Nestle – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 17 Oct 2024 14:23:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ยักษ์ใหญ่พลาดเป้า! “Nestle” คาดปีนี้โตเพียง 2% กดราคาสู้คู่แข่งไม่ไหว-ดีมานด์ผู้บริโภคอ่อนแอ https://positioningmag.com/1494883 Thu, 17 Oct 2024 12:10:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494883 “Nestle” ปรับเป้าคาดการณ์การเติบโตของยอดขายปี 2024 ลงอีกครั้งเหลือเพียง 2% หลังผลประกอบการ 9 เดือนแรกไม่โตเท่าที่คิด คาดเป็นเพราะถูกคู่แข่งตีตลาดหลังบริษัทไม่สามารถกดราคาลงมาสู้ได้ ขณะที่ดีมานด์ผู้บริโภคอ่อนแอลง

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Nestle ประกาศเมื่อวันพฤหัสดีที่ผ่านมาว่าบริษัทกำลังปรับโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงและโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัท พร้อมทั้ง “ลดการคาดการณ์ยอดขายทั้งปี” หลังจากยอดขายในช่วงเก้าเดือนแรกของปีต่ำกว่าคาด

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา วงการอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปต่างประสบปัญหาเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งจากต้นทุนราคาน้ำมันดอกทานตะวัน ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ราคาธัญพืช และราคาพลังงานที่แพงขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และหลังจากการบุกโจมตีของรัสเซียในยูเครน

ในปีนี้เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง คู่แข่งหลายรายของ Nestle เลือกที่จะชะลอการปรับราคาเพราะหวังที่จะดึงดูดลูกค้าให้หันไปหาผลิตภัณฑ์ราคาถูกกว่าของตน แต่บริษัท Nestle กลับเลือกที่จะไม่ปรับลดราคาอย่างรวดเร็ว และนักวิเคราะห์ยังมองว่า Nestle ตัดงบประมาณด้านการตลาดและนวัตกรรมมากเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

KitKat ขนมเวเฟอร์ที่ถือเป็นสินค้าชูโรงของ Nestle

สภาวะยอดขายอ่อนแอต่อเนื่องหลายไตรมาสของ Nestle ยังทำให้เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 “มาร์ค ชไนเดอร์” ซีอีโอคนก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่ง

Nestle กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทคาดการณ์อัตราการเติบโตของยอดขายในปี 2024 จะอยู่ที่ประมาณ 2% และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (UTOP) จะอยู่ที่ประมาณ 17%

การคาดการณ์นี้ถือเป็นการปรับลดลงต่อเนื่อง เพราะเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 บริษัทก็เพิ่งจะปรับลดคาดการณ์การเติบโตของยอดขายลงเหลืออย่างน้อย 3% แต่ครั้งนั้นบริษัทคาดว่าจะเห็นอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (UTOP) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากที่เคยทำได้ 17.3% ในปี 2023

“นี่เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่และเจ็บปวดสำหรับ Nestle ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของบริษัท” เจฟฟ์-ฟิลิปป์ เบิร์ตชี่ นักวิเคราะห์จาก Vontobel กล่าว “มันยากที่จะเข้าใจว่าทำไมบริษัทถึงคาดการณ์การเติบโตของยอดขายที่ประมาณ 4% จนถึงเดือนกรกฎาคมจึงค่อยยอมปรับลงมา สำหรับยักษ์ใหญ่ระดับ Nestle ความผิดพลาดแค่ไม่กี่เดือนนั้นถือว่าใหญ่มาก”

Maggi หนึ่งในผู้เล่นหมวดเครื่องปรุงอาหารรายใหญ่ (Photo: Facebook@Nestle)

ซีอีโอคนใหม่ “ลอเรนต์ เฟร็กซ์” กล่าวว่า เขามีแผนที่จะลดขนาดของคณะกรรมการบริหารของ Nestle รวมถึงการรวมหน่วยธุรกิจของบริษัทในละตินอเมริกาและอเมริกาเหนือเข้าด้วยกัน การรวมธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่และเอเชีย รวมหน่วยธุรกิจในโอเชียเนียและแอฟริกา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่จะตามมา

ความท้าทายของเฟร็กซ์ไม่ใช่แค่จัดองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูนวัตกรรมและการตลาด และการเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในแบรนด์หลักๆ ของบริษัท เช่น กาแฟ Nescafe และขนมเวเฟอร์ KitKat

 

ผู้บริโภคอ่อนแอลง

ยอดขายของ Nestle ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2024 (ไม่รวมผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนและการเข้าซื้อกิจการ) เพิ่มขึ้นเพียง 2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 2.5%

“ความต้องการของผู้บริโภคอ่อนแอลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเราคาดว่าภาวะความต้องการจะยังคงอ่อนแอต่อไป” เฟร็กซ์กล่าว

การปรับราคาในช่วงเก้าเดือนของ Nestle เพิ่มขึ้น 1.6% ต่ำกว่าการประมาณการเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ 1.7%

หากเทียบกับคู่แข่งอย่าง Unilever นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทนี้จะรายงานการปรับราคาพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1% ในไตรมาสที่สาม และยอดขายน่าจะเติบโตที่ 3.2% โดยคาดว่าบริษัทจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า

“ต้นทุนของคู่แข่งของเรานั้นแตกต่างอย่างมาก” แอนนา แมนซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Nestle กล่าวกับนักข่าวในการพูดคุยทางโทรศัพท์ “สภาพแวดล้อมการตั้งราคาสำหรับคู่แข่งนั้นง่ายกว่ามาก”

แมนซ์ชี้ให้เห็นถึงราคากาแฟและโกโก้ที่ที่ทำสถิติขึ้นไปแตะระดับสูงสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา

Nestle กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายลดการสต็อกสินค้าลง เพราะผู้บริโภคปลายทางไม่ค่อยซื้อสินค้ามากเท่าเดิม โดยเฉพาะในประเทศที่เศรษฐกิจอ่อนแอเช่นในละตินอเมริกา

Source

]]>
1494883
บริษัทอาหารหลายแห่งปรับกลยุทธ์หลังยอดขายตก จากเทรนด์การใช้ปากกาลดน้ำหนัก ออกสินค้าใหม่เน้นโปรตีนสูงและแคลอรี่ต่ำ https://positioningmag.com/1480386 Sun, 30 Jun 2024 11:07:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1480386 ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอาหารหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Danone ผู้ผลิตอาหารจากฝรั่งเศส หรือแม้แต่ Nestle จากสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาหลายราย ได้เตรียมออกผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ โดยจะเน้นไปที่การเพิ่มสารอาหาร หลังจาก Ozempic หรือปากกาลดน้ำหนักได้รับความนิยม

การใช้ปากกาลดน้ำหนักถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยตัวเลขล่าสุดนั้นชาวอเมริกันได้ใช้ปากกาลดน้ำหนักมากถึง 30 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ

ปากกาลดน้ำหนัก หรือ Ozempic ใช้งานโดยฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง ซึ่งตัวยานั้นมีการสังเคราะห์ฮอร์โมนคล้ายกับฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกไม่หิว และทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวได้รับอนุมัติจากหน่วยงานด้านสุขภาพในหลายประเทศ

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทผู้ผลิตอาหารหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Kraft Heinz หรืออีกหลายแบรด์ได้ถูกนักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์กำไรที่จะลดลงเนื่องจากผู้บริโภคที่ใช้ปากกาลดน้ำหนักนั้นลดการบริโภคอาหารลง หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยว ซึ่งผลกระทบดังกล่าวทำให้รายได้ของบริษัทเหล่านี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายแบรนด์ผู้ผลิตอาหารทั่วโลกต้องปรับตัวในสภาวะเช่นนี้

Danone ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่จากฝรั่งเศส เตรียมที่จะออกโยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า – ภาพจาก Shutterstock

อย่างไรก็ดี Danone ผู้ผลิตอาหารจากฝรั่งเศสด้กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมา ยอดขายโยเกิร์ตของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะโยเกิร์ตแคลอรี่ต่ำ และโยเกิร์ตประเภทโปรตีนสูง

ขณะเดียวกันหน่วยงานกำกับดูแลด้านอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA ได้ออกมารับรองการบริโภคโยเกิร์ตเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วยลดความเสี่ยงที่ลดลงของโรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยิ่งส่งผลทำให้โยเกิร์ตนั้นขายดีเพิ่มมากขึ้น

Juergen Esser รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของ Danone ได้กล่าวถึงสถานการณ์ว่าบริษัทมีโยเกิร์ตประเภทโปรตีนสูงหลายแบบซึ่งกำลังจะหมดจากชั้นวาง โดยเขามองว่าสาเหตุสำคัญคือผู้บริโภคที่กำลังอยู่ในการใช้ปากกาลดน้ำหนักนั้นต้องการให้สุขภาพของตนดูดีมากขึ้น

ขณะที่ผู้ผลิตอาหารอีกรายอย่าง Nestle นั้น บริษัทได้เปิดตัวเว็บไซต์ด้านโภชนาการสำหรับผู้ที่กำลังใช้ปากกาลดน้ำหนัก โดยสามารถที่จะพูดคุยกับนักโภชนาการได้ นอกจากนี้ในเว็บไซต์ดังกล่าวยังมีการขายสินค้าของบริษัท เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีโปรตีนสูงและควบคุมน้ำตาลกลูโคสในร่างกาย อาหารเสริมวิตามิน รวมถึงไบโอติน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผมร่วง ฯลฯ

ไม่เพียงเท่านี้ผู้ผลิตรายดังกล่าวยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์อย่างพาสต้าและพิซซ่าที่อุดมด้วยโปรตีน รวมถึง Vital Pursuits ซึ่งประกอบด้วยอาหารแช่แข็งควบคุมสัดส่วนด้านโภชนาการจำนวน 12 รายการ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเน้นโปรตีนและเส้นใยอาหารที่สูง ไว้สำหรับเจาะลูกค้ากลุ่มนี้

Nestle เป็นอีกบริษัทที่ได้รับผลจากปากกาลดน้ำหนัก จนต้องแก้เกมธุรกิจ  – ภาพจาก Shutterstock

Mark Schneider ซึ่งเป็น CEO ของ Nestle เคยกล่าวว่ายอดขายสินค้าของบริษัทนั้นอาจลดลง เนื่องจากผลของปากกาลดน้ำหนัก ทำให้ความอยากอาหารของผู้บริโภคลดลง โดยสินค้าของบริษัทที่ได้รับผลกระทบคือ อาหารแช่แข็ง ขนมหวาน และไอศกรีม

หรือแม้แต่ Conagra Brands แบรนด์ผลิตอาหารสำเร็จรูปในสหรัฐอเมริกาเองมองว่าบริษัทจะมียอดขายสินค้าในส่วนอาหารเพื่อสุขภาพมากกว่าเดิม ขณะที่ผู้ผลิตอาหารอีกรายในสหรัฐฯ อย่าง General Mills ก็ต้องแก้เกมด้วยการออกผลิตภัณฑ์เพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มนี้

โดยผลการศึกษาที่ The Telegraph ได้อ้างอิงนั้นพบว่า ปากกาลดน้ำหนักนั้นทำให้ผู้บริโภคลดการบริโภคอาหารลดลง 30% เมื่อวัดจากจำนวนแคลอรี่

ผู้ผลิตอาหารที่ได้รับผลกระทบทั้งในแง่บวก รวมถึงในแง่ลบ หลายอุตสาหกรรมเองก็ได้รับผลกระทบในแง่ดี ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเสื้อผ้าแฟชั่น เมื่อปากกาดังกล่าวได้สร้างผลกระทบทำให้ผู้หญิงหลายคนมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายหรือการเช่าเสื้อผ้าในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีปากกาลดน้ำหนักอาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับบางคน และอาจมีผลข้างเคียงในการใช้ นอกจากนี้การใช้งานอาจต้องมีการปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โดยราคาของปากกาลดน้ำหนักมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นบาทขึ้นไป 

ที่มา – The Telegraph, Bloomberg, Reuters

]]>
1480386
ลายขวดยังขายได้เสมอ! ‘เนสท์เล่ เพียวไลฟ์’ ทุ่ม 200 ล. จับวง ‘BUS’ ลงขวด กระตุ้น Gen Z สะสมครบ 13 ลาย https://positioningmag.com/1466273 Fri, 15 Mar 2024 02:39:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466273 อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ตลาด น้ำดื่มบรรจุขวดใส ในไทย ก็ยิ่งคึกคัก เพราะยิ่งร้อน ผู้บริโภคก็ยิ่งกระหายน้ำ และนอกจากการพูดถึงความสะอาด คุณภาพมาตรฐานสากล รวมถึงรสชาติ จะทำอย่างไรถึงจะสร้างความแตกต่าง หรือจุดกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกหยิบหากยังไม่เคยสัมผัสกับแบรนด์หากไม่ใช่เรื่องของราคา

ลายขวดยังเป็นพื้นที่โฆษณาที่ดีเสมอ

หากไม่พูดถึงคุณภาพ มาตรฐาน รสชาติ และราคา ดังนั้น หนึ่งในสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างจากตู้แช่ที่มีแบรนด์มหาศาลก็คือ ลายขวด ที่ช่วยสร้างความโดดเด่นสะดุดตา ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงมีน้ำหลายแบรนด์ที่พยายามเสริมเรื่อง emotional ถ้าที่เห็นชัด ๆ ก็คือ สปริงเคิล ที่มีการนำคาแรกเตอร์ภาพยนตร์และการ์ตูนอย่าง Star wars และ One Piece ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคและนักสะสม

มาหน้าร้อนนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำดื่มขายดีที่สุดของปี เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ก็เล่นใหญ่ทุ่มงบ 200 ล้านบาท ทำการตลาดในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ซึ่งถือเป็นการใช้งบมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงเท่าตัว เพื่อ ปรับโฉมฉลากแบรนด์ในรอบ 5 ปี โดยดึง BUS วงบอยแบนด์ T-POP ของค่าย Sonray Music มาเป็นซัมเมอร์ พรีเซ็นเตอร์ ร่วมพรีเซ็นเตอร์เดิมอย่าง เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข เพื่อจับกลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะ

12+1 ลายบนขวดที่กระตุ้นการสะสมจากแฟนคลับ

นาริฐา วิบูลยเสข ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) อธิบายว่า ที่ต้องโฟกัส Gen Z (อายุ 12-26 ปี) เพราะมีสัดส่วนมากถึง 19% ของประชากรไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ประกอบกับแบรนด์ใช้ฉลากเดิมมานาน จึงมองว่าถึงเวลาที่จะปรับตัวตนแบรนด์ให้ทันสมัยมากขึ้น ดังนั้น แพ็กเกจจิ้งจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแบรนด์

และเพื่อให้ล้อไปกับแคมเปญช่วงหน้าร้อนอย่าง เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit ทำให้ตัดสินใจเลือกวง BUS เพราะเป็นวงน้องใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ Gen Z พร้อมกับออกฉลากเนสท์เล่ เพียวไลฟ์คอลเลคชั่นวง BUS ให้แฟนคลับได้สะสมทั้งหมด 13 ลาย โดยแบ่งเป็นลายเจมส์ จิรายุ 1 ลาย และศิลปินวง BUS 12 ลาย

“ส่วนตัวมีลูกสาวอายุ 15 ปี ซึ่งเขาก็จะชอบสะสมของจากศิลปิน นี่เป็นเหมือนอินไซต์ Gen Z ที่เราเห็น เราเลยออกขวดลายวง BUS ให้เขาได้ตามหาเพื่อสะสม ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ลองวางขายบนลาซาด้า ซึ่งถูกซื้อหมดอย่างรวดเร็ว และติดเทรนด์บน X (Twitter) ที่พูดถึงเนสท์เล่ เพียวไลฟ์คอลเลคชั่นวง BUS” นาริฐา เล่า

จะเจาะ Gen Z ต้องเปิดช่องให้มีส่วนร่วม

นอกจากการดึงวง BUS มาเป็นซัมเมอร์พรีเซ็นเตอร์ ยังมีการทำ Music Marketing ในเพลง ฟีลลิ่งแบบว่าอู้วว! หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จกับเพลง หน้าร้อนหน้ารัก ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ที่ฉลากยังมี คิวอาร์โค้ด ให้สแกนเพื่อ เล่นเกม สะสมคะแนนแลกของรางวัลได้ด้วย นอกจากนี้ยัง เนรมิตร้านเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 4,000 สาขาด้วยการตกแต่งตู้แช่เย็น ด้วยลวดลายศิลปิน BUS อีกด้วย

นาริฐา อธิบายว่า ที่ต้องทำมิวสิคมาร์เก็ตติ้งและเกม รวมถึงการตกแต่งตู้แช่เซเว่น อีเลฟเว่นเป็นลายวง BUS ก็เพื่อให้ Gen Z ได้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมขวดให้ครบ 13 แบบ, การเต้นลง TikTok, การเล่นเกมสะสมคะแนน และการมีลายที่เซเว่นก็จะกระตุ้นให้ Gen Z ถ่ายรูปลงโซเชียลฯ

Gen Z เขามีความต่างจาก Gen อื่น ๆ เขาชอบอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ เลือกสินค้าจากคุณภาพ และการตลาดต้องไม่ใช่แค่การสื่อสารทางเดียว แต่ต้องทำให้เขามีส่วนร่วมกับแบรนด์ เพื่อให้เกิดแบรนด์เลิฟ”

ทั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลจากบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ปีที่ผ่านมา เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ เป็นที่ 3 ของตลาดน้ำดื่ม มีส่วนแบ่งตลาด 11.4%

]]>
1466273
‘เนสท์เล่’ รับขึ้นราคาสินค้า 10% ช่วยดันรายได้ Q1 โต 5.6% https://positioningmag.com/1428596 Tue, 25 Apr 2023 11:31:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428596 เนื่องจากต้นทุนทั้งวัตถุดิบและพลังงานสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ เนสท์เล่ (Nestle) บริษัทอาหารบรรจุกล่องรายใหญ่ที่สุดของโลกต้องปรับราคาสินค้าในช่วงไตรมาส 1 เพื่อช่วยให้บริษัทยังรักษาการเติบโตของบริษัทไว้ได้

เนสท์เล่ ยอมรับว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับขึ้นราคาสินค้า 9.8% เนื่องจากต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นเพราะทั่วโลกกำลังเจอกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อ โดยผลจากการปรับราคาสินค้าทำให้ยอดขายช่วงไตรมาสแรกของปีสามารถเติบโตได้ 5.6% โดยมีรายได้ 2.648 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากปริมาณการขายซึ่งเป็นการเติบโตภายในที่แท้จริงจะ ลดลง 0.5% ย้อนไปในปี 2022 ที่ผ่านมา บริษัทปรับขึ้นราคาสินค้า 8.2% ขณะที่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 0.1%

เนสท์เล่ ระบุว่า บริษัทยังคงเห็นการเติบโตในประเภทต่าง ๆ ทั้งในกลุ่มของ กาแฟ อาทิ Nescafe, Nespresso และแบรนด์ Starbucks โดยมีการเติบโตเกือบแตะ 2 หลัก ในขณะที่ยอดขายกลุ่ม ขนมและช็อคโกแลต อาทิ KitKat, Smarties, Milky Bar และ Quality Street เติบโตขึ้น 2 หลัก นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงอย่าง Purina PetCare ก็มีการเติบโตที่ดีเช่นกัน

ปัญหาด้านต้นทุนกลายเป็นปัญหาที่ท้าทายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดย ยูนิลีเวอร์ เคยบอกว่าบริษัทเห็นแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตในทุกด้าน ตั้งแต่ต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเคมี พลังงาน การขนส่ง และโลจิสติกส์ โดยเขามองว่าหลายบริษัทยังขึ้นราคาสินค้าได้ไม่สุดเพดานที่แท้จริง

]]>
1428596
เงินเฟ้อทำต้นทุนพุ่ง ‘เนสท์เล่’ ขึ้นราคาสินค้าทั่วโลก 5% เเละมีเเนวโน้มจะปรับขึ้นอีก https://positioningmag.com/1382465 Fri, 22 Apr 2022 09:21:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382465 เนสท์เล่ (Nestlé) บริษัทอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก มีการปรับขึ้นราคาสินค้ามากกว่า 5% ในช่วง 3 เดือนเเรกของปีนี้หลังต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น จากปัญหาเงินเฟ้อส่งผลต่อภาระผู้บริโภค

ในรายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ระบุว่ากลุ่มผู้บริโภคในอเมริกาเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีราคาสินค้าของเนสท์เล่เพิ่มขึ้น 8.5% ตามมาด้วยผู้บริโภคโซนลาตินอเมริกาที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น 7.7%”

Mark Schneider ซีอีโอของเนสท์เล่ ส่งสัญญาณว่าบริษัทมีแนวโน้มจะปรับขึ้นราคาสินค้าอีก ตามอัตราเงินเฟ้อโลกที่พุ่งสูงขึ้น

โดยระบุในเเถลงการณ์ว่า การปรับขึ้นราคาสินค้าจะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค โดยอัตราเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีการปรับราคาเพิ่มเติม รวมออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบตลอดทั้งปีนี้

อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก โดยเงินเฟ้อสหรัฐฯ แตะ 8.5% ในเดือนมีนาคม สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ส่วนในยุโรปอยู่ที่ 7.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สหภาพยุโรปเริ่มรวบรวมข้อมูลเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว

ราคาของสินค้าที่ผลิตจากโรงงานในเยอรมนีเมื่อเข้าสู่ราคาขายปลีกได้ปรับเพิ่มขึ้น 30% ในเดือนมีนาคมเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 73 ปี

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลักๆ มาจากราคาพลังงานขณะเดียวกัน ราคาอาหารที่เเพงขึ้นก็กดดันเงินเฟ้อเช่นเดียวกัน

เนสท์เล่รายงานยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 5.4% ในไตรมาสนี้และคาดว่ายอดขายจะเติบโต 5% ตลอดทั้งปี โดยได้เเบรนด์ต่างๆ อย่าง Purina PetCare, Nescafé และ KitKat เป็นตัวหนุนการเติบโต

อย่างไรก็ตาม การเเบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น อาจทำให้ผลกำไรของบริษัทลดลง โดยคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ระหว่าง 17% ถึง 17.5% เทียบกับ 17.4% ในปี 2021

ราคาอาหารโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปีนี้ จากวิกฤตโรคระบาด สภาพอากาศที่ย่ำแย่ การรุกรานยูเครนของรัสเซียที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก โดยเฉพาะสินค้าหลักอย่างข้าวสาลี และ น้ำมันพืช

David Malpass ประธานธนาคารโลก เตือนว่าการพุ่งขึ้นของราคาอาหาร มีความเสี่ยงจะเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ของของมนุษยชาติ เเละราคาอาจเพิ่มขึ้นมากถึง 37% อันเป็นผลมาจากสงครามในยูเครน

 

ที่มา : CNN

]]>
1382465
ส่อง 21 บริษัทข้ามชาติใน ‘รัสเซีย’ ที่อาจ ‘ขาดทุน’ หนักจากวิกฤตสงคราม https://positioningmag.com/1375726 Mon, 28 Feb 2022 11:06:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1375726 รัสเซีย กำลังถูกคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ตลาดหุ้นและสกุลเงินของประเทศได้พังทลายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และแน่นอนว่า บริษัทระหว่างประเทศที่เข้าไปทำธุรกิจในรัสเซีย ต้องติดร่างแห่ไปด้วย ดังนั้น ไปดูกันว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีสถานะสำคัญในตลาดรัสเซีย

1. CoCa-Cola

CoCa-Cola จดทะเบียนในลอนดอนเพื่อจำหน่ายสินค้าใน รัสเซีย ยูเครน และส่วนใหญ่ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ซึ่ง รัสเซียเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด ของบริษัทและมีพนักงานราว 7,000 คนในรัสเซีย

2. BASF

ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สัญชาติเยอรมัน BASF (BASFY) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งมีบริษัท Wintershall Dea เป็นเจ้าของร่วมกับกลุ่มนักลงทุน LetterOne ของ Mikhail Fridman เศรษฐีชาวรัสเซีย และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทางการเงินของท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ที่ถูกระงับ

3. BP

บริษัทน้ำมันของอังกฤษ BP เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยถือหุ้น 19.75% ใน Rosneft บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศ นอกจากนี้ยังถือหุ้นในโครงการน้ำมันและก๊าซอื่น ๆ อีกหลายโครงการในรัสเซีย

4. Danone

Danone ผู้ผลิตโยเกิร์ตสัญชาติฝรั่งเศส และเป็นผู้ควบคุมแบรนด์ผลิตภัณฑ์นม Prostokvanhino ของรัสเซีย ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 6% จากประเทศรัสเซีย

5. Engie

บริษัทสาธารณูปโภคด้านก๊าซของฝรั่งเศส ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมลงทุนของท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ของ Gazprom

6. Metro

บริษัทค้าปลีกสัญชาติเยอรมัน ซึ่งมีพนักงานประมาณ 10,000 คนในรัสเซีย ปัจจุบันให้บริการลูกค้าประมาณ 2.5 ล้านคน

7. Nestle

เนสท์เล่ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคของสวิส ปัจจุบันมี โรงงาน 6 แห่งในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงโรงงานที่ทำขนมและเครื่องดื่ม ตามเว็บไซต์ของบริษัท ในปี 2020 ที่ผ่านมา เนสท์เล่มียอดขายจากรัสเซียประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์

8. Renault

เรโนลต์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสถือหุ้น 69% ในบริษัทร่วมทุน Avtovaz ของรัสเซีย ซึ่งอยู่เบื้องหลังแบรนด์รถยนต์ Lada และจำหน่ายรถยนต์ได้มากกว่า 90% ในประเทศ

9. Rolls-Royce

โรลส์-รอยซ์ ถือเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้กับเครื่องบิน แม้จะระบุว่าตลาดรัสเซียมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 2% จากรายได้รวมทั้งหมด แต่ 20% ของการนำเข้าไททาเนียมซึ่งใช้ทำชิ้นส่วนเครื่องยนต์และล้อลงจอดสำหรับเครื่องบินโดยสารระยะไกลมาจากประเทศรัสเซีย

10. Shell

บริษัทน้ำมันของเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของ 27.5% ของโครงการก๊าซธรรมชาติ Sakhali-2 ซึ่งมีกำลังการผลิต 10.9 ล้านตันต่อปีและดำเนินการโดย Gazprom นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมทุนของ Nord Stream 2

11. Safran

บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ไอพ่นของฝรั่งเศส ซึ่ง มีรัสเซียเป็นซัพพลายเออร์ไทเทเนียมรายเดียวที่ใหญ่ที่สุด ของบริษัท แม้ว่าบริษัทในฝรั่งเศสจะระบุว่า รัสเซียนั้นจัดหาซัพพลายให้น้อยกว่าครึ่งของความต้องการทั้งหมด

12. TotalEnergies

บริษัทน้ำมันของฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยถือหุ้น 19.4% ใน Novatek ของรัสเซีย ดอกเบี้ย 20% ในการร่วมทุน Yamal LNG, 21.6% ของ Arctic LNG 2 ถือหุ้น 20% ในแหล่งน้ำมัน Kharyaga และการถือครองต่าง ๆ ในภาคธุรกิจหมุนเวียน การกลั่น และเคมีภัณฑ์ของประเทศ

13. Uniper

โครงการสาธารณูปโภคของเยอรมันได้รับเงินลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์จาก Nord Stream 2 พร้อมด้วยโรงไฟฟ้า 5 แห่งในรัสเซียซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 11.2 กิกะวัตต์ ซึ่งให้พลังงานประมาณ 5% ของความต้องการพลังงานทั้งหมดของรัสเซีย นอกจากนี้ยัง นำเข้าก๊าซธรรมชาติของรัสเซียไปยังยุโรป

St. Petersburg, Russia – Shell Oil Truck

14. McDonald’s

แมคโดนัลด์ เครือร้านเบอร์เกอร์ได้จัดให้ประเทศรัสเซียเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงและยังคงเปิดสาขาที่นั่นตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา

15. Mondelez

มอนเดลีซ ผู้ผลิตขนม โอริโอ้ และเจ้าของ Cadbury กลายเป็นผู้ผลิตช็อกโกแลตชั้นนำในรัสเซียตั้งแต่ปี 2018

16. ExxonMobil

เอ็กซอนโมบิล ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันของอเมริกามีพนักงานมากกว่า 1,000 คนในรัสเซีย และอยู่ในประเทศนี้มากว่า 25 ปี บริษัทในเครือ Exxon Neftegas Limited (ENL) ถือหุ้น 30% ใน Sakhalin-1 ซึ่งเป็นโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่นอกเกาะ Sakhalin ใน Russian Far East ซึ่งดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2538

17. Toyota

โตโยต้า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกมีโรงงานในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย โดยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ Camry และ Rav4 นอกจากนี้ยังมีสำนักงานขายในกรุงมอสโก มีพนักงานประมาณ 2,600 คน รวมทั้งชาวญี่ปุ่น 26 คนในสำนักงานเหล่านั้น

18. Mitsubishi

มิตซูบิชิ บริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ผ่านตัวแทนจำหน่าย 141 แห่งในรัสเซีย และถือหุ้นในโครงการพัฒนาก๊าซและน้ำมัน Sakhalin 2 ซึ่งจัดหาก๊าซธรรมชาติให้ญี่ปุ่นและซื้อขายถ่านหิน อะลูมิเนียม นิกเกิล ถ่านหิน เมทานอล พลาสติก และวัสดุอื่น ๆ นอกจากนี้ยังจัดหาอุปกรณ์โรงไฟฟ้าและเครื่องจักรอื่น ๆ ให้กับรัสเซียอีกด้วย

19. Japan Tobacco

JTI ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบระหว่างประเทศชั้นนำของญี่ปุ่นเจ้าของบุหรี่ Winston มีพนักงานประมาณ 4,000 คนในโรงงานที่รัสเซีย โดยในปี 2020 บริษัทได้ชำระภาษีคิดเป็น 1.4% ของงบประมาณของรัฐสหพันธรัฐรัสเซีย โดยปริมาณกำไรประมาณ 1 ใน 5 ของบริษัทมาจากเครือจักรภพแห่งรัฐอิสระรวมถึงรัสเซียและเบลารุส

20. Marubeni

เทรดดิ้งเฮาส์สัญชาติญี่ปุ่นมีสำนักงาน 4 แห่งในรัสเซีย ซึ่งขายยางล้อสำหรับอุปกรณ์ขุดและบริหารจัดการศูนย์ตรวจสุขภาพ

21. SBI Holdings

SBI Bank ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว โดยให้บริการสินเชื่อแก่บริษัทญี่ปุ่นที่กำลังขยายการดำเนินงานในรัสเซีย

Source

]]>
1375726
เนสท์เล่ ลุย Plant-based ต่อเนื่อง เปิดตัว ‘ไข่’ และ ‘กุ้ง’ จากพืช เริ่มวางขายในตลาดยุโรปก่อน https://positioningmag.com/1355478 Thu, 07 Oct 2021 11:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355478 ยักษ์ใหญ่วงการอาหาร พัฒนาสูตรเเข่งตลาด Plant-based กันต่อเนื่อง ล่าสุดเนสท์เล่ ออกเมนูกุ้งเเละไข่ที่ทำจากพืช ประเดิมวางขายในโซนยุโรปก่อน

อาหารทดแทนเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากพืช หรือ ‘Plant-based’ ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เเละมีส่วนเเบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้จำกัดเเค่ผู้บริโภคสายวีเเกนหรือสายรักษ์โลกเหมือนสมัยก่อน เเต่ขยายถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไปด้วย

เนสท์เล่ (Nestlé) จะเริ่มวางขายผลิตภัณฑ์ไข่จากพืชภายใต้แบรนด์ Garden Gourmet vEGGie โดยมีส่วนประกอบสำคัญเป็นโปรตีนถั่วเหลือง และกรดไขมันโอเมก้า 3 ใช้ทำอาหารเมนูต่างๆ หรือใช้ผสมในเค้กเเละคุกกี้ได้เหมือนกับไข่ปกติ

ส่วนกุ้งจากพืชจะวางขายภายใต้แบรนด์ Vrimp หลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อทูน่าจากพืชไปเมื่อปีที่แล้ว เเละมีเสียงตอบรับที่ดี

โดยจะเริ่มจะวางจำหน่ายทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ในบางประเทศในยุโรป รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะขยายไปยังตลาดอื่นๆ ต่อไป

Mark Schneider ซีอีโอของเนสท์เล่ บอกว่า ผลิตภัณฑ์วีแกน อย่างเบอร์เกอร์และไส้กรอกจากพืช มียอดขายเติบโตเเบบ ‘double-digit’

“Plant-based ไม่ได้จำกัดเเค่เฉพาะกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป เเต่กำลังจะเป็นเทรนด์กระเเสหลักที่เข้าถึงในวงกว้าง ทุกเพศทุกวัย

เขาเชื่อว่าตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เเม้ในปีที่แล้ว ยอดขายของผลิตภัณฑ์จากพืชเเบรนด์ต่างๆ ของเนสท์เล่ จะมีมูลค่าเพียง 216 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.3 พันล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยจากยอดขายทั้งหมดในเครือกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3 ล้านล้านบาท)

วัตถุดิบอาหาร 5 แบบแรกที่วางตลาดของ Harvest Gourmet นำไปทำอาหารได้หลายอย่าง

ด้าน Stefan Palzer ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของเนสท์เล่ ระบุว่า บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-based เมนูใหม่ๆ ได้ภายในเวลาไม่ถึงปี อย่างเช่น การสร้างโปรตีนถั่วที่ไม่ได้มีรสชาติเหมือนพืชตระกูลถั่วเลย

เราจะพยายามพัฒนาให้อาหาร Plant-based เหล่านี้ มีรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะจะช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนมาทานวีเเกนกันได้ง่ายยิ่งขึ้น

สะท้อนให้เห็นทิศทางของเเบรนด์อุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลกที่จะบุกตลาด Plant-based อย่างจริงจัง หลังเปิดตัวเบอร์เกอร์จากพืชเป็นครั้งแรกในปี 2019 ซึ่งช้ากว่าผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมอย่าง Beyond Meat และ Impossible Foods ของสหรัฐฯ ไปประมาณ 3 ปี

อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกผ่านเเบรนด์ในเครือที่มีอยู่จำนวนมาก เป็นข้อได้เปรียบของเนสท์เล่ที่มีอยู่เหนือคู่แข่งรายสำคัญที่ทำตลาดนี้มาก่อน

เรามีแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอยู่มากมาย เเต่บริษัทเหล่านั้นไม่มี” Palzer กล่าว

ที่ผ่านมา เนสท์เล่ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์วีแกนร่วมกับสินค้าหมวดหมู่อื่นๆ อย่าง KitKat V ซึ่งเราคงจะได้เห็นการทำตลาดเเบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับผู้บริโภค

ส่วนในไทยนั้น เนสท์เล่ จับตลาด Plant-based ผ่านแบรนด์ Harvest Gourmet จำหน่ายวัตถุดิบอาหารแบบ B2B เข้าร้านโดยตรง มีพันธมิตรเชนร้านอาหารรายใหญ่หลักร้อยสาขา มี 5 ชนิดให้เลือก ได้แก่ เนื้อเบอร์เกอร์ เนื้อบดละเอียด ไก่ย่างรมควัน ไก่ชุบเกล็ดขนมปัง และ มีทบอล

โดยประเมินมูลค่าตลาดในไทยราว 900 ล้านบาท โอกาสโตปีละ 20% พบคนไทย 1 ใน 4 เป็นกลุ่ม Flexitarian ลดทานเนื้อสัตว์อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์

อ่านต่อ : Plant-based ฮิตจัด! “เนสท์เล่” เปิดแบรนด์ Harvest Gourmet ส่งวัตถุดิบเข้าร้านอาหาร

 

]]>
1355478
สายวีแกนเฮ! “เนสท์เล่” เปิดตัว KitKat V ใช้นมข้าว แทนนมวัว ลดการพึ่งพิงสัตว์ https://positioningmag.com/1320247 Fri, 19 Feb 2021 14:17:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320247 “Plant Based Food” หรือ ความต้องการอาหารจากพืชเป็นหลักมีมากขึ้น และเป็นเทรนด์โลกที่กำลังมาแรง ไม่กี่ปีมานี้ แบรนด์อาหารต่างๆ หันมาสนใจ และผลิตอาหารทดแทนจากพืชมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการลดการพึ่งพาสัตว์ เพื่อสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อสุขภาพของมนุษย์เราเอง

ล่าสุด เนสท์เล่ (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัว คิทแค็ท วี (KitKat V) ที่ใช้นมข้าว ทดแทนนมวัว และใช้โกโก้จากแหล่งปลูกที่ยั่งยืน พร้อมยืนยันถึงรสชาติความอร่อยว่า ยังคงผสมผสานความกรอบของเนื้อสัมผัส และความนุ่มนวลของช็อกโกแลตเช่นเดิม

โดยมีแผนจะวางจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลกในปีนี้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และร้านค้าบางแห่ง เริ่มจากสหราชอาณาจักร เพื่อเป็นการทดลองตลาดก่อน

นอกจาก “KitKat Vegan” ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืชที่หลากหลายมากขึ้น โดยมีพืชต่างๆ ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง มะพร้าว และถั่วแอลมอนด์ เป็นส่วนผสมในหลายผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนจากพืช เช่น ทูน่าจากพืช สเต๊กจากพืช นักเก็ตจากพืช ไส้กรอกจากพืช หมูสามชั้นจากพืช ไอศกรีมและกาแฟจากพืช และไอศกรีมที่ไม่ใช่นม ฯลฯ และเมื่อปีที่แล้ว เนสท์เล่เพียวริน่าได้เปิดตัวอาหารสัตว์เลี้ยงแบบผสมผสาน โดยเพิ่มแมลงและโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วฟาวา และลูกเดือย

Source

]]>
1320247
Nescafé Street Café สานฝันคนอยากทำร้าน “กาแฟสด” มีมืออาชีพดูแลแบบ One-Stop Solution https://positioningmag.com/1309672 Fri, 25 Dec 2020 10:00:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309672
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย “ร้านกาแฟ” ก็ยังคงขึ้นแท่นธุรกิจดาวรุ่ง และธุรกิจในฝันของคนรุ่นใหม่หลายๆ คน ที่อยากจะเป็นเจ้าของกิจการร้านกาแฟเล็กๆ สักแห่ง แต่หลายคนก็อาจจะประสบปัญหาว่าไม่มีประสบการณ์ และไม่มีความรู้ในการทำร้านกาแฟ

อีกทั้งเทรนด์ หรือ “วัฒนธรรมกาแฟ” ยังมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวันของคนไทย ทำให้การดื่มกาแฟนอกบ้านเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ประกอบกับวิถีคนเมืองที่ใช้เวลานอกบ้านมากขึ้นเช่นกัน ผู้บริโภคดื่มกาแฟอายุน้อยลง ทำให้ตลาดกาแฟมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้เราจะได้เห็นร้านกาแฟที่เป็นรถเข็นเล็กๆ ตามริมถนน หรือเชนร้านกาแฟใหญ่ๆ ที่มีหลายสาขา รวมไปถึงร้านกาแฟอินดี้ที่มีแค่สาขาเดียวตามตึกแถวมากมาย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเทรนด์การดื่มกาแฟ ทำให้หลายคนยังต้องการเป็นเจ้าของร้านกาแฟมากขึ้นด้วย แต่จากผลสำรวจก็พบว่า การทำร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเกิด ก็มีดับไปหลายรายเช่นกัน

แต่ตอนนี้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นจะหมดไป เพราะ Nestle Professional มืออาชีพด้านธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มมีสินค้าที่สนับสนุน และบริการที่ดูแลลูกค้ากลุ่มฟู้ดเซอร์วิสทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเครื่องดื่มสถาบันการศึกษา และสำนักงาน

ได้เปิดโมเดลธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ Nescafé Street Café เรียกว่าเป็นโอกาสทองของคนฝันอยากมีธุรกิจร้านกาแฟสดเลยทีเดียว อาศัยความเป็นแบรนด์กาแฟเบอร์หนึ่งของตลาดกาแฟในไทย ผสมกับความเป็นมืออาชีพในการทำธุรกิจ จึงเกิดเป็นธุรกิจใหม่ได้อย่างลงตัว

เรียกว่า Nescafé Street Café เป็น One-Stop Solution ครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการที่มีความสนใจต่อยอดธุรกิจเดิม หรือหาช่องทางธุรกิจใหม่ โดยมุ่งเน้นให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน และมีอัตราการเติบโตที่ดี

ถ้าใครได้ลงทุน ทาง Nescafé Street Café ได้เตรียมทุกอย่างให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นตัวบูธ กาแฟ เครื่องชงกาแฟ แถมยังสอนทำกาแฟด้วย ครบจบในที่เดียวแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว เหมาะกับผู้เริ่มต้นอยากทำธุรกิจกาแฟสดอย่างมาก หรือต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ให้ปังมากขึ้นด้วยกาแฟสด

ซึ่งร้าน Nescafé Street Café จะเป็นร้านกาแฟสดแบบป็อปอัพเล็กๆ แต่อัดแน่นด้วยคุณภาพของเมล็ดกาแฟในราคาย่อมเยาเริ่มต้นที่ 45-50 บาทเท่านั้น เป็นการจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ตอนนี้ Nescafe Street Café ร้านแรกในไทย ได้เปิดแล้วที่ร้านกะเพรากระด้งบ้านฉัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

สำหรับจุดเด่นของ Nescafé Street Café

  • ลงทุนเริ่มต้นเพียง 169,000 บาท จากราคาปกติ 300,000 บาท สำหรับอายุสัญญา 3 ปี ราคาพิเศษถึง 31 มกราคม 2564 เท่านั้น
  • ไม่มีการเก็บค่า GP รายเดือนจากยอดขาย
  • ค่าธรรมเนียมรายปีเพียง 39,000 บาท
  • จัดเตรียมสูตรเครื่องดื่มขายดี 16 เมนู ทั้งเครื่องดื่มร้อน และเย็น ทั้ง Coffee และ Non-Coffee รวมทั้งเมนูพิเศษทุก 3 เดือน
  • จัดเตรียมวัตถุดิบในการชงกาแฟ และเครื่องดื่มทั้ง 16 เมนู พร้อมบริการสั่งซื้อที่สะดวก และบริการจัดส่งวัตถุดิบถึงร้าน
  • คัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพยอดเยี่ยมที่ใช้เทคโนโลยีการคั่วจากโรงงานเนสท์เล่ที่มีความเชี่ยวชาญในการคั่ว และผลิตกาแฟมาอย่างยาวนาน
  • จัดเตรียมอุปกรณ์ในการเปิดร้าน เครื่องบดเมล็ดกาแฟ และเครื่องชงกาแฟให้ครบครัน
  • ทำเลที่ตั้งร้านแต่ละสาขามีระยะห่างจากกันไม่น้อยกว่ารัศมี 5 กิโลเมตร
  • มีหลักสูตรฝึกอบรมแบบเข้มข้นจาก Nescafé Café Academy ที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องกาแฟสดให้กับผู้ประกอบการให้ได้เรียนรู้ด้านทฤษฎี และการลงมือปฏิบัติจริง ตั้งแต่การสกัดช็อตกาแฟ การชงเครื่องดื่มอย่างมืออาชีพ การบริการจัดการร้านให้ได้กำไร รวมทั้งคำปรึกษาด้านสูตรเครื่องดื่มต่าง ๆ

หลายคนที่กังวลว่าไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านกาแฟเลย หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ ปัญหานี้ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะ Nescafé Street Café ได้ดีไซน์มาให้สำหรับทุกคนที่ต้องการทำธุรกิจทุกคน

แสดงว่าไม่จำกัดว่าต้องมีประสบการณ์ในการเปิดธุรกิจร้านกาแฟมาก่อน สามารถเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารแต่อยากขยายธุรกิจเครื่องดื่มเพิ่มเติมก็ได้ หรือผู้ที่อยากหาธุรกิจเสริมสร้างรายได้เพิ่มอีกช่องทางโดยต้องมีทำเลที่ดีอยู่ในมือก็ได้ เช่น ในย่านใจกลางเมือง, ย่านออฟฟิศ, ส่วนราชการ, มหาวิทยาลัย, สถานที่ท่องเที่ยว, ภายในโรงพยาบาล หรือศูนย์การค้า

โดยใช้เงินลงทุนไม่สูง ไม่มีค่า GP อีกทั้งยังมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และบาริสต้าที่มีประสบการณ์คอยอยู่เคียงข้างในการเริ่มต้น และดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ ในแง่ของชื่อร้าน Nescafé Street Café ก็ได้ความแข็งแกร่งของชื่อแบรนด์ Nescafé ที่เป็นแบรนด์กาแฟเบอร์ 1 ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน การันตีความมั่นใจจากผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจ Nescafé Street Café สามารถติดต่อได้ที่

Nestle Professional Call Center โทร. 02-657-8625 หรือกรอกแบบฟอร์มให้ติดต่อกลับที่ http://bit.ly/3axmS5P  หรือติดต่อตัวแทนจำหน่าย Nestle Professional ทั่วประเทศ

FB page: Nescafé Street Café 

]]>
1309672
ทำไม “เนสท์เล่” ต้องลงทุนใหญ่ 4,500 ล้าน ขยาย 3 โรงงานในไทย เร่งเสริมพอร์ต “อาหารสัตว์เลี้ยง” https://positioningmag.com/1307826 Thu, 26 Nov 2020 17:18:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307826 เเม้วิกฤต COVID-19 จะทำให้ผู้คนซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคมากขึ้น เเต่ภาพรวมของธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

วันนี้เนสท์เล่” (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ฉายภาพธุรกิจในไทย เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโต กลยุทธ์รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ พร้อมประกาศเเผนลงทุนปีนี้และปีหน้า ด้วยการขยาย 3 โรงงานในไทย เป็นเม็ดเงินถึง 4,500 ล้านบาท เสริมพอร์ตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อะไรเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีกับสินค้าเหล่านี้เราจะมาหาคำตอบกัน

เนสท์เล่เข้ามาทำตลาดไทยได้ 126 ปีเเล้ว ปัจจุบันมีโรงงานในไทยทั้งสิ้น 7 เเห่ง มีพนักงานราว 3,300 คน (จากทั่วโลก 3 เเสนคน) โดยเเผนขยายโรงงาน 3 เเห่งดังกล่าวจะเป็นการสร้างใหม่ 2 เเห่ง เเละขยายจากโรงงานเดิม 1 เเห่ง

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า เนสท์เล่ ก็เป็นเหมือนหลายบริษัททั่วโลกที่ต้องปรับตัวเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ สินค้ากลุ่มบริโภคนอกบ้าน อย่างเช่น น้ำดื่ม ไอศกรีมเเละขนม

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี เเละช่วยพยุงรายได้ของบริษัทไว้ได้ คือกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เช่น กาแฟ นม ซอสปรุงรส เพราะผู้คนต้องใช้เวลาอยู่บ้านเเละทำอาหารกินเองมากขึ้นนั่นเอง

ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ภาพรวมยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะเหมือนเป็นการปรับพอร์ตสินค้าในการเติบโต โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้ จะเติบโตราว 1 digit”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

แม้ว่าการทำธุรกิจในช่วงนี้ จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน แต่ผู้บริหารเนสท์เล่บอกว่ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย เเละมองว่างบลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีไปยังธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย

ประกอบกับเนสท์เล่มีการทำสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ได้แก่

  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เเน่นอน
  • ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก
  • นิยมใช้บริการอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารเเละซื้อสินค้าเเบบเดลิเวอรี่ เพิ่มขึ้นมากหลังวิกฤต COVID-19

อินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้บริษัทต้องออกสินค้าใหม่ เเละขยายกำลังผลิตในสินค้าที่จะเติบโตได้ดี โดยเนสท์เล่เลือกที่จะขยายการลงทุนใน 3 โรงงาน กับ 3 กลุ่มสินค้าด้วยกันคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อาหารสัตว์เลี้ยงคนซื้อราคาพรีเมียม เเม้ต้องประหยัด

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากหันมาดูเเลสัตว์เลี้ยงเพื่อคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา

“เเม้ในช่วง COVID-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เเต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่มีตก” 

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเเบบ “พรีเมียม” ขยายตัวสูงเช่นกัน เเละมีประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเเมวเเละสุนัข โดยคนไทยนิยมดูเเลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เเต่งงานช้า มีลูกน้อยลงเเละใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้เติบโต

“ผู้คนยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เเต่ไม่ยอมตัดค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง เเถมยังยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่ออาหารพรีเมียมให้สัตว์เลี้ยง

จากเเนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง เนสท์เล่ จึงตัดสินใจทุ่มลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท “สร้างโรงงานแห่งใหม่” ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ซึ่งมีเเบรนด์ที่ติดตลาดอยู่ในมือเเล้ว อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น

ภาพจำลองโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเเห่งใหม่ของเนสท์เล่ จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021

ปั้นรสชาติใหม่ๆ ตีตลาดไอศกรีมไทย 

ไอศกรีมยังเป็นสินค้าที่ขายดี “เมื่อคนเครียด” อยากหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น

เเม้ไอศกรีมของเนสท์เล่จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ ยอดขายก็จะกลับมาเหมือนเดิม การทุ่มลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังผลิตไอศกรีม ณ โรงงานบางชันครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อตลาดระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด

ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ มียอดขายเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีการเจาะตลาดคนไทยด้วยการนำ “ไอศกรีมโมจิ” ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทย รวมถึง “ไอศกรีมคิทแคทและโอริโอ” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ได้มองหาเเค่ไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แต่ยังมองหาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เนสท์เล่ต้องขยับมาทำบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมที่ทำจากกระดาษ ไม่มีส่วนผสมของพลาสติก และสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ยูเอชที : ต้องดีต่อสุขภาพ พกพาสะดวก

จากผลวิจัยของ Nielson พบว่า เครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสที จะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพเเละพกพาสะดวก

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เนสท์เล่หันมาจับเทรนด์รักสุขภาพและต้องพกพาสะดวก โดยการออกผลิตใหม่อย่าง นมตราหมีในรูปแบบกล่อง (จากเดิมเป็นกระป๋อง) เเละออกไมโลรสชาติใหม่ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ตามเเนวโน้มผู้บริโภคคนไทยที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำตาล 0% มากขึ้นในอนาคต

โดยโรงงานแห่งสุดท้ายจะใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี

“การลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และจะช่วยสร้างการเติบโตในประเทศไทย”

ภาพโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีของเนสท์เล่ ที่นวนคร 7

ด้านการพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ของเนสท์เล่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิด COVID-19 ไทยมีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำมาสู่การทุ่มงบอีก 50 ล้านบาทในปีนี้

“เราเริ่มตั้งทีมอีบิสซิเนส มาตั้งเเต่ปี 2018 ตอนนี้มีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มีการลงทุนด้านระบบเเละบุคลากรต่อเนื่อง สร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า”

กำลังศึกษา “น้ำผสมวิตามิน” 

อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่กำลังมาเเรงในเมืองไทย ตอนนี้บริษัทใหญ่-เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาด “น้ำผสมวิตามิน” กันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียว มาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก 7-8 เจ้า ปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดคำถามว่า ยักษ์ใหญ่ FMCG อย่าง เนสท์เล่ จะลงมาเล่นสนามนี้หรือไม่ 

วิคเตอร์ เซียห์ ตอบว่า เนสท์เล่ยังอยู่ “ระหว่างการศึกษา” ตลาดของน้ำวิตามิน เพราะตลาดนี้ยังมีขนาดเล็กอยู่ไม่ถึง 5% ของตลาดเครื่องดื่ม “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกระแสที่คงอยู่ในระยะยาว หรือจะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วหายไป” เเต่มีเเผนจะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเเนวๆ นี้ อยู่ในช่วงปีหน้า เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่เเน่ชัดได้

ต้องจับตาดูว่า หลังทุ่มงบสร้างโรงงานในไทยเเล้ว “เนสท์เล่” จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ อะไรออกมาเขย่าตลาดอีก 

 

 

]]>
1307826