IHG – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 29 Aug 2024 11:31:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 แบรนด์ใหม่ “Garner” โรงแรมระดับกลางจาก “IHG” เจาะกลุ่มโรงแรมอิสระเปลี่ยนมาใช้เชนนอกบริหาร https://positioningmag.com/1487980 Thu, 29 Aug 2024 08:05:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487980 “IHG” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Garner” ในราคาต่ำกว่า “Holiday Inn Express” หวังอุดช่องว่างตลาดโรงแรมระดับกลาง ตอบโจทย์กลุ่มโรงแรมอิสระไม่มีแบรนด์เปลี่ยนใจใช้เชนนอกบริหาร ด้วยเงื่อนไขการปรับปรุงโรงแรมที่น้อยกว่า ชี้เทรนด์ตลาดปัจจุบันมีโรงแรมอิสระที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนมากกว่าที่เคย

“วิเวก บัลลา” กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเริ่มทำตลาดแบรนด์ “Garner” ในประเทศไทย โดยแบรนด์ดังกล่าวเป็นแบรนด์ใหม่ของ IHG ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ปัจจุบันมีให้บริการแล้ว 4 แห่งในสหรัฐฯ และอยู่ในไปป์ไลน์การเปิดตัวอีก 79 แห่งทั่วโลก เฉพาะในเอเชียจะมีการเปิดโรงแรม Garner 3 แห่งแรกภายในสิ้นปีนี้ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

ลักษณะเด่นของแบรนด์ Garner คือการเข้ามาอุดช่องว่างในตลาดให้กับ IHG เพราะเป็นแบรนด์โรงแรมระดับกลางซึ่งช่วยตอบโจทย์ลูกค้าผู้เข้าพักที่ต้องการเฉพาะห้องพักในระดับมาตรฐาน นอนพักสบาย ไวไฟแรง และสามารถเลือกรับหรือไม่รับประทานอาหารเช้าได้

Garner
โรงแรม Garner Oklahoma สหรัฐฯ

รวมถึงจะตอบโจทย์กลุ่มเจ้าของโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมอิสระไม่มีแบรนด์ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนมืออาชีพช่วยบริหาร เพราะมาตรฐานและเงื่อนไขด้านโครงสร้างพื้นฐานของ Garner จะยืดหยุ่นกว่า ช่วยให้โรงแรมอิสระสามารถปรับปรุงห้องพักเพื่อมาอยู่ในเชนของ IHG ได้ง่ายขึ้น เช่น ห้องพักขนาดขั้นต่ำเพียง 15 ตารางเมตร, มีห้องพักขั้นต่ำเพียง 150 ห้อง, ไม่จำเป็นต้องมีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และร้านอาหารที่เปิดครบทุกมื้อ

ในแง่งานบริการใน Garner มีการลดทอนลงมาเช่นกัน เช่น Welcome Drink ในลักษณะบริการตนเอง, มื้อเช้าแบบ Grab & Go, เปลี่ยนจากบริหารรูมเซอร์วิสเป็น ‘Garner Shop’ ซึ่งอาจจะตั้งเป็นเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติแทนการใช้พนักงาน

Garner
ตัวอย่างการจัด Welcome Drink แบบบริการตัวเองของ Garner

ทั้งหมดจะทำให้ Garner บีบราคาลงมาได้ต่ำกว่า Holiday Inn Express ซึ่งปัจจุบันเป็นเทียร์ต่ำสุดของ IHG ในโรงแรมระดับกลาง ตัวอย่างราคาของ Holiday Inn Express Central Pattaya จะอยู่ที่ 1,500-2,500 บาทต่อคืน แบรนด์ใหม่นี้จะมาช่วยอุดช่องว่างในระดับราคาที่ต่ำกว่านั้น แต่ยังอยู่เหนือกว่ากลุ่มบัดเจ็ทโฮเทล

 

เทรนด์โรงแรมอิสระเปลี่ยนมาใช้เชนบริหารสูงขึ้น

วิเวกกล่าวถึงเทรนด์การเปลี่ยนจากโรงแรมอิสระที่ไม่ใช้เชนมาเป็นเชนบริหาร (Conversion) ด้วยว่า มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลกเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 โดยข้อมูลจาก Horwath และ Lodging Economics พบว่า ย้อนไปในปี 2562 อัตราโรงแรมที่เป็นสัญญา Conversion อยู่ที่ 15% จากสัญญาจ้างเชนบริหารทั้งหมด แต่ในปี 2566 อัตราส่วนเพิ่มเป็น 33% และปี 2567 ปัจจุบันเพิ่มเป็น 40%

หากเจาะลึกเฉพาะตลาดประเทศไทย ในปี 2562 อัตราโรงแรมที่เป็นสัญญา Conversion อยู่ที่ 21% แต่ในปี 2566 อัตราส่วนเพิ่มเป็น 58% เห็นได้ว่าเทรนด์ของโรงแรมอิสระที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนบริหารเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยนับว่าเกินครึ่งของตลาด สูงกว่าการทำสัญญากับกลุ่มโรงแรมเปิดใหม่

IHG
สินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ, วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น หนึ่งในโรงแรมที่เปลี่ยนจากการเป็นโรงแรมอิสระมาใช้เชน IHG ในการบริหาร

วิเวกอธิบายว่า สาเหตุที่โรงแรมอิสระเริ่มสนใจเปลี่ยนมาใช้เชนบริหาร เพราะการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มบริษัทมักจะควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า เช่น การเจรจาต่อรองค่าคอมมิชชันกับ OTA (Online Travel Agency) และการเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างกว่า รวมถึงเทรนด์ของลูกค้าต้องการเข้าพักกับโรงแรมที่ใช้เชนบริหารมากขึ้น

ทั้งนี้ การทำสัญญา Conversion เกิดขึ้นในทุกๆ เซ็กเมนต์โรงแรม เพียงแต่ IHG มีพอร์ตบริหารเกินครึ่งหนึ่งเป็นโรงแรมระดับกลาง ได้แก่ Holiday Inn และ Holiday Inn Express ทำให้เห็นโอกาสว่ายังมีช่องว่างตลาดอีก เพราะโรงแรมอิสระในประเทศไทยมีมากกว่า 1,400 แห่ง ตามข้อมูลจาก STR

 

เชื่อธุรกิจโรงแรมยังขาขึ้นอีกอย่างน้อย 2-3 ปี

ด้านเทรนด์ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย วิเวกระบุว่า ครึ่งปีแรก 2567 อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ทั้งหมดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อน เป็นผลจากเกิดเปิด Visa-Free ให้กับหลายประเทศ จึงคาดการณ์ว่าตลอดปีนี้อัตราการเติบโตของ RevPAR จะยังคงเป็นตัวเลขสองหลักได้

IHG
“วิเวก บัลลา” กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG

โดยจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็น ภูเก็ต เกาะสมุย และกรุงเทพฯ และมีค่าเฉลี่ยการเข้าพักทริปละ 3 คืนขึ้นไป ส่วนจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทยจะเป็นเมืองหัวหิน พัทยา ระยอง และเขาใหญ่ และมีค่าเฉลี่ยเข้าพักทริปละ 2 คืน

แนวโน้มในอนาคต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามายังประเทศไทยคาดจะเติบโตสะสม 14.8% ภายในปี 2571 ทำให้การเติบโตด้านการท่องเที่ยวน่าจะยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2-3 ปีจากนี้

สำหรับ IHG ปัจจุบันมีแบรนด์โรงแรมที่เปิดบริการแล้วในไทยทั้งหมด 9 แบรนด์ รวมทั้งหมด 39 แห่ง และยังมีโรงแรมในไปป์ไลน์ระหว่างก่อสร้างหรือปรับปรุงอยู่อีก 35 แห่งที่จะเปิดบริการในอนาคต

]]>
1487980
รู้จัก “มอนท์เอซัวร์” อาณาจักรโครงการไฮเอนด์แห่ง “ภูเก็ต” แหล่งดึงดูดเศรษฐีทั่วโลกลงทุน-พักผ่อน https://positioningmag.com/1444572 Mon, 18 Sep 2023 05:14:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444572 ที่ดิน 454 ไร่บนหาดกมลา จ.ภูเก็ต เป็นที่ตั้งของ “มอนท์เอซัวร์” โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะภูเก็ต จากการร่วมทุน 3 สัญชาติ ที่ดินนี้ถูกแบ่งแปลงพัฒนาเป็นทั้งคอนโดฯ โรงแรม ร้านอาหาร บีชคลับ และล่าสุดจะเปิด “วิลล่า” ระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ ดึงเม็ดเงินผู้ซื้อเศรษฐีจากทั่วโลก

“มอนท์เอซัวร์” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2555 จากการร่วมลงทุนของพันธมิตร 3 บริษัท คือ The Narai Group (ไทย), ARCH Capital (ฮ่องกง) และ Philean Capital ในเครือ Pontiac Land Group (สิงคโปร์) ลงทุนซื้อที่ดินผืนใหญ่ 454 ไร่ ติดหน้าหาดกมลา จ.ภูเก็ต ยาว 250 เมตร วางวิสัยทัศน์จะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ มูลค่าโครงการกว่า 15,000 ล้านบาท

ผ่านมาถึงปีนี้ย่างเข้าปีที่ 11 ของมอนท์เอซัวร์ “เศรษฐพล บุตรโท” กรรมการบริหาร มอนท์เอซัวร์ หัวเรือใหญ่ของโครงการนี้ ประเมินว่า ที่ดินมีการพัฒนาและวางแผนงานพัฒนาไปแล้ว 75% ยังเหลืออีก 25% ที่กำลังกำหนดทิศทางและหาพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสม

มอนท์เอซัวร์
มาสเตอร์แพลนของ “มอนท์เอซัวร์”

เศรษฐพลอธิบายถึงวิธีการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่นี้ว่า มอนท์เอซัวร์ทำงานในลักษณะเป็น “มาสเตอร์ แพลนเนอร์” คือเป็นผู้ออกแบบภาพรวมโครงการ แบ่งแปลงที่ดินว่าบริเวณไหนควรพัฒนาเป็นโครงการอะไร เพื่อให้เกิดความสวยงามและระบบนิเวศที่เกื้อกูลกัน จากนั้นในแต่ละโครงการย่อย บริษัทอาจตัดสินใจพัฒนาเองหรือหาพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมลงทุนพัฒนา

โดยปัจจุบันโครงการภายในอาณาจักรที่ก่อสร้างเสร็จและให้บริการแล้ว ได้แก่

  • คอนโดมิเนียม Twinpalms Residence MontAzure จำนวน 73 ยูนิต ยอดขายปัจจุบันเหลือเพียงเพนท์เฮาส์ 1 ยูนิตสุดท้าย ราคา 70 ล้านบาท
  • โรงแรม Intercontinental Phuket Resort โรงแรมระดับ 5 ดาวในเครือ IHG โดยมีพาร์ทเนอร์พัฒนาโครงการคือตระกูลลิปตพัลลภ
  • Café Del Mar คลับริมหาดขนาดใหญ่
  • MontAzure Beach Club บีชคลับสุดหรู
  • 333 At the Beach ร้านอาหารเปรูริมหาด
Twinpalms Residence MontAzure ติดหน้าหาดกมลา

ส่วนโครงการที่กำลังก่อสร้างหรือประกาศการลงทุนแล้ว ได้แก่

  • คอนโดมิเนียม MGallery Residences MontAzure จำนวนกว่า 200 ยูนิต ยอดขาย 50% ปัจจุบันราคาเริ่มต้นที่ 9.8 ล้านบาท คาดสร้างเสร็จ ไตรมาส 4 ปี 2567
  • บ้านพักพูลวิลล่า Botanica MontAzure จำนวน 36 ยูนิต วิลล่าสุดหรูพื้นที่ใช้สอย 500-1,000 ตารางเมตร ราคาขาย 49-170 ล้านบาทต่อหลัง เตรียมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างได้ในปี 2567 โดยมีพาร์ทเนอร์พัฒนาโครงการเป็นทุนท้องถิ่นคือ บริษัท โบทานิก้า ลักเซอรี่ ภูเก็ต จำกัด
  • บ้านพักผู้สูงวัย Kamala Senior Living เนื้อที่ 40-50 ไร่ คาดก่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมและวิลล่า โดยมีพาร์ทเนอร์พัฒนาโครงการจากการร่วมทุนระหว่าง นายณ์ เอสเตท, ชีวาทัย, LPN และ ช.การช่าง ปัจจุบันโครงการยังอยู่ระหว่างออกแบบ
MGallery Residences MontAzure คาดก่อสร้างเสร็จ ไตรมาส 4/2567

ระบบ Rental Program ดึงเศรษฐีนักลงทุน

สำหรับโครงการคอนโดฯ ทั้ง 2 แห่งในอาณาจักร คือ Twinpalms Residence MontAzure และ MGallery Residences MontAzure ต่างมีระบบ Rental Program ให้เลือกซื้อเพื่อการลงทุนควบคู่ด้วย

ระบบนี้จะวางสัญญากับเจ้าของห้องชุดเพื่อนำห้องชุดมาบริหารการเช่าภายใต้เชนโรงแรมระยะยาว 15 ปี โดยเจ้าของห้องชุดจะได้รับรายได้คืนตามผลการดำเนินงานของโรงแรม และมีสิทธิเข้าพักในห้องชุดของตนเองได้ฟรี 45 วันต่อปี

มอนท์เอซัวร์
“เศรษฐพล บุตรโท” กรรมการบริหาร มอนท์เอซัวร์

เศรษฐพลกล่าวว่า ยอดขายคอนโดฯ Twinpalms Residence MontAzure มีผู้ซื้อชาวไทย 35% และต่างชาติ 65% ส่วน MGallery Residences MontAzure มีผู้ซื้อชาวไทย 30% ต่างชาติ 70% ชาวต่างชาติที่นิยมซื้อโครงการในมอนท์เอซัวร์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรัสเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์

ฝั่ง Twinpalms Residence MontAzure ซึ่งสร้างเสร็จและให้บริการแล้ว มีผู้ซื้อ 65% ที่เลือกเข้า Rental Program โดยที่ผ่านมาโรงแรมสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนให้ผู้ซื้อได้ 5-6% ต่อปี (*ยังไม่หักต้นทุนค่าส่วนกลาง และคำนวณเฉพาะช่วงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดประเทศในช่วงโควิด-19)

 

“ซูเปอร์วิลล่า” เจาะตลาดรัสเซีย

ขณะที่โครงการล่าสุดที่มอนท์เอซัวร์ประกาศการลงทุน คือ Botanica MontAzure นั้นจะเป็นพูลวิลล่าเพื่อขาย สำหรับพักผ่อนและอยู่อาศัยส่วนตัว

“อรรถสิทธิ์ อินทรชูติ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักเซอรี่ ภูเก็ต จำกัด พาร์ทเนอร์ผู้ร่วมทุนพัฒนาโครงการนี้ เกริ่นถึงประวัติบริษัทเป็นผู้พัฒนาบ้านพักประเภทวิลล่าตากอากาศบนเกาะภูเก็ตมานาน 20 ปี มีการพัฒนาสะสมกว่า 500 หลัง และมีรายได้สะสม 10,000 ล้านบาท

มอนท์เอซัวร์
วิลล่าหรู Botanica MontAzure

กลุ่มเป้าหมายหลัก 95% ของโบทานิก้าคือชาวต่างชาติ ทำให้มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบดีไซน์ให้ตรงใจ โดยโบทานิก้ามีลูกค้าครึ่งหนึ่งเป็นชาวรัสเซีย อีกครึ่งหนึ่งเป็นชาวยุโรปและจีน

สำหรับโครงการ Botanica MontAzure จะใช้ที่ดินบริเวณห่างจากหน้าหาดกมลา 400 เมตร และไต่ขึ้นบนเชิงเขา แบ่งแปลงก่อสร้างออกเป็น 36 หลัง พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 500-1,000 ตร.ม. ราคาขาย 49-170 ล้านบาท บางหลังในโครงการจะเป็นวิลล่าขนาดใหญ่พิเศษแบบ ‘ซูเปอร์วิลล่า’ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดรัสเซีย

ทั้งนี้ หากลูกค้าเป็นชาวต่างชาติตามกฎหมายไทยจะไม่สามารถครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้น โครงการจะเปิดให้เช่าระยะยาว 30 ปีแทน (*สามารถต่อสัญญาเช่าได้อีก 2 ครั้ง รวมเป็น 90 ปี)

เศรษฐพลกล่าวปิดท้ายถึงโครงการมอนท์เอซัวร์ว่า โครงการกำลังเดินตามวิสัยทัศน์ที่จะเนรมิตที่ดินให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก (World Class Destination) และมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตเพราะ จ.ภูเก็ต กำลังฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ว่าแม้ผ่านช่วงโควิด-19 แต่ภูเก็ตก็ยังคงเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

]]>
1444572
“วัน ออริจิ้น – โนมูระ” เปิดมิกซ์ยูสโรงแรม-รีเทลสุขุมวิท 24 เจาะกลุ่มลูกค้า expat “ญี่ปุ่น” https://positioningmag.com/1442779 Tue, 29 Aug 2023 11:15:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442779 พาร์ทเนอร์ร่วมทุน “วัน ออริจิ้น” และ “โนมูระ” เปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสสร้างเสร็จใหม่ “วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 24” ประกบโรงแรมเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์แบรนด์ “สเตย์บริดจ์” จาก IHG เข้ากับคอมมูนิตี้มอลล์ “เนเบอร์” ดึงซูเปอร์ฯ “UFM Fuji” เป็นแม่เหล็กเอาใจลูกค้าเป้าหมาย expat “ญี่ปุ่น”

ความร่วมมือระหว่าง “ออริจิ้น” กับทุนญี่ปุ่น “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” นั้นมีการจอยต์เวนเจอร์กันมาต่อเนื่อง 23 โครงการในไทย โดยล่าสุดเป็นโครงการ “วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 24” มิกซ์ยูสย่านพร้อมพงษ์ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมทำรายได้ให้กับบริษัท

มิกซ์ยูสแห่งนี้มีเนื้อที่ 3 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 แบ่งเป็นส่วนโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ “สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท” จำนวนห้องพัก 411 ห้อง กับส่วนคอมมูนิตี้มอลล์สูง 8 ชั้น “เนเบอร์ 24” (Neighbor 24) พื้นที่เช่า 4,380 ตารางเมตร

วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 24
โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท

“ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO แกนหลักจากออริจิ้นในการลงทุนโครงการนี้ ระบุว่าโครงการวางเป้าหมายเจาะกลุ่มชาว “ญี่ปุ่น” ที่มาทำงานในไทย (expat) โดยเฉพาะ ด้วยทำเลโครงการอยู่ในทำเลพร้อมพงษ์ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของชาวญี่ปุ่น

ตัวโรงแรมจะเน้นลูกค้าอาศัยระยะยาว (long stay) ลักษณะเป็นเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 60% และเป็นโรงแรมทั่วไป (short stay) 40% โดยมีการออกแบบทั้งในห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางให้ตรงใจชาวญี่ปุ่น

บรรยากาศใน UFM Fuji สาขาเนเบอร์ 24

ส่วนคอมมูนิตี้มอลล์ เนเบอร์ 24 มีแม่เหล็กสำคัญคือ ซูเปอร์มาร์เก็ต “UFM Fuji” มาเปิดสาขาที่ 5 ที่นี่ รวมถึงมีร้านกาแฟ ร้านอาหาร จากญี่ปุ่นเข้ามาทั้งหมด เช่น ร้านกาแฟ Café Kaldi, ร้านทงคัตสึ โคเซกิ มาเปิดสาขาที่ 2 ต่อจากสาขาไอคอนสยาม, ร้านโดรายะ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจากฮ่องกง เข้ามาในไทยเป็นสาขาแรก

 

ออกแบบโดยคน “ญี่ปุ่น”

ด้าน “นาโอมิ เอนโดะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนมุระ เรียล เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า ทางบริษัทมีความรู้ความเข้าใจถึงความต้องการของคนญี่ปุ่น และจากการวิเคราะห์ตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในย่านพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ทำให้เห็นว่าแม้จะมีคู่แข่งมาก แต่สเตย์บริดจ์ยังสร้างความแตกต่างได้

โดยกุญแจหลักที่จะสร้างความนิยมในหมู่คนญี่ปุ่น คือ “เลย์เอาต์และการออกแบบห้อง” จะต้องเน้นพื้นที่ห้องนั่งเล่นมากกว่าห้องนอน เน้นที่เก็บของมาก มีอ่างอาบน้ำ มีฝาสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (washlet) มีโต๊ะทำงาน และมีระเบียง

อนเซ็นในโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท เพดานสูงและพื้นที่กว้าง ออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่น

รวมถึง “ส่วนกลาง” ของตึกที่จะช่วยส่งเสริมความนิยมในสเตย์บริจ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท คือการมี “อนเซ็น” กว้างและเพดานสูงแบบญี่ปุ่น มีห้อง “Golf Simulator” เพราะคนญี่ปุ่นชื่นชอบกีฬากอล์ฟอย่างมาก รวมถึงการเป็นมิกซ์ยูสที่มีซูเปอร์มาร์เก็ต UFM Fuji อยู่ใกล้ๆ จะเข้ากับไลฟ์สไตล์แม่บ้านญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้โครงการนี้มีอัตราการเข้าพักที่ดี ได้ลูกค้าตามเป้าหมาย

 

มั่นใจดันราคาได้สูงกว่าตลาด

ปิติกล่าวต่อว่า สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท เริ่มเปิดซอฟต์ โอเพนนิ่งบางส่วนมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่าได้ผลตอบรับที่ดี ปัจจุบันมีอัตราการเช่าและเข้าพักเกิน 50%

ห้องพักแบบ 2 ห้องนอน

เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะบริษัทเคยเปิดโครงการแรกมาก่อนในทำเลใกล้เคียง คือ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ซึ่งเปิดเมื่อปี 2563 และใช้กลยุทธ์เดียวกันคือการเจาะกลุ่มชาวญี่ปุ่นพักในเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์จนโครงการดังกล่าวมีอัตราเข้าพักแตะ 80% การมีโครงการแรกมาก่อนทำให้มีฐานลูกค้าที่จองล่วงหน้าเพื่อเข้ามาเช่าในโครงการสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท

ส่วนที่พักในโซนโรงแรมแบบพักระยะสั้นนั้น หวังลูกค้าหลักเป็นชาวญี่ปุ่นอีกเช่นกัน โดยเน้นเป็นกลุ่มเดินทางเชิงธุรกิจ (business trip) กลุ่มนี้จะต้องการที่พักแบบญี่ปุ่นเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

(จากซ้าย) “จุนจิ คิคุจิ” ประธานกรรมการบริษัท ฟูจิ ซิติโอะ จำกัด, “ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน), “นาโอมิ เอนโดะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนมุระ เรียล เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด และ “ราจิต สุขุมารัน” กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG

ปัจจุบันสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท คิดราคาห้องพักแบบระยะสั้นที่ 4,000-4,500 บาทต่อคืน ส่วนค่าเช่าเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ คิดค่าเช่า 80,000-120,000 บาทต่อเดือน ปิติระบุว่าราคาทั้งพักระยะสั้นและระยะยาวถือว่าสูงกว่าตลาดเล็กน้อย แต่บริษัทมีความมั่นใจว่าการออกแบบทุกส่วนในโครงการจะถูกใจชาวญี่ปุ่นได้มากกว่า

“อัตราการเช่าเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในย่านพร้อมพงษ์ทองหล่อนั้นค่อนข้างแตกต่างกันมากในแต่ละตึก ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 50-70% อัตราการเช่าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชอบ ความใช่ เราต้องทำให้โครงการของเราชนะในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้ผู้เช่าบอกต่อได้” ปิติกล่าว

]]>
1442779
อีก 3 ปี IHG จะมีจำนวนโรงแรมในไทยเพิ่มเป็นเท่าตัว ‘เงินเฟ้อ’ เป็นโจทย์หลักในการฟื้นธุรกิจ https://positioningmag.com/1393198 Tue, 19 Jul 2022 10:26:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393198
  • อัปเดตธุรกิจ IHG ปี 2565 สถานการณ์โดยรวมทั่วโลกดีขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาสแรก ส่วนในไทยเห็นสัญญาณบวกหลังปลดล็อกไม่ต้องกรอก Thailand Pass เข้าประเทศ
  • นักท่องเที่ยวหลักขณะนี้คือ กลุ่มอินเดีย สิงคโปร์ ยุโรปตะวันตก และอเมริกัน ส่วนครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะมีดีมานด์เพิ่มจากกลุ่มเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น
  • IHG ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในไทย ปัจจุบันมี 30 แห่งที่บริหาร และจะเพิ่มอีก 35 แห่งภายใน 2-3 ปี ล่าสุดมีการเปิดแบรนด์ใหม่แห่งแรกที่ประเทศไทยคือ “สินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น”
  • “เงินเฟ้อ” จะเป็นปัจจัยสำคัญของปีนี้ ทำให้ต้องบริหารต้นทุนอย่างละเอียด ส่วนผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว เชื่อว่าจะยังมีการเดินทาง แต่ด้วยค่าตั๋วเครื่องบินสูง ลูกค้าจะเน้นลองสเตย์ พักขั้นต่ำ 3-4 คืน
  • “ราจิต สุขุมารัน” กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG อัปเดตธุรกิจของบริษัท ภาพรวมในระดับโลกช่วงไตรมาส 1/2565 รายได้เฉลี่ยต่อห้องที่มี (RevPAR) เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และคิดเป็นสัดส่วน 82% ของปี 2562 (ก่อนเกิดโควิด-19) นับได้ว่าธุรกิจโรงแรมทั่วโลกมีสัญญาณที่ดีมาตั้งแต่ต้นปี

    ส่วนประเทศไทยนั้นไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขของ IHG ที่ชัดเจน แต่กล่าวได้ว่าเทรนด์ของประเทศไทยจะฟื้นตามเทรนด์โลก (ไทยเปิดประเทศช้ากว่าฝั่งตะวันตก ทำให้ฟื้นช้ากว่า) โดยตัวเลขรวมทั้งอุตสาหกรรมโรงแรมของไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ที่ 46% แล้ว และเชื่อว่าหลังการปลดล็อกชาวต่างชาติไม่ต้องกรอก Thailand Pass เพื่อเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา จะทำให้การเดินทางเข้าช่วงครึ่งปีหลังยิ่งมีมากขึ้น

    “ราจิต สุขุมารัน” กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG

    จากการประเมินของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า ครึ่งปีแรกมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้ว 2 ล้านคน และคาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยสะสม 9 ล้านคน พร้อมคาดการณ์ปี 2566 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนคิดเป็นสัดส่วน 80% ของที่เคยมีในปี 2562

    นอกจากนี้ ในแง่ของการเป็นตัวเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว จากฐานข้อมูลของ IHG พบว่า จุดหมายปลายทาง 4 แห่งที่ลูกค้ามีการค้นหา (search) ในเว็บไซต์ IHG มากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และเกาะสมุย โดยทั้งหมดนี้ติด Top 10 จุดหมายปลายทางที่มีการค้นหาสูงสุดในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี เห็นได้ว่าประเทศไทยยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมา

    ส่วนสัญชาตินักท่องเที่ยวที่ค้นหาการเดินทางมาไทยมากที่สุด คือ อินเดีย สิงคโปร์ ยุโรปตะวันตก และอเมริกัน แต่ที่กำลังมาแรงในช่วงครึ่งปีหลัง คือ เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ขณะที่กลุ่มชาวจีนที่เคยเป็นฐานลูกค้าหลักของการท่องเที่ยวไทย ยังต้องรอฝั่งจีนเปิดประเทศอีกครั้ง

     

    ไทยเป็นแหล่งลงทุนสำคัญ IHG เปิดโรงแรมเพิ่มเท่าตัวใน 3 ปี

    ราจิตยังย้ำถึงการลงทุนของ IHG ในไทยด้วยว่า บริษัทเล็งเห็นความสำคัญของประเทศไทยตลอดมา ปัจจุบันบริษัทมีการบริหารโรงแรมในไทยอยู่ 30 แห่ง และมีแผนที่จะเปิดโรงแรมเพิ่ม 35 แห่งภายใน 2-3 ปีข้างหน้า นั่นคือพอร์ตของ IHG ในไทยจะขยายเป็นเท่าตัว

    สินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น

    ล่าสุดบริษัทเพิ่งมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ครั้งแรกในไทยและในเอเชีย และถือเป็นแห่งที่ 2 ในโลกที่ใช้แบรนด์นี้ นั่นคือ “วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น” เป็นแบรนด์โรงแรมระดับลักชัวรีใหม่ในพอร์ต เน้นด้านไลฟ์สไตล์และการออกแบบเฉพาะที่สะท้อนศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น

    โรงแรมที่ได้ใช้แบรนด์นี้คือ “สินธร มิดทาวน์ โฮเทล กรุงเทพฯ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น” ตั้งอยู่ในซอยหลังสวน แต่เดิมโรงแรมใช้การบริหารโดยโลคอลอยู่ราว 2 ปี ก่อนที่จับเซ็นดีลกับ IHG เพื่อเข้ามาปรับการตกแต่งให้เข้ากับคอนเซ็ปต์และเข้าบริหารด้วยมาตรฐานสากล เปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใต้วีนแยทท์ คอลเล็คชั่นไปเมื่อ 1 กรกฎาคม 2565

    IHG
    ห้องพักของสินธร มิดทาวน์ฯ มีแพ็กเกจพิเศษร่วมกับ Harborland ดึงดูดกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็ก

    วีนแยทท์ คอลเล็คชั่นในไทยยังมีแผนงานก่อสร้างอยู่อีก 2 แห่ง คือ โครงการอควอทิค พัทยา เตรียมเปิดปี 2567 และ แบงค็อก ไชน่าทาวน์ เตรียมเปิดปี 2570

    ส่วนโรงแรมแบรนด์อื่นๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ของ IHG ประเทศไทย ได้แก่ อินเตอร์คอนทิเนนทัล เขาใหญ่ รีสอร์ท (แบรนด์สากลแห่งแรกในเขาใหญ่ เปิดตัว 22 สิงหาคมนี้), สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท และ ฮอลิเดย์ อินน์ สมุย บ่อผุด บีช

    ขณะที่การเซ็นสัญญารับจ้างบริหารก็ยังมีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เช่น คิมป์ตัน หัวหิน รีสอร์ท, คิมป์ตัน เขาใหญ่ (ในโครงการมาย โอโซน ของบมจ.ณุศาศิริ)

     

    “เงินเฟ้อ” คือความท้าทายในการจัดการต้นทุน

    ด้านความเสี่ยงในระยะใกล้ของธุรกิจโรงแรม ราจิตกล่าวว่า เงินเฟ้อถือเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้บริษัทต้องมีการบริหารต้นทุน โดยอาศัยการใช้ Economy of Scale ในการต่อรองสินค้าที่จัดซื้อ ซึ่งการที่ IHG ลงทุนโรงแรมไว้ 30 แห่งและจะมีเพิ่มอีกในอนาคต ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่บริษัทยังคงวางประเทศไทยเป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญ

    IHG
    คิมป์ตัน คีตะเล สมุย

    ส่วนฝั่งนักท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในเรื่องราคาตั๋วเครื่องบิน ทำให้วิถีการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป การมาเที่ยวระยะสั้นเพียง 1-2 คืนจะน้อยลง แต่การพักแบบลองสเตย์อย่างน้อย 3-4 คืนจะมากขึ้น เพื่อให้คุ้มค่าใช้จ่ายการเดินทาง

    ในด้านแรงงานขาดแคลนของภาคบริการที่เกิดขึ้นทั่วโลก ราจิตกล่าวว่า IHG ก็เผชิญปัญหานี้เช่นกัน แต่ในไทยจะมีความรุนแรงน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้ก็ทำให้บริษัทเปิดกว้างมากขึ้นในการรับพนักงานจากธุรกิจอื่นเข้ามาฝึกฝนใหม่ เพราะหากไม่มีแรงงานเลยก็จะทำให้แบรนด์และการบริการตามมาตรฐานไม่เกิดขึ้น

    เมื่อถามถึงนักท่องเที่ยวในประเทศ ราจิตกล่าวว่าการผ่านวิกฤตโควิด-19 มาทำให้บริษัทรู้ว่านักท่องเที่ยวในประเทศสำคัญอย่างมาก “เรามีการปรับตัวเองให้ตอบรับคนไทยมาแล้วและเราจะไม่ทิ้งไป จากนี้เมื่อเราจะลงทุนที่ใดเราจะมองนักท่องเที่ยวในประเทศด้วย ช่วงหลังนี้เราเห็นว่าคนไทยชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบ ‘multi-generation’ คือมากันทั้งครอบครัวตั้งแต่รุ่นปู่ย่าจนถึงรุ่นหลาน และชอบสถานที่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น พัทยา หัวหิน เขาใหญ่ ทำให้เราสนใจการลงทุนในพื้นที่เหล่านี้”

    ]]>
    1393198
    เช็กชื่อผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด “โรงแรม 3 ดาว” เมืองไทย https://positioningmag.com/1388761 Tue, 14 Jun 2022 14:12:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388761 หลังจาก “เซ็นทรัลพัฒนา” ประกาศแผนลงมาจับตลาด “โรงแรม 3 ดาว” กลายเป็นอีกหนึ่งรายใหญ่ที่เข้าสู่ตลาด โดยแต่ละรายมีทิศทางการทำธุรกิจที่ทั้งเหมือนและแตกต่าง เราไปเช็กชื่อกันว่าโรงแรม 3 ดาวในไทยมีเชนใดบ้างในขณะนี้ และมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มไหนเป็นหลัก

    เครือ Accor – Ibis, Ibis Style

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,700 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 21 แห่ง
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: 2 แห่ง (ไอบิส สไตล์ ทวินทาวเวอร์ส และ ไอบิส เชียงใหม่ นิมมาน)
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมในสไตล์เรียบง่าย ทันสมัย สนุกสนาน พนักงานเป็นมิตร ในราคาประหยัด เจาะกลุ่มทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มเดินทางเพื่อธุรกิจ

    โรงแรม 3 ดาว
    ไอบิส สไตล์ กรุงเทพฯ-รัชดา

    เครือ IHG – Holiday Inn Express

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 1,300-2,000 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 6 แห่ง
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: อย่างน้อย 7 แห่ง
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมเรียบง่ายและดูดี ตอบสนองลูกค้าที่ต้องการที่พักเพื่อการพักผ่อน เติมพลัง และทำงานเล็กๆ น้อยๆ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบที่ลูกค้าต้องการ

    Holiday Inn Express สุขุมวิท 11

    เครือ BWH Hotel Group – Best Western

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,500 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 5 แห่ง
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: N/A
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมออกแบบทันสมัย ต้อนรับอย่างอบอุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เช่น Free Wi-Fi, เครื่องชงชากาแฟในห้อง, บริการเครื่องปรินท์ เน้นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนและธุรกิจ (ทั้งนี้แบรนด์จะมีระดับ Plus และ Premier ที่ยกระดับขึ้นมาเป็น 4 ดาวด้วย)

    Best Western Royal บุรีรัมย์

    เครือดุสิตธานี – ASAI (อาศัย)

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 1,000-1,500 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 1 แห่ง (อาศัย เยาวราช)
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: 1 แห่ง (อาศัย สาทร)
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: Eat, Work, Play กินดื่ม ทำงาน พักผ่อน ประสบการณ์แบบลักชัวรีในราคาจับต้องได้ เชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นในทำเล

    อาศัย เยาวราช

    เครือเซ็นทารา – COSI (โคซี่)

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 500-1,000 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 3 แห่ง
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: N/A
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมสุดชิคที่มีหลายฟังก์ชันเปิด 24 ชั่วโมง เช่น คาเฟ่, โซเชียลฮับ, ห้องซักผ้าหยอดเหรียญ พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เหมาะกับวัยรุ่น

    โรงแรม 3 ดาว
    COSI พัทยา วงศ์อมาตย์ บีช

    เครือ CPN x เซ็นทารา – Go! Hotel

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 900-1,100 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: (อยู่ระหว่างก่อสร้าง)
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: 25 แห่ง (ภายใน 5 ปี)
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมระดับพรีเมียมแมสขนาด 79 ห้อง ทำเลติดศูนย์การค้า ทั้งในหัวเมืองหลักและเมืองรอง เหมาะกับทั้งนักท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ สามารถพักผ่อนค้างคืนได้ในโรงแรมที่มีมาตรฐาน

    โรงแรม 3 ดาว
    ภาพจำลอง Go! Hotel

    บีทู โฮเทล – B2 (บีทู)

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 400-900 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 55 แห่ง
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: 100 สาขา (ภายใน 5 ปี) โดยมี 20 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะเปิดภายในปีหน้า
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: โรงแรมบูทีคในราคาจับต้องได้ การออกแบบและตกแต่งมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเอกลักษณ์พื้นที่ โดยมีแผนผนึกกับร้านกาแฟ Wake Up Coffee 24 ชั่วโมงเข้าไปในบางสาขา หลังจากที่เครือเพิ่งเทกโอเวอร์ร้านกาแฟเข้ามาเมื่อปี 2563

    ดิ เอราวัณ กรุ๊ป – Hop Inn (ฮ็อป อินน์)

    ราคาเริ่มต้นต่อคืน: 600-900 บาท
    จำนวนโรงแรมในไทย: 47 แห่ง
    แผนการเปิดตัวในอนาคต: 53 แห่ง (ภายใน 5 ปี) โดยมี 7 แห่งที่อยู่ระหว่างก่อสร้างแล้ว
    คอนเซ็ปต์และเป้าหมายลูกค้า: ที่พักที่ให้ประสบการณ์คุณภาพสำหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจและท่องเที่ยว มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา

    โรงแรม 3 ดาว
    ฮ็อป อินน์ ชัยภูมิ

    จะเห็นว่าแบรนด์โรงแรม 3 ดาวส่วนใหญ่จะมองทั้งกลุ่มผู้เข้าพักเพื่อการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ แต่จะเน้นหนักไปทางใดขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของโรงแรมแต่ละแห่ง และทุกแบรนด์จะเสนอมาตรฐานโรงแรมที่เพียงพอให้ลูกค้ารู้สึกได้รับประสบการณ์ที่ดี ในราคาที่จับต้องได้ง่าย

    ส่วนแบรนด์ใหม่ๆ ของเชนโรงแรมไทยอย่าง COSI, Go! Hotel หรือ ASAI จะเห็นชัดมากขึ้นว่ามีการนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับนักเดินทางแบบ Workation วิถีการทำงานแบบใหม่ของคนยุคนี้ที่มักจะนำงานไปทำด้วยระหว่างท่องเที่ยว หรือตั้งใจเปลี่ยนไปทำงานแบบ Work from Anywhere ระยะหนึ่งในสถานที่ที่ผ่อนคลายได้มากกว่า

     

    โรงแรม 3 ดาว หอมหวานเพราะกระแสไทยเที่ยวไทย

    กระแสการลงทุนโรงแรมระดับ 3 ดาวของผู้เล่นรายใหญ่เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ยกตัวอย่าง เครือดุสิตธานี ที่เคยมีแผนจะเปิดโรงแรม ASAI ถึง 10 แห่งในช่วงเปิดตัวแบรนด์เมื่อ 4 ปีก่อน

    แม้ว่า COVID-19 อาจจะทำให้แผนลงทุนของบริษัทต่างๆ ชะลอลงไปบ้าง แต่โรงแรม 3 ดาวก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจของรายใหญ่ ตัวอย่างเช่น ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ที่เลื่อนแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ออกไปหลายแห่ง และมีการขายโรงแรมไอบิส สมุย บ่อผุด กับเรเนซองส์ เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา ออกจากพอร์ต ในทางกลับกัน บริษัทจะลงทุนกับโรงแรม Hop Inn อย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นเทรนด์แล้วว่าตลาดไทยเที่ยวไทยฟื้นได้เร็วกว่า โรงแรมบัดเจ็ทแบบนี้สามารถทำอัตราเข้าพักได้เฉลี่ยถึง 60% และบางสาขาขึ้นไปถึง 80-90%

    ฝั่งหน้าใหม่แต่อยู่ในเครือใหญ่อย่าง บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (HHR) ในเครือออริจิ้น แย้มแผนแล้วว่าบริษัทกำลังพัฒนาเชนของตนในชื่อ “แฮมป์ตัน” ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรม 3 ดาว วางราคาที่ประมาณ 1,200 บาทต่อคืน เหตุที่สนใจตลาดระดับนี้เพราะเป็นระดับเจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยที่ยั่งยืนกว่า และในหน้าเทศกาลยังมีโอกาสปั้นราคาขึ้นไปสูงได้ใกล้เคียงกับโรงแรม 4 ดาว ทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น

    เซ็นทรัลพัฒนาก็เช่นกัน การลงทุนกับโรงแรม Go! Hotel เพราะเล็งเห็นกระแสการท่องเที่ยวในประเทศ การฟื้นตัวของการเดินทางทั้งเพื่อพักผ่อนและธุรกิจ รวมถึง Workation ด้วย

    ]]>
    1388761
    AWC ควง IHG เปิดโรงแรมหรูแบรนด์ใหม่ “Vignette” ในโครงการมิกซ์ยูส “อควอทิค” พัทยา https://positioningmag.com/1348712 Thu, 26 Aug 2021 08:29:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348712 อสังหาฯ กลุ่มเจ้าสัวเจริญ “AWC” เซ็นสัญญาแบรนด์ใหม่ “Vignette” (วีนแยทท์) ของเครือโรงแรม IHG เปิดในโครงการมิกซ์ยูสหมื่นล้าน “อควอทิค” (Aquatique) ติดหน้าหาดพัทยา คาดเปิดบริการปี 2567

    บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมด้วย IHG Hotels & Resort แถลงข่าวร่วมกันเปิดโครงการโรงแรมแบรนด์ใหม่ “Vignette” (เดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น) ในโครงการมิกซ์ยูส “อควอทิค” (Aquatique) ติดหน้าหาดพัทยา

    โดย “วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เปิดเผยว่า โครงการอควอทิค จะเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่พลิกโฉมพื้นที่พัทยากลาง ใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท พัฒนาบนพื้นที่ทำเลเดิมที่เคยเป็นโรงแรมแกรนด์ โซเล่ พัทยา ใกล้กับโรงแรมฮาร์ดร็อค

    ภาพโดยสังเขปจาก Google Maps

    ภายในโครงการจะมีโรงแรมทั้งหมด 5 แบรนด์ โดย 2 ใน 5 แบรนด์นี้ร่วมกับเชนของ IHG ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ จะมีทั้งโซนความสนุกและความบันเทิง เน้นไลฟ์สไตล์ริมชายหาด โซนค้าปลีก เวลเนส ที่อยู่อาศัย และกีฬา

    สำหรับ โรงแรมเดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น จะเป็นส่วนแรกของโครงการที่เปิดบริการก่อน โดยเป็นโรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2565 แล้วเสร็จปี 2567 ใช้งบลงทุนเฉพาะส่วนนี้ 1,900 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบพัฒนา จะมีจำนวนห้องพักราว 240 ห้อง

     

    เปิดแบรนด์ใหม่รับโรงแรมเล็ก

    ด้าน “เซเรน่า ลิม” รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG อธิบายถึง Vignette Collection ว่าเป็นแบรนด์ใหม่ภายใต้เครือ IHG คอนเซ็ปต์คือ “ช่วงเวลารื่นรมย์บันดาลใจ” โดยเป็นโรงแรมที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละทำเล เหมาะกับโรงแรมขนาดเล็กที่ต้องการเก็บกลิ่นอายความเป็นตัวของตัวเองในพื้นที่ แต่จะมีทิศทางการบริหารแบบเดียวกันคือเน้นด้านความยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน

    Hotel X บริสเบน ออสเตรเลีย โรงแรมอีกแห่งหนึ่งที่จะเข้าใช้แบรนด์วีนแยทท์ (Photo : IHG)

    “เราพบว่าทั่วโลกมีโรงแรมขนาดเล็กถึง 1.5 ล้านห้อง ซึ่งสร้างมูลค่าการตลาด 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แบรนด์ใหม่อย่างวีนแยทท์จะช่วยคงเอกลักษณ์เฉพาะของโรงแรมเล็กไว้ได้ แต่เครือ IHG จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการตลาดและเครือข่ายฐานลูกค้าให้” เซเรน่ากล่าวถึงที่มาการเปิดแบรนด์ใหม่ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเผชิญความท้าทาย

    โรงแรมเดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น พัทยาถือเป็นหนึ่งใน 2 แห่งแรกของโลกที่ IHG ได้เซ็นสัญญาแล้ว อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริสเบน ออสเตรเลีย และมีอีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างเจรจา เซเรน่าตั้งเป้าว่าวีนแยทท์จะได้เซ็นสัญญาครบ 100 แห่งภายใน 10 ปีข้างหน้า

     

    ระยะยาวธุรกิจโรงแรมจะกลับมา

    IHG ยังคงมั่นใจในตลาดโรงแรม โดย “ราจิต สุขุมารัน” กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG ระบุว่าขณะนี้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญความท้าทาย เพราะส่วนใหญ่ยังปิดพรมแดนและการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับนโยบายวัคซีน แต่บริษัทมองตลาดที่เริ่มเปิดการท่องเที่ยวแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา จีน บางโรงแรมกลับมาทำรายได้ได้มากกว่าปี 2561-62 ดังนั้น ช่วงนี้โรงแรมในภูมิภาคนี้ต้องปรับตัวเพื่อฝ่าวิกฤตไปให้ได้ก่อน

    “ประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจะกลับมาได้อย่างแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นหลังเผชิญวิกฤต 9/11 โรคซาร์ส หรือวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์” ราจิตกล่าว โดยรายงานเพิ่มเติมว่าช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ IHG เซ็นสัญญาโรงแรมใหม่ไปกว่า 200 แห่งทั่วโลก สะท้อนว่าเจ้าของโรงแรมบางส่วนยังมั่นใจในศักยภาพระยะยาวของธุรกิจ

    รวมถึงวัลลภาแห่ง AWC ด้วย เธอมองสถานการณ์ในระยะยาวมากกว่า โดยเชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีคุณค่าการท่องเที่ยว การลงทุนใหม่ของ AWC ที่พัทยาจะมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นจังหวะที่การท่องเที่ยวน่าจะกลับมาแล้วอย่างเต็มที่ รวมถึงพัทยายังเป็นทำเลที่ดีเพราะเป็นชายหาดที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด

    ]]>
    1348712
    AWC จับมือ “อินเตอร์คอนฯ” เปิดโรงแรมหรูใน “เวิ้งนาครเขษม” ที่ดินทำเลทองกลางกรุงเก่า https://positioningmag.com/1338174 Tue, 22 Jun 2021 04:40:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338174 IHG ประกาศเซ็นสัญญาบริหารโรงแรมใหม่ในไทย 3 แห่งกับ AWC โดย 2 ใน 3 แห่งตั้งอยู่ในโครงการ “เวิ้งนาครเขษม” แบ่งเป็นโรงแรมแบรนด์หรู “อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์” กำหนดเปิดปี 2569 และโรงแรมแบบไลฟ์สไตล์-บูติกอีกแห่งหนึ่ง

    การพัฒนาโครงการย่าน “เวิ้งนาครเขษม” มีความคืบหน้าไปอีกขั้น โดยการประกาศจากทาง IHG Hotel& Resorts บรรลุดีลเซ็นสัญญาบริหารโรงแรม 3 แห่งให้กับ Asset World Corporation (AWC) รวมทั้งหมด 629 ห้อง ดังนี้

    • โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ไชน่าทาวน์ – ตั้งอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสย่านเวิ้งนาครเขษม ใกล้เยาวราช จำนวน 332 ห้อง ภายในมีบาร์ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พื้นที่อเนกประสงค์รองรับการจัดอีเวนต์ขนาด 1,400 ตร.ม. และห้องประชุม 8 ห้อง กำหนดเปิดปี 2569
    • โรงแรมไลฟ์สไตล์-บูติก (ยังไม่ระบุแบรนด์) – ตั้งอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสย่านเวิ้งนาครเขษม ใกล้เยาวราช จำนวน 63 ห้อง ดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์ดั้งเดิม สูง 4 ชั้น (ยังไม่กำหนดช่วงเวลาเปิด)
    • โรงแรมไลฟ์สไตล์-บูติก (ยังไม่ระบุแบรนด์) – ตั้งอยู่ในโครงการ “อควอทิค” (Aquatique) เมืองพัทยา ซึ่งเป็นโครงการคอมเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ความบันเทิง มีโรงแรม ห้างร้าน ร้านอาหาร และพื้นที่จัดประชุม ตัวโรงแรมนี้มีจำนวนห้องพัก 234 ห้อง กำหนดเปิดปี 2567

    สำหรับโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่เวิ้งนาครเขษมนั้น ตามแผนการพัฒนาของ AWC จะใช้เงินลงทุนประมาณ 16,600 ล้านบาท สร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ภายในมีโรงแรม 2 แห่งดังกล่าว โครงการที่พักอาศัย ห้างสรรพสินค้า ศูนย์อาหารที่เปิด 24 ชั่วโมง และมีไฮไลต์เป็น “เจดีย์ทองคำ” สูง 8 ชั้น เป็นแลนด์มาร์กสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยว

    ภาพเบื้องต้นการพัฒนาโครงการบริเวณเวิ้งนาครเขษม (Photo : IHG)

    “นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับร้านค้าปลีกใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เส้นทางมรดก มรดกทางประวัติศาสตร์ และถนนแห่งความบันเทิง ที่มีพื้นที่สำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาล รวมไปถึงการแสดงต่างๆ ทางวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งใหม่อย่างเจดีย์ทองคำ ที่กำลังอยู่ในแผนพัฒนา เช่นเดียวกันกับการก่อสร้างประตูทางเข้า เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวสู่เมืองที่สะท้อนคุณค่าแห่งประวัติศาสตร์” เป็นข้อมูลการพัฒนาที่ระบุในแถลงการณ์จาก IHG

    ที่ดินเวิ้งนาครเขษมขนาด 14 ไร่นี้ เครือทีซีซีของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดีเป็นผู้ชนะประมูลด้วยเม็ดเงินเกือบ 5,000 ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด) โดยซื้อจากราชสกุลบริพัตร เจ้าของเดิม เมื่อปี 2555 ก่อนส่งต่อให้ AWC ที่เป็นบริษัทในเครือเช่นกันเป็นผู้พัฒนา

    ก่อนหน้าการซื้อขายเปลี่ยนมือ เวิ้งนาครเขษมเคยเป็นย่านดังด้านการขายเครื่องดนตรี รวมถึงการค้าของเก่า หนังสือเก่า ปัจจุบันพื้นที่นี้ยิ่งกลายเป็นทำเลทองเมื่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินตัดผ่าน และมีสถานีรถไฟฟ้าสามยอดอยู่ห่างไปเพียง 300 เมตร

    “การลงนามสัญญาข้อตกลงกับพาร์ตเนอร์ระดับโลกในครั้งนี้ สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพและวิสัยทัศน์ในการสร้างความยั่งยืนเพื่อการเติบโตในอนาคตของเราด้วยเช่นกัน การร่วมมือในครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่น ว่าเราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการท่องเที่ยวไทย โดยโครงการเหล่านี้ของเรา นำเสนอการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ควบคู่ไปกับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ พร้อมทั้งสร้างคุณค่าให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยรอบอีกด้วย” วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) กล่าว

    อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

    ]]>
    1338174
    คอนโดฯ “อินเตอร์คอนฯ หัวหิน” ขายดีสวนกระแส เศรษฐีอัดอั้นไม่ได้เที่ยวต่างประเทศ https://positioningmag.com/1299224 Tue, 29 Sep 2020 10:17:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299224 ตลาดคอนโดฯ ระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ อาจจะซบเซา แต่ที่ “หัวหิน” ขายดีมาก! “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” ขายห้องชุดเริ่มต้น 7.8 ล้านบาท กวาดยอดขายไปแล้ว 65% คึกคักกว่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 เหตุเพราะเศรษฐีไทยบินไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้ ทำให้มีดีมานด์เพิ่มเพื่อลงทุนสถานตากอากาศหรูส่วนตัว

    “พราวพุธ ลิปตพัลลภ” กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอาคารชุดตากอากาศ อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน เปิดเผยสถานการณ์ของโครงการช่วงหลังคลายล็อกดาวน์ พบว่ายอดขายทำได้ดีขึ้นมาก ปัจจุบันขายไปแล้ว 65% ของมูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท

    โดยโครงการนี้เป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 238 ยูนิตบนที่ดินขนาด 7 ไร่ ด้านหนึ่งติดหน้าหาดหัวหิน และอีกด้านติดถนนเพชรเกษม บริเวณตรงข้าม Market Village ฟังก์ชันห้องชุดขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 45-300 ตร.ม. เป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรีของหัวหินด้วยราคาขายเริ่มต้น 250,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่ม 7.89 ล้านบาทต่อยูนิต คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จปี 2565

    ภาพจำลองบรรยากาศอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน สถาปัตยกรรมยังคงกลิ่นอายบ้านสไตล์โคโนเนียล เอกลักษณ์ของพื้นที่

    โครงการเปิดตัวมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 62 และเริ่มเปิดให้ชมห้องตัวอย่างเดือนกุมภาพันธ์ 63 แต่ก่อนจะได้โหมการตลาดกลับต้องเผชิญสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การขายชะลอตัวลงมากในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 63 เนื่องจากลูกค้าเดินทางมาชมห้องตัวอย่างที่หัวหินไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม พราวพุธกล่าวว่า เมื่อกลับมาเปิดทำการเซลส์แกลลอรี่ได้ เฉพาะช่วง 2 เดือน มิถุนายน-กรกฎาคม 63 กลับมีดีมานด์ทะลักเข้ามาจองถึง 2,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงกำลังซื้อคนระดับบนยังดีอยู่ และมีลักษณะ ‘ซื้อด้วยอารมณ์’ สูงมาก

     

    คนรวยไปไหนไม่ได้ ซื้อคอนโดฯ ไทยไว้พักผ่อน

    ด้าน “ไพสิฐ แก่นจันทร์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) อธิบายเพิ่มเติมว่า COVID-19 เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลบวกกับโครงการนี้อย่างมาก

    ข้อแรก คือ ปกติคนระดับบนจะเน้นท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก แต่สถานการณ์ขณะนี้ทำให้ไปต่างประเทศได้ลำบากอย่างน้อยก็จนถึงปี 2564 ดังนั้น จะหันมาเที่ยวในประเทศแทน

    ห้องตัวอย่าง อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มีห้องน้ำแบบ sexy bath

    ข้อสอง คือ เมื่อเที่ยวในประเทศ หากเป็นสถานการณ์ปกติ คนระดับบนบางกลุ่มอาจไม่นิยมมีคอนโดฯ ของตนเอง นิยมพักตามโรงแรมมากกว่า แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เห็นความจำเป็นมากขึ้น เพราะโรงแรมถูกสั่งปิด หรือกระทั่งเปิดบริการแล้วก็ยังต้องพักปะปนกับคนจำนวนมากซึ่งทำให้เกิดความกังวล

    จากเหตุผลสองข้อนี้ คนระดับบนที่มองหาบ้านพักตากอากาศจึงมีมากขึ้น และเข็มทิศมุ่งมาที่ “หัวหิน” เป็นหลักเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงที่คนไทยนิยมอยู่แล้ว มีหน้าหาดทรายสวย ใกล้โรงพยาบาล ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และขับรถจากกรุงเทพฯ ระยะ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น

     

    ใช้ Branded Residences ชื่อโรงแรมหรูอัพราคา

    เมื่อโฟกัสเฉพาะตลาดคอนโดฯ หัวหิน พราวพุธย้ำว่า อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน เป็นคอนโดฯ ระดับลักชัวรีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในตลาด เนื่องจากซัพพลายแห่งอื่นๆ ขายหมดไปตั้งแต่ปี 2562 และซัพพลายที่จะเปิดใหม่ทำได้ยาก เพราะต้องหาที่ดินติดหาดหัวหินและติดถนนเพชรเกษม

    นอกจากจะเป็นแห่งเดียวที่มีแล้ว การที่โครงการใช้ชื่ออินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซสซึ่งเป็น Branded Residences ในเครือ IHG เชนโรงแรมหรูระดับสากล ทำให้โครงการขายได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะลูกค้ามั่นใจได้ในคุณภาพ สถาปัตยกรรม และบริการโรงแรมที่จะพ่วงมากับคอนโดฯ

    คอนโดฯ ขายแบบ fully-fitted มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบ

    การมีชื่อ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส” คู่กับโครงการไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัจจุบันแบรนด์นี้มีโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้วอยู่เพียง 8 โครงการทั่วโลก ได้แก่ เมืองเบรุต บอสตัน ไคโร โดฮา ดูไบ ปราก วอร์ซอ และโฮจิมินห์ โดยไพสิฐกล่าวว่า ที่ไม่ง่ายเพราะ IHG จะเซ็นสัญญาให้ใช้แบรนด์ได้ก็ต่อเมื่อโครงการอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะสมกับแบรนด์ และบริษัทต้องทำตามมาตรฐาน IHG เช่น ห้องชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 45 ตร.ม. ตกแต่งในสไตล์ที่สื่อถึง IHG

    อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากในการทำตามข้อกำหนดและต้องออกแบบร่วมกัน นำมาซึ่งผลดีในภายหลัง เพราะเมื่อได้แบรนด์ อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส ปะหน้า โครงการจึงตั้งราคาขายได้ถึง 250,000-300,000 บาทต่อตร.ม. โดยไพสิฐประเมินว่า ถ้าไม่มีแบรนด์นี้ โครงการน่าจะขายได้ที่ราคา 150,000-180,000 บาทต่อตร.ม.เท่านั้น

    บรรยากาศติดชายทะเล โดยโครงการจะถมหาดเทียมไว้ให้ด้วย เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนบริเวณชายหาด

    แต่แน่นอนว่าบริษัทจะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับโรงแรมในการใช้ชื่อแบรนด์ รวมถึงจ้าง IHG บริหารโครงการแทนนิติบุคคลเมื่อโครงการสร้างเสร็จ ทำให้กำไรสุทธิจะยังอยู่ที่ 14-15% เหมือนกับไม่มีแบรนด์ แต่ข้อดีคือจะทำให้ลูกค้ามั่นใจและตัดสินใจซื้อง่ายกว่า

    ยกตัวอย่างความมั่นใจของลูกค้า พราวพุธระบุว่าขณะนี้มีลูกค้าต่างชาติจองมาแล้วคิดเป็นสัดส่วน 5% ของโครงการ ส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมัน รัสเซีย แม้ว่าต่างชาติจะบินเข้ามาชมห้องตัวอย่างและทำเลเองไม่ได้ ต้องชมห้องผ่านระบบออนไลน์ไปก่อน แต่ก็ตัดสินใจจองเพราะมั่นใจแบรนด์จาก IHG

    ด้วยกระแสที่ดีเหล่านี้ ทำให้พราวพุธคาดการณ์ว่าจะปิดการขายทั้งโครงการได้ภายในเทศกาลสงกรานต์ปี 2564

     

    “เกร็ดข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินหัวหิน”

    ที่ดินติดหาดหัวหิน (ไม่นับหน้าหาดฝั่งชะอำ เขาเต่า เขาตะเกียบ) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินพระราชทานให้แก่ข้าราชบริพารตั้งแต่ยุค พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อให้เหล่าผู้ใกล้ชิดมาปลูกบ้านตากอากาศอาศัยระหว่างรับใช้เจ้านาย เมื่อพระองค์เสด็จแปรพระราชฐานมายังพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ทำให้แปลงที่ดินจะมีลักษณะเดียวกันคือเป็นที่ดินแบ่งแปลงด้านหน้าจดหาด ด้านหลังจดถนน แปลงละ 7-8 ไร่ใกล้เคียงกัน

    บ้านศตสุข ซึ่งนำมาบริหารเป็น 111 Social Club

    ปัจจุบันยังมีบ้านไม้ใต้ถุนสูงทรงโคโลเนียลที่หลงเหลือมาจากยุครัชกาลที่ 6 อยู่หลายหลัง เช่น บ้านมะขามโทนของตระกูลภิรมย์ภักดี และโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มีการเช่าบ้านโบราณ “บ้านศตสุข” พร้อมที่ดินระยะเวลา 13 ปีในพื้นที่ติดกันไว้ด้วย (เดิมทีพระราชทานให้กับพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ก่อนซื้อขายเปลี่ยนมือมาเป็นของตระกูลอรุณวงศ์) บ้านหลังนี้จะใช้เป็น 111 Social Club บริการคาเฟ่ จิบชากาแฟ รองรับวันพักผ่อนของลูกบ้าน

    ]]>
    1299224
    เตรียมตัวต้อนรับนักท่องเที่ยว! เปิดมาตรการ 4 เชน “โรงแรม” ดังในไทย คุมสุขอนามัยเข้ม https://positioningmag.com/1280069 Fri, 22 May 2020 09:16:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1280069 หลังจากภาครัฐทยอยคลายล็อกดาวน์ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ธุรกิจโรงแรมหลายแห่งเริ่มออกมาตรการการรักษาสุขอนามัยภายในที่พัก สร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว หวังกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกคัก

    การระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ “โรงแรม” เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ โดยหลายจังหวัดของประเทศไทยมีคำสั่งห้ามโรงแรมรับนักท่องเที่ยวเพิ่มนอกจากแขกที่เข้าพักอยู่ก่อนแล้วยังไม่เช็กเอาต์ออก หรือเรียกว่าเป็นการ “ปิดโรงแรม” ช่วงเดือนเมษายน จนเข้าสู่เดือนพฤษภาคมจึงเริ่มสิ้นสุดคำสั่งการปิดโรงแรมหลายๆ พื้นที่ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี น่าน ฯลฯ

    แม้บางพื้นที่ยังมีคำสั่งปิดต่อเนื่อง เช่น ภูเก็ต และโรงแรมหลายแห่งที่เลือก “ปิดตัวเอง” ไปเนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยว ก็ยังไม่กลับมาเปิดทำการ แต่บรรยากาศการคลายล็อกดาวน์ส่งผลให้โรงแรมหลายแห่งกำลังวางแผนกลับมาให้บริการอีกครั้ง โดยต้องมาพร้อมกับมาตรการรักษาสุขอนามัยที่เข้มงวด และเปลี่ยนวิถีชีวิต-การบริการภายในโรงแรมไปให้สอดคล้องกับสถานการณ์

    สำหรับ 4 เชนโรงแรมดังเหล่านี้มีมาตรการออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งหมดเป็นเชนโรงแรมระดับโลก และมาตรการเหล่านี้เป็นการบังคับใช้ในโรงแรมทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย

    สัญญาณการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา

    Positioning สอบถามผ่านฝ่ายประชาสัมพันธ์เชนโรงแรมดังกล่าว “ดุสิตธานี” ระบุว่าเริ่มเห็นยอดการจองที่พักเข้ามาแล้วในเดือนมิถุนายน ขณะที่เชน “อวานี” ในเครือไมเนอร์พบว่ามีลูกค้าสนใจสอบถามเพิ่มมากขึ้น โดยโรงแรมในเครือกำลังเร่งออกโปรโมชันเพื่อกระตุ้นให้คนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยมาใช้บริการ

    สำหรับโปรโมชันโรงแรมที่เราสำรวจตลาด พบว่าโรงแรมหลายแห่งจะจัดโปรโมชันในลักษณะ “ซื้อสิทธิเข้าพักเก็บไว้ก่อน ใช้ทีหลัง” เปิดให้นำสิทธิที่ซื้อไว้มาจองให้พักทีหลังโดยเว้นระยะให้ยาวนาน เช่น เก็บได้ถึงสิ้นปี 2563 รวมถึงมี “การขายวอชเชอร์ลดราคา” ที่นำมาแลกใช้ได้ถึงสิ้นปี โปรโมชันเช่นนี้ช่วยให้มีกระแสเงินสดเข้าธุรกิจได้ทันที ขณะที่ลูกค้าสามารถเลือกมาใช้บริการเมื่อมองว่าสถานการณ์การระบาดมีความปลอดภัยมากขึ้น

    ที่สำคัญคือ โปรโมชันช่วงนี้จะลดราคาพิเศษเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ยกตัวอย่างเช่น โรงแรม โซ โซฟิเทล แบงคอก จัดโปรฯ ที่พัก 3,999 บาทสำหรับ 2 ท่านพร้อมอาหารเช้า โรงแรม เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลลา ขายวอชเชอร์ลดราคา 25% หรือโรงแรม พูลแมน พัทยา โฮเทล จี จำหน่ายวอชเชอร์ราคาเริ่มต้น 2,800 บาท/คืน/2 ท่าน ล็อกราคาไว้ใช้ได้จนถึงปลายปีนี้

    (จากด้านบนวนตามเข็มนาฬิกา) : โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลลา , โรงแรมพูลแมน พัทยา โฮเทล จี และโรงแรมโซ โซฟิเทล แบงคอก
    ]]>
    1280069