BH – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 01 Jul 2021 15:39:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บํารุงราษฎร์ ปั้นธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะ LGBTQ+ กำลังซื้อสูง เน้นครบวงจร-ดูเเลระยะยาว https://positioningmag.com/1339830 Thu, 01 Jul 2021 09:41:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339830 บำรุงราษฎร์เสริมกลยุทธ์สร้างรายได้ เปิดตัวธุรกิจใหม่ ‘Pride Clinic’ เจาะกลุ่ม LGBTQ+ กำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก ชูจุดเด่นการดูแลเชิงสุขภาพในระยะยาวเเบบ ‘Life-time value’ ครบวงจรตั้งเเต่ให้คำปรึกษาดูเเลจิตใจผ่าตัดเเปลงเพศศัลยกรรมตกเเต่ง ตามความต้องการเฉพาะบุคคล

ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH กล่าวว่า Pride Clinic จะเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพตามความต้องการ ให้กับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ด้วยการบริบาลตามมาตรฐานบำรุงราษฎร์และความปลอดภัยสูงสุด ทั้งก่อนเข้ารับบริการ ในระยะบริการ เเละหลังบริการระยะยาว

ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย มีอยู่ทั่วโลกราว 468 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวเอเชียถึง 288 ล้านคน เเละในไทยประมาณ 4 ล้านคน

บริการของ Pride Clinic ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งจากชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยล่าสุดบำรุงราษฎร์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในจีน ที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลัก รวมไปถึงมีเเผนจะทำการตลาดไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วย

ในเบื้องต้นเเม้จะยังไม่ได้ตั้งเป้าตัวเลขทางธุรกิจ เเต่โรงพยาบาลมองว่า ธุรกิจใหม่นี้จะเติบโตได้ดีในอนาคตเเละคาดหวังว่าจะทำรายได้เพิ่ม 2-3 เท่า โดยค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ในเรตที่กว้างมาก เพราะความต้องการของเเต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ‘ออปชั่น’ ที่อยากได้เเละความเหมาะสมกับร่างกายเเละจิตใจ ตามคอนเซ็ปต์ ‘Be the best version of you’

สำหรับ ‘Pride Clinic’ จะเปิดให้บริการกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีอายุตั้งเเต่ 20 ปีขึ้นไป รวมถึงให้คำปรึกษาผู้ปกครองและญาติมิตร

นพ.สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อและผู้ชำนาญการด้านฮอร์โมน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ยังมีความเข้าใจผิดและมีความเสี่ยงในการซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง เพื่อทดแทนฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

ดังนั้น ‘Pride Clinic’ จึงได้รับการออกแบบให้มีการบริบาลแก่กลุ่มหลากหลายทางเพศที่ครบวงจร ปลอดภัยเเละดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน เช่น

  • การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพหรือเตรียมความพร้อมเพื่อปรับเพศสภาพ (Hormone Therapy)
  • ศัลยกรรมเพื่อปรับลักษณะทางกายภาพ (Masculinizing/Feminizing Procedures)
  • การผ่าตัดเปลี่ยนเพศ (Gender-Affirming Surgery)
  • การฝึกพูดเพื่อเปลี่ยนเสียงเป็นเพศหญิง (Voice Feminizing Therapy)
  • การผ่าตัดกล่องเสียง (Voice Feminizing Surgery)
  • การดูแลรักษาด้านผิวพรรณ ความงามและรูปร่าง (Aesthetic and Skin)
  • การดูแลสุขภาพจิต (Mental health)
  • โปรแกรมสุขภาพแบบจำเพาะสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Check-up Program for Unisex) ในทุกช่วงวัย

“จุดเเข็งของ Pride Clinic คือการดูเเลเเบบเฉพาะบุคคลจริงๆ เพราะต้องเทคฮอร์โมนในอัตราที่เเตกต่างกัน ไม่ใช่เเค่ผ่าตัดเสร็จเเล้วก็จบ เเต่คือการดูเเลระยะยาว 20-30 ปี ไปตลอดชีวิต” 

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Pride Clinic คือการมีทีมศัลยแพทย์ในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี และทำการผ่าตัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 ราย รวมถึงมีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด ที่ปัจจุบันในไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก

โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบริบาลดูแลในช่วงการ ‘พักฟื้นภายหลังผ่าตัด’ อย่างต่อเนื่องที่ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ภายใต้โครงการรักษ ตั้งอยู่ที่บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ผสมผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ (Advanced Medical Science) มาใช้ร่วมกับ ศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และจัดโปรแกรมแบบ ‘เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะบุคคล’ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ การปรับสมดุลของร่างกาย ดูแลผิวพรรณ ความงาม น้ำหนักตัว และการชะลอวัยให้ดูดีในแบบฉบับของแต่ละบุคคล

ก่อนจะเกิดวิกฤตโรคระบาดนั้น BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี คิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50% ขณะที่ ‘สัดส่วนรายได้’ ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนัก เช่น การผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เมื่อการเเพร่ระบาดยังไม่หมดไปในเร็ววัน บำรุงราษฎร์ จึงปรับกลยุทธ์เพื่อหารายได้ช่องทางใหม่ ขยายธุรกิจใหม่ ขยับหาลูกค้าชาวไทยมากขึ้น พร้อมชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (Expatriate) ที่มีอยู่ราว 2.45 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก โดยมีการจัดเเคมเปญต่างๆ ออกแพ็กเกจโปรโมชัน คอร์สรักษาในราคาพิเศษ ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ BH หันมาจับมือกับ ‘คลินิกขนาดเล็ก’ เพื่อขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด ให้เข้าถึง ‘ชุมชน’ มากขึ้น ตามแนวคิด ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ซึ่งเป็นบริการที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในยุโรป ‘คุ้นเคยกันดี’ เเต่ในเมืองไทยยังไม่เเพร่หลายมากนัก เเละล่าสุดกับเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่าง Pride Clinic ที่มุ่งเจาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในไทยเเละทั่วโลก

“ขณะนี้สัดส่วนการเติบโตคนไข้ชาวไทยและต่างชาติที่อยู่ในไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะการรักษาโรคเฉพาะทาง คนไข้ต่างชาติก็มีเข้ามาเป็นเที่ยวบินพิเศษ ต่อไปหากสามารถเปิดประเทศได้ ก็จะทำให้ยอดคนไข้ต่างชาติกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ภญ. อาทิรัตน์ระบุ 

 

 

]]>
1339830
บํารุงราษฎร์ ขยับหาคลินิก ‘ไซซ์เล็ก’ ต่างจังหวัด ดัน ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ เจาะ Expat วัยเกษียณ https://positioningmag.com/1325402 Thu, 01 Apr 2021 11:29:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325402 การมาของ COVID-19 ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนต้องปรับตัวขนานใหญ่ เดิมที่เคยพึ่งพารายได้จาก “ผู้ป่วยต่างชาติ” ใน Medical Tourism มาวันนี้ต้องเเก้เกมปรับกลยุทธ์หาลูกค้าในประเทศ เจาะใจกลุ่ม ‘Expat’ ผู้สูงอายุต่างชาติวัยหลังเกษียณ หันมาจับมือกับคลินิกขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด เพื่อเข้าถึง ‘ชุมชน’ มากขึ้น

บำรุงราษฎร์หรือ BH ก็เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ในไทย ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ

ก่อนจะเกิดวิกฤตโรคระบาดนั้น BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี คิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50% 

ขณะที่สัดส่วนรายได้’ ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนัก เช่น การผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

ดังนั้น เมื่อยังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มที่ไม่ได้บำรุงราษฎร์จึงหันมามุ่งขยายตลาดไปยังชาวไทยและชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (Expatriate) ที่มีอยู่ประมาณ 2.45 ล้านคน นับว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก

ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมองหาพันธมิตรในพื้นที่ต่างจังหวัดเเละชุมชนต่างๆ ที่มีความพร้อม มีแนวทางร่วมกัน เเละตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์หรือในทำเลที่มีศักยภาพ

บำรุงราษฎร์ รุกหาคลินิก ‘ไซซ์เล็ก’ ต่างจังหวัด 

จากเเผนของ BH ที่ต้องการกระจายไปในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และในหัวเมืองสำคัญของภูมิภาคต่าง ๆ ในราคาที่เหมาะสมกับภูมิภาคนั้น เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ที่มีชื่อว่า ‘บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก’ (Bumrungrad Health Network : BHN) ขึ้นมาเมื่อราว 2 ปีที่เเล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่การขยายเครือข่ายพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสในการเเข่งขันเเละรองรับ ‘กลุ่มลูกค้าตลาดใหม่ๆ’ 

ล่าสุดได้เปิดตัว ‘Be Well Heart Clinic’ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จากความร่วมมือระหว่าง ศูนย์ลิ้นหัวใจและอายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เเละ Be Well Medical Center เจาะกลุ่มผู้ลูกค้าทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยที่พำนักอยู่ในหัวหิน

สมศักดิ์ วิวัฒนสินชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก เล่าว่า แนวคิด ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ซึ่งเป็นบริการที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในยุโรป ‘คุ้นเคยกันดี’ เเต่ในเมืองไทยยังไม่เเพร่หลายมากนัก

ทางโรงพยาบาลจึงเล็งเห็นโอกาสเเละศักยภาพของ ‘Be Well Medical Center’ คลินิกสุขภาพครอบครัวที่ให้บริการดูแลรักษาขั้นปฐมภูมิ ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับ Banyan Resort Hua Hin ซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะสมเพราะอยู่ใกล้บริเวณที่พักอาศัยของชาวต่างชาติ

สมศักดิ์ วิวัฒนสินชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก

โดย ‘หัวหิน’ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ จากสถิติพบว่า ชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในไทยและเลือกมาทำงานในพื้นที่หัวหิน ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานที่มีความสามารถในการทำงานในตำแหน่งผู้จัดการหรือผู้บริหารระดับสูง เรียกได้ว่าเป็น ‘Demand ที่มีคุณภาพ’

จากข้อมูลปี 2562 ระบุว่ามีชาวต่างชาติราว 10,000 – 15,000 คนพำนักอยู่ในหัวหินและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่มาจากยุโรปและสแกนดิเนเวีย รวมถึงกลุ่มต่างชาติที่เกษียณอายุและใช้ชีวิตที่หัวหินเป็นบ้านหลังที่สอง โดยมองว่าเป็นเมืองที่เหมาะกับการพักผ่อนและอาศัยอยู่ในระยะยาว

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็น ‘ครั้งเเรก’ ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ จับมือกับพันธมิตรระดับ ‘คลินิก’ จากที่ผ่านมามักจะเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น การเปิดศูนย์ศูนย์กระดูกสันหลังกับโรงพยาบาลนครธน เมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นทิศทางใหม่ของบำรุงราษฎร์ที่จะรุกหาตลาดในชุมชนมากขึ้น 

โมเดล ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ เจาะ Expat วัยเกษียณ 

ย้อนกลับไปเมื่อ 38 ปีที่เเล้ว ‘ไฮโก้ เอ็มมานูเเอล’ นักธุรกิจชาวดัตช์ ผู้มีครอบครัวอยู่ในวงการเเพทย์ได้เดินทางมายังประเทศไทย เขามองเห็นโอกาสของธุรกิจเฮลท์แคร์ว่าจะมีเเนวโน้มเติบโจได้ในอนาคต

เเต่ด้วยความไม่พร้อมหลายอย่างในขณะนั้น เขาจึงรอเวลา เก็บสะสมเงินทุน ศึกษาตลาดเรื่อยมา จนในที่สุดก็ได้ก่อตั้ง ‘Be Well Medical Center’ ขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2563 ด้วยการสนับสนุนเเละผลักดันจาก ‘มนัสวี เอ็มมานูเเอล’ ภรรยาผู้เคยเป็นพยาบาลวิชาชีพ

‘Be Well Medical Center’ เริ่มต้นจากการสำรวจตลาด พบว่าผู้คนในหัวหินมีความต้องการในการดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวสูง

โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของคลินิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เกษียณอายุชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยถาวร และผู้อยู่อาศัยในระยะยาวถึง 80% พวกเขามีความคุ้นเคยกับ แพทย์ประจำครอบครัว จากประเทศบ้านเกิดอย่างเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย ฯลฯ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเเละมีความจำเป็นต้องใช้บริการทางสุขภาพ

ขณะที่ลูกค้าชาวไทย ที่ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 20% ก็เริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของการบริการเบื้องต้นแบบปฐมภูมิมากขึ้น เพราะไม่ต้องไปรอคิวยาวที่โรงพยาบาล เเต่ก็ได้รับการรักษาจากเเพทย์ทั่วไป ในราคาที่เข้าถึงได้

เเละหากต้องส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาในขั้นต่อไป คลินิกก็จะประสานงานกับโรงพยาบาลพันธมิตรอย่าง รพ.บำรุงราษฏร์ รพ.สมิติเวช รพ.กรุงเทพหัวหิน รพ.หัวหิน เป็นต้น

หลังจากเปิดทำการมาเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน ตอนนี้คลินิกมีสมาชิกรวม 1,200 คน มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยตั้งเเต่ 800-3,000 บาทต่อครั้ง (ค่าบริการพบเเพทย์เริ่มต้นที่ 500 บาท)

Be Well Medical Center ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปต่างๆ โดยแพทย์ประจำ 2 คน (จะมีการขยายจำนวนในเร็วๆ นี้) พร้อมมีบริการตรวจเลือด กายภาพบำบัด การฝังเข็มด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน มีห้องตรวจหูเเละจัดกระดูก ฯลฯ

ขณะเดียวกัน มีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดูเเลโรคเฉพาะทาง โดยให้คำปรึกษาทางไกลเเละจะเดินทางมาตรวจที่คลินิกเป็นระยะๆ เช่น เดือนละ 2 ครั้ง หรือ 2 เดือนครั้ง ซึ่งตอนนี้กำลังมองหาเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพราะผู้สูงอายุมีปัญหาด้านนี้จำนวนมาก

เเม้ช่วงเริ่มต้นธุรกิจเจอกับ COVID-19 เเต่กลับกลายเป็นโอกาสให้ ‘เติบโต’ มากขึ้น เพราะชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในไทย มองหาการรักษาเเบบ ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ รวมถึงคนไทยที่ไม่อยากไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้ยอดลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤต 

Be Well Medical Center เตรียมจะขยายสาขาไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญในไทย โดยช่วงต้นปีหน้าจะลงสนามเปิดที่ภูเก็ตก่อน ส่วนเชียงใหม่นั้นยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้

โดยมองว่าความท้าทายของคลินิก ‘แพทย์ประจำครอบครัว’ ในไทย คือระบบโครงสร้างที่ประชาชนต้องเดินทางไปการรักษาที่โรงพยาบาลโดยตรง เเม้จะเป็นอาการเบื้องต้นก็ตาม ทำให้โรงพยาบาลมีผู้ป่วยเเออัด รวมไปถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อรายได้ของผู้คน จึงต้องการสร้างความรับรู้ให้ทั่วถึง สร้างความเข้าใจ เเละภาครัฐต้องให้การสนับสนุนต่อไปในระยะยาว

(จากซ้ายไปขวา) สมศักดิ์ วิวัฒนสินชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก
นพ.วัธนพล พิพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ลิ้นหัวใจและอายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
มนัสวีเเละไฮโก้ เอ็มมานูเเอล เจ้าของ Be Well Medical Center

ทำไมต้อง Heart Clinic ? 

ผู้มาใช้บริการและสมาชิกของ Be Well Medical Center จะครอบคลุมทุกช่วงวัย แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะมีอายุระหว่าง 60 ถึง 101 ปี ซึ่งเป็น ‘กลุ่มผู้สูงวัย’ ที่มีความเสี่ยงเป็น ‘โรคหัวใจ’ ค่อนข้างมาก

โรคหัวใจ เป็นโรคที่มีความยากและมีความซับซ้อนในการรักษา จำเป็นต้องมีแพทย์ที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีระดับสูง ดังนั้นการได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นั้น ทำให้การรักษายกระดับสู่มาตรฐานสากล

เบื้องต้นจะมี นพ.วัธนพล พิพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ลิ้นหัวใจและอายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มาให้คำปรึกษาผู้ป่วยผ่านทาง Teleconsultation หรือโทรเวชกรรม ซึ่งเป็น Next Normal ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้ง

แต่หากต้องรับการตรวจวินิจฉัยหรือการรักษาพยาบาลในระดับที่สูงขึ้น ทาง Be Well Heart Clinic
สามารถส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ และหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
ก็สามารถกลับเข้าไปรับการดูแลที่คลินิกต่อไปได้

ปัจจุบัน BH มีเทคโนโลยีรักษาโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ‘TAVI’ หรือ ‘Transcatheter Aortic Valve Implantation’ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ จากปกติที่ต้องใช้เวลาผ่าตัดถึง 4 ชั่วโมง เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยสูงวัยที่มีอายุมากกว่า 80 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะไม่ต้องผ่าตัดเปิดช่องอก ทำให้แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากอาการแทรกซ้อน

ทั้งนี้ โรคหัวใจที่พบบ่อยในผู้สูงวัย ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน โรคลิ้นหัวใจเอเออร์ติกตีบ (Aortic valve stenosis) โรคหัวใจสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ภาวะหัวใจเต้นช้า และหัวใจล้มเหลว

โดยชนิดของหัวใจเต้นผิดปกติที่พบบ่อยที่สุด คือ หัวใจห้องล่างเต้นรัว (Ventricular Tachycardia) หรือหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) มักพบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนอายุน้อยกว่า 50 ปีถึง 13 เท่า 

ภาพห้อง EP Lab ของรพ.บำรุงราษฎร์

สำหรับทิศทางของธุรกิจโรงพยาบาล เเละ Wellness Tourism นั้น ผู้บริหารบำรงราษฎร์ มองว่า กำลังจะฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ เเละจะกลับมาเติบโตได้ดีในปีหน้า โดยต้องจับตาปัจจัยเรื่องการกระจายวัคซีน ซึ่งจะมีผลต่อการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว โดยยืนยันว่าภาคเอกชนจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรง จากการจัดอันดับของ Global Wellness Institute รายงานว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย ติดอันดับ 13 ของโลก ทำรายได้มากกว่า 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดโลกนั้น อุตสาหกรรมด้านเวลเนสเติบโตดับเบิลดิจิต’ ต่อเนื่องมาแล้ว 5 ปี สะท้อนโอกาสธุรกิจที่มีสูงมาก

 

 

 

 

]]>
1325402
BDMS เทขายหุ้น “รพ.บำรุงราษฎร์” เกลี้ยงพอร์ต 11.3369% “สาธิต วิทยากร” ขึ้นถือหุ้นใหญ่ https://positioningmag.com/1311631 Tue, 22 Dec 2020 17:13:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311631 กรุงเทพดุสิตเวชการ แจ้งขายหุ้น “รพ.บำรุงราษฎร์” เกลี้ยงพอร์ต ส่งผลให้ “สาธิต วิทยากร” ขึ้นแท่นถือหุ้นใหญ่ 180,792,906 หุ้นหรือ 22.72% ใน BH ขณะ BH ยันไม่มีผลต่อนโยบายการบริหาร

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้นของ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) โดย บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 11.3369% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ลินดา ลีสหะปัญญา กรรมการผู้จัดการ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) รายงานการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ภายหลัง บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ได้รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ว่าได้ขายหุ้นที่ตนถือในบริษัท จำนวน 90,215,806 หุ้น เป็นสัดส่วน 11.34% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ให้แก่ นายสาธิต วิทยากร มีผลวันที่ 18 ธันวาคม 2563

ส่งผลให้บริษัทกรุงเทพประกันภัย ถือหุ้น 106,740,417 หุ้น หรือ 13.41% นายสาธิต วิทยากร 180,792,906 หุ้น หรือ 22.72% ผู้ถือหุ้นรายอื่น 63.87% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอำนาจการควบคุม ตลอดจนนโยบายการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด

]]>
1311631
BDMS เทขายหุ้น “บำรุงราษฎร์” เกลี้ยงพอร์ต มูลค่ารวมกว่า 1.86 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1307317 Tue, 24 Nov 2020 05:28:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307317 ข่าวใหญ่ของวงการตลาดหุ้นไทยวันนี้ BDMS เทขายหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เกลี้ยงพอร์ต 22.71% คิดเป็นมูลค่าถึง 18,613.7 ล้านบาท

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ได้ตกลงขายหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ “ทั้งหมด”

นฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ที่บริษัทถืออยู่ 180,715,806 หุ้น หรือ 22.71% ให้กับผู้ซื้อในราคาหุ้นละ 103 บาท คิดเป็นมูลค่า 18,613.7 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 .. 2563 “โดยผู้ซื้อไม่ได้เป็นผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ

โดยจะขายเงินลงทุน BH บางส่วนผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Trade Report – Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เบื้องต้น 90,500,000 หุ้น ที่ราคา 103 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 9,321.5 ล้านบาท ในวันที่ 26 ..2563

สำหรับเงินลงทุนที่เหลืออีก 90,215,806 หุ้น หรือ 11.34% คาดว่าจะซื้อขายแล้วเสร็จในเดือนธ.. 2563 โดยการทำรายการดังกล่าว ยังมีความไม่แน่นอนในการจัดหาแหล่งเงินทุนของผู้ซื้อ     

ทั้งนี้ ราคาขายจะต่ำกว่าในตลาด 16.6% เมื่อเทียบกับราคาปิดที่ 123.50 บาท ณ วันที่ 23 .. 2563 จากข่าวดังกล่าวและราคายกล็อตที่ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้เช้าวันนี้ (24 ..) ราคาของหุ้นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดดิ่งลงถึง 6%

ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเดือน ก.พ. มีกระเเสข่าวว่า BDMS จะเข้าฮุบซื้อกิจการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ทั้งหมด ก่อนที่จะพับแผนดังกล่าวไป จากสถานการณ์ที่ไม่เเน่นอนในการเเพร่ระบาดของ COVID-19 จนมาถึงวันนี้ที่บริษัทได้ตัดสินใจเทขายหุ้นที่เคยลงทุนไว้เเบบเกลี้ยงพอร์ต

สำหรับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทย มีโรงพยาบาลใหญ่ในเครือทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้เเก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบี เอ็น เอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และกลุ่มโรงพยาบาลรอยัล นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจในเครือที่ให้การสนับสนุนด้านการแพทย์ ทั้งธุรกิจห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ธุรกิจผลิตยาและธุรกิจผลิตน้ำเกลือ ฯลฯ

 

 

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

]]>
1307317
รพ.ไฮเอนด์ เเก้เกม ผู้ป่วยต่างชาติหาย “บํารุงราษฎร์” พลิกจับ “คนไทย” ดัมพ์ราคา-จัด 1 เเถม 1 https://positioningmag.com/1297032 Tue, 15 Sep 2020 14:21:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297032 เเม้ว่าแนวโน้มของธุรกิจสถานพยาบาล จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแบบ V-Shape เมื่อคลายมาตรการล็อกดาวน์ สอดคล้องกับสัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

เเต่ทว่าโรงพยาบาลเอกชนที่เคยพึ่งพารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติหรือที่เรียกว่าพึ่งพา Medical Tourism จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เมื่อรายได้หลักที่เคยมีหดหายไปอย่างมาก เเละยังไม่อาจเปิดประเทศเป็นปกติได้ในเร็ววัน

จากข้อมูลของ TMB Analytics ระบุถึงโครงสร้างรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนในไทยว่า มีรายได้จาก Medical Tourism คิดเป็น 8% ของรายได้โรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด ดังนั้นรายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศในปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัวดีนักเพราะคาดว่าไทยจะยังคงดำเนินการมาตรการล็อคดาวน์ต่างประเทศ เเละคัดกรองผู้เดินทางจากต่างประเทศต่อไป

การปรับกลยุทธ์ใหม่ เเก้เกมในวิกฤต COVID-19 ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” (BH) ที่เคยมุ่งเจาะลูกค้าระดับไฮเอนด์เเละชาวต่างชาติ เเต่ตอนนี้ต้องหันมาจับตลาดคนไทย ทั้งการดัมพ์ราคาค่าห้อง ลดเเลกเเจกเเถมโปรเเกรมตรวจสุขภาพ ไปจนถึงเสนอเเพ็กเกจผ่าตัดราคาพิเศษ เพื่อทดเเทนรายได้ที่ขาดไปในปีนี้ เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย

หันมาเจาะ “คนไทย” อัดโปรลดเเลกเเจกเเถม 

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร รพ.บำรุงราษฎร์ ยอมรับว่า วิกฤตโรคระบาด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง เพราะผู้ป่วยชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยในช่วงเดือนเมษายน ถือว่าหนักที่สุด

ที่ผ่านมา BH ให้การรักษาผู้ป่วยทั้งชาวไทยเเละต่างชาติกว่า 1.1 ล้านรายต่อปี โดยคิดเป็นสัดส่วนผู้ป่วยไทยและต่างชาติอย่างละ 50 % ขณะที่สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติถึง 66% ส่วนผู้ป่วยคนไทยอยู่ที่ราว 34% เนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำการรักษาเคสหนักเช่นการผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคร้ายเเรงซึ่งจะที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

ภญ.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร รพ.บำรุงราษฎร์

โดยฐานลูกค้าชาวต่างชาติของ BH หลักๆ มาจากกลุ่มประเทศอาเซียน CLMV รองลงมาเป็น แถบตะวันออกกลาง เเละประเทศในยุโรป ซึ่งไทยยังถือว่ามีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพของโรงพยาบาล ความชำนาญการของแพทย์ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 40-75% หรือสิงคโปร์ ประมาณ 30%

อย่างไรก็ตาม จากปัญหาผู้ป่วยต่างชาติไม่สามารถเดินทางมารักษาในไทยได้ในสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังระบาดทั่วโลก รพ.บำรุงราษฎร์ จึงต้องหันมาปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อพยุงรายได้ที่หายไป ด้วยการหันมาจับตลาดคนไทยมากขึ้น เเละไม่ใช่เเค่เจาะลูกค้ารายได้สูงเท่านั้น เเต่ยังต้องขยายไปสู่คนที่มีรายได้ปานกลางมากขึ้น

โดยมีการจัดโปรโมชันพิเศษต่างๆ เช่น การลดราคาค่าห้องลงถึง 50% ในเดือนพ.. การจัดเเพ็กเกจตรวจสุขภาพเเบบซื้อ 1 เเถม 1” รวมถึงเสนอเเพ็กเกจผ่าตัดราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวไทย

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดบริการ Homecare Services ที่มีชื่อว่า Bumrungrad @ Home Service Center เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพแก่ผู้ป่วยและครอบครัวถึงบ้าน และบริการ “60 Second Service” เพื่อให้บริการขั้นพื้นฐาน เช่น ฉีดวัคซีนและรับยา เเบบรวดเร็วเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal

Photo : facebook /bumrungrad

จากเเคมเปญเเละโปรโมชันต่างๆ ที่เราได้ทำไป ตอนนี้รายได้เริ่มกลับมาทดเเทนส่วนที่หายไปจากชาวต่างชาติได้บ้างเเล้ว คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 จะดีขึ้น เเละจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ได้

BH รายงานรายได้ในไตรมาส 2/2020 มีกำไรสุทธิเพียง 44 ล้านบาท ลดลงถึง 93.9% จากไตรมาส 2/2019 ที่มีกำไรสุทธิ 725 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ รายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 6,531 ล้านบาท ลดลง 27.1% หลักๆ เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ผู้ป่วยชาวไทย 7.8% และต่างชาติ 36.4% ขณะที่ในปี 2019 BH เคยมีรายได้ 1.87 หมื่นล้านบาท และทำกำไร 3.74 พันล้านบาท

ขยายโอกาสธุรกิจใหม่ ดัน Wellness Tourism

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจของบำรุงราษฎร์ในช่วงนี้ คือการหันมาผลักดันธุรกิจ Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จับมือกับพันธมิตรค่ายอสังหาฯ อย่างมั่นคงเคหะการกับยักษ์โรงเเรมอย่างไมเนอร์

เปิดตัวโครงการรักษ” (อ่านว่า รักษะ) ศูนย์เวลเนส รีทรีต 200 ไร่บนคุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโซนที่ถูกเรียกว่าเป็นปอดเเห่งใหม่ของกรุงเทพฯประเดิมราคาแพ็กเกจเริ่มต้น 60,000 บาท จับกลุ่มลูกค้าที่สนใจด้านสุขภาพเวลเนสทั่วโลก

ลักษณะความร่วมมือครั้งนี้ มั่นคงฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นและลงทุนโครงการ 100% แต่ทำสัญญากับ รพ.บำรุงราษฎร์ ให้ผู้บริหารด้านการแพทย์ แบ่งรายได้ระหว่างกันประมาณ 50 : 50 แต่ในกำไรส่วนที่ รพ.บำรุงราษฎร์ ได้จากบริการทางการแพทย์จะแบ่งคืนให้กับมั่นคงฯ 15% ส่วนสัญญากับ ไมเนอร์ เป็นการจ้างบริหารงานบริการโรงแรมและอาหาร

อ่านเพิ่มเติม : คิกออฟ! “รักษศูนย์เวลเนส จาก 3 บิ๊กเนมมั่นคงบำรุงราษฎร์ไมเนอร์มูลค่า 2,000 ล้านบาท

เดิมทีโครงการรักษตั้งเป้าจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติจากทั่วโลก แต่เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ลูกค้ายังบินเข้ามาไม่ได้ ทำให้ปีแรกที่จะเปิดบริการเต็มปีคือปี 2021 น่าจะมีอัตราเข้าพักเพียง 30% ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ว่าปีแรกจะมีอัตราเข้าพัก 60%

วิลล่าที่พักในรักษ เวลเนส รีทรีต

อย่างไรก็ตาม มั่นคงเคหะการ เชื่อว่าระยะยาวเวลเนสจะยังได้รับความนิยม ในปี 2022 อัตราเข้าพักคาดว่าจะขึ้นมาเป็น 50% และเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ชื่อเสียงของประเทศไทยที่รับมือ COVID-19 ได้ดีในช่วงนี้ จะเป็นปัจจัยบวกกับโครงการในภายหลัง เพราะทำให้ต่างชาติเชื่อถือในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ผู้บริหาร รพ. บำรุงราษฎร์ มองว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น และรัฐบาลประกาศชัดเจนว่าจะส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง COVID-19 “นี่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ของเราในอนาคต เพราะวิกฤตโรคระบาด ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลในไทยและต่างประเทศเปลี่ยนไป”

โดยประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรง จากการจัดอันดับของ Global Wellness Institute รายงานว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย ติดอันดับ 13 ของโลก ทำรายได้มากกว่า 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดโลกนั้น อุตสาหกรรมด้านเวลเนสเติบโต “ดับเบิลดิจิต” ต่อเนื่องมาแล้ว 5 ปี สะท้อนโอกาสที่มีสูงมาก

ทั้งนี้ จากการประชุมศูนย์กลางด้านการแพทย์ ปี 2561 ระบุว่า มีผู้ป่วยต่างชาติมาใช้บริการในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ประมาณ 3.4 ล้านครั้ง สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.4 แสนล้านบาท และไทยยังมีสถานบริการสุขภาพผ่านมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลระดับสากล JCI ถึง 68 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน

ปรับรับผู้ป่วยต่างชาติ “เช่าเหมาลำ” จับตาเริ่มกลับมา ต.ค.นี้ 

บรรดาโรงพยาบาลเอกชน ต่างคาดหวังว่ารายได้จะกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่มาพำนักระยะยาวมากขึ้น

BH เริ่มรับผู้ป่วยต่างชาติในกรณีพิเศษเเล้วในช่วงไตรมาส 3 โดยมีผู้ป่วยราว 20-30 คนเดินทางโดยเครื่องบินเเบบเช่าเหมาลำจากเมียนมา เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผ่านการคัดกรองโรคเเละกักตัว 14 วันภายในโรงพยาบาลตามข้อกำหนดของรัฐ โดยคาดว่าจะมีผู้ป่วยต่างชาติ ล็อตอื่นๆ ตามมาอีกต่อเนื่อง

เเละก็เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดวันที่ 15 .. คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทย ประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) โดยกำหนดเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวดังกล่าวจะต้องเป็นบุคคลต่างด้าวพำนักระยะยาว (Long Stay) ภายในประเทศไทย เเละต้องยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ภายในประเทศไทย พร้อมตกลงยินยอมกักตัวในห้องพักจำนวน 14 วัน

โดยต้องมีหลักฐานสถานที่พักอาศัยระยะยาวภายในไทย เช่น หลักฐานการชำระเงินค่าโรงแรมที่พัก หรือโรงพยาบาลที่พัก หลักฐานสำเนาโฉนดหรือการชำระเงินดาวน์ห้องชุดประเภทคอนโดมิเนียม และค่าธรรมเนียมลงตราวีซ่า 2,000 บาท

ครั้งแรกจะอนุญาตให้พักได้ 90 วัน เเละขยายได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวม 270 วันหรือ 9 เดือน โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้ จะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตั้งเเต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ครั้งละ 100 คน จำนวน 1,200 คนต่อเดือน โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถนำเงินเข้าประเทศได้กว่า 1,200 ล้านบาทต่อเดือน

นี่จึงเป็นอีกโอกาสสำคัญที่ “โรงพยาบาลเอกชน” ที่พึ่งพารายได้จากชาวต่างชาติ จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เเม้จะไม่รุ่งเท่าช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 ก็ตาม 

 

]]>
1297032
บำรุงราษฎร์ โต้กลับ BDMS ไม่คาดคิดจะเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด ขอคุยคณะกรรมการแข่งขันการค้า https://positioningmag.com/1266227 Thu, 27 Feb 2020 16:51:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1266227 หลังจากมีการประกาศ “ดีลใหญ่” ของวงการธุรกิจการแพทย์ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดโดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขในหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH คาดต้องใช้เงินราว 8.56 หมื่นล้านบาท ถึง 1.02 แสนล้านบาท ในราคาหุ้นละ 125 บาท เเละในกรณีราคาที่สูงขึ้นจะไม่เกิน 20%
(ปัจจุบัน BDMS ถือหุ้นใหญ่ใน BH อยู่เเล้วที่ 24.99%)

อ่านเพิ่มเติม : BDMS ทุ่ม 8.56 หมื่นล้าน เสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ รพ.บำรุงราษฎร์ ราคา 125 บาท/หุ้น

จากนั้น “บำรุงราษฎร์” ออกมาโต้กลับ โดยทำหนังสือชี้เเจงต่อตลท.ว่า “ผู้บริหารของ BH ไม่คาดคิดและไม่เคยทราบเรื่องการทำคำเสนอซื้อโดยสมัครใจมาก่อน เนื่องจากในอดีต BH และ BDMS ต่างดำเนินธุรกิจอย่างอิสระต่อกันและปราศจากการประสานความร่วมมือทางธุรกิจใดๆ”

นอกจากนี้บริษัทเห็นว่าทั้งสองกลุ่มโรงพยาบาลดำเนินธุรกิจที่แข่งขันกัน และต่างก็เป็นผู้นำในธุรกิจด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ (Medical Tourism) และการบริการทางการแพทย์ตติยภูมิให้กับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับสูง

อีกทั้ง บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญที่ผู้บริโภคพึงได้รับการบริการทางการแพทย์ตติยภูมิภายใต้การแข่งขันอย่างเป็นธรรม ดังนั้นบริษัทจะขอเข้าปรึกษาและให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.)  เพื่อชี้แจงถึงสภาพการแข่งขันในธุรกิจด้านการแพทย์ในปัจจุบัน และขอความชัดเจนในเชิงนโยบายเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท โดย BDMS ดังกล่าว

โดยบริษัทแนะนำให้ผู้ถือหุ้นติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าทำรายการจากทั้ง BH และ BDMS “อย่างใกล้ชิดและอย่างระมัดระวัง”  นอกจากนี้ บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และจะมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อ และนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นในช่องทางที่เหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ราคาหุ้น BH ประจำวันที่ 27 ก.พ. (ช่วงเย็นหลังการประกาศคำเสนอซื้อหุ้น) ปิดที่หุ้นละ 130 บาท เพิ่มขึ้น 18 บาท หรือคิดเป็น 16.07% โดยราคาสูงสุดของวันอยู่ที่ 133 บาท และต่ำสุดอยู่ที่ 112 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,364.29 ล้านบาท

 

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

]]>
1266227