คนรุ่นใหม่ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 07 Feb 2022 19:06:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อัปเดต : คนไทย ‘ว่างงาน’ ลดลงเหลือ 6.3 แสนคน เด็กรุ่นใหม่ 15-24 ปี ตกงานยาวมากสุด https://positioningmag.com/1373142 Mon, 07 Feb 2022 14:18:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373142 อัปเดตอัตราการ ‘ว่างงานของคนไทย มีเเนวโน้มลดลงเหลือ 6.3 แสนคน เเต่ต้องระวังผู้เสมือนว่างงานที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้ทำงานน้อยกว่า 10 ชั่วโมงเเละ1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ยังมีมากถึง 5.3 แสนคน ขณะที่คนรุ่นใหม่ 15-24 ปี เป็นกลุ่มที่ตกงานระยะยาวมากที่สุด

สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 4 ปี 2564 ระบุว่า โครงสร้างตลาดแรงงานไทย เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงโควิด-19 พร้อมๆ กับการที่ผู้ประกอบการได้ลดการจ้างแรงงานลงและเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีมากขึ้น 

แรงงานถูกเลิกจ้างหรือถูกพักงาน โดยไม่มีรายได้หรือลดรายได้ จากการลดจำนวนชั่วโมงการทำงาน รวมถึงแรงงานที่จบการศึกษาใหม่ มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น

เเนวโน้มว่างงานลดลง 

จากผลสำรวจพบว่า โครงสร้างกำลังแรงงานไตรมาส 4 ปี 2564 ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 57.2 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 38.6 ล้านคน และในจำนวน 38.6 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 37.9 ล้านคน (ไตรมาส 3 จำนวน 37.7 ล้านคน)

  • ผู้ไม่มีงานทำ 6.3 แสนคน (ไตรมาส 3 จำนวน 8.7 แสนคนและเป็นผู้รอฤดูกาลประมาณหนึ่งแสนคน
  • ผู้ที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวน 18.5 ล้านคน โดยอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานไตรมาส 4 ปี 2564 คือ 67.6%

ทั้งนี้ ผู้ชายมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานมากกว่าผู้หญิง (76.0% เเละ 59.7%) และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ อัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานอายุ 55-64 ปี คือ 68.8% ในขณะที่อายุ 65 ปีขึ้นไป คือ 27.1%

สถานการณ์แรงงานไตรมาส 4 ปี 2564 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 ภายหลังจากมาตรการด้านโควิดของรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายขึ้น แรงงานมีงานทำมากขึ้น และมีการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับเข้ามาสู่ภาคการบริการและการค้า และภาคการผลิต

อัตราการมีงานทำอยู่ที่ 66.3% โดยส่วนใหญ่ทำงานในภาคการบริการและการค้า (45.1%) รองลงมาคือ ภาคเกษตรกรรม และภาคการผลิต ตามลำดับ (33.2% และ 21.6%)

อาชีพกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตรป่าไม้ และประมงเป็นกลุ่มอาชีพที่มีอัตราการมีงานทำมากที่สุด รองลงมา คือพนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า

Photo : Shutterstock

5.3 แสนคน ยังมีชั่วโมงการทำงานที่น้อยมาก 

เมื่อวิเคราะห์เชิงลึก พบว่า อาชีพกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง มีอัตราการมีงานทำสูงที่สุด

ประเด็นที่น่าสนใจคือ การทำงานที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานในรอบสัปดาห์ที่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง (49.3%) และน้อยกว่า 1 ชั่วโมง (39.8%) คิดเป็นจำนวนแรงงานกว่า 5.3 แสนคนมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับอาชีพกลุ่มอื่น

สำหรับกลุ่มอายุที่มีงานทำสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-54 ปี 35-44 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ

โดยอัตราการมีงานทำอยู่ระหว่าง 21 – 24% ในขณะที่การมีงานทำของเยาวชนหรือผู้ที่มีอายุ 15-24 ปี อัตราการมีงานทำประมาณ 9%

ผู้มีงานทำในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ 35-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 50 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ของผู้มีงานทำน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พบว่า มีจำนวน 6.95 ล้านคน เป็นกลุ่มไม่ประสงค์ทำงานเพิ่ม 6.51 ล้านคน และประสงค์ทำงานเพิ่ม 0.44 ล้านคน สำหรับผู้ที่มีจำนวนชั่วโมงทำงานน้อยกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และประสงค์ที่จะทำงานเพิ่มนั้น เรียกว่า ผู้ทำงานต่ำระดับด้านเวลา คิดเป็น 1.2 % ส่วนผู้ที่ทำงานน้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (โอกาสเป็นผู้ว่างงานแฝง) คิดเป็น 1.9%

คนรุ่นใหม่ ตกงานยาว 1 ปีขึ้นไป 

สถานการณ์การว่างงานมีแนวโน้มในทิศทางที่ดีขึ้น ผลสำรวจพบว่า ผู้ว่างงานลดลงจาก 8.7 แสนคน ในไตรมาส 3 เหลือ 6.3 แสนคนในไตรมาส 4 เป็นผลต่อเนื่องมาจากมาตรการภาครัฐที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆรวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศในพื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญๆ

โดยระยะการว่างงานของผู้ว่างงาน ประมาณ 62% เป็นการว่างงานระยะกลาง และเป็นการว่างงานของเยาวชนมากที่สุด ในจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมด แบ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนจำนวน 3.8 แสนคน และไม่เคยทำงานมาก่อน 2.5 แสนคน ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน มีแนวโน้มว่าจะเป็นนักศึกษาจบใหม่

จากสถิติการศึกษาในแต่ละปีมีผู้สำเร็จการศึกษาในทุกระดับประมาณสามแสนคน และเมื่อสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมในการหางาน หรือสมัครงานของ ผู้ว่างงานทั้งที่เคยทำงานก่อน และไม่เคยทำงานมาก่อน พบว่าในช่วง 8-30 วันที่ผ่านมา มีการหางานและสมัครงาน ประมาณร้อยละ 50 (ไม่เคยทำงานมาก่อน 54.5% เคยทำงานมาก่อน 46.9%)

ปัญหาการว่างงานระยะยาว หรือ การว่างงานที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่สะท้อนระดับปัญหาการว่างงานของประชากร

โดยในไตรมาส 4 อัตราการว่างงานระยะยาวในสัดส่วนที่สูง คือ 0.4 % ในขณะที่ไตรมาส 3 อยู่ที่ 0.2 % นอกจากนี้ ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่การว่างงานระยะยาวเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 15-24 ปี รองลงมา คือ ผู้ที่มีอายุ 25-34 ปี

Photo : Shutterstock

จับตา ‘ผู้เสมือนว่างงาน’ เพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกัน ผู้เสมือนว่างงานก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มผู้ที่มีงานทำภาคเกษตรกรรม 0-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และกลุ่มผู้ที่มีงานทำนอกภาคการเกษตรกรรม 0-24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เรียกว่าผู้เสมือนว่างงาน

จากผลสำรวจในไตรมาส 4 ปี 2564 มีจำนวน 2.6 ล้านคน เพิ่มจากไตรมาส 3 ปี 2564 2.6 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอาชีพในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือในด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ว่างงานในอนาคตได้

 

]]>
1373142
‘ผ่อนทองผ่านไลน์’ CLICK2GOLD น้องใหม่จากค่ายซิงเกอร์-ออโรร่า จับนิวเจนสายฟรีแลนซ์ https://positioningmag.com/1352182 Thu, 16 Sep 2021 13:10:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1352182 ทางเลือกการลงทุนยุคโควิดกับ ‘CLICK2GOLD’ ผ่อนทองผ่านเเพลตฟอร์มไลน์ นานสูงสุด 24 เดือน มุ่งจับตลาดนิวเจนสายฟรีแลนซ์ยูทูบเบอร์อินฟูลฯขยายช่องทางออนไลน์ หาลูกค้าใหม่ต่อยอดฐานเก่าซิงเกอร์ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อรวมโตเเตะหมื่นล้านปีนี้

CLICK2GOLD เปิดตัวมาด้วยสโลเเกนผ่อนทองสะดวก รับทองสบายเป็นบริการใหม่ล่าสุดจากเอสจี แคปปิตอลบริษัทในเครือซิงเกอร์ ที่ร่วมมือกับออโรร่าเจ้าของธุรกิจค้าทองคำและเครื่องประดับเพชรรายใหญ่ เปิดให้บริการบนแพลตฟอร์มไลน์ (LINE)

ไม่มีเงินก้อน เลือก ‘ผ่อนทอง’ ช่วงโควิด

อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘ทองรูปพรรณ’ เป็นสินค้าที่กลุ่มลูกค้าทั่วไปต้องการ เพราะเป็นเครื่องประดับที่คนไทยนิยมซื้อไว้เพื่อสวมใส่ ควบคู่กับเป็นการเก็บออมทรัพย์สินและการลงทุน

กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด บริษัทในเครือซิงเกอร์ (SINGER) กล่าวว่า ในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ก็มีส่วนทำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเก็บออมและการลงทุน เพื่อรับความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงกันมากขึ้น เเละหนึ่งในนั้นก็คือทองรูปพรรณที่เป็นทั้งเครื่องประดับ เก็งกำไรเเละเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที

ด้านปัจจัยที่ส่งผลให้คนไทยหันมาผ่อนทองนั้น อนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดบริษัทออโรร่า ดีไซน์ จำกัด อธิบายไว้ว่า

หลักๆ มาจากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เเละการซื้อทองคำด้วยเงินสดที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ๆ นั้นไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวที่ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัด คนส่วนใหญ่จึงเลือกผ่อนชำระมากกว่า มองหาการวางแผนทางการเงินที่ยืดหยุ่น ปรับ เพิ่ม ลด วงเงินในการจ่ายค่าสินค้าได้

มีน้อยจ่ายน้อย ช่วงไหนมีมากก็จะจ่ายมากขึ้นได้ เเละวิธีการผ่อนยังช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาทองในแต่ละช่วงเวลาได้

การที่ลูกค้าสามารถซื้อทองได้ง่ายขึ้นแม้มีรายได้น้อย หรือไม่มีเงินก้อน เลือกผ่อนทองได้ตามกำลังที่เหมาะสม เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายช่องทางออนไลน์ของบริษัท เพราะช่องทางขายดังกล่าวสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตลอดเวลา ใช้งานสะดวก รวดเร็ว เพียงมีบัตรประชาชนใบเดียว ก็สามารถเลือกผ่อนทองตามขนาดและระยะเวลาการผ่อนชำระที่เหมาะสมและยืดหยุ่น ผ่านช่องทาง LINE Official: SINGERCONNECT

โดยการเปิดตัว CLICK2GOLD ผ่านเเอปพลิเคชันไลน์นั้น ก็นับเป็นการปรับบริการเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ก็ใช้ไลน์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันอยู่เเล้ว

ทั้งนี้ จากรายงาน Global Digital Report 2021 ของ We Are Social และ Hootsuite ระบุว่า มีคนไทยมากถึง 50 ล้านคนเป็นผู้ใช้งานไลน์ เเละด้วยวิกฤตโควิด-19 ก็เป็นปัจจัยเร่งให้คนไทยกว่า 69% เข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งคนไทยนิยมช้อปปิ้งออนไลน์ติดอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว

จับใจนิวเจนสาย ‘ฟรีเเลนซ์’ 

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ CLICK2GOLD นั้น จะครอบคลุมผู้บริโภคทุกระดับ ทั้งลูกค้าปัจจุบันของซิงเกอร์ ซึ่งประกอบอาชีพ ค้าขาย เกษตรกร ลูกจ้างรายวัน และผู้ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ปัจจุบันมีมากกว่าหนึ่งล้านราย

รวมไปถึงกลุ่มนิวเจนเนอเรชันที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ นักเรียน นักศึกษา กลุ่มคนคนรุ่นใหม่ประกอบอาชีพบนออนไลน์ เช่น ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ฯลฯ

โดยช่องว่างโอกาสธุรกิจที่จะเจาะตลาดกลุ่มนี้ได้ คือ ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถเข้าสู่ระบบสินเชื่อทั่วไป ไม่มีบัตรเครดิตหรือบัตรผ่อนสินค้าอื่นๆ หรือไม่มีใบรับรองเงินเดือน เเต่ในขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้เอง ก็เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการจัดสรรเงินเพื่อผ่อนชำระสินค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของทองคำ สำหรับเป็นเครื่องประดับ การเก็บออมรวมทั้งเป็นการลงทุนได้ง่ายขึ้น

ดันพอร์ตสินเชื่อซิงเกอร์โตรวมหมื่นล้าน 

บริการ CLICK2GOLD จะให้บริการ ผ่อนทองขั้นต่ำ 450 บาทต่อเดือน โดยสามารถเลือกผ่อนชำระได้นานตั้งแต่ 6 เดือน ไปจนถึงสูงสุด 24 เดือน โดยตั้งเป้ามีผู้ใช้บริการจำนวน 10,000 ราย คิดเป็นพอร์ตสินเชื่อจำนวน 100 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการของเอสจี แคปปิตอลในเครือซิงเกอร์นั้น มีเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 50% และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีพอร์ตสินเชื่อจำนวน 8,569 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 29.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 โดยพอร์ตหลักเป็นพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) 4,636 ล้านบาท ส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ (Hire purchase) อยู่ที่ 3,933 ล้านบาท

การเปิดให้บริการเช่าซื้อใหม่ในกลุ่มทองคำ’ จึงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ก้าวสู่ยุคใหม่ธุรกิจสินเชื่อซิงเกอร์โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ามีพอร์ตสินเชื่อรวมทุกกลุ่มเเตะ 10,000 ล้านบาท

 

 

]]>
1352182
อังกฤษ ให้ส่วนลดค่าอาหาร-เเท็กซี่ จูงใจคนรุ่นใหม่ เร่งขยายจุดฉีดวัคซีนป๊อปอัพสโตร์ https://positioningmag.com/1344765 Sun, 01 Aug 2021 08:01:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344765 รัฐบาลอังกฤษ เสนอเเจกส่วนลดค่าอาหาร ฟู้ดเดลิเวอรี่ค่าเเท็กซี่ เพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่วัย 18-29 ปี ให้ออกมาฉีดวัคซีนกันมากขึ้น

โครงการฉีดวัคซีนแลกส่วนลดนี้ ครอบคลุมทั้งบริการสั่งอาหารและเเละเรียกแท็กซี่ มีบริษัทเทคยักษ์ใหญ่เข้าร่วมอย่าง Uber, Bolt, Deliveroo และ Pizza Pilgrims ซึ่งรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ กำลังจะเปิดเผยในเร็วๆ นี้

ปัจจุบัน หนุ่มสาวชาวอังกฤษที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรกไปแล้วราว 67% หรือคิดเป็น 2 ใน 3 หลังจเปิดให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้ ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ขณะที่ประชากรกลุ่มผู้ใหญ่ ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกราว 88.5% เเละฉีดครบ 2 เข็มแล้วมากกว่า 72%

‘Uber’ ได้ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานทุกคน สนับสนุนให้ไปเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อแลกกับส่วนลดค่าแท็กซี่และค่าอาหาร

ส่วน Bolt ผู้ให้บริการเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันอีกราย กำลังอยู่ในช่วงเตรียมการเสนอ ‘free ride credit’ เพื่อใช้บริการแท็กซี่ เพื่อเดินทางไปยังศูนย์ฉีดวัคซีนได้ฟรีอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าดังอย่าง Deliveroo ที่พร้อมจะให้บัตรกำนัลแก่คนหนุ่มสาวที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเเล้ว

ทางกรมอนามัยของสหราชอาณาจักร ยังจะมีข้อเสนอจูงใจเพื่อฉีดวัคซีนออกมาอีกเรื่อยๆ เช่น บัตรกำนัลหรือส่วนลดร้านอาหาร สำหรับผู้ที่ไปเข้ารับการฉีดวัคซีนตามจุดฉีดวัคซีนแบบป๊อปอัพสโตร์ หรือจุดฉีดวัคซีนชั่วคราว จองผ่านช่องทางออนไลน์ของระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS)

โดยรัฐบาล กำลังเจรจากับบริษัทเอกชนอื่นๆ เพื่อให้ส่วนลดในร้านกาแฟ ร้านอาหาร และตั๋วชมภาพยนตร์ จะตามมาในเร็วๆ นี้

อังกฤษ ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดก่อนหมดช่วงฤดูร้อนในเดือนสิงหาคม เเละมีการระดมเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนแบบป๊อปอัพสโตร์ทั่วประเทศเเล้ว

เช่นเดียวกับรัฐบาลในหลายประเทศที่ออกนโยบาย จูงใจให้ประชาชนฉีดวัคซีนด้วยของรางวัลอย่างสหรัฐฯ ที่มีการเเจกเบียร์พิซซ่าตั๋วรถไฟ  รวมถึงกลยุทธ์ ‘vaccine lottery’ ที่รัฐโอไฮโอ สุ่มเเจกเงินรางวัลคนละ 1 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 31 ล้านบาท พร้อมมอบทุนการศึกษาเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปีเต็มให้เยาวชน

เเละล่าสุดนิวยอร์กประกาศแจกเงินคนละ 100 เหรียญ (ราว 3,300 บาท) เพื่อเร่งให้คนมาฉีดวัคซีนเพื่อสกัดไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย

 

ที่มา : BBC 

]]>
1344765
กรณีศึกษา : ทำการตลาด CRM เชื่อมใจด้วย Virtual Concert อย่างไร เมื่อลูกค้ากลุ่มใหญ่เป็นวัย 40+ https://positioningmag.com/1304439 Tue, 10 Nov 2020 16:30:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304439 การสร้างเเละรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ในช่วงวิกฤต COVID-19 กลายเป็นความท้าทายใหม่” ในการทำตลาดของเเบรนด์ต่างๆ ไปเเล้ว เมื่อโรคระบาดทำให้เกิดการเว้นระยะห่าง” จากกลุ่มผู้บริโภค

ผู้คนใช้ชีวิตประจำวันบนโลกออนไลน์มากขึ้น ทั้งการช้อปปิ้ง สั่งอาหารเดลิเวอรี่ ทำงานเเบบ Work from Home รวมไปถึงการดูหนัง ฟังเพลง ชมคอนเสิร์ตเเบบเสมือนจริง หรือ Virtual Concert

เราได้เห็นหลายเเบรนด์ ปรับรับการตลาดยุคใหม่ด้วย “คอนเสิร์ตออนไลน์สร้างเเคมเปญต่างๆ เพื่อสื่อสารกับลูกค้ามีทั้งเเบบชมฟรีและเสียเงินบ้าง เเต่ก็ได้รับเสียงตอบรับดี เพราะผู้คนต้องการความบันเทิงเพื่อคลายเครียดจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

การที่เเบรนด์ทำ Virtual Concert กับลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่นั้นทำได้ง่ายเเละเข้าถึงไม่ยากนัก เพราะมีความคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีเเละโซเชียลมีเดียอยู่เเล้ว เเต่ถ้าคุณเป็นเเบรนด์ที่มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัย “40+” เเล้วล่ะก็…อาจจะต้องคิดหลายตลบทีเดียว

เมื่อเร็วๆ นี้ “อลิอันซ์ อยุธยา” เพิ่งจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตออนไลน์ครั้งเเรกของบริษัท หลังให้บริการในไทยมากว่า 69 ปี (เริ่มปีพ.ศ. 2494) ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า ลูกค้าประกันชีวิตมักจะเป็นวัยทำงานเเละชาวสูงวัยทั้งหลาย การที่เเบรนด์อยู่มานานมาก อายุเฉลี่ยของลูกค้าที่เติบโตไปด้วยกันจึงทะลุ 40 อัพ

ความท้าทายในการจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ เพื่อเชื่อมใจลูกค้าครั้งนี้ “ไม่ง่าย” อย่างไร…เรามาหาคำตอบกัน

พัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้าประจำประเทศไทยของ อลิอันซ์ อยุธยา บอกเล่าถึงประสบการณ์การจัด Virtual Concert ครั้งนี้ให้ฟังว่า

“พอมี COVID-19 ผู้คนต้องทำงานที่บ้านกัน 2-3 เดือน เรารู้สึกว่าเราห่างจากลูกค้าพอสมควร จึงน่าจะมีกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานเเละความใกล้ชิดกับลูกค้า เเม้จะอยู่ที่บ้านกันได้” 

โดยก่อนที่จะมีการจัด Virtual Concert ครั้งนี้ บริษัทก็มีการจัดส่งบัตรกำนัลต่างๆ รวมไปถึงส่วนลดค่าจัดส่งฟู้ดเดลิเวอรี่ให้ลูกค้าเป็นระยะๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ในช่วงเวลานั้น โดยสิ่งสำคัญคือทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า…

อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา” 

เราเป็นมากกว่าคนขายประกัน ไม่ได้เจอกันเเค่ตอนเก็บเบี้ย

การตัดสินใจจัด Virtual Concert เป็นครั้งเเรกของอลิอันซ์ฯ เกิดขึ้นจากโจทย์ที่ว่า นอกจากจะจัดเเคมเปญทำให้ลูกค้าเรามีความสุขเเล้ว จะทำอย่างไรให้พวกเขามีความสุขกันทั้งบ้านได้

ทางบริษัทจึงได้ไปปรึกษากับพล หุยประเสริฐ นักออกแบบคอนเสิร์ตชื่อดังว่า จะมีการจัดเเสดงเเบบไหนได้บ้างที่เข้าถึงผู้คนได้ทั้งครอบครัว

เหล่านี้นำมาสู่เหตุผลของการเลือกศิลปินที่จะมาเล่นในคอนเสิร์ตออนไลน์ Together Sunday โดยจะต้องเป็นไลน์อัพที่ดึงดูดคน “หลากหลายเจเนอเรชั่นที่มีทั้งพ่อเเม่ ลูกเเละญาติผู้ใหญ่ในบ้านไว้ได้

ในที่สุดก็ได้ 5 ศิลปินที่มีฐานเเฟนคลับของเเต่ละช่วงวัยมารวมกันในคอนเสิร์ตเดียว ได้แก่ แสตมป์ อภิวัชร์
นนท์ ธนนท์ , ปาล์มมี่ , เจ เจตรินและเจ้านาย โดยมีการคุยรายละเอียดเเละเตรียมงานกันถึง 2 เดือน

กลุ่มลูกค้าหลักๆ ของอลิอันซ์ อยุธยา มีอายุระหว่าง 35-44 ปี จะอยู่ที่ราว 25% เเละกลุ่มอายุ 45-54 ปีจะอยู่ที่ราว 24% รวมกันเเล้วจะเห็นว่ากว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้าทั้งหมดมีอายุอยู่ในช่วง 35-54 ปี เพราะบริษัทดำเนินกิจการมากว่า 60 ปี มีลูกค้าราว 1 ล้านกว่ารายลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาพร้อมๆ กับบริษัทนั่นเอง

ความท้าทายจึงเกิดขึ้นในกระบวนการกิจกรรมการตลาดเนื่องจากกลุ่มคนอายุ 40+ อาจจะไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีการชมคอนเสิร์ตแบบ Virtual มากนัก

บริษัทจึงต้องงัดกลเม็ดต่างๆ มาใช้ในการเชิญชวนให้เกิดการลงทะเบียน และการเข้าชมในวันจริง โดยมีการชวนทำ Challenge ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าชมช่วยเหลือ เเละอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกอยากเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ

การสื่อสารกับลูกค้าสำคัญมาก ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวันจริง ต้องตั้งทีมไว้ดูเเลโดยเฉพาะ หากลูกค้าไม่เข้าใจระบบต่างๆ สามารถส่งคำถามเข้ามาได้ทันที ทั้งช่องทางคอลเซ็นเตอร์ อีเมลเเละ Facebook ซึ่งทีมจะได้รับการเทรนนิ่งอย่างดีให้อธิบายกับลูกค้าได้ สอนวิธีการใช้ได้ รวมถึงมีการให้ตัวเเทนมาลองเทสต์การใช้ก่อนเเล้วนำไปบอกต่อกับลูกค้าในเครือข่ายของเขา

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมกับศิลปินใน Virtual Concert ยังเป็นหัวใจสำคัญ ที่นำมาสู่การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ทั้งเเอปพลิเคชันในการถ่ายทอด เเละการเลือก AR, VR ที่เหมาะสม เพื่อการมีส่วนร่วมของคนดูมากที่สุด

สิ่งที่เรากังวลคือ ทำอย่างไรคนจะนั่งดูผ่านหน้าจอได้ยาวถึง 3 ชั่วโมง โดยที่ไม่เบื่อไปเสียก่อน จึงการมีคิดกิมมิกเป็นคอนเสิร์ตแบบ Interactive ให้นักร้องกับแฟนเพลงโต้ตอบกันได้ เสมือนอยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ การได้เห็นท่าทางสีหน้าระหว่างกันจึงสำคัญมาก เราจึงเลือกการจัดผ่าน Zoom มากกว่า Facebook Live”

โดยใน Together Sunday Live Online Concert มีการเเสดงสดผ่านแอปพลิเคชัน ZOOM เป็นหลัก (เเต่ก็มีช่องทาง Facebook Live ในกรุ๊ป Private รองรับกรณีที่ลูกค้ามีปัญหาเข้าไม่ได้) นำเสนอการทำงานของเทคโนโลยี AR สร้างกราฟิกคอนเสิร์ตในรูปแบบ 3 มิติสุดล้ำ มาพร้อมใส่ลูกเล่นการชูป้ายไฟแบบเวอร์ชวล การพูดคุย ร่วมร้องเพลงด้วยกัน มีกิจกรรมเเจกเสื้อของขวัญส่งกำลังใจให้กันเเละกันในทุกช่วงศิลปิน

ศิลปินเเต่ละคนก็จะมีลูกเล่นของตัวเอง อย่างเช่นคุณแสตมป์ ก็จะมีการแปลงเนื้อเพลงสร้างเสียงฮา เเละให้ผู้ชมร่วมวาดรูปครอบครัวตัวเองมาโชว์ให้ดู เเม้คอนเสิร์ตจะยาวเกือบ 3 ชั่วโมง เเต่เราไม่รู้สึกว่ามันมีช่วงเบื่อเลย เพราะศิลปินทั้ง 5 คนก็จัดโชว์ได้หลากสไตล์ มีการดึงดูดใจคนดูได้เเตกต่างกัน

สำหรับการจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้ มีการใช้เครื่องมือดิจิทัลความบันเทิงอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ระหว่างศิลปินและผู้ชมมี “Engagement” รู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งการใส่ลูกเล่นหรือ Gadget ต่าง ๆ เช่น การแพนกล้องเข้าหาศิลปินหลายหลายมุม การสร้างฉากด้วยกราฟิกภาพสามมิติ เน้นให้ผู้ชมได้พูดคุยกับศิลปินที่ชื่นชอบ

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชมสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเฉพาะงาน อย่าง Together Sunday เพื่อร่วมส่งสติกเกอร์รูปหัวใจ ส่งกำลังใจผ่านป้ายไฟชื่อศิลปินหรือส่งข้อความไปให้ศิลปิน ที่กำลังแสดงอยู่ผ่านหน้าจอแบบเรียลไทม์

โดยจะมีทีมงานคอยเชียร์และไกด์ผู้ชมให้ร่วมสนุกอยู่เรื่อยๆ ให้คำแนะนำปรึกษาการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ เพื่อให้ผู้ชมสามารถเข้าสู่เครื่องมือในการชมคอนเสิร์ต โดยไม่สะดุดเตรียมพร้อมรับคำถามที่จะเกิดขึ้นระหว่างการรับชม

แสตมป์อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุขเล่าถึงการเตรียมตัวเพื่อมาโชว์ใน Together Sunday Live Online Concert ครั้งนี้ว่า มีการเตรียมตัวเป็นพิเศษทั้งการจับจังหวะการเคลื่อนตัวบนเวทีเพื่อให้รองรับกับมุมกล้องและลูกเล่นต่าง ๆ ที่ออกแบบไว้ การเล่นกับ Gadget ต่าง ๆ เพื่อมีสมาธิกับการโชว์เพิ่มมากขึ้น ได้ใช้จินตนาการในการคาดการณ์ปฏิกิริยาของผู้ชม และถึงแม้จะไม่ได้เห็นคนดูแบบคอนเสิร์ตปกติ แต่การมีเทคโนโลยี AR ก็ทำให้ศิลปินเห็นปฏิกิริยาคนดูผ่านจอได้ เกิดความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างกัน กลับเป็นความรู้สึกสนุกและท้าทายที่ได้ทำสิ่งใหม่

นับเป็นการเปิดประสบการณ์เเละเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในการชมคอนเสิร์ตยุค New Normal ไปด้วยกันทั้งผู้จัดผู้ชมทีมงานเเละศิลปิน

อีกหนึ่งสิ่งที่นับว่าเป็นบทเรียน ที่ได้จากการจัด Virtual Concert ครั้งเเรกของอลิอันซ์ฯ คือ ยอดผู้ลงทะเบียนก่อนเข้างานมีสูงถึง 7 พันคน เเต่วันจริงมีผู้เข้าร่วมราว  2 พันกว่าคน

“Virtual Concert ใช้เวลาเตรียมการเยอะกว่าที่คิด เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้เหมือนกันว่า การคอนเสิร์ตเเบบเสมือนจัดในวันอาทิตย์ตอนบ่ายมีผู้คนส่วนหนึ่งต้องเดินทาง ไม่ได้อยู่บ้าน หรือเลือกไปทำกิจกรรมพักผ่อนอย่างอื่นเเทน บางส่วนมีความตั้งใจอยากดูจึงลงทะเบียนไว้ก่อน เเต่พอไม่ใช่คอนเสิร์ตเเบบปกติที่ต้องตั้งใจดูมากๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายของเรา

อลิอันซ์ฯ มองว่าการจัด Virtual Concert ได้ผลลัพธ์ที่เกินคาดในด้านการสร้าง Awareness การขยายการรับรู้ไปยังครอบครัวเเละคนใกล้ชิดของกลุ่มลูกค้า ส่วนคนดูมีส่วนร่วมเเละพึงพอใจ โดยมีการให้คะเเนนถึง 4.8 จากเต็ม 5 คะเเนนเเละส่วนใหญ่มีข้อเสนอเเนะให้มีการจัดกิจกรรมเช่นนี้อีก

โดยกลยุทธ์ CRM ต่อไป เมื่อสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยคลี่คลายลงเเล้ว ผู้บริหารอลิอันซ์ฯ บอกว่า จะเป็นในรูปแบบผสมออฟไลน์ออนไลน์เเบ่งไปตามกลุ่มเป้าหมายที่เเตกต่างกัน หากเป็นการจัดเเสดงคอนเสิร์ตก็ต้องมีทั้ง 2 อย่างคือ ให้ผู้คนได้ดูในโชว์จริงเเต่ต้องมีการจัดการที่ดีเเละเว้นระยะห่าง ส่วนใครที่สะดวกทาง Virtual Concert ก็ดูได้ทันทีไปพร้อมๆ กัน

การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้คนตื่นตัวมาซื้อประกันสุขภาพกันมากขึ้น ตัวเเทนฯ ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีเร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งการขายผ่านวิดีโอคอล ใช้เเอปพลิเคชัน กรอกใบสมัครออนไลน์ โดยกว่า 85% ของตัวเเทนผู้ขายประกันทั้งหมดของอลิอันซ์ฯ ใช้ iPad เเละเเท็บเล็ตในการนำเสนอขายกับลูกค้า

พฤติกรรมของผู้ซื้อประกันก็เปลี่ยนไป หันมาชอบการทำกิจกรรมโดยผ่านเเอปพลิเคชันมากขึ้น ไม่อยากมาที่สำนักงานเเล้ว

เมื่อผู้บริโภคปรับ…เเบรนด์ต้องเปลี่ยน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาของการตลาดเเบบ CRM เพื่อเข้าหาลูกค้าทางออนไลน์ ไม่ให้รู้สึก “ห่างกัน” เเม้ในยามที่เราต้อง “เว้นระยะห่าง” ได้ดีทีเดียว 

 

 

]]>
1304439
สำรวจพฤติกรรมเจนใหม่ ‘เช่าคอนโด’ ขอ 1 ห้องนอน ใกล้ที่ทำงาน ไม่เกิน 7,000 https://positioningmag.com/1301913 Fri, 16 Oct 2020 14:14:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301913 ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า พฤติกรรมการออมเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต (precautionary saving) ที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังการระบาดของ COVID-19 สะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่เน้นเก็บออมในช่วงเวลาวิกฤตเนื่องจากยังกังวลต่อความไม่แน่นอน และเมื่อรวมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องตามสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ผู้บริโภคจึงหันมา เช่า แทน

ยอดขายอสังหาฯ หด 50%

แม้ว่าดัชนีราคาคอนโดมิเนียมลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะผู้ประกอบการยังคงเร่งระบายสต๊อกสินค้า แต่จากผลสำรวจผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ยอดขายของผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ลดลงกว่า 50% แถมยังมีผลกระทบต่อลูกค้าที่จองซื้อไปแล้วทั้งในเรื่องการถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อจากธนาคาร วงเงินที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอ การขาดส่งเงินดาวน์ หรือลูกค้าขอชะลอการรับโอนกรรมสิทธิ์ออกไปเนื่องจากเห็นความไม่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต

“เมื่อแผนการเงินของผู้บริโภคเปลี่ยน ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อการลงทุน หรือชะลอการขอสินเชื่อเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ก้อนใหญ่ออกไปก่อน ส่วนสถาบันการเงินเองก็มีมาตรการในการพิจารณาสินเชื่อที่รัดกุมขึ้นเพื่อป้องกันหนี้เสีย ดังนั้น การขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวจนกว่าจะมีวัคซีน” กมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าว

ไม่มีต่างชาติ แต่ยังมี คนรุ่นใหม่

แม้ชาวต่างชาติไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้เหมือนเดิมแล้ว หลายบริษัทยังจำเป็นต้องปรับลดงบประมาณการเช่าที่อยู่อาศัยสำหรับพนักงานต่างชาติลง แต่โอกาสในการปล่อยเช่านั้นจึงอยู่ที่วัยทำงานและนักศึกษามหาวิทยาลัย เนื่องจากวัยทำงานอาจยังไม่ต้องการใช้เงินก้อนใหญ่และการกู้ก็ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นจึงต้องการหาที่อยู่อาศัยโดยไม่สร้างภาระผูกพันระยะยาว และมองว่าการเช่าพักมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะสามารถเก็บเงินสดไว้กับตัวเพื่อใช้จ่ายสิ่งที่จำเป็นด้านอื่นได้ นี่จึงเป็นโอกาสของตลาดอสังหาฯ สำหรับให้เช่า

ขนาด 1 ห้องนอน เป็นที่ต้องการที่สุด

จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดอสังหาฯ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ฉบับล่าสุดพบว่า ปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อเช่า สนใจเลือกเช่าห้องที่มีขนาดกะทัดรัดเพื่อสร้างพื้นที่ส่วนตัว โดยอพาร์ตเมนต์/คอนโดฯ ขนาด 1 ห้องนอนเป็นที่นิยมมากที่สุด 40% ขณะที่ปัจจัยที่มีอิทธิพลในการนำมาพิจารณาเมื่อต้องเลือกเช่าอสังหาฯ อันดับแรก คือ โครงการที่มีทำเลใกล้กับที่ทำงาน 73% ตามมาด้วยความปลอดภัย 55% และความครบครันที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของทำเล 52% 

“คอนโดฯ ในทำเลต่าง ๆ ก็ยังมีโอกาสในการหาผู้เช่าใหม่ได้ ไม่จำกัดเฉพาะโครงการในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ เท่านั้น การทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคและศึกษาทิศทางตลาดอย่างต่อเนื่องก็ถือเป็นอีกเรื่องที่นักลงทุน/ผู้ให้เช่าอสังหาฯ ไม่ควรละเลยเช่นกัน”

สรรหาจุดเด่น สร้างจุดขายให้โดนใจผู้เช่า

นอกจากเรื่องทำเล ความปลอดภัย และบริการจากส่วนกลางแล้ว เจ้าของห้องอาจสร้างจุดขายที่แตกต่างได้ด้วยการลงทุนตกแต่งและปรับปรุงห้องโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยผนวกเข้ากับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เช่น ติดตั้ง Digital Door Lock ที่เชื่อมต่อการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนเพื่อเสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัย เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีช่วยประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Multi-Function เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการตั้งราคา คือ อย่าลืมพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ส่งผลต่อกำลังซื้อ และการแข่งขันในตลาด ดังนั้น อาจปรับลดค่าเช่าหรือต่อรองเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและสภาพเศรษฐกิจ อาทิ ควรเลือกทำสัญญากับผู้เช่าในระยะสั้น ๆ เช่น ราคาโปรโมชันในช่วง 3 เดือนแรก เพื่อไม่ให้เป็นการปิดโอกาสสร้างกำไรในอนาคตหากตลาดอสังหาฯ เริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจฯ ได้ระบุว่าพอใจที่จะจ่ายค่าเช่าประมาณ 6,645 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ การเช่าถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเงินหมุนเวียน เพราะถ้าปล่อยห้องทิ้งไว้ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชอบเองอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นค่าส่วนกลาง ค่าบำรุงรักษา หรือค่าทำความสะอาดเพื่อป้องกันการเสื่อมโทรมของห้อง

]]>
1301913
ส่องโครงการ “Job Trainer” ของออสเตรเลีย ฝึกอาชีพให้นศ.จบใหม่-คนว่างงาน รับมือ COVID-19 https://positioningmag.com/1288389 Fri, 17 Jul 2020 12:12:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288389 คนหนุ่มสาวในออสเตรเลียหลายเเสนคน กำลังเผชิญกับความถอดถอยของตลาดเเรงงาน เเละขาดการฝึกฝนทักษะต่างๆ อันเป็นผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19

ล่าสุดรัฐบาลออสเตรเลีย ทุ่มงบ 2,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 4.4 หมื่นล้านบาท) เปิดโครงการ “Job Trainer” สนับสนุนศูนย์อบรมกว่า 300,000 แห่ง เพื่อฝึกทักษะแรงงานให้กับนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ ผู้ที่กำลังหางาน โดยจะมีเปิดอบรมฝึกทักษะในภาคธุรกิจบริการสุขภาพ การคมนาคมขนส่ง และธุรกิจค้าปลีก

อัตราการว่างงานในออสเตรเลีย พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าสองทศวรรษ ในช่วงการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยสำนักงานสถิติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ในเดือนมิ.. อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 7.1% เป็น 7.4% มีผู้ว่างงานเกือบ 1 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 25 ล้านคน ซึ่งถือเป็นอัตราว่างงานที่สูงที่สุดของประเทศ นับตั้งแต่ปี 1998 ขณะที่เศรษฐกิจออสเตรเลียกำลังเผชิญภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี

โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Scott Morrison จะใช้งบประมาณ 500 ล้านดอลลาร์กระจายไปยังรัฐต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนหลักสูตรระยะสั้น เช่น การเปิดสอนโดยสถาบันเทฟ (TAFE) และผู้ให้บริการฝึกทักษะเอกชน เพื่อให้บริการฝึกสอน สำหรับผู้สนใจโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ส่วนหลักสูตรที่ได้ใบรับรองคุณวุฒิ อย่างเช่น Certificate III และ IV รวมถึงอนุปริญญา (diploma) ที่มีเเนวโน้มว่านักศึกษาจบใหม่จะเลือกเรียน ก็จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย

นอกจากนี้ รัฐบาลจะใช้เงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อจ่ายค่าแรงเพิ่มเติมให้กับผู้ฝึกหัดอาชีพ (apprentice) และผู้ฝึกงาน (trainee) โดยเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพื่อขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะหมดลงในสิ้นเดือนก..นี้

เป้าหมายสำคัญในแผน Job Trainer คือการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษากว่า 2.5 เเสนคนที่จะเรียนจบในช่วงปลายปีนี้ เพราะพวกเขาจะได้รับโอกาสจ้างงานหรือฝึกงานน้อยลง เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19  ขณะเดียวกันก็หวังจะช่วยให้ผู้ฝึกงานกว่า 3.4 เเสนคน ให้ได้รับการอบรมทักษะที่จำเป็นในการหางานใหม่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงตั้งเป้าว่าครอบคลุมภาคธุรกิจได้กว่า 9 หมื่นกิจการ

 

ที่มา : Sydney Morning Herald , theguardian

 

]]>
1288389
รู้จัก Kept เเอปฯ “ออมเงิน” แก้ปัญหา Gen Y-Z เก็บเงินไม่อยู่ ตั้งเป้าดึงเงินฝากเพิ่ม 4-5 พันล้าน https://positioningmag.com/1285987 Wed, 01 Jul 2020 09:36:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1285987 การเพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้คนหันมาออมเงินมากขึ้น เพราะความไม่เเน่นอนของชีวิตเเละหน้าที่การงาน ขณะเดียวกันเหล่านักลงทุนรายย่อย ก็หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเเละหันมาฝากเงินมากขึ้นเช่นกัน

จากข้อมูลของธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า การออมของคนไทย มีจำนวนบัญชีเงินฝากรวม 102 ล้านบัญชี มียอดเงินฝากรวม 15 ล้านล้านบาท โดยพบว่ากว่า 86.6% มียอดเงินฝากเฉลี่ยต่ำกว่า 5,000 บาทต่อบัญชีเท่านั้น

ขณะที่บริษัทข้อมูลเครดิตเเห่งชาติ (NCB) ระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยคนไทยอายุ 30 ปี ถึง 50% มีหนี้ และยิ่งไปกว่านั้นคือ 1 ใน 5 ของคนในช่วงอายุ 29-30 ปี มีหนี้เสีย

พร้อมกันนั้น กลุ่มคนรุ่นใหม่ไทย ยังมีการวางแผนทางการเงินในระดับต่ำ โดยเฉพาะกลุ่ม first jobber ที่มักมีทัศนคติที่ให้ความสำคัญต่อการออมน้อยกว่าคนรุ่นก่อน ดังนั้นวินัยการเก็บเงินของคนรุ่นใหม่ชาว Gen Y เเละ Gen Z จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเเละส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย

ในอีกมุมหนึ่งเมื่อคนไทยมีความระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้นในช่วงนี้ ก็เป็นโอกาสของสถานบันการเงินที่จะเข้ามาเพิ่มยอดเงินฝากนั่นเอง

ล่าสุด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดตัว Kept (เคป) แพลตฟอร์มบริหารเงินที่คำนึงถึง pain point ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการออมเงินอย่างมีระบบ ดึงดูดด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าฝากประจำทั่วไป

พงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่ผ่านมา มีการออมผ่านบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกรุงศรีฯ โตถึง 8% ถือเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เงินฝากจะมีอัตราเติบโตเพียง 4-5% เท่านั้น

ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้งานโมบายแบงกิ้งของทั้งระบบเพิ่มสูงถึง 63 ล้านคน คิดเป็นการเติบโต 28% จำนวนธุรกรรมมากกว่า 523 ล้านรายการ เติบโต 14% สอดคล้องกับ Krungsri Mobile Application (KMA) ที่เติบโตในแง่ฐานลูกค้า 12% และในแง่จำนวนรายการ 21%

เมื่อยอดการออมเเละการใช้โมบายแบงกิ้งพุ่งสูงขึ้นพร้อมๆ กัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดตัวเเอปฯ Kept ในช่วงนี้ ผ่านแนวคิด small change for BIG FUTURE #ปรับนิดชีวิตเปลี่ยน ช่วยให้การออมเงินเป็นเรื่องง่าย สนุกและสำเร็จจริง

Kept : ระบบ 1 กระเป๋า 2 กระปุก

จุดเด่นคือ Kept จะมาเป็นผู้ช่วยการออมเงินด้วยฟีเจอร์อัตโนมัติที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าผ่าน 3 บัญชี คือ บัญชี Kept บัญชี Grow และบัญชี Fun ที่ทำงานร่วมกันในระบบ 1 กระเป๋า 2 กระปุกโดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่สูง 1.7%ต่อปี โดยปีแรกรับ 1.6% และปีที่สอง 1.8% (ปีหลังจากนั้นจะเป็นดอกเบี้ยตามภาวะตลาด) โอน-ถอนได้ทุกเวลา ไม่ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงศรีก็ใช้งานได้

โดยมีให้ดาวน์โหลดฟรี ทั้งระบบ iOS และ Android เปิดบัญชีผ่านระบบยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID – NDID) ไม่ต้องมาที่สาขา หรือยืนยันตัวตนผ่านช่องทาง Krungsri i-CONFIRM ซึ่งเป็นจุดบริการยืนยันตัวตน ณ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา ทั่วประเทศ

1.กระเป๋า Kept

เป็นกระเป๋าสตางค์แยกเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ลูกค้าสามารถโอนเงินเข้ากระเป๋า Kept และตั้งยอดที่ต้องการใช้เงินในกระเป๋า Kept ไว้ล่วงหน้า ส่วนที่เหลือจะถูกโอนไปเก็บไว้ในกระปุก Grow แบบอัตโนมัติทุกสิ้นวัน ทั้งนี้ หากเงินในกระเป๋า Kept ไม่พอใช้ ระบบก็มีฟีเจอร์โอนกลับอัตโนมัติที่จะหยิบเงินส่วนที่ขาดมาจากกระปุก Grow คืนมายังกระเป๋า Kept  ซึ่งลูกค้าสามารถโอนเงินเข้าออกบัญชี Kept ได้บ่อยเท่าที่ต้องการโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

2.บัญชี/กระปุก Grow

เป็นกระปุกเงินเพื่อเก็บเงินก้อน เก็บเงินก้อนส่วนเกินจากจำนวนที่ได้ตั้งไว้เพื่อใช้จ่ายจากกระเป๋า Kept มาใส่ในกระปุก Grow โดยอัตโนมัติ (ขั้นต่ำ 5,000 บาท) เพื่อรับดอกเบี้ยที่สูง ในปีแรกและสูงขึ้นอีกในปีที่ 2 โดยคิดดอกเบี้ยทุกวัน จ่ายดอกเบี้ยทุกวันที่ 28 ของเดือน ซึ่งในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ

3.บัญชี/กระปุก Fun

เป็นกระปุกเงินสำหรับการเก็บเล็กผสมน้อย ที่สามารถทำได้ทุกวัน มาพร้อม 2 ฟีเจอร์เด็ดที่ทำให้การออมเงินเป็นเรื่องสนุก คือแอบเก็บที่ช่วยเก็บเงินให้ทุกครั้งที่โอนออกหรือสแกนจ่ายด้วย QR code ด้วยวิธีแอบเก็บที่เลือกได้เอง และสั่งเก็บ ให้เก็บเงินเมื่อไรและจำนวนเท่าใดก็ได้ ช่วยให้มีเงินออมสม่ำเสมอโดยไม่ต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และเมื่อต้องการใช้เงินในกระปุกนี้ก็สามารถโอนเข้ากระเป๋า Kept ได้

สำหรับ ฟีเจอร์แอบเก็บ เป็นไอเดียมาจากลูกค้าคนหนึ่งที่ชอบการช้อปปิ้งมาก ทุกครั้งที่กดช้อปปิ้งออนไลน์ เขาจะเเบ่งเงินตัวเองเก็บไว้อีก 300 บาททุกครั้ง เพราะไม่อยากรู้สึกผิด (ที่ช้อปปิ้งบ่อย) ดังนั้นเราจึงนำมาพัฒนาให้มีตัวช่วยเเอบเก็บให้ลูกค้า ซึ่งสามารถตั้งจำนวนเงินได้ เช่น สั่งซื้อของ 50 บาท ตั้งไว้ให้หักอีกครั้งละ 50 บาท รวมเป็นตัดบัญชี 100 บาท (ตัดเข้ากระเป๋าออม 50 บาท) หรือจะตั้งให้ปัดเศษได้ เช่น ซื้อของ 137 บาท ตัดเป็น 140 บาท (ตัดเข้ากระเป๋าออม 3 บาท) เป็นต้น

ทั้งนี้ การฝากเงินใน Kept สามารถขอรายการเดินบัญชี (e-statement) ได้ย้อนหลังได้ไม่เกิน 24 เดือน โดยทำรายการผ่านเเอปฯ Kept เช่นเดียวกับการขอรายการเดินบัญชีเเบบทั่วไป

“เป้าหมายของ Kept จะเน้นเจาะกลุ่ม Young Money เเละ Growing Money ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ Gen Y เเละ Gen Z โดยคาดว่าภายใน 1 ปีจะมียอดดาวน์โหลด 2 เเสนรายเเละดึงดูดยอดเงินฝากได้ราว 4-5 พันล้านบาท เฉลี่ยเงินฝาก 20,000 บาทต่อบัญชี” 

 

]]>
1285987
COVID-19 กระทบอนาคต “คนรุ่นใหม่” เป็นกลุ่ม Lockdown Generation ที่ตกงานมากที่สุด https://positioningmag.com/1281067 Thu, 28 May 2020 14:01:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281067 อนาคตไม่สดใส คนรุ่นใหม่ที่อายุระหว่าง 15-24 ปีกำลังเป็นกลุ่มที่ “ตกงาน” มากที่สุด นับตั้งเเต่การเเพร่ระบาดของ COVID-19 โดยถูกเรียกว่าเป็นกลุ่ม “Lockdown Generation”

รายงานขององค์การแรงงานสากล (ILO) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน 13.6% ของประชากรหนุ่มสาวทั่วโลก 267 ล้านคน ยังคงไม่มีงานทำหรือไม่ได้รับการฝึกงานภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งคนรุ่นใหม่ยังเสี่ยงถูกเลิกจ้างเร็วกว่าและมากกว่ากลุ่มคนอายุอื่น ๆ ในสังคมด้วย ซึ่งผลกระทบจาก COVID-19 ครั้งนี้รุนเเรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคราววิกฤตทางการเงิน เมื่อปี 2008

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงรุ่นใหม่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ตกงานจากวิกฤต COVID-19 มากกว่าผู้ชาย รวมไปถึงคนรุ่นใหม่เหล่านี้ อาจถูกกีดกันออกจากตลาดเเรงงานในระยะยาว เพราะขาดการอบรมทักษะเเละไม่ได้ฝึกงานในองค์กรช่วงโรคระบาด ส่งผลให้หางานยากขึ้นเเละอาจจะได้งานที่ค่าจ้างต่ำ

Guy Ryder ผู้อำนวยการ ILO มองว่า สิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อวิถีการทำงานของพวกเขาไปตลอดชีวิตเเละจะเป็นบาดเเผลในจิตใจ เเม้จะผ่านพ้นการเเพร่ระบาดไปแล้วก็ตาม พร้อมเตือนว่าการกีดกันคนรุ่นใหม่ที่ขาดโอกาสฝึกงานช่วงนี้ จะทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ยากลำบากขึ้น

“มีหลักฐานบ่งชี้ว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนหนุ่มสาวทั่วโลก มีความเสี่ยงต่ออาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้า จากภาวะการระบาดใหญ่ครั้งนี้”

ILO ระบุว่า ความเครียดจากการเเพร่ระบาด การสูญเสียโอกาสในการทำงาน มีแนวโน้มจะกระตุ้นให้ผู้คนประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนหนุ่มสาวที่ตกงาน ทั้งทางด้านการศึกษา การฝึกงาน และสภาพจิตใจ

สำหรับสถานการณ์ตลาดเเรงงานในไทย KKP Research ประเมินว่าช่วงกลางปีนี้จะมี “นักศึกษาจบใหม่” ในไทย พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานราว 3.4 เเสนคน เเต่ต้องประสบปัญหาใหญ่จาก COVID-19 ทำให้นักศึกษาจบใหม่จำนวนมากอาจจำเป็นต้องเลือกทำงานที่ต่ำกว่าทักษะหรือระดับการศึกษา ไม่ตรงกับสายงาน หรือตัดสินใจยังไม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน

โดยมีเพียง 1 ใน 3 ของนักศึกษาจบใหม่กลุ่มนี้เท่านั้น ที่สามารถหางานที่เหมาะสมกับระดับทักษะได้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนด้านวิชาชีพเฉพาะหรือด้านเทคโนโลยีที่ยังจำเป็นในภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันความไม่พร้อมของการเรียนการสอนเเละขาดการเสริมทักษะการทำงานให้คนรุ่นใหม่ ก็เป็นการเสียโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเช่นกัน

 

ที่มา : VOA , KKP Research  

 

]]>
1281067
มุมมอง “ธุรกิจกงสี” ในมือทายาทรุ่นใหม่ สู้เศรษฐกิจซบเซา-โรคระบาด ธุรกิจเล็กเสี่ยงล้ม https://positioningmag.com/1268063 Thu, 12 Mar 2020 12:17:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268063 ต้องยอมรับว่า “ธุรกิจครอบครัว” หรือที่เรามักเรียกว่า “ธุรกิจกงสี” เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทุกวันนี้ ด้วยการมีอยู่ถึง 80% ของระบบเศรษฐกิจเเละมีมูลค่ารวมถึง 30 ล้านล้านบาท โดยจำนวนเกินครึ่งของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ SET50 เป็นธุรกิจครอบครัว มีมูลค่าในตลาด รวมกว่า 4.76 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจาก ตลท. ณ วันที่ 28 ก.พ. 63)

เป็นที่น่าจับตามองว่า ธุรกิจครอบครัวไทยราว 90% กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดเเละเเนวทาง “เเตกต่าง” จากคนรุ่นพ่อเเม่หรือปู่ย่าตายาย

นักธุรกิจรุ่นใหม่เหล่านี้มีความคิดเห็นต่อ “การปรับปรุงเเละพัฒนา” องค์กรไปในทิศทางใด ขณะที่ต้องเผชิญความท้าทายทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภัยโรคระบาด ค่าเงินบาทผันผวน การขาดเเคลนเเรงาน เเละการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ยุคดิจิทัล

เปิดรายงาน NextGen Survey 2019 ผลสำรวจผู้นำธุรกิจครอบครัว ฉบับแรกของ PwC โดยความท้าทายอันดับที่ 1 ของธุรกิจครอบครัวในสายตาผู้นำรุ่นใหม่ในปีนี้ คือการเข้ามาของดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ (Digital disruption) ในอนาคต

NextGen Survey 2019 ได้สำรวจความคิดเห็นผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ทั่วโลกจำนวนกว่า 950 ราย รวมทั้งผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยจำนวน 31 ราย

เปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัล ความหวังพาธุรกิจรอด 

“ผู้นำรุ่นใหม่คาดหวังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยในกลุ่มนี้กว่า 81% ต้องการมีส่วนร่วมในธุรกิจครอบครัวอย่างเเข็งขัน ส่วนอีก 13% ตั้งใจมีส่วนร่วมในอนาคต เเละอีก 6% คิดว่าจะไม่มีส่วนในกิจการครอบครัวในอนาคต”

ผลสำรวจชี้ว่ากว่า 83% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ มองว่าการมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่พวกเขาจะให้ความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือ การดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ และการเสริมสร้างทักษะให้กับพนักงานที่ 62% เท่ากัน

นอกจากนี้ 79% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ของไทย เห็นว่าการเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัลจะช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจครอบครัวและช่วยให้กิจการสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ขณะเดียวกัน มองว่าอุปสรรคที่ทำให้กิจการครอบครัวยังตามหลังคู่เเข่งคือ การใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารอย่างมืออาชีพ เเละการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรเเบบผู้ประกอบการ ส่วนข้อได้เปรียบของธุรกิจครอบครัวคือ การมุ่งเน้นให้บริการลูกค้า มีเป้าหมายชัดเจนเเละความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร 

“การเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับธุรกิจในยุคนี้ แต่วิธีการที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความความสำเร็จต่างหาก คือความท้าทายใหม่ที่ธุรกิจครอบครัวของไทยหลายราย ยังค้นหาหนทางไม่พบ”

นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายงาน Clients and Markets หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัวและหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า แม้สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแบบนี้อาจจะไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล รวมไปถึงการยกระดับทักษะขององค์กรหลายแห่ง เเต่ผลลัพธ์ของการนิ่งเฉยจะยิ่งส่งผลเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาลเพราะในที่สุด ทุกองค์กรไม่เฉพาะธุรกิจครอบครัว จำเป็นที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะเป็นผลดีกับองค์กรในระยะยาว

Upskilling เป็นเรื่องที่รอไม่ได้

ผลจากการสำรวจ ได้เปิดเผยถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรด้วยการยกระดับทักษะ (Upskilling) ให้กับตัวผู้นำรุ่นใหม่และพนักงาน

โดย 83% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ของไทย เชื่อว่าการยกระดับทักษะจะช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจครอบครัวได้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ในเอเชียแปซิฟิก (62%) และทั่วโลก (61%)

โดยองค์กรที่เริ่มนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานส่วนต่าง ๆ จะสามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนได้ดีกว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานได้มากขึ้นอีกด้วย

“การยกระดับทักษะแรงงานเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ทำได้หลายวิธี โดยผู้นำรุ่นใหม่หรือแม้กระทั่ง พนักงาน สามารถอัพสกิลตัวเองได้ผ่านการเรียนรู้จากเว็บไซต์ แอปพลิเคชันต่างๆ คอร์สเรียนออนไลน์หรือหลักสูตรการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่จำเป็นในอนาคต”

เศรษฐกิจซบเซา ธุรกิจขนาดเล็กเสี่ยงปิดกิจการ 

ปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการระบาดของไวรัสCOVID-19 ได้ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานและการผลิตในบางกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงการบริโภคภายในประเทศที่ลดลงตามกำลังซื้อที่หดตัวจากการขาดรายได้จากแรงงานในภาคการขนส่งและท่องเที่ยว

ผู้บริหาร PwC ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัวธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อย หรือ SMEs รวมไปถึงบริษัทขนาดเล็กที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่สูง โดยมองว่า หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือนนี้อาจเห็นธุรกิจขนาดเล็กเริ่มปิดกิจการ

โดยคาดว่าการระบาดของไวรัสนี้ อาจจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ได้ ต้องติดตามว่าสถานการณ์จะกินเวลานานแค่ไหน จึงจะควบคุมการแพร่ระบาดได้ซึ่งหากยืดเยื้อ มองว่าน่าจะเห็นธุรกิจครอบครัวหรือบริษัทขนาดเล็ก จะล้มหายไปจากระบบพอสมควร

“แต่ในมุมกลับกัน นี่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจครอบครัวที่มีความพร้อมด้านเงินทุนในการซื้อกิจการหรือหาพาร์ตเนอร์ เพื่อเป็นพันธมิตรเพราะน่าจะได้ของดี ราคาไม่แพงและต้นทุนทางการเงินไม่สูงนัก เนื่องจากอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาลง”

ผู้บริหาร PwC ฝากถึงผู้นำรุ่นใหม่เเละเจ้าของกิจการว่า แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะเลวร้ายแค่ไหน แต่เราไม่สามารถหยุดที่จะพัฒนาตัวเองและองค์กรได้ เพราะการยกระดับทักษะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนเพื่อให้อยู่รอดและแข่งขันได้ในโลกทำงานยุคดิจิทัล

 

]]>
1268063
“กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์” รีแบรนด์ใหญ่รอบ 11 ปี เอาใจขาช้อป Gen Y งัดกลยุทธ์สกัด “หนี้เสีย” พุ่ง https://positioningmag.com/1266928 Thu, 05 Mar 2020 15:15:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1266928 กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ปรับโฉมใหม่ในรอบทศวรรษ เอาใจ Gen Y – Z งัดกลยุทธ์ดึง DSR 70% กรองลูกค้าใหม่ พักหนี้ช่วยลูกค้าเก่า รับผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว หวั่นหนี้เสียพุ่งต่อเนื่อง ด้านไวรัส Covid-19 ทำยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 2 เดือนเเรกต่ำกว่าเป้า ส่งสัญญาณลูกค้าเริ่มผ่อนชำระหนี้ล่าช้า หวังขยายตลาดใหม่เจาะกลุ่มช่างอิสระ เตรียมลงทุนในฟิลิปปินส์ 

พลิกโฉมแบรนด์-สาขาในรอบ 11 ปี ห่วงคนรุ่นใหม่หนี้ล้น

ในครั้งนี้ถือเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ มีการปรับโลโก้ และการสื่อสารใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ภายใต้แนวคิด “จุดเริ่มต้น คนมีเครดิต” เพื่อเติมความสดใสให้แบรนด์ดูทันสมัย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยที่กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ได้ทำตลาดมามากกว่า 20 ปี เคยมีการปรับโฉมใหญ่เพียง ครั้งในปี 2009 ภายใต้คอนเซปต์ ‘First Choice เติมเต็มความสุขให้ครอบครัว

เหตุผลที่เลือก “รีเเบรนดิ้ง” ในช่วงนี้ เนื่องจากสภาพปัญหาสังคมในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มคนไทยเริ่มเป็นหนี้ใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัย Gen Y ซึ่งเป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ทางแบรนด์จึงตัดสินใจพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ในช่วงนี้

จากข้อมูลเเนวโน้มการเป็นหนี้ของคนไทย ชี้ว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยสูงถึง 79.1% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้กลุ่มที่น่ากังวล คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มก่อหนี้สูง

โดยข้อมูลสถิติสินเชื่อบุคคลของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ณ สิ้นปี 2561 พบว่า แนวโน้มคนไทยเริ่มเป็นหนี้ใหม่เพิ่มมากขึ้น และอายุน้อยลงโดยเฉพาะกลุ่มคนช่วงอายุ 21 – 24 ปี เพิ่มขึ้นในอัตราเร็วกว่ากลุ่มคนในช่วงอายุอื่น

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มคนรุ่นใหม่ของสมาชิกบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ชี้ให้เห็นว่า ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Y & Z) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 68% มีไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายในหมวดกิน ช้อปออนไลน์ ท่องเที่ยวค่อนข้างสูง โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศสูงเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับหมวดใช้จ่ายอื่น

ณญาณี เผือกขำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด เล่าว่า

“จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในภาคการเงินไทย เรามองเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงขึ้นต่อเนื่องในกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจพลิกโฉมแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่ในปีนี้” 

เน้นสไตล์มินิมอล ดึงดูดคนรุ่นใหม่ 

ด้าน อธิป ศิลป์พจีการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ กล่าวว่า การพลิกโฉมแบรนด์ครั้งนี้ มีคอนเซ็ปต์ “จุดเริ่มต้น คนมีเครดิต” ปรับให้ดูทันสมัยขึ้นตามไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เเละต้องการยกระดับภาพลักษณ์ใหม่จากการเป็น “ผู้ให้บริการสินเชื่อ” ไปเป็น “ผู้ช่วยสร้างเครดิต” เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีของลูกค้า โดยจะมีการเปลี่ยนเเปลงเเบรนด์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ หน้าบัตร สาขาเเละยูนิฟอร์มพนักงาน 

“การปรับชุดยูนิฟอร์ม จะเปลี่ยนจากเดิมที่ดูเป็นทางการและเข้าถึงยาก ให้ดูลำลอง ทันสมัย เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สวมใส่สบายทั้งสำหรับพนักงานหญิงชาย ส่วนสาขากรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ปรับให้ดูสว่าง มินิมอล ทันสมัย และดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ โดยทั้งชุดพนักงานและสาขาเริ่มมีการทยอยปรับเปลี่ยนตั้งแต่เดือน ก.. และจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ ปีนี้”

ไฮไลต์สำคัญอีกอย่าง คือการจับมือกับ “ซันเต๋อ ยศนันท์ วุฒิกรสมบัติกุล” นักวาดภาพประกอบชื่อดังให้มาดีไซน์ของสมนาคุณพิเศษเพื่อลูกค้าบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์โดยเฉพาะ

“เป็นครั้งแรกของเฟิร์สช้อยส์ที่จับมือกับนักออกแบบในการออกสินค้าพรีเมียมให้เป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น เพื่อให้ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคุณซันเต๋อ เป็นเจ้าของลายเส้นที่มีเอกลักษณ์สะท้อนชีวิตของคนยุคนี้ โดดเด่นเรื่องความมินิมอล มีผลงานเป็นที่นิยมเเละเป็นเเรงบันดาลใจในกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงตอบโจทย์รสนิยมของลูกค้าของเราได้เป็นอย่างดี”  

“โลโก้รูปแบบใหม่ของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ที่เป็นสัญลักษณ์บูมเมอแรงนั้น สะท้อนความเชื่อของแบรนด์ที่ว่า คนที่มีเครดิตทางการเงินที่ดีควรจะได้รับโอกาสและสิ่งดี ๆ กลับคืน”

นอกจากนี้ จะมีการออกบริการใหม่ผ่านแอปพลิเคชัน UCHOOSE เพื่อแจ้งสถานะสุขภาพทางการเงินของลูกค้า และบริการแจ้งเตือนเมื่อมีการใช้จ่ายสูง (Spending Alert) ซึ่งนับครั้งแรกที่มีในบรรดาสถาบันการเงิน หวังช่วยให้ลูกค้าระวังการใช้จ่ายของตนเองได้เเละเห็นความสำคัญของการมีสุขภาพทางการเงินที่ดี

ปรับวิธีอมุมัติสินเชื่อใหม่

ณญาณี เสริมว่า ตั้งเเต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งการระบาดของไวรัส Covid-19 ปัญหาฝุ่น PM2.5 ภัยเเล้งเเละภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนใช้จ่ายน้อยลงกำลังซื้อในประเทศลด

“ฐานลูกค้าเราส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ บริษัทจึงต้องวางกลยุทธ์เเผนธุรกิจใหม่ ทั้งการปรับภาพลักษณ์ของเเบรนด์ เข้าหาลูกค้าช่องทางอื่น เเละมีนโยบายดูแลลูกค้าไม่ให้มีการสร้างภาระค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น”

โดยกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ จะมีได้ปรับวิธีการอนุมัติสินเชื่อใหม่ (Approve) โดยเพิ่มเกณฑ์การพิจารณาตามสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) อยู่ที่ 70% ซึ่งจะส่งผลให้ยอดอนุมัติบัตรใหม่ลดลง -10% เหลืออยู่ที่ 3.35 แสนบัญชี (ลดลงครั้งเเรกในรอบ 10 ปี) เพื่อคัดสรรลูกค้าที่มีศักยภาพเเละจะไม่ก่อเป็นหนี้เสียในอนาคต รวมถึงเป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ใช้ในกระบวนการอนุมัติสินเชื่อด้วย

การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ สร้างความกังวลเรื่อง “สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” (NPL) ที่มีเเนวโน้มจะเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.8% เพิ่มขึ้นจากปลายปีก่อน 0.14% และยังมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นได้อีก จากปัจจัยลบต่างๆ

“ช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้เราเห็นแนวโน้มว่า มียอดค้างชำระสินเชื่อเพิ่มขึ้น ผลต่อเนื่องจากปีก่อนที่เศรษฐกิจที่ชะลอตัว โรงงานหรือบริษัทหลายเเห่งปิดตัวทำให้ลูกค้าได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปถึงเดือน มี.ค. เเละ เม.ย. จากผลกระทบของ COVID-19 ด้วย”

โดยบริษัทได้ออกมาตรการช่วยเหลือทั้งการพักชำระหนี้ ลดภาระการชำระหนี้ เช่น การพักชำระหนี้ 3 เดือน และลดการผ่อนขั้นต่ำเหลือ 3% ให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ “เราเริ่มเห็นสัญญาณว่าลูกค้าบางกลุ่มที่ทำงานในภาคท่องเที่ยว โรงเเรม เริ่มมีการผ่อนชำระลดลง ขณะที่ส่การใช้จ่ายผ่านบัตรหมวดห้างสรรพสินค้าอาจจะปรับลดลงบ้าง เเต่ยอดออนไล์ยังเหมือนเดิม”

สำหรับปี 2563 บริษัทยังตั้งเป้าหมายยอดใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 1.02 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโตในอัตรา 11% แบ่งเป็นบัตรเครดิต 20% สินเชื่อผ่อนชำระและกดเงินสดเติบ 8% ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% ซึ่งลดลงจากปี 2562 อยู่ที่ 6.04 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตที่ 12%

“การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ส่งผลต่อการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของประชาชน ถ้ายังต่อเนื่องไปถึงเดือน เม.ย. คาดว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของเราคงเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 5% ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณเเล้วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาว่าเติบโตเพียง 8% จากเป้า 11%” 

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจและการดำเนินงานในปี 2562 ที่ผ่านมา กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ มียอดสินเชื่อและยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 91,600 ล้านบาท เติบโต 13% เมื่อเทียบกับปี 2561 มียอดสินเชื่อคงค้าง 60,400 ล้านบาท เติบโต 12% เทียบกับปีก่อน มีสินเชื่อตามแผนผ่อนชำระ 63,800 ล้านบาท เติบโต 10% มีจำนวนบัตรใหม่ 396,000 ล้านบัตร มียอดบัตรรวม 2.34 ล้านบัตร ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 27,800 ล้านบาท เติบโต 23% โดยกลุ่มที่มีการเติบโตสูงคือ “กลุ่มท่องเที่ยวเเละช้อปปิ้งออนไลน์”

ขยายเจาะกลุ่มช่างอิสระ-ตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลโต 

เมื่อถามถึงการลงทุนในอาเซียน ผู้บริหารกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ตอบว่าเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพมาก เพราะตลาดในไทยเริ่มอิ่มตัว โดยตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเจรจากับพาร์ตเนอร์ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก โดยจะเป็นการลงทุนเเบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture)

ส่วนการขยายกลุ่มลูกค้านั้น ทางกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์กำลังเล็งจะเจาะตลาด “กลุ่มช่าง” ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่พนักงานเงินเดือน โดยมีการร่วมมือกับ “เมกาโฮม” ศูนย์วัสดุก่อสร้างเเละของใช้ในบ้าน เพื่อหาลูกค้าใหม่ที่มียอดมาใช้จ่ายซื้อสินค้าอย่างสม่ำเสมอ ข้อมูลการซื้อของเพื่อนำมาพิจารณาการให้สินเชื่อได้ โดยจะเริ่มกลางเดือน มี.ค.นี้ ตั้งเป้าหาลูกค้าใหม่ได้ 2 หมื่นคน จากยอดรวม 2 เเสนคน

ด้านภาพรวมตลาด “สินเชื่อส่วนบุคคล” มียอดเติบโต 8% เทียบกับปีที่แล้ว ส่วนยอดเติบโตของกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์มียอดเติบโตกว่า 12% ถือว่าอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดกว่า 50%

]]>
1266928