expat – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 16 Dec 2023 12:30:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เวียนนา” คว้าสุดยอดเมืองคุณภาพชีวิตดีสำหรับ “Expat” ขณะที่ “กรุงเทพฯ” อยู่ในอันดับ 124 https://positioningmag.com/1455959 Sat, 16 Dec 2023 12:30:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455959 “Mercer” บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกจัดสำรวจ “สุดยอดเมืองคุณภาพชีวิตดีสำหรับ Expat” โดยเก็บข้อมูลจาก 241 เมืองทั่วโลก ปี 2023 เมืองคว้าแชมป์ ได้แก่ “เวียนนา” ประเทศออสเตรีย ขณะที่ “กรุงเทพฯ” อยู่กลางตารางในอันดับ 124

Mercer จัดทำรายงาน “Quality of Living” สำรวจความเห็นจากพนักงานที่ถูกส่งไปประจำในต่างประเทศทั่วโลก หรือที่เราเรียกกันว่า “Expat” เพื่อจัดลำดับว่าเมืองใดที่ถือว่ามีคุณภาพชีวิตดีที่สุดและแย่ที่สุดสำหรับการส่งพนักงาน (และครอบครัว) ไปทำงานและอยู่อาศัย

ปัจจัยที่ Mercer ใช้ในการสำรวจประกอบด้วยหลายด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานของเมือง, ระบบสาธารณสุข, ระบบการศึกษา, สภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม และความมั่นคงทางการเมือง

จาก 241 เมืองที่สำรวจในปี 2023 นี้ ปรากฏว่า “เวียนนา” เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย คือสุดยอดเมืองคุณภาพชีวิตดี ด้วยมาตรฐานการอยู่อาศัยสูง พร้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่รุ่มรวยทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์ ทำให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับสูงสุด

10 อันดับสุดยอดเมืองคุณภาพชีวิตดีสำหรับ Expat

อันดับ 1 เวียนนา ประเทศออสเตรีย

อันดับ 2 ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

อันดับ 3 โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์

อันดับ 4 โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

อันดับ 5 เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

อันดับ 6 แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี

อันดับ 7 มิวนิค ประเทศเยอรมนี

อันดับ 8 แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

อันดับ 9 ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

อันดับ 10 ดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี

เห็นได้ว่าใน 10 อันดับแรก มีถึง 7 เมืองที่อยู่ในภูมิภาคยุโรป และมี 2 เมืองที่มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ภูมิภาคอเมริกามีติดมาเพียง 1 เมืองเท่านั้น

โอ๊คแลนด์ เมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดสำหรับ Expat ในเอเชียแปซิฟิก

ส่วนท้ายตาราง 3 อันดับ ได้แก่ อันดับ 239 บังกี เมืองหลวงของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง อันดับ 240 เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก และ อันดับ 241 เมืองคาร์ทูม ประเทศซูดาน

ด้านประเทศไทยเรานั้นมี 1 เมืองที่ได้รับการสำรวจคือ “กรุงเทพฯ” คุณภาพชีวิตติดอยู่ในอันดับ 124 ส่วนค่าครองชีพติดอันดับ 113 ของโลก

 

“กัวลาลัมเปอร์” มาแรง คุณภาพชีวิตดี-ค่าครองชีพต่ำ

อย่างไรก็ตาม Mercer เข้าใจดีว่าคุณภาพชีวิตที่ดีในเมืองส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับค่าครองชีพที่สูงด้วยเช่นกัน แต่ก็มีข้อยกเว้นในบางเมืองที่ถือว่า “คุณภาพชีวิตดีแต่มาพร้อมกับค่าครองชีพต่ำ”

ที่น่าสนใจ เช่น “โอ๊คแลนด์” ประเทศนิวซีแลนด์ คุณภาพชีวิตอยู่ในอันดับ 3 ของโลก แต่ค่าครองชีพถือเป็นอันดับ 122 ของโลก หรือ “มอนทรีอัล” ประเทศแคนาดา คุณภาพชีวิตอยู่ในอันดับ 20 แต่ค่าครองชีพเป็นอันดับ 124

(Photo : Shutterstock)

ในกลุ่มข้อมูลนี้มีประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ติดโผ คือ “กัวลาลัมเปอร์” ประเทศมาเลเซีย เป็นเมืองคุณภาพชีวิตดีอันดับ 86 และค่าครองชีพถูกมองว่าต่ำถึงอันดับ 203 ของโลก

การจัดข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตกับค่าครองชีพนี้ Mercer ต้องการชี้ให้เห็นว่า บางครั้งบริษัทที่ต้องการขยายฐานธุรกิจไปยังต่างประเทศและส่งพนักงานไปประจำ รวมถึงกลุ่มดิจิทัล โนแมด/อาชีพที่ทำงานจากที่ใดก็ได้ในโลก ก็ต้องชั่งน้ำหนักทั้งคุณภาพชีวิตและค่าครองชีพที่เหมาะสมสอดคล้องกันด้วย

Source

]]>
1455959
ออกแบบ “ห้องพัก” อย่างไรให้ถูกใจชาว “ญี่ปุ่น” https://positioningmag.com/1443127 Fri, 01 Sep 2023 03:32:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443127 สำหรับคนที่กำลังมองหาการลงทุน “คอนโดฯ” หรือ “อะพาร์ตเมนต์” เพื่อให้ชาว “ญี่ปุ่น” ที่เข้ามาทำงานในไทย (expat) เช่าพัก การออกแบบ “ห้องพัก” ให้โดนใจคนญี่ปุ่นเป็นเรื่องสำคัญในการเอาชนะตลาด และนี่คือ “เคล็ดลับ” ในการดีไซน์จาก บริษัท โนมุระ เรียล เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด

องค์ประกอบในห้องพัก

  • เลย์เอาต์ห้องเน้นพื้นที่ห้องนั่งเล่นกว้างกว่าห้องนอน
  • อ่างอาบน้ำ
  • ฝาสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (washlet)
  • ระเบียงกว้าง
  • ที่เก็บของเยอะ
  • โต๊ะทำงาน

องค์ประกอบพื้นที่ส่วนกลางและทำเล

  • มีซูเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่นในระยะเดินถึง
  • อนเซ็นกว้างขวาง เพดานสูง
  • กิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น Golf Simulator 

รู้หรือไม่? คนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในไทย (expat) มีประมาณ 50,000 คน และ 80% อาศัยอยู่ในโซนสุขุมวิทตั้งแต่อโศกจนถึงเอกมัย

]]>
1443127
“วัน ออริจิ้น – โนมูระ” เปิดมิกซ์ยูสโรงแรม-รีเทลสุขุมวิท 24 เจาะกลุ่มลูกค้า expat “ญี่ปุ่น” https://positioningmag.com/1442779 Tue, 29 Aug 2023 11:15:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442779 พาร์ทเนอร์ร่วมทุน “วัน ออริจิ้น” และ “โนมูระ” เปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสสร้างเสร็จใหม่ “วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 24” ประกบโรงแรมเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์แบรนด์ “สเตย์บริดจ์” จาก IHG เข้ากับคอมมูนิตี้มอลล์ “เนเบอร์” ดึงซูเปอร์ฯ “UFM Fuji” เป็นแม่เหล็กเอาใจลูกค้าเป้าหมาย expat “ญี่ปุ่น”

ความร่วมมือระหว่าง “ออริจิ้น” กับทุนญี่ปุ่น “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” นั้นมีการจอยต์เวนเจอร์กันมาต่อเนื่อง 23 โครงการในไทย โดยล่าสุดเป็นโครงการ “วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 24” มิกซ์ยูสย่านพร้อมพงษ์ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมทำรายได้ให้กับบริษัท

มิกซ์ยูสแห่งนี้มีเนื้อที่ 3 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 แบ่งเป็นส่วนโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ “สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท” จำนวนห้องพัก 411 ห้อง กับส่วนคอมมูนิตี้มอลล์สูง 8 ชั้น “เนเบอร์ 24” (Neighbor 24) พื้นที่เช่า 4,380 ตารางเมตร

วัน ออริจิ้น สุขุมวิท 24
โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท

“ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO แกนหลักจากออริจิ้นในการลงทุนโครงการนี้ ระบุว่าโครงการวางเป้าหมายเจาะกลุ่มชาว “ญี่ปุ่น” ที่มาทำงานในไทย (expat) โดยเฉพาะ ด้วยทำเลโครงการอยู่ในทำเลพร้อมพงษ์ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของชาวญี่ปุ่น

ตัวโรงแรมจะเน้นลูกค้าอาศัยระยะยาว (long stay) ลักษณะเป็นเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 60% และเป็นโรงแรมทั่วไป (short stay) 40% โดยมีการออกแบบทั้งในห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางให้ตรงใจชาวญี่ปุ่น

บรรยากาศใน UFM Fuji สาขาเนเบอร์ 24

ส่วนคอมมูนิตี้มอลล์ เนเบอร์ 24 มีแม่เหล็กสำคัญคือ ซูเปอร์มาร์เก็ต “UFM Fuji” มาเปิดสาขาที่ 5 ที่นี่ รวมถึงมีร้านกาแฟ ร้านอาหาร จากญี่ปุ่นเข้ามาทั้งหมด เช่น ร้านกาแฟ Café Kaldi, ร้านทงคัตสึ โคเซกิ มาเปิดสาขาที่ 2 ต่อจากสาขาไอคอนสยาม, ร้านโดรายะ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจากฮ่องกง เข้ามาในไทยเป็นสาขาแรก

 

ออกแบบโดยคน “ญี่ปุ่น”

ด้าน “นาโอมิ เอนโดะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนมุระ เรียล เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า ทางบริษัทมีความรู้ความเข้าใจถึงความต้องการของคนญี่ปุ่น และจากการวิเคราะห์ตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในย่านพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ทำให้เห็นว่าแม้จะมีคู่แข่งมาก แต่สเตย์บริดจ์ยังสร้างความแตกต่างได้

โดยกุญแจหลักที่จะสร้างความนิยมในหมู่คนญี่ปุ่น คือ “เลย์เอาต์และการออกแบบห้อง” จะต้องเน้นพื้นที่ห้องนั่งเล่นมากกว่าห้องนอน เน้นที่เก็บของมาก มีอ่างอาบน้ำ มีฝาสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (washlet) มีโต๊ะทำงาน และมีระเบียง

อนเซ็นในโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท เพดานสูงและพื้นที่กว้าง ออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่น

รวมถึง “ส่วนกลาง” ของตึกที่จะช่วยส่งเสริมความนิยมในสเตย์บริจ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท คือการมี “อนเซ็น” กว้างและเพดานสูงแบบญี่ปุ่น มีห้อง “Golf Simulator” เพราะคนญี่ปุ่นชื่นชอบกีฬากอล์ฟอย่างมาก รวมถึงการเป็นมิกซ์ยูสที่มีซูเปอร์มาร์เก็ต UFM Fuji อยู่ใกล้ๆ จะเข้ากับไลฟ์สไตล์แม่บ้านญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้โครงการนี้มีอัตราการเข้าพักที่ดี ได้ลูกค้าตามเป้าหมาย

 

มั่นใจดันราคาได้สูงกว่าตลาด

ปิติกล่าวต่อว่า สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท เริ่มเปิดซอฟต์ โอเพนนิ่งบางส่วนมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่าได้ผลตอบรับที่ดี ปัจจุบันมีอัตราการเช่าและเข้าพักเกิน 50%

ห้องพักแบบ 2 ห้องนอน

เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะบริษัทเคยเปิดโครงการแรกมาก่อนในทำเลใกล้เคียง คือ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ซึ่งเปิดเมื่อปี 2563 และใช้กลยุทธ์เดียวกันคือการเจาะกลุ่มชาวญี่ปุ่นพักในเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์จนโครงการดังกล่าวมีอัตราเข้าพักแตะ 80% การมีโครงการแรกมาก่อนทำให้มีฐานลูกค้าที่จองล่วงหน้าเพื่อเข้ามาเช่าในโครงการสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท

ส่วนที่พักในโซนโรงแรมแบบพักระยะสั้นนั้น หวังลูกค้าหลักเป็นชาวญี่ปุ่นอีกเช่นกัน โดยเน้นเป็นกลุ่มเดินทางเชิงธุรกิจ (business trip) กลุ่มนี้จะต้องการที่พักแบบญี่ปุ่นเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

(จากซ้าย) “จุนจิ คิคุจิ” ประธานกรรมการบริษัท ฟูจิ ซิติโอะ จำกัด, “ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน), “นาโอมิ เอนโดะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนมุระ เรียล เอสเตท (ประเทศไทย) จำกัด และ “ราจิต สุขุมารัน” กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG

ปัจจุบันสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท คิดราคาห้องพักแบบระยะสั้นที่ 4,000-4,500 บาทต่อคืน ส่วนค่าเช่าเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ คิดค่าเช่า 80,000-120,000 บาทต่อเดือน ปิติระบุว่าราคาทั้งพักระยะสั้นและระยะยาวถือว่าสูงกว่าตลาดเล็กน้อย แต่บริษัทมีความมั่นใจว่าการออกแบบทุกส่วนในโครงการจะถูกใจชาวญี่ปุ่นได้มากกว่า

“อัตราการเช่าเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในย่านพร้อมพงษ์ทองหล่อนั้นค่อนข้างแตกต่างกันมากในแต่ละตึก ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 50-70% อัตราการเช่าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชอบ ความใช่ เราต้องทำให้โครงการของเราชนะในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้ผู้เช่าบอกต่อได้” ปิติกล่าว

]]>
1442779
“ไทย” ติดอันดับ 9 ประเทศที่เหมาะใช้ชีวิตหลัง “เกษียณ” มากที่สุดในโลก ปี 2023 https://positioningmag.com/1432527 Tue, 30 May 2023 12:38:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432527 นิตยสาร International Living จัดอันดับประเทศที่เหมาะกับกับการใช้ชีวิตวัย “เกษียณ” ประจำปี 2023 ปรากฏ “ไทย” ติดโผในอันดับ 9 และเป็นประเทศแถบเอเชียหนึ่งเดียวที่ติดลิสต์ในกลุ่ม 10 อันดับแรก สะท้อนศักยภาพประเทศไทยยังแข็งแรงหลังผ่านพ้นโควิด-19

International Living นิตยสารอเมริกันด้านการใช้ชีวิตเกษียณในต่างประเทศที่มีมานานกว่า 30 ปี และมีการจัดอันดับประเทศที่เหมาะกับกับการใช้ชีวิตวัย “เกษียณ” อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2023 ปรากฏว่าประเทศ “ไทย” ยังคงอยู่ในใจชาวต่างชาติ ติดอันดับลิสต์นี้ในอันดับที่ 9

ไทยถือเป็นประเทศแถบเอเชียหนึ่งเดียวในกลุ่ม 10 อันดับแรก ร่วมกับประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกา โดยนิตยสารฉบับนี้มองจุดเด่นไทยในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ คือ ค่าครองชีพต่ำ อุดมด้วยแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งไลฟ์สไตล์ ระบบสาธารณสุขดีและบุคลากรสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ รวมถึงสภาพอากาศมีแดดตลอดปี

การจัดอันดับของ International Living นั้นรวบรวมอินไซต์จากเครือข่ายแหล่งข่าวที่นิตยสารมี ซึ่งทางนิตยสารมองว่ามีน้ำหนักมากกว่าการเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาโหวตหรือส่งข้อมูลใดๆ ก็ได้

10 อันดับแรกประเทศที่เหมาะกับกับการใช้ชีวิตวัย “เกษียณ” ประจำปี 2023 ได้แก่

อันดับ 10 โคลอมเบีย
Cartagena de Indias ประเทศโคลอมเบีย (Photo: Shutterstock)

จุดเด่นของโคลอมเบีย คือ การได้ใช้ชีวิตในภูมิอากาศที่ดีตลอดปีด้วยค่าครองชีพต่ำ และวัฒนธรรมคนท้องถิ่นเปิดกว้างต่อคนแปลกหน้า ยินดีต้อนรับผู้มาอยู่อาศัยใหม่ นอกจากนี้ โคลอมเบียยังมีระบบสาธารณสุขที่ดีระดับ Top 25 ของโลก ในราคาที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ 2-3 เท่า

ปัจจุบันโคลอมเบียมีวีซ่าระบบใหม่เอื้อต่อผู้พำนักต่างชาติมากขึ้น โดยชาวต่างชาติที่มีเงินบำนาญไม่ต่ำกว่าเดือนละ 700 เหรียญสหรัฐ สามารถขอวีซ่าเกษียณในโคลอมเบียได้ทันที รวมถึงมีการเปิดวีซ่าสำหรับกลุ่ม ดิจิทัล โนแมด ด้วยเช่นกัน

ค่าใช้จ่ายที่ต่ำในโคลอมเบียหมายถึงการมีรายได้ 1,000-2,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสบายในไลฟ์สไตล์แบบชนชั้นกลางบนได้ โดยโคลอมเบียมีแหล่งไลฟ์สไตล์มากมาย เช่น สนามกอล์ฟ สนามเทนนิส เต้นรำแทงโก้ พิพิธภัณฑ์ แกลลอรีศิลปะ โรงละคร ฯลฯ

อันดับ 9 (ร่วม) ไทย
หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต

จุดเด่นของไทย คือ ภูมิอากาศร้อน แสงแดดสดใส แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมงดงามตั้งแต่หมู่เกาะทางใต้ ไปจนถึงขุนเขาทางเหนือ เต็มไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ ร้านอาหาร-คาเฟ่หลายสัญชาติ งานเทศกาลต่างๆ ที่ทำให้ผู้มาอาศัยมีชีวิตชีวาเสมอ รวมถึงระบบสาธาณสุขดีเยี่ยมโดยบุคลากรที่พูดภาษาอังกฤษได้ โดยทั้งหมดนี้มาพร้อมกับค่าครองชีพที่ต่ำ

ประเทศไทยยังเป็นแหล่งเกษียณอายุมานานหลายทศวรรษ ทำให้ปัจจุบันมีชุมชน expat ที่แข็งแรง โดยเฉพาะชาวอเมริกัน อังกฤษ แคนาเดียน ฝรั่งเศส และสวิส

ในแง่ค่าครองชีพ expat ส่วนใหญ่ในไทยมองว่าหากมีรายได้ 2,500 เหรียญสหรัฐต่อเดือนก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในไทยได้แล้ว

อันดับ 9 (ร่วม) อิตาลี
Photo : Shutterstock

จุดเด่นของอิตาลี คือ ภูมิอากาศ ชายหาด อาหาร ไวน์ กีฬา ระบบสาธารณสุขอันดับ 2 ของโลก และไลฟ์สไตล์ที่แวดล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

โครงสร้างพื้นฐานของอิตาลีก็รองรับการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน อินเทอร์เน็ตเข้าถึงทั่วประเทศ ระบบไฟฟ้าเสถียร น้ำประปาดื่มได้

ด้านค่าครองชีพที่คนมักจะมองว่าแพง แต่จริงๆ แล้วสามารถใช้ชีวิตได้ในราคา 3,500 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หากเลือกพักอาศัยในเมืองหรือในทำเลที่ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวหลัก และปัจจุบันอิตาลีมีบางเมืองที่ต้องการหาผู้พักอาศัยด้วย โดยการจ่ายค่าที่พักให้บางส่วนเพื่อดึงคนเข้ามา

อันดับ 8 ฝรั่งเศส
(Photo by Pascal Le Segretain/Getty Images )

ฝรั่งเศสมักจะถูกมองข้ามเมื่อพูดถึงประเทศสำหรับใช้ชีวิตวัยเกษียณ แต่ที่จริงแล้วฝรั่งเศสมีจุดเด่นที่ “คุณภาพชีวิต” ซึ่งฝังอยู่ในวัฒนธรรม มีภูมิความรู้ด้าน “อาหาร” ที่ได้รับยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกประเภทจับต้องไม่ได้ สิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศสเอื้อให้คนวัยเกษียณได้ใช้ชีวิต “สโลว์ไลฟ์” อย่างที่ต้องการ

สำหรับค่าครองชีพที่หลายคนกังวล ที่จริงแล้วหากไม่ได้เลือกอาศัยในปารีสหรือเฟรนช์ริเวียร่า ค่าที่พักจะถูกกว่าในสหรัฐฯ​ ประมาณ 34%

อันดับ 7 กรีซ
ซานโตรินี่ ประเทศกรีซ (Photo by Aleksandar Pasaric from Pexels)

ไม่ต้องสืบเลยว่าทำไมกรีซจึงอยู่ในลิสต์ ประเทศชายทะเลเมดิเตอเรเนียนนี้มีวิวทิวทัศน์แสนงาม ผู้คนมีใจรักการบริการ อาหารชั้นเลิศ เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ และค่าครองชีพไม่สูงมากนัก

หนึ่งในวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการเกษียณอายุ คือคนกรีกมีความเคารพและโอบอุ้มกลุ่มคนสูงวัยมาก ทำให้คนสูงวัยยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และทำให้ระบบการแพทย์มีคุณภาพในราคาถูก บุคลากรการแพทย์ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี

ค่าครองชีพที่ว่าถูกนั้นประมาณการว่าถูกกว่าในสหรัฐฯ ราวครึ่งหนึ่ง และไลฟ์สไตล์ในกรีซยังทำให้การเข้าสังคมไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากอีกด้วย

อันดับ 6 สเปน
(Photo by David Ramos/Getty Images)

อีกหนึ่งประเทศชายทะเลที่มีแดดตลอดปี เป็นประเทศยอดนิยมหลังเกษียณของคนในยุโรปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ เยอรมัน หรือกลุ่มยุโรปเหนือ ชื่นชอบที่จะย้ายมาใช้ชีวิตในสเปนหลังเกษียณ

ค่าครองชีพที่จริงไม่ได้สูงมากนัก โดยสามารถใช้จ่ายที่ 2,000-2,500 เหรียญสหรัฐต่อเดือนได้ หากเลือกอาศัยในเมืองที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญหรือเมืองหลวง และราคาพืชผักผลไม้ยังถูกกว่าในสหรัฐฯ​ มากทำให้มีโภชนาการที่ดี นำไปสู่อายุที่ยืนยาว

นอกจากนี้ สเปนยังเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ มากที่สุดในโลก ทำให้มีชุมชนคนวัยเกษียณที่เป็นเพศ LGBTQ+ อยู่ด้วย

อันดับ 5 คอสตาริกา
Photo by Edgar Arroyo / Pexels

ปัจจุบัน 10% ของผู้อาศัยในคอสตาริกาเป็น expat ต่างชาติที่ถูกดึงดูดด้วยจุดเด่นหลายอย่าง เช่น ภูมิอากาศ ค่าครองชีพต่ำ มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตนอกบ้าน คนท้องถิ่นที่เป็นมิตร และล่าสุดยังให้สิทธิแต่งงานของเพศเดียวกัน ทำให้เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เหมาะกับ LGBTQ+

คอสตาริกามีชื่อเล่นว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอเมริกากลาง” เพราะประเทศไม่มีกองทัพมาตั้งแต่ปี 1948 และใช้งบประมาณส่วนนี้ไปกับการศึกษาและระบบสาธารณสุข จนทำให้เป็นประเทศชั้นนำด้านการแพทย์ในแถบละตินอเมริกา

ค่าครองชีพในคอสตาริกาอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 เหรียญสหรัฐ เพื่ออาศัยในบ้านหรือคอนโดฯ ขนาด 2 ห้องนอน และใช้ชีวิตได้สะดวกสบาย

อันดับ 4 เอกวาดอร์
เอกวาดอร์ (Photo by Alejandra Tellez Venegas / Pexels)

ประเทศนี้กำลังมาแรงเพราะการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น 30% ในช่วง 5 ปีหลัง ถือเป็นประเทศใหม่ที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่ expat กลับย้ายเข้าไปอยู่มากขึ้น เพราะพบว่าค่าครองชีพถูก แต่มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งขนส่งมวลชนและอินเทอร์เน็ตพร้อม ในภูมิอากาศแสงแดดสดใสชายทะเลแปซิฟิก และผู้คนที่เป็นมิตรกับไลฟ์สไตล์สุดชิล

ค่าครองชีพในเอกวาดอร์อยู่ที่ประมาณ 1,500-1,800 เหรียญสหรัฐต่อเดือนเท่านั้น

อันดับ 3 ปานามา
ปานามา (Photo by Luis Quintero / Pexels)

ปานามามีเสน่ห์จากทะเลสีฟ้าคราม และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ครบทั้งแหล่งเที่ยวกลางคืน ร้านอาหาร คาเฟ่ พิพิธภัณฑ์ โรงละคร ฯลฯ มาพร้อมกับค่าครองชีพและราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สูง พร้อมด้วยบริการทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และน้ำประปาดื่มได้

ปานามามีวีซ่าที่ส่งเสริมให้ expat มาเกษียณอายุที่นี่ โดยถ้าหากมีบำนาญมากกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือนก็สามารถยื่นขอวีซ่าได้ทันที ทำให้มีชุมชนคนต่างชาติจากทั่วโลกมาอาศัย เช่น อเมริกัน แคนาเดียน เวเนซูเอลา อาร์เจนตินา จาไมกา ฝรั่งเศส กรีก เกาหลี จีน ฯลฯ

อันดับ 2 เม็กซิโก
เม็กซิโก (Photo by Rafael Guajardo / Pexels)

เม็กซิโกเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศหลากหลายมาก ตั้งแต่ชายหาด ทะเลทราย ป่าดิบชื้น จนถึงภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม ประเทศนี้ถือเป็นแหล่งอาศัยของ expat อเมริกันและแคนาเดียนมากกว่า 2 ล้านคน

ด้วยความหลากหลายของประเทศทำให้มีไลฟ์สไตล์ตอบสนองคนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเที่ยวกลางคืน ปีนเขา เต้นรำ คอนเสิร์ต ละครเวที ฯลฯ และคนท้องถิ่นยังมีความเป็นมิตร ทำให้ชาวต่างชาติสามารถเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนได้ไม่ยาก

ค่าครองชีพในเม็กซิโกอยู่ที่ 2,000-2,500 เหรียญสหรัฐต่อเดือน รวมค่าประกันสุขภาพแล้ว

อันดับ 1 โปรตุเกส

ประเทศที่เป็นมิตรกับการเกษียณอายุด้วยภูมิประเทศติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อาหาร รวมถึงผู้คนท้องถิ่นที่เป็นมิตร ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดีโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ทำให้ประเทศนี้ยินดีต้อนรับชาวต่างชาติ

แหล่งเกษียณของโปรตุเกสนั้นมีให้เลือกทั้งเมืองชายทะเลใกล้ชิดกับแหล่งเกษตรกรรม หรือเมืองหลวงลิสบอนที่เต็มไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ค่าครองชีพประมาณ 2,500-3,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือน

]]>
1432527
ผลจัดอันดับเผย กัวลาลัมเปอร์ครองแชมป์เมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Expat กรุงเทพฯ ครองอันดับ 5 https://positioningmag.com/1410125 Sun, 27 Nov 2022 07:10:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410125 เมืองหลวงของมาเลเซียติดการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Expat เนื่องจากค่าครองชีพรวมถึงภาษีเฉลี่ยแล้วถูกกว่าเมืองอื่นๆ ทั่วโลก ขณะที่กรุงเทพฯ นั้นติดอันดับ 5 ของการจัดอันดับนี้

ผลจัดอันดับจาก Preply ซึ่งเป็นแอปสำหรับเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ได้ชี้ว่ากัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่ปักหลักทำงานในประเทศอื่น (Expat) โดยมีเมืองต่างๆ ในอาเซียนติดอันดับถึง 3 เมือง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกรุงเทพฯ

รายงานของ Preply นั้นได้รวบรวมเมืองต่างๆ ทั่วโลกมากถึง 60 เมืองยอดฮิตที่เหล่า Expat นั้นได้ทำงาน และมีการจัดอันดับออกมาโดยใช้ปัจจัยในการย้ายถิ่นฐานไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ภาษี ค่าใช้จ่ายด้านที่พัก ความเร็วอินเทอร์เน็ต ความยากง่ายของภาษาท้องถิ่น ไปจนถึงเมืองดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหรือไม่

โดยแชมป์ในปีนี้ก็คือเมืองหลวงของมาเลเซีย โดยปัจจัยสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราภาษี ราคาค่าเช่าที่พักที่ต่ำ นอกจากนี้ยังรวมถึงปัจจัยของภาษา เนื่องจากมาเลเซียใช้ภาษาอังกฤษ

ขณะที่กรุงเทพมหานครนั้น รายงานของ Preply ได้ชี้ว่าอัตราภาษีและค่าเช่าที่พักอาศัยนั้นถือว่าสูง เมื่อเทียบกับเมืองหลวงของมาเลเซีย อย่างไรก็ดีแนวโน้มในความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ ถือว่าเพิ่มมากขึ้น หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด

นอกจากนี้เมื่อเทียบกับการจัดอันดับแล้วกรุงเทพมหานครนั้นถือว่ามีราคาอาหารที่ถูก เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่เหลือ

สำหรับเมืองอื่นๆ ที่ติดอันดับนั้น เช่น ทบิลิซี เมืองหลวงของจอร์เจีย ดูไบ ลิสบอน ปราก มาดริด บาร์เซโลนา อาลิกันเต จากสเปน มอนทรีออล มัสกัต บราก้า รวมถึงฮานอย

]]>
1410125
“แคนาดา” รับผู้อพยพปีละ 5 แสนคน แก้ปัญหาแรงงานขาด สายสุขภาพ-ก่อสร้างต้องการด่วน https://positioningmag.com/1406493 Thu, 03 Nov 2022 04:50:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1406493 อยากย้ายประเทศเช็กคุณสมบัติได้เลย! “แคนาดา” วางแผนรับผู้อพยพย้ายประเทศต่อเนื่องระหว่างปี 2023-2025 สูงสุดปีละ 500,000 คน แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน ตำแหน่งงานว่างกว่า 1 ล้านตำแหน่ง โดยสายงานที่ขาดแคลนมากที่สุดคืองานสาธารณสุขและงานก่อสร้าง

Sean Fraser รัฐมนตรีกระทรวงผู้อพยพเข้าเมือง เปิดเผยนโยบายใหม่ของรัฐบาลแคนาดาที่ต้องการรับผู้อพยพเข้ามาเป็นผู้อาศัยอยู่ถาวร (Permanent Residents) มากขึ้น โดยเน้นรับผู้ที่มีทักษะและประสบการณ์ที่ประเทศต้องการ นอกจากนี้ จะเปิดรับสมาชิกครอบครัวของผู้อพยพและกลุ่มผู้ลี้ภัยมากขึ้นด้วย

แผนใหม่นี้จะเปิดรับผู้อพยพ 465,000 คนภายในปี 2023 และเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได ในปี 2025 คาดจะเปิดรับ 500,000 คน ถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาก ถ้าเทียบกับปี 2021 ที่แคนาดารับผู้อยู่อาศัยถาวรเป็นจำนวน 405,000 คน

ตามแผนใหม่ที่จะเปิดรับ ส่วนใหญ่แล้วจะรับกลุ่ม “ผู้อพยพเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ” เพราะต้องการให้มาเติมเต็มแรงงานที่ขาดแคลนอยู่กว่า 1 ล้านตำแหน่งขณะนี้ และรัฐบาลแคนาดามองว่าถ้าหากไม่รับผู้อพยพมากกว่านี้ ก็จะไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้เร็วขึ้น

ใน 1 ล้านตำแหน่งที่ขาดแคลนแรงงานอยู่นั้นกระจายกันไปในหลายภาคอุตสาหกรรม แต่กลุ่มที่ขาดแคลนมากที่สุดและแคนาดาจะเร่งเปิดรับคือสายงานสาธารณสุข รวมถึงสายงานก่อสร้างด้วย ปัจจุบันแคนาดาประสบปัญหาที่อยู่อาศัยมีไม่เพียงพอเพราะก่อสร้างไม่ทันความต้องการ

ผู้อพยพถือเป็นส่วนสำคัญในการเติมแรงงานในระบบของแคนาดา เพราะตั้งแต่ทศวรรษ 2010s เป็นต้นมา ผู้อพยพคิดเป็นสัดส่วนถึง 84% ของกลุ่มแรงงานในประเทศ

อย่างไรก็ตาม อีกปัญหาหนึ่งที่แคนาดาจะพยายามเข้าจัดการในแผนรับผู้อพยพใหม่นี้ คือ “การใช้ประโยชน์จากแรงงานมีทักษะให้เต็มศักยภาพ” เพราะที่ผ่านมาผู้อพยพที่มีการศึกษาถึงระดับปริญญาตรีขึ้นไป กลับมีเพียง 38% ที่ได้ทำงานในตำแหน่งที่ต้องการใบปริญญา ที่เหลือยอมลดระดับลงมาทำงานแรงงานทั่วไปเพื่อ ‘ขอให้ได้ข้ามพรมแดนมาก่อน’ ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียศักยภาพที่ควรจะมีต่อระบบเศรษฐกิจ

นอกจากแผนรับผู้อพยพที่มีทักษะตรงความต้องการแล้ว แคนาดาจะเปิดโควตาให้สมาชิกครอบครัวของผู้อพยพเข้ามาด้วย ตลอดจนกลุ่มผู้ลี้ภัยสงคราม โดยมีเป้าหมายรับคนกลุ่มนี้ 76,000 คนในปี 2023 และ 73,000 คนในปี 2025

ทั้งนี้ แคนาดาถือเป็นประเทศที่รับผู้ลี้ภัยสูงมาก 1 ใน 3 ของผู้ลี้ภัยสงครามทั่วโลกได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งในแคนาดานี้เอง ตัวอย่างเช่น ชาวอัฟกานิสถานกว่า 40,000 คนจะได้รับอนุญาตเสร็จสิ้นให้อาศัยในแคนาดาได้ภายในปีหน้า

ที่มา: The Economic Times, Financial Post

]]>
1406493
นโยบาย ‘Zero-Covid’ บีบเหล่า Expat ทักษะสูง จำใจลาออก สะเทือนภาคการเงินฮ่องกง https://positioningmag.com/1371501 Tue, 25 Jan 2022 15:34:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371501 เเนวทาง “Zero-Covid” ที่ฮ่องกงยึดปฏิบัติอย่างเข้มงวดตามรัฐบาลจีน กำลังบีบให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในเเวดวงการเงิน จำใจลาออก ทิ้งตำเเหน่งงานค่าตอบเเทนสูงเพื่อกลับประเทศ 

เมื่อปลายปีที่เเล้ว Tania Sibree ลาออกจากงานที่ได้รับค่าตอบเเทนสูง จากการเป็นทนายความของบริษัทการเงินแห่งหนึ่งในฮ่องกง กลับมาอยู่ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดอย่างออสเตรเลีย หลังต้องทนใช้ชีวิตอยู่ต่อภายใต้มาตรการควบคุมโควิด-19 อันเข้มงวดเเละไม่มีท่าทีจะผ่อนคลายลง 

เธอย้ายมาทำงานประจำที่ฮ่องกง เมื่อ 5 ปีก่อนเเละใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเกิดวิกฤตโรคระบาดในช่วงปีที่ผ่านมา

โดย Sibree เป็นหนึ่งในในผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติที่มีทักษะสูง หลายร้อยหรือหลายพันคนที่ต้องจำใจลาออกหรือกำลังวางแผนจะย้ายที่อยู่ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจของฮ่องกง หนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลกได้

“การกักตัวในโรงแรมนานๆ เป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับคนที่ต้องอยู่ไกลจากครอบครัว นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ฉันตัดสินใจกลับประเทศ” เธอกล่าว

เหล่า Expat หลายคนเคยคิดว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ทางการฮ่องกงจะเริ่มผ่อนคลายจำกัด ผ่อนปรนมาตรการมากขึ้น และระเบียบที่เข้มงวดจะไม่ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ทว่าฮ่องกงซึ่งอยู่ภายใต้อาณัติของจีน ได้ดำเนินนโยบาย “Zero-Covid” คุมยอดผู้ป่วยโควิดให้เป็นศูนย์ ตามรัฐบาลปักกิ่ง แทนที่จะปรับมาใช้ชีวิตร่วมกับโควิดเหมือนในหลายๆ ประเทศ

เเม้ว่าฮ่องกงจะมีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมราว 13,000 รายจากประชากรทั้งหมด 7.4 ล้านคน ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก

ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงวิกฤตโรคระบาด ฮ่องกงก็มีการบังคับใช้มาตรการกักตัวที่เข้มงวดอยู่แล้ว เเละยกระดับคุมเข้มยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงปีที่เเล้ว โดยอนุญาตให้เฉพาะคนฮ่องกงและผู้มีถิ่นพำนักเดินทางกลับได้เท่านั้น และต้องกักตัวสูงสุดเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาครบโดสแล้ว

อย่างไรก็ตาม นโยบาย “Zero-Covid” ที่เข้มงวด ก็ไม่ได้ทำให้ฮ่องกงใกล้จุดผู้ติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์นัก โดยเมื่อวันอาทิตย์ (23 ม.ค.) ฮ่องกงยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 140 ราย อีกทั้งไม่มีสัญญาณใดๆ ว่า ทางการจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการลง

เหล่านี้ เป็นผลให้ชาวต่างชาติจำนวนมากคิดจะลาออกจากงานมากขึ้น โดยเฉพาะในเเวดวงการเงิน ทั้งพนักงานในธนาคารยักษ์ใหญ่ ผู้จัดการสินทรัพย์ ขณะที่สำนักงานกฎหมายต้องเผชิญกับการที่พนักงานจำนวนมากเลือกจะลาออกหลังได้รับโบนัสประจำปี

วาณิชธนากรรายหนึ่ง บอกกับ Reuters ว่า “ถ้าตอนนี้คุณอยู่ในสิงคโปร์จะดีกว่าฮ่องกงมาก เพราะคุณยังสามารถเดินทางได้ อย่างน้อยก็ปีละครั้งหรือสองครั้ง” โดยข้อจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศนับเป็นปัจจัยสำคัญที่พนักงานชาวต่างชาติขอย้ายออกจากสาขาที่ฮ่องกง

 

ที่มา : Reuters 

 

]]>
1371501
ย้ายประเทศกันเถอะ!! 10 ประเทศที่ Expat อยู่แล้ว “พึงพอใจ” ที่สุดในโลกปี 2020 https://positioningmag.com/1331177 Sun, 09 May 2021 06:56:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331177 กระแส “ย้ายประเทศกันเถอะ” เป็นที่ฮือฮามากจากกลุ่มใน Facebook ที่มีสมาชิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (ณ วันที่ 5 พ.ค. 64 มีสมาชิกแตะ 7.66 แสนคน) จริงๆ แล้วการย้ายไปเป็น “Expat” ในต่างประเทศเกิดขึ้นมานานแล้ว มาลองดูข้อมูลสำรวจความพอใจของ Expat ในประเทศต่างๆ โดย HSBC ประกอบกับ “อาชีพ” ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD จากบริษัทจัดหางาน Michael Page กัน

10 ประเทศที่ Expat อยู่แล้ว “พอใจ” มากที่สุดในโลก ปี 2020

HSBC สำรวจความคิดเห็น Expat จำนวน 20,000 คน ใน 40 ประเทศทั่วโลก มีดัชนีชี้วัดความพอใจ 6 ข้อใหญ่ คือ คุณภาพชีวิต, สังคมโดยรวม, สังคม Expat, การเงิน, การงาน และทัศนคติต่อชีวิต พบว่ามี 10 ประเทศนี้ที่ Expat มีความพอใจมากที่สุด

อันดับ 10 – ไอร์แลนด์

ประเทศที่กำลังมาแรงในกลุ่ม Expat เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ Expat ยังชื่นชมทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามของไอร์แลนด์ เป็นจุดแข็งมากที่สุดของที่นี่

อันดับ 9 – แคนาดา

จุดแข็งของแคนาดาคือเป็นจุดหมายปลายทางของคนที่ต้องการอพยพทั้งครอบครัว เนื่องจากแคนาดามีความหลากหลายทางวัฒนธรรม นักเรียนเกือบ 1 ใน 3 เป็นชาวต่างชาติ ทำให้ครอบครัว Expat เป็นที่ต้อนรับและปรับตัวได้ง่ายกว่าที่อื่น

อันดับ 8 – ออสเตรเลีย

ออสเตรเลียมีข้อดีสูงมากสำหรับ Expat ด้วยสภาพอากาศที่ดีต่อสุขภาพ อากาศอบอุ่นเกือบทั้งปี นิสัยคนท้องถิ่นสบายๆ ยินดีต้อนรับคนต่างชาติ และคุณภาพการศึกษาดีเยี่ยม เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กวัยเรียน

อันดับ 7 – เนเธอร์แลนด์

จุดเด่นของประเทศนี้คือหัวใจของชาวดัตช์ที่เปิดกว้าง ยึดหลักเสรีนิยม ความคิดหัวก้าวหน้า และยอมรับความแตกต่างหลากหลาย แถมยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมกับความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจด้วย

อันดับ 6 – กาตาร์

เงิน เงิน เงิน! “ไข่มุกแห่งอ่าวเปอร์เซีย” แม้กาตาร์จะเล็กแต่เป็นแหล่งเศรษฐกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้มีการจ้างงาน Expat จำนวนมาก รายได้สูง และมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้

อันดับ 5 – สเปน

สเปนเหมาะมากกับ Expat ที่ต้องการสมดุลชีวิตการทำงาน ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น เมื่อรวมกับสภาพอากาศ และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย จึงเป็นสวรรค์ของคุณภาพชีวิตที่มีความสุข

อันดับ 4 – เยอรมนี

เยอรมนีคือ “เครื่องยนต์แห่งยุโรป” ความแข็งแกร่งของประเทศอยู่ที่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รัฐสวัสดิการที่ดึงดูดใจ และระบบการศึกษาดีเยี่ยม เหมาะสำหรับ Expat ที่ต้องการพาครอบครัวมาลงหลักปักฐาน

อันดับ 3 – นิวซีแลนด์

นิวซีแลนด์ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งการผจญภัยของโลก” เหมาะกับคนรักกิจกรรมกลางแจ้ง แถมด้วยไลฟ์สไตล์คนกีวีที่สบายๆ อบอุ่น ระบบการเมืองการปกครองมั่นคงและมีประสิทธิภาพ ทำให้ Expat จำนวนมากย้ายไปอยู่ทั้งครอบครัว

อันดับ 2 – สิงคโปร์

จิตวิญญาณของสิงคโปร์ตั้งอยู่บน “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” คนส่วนใหญ่พูดสองภาษา ทำให้ Expat ปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ง่าย รวมทั้งการเป็นฮับเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ทำให้การงานรายได้ดีและสร้างความก้าวหน้าทางอาชีพได้ดีมาก

อันดับ 1 – สวิตเซอร์แลนด์

อุตสาหกรรมการเงินแข็งแกร่ง ระดับรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทิวทัศน์ธรรมชาติอันอัศจรรย์ ระบบการศึกษาระดับสากล รุ่มรวยด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัย ทั้งหมดนี้ทำให้ Expat มากมายนิยมย้ายไปอาศัยอยู่ทั้งครอบครัว

ส่วน “ประเทศไทย” ปี 2020 อยู่ในอันดับที่ 33 จุดเด่นของเราคือสถานที่ในประเทศแตกต่างกันสุดขั้ว มีตั้งแต่วิวเมืองมหานครในกรุงเทพฯ จนถึงบรรยากาศชนบทบนเกาะกลางทะเล และ “รอยยิ้ม” ที่มีให้ชาวต่างชาติเสมอ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของประเทศไทยคือ “คุณภาพชีวิต” และ “ระบบการศึกษา” ที่ Expat ไม่ควรคาดหวังว่าจะเป็นเหมือนประเทศโลกที่หนึ่ง รวมถึง “ความมั่นคงทางการเมือง” ก็เป็นหนึ่งในปัญหาหลักของประเทศ

 

10 “อาชีพ” ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD

สำหรับคนที่กำลังมองหาทิศทางการพัฒนาตนเองเพื่อย้ายประเทศ บริษัทจัดหางาน Michael Page สรุปผลการสำรวจประเทศในกลุ่ม OECD จำนวน 36 ประเทศ พบว่า 10 อาชีพเหล่านี้คืออาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด นับจากจำนวนประเทศ (*เป็นความต้องการโดยรวม ไม่ได้แยกเฉพาะ Expat)

*OECD คือ กลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ข้อตกลงเพื่อยอมรับการค้าเสรีและระบอบประชาธิปไตยร่วมกัน

#ย้ายประเทศกันเถอะ #อาชีพ #Positioningmag

]]>
1331177
กลุ่ม expat ในไทยเปลี่ยนโฉม! จำนวน “ชาวญี่ปุ่น” ลดลง แต่ “ชาวจีน-ฟิลิปปินส์” เพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1299782 Fri, 02 Oct 2020 17:19:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299782 ถ้าพูดถึงกลุ่ม expat หรือคนต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในไทย ยุคก่อนหน้านี้คงหนีไม่พ้น “ชาวญี่ปุ่น” ที่มีเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลล่าสุดจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวพบว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนชาวญี่ปุ่นในไทยลดลง 22% สวนทางกับ “ชาวฟิลิปปินส์” ที่เพิ่มขึ้น 38% และ “ชาวจีน” เพิ่มขึ้น 31% เป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพิง expat เช่น คอนโดฯ ปล่อยเช่าซึ่งดีมานด์จะเปลี่ยนทำเลไป

CBRE ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ค้นข้อมูลจาก สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว อ้างอิงจากจำนวนใบอนุญาตทำงานในไทยพบว่า สัญชาติของ expat ที่มีมากที่สุดในไทยยังคงเป็น “ชาวญี่ปุ่น” มีทั้งหมด 28,560 คน ณ สิ้นไตรมาส 3/63 คิดเป็นสัดส่วน 18%

แต่เทรนด์การเติบโตได้เปลี่ยนแปลงไป โดยนับจากปี 2558 จนถึงไตรมาส 3/63 จำนวนชาวญี่ปุ่นในไทยลดลงไปแล้ว 22% จากที่เคยไปพีคที่สุดในปี 2558 ด้วยจำนวนคน 36,666 คน

สวนทางกับ “ชาวฟิลิปปินส์” และ “ชาวจีน” ที่เข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีชาวฟิลิปปินส์ขอใบอนุญาตทำงานในไทย 18,472 คน เพิ่มขึ้น 38% ในช่วงปี 2558-สิ้นไตรมาส 3/63 และชาวจีนปัจจุบันมีอยู่ 25,811 คน เพิ่มขึ้น 31% คิดตามช่วงเวลาเดียวกัน

“รัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ” หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ CBRE ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า เนื่องจากชาวญี่ปุ่นในไทยส่วนใหญ่จะทำงานเกี่ยวกับภาคการผลิต ส่งออก ค้าปลีก ยานยนต์ ฯลฯ มีการเข้ามาตั้งโรงงานและส่งบุคลากรมาทำงานมานาน จนปัจจุบันสามารถฝึกชาวไทยให้มีประสิทธิภาพทำงานแทนชาวต่างชาติได้แล้ว รวมถึงค่าแรงชาวไทยที่สูงขึ้นจนโรงงานบางส่วนย้ายฐานผลิตไปเวียดนามและกัมพูชา จึงส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานระยะยาวในไทยลดลง

ในทางกลับกัน ชาวจีนเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น เพราะปัญหาสงครามการค้าทำให้บริษัทจีนย้ายฐานผลิตออกนอกประเทศเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ โดยมีประเทศอาเซียนเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญ ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่เข้ามาแทนที่ในภาคการผลิต ส่งออก ค้าปลีก และยานยนต์

ส่วนชาวฟิลิปปินส์นั้นส่วนใหญ่จะเข้ามาทำงานภาคการศึกษาของไทย ด้วยเทรนด์โรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนสองภาษาที่เป็นกระแสในกรุงเทพฯ และชาวฟิลิปปินส์มีความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษแต่ค่าแรงต่ำกว่าชาวอเมริกัน ยุโรป หรือออสเตรเลีย ทำให้โรงเรียนนิยมจ้างงานชาวฟิลิปปินส์มากขึ้น

 

คอนโดฯ ปล่อยเช่าต่างชาติเปลี่ยนทำเลที่น่าสนใจ

ข้อมูลเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่พึ่งพิงลูกค้า expat เพราะคนแต่ละสัญชาติมีพฤติกรรมการบริโภคที่ต่างกัน ในแง่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ CBRE เชี่ยวชาญ มองว่าจะทำให้เกิดผลบวกกับทำเลที่ชาวจีนและชาวฟิลิปปินส์นิยมอยู่อาศัย

โดยปัจจุบันชาวจีนนิยมอาศัยอยู่ในย่านพระราม 9-รัชดาภิเษก เนื่องจากเป็นย่านใกล้สถานทูตจีน ทำให้มีแหล่งร้านค้า ร้านอาหารจีนและยังใกล้สถานีรถไฟฟ้าทำให้เดินทางสะดวก

ด้านชาวฟิลิปปินส์จะนิยมอาศัยในย่านอ่อนนุช เนื่องจากค่าเช่าต่ำกว่าพื้นที่สุขุมวิทตอนต้นและตอนกลาง แต่ยังอยู่บนแนวเส้นทาง BTS สายสีเขียวเช่นกัน จึงเดินทางไปทำงานสะดวก ยกตัวอย่างความต่างของราคาเช่าสถานีเอกมัยจะสูงกว่าสถานีพระโขนงถึง 15% แม้ว่าจะห่างกันเพียงสถานีเดียวก็ตาม ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าคอนโดฯ ที่ไม่ได้อยู่ใจกลางซีบีดี แต่เป็นส่วนขยายของซีบีดีอย่างพระราม 9-รัชดาและพระโขนง-อ่อนนุชน่าจะได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัจจัยให้นักลงทุนที่ต้องการปล่อยเช่าที่พักชาวต่างชาติควรนำไปพิจารณา

]]>
1299782