัพย์สินอยู่ที่ 5.74 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวยขึ้นไปอีก 50% เเม้จะมีความกังวลกับกรณีการถูกเเบนในสหรัฐฯ หลังถูกรัฐบาลทรัมป์กล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติก็ตาม
ขณะที่อันดับ 3 เป็นการติดอันดับครั้งเเรกของ “จง ชานชาน” ผู้โด่งดังมาจากน้ำดื่มบรรจุขวดตรา “หนงฟู่” หลังจากทำไอพีโอที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อเดือน ก.ย. ทำให้ความมั่งคั่งของเขาพุ่งอยู่อันดับ 3 ทันที ด้วยสินทรัพย์ราว 5.37 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อเหล่าเศรษฐีกำลังรวยขึ้นไปอีกจากสถานการณ์ COVID-19 เเต่ปัญหาการว่างงานเเละเศรษฐกิจที่หดตัว ทำให้ธนาคารโลกเตือนว่าการระบาดใหญ่ อาจเพิ่ม “ความไม่เท่าเทียมกัน” ของรายได้ และผลักดันให้ผู้คนมากถึง 115 ล้านคนเข้าสู่ความยากจนในปีนี้
โดยเศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวได้ดี รอดพ้นภาวะถดถอย ขณะที่หลายประเทศทั่วโลก ยังคงต้องหาทางออกจากความวุ่นวายของผลกระทบจาก COVID-19 โดย GDP ในไตรมาส 3 เติบโต 4.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากไตรมาส 2/2020 ขยายตัว 3.2% เเต่ในไตรมาสแรกของปีนี้ติดลบ 6.8% ทำให้ GDP โดยรวมงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวอยู่ที่ 0.7%
อย่างไรก็ตาม การขยายตัว 4.9% ของ GDP จีน ก็เป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของเหล่านักวิเคราะห์ที่ประเมินไว้ว่าจะขยายตัว 5.2% ในไตรมาส 3 สะท้อนว่าจีนยังต้องจัดการกับปัญหาที่ท้าทายเเละมีปัจจัยไม่แน่นอนจำนวนมาก
โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า จีนจะเป็นเศรษฐกิจใหญ่ของโลกเพียงแห่งเดียวที่ GDP เป็นบวกได้ในปีนี้ โดยประเมินว่าจะขยายตัวที่ 1.9% ก่อนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 26.8% ในปี 2021
]]>
ล่าสุด หม่า ฮั่วเถิง หรือ โพนี หม่า ซีอีโอ Tencent ได้รับการประเมินสินทรัพย์ไว้ที่ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แซงหน้า แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba ซึ่งมีสินทรัพย์ 4.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ฝั่งเจ้าของบริษัทอินเทอร์เน็ตกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนแทนที่แชมป์เก่า
สาเหตุที่สินทรัพย์ของหม่า ฮั่วเถิงพุ่งสูง เกิดจาก ราคาหุ้นของ Tencent ที่ทะยานขึ้นในสัปดาห์นี้ หลังจากที่เคยหล่นไปสู่ราคาต่ำสุดเมื่อปี 2018 จากวันนั้นถึงวันนี้หุ้นของ Tencent ขยับขึ้นมาเกือบ 2 เท่า เฉพาะปี 2020 หุ้นของบริษัทนี้ปรับขึ้นถึง 31% เทียบกับ Alibaba ที่ขึ้นมาเพียง 6.9% อย่างไรก็ตาม บริษัท Pinduoduo ของ โคลิน หวง เศรษฐีอันดับ 3 ของจีนก็มาแรงไม่แพ้กัน โดยหุ้นของ Pinduoduo ปรับขึ้นไปแล้วเท่าตัวในปีนี้
หม่า ฮั่วเถิงนั้นยังคงถือหุ้น 7% ในบริษัท ดังนั้นเมื่อหุ้น Tencent ทะยาน มูลค่าสินทรัพย์ของเขาก็ทะยานตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทเพิ่งจะรายงานเมื่อเดือนก่อนว่า รายได้ไตรมาสแรกของ Tencent สูงขึ้น 26% เทียบกับปีก่อน โดย Bloomberg Intelligence วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะโรคระบาด COVID-19 ไม่กระเทือนรายได้ของ Tencent และยังส่งให้ธุรกิจเกมของบริษัทเติบโตแข็งแรงขึ้น
ประวัติของมหาเศรษฐี หม่า ฮั่วเถิง ก่อนหน้าที่จะก่อตั้งบริษัท Tencent ขึ้นในปี 1998 เขาเรียนจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมประยุกต์ จากมหาวิทยาลัยเสิ่นเจิ้น และเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับระบบเพจจิ้งของบริษัท China Motion Telecom Development Limited ซึ่งให้บริการโทรคมนาคมและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องในประเทศจีน
สำหรับ Tencent นั้น มีบริการที่เป็นแกนหลักและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือแอปพลิเคชันแชท WeChat จากนั้นจึงขยายอาณาจักรไปสู่สินค้า “ดิจิทัล คอนเทนต์” อื่นๆ เช่น เกมออนไลน์ สตรีมมิ่งวิดีโอ ไลฟ์สตรีมมิ่ง ข่าว สตรีมมิ่งดนตรี ฯลฯ ในกลุ่มเกมอออนไลน์นั้น Tencent มีเกมดังๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, League of Legends หรือ Honour of Kings
Source: Business Insider, Times of India
]]>พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่ซื้ออสังหาฯ นอกจากตอบโจทย์ปัจจัย 4 คือเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีการซื้อเพื่อลงทุนหรือเก็งกำไรด้วย แต่หลายปีที่ผ่านมา “ทุนแดนมังกร” กลับเข้ามามีบทบาทในการซื้ออสังหาฯ ในไทยมากขึ้น และไม่ได้ซื้อกันแค่ห้องสองห้องเท่านั้น แต่กลับซื้อเป็น “บิ๊กล็อต” ยกตึกตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด 49%
“นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ให้เหตุผลที่ทุนจีนบุกหนักยึดลงทุนซื้อคอนโดในไทยเกือบยกตึก เพราะต้องการตอบโจทย์ชาวจีนที่เดินทางมาเที่ยวไทยมากขึ้นหลัก 10 ล้านคนต่อปี จึงต้องใช้ที่อยู่เหล่านั้นเป็นทั้งบ้านหลังที่ 2 และแหล่งพักผ่อนช่วงฮอลิเดย์นั่นเอง
นอกจากนี้ ถ้าเทียบราคาที่อยู่อาศัยในไทย ต้องยอมรับว่ายัง “ถูก” กว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ จึงทำให้มีการเข้ามาซื้อเพื่อตอบโจทย์การลงทุน และเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเงินทุน “จีน” ไม่ปักหลักเทเงินในประเทศเดียวแต่ต้องกระจายความเสี่ยงไปหลายๆ ตลาด และหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่ำก็ต้องโยกเงินไปยังตลาดที่ดอกเบี้ยดีกว่าแทน
ไม่ใช่แค่ทุนจีนที่ขนเงินมาซื้อคอนโดในไทย แต่ยังมีทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย ส่วนโปรเจกต์ที่ “เนื้อหอม” จนเตะตาผู้ซื้อรายใหญ่ได้แก่ โครงการ “พาร์ค 24” ของออริจิ้น และ “ฮาร์เบอร์ เรสซิเดนซ์” ส่วนปีก่อนๆ โครงการที่ขายยกล็อตมีทั้ง
ขนเงินมาซื้อไม่พอ! เพราะทุนข้ามชาติยังเข้ามาพัฒนาโครงการด้วย เป็นอีก “เทรนด์ฮอต” ไม่แพ้กัน เช่นเดิมจีนยังเป็น “ขาใหญ่” ระดมเงินมาลงทุนพัฒนาโครงการเองโดยไม่พึ่งบริษัทไทยชื่อดังเพื่อร่วมทุนอีกต่อไป โดยไตรมาสแรกเทเงินแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นห้องชุดราว 20% ของตลาด เรียกว่าเข้ามาไม่นาน แต่แย่งแชร์ไปได้ไม่น้อยทีเดียว
ขณะที่ญี่ปุ่นซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ที่เข้ามาลงทุนอสังหาฯ ก็ยังคงร่วมทุนผุดโปรเจกต์ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ไม่ต่ำกว่า 4-5 โครงการ
“เดิมทุนญี่ปุ่นเมื่อเข้ามาลงทุในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานหรืออินฟราสตรัคเจอร์ ก็ทำให้คุ้นเคยตลาดและลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ต่อ เช่นเดียวกับทุนจีนที่ได้เข้ามาลงทุนด้านอินฟราสตัคเจอร์ เมื่อเห็นโอกาสก็เข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม”
ส่วนเทรนด์ที่ 3 ทุนไทยที่พัฒนาโครงการอสังหาฯ ปีนี้เห็นผู้ประกอบการ “รายกลาง” และ “หน้าใหม่” ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาแบ่งเค้กคอนโดได้ 38% จากเดิม “บิ๊กเนม” ในตลาดฯครองตลาดถึง 70% แต่ไตรมาสแรกลดเหลือ 62% โดยกลยุทธ์ที่รายกลางลุยอสังหาฯ จะเน้นพัฒนาคอนโด เพราะขึ้นโครงการและรับรู้รายได้เร็ว ปิดปุ๊บมูฟต่อโครงการใหม่ได้เลย ซึ่งสวนทางกับรายใหญ่ที่ปีนี้เน้นพัฒนาโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และหารายได้ประจำ (Recurring Income) ด้วยการพัฒนาโรงแรมและอาคารสำนักงานมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในต่างประเทศ
เทรนด์ที่ 4 หน้าใหม่ที่เข้ามาลงทุน เพราะมีแบ็กดีมีเงินถุงเงินถังจากธุรกิจครอบครัว จึงพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวใหม่ ทั้งโฮสเทล บูทีคโฮเทล คอนโดและบ้านพักระดับหรู ตลอดจน Co-working space และ Lifestyle Retail เพื่อตอบโจทย์ตลาดใหม่ๆ และสร้างความคล่องตัวในการลงทุน ต้นทุนการบริหารจัดการต่ำ
เทรนด์ที่ 5 บรรดาบริษัทอสังหาฯ มีการนำเทคโนโลยีมาสร้าง Platform ตอบสนองไลฟ์สไตล์และอำนวย “ความสะดวก” ให้ผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะป็นแสนสิริ อนันดา ที่นำแอปพลิเคชั่นมาใช้สั่งงานช่างซ่อมต่างๆ มีหุ่นยนต์รับของแทนคน เป็นต้น
เทรนด์ที่ 6 สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมไตรมาส 1 ปี 2561 มีโครงการเกิดใหม่ 31 โครงการ จำนวน 14,094 ยูนิต ส่วนทั้งปีคาดว่าจะมีโครงการใหม่เพิ่มกว่า 5 หมื่นหน่วย ส่งผลให้มีจำนวนคอนโดสะสมอยู่ที่ 564,000 ยูนิต และมีอัตราการดูดซับไปแล้ว 90%
ทั้งนี้ จากราคาที่ดินใจกลางเมืองพุ่งปรี๊ด ส่งผลให้ผู้พัฒนาหาที่ดินพัฒนาโครงการใหม่ยากขึ้น คอนโดที่ผุดใหม่ดังกล่าวจึงกระจายตัวอยู่ในโซนสุขุมวิทตอนปลาย ตั้งแต่สุขุมวิท 71 จนถึงแบริ่งราว 29% โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 ราว 23% โซนตากสิน เพชรเกษม 17%
ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นโครงการใหม่เกิดขึ้นบริเวณแจ้งวัฒนะ และ รามอินทรามากขึ้น เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ที่น่าสนใจคือราคาที่ดินที่ซื้อแพง และทุบสถิติกันตั้งแต่ตารางวางละ 2 ล้านบาทไปจนถึง 3 ล้านบาทแล้ว ทำให้สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมในกลุ่มซูเปอร์ลักซัวรีกลางเมืองที่เปิดตัวราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เรีกยว่าขยับขึ้นราว 10% ในขณะที่ตลาดซิตี้คอนโดซึ่งขยายตัวบริเวณส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ราคายังนิ่งไม่พุ่งขึ้นแรงนัก เพราะราคาที่ดินยังไม่สูงเว่อร์
ส่วนเทรนด์ที่ 7 ตลาดที่อยู่อาศัยใน “ครึ่งปีหลัง” ยังคงเห็นความเติบโต โดยเฉพาะ “ทุนข้ามชาติ” ยังเข้ามามีบทบาทเกลื่อนตลาด ส่วน “ราคา” ที่อยู่อาศัยยังคงเห็นการปรับตัวสูง ตามต้นทุนราคาที่ดิน และทำเลทอง “ทองหล่อ” ที่ฮิต ก็จะถูกขยับไปยังเอกมัยมากขึ้น ยิ่งถ้าทำเลทองสุขุมวิท 31-49 ราคาแพง ผู้ประกอบการจะขยับเข้าในซอยมากขึ้น และพัฒนาคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก เป็นอาคารโลว์ไรส์สูง 7 – 8 ชั้น และหน้าใหม่ยังคงเข้ามาเล่นเกมในเรียลเซ็กเตอร์ต่อเนื่อง.
]]>