Wealth – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 03 May 2024 05:27:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Deutsche Bank รุกธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในอาเซียน เตรียมจ้างพนักงานเพิ่ม ตั้งเป้าภายใน 5 ปี มี AUM เพิ่มขึ้น 2 เท่า https://positioningmag.com/1472004 Fri, 03 May 2024 04:52:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472004 ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) สถาบันการเงินรายใหญ่จากเยอรมนี เตรียมรุกธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยมองถึงโอกาสหลังจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีหลังจากนี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลเพิ่มมากขึ้น 2 เท่า

สำนักข่าว Bloomberg ได้สัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารของ Deutsche Bank ซึ่งเขาได้กล่าวว่าสถาบันการเงินรายนี้เตรียมรุกธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้กับบรรดามหาเศรษฐีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น และจะมีการจ้างพนักงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น

Claudio de Sanctis ผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจ Private Bank ของ Deutsche Bank ได้กล่าว่า ทางธนาคารได้มีการโยกย้ายกำลังคนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีการจ้างงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องเพิ่ม

พนักงานที่สถาบันการเงินรายนี้จ้างมานั้นบางส่วนเป็นอดีตพนักงานที่มาจากเครดิตสวิส (Credit Suisse) ซึ่งถูก UBS ควบรวมกิจการไปเมื่อปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน Deutsche Bank มีสินทรัพย์ภายใต้การดูแล (AUM) อยู่ที่ 650,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังตามหลัง UBS ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลเกือบ 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

Deutsche Bank คาดเม็ดเงินบางส่วนจะไหลออกจากสถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งลูกค้าบางส่วนเป็นลูกค้าทั้ง Credit Suisse และ UBS ส่งผลให้ลูกค้าเหล่านี้ต้องการหาสถาบันการเงินรายใหม่ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัว

นอกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว Deutsche Bank เองยังเตรียมที่จะรุกธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเพิ่มในตะวันออกกลางด้วย ผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจ Private Bank รายนี้ยังได้กล่าวว่า 2 พื้นที่ดังกล่าวนี้ถือว่ามีความเชื่อมโยงกัน และมีความสำคัญมากขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมา

สำหรับลูกค้าระดับมั่งคั่งสูงสุด (Ultra High Networth) ของ Deutsche Bank จะต้องมีสินทรัพย์ฝากไว้กับสถาบันการเงินรายนี้อย่างน้อย 50 ล้านยูโร หรือไม่ก็ต้องเป็นลูกค้าที่มีสินทรัพย์อย่างน้อย 150 ล้านยูโร ถึงจะเป็นลูกค้าได้

เป้าหมายธุรกิจ Private Bank ของ Deutsche Bank คือมี AUM เพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในระยะเวลา 5 ปีหลังจากนี้ และผู้บริหารรายนี้ยังมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของสถาบันการเงินรายใหญ่จากเยอรมนีรายนี้ด้วย

]]>
1472004
Tisco ตั้งเป้าปี 67 ขยาย “สมหวัง เงินสั่งได้” อีก 200 สาขา เติมพอร์ตสินเชื่อผลตอบแทนสูง รุกลูกค้ากลุ่ม Wealth เพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1458876 Mon, 15 Jan 2024 17:38:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458876 กลุ่มทิสโก้ (Tisco) ประกาศแผนธุรกิจในปี 2567 เน้นขยายธุรกิจสินเชื่อรายย่อย โดยตั้งเป้าขยายสาขาของ “สมหวัง เงินสั่งได้” อีก 200 สาขา ซึ่งจะทำให้มีสาขารวมทั้งหมดมากถึง 850 สาขา แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจของไทยจะมีความท้าทายในปีนี้ก็ตาม

ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tisco ได้กล่าวถึงมุมมองของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้จะขยายตัวได้ดีขึ้นที่ระดับ 3-4% จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง รวมถึงการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่เร่งตัวขึ้น

อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tisco ยังมองว่ามีความท้าทายจาก เช่น ปัญหาภัยแล้ง ความเปราะบางของภาวะหนี้ครัวเรือนไทย อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และยุโรป เป็นต้น

สำหรับภาพรวมธุรกิจของ Tisco ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทางกลุ่มมีรายได้รวม 19,046 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ 7.2% มีกำไรจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 7,303 ล้านบาท

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 นั้น ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อ คาดว่าจะสร้างการเติบโตในระดับเดียวกันกับเศรษฐกิจไทย (คิดเป็นราวๆ 3-4%) โดย Tisco มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุมและดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด

ขณะที่กลุ่มสินเชื่อรายย่อยนั้นทาง Tisco ได้เตรียมแผนขยายสาขาของ สมหวัง เงินสั่งได้ ในปีนี้ถึง 200 สาขา คาดว่าจะทำให้มีสาขามากถึง 850 สาขา 

ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (ภาพจาก Tisco)

นอกจากนี้ผู้บริหารของ Tisco ยังได้กล่าวถึงการปรับกระบวนการติดตามหนี้ และดูแลลูกค้า ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นมา เพราะไม่งั้นลูกค้าจะเสียเครดิต และมองว่าระยะยาวจะได้รอดไปด้วยกัน เพราะถ้ามีเรื่องการทำคดี หรือยึดรถ ก็เป็นภาระของ Tisco เช่นกัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องมาจากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการจัดการเรื่องปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย

ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงไฟฟ้า และพลังงานทางเลือก ทาง Tisco จะใช้จุดแข็งของการบริการแบบ Total Solution มาตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เช่น การปรับหนี้ระยะสั้นของลูกค้าให้เป็นหนี้ระยะยาวจากทีมวาณิชธนกิจ เป็นต้น

ขณะที่ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ทางผู้บริหารของ Tisco กล่าวถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การวางแผนบริหารความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าในยุคปัจจุบัน โดยล่าสุดได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเจนเนอราลี่ในการออกกรมธรรม์ให้เหมาะสม

ทางด้านธุรกิจ ธุรกิจธนบดีธนกิจและตลาดทุน เน้นให้บริการการให้คำแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญแบบองค์รวม โดยครอบคลุมด้านการวางแผนการเงิน การลงทุน ความคุ้มครองด้านชีวิตและสุขภาพ โดยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ได้เน้นในปีนี้คือ เงินฝาก กองทุนรวม หรือแม้แต่ประกันชีวิต

นอกจากนี้ Tisco ตั้งเป้าในการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth ไปยังกลุ่ม Mass Affluent ที่มีเงินฝากและหรือเงินลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปด้วย

ในปี 2567 นี้ Tisco ได้ตั้งเป้า Loan Growth เติบโตในช่วง 0-10% โดยให้เหตุผลถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยและต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง

]]>
1458876
ดูไบกำลังกลายเป็นฮับของมหาเศรษฐีจีนอีกแห่ง ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเริ่มเปิดสำนักงานเพิ่มมากขึ้น https://positioningmag.com/1458120 Tue, 09 Jan 2024 07:55:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458120 ฮับของมหาเศรษฐีจีนอาจไม่ใช่แค่ฮ่องกง สิงคโปร์ เท่านั้น แต่ดูไบกำลังจะกลายเป็นฮับอีกแห่งที่สำคัญในอนาคต เนื่องจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเริ่มเปิดสำนักงานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันดูไบเองยังเอื้อแก่การเปิดธุรกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างตะวันกลางกับจีนที่ดี รวมถึงอัตราภาษีที่ต่ำ

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า ดูไบกำลังกลายเป็นฮับของมหาเศรษฐีชาวเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน และจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถาบันการเงินหลายแห่งได้ทยอยไปเปิดสำนักงานที่ดูไบเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการลูกค้าความมั่งคั่งสูง หรือแม้แต่ให้บริการด้านการเงินทั่วไปกับลูกค้า

จุดเด่นของดูไบที่ทำให้มหาเศรษฐีจากจีนเริ่มสนใจเข้าไปทำธุรกิจในตะวันออกกลางคือ การเริ่มต้นทำธุรกิจนั้นง่ายเมื่อเทียบกับหลายประเทศ อัตราภาษีที่ต่ำ โซนเวลาไม่แตกต่างกับเอเชียมากจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีเหล่ามหาเศรษฐีเริ่มเข้าไปอยู่อาศัยในตะวันออกกลางมากขึ้น ยิ่งทำให้เสน่ห์เมืองใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกกลางกับจีนนั้นมีความแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี หรือแม้แต่การลงทุนระหว่างกัน ขณะเดียวกันนักธุรกิจจีนเองต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงในเรื่องธุรกิจ ทำให้ดูไบถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจของชาวจีน

ในช่วงที่ผ่านมาตะวันออกกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้พยายามวางตัวเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน หรือแม้แต่กรณีล่าสุดอย่างการบุกยูเครนของรัสเซีย ตะวันออกกลางนั้นถือเป็นกลุ่มประเทศที่ไม่ต้องการคว่ำบาตรรัสเซีย

นอกจากนี้การโยกย้ายเม็ดเงินจากฮับการเงินเดิมอย่าง ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ ออกมาดูไบ ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของเหล่ามหาเศรษฐีจีนอีกทาง

ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชาวจีนอย่าง Noah Holdings ได้ประกาศการเปิดสำนักงานในดูไบ โดย Qing Pan ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ได้กล่าวกับ Reuters ว่า กลยุทธ์ของบริษัทคือติดตามการเติบโตของความมั่งคั่งของลูกค้าชาวจีน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องอยู่ที่นี่ เขายังกล่าวเสริมว่าบริษัทวางแผนที่จะส่งพนักงานบางส่วนจากประเทศจีนก่อน แล้วรับสมัครงานในท้องถิ่นในภายหลัง

ขณะที่ Lombard Odier ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารความมั่งคั่งรายใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ก็ดูลู่ทางในการเปิดสำนักงานที่ดูไบเช่นกัน

ไม่เว้นแม้แต่ Tsang Group และ Landmark Family Office รวมถึง Farro Capital ซึ่งเป็นธุรกิจสำนักงานครอบครัว (Family Office) เพื่อบริหารทรัพย์สินของเหล่ามหาเศรษฐี และดูทำหน้าที่ดูแลในด้านต่างๆ เช่น กฎหมาย ฯลฯได้มีการเปิดสำนักงานที่ดูไบ

อย่างไรก็ดีถ้าหากมองย้อนกลับมา เศรษฐีชาวจีนได้ทยอยนำเงินออกมาไว้นอกจีนเป็นจำนวนมากขึ้นหลังปี 2020 ทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ หรือล่าสุดที่ดูไบ เนื่องจากความไม่แน่นอนในการใช้ชีวิตหลังการแพร่ระบาดของโควิด หรือแม้แต่ความต้องการย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศจีน

]]>
1458120
มหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกมีจำนวนลดลงในปี 2022 เอเชียลดลงเยอะสุด แต่ตะวันออกกลางกับละตินอเมริกากลับเพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1443841 Fri, 08 Sep 2023 09:10:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443841 ข้อมูลจาก Altrata ได้เปิดเผยว่าในปี 2022 จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกมีจำนวนลดลง 5.4% โดยทวีปที่มีจำนวนมหาเศรษฐีลดลงมากที่สุดคือเอเชีย ขณะที่ตะวันออกกลางกับละตินอเมริกากลับเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15% จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น

CNBC รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลจาก Altrata ที่เปิดเผยว่า จำนวนมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมามีจำนวนลดลงทั่วโลกมากถึง 5.4% ในปี 2022 ที่ผ่านมา เป็นการลดลงของจำนวนมหาเศรษฐีครั้งแรกในรอบ 4 ปีจากการเก็บข้อมูลของบริษัทดังกล่าว

Altrata ชี้ว่าจำนวนมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียลดลงมากถึง 10.9% ในปี 2022 ที่ผ่านมา โดยเหลือจำนวน 108,370 คน ซึ่งถือเป็นการลดลงมากที่สุดถ้าหากนับเป็นรายทวีป

ปัจจัยสำคัญมาจากมาตรการโควิดเป็นศูนย์ในประเทศจีนที่ส่งผลทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ จนท้ายที่สุดต้องมีมาตรการผ่อนคลายออกมา ซึ่งผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด การบุกยูเครนโดยรัสเซีย หรือแม้แต่ความชะงักงันของ Supply Chain ได้ส่งผลทำให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียหายไป

ทางด้านทวีปอื่นๆ อย่างยุโรปมีจำนวนลดลง 7.1% โดยเหลือจำนวน 100,850 คน ขณะที่ทวีปอเมริกาเหนือมีมหาเศรษฐีพันล้านลดลง 4% เหลือ 142,990 คน

ขณะที่เหตุผลที่จำนวนมหาเศรษฐีในทวีปอื่นลดลงคือเรื่องของปัจจัยเศรษฐกิจ รวมถึงการบุกยูเครนโดยรัสเซียซึ่งเหล่ามหาเศรษฐีในทวีปยุโรปได้รับผลกระทบโดยตรง หรือแม้แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่ยุโรปกับสหรัฐอเมริกาได้เผชิญในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีจำนวนมหาเศรษฐีในตะวันออกกลางกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 15.7% ขณะที่ละตินอเมริกาเพิ่มขึ้นมากถึง 17.5% โดยความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ราคานำ้มัน ราคาสินแร่ เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

แต่ถ้าหากนับความมั่งคั่งรวมกันแล้วมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียมีความมั่งคั่งรวมกันราวๆ 12.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังมากกว่ามหาเศรษฐีในทวีปยุโรปซึ่งอยู่ที่ 11.71 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สหรัฐอเมริกายังครองแชมป์ที่ 16.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในรายงานดังกล่าวยังชี้ว่าแม้จำนวนของเหล่ามหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกในปีที่ผ่านมาจะลดลง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่ใน 5 ปีข้างหน้า จำนวนมหาเศรษฐีเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นจาก 395,070 คน เป็น 528,100 คน โดยได้ปัจจัยจากทวีปเอเชีย แต่ความมั่งคั่งส่วนใหญ่จะยังอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ

]]>
1443841
Credit Suisse ชี้ความมั่งคั่งคนไทยลดลงในปี 2021 คาดเศรษฐีจีนจะเพิ่มเป็นเท่าตัวภายในปี 2026 https://positioningmag.com/1401109 Wed, 21 Sep 2022 06:29:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401109 เครดิตสวิส ได้ออกรายงานวิเคราะห์เกี่ยวกับความมั่งคั่งทั่วโลกเมื่อวานนี้ (20 กันยายน) โดยมองว่าในปี 2021 ที่ผ่านมาความมั่งคั่งของไทยกลับลดลงจากราคาสินทรัพย์ รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ขณะเดียวกันก็ยังคาดการณ์ว่าในปี 2026 จีนจะมีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นเท่าตัว

รายงานของ Credit Suisse – Global Wealth Report ในปี 2022 ซึ่งสถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ได้วิเคราะห์ถึงความมั่งคั่งทั่วโลก ผ่านแง่มุมต่างๆ กว่า 72 หน้า โดยกล่าวถึงความมั่งคั่งของโลกได้เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 9.8% อยู่ที่ 463.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศที่มีความมั่งคั่งต่อครอบครัวมากที่สุดยังเป็นสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีน แคนาดา อินเดีย ออสเตรเลีย ตามลำดับ

อย่างไรก็ดีในเรื่องปัญหาความไม่เท่าเทียมทางด้านความมั่งคั่งนั้น Credit Suisse ได้ชี้ว่าหลังจากที่ราคาสินทรัพย์ในปี 2022 ตกลงมา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตลาดพัฒนาแล้ว) ขณะที่สินทรัพย์ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนากลับมีราคาเพิ่มขึ้น ทำให้ช่องว่างดังกล่าวได้ลดลงมา

ทางด้านประเทศไทยนั้น ในรายงานของ Credit Suisse ไม่ได้กล่าวถึงประเทศไทยมากเท่าไหร่นัก แต่ได้กล่าวถึงค่าเงินที่อ่อนค่าลงได้ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ และในปี 2021 ที่ผ่านมาความมั่งคั่งของคนไทยกลับลดลง ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบเดียวกันกับตุรกี ญี่ปุ่น กรีซ โปรตุเกส

ขณะเดียวกันถ้าหากมองไปยังปี 2026 แล้ว Credit Suisse ยังได้คาดการณ์ถึงจำนวนของมหาเศรษฐีจีนจะเพิ่มจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัวนั่นก็คือ 12,197 คน นอกจากนี้การเติบโตของมหาเศรษฐีทั่วโลกในปี 2022-2026 จะมีอัตราการเติบโตถึง 40%

ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจในรายงานของ Credit Suisse

  • ฮ่องกง ไต้หวัน ยังมีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นกัน
  • อินเดียมีการเติบโตของมหาเศรษฐี 105% นับตั้งแต่ปี 2022 ไปยังปี 2026 สูงที่สุดในบรรดาประเทศต่างๆ
  • ขณะเดียวกันถ้าหากมองเป็นทวีปแล้วในปี 2022 ไปยังปี 2026 ลาตินอเมริกา ถือว่ามีอัตรการเติบโตของมหาเศรษฐีมากถึง 99%
  • ทวีปเอเชียมีอัตรการเติบโตของมหาเศรษฐีในปี 2022-2026 มากถึง 58%
  • Credit Suisse ยังชี้ว่าจำนวนมหาเศรษฐีในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะเติบโตมากขึ้นในช่วง 5 ปีหลังจากนี้
ข้อมูลจาก Credit Suisse
]]>
1401109
Citi อัปเดตเทรนด์ลงทุนครึ่งปีหลัง 65 แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ เลือกหุ้นเน้นปันผล https://positioningmag.com/1395707 Tue, 09 Aug 2022 16:53:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395707 ธนาคารซิตี้แบงก์ อัปเดตข้อมูลเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2565 แนะเทรนด์ลงทุน เช่น ลดการการถือเงินสด แต่ให้ลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ที่คาดการณ์ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี รวมถึงกระจายพอร์ตการลงทุน หลังจากโลกอาจมีความเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เคน เพ็ง นักยุทธศาสตร์การลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิกฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ ได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจรวมถึงตลาดในช่วงที่ผ่านมาว่า นโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐอเมริกานั้นมีปริมาณเม็ดเงินลดลงอย่างมาก สิ่งที่เกิดทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง ทำให้ตลาดเกิดความผันผวน

แต่ในขณะเดียวกันเขายังชี้ว่าสภาพตลาดแรงงานของสหรัฐอเมริกาเองก็ยังดูดี มีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 4% และต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่สภาวะถดถอยจะต้องทำให้ตลาดแรงงานมีผู้ว่างงานมากขึ้นกว่านี้ โดยนักยุทธศาสตร์การลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิกฟิกของซิตี้แบงก์ชี้ว่าลักษณะก่อนที่เกิดเศรษฐกิจถดถอยในอดีตเป็นแบบนี้มาโดยตลอดเวลา

ทางด้านของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกานั้นเขามองว่ามีความอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอย่างมาก และในช่วงที่ผ่านมาราคาบ้านปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากถ้าหากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ยอดขายบ้านมักจะสูงขึ้น แต่ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยสูงยอดขายบ้านก็ลดลง

นอกจากนี้เขายังชี้ว่าสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอยก็คืออัตราดอกเบี้ยระหว่างพันธบัตรสหรัฐ 2 และ 10 ปี นั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น และคาดการณ์อัตรากำไรของบริษัทสหรัฐในดัชนี S&P 500 ในปี 2566 ลดลง ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะเข้าสู่สภาวะถดถอย

ด้านของอัตราเงินเฟ้อนั้น หลังจากที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ข้าวสาลี ปรับตัวลดลงในช่วง 2 เดือนท่ีผ่านมา ทำให้มีความคาดหวังว่าเงินเฟ้ออาจชะลอตัวลง นอกจากนี้นักลงทุนยังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยแบบตึงตัวน้อยลง แตกต่างกับในช่วงที่ผ่านมา

ทำให้เขามองว่าสิ่งที่ดีหลังจากนี้คือตราสารหนี้จะดูดีมากขึ้น เขาได้ยกผลตอบแทนของพันธบัตร 10 ปีที่น่าเริ่มเข้าลงทุน และเขายังชี้ว่าถ้าหากมีตราสารหนี้ในพอร์ตการลงทุนของลูกค้านั้นจะทำให้ความผันผวนของพอร์ตการลงทุนลดลงได้อีกด้วย

ขณะที่เรื่องของตลาดหุ้นจีนนั้น เคนมองว่ามีความท้าทายและความเสี่ยงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่เขามองว่าจีนอาจมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มมากขึ้น เขาได้ชี้ว่าปัจจัยที่ตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัวได้นั้นดูได้จากปริมาณการนำบริษัทเข้า IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยปัจจุบันชะลอตัวลงมากๆ และเขายังแนะนำให้ดูปริมาณเงินกู้ในระบบ ซึ่งเขามองว่าหลังจากนี้หุ้นจีนจะฟื้นตัวได้

มาถึงคำถามหลายคนที่สงสัยว่าแล้วสภาวะอย่างนี้จะลงทุนช่วงนี้อย่างไร นักยุทธศาสตร์การลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิกฟิกของธนาคารซิตี้แบงก์ชี้ว่าให้เลือกลงทุนหุ้นที่เป็นบริษัทคุณภาพ หรือเน้นไปที่หุ้นปันผล หรือหุ้นเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงหุ้นกลุ่มสุขภาพ

ขณะเดียวกันเทรนด์ระยะยาว พลังงานสะอาดนั้นเขาชี้ว่ายังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ระยะยาวยังเติบโตได้ดี เห็นได้จากเม็ดเงินในการลงทุนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งธุรกิจเกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ที่น่าลงทุน นอกจากนี้เขายังแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) หรือแม้แต่บริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) ก็ช่วยในเรื่องผลตอบแทนเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้

]]>
1395707
5 ล้านคนทั่วโลก ขึ้นแท่น ‘เศรษฐีเงินล้าน’ จากเเรงหนุนตลาดหุ้น ราคาบ้าน-ที่ดิน ‘เเพงขึ้น’ https://positioningmag.com/1338449 Thu, 24 Jun 2021 08:42:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338449 ผู้คนทั่วโลกกว่า 5 ล้านคน ขึ้นเเท่นเป็นเศรษฐีท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนเเรงที่สุดในรอบศตวรรษ ด้วยเเรงสนับสนุนของตลาดหุ้น บ้านเเละที่ดิน ปรับราคาเเพงขึ้น

งานวิจัยความมั่งคั่งของประชากรโลก หรือGlobal Wealth Reportฉบับล่าสุด โดย Credit Suisse ระบุว่า ปี 2020 ที่ผ่านมา จำนวนเศรษฐีเงินล้าน (Millionaires) เพิ่มขึ้น 5.2 ล้านคน เป็น 56.1 ล้านคนทั่วโลก ขณะที่คนยากจนยิ่งจนลงเรื่อยๆ ในช่วงโรคระบาดโควิด-19

โดยประชากรวัยผู้ใหญ่มากกว่า 1% ก้าวสู่สังคมเศรษฐีเงินล้านเป็นครั้งแรก จากปัจจัยการฟื้นตัวของตลาดหุ้นและราคาบ้านและที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินให้คนเหล่านี้

Anthony Shorrocks นักเศรษฐศาสตร์และผู้เขียนรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า การระบาดใหญ่ส่งผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดมั่งคั่ง

โดยเห็นได้ว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 ตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะขาลงก่อนที่จะพลิกกลับมาเติบโตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา

ไม่ใช่เเค่ทรงตัวได้เมื่อยามเผชิญวิกฤต เเต่ตลาดมั่งคั่งทั่วโลก กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ แม้จะมีเศรษฐีเพิ่มมากขึ้น แต่งานวิจัยก็พบว่า หากตัดปัจจัยด้าน ‘อสังหาริมทรัพย์’ ออกไปความมั่งคั่งของครัวเรือนทั่วโลกก็อาจจะลดลง โดยคนที่รวยเเค่ระดับมีกินมีใช้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเท่าเดิมเเละหลายรายน้อยลงกว่าเดิม

การกระตุ้นเศรษฐกิจของบรรดาธนาคาร ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น และตลาดหุ้นขยับขึ้น เเต่หากต่อไปมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย มูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ก็จะลดลงตามไปด้วย

จากผลวิจัยโดยรวม พบว่า ในปี 2020 ความมั่งคั่งทั่วโลก เติบโตที่ 7.4% และนับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 ประชาชนผู้ถือครองทรัพย์สิน ระหว่าง 10,000-100,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจาก 507 ล้านคนในปี 2000 มาอยู่ที่ 1,700 ล้านคนในช่วงกลางปี 2020

การขยายตัวนี้ สะท้อนให้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน ที่มีการขยายตัวของชนชั้นกลางมากที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

ขณะเดียวกัน นโยบายเเละกฎระเบียบของภาครัฐ เเละการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วงโรคระบาด ก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดการกระจายรายได้ทั่วถึงมากขึ้น

Nannette Hechler-Fayd’herbe หัวหน้าสายงานด้านการลงทุนของ Credit Suisse ให้ความเห็นว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ เเม้จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เดินหน้าในช่วงวิกฤต เเต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเเละต้องระมัดระวัง โดยขณะนี้ ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในหลายประเทศทั่วโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20%

 

ที่มา : BBC , Global Wealth Report

]]>
1338449
มูฟใหม่ ‘ทีเอ็มบีธนชาต’ เเข่งตลาด Wealth ส่ง ‘ttb reserve’ เจาะลูกค้ารายได้สูง 3 เเสน/เดือน https://positioningmag.com/1335743 Mon, 07 Jun 2021 12:07:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335743 ทีเอ็มบีธนชาต ขยับมูฟใหม่หลังรวมกิจการ เปิดตัว ‘ttb reserve’ (ทีทีบี รีเซิร์ฟ) ลงสนามตลาด Wealth เจาะลูกค้ามั่งคั่ง รายได้สูง 3 เเสนบาทต่อเดือน ด้วยคอนเซ็ปต์ Earn Fast – Burn Smart ตั้งเป้าสิ้นปีมีลูกค้าบัตร 3 หมื่นใบ เเนะจัดพอร์ตเน้นตราสารทุนหุ้น มุ่งกระจายลงทุนไปต่างประเทศ

อนุวัติร์ เหลืองทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบุคคล ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เล่าว่า ภายหลังการรวมกิจการของทั้ง 2 ธนาคารอย่างทีเอ็มบีเเละธนชาต สำเร็จลุล่วง ทำให้ ttb มีฐานลูกค้ารายย่อยรวมกว่า 10 ล้านราย และมีจำนวนสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท 

ในจำนวนนี้ น่าสนใจว่าเป็นกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งกว่า 80,000 ราย เเม้จะคิดเป็นเพียง 1% ของลูกค้ารายย่อยทั้งหมด เเต่กลับมี AUM สูงถึง 7 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของ AUM ในภาพรวมเลยทีเดียว

นับเป็นโอกาสธุรกิจสำคัญ ที่ธนาคารจะพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้เอาไว้ โดยกว่า 36% ของกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีอายุราว 35-55 ปี เเละอีก 57% อยู่ในช่วงอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป จากข้อมูลยังพบว่า 60% อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารถึง 40% 

ดังนั้น ttb reserve จึงจะมุ่งให้บริการโซลูชันทางการเงิน ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าตามช่วงชีวิต เเบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้เเก่

ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ

เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการสะสมความมั่งคั่งอยากให้เงินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เเละอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี เผื่ออนาคตวัยเกษียณ จึงยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากกว่า อย่าง ตราสารทุนและกองทุนรวม ที่มีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันตลอดเวลา

วัยใกล้เกษียณเกษียณเเล้ว

เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการรักษาความมั่งคั่งและส่งต่อความสำเร็จไปให้ลูกหลาน มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่อยากอยู่เเบบมีความกังวล จึงจะเน้นลงทุนเเบบปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อรักษาเงินต้นและมองหาผลิตภัณฑ์ประกันประเภทต่างๆ 

Earn Fast – Burn Smart

โดยบริการเเรกที่ออกจะมาเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง (Wealth) คือ บัตรเครดิต ‘ttb reserve’ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีให้เลือก 2 ประเภทคือ

  • บัตรเครดิต ttb reserve Signature สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝาก เงินลงทุน ประกันชีวิตรวม 5 ล้านบาทขึ้นไป
  • บัตรเครดิต ttb reserve Infinite สำหรับลูกค้าที่มียอดเงินฝาก เงินลงทุน ประกันชีวิตรวม 30 ล้านบาทขึ้นไป

ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งของ ttb มีรายได้รวมที่ประมาณ 300,000 บาทต่อเดือน

นันทพร ตั้งเจริญศิริ หัวหน้าบริหารการตลาดลูกค้าบุคคลและประสบการณ์ลูกค้า ทีเอ็มบีธนชาต ระบุว่า บัตรเครดิต ttb reserve มีจุดเด่นเรื่องความเร็วของคะแนนสะสม และการนำคะแนนสะสมที่ได้รับไปต่อยอด ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Earn Fast-Burn Smart’ เช่น รับคะแนนพิเศษรายปีสูงสุด 180,000 คะแนน โดยไม่ต้องมีการใช้จ่ายผ่านบัตร และสะสมคะแนนเพิ่มจากทุกการใช้จ่าย 10 บาท รับ 1 คะแนนทุกหมวด 

ส่วนการใช้จ่ายในหมวดโรงพยาบาลและช็อปออนไลน์ ลูกค้าจะได้รับคะแนน 2 เท่า หรือเทียบเท่า 5 บาทเท่ากับ 1 คะแนน และเมื่อใช้จ่ายหมวดประกันชีวิตที่ร่วมรายการ จะได้รับคะแนนสูงสุด 10 เท่า หรือเทียบเท่า 1 บาทเท่ากับ 1 คะแนน

ขณะเดียวกัน ลูกค้ายังสามารถแลกรับเครดิตเงินคืนเป็นมูลค่าหน่วยลงทุนได้ถึง 1,200 บาท สำหรับการซื้อกอง
ทุนทุกๆ 100,000 บาท 

สำหรับเป้าหมายการขยายฐานลูกค้า ในช่วงเเรกธนาคารจะมุ่งให้บริการกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง ที่มีอยู่เเล้ว 8 หมื่นรายก่อน จากนั้นจะค่อยๆ ขยายฐานลูกค้าใหม่ต่อไป โดยคาดว่าจะมีลูกค้าบัตรเครดิต ttb reserve จำนวน 30,000 รายภายในสิ้นปี 2564

ในช่วงที่การเดินทางระหว่างประเทศยังลำบาก สถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งเริ่มมาเปิดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งร่วมกับสถาบันการเงินท้องถิ่นมากขึ้น เมื่อตลาด Wealth โตพุ่ง ธุรกิจ Private Banking ก็เติบโตตามไปด้วย

ท่ามกลางหลายธนาคารที่ลงสนามมาบุกตลาดนี้ อะไรคือจุดเเข็งของ ttb reserve ?

ในตลาดส่วนใหญ่ จะเน้นไปที่การให้สิทธิพิเศษหรือพรีวิลเลจที่เกี่ยวกับด้านไลฟ์สไตล์เป็นหลัก ในขณะที่ tbb จะเน้นเรื่องให้สิทธิพิเศษที่สามารถต่อยอดความมั่งคั่งทางการเงินผ่านคะแนนสะสมรายปีที่ให้ความคุ้มค่าเป็นหลัก

เน้นตราสารทุนหุ้น มุ่งกระจายไปต่างประเทศ

เเนวโน้มการลงทุนของกลุ่มลูกค้าระดับเศรษฐีเติบโตขึ้นมาก’ ในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางโรคระบาดเมื่อสภาพคล่องล้นตลาดเเละอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ การออมเงินฝากหรือพันธบัตรไม่ได้ให้ผลตอบเเทนที่ดีมากนัก เหล่านักลงทุนจึงต้องหาทางลงทุนอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลตอบเเทนมากขึ้น เเม้จะต้องรับความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน

โดย ttb แนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ว่า

เรายังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดทุน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารทุน หรือหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ และจะเน้นกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศมากกว่าในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสหรัฐฯ หรือตลาดเอเซียอย่างจีน และญี่ปุ่นเนื่องจากเรายังมองว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศ น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยเรื่องกระจายวัคซีน การทยอยเปิดเมือง หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มดีขึ้น

โดยลูกค้า Wealth ของ ttb มีพอร์ตการลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท เทียบกับภาพรวมของทั้งธนาคารที่ 2.5 แสนล้านบาท

 

]]>
1335743
‘คนรวย’ ควักเงินซื้อ ‘ซูเปอร์ยอชต์’ สุดหรู เพราะอยากหนีโควิด ทำยอดขายพุ่งเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/1333254 Thu, 20 May 2021 16:33:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333254 ปี 2021 ดำเนินมาไม่กี่เดือน บรรดามหาเศรษฐีทุ่มซื้อซูเปอร์ยอชต์สุดหรู ไปเเล้วกว่า 1,000 ล้านปอนด์ (4.4 หมื่นล้านบาท) เพราะอยากหลีกหนีจากมาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด เเละข้อจำกัดการเดินทางต่างๆ

Boat International ระบุว่า ความต้องการซื้อเรือยอชต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนของปีที่แล้ว หลังเกิดวิกฤตโรคระบาด เเละความนิยมยังพุ่งต่อเนื่องมาถึงปีนี้ โดยคาดว่าจะเป็นปีที่มีการซื้อขายเรือยอชต์มือสองมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ด้วย

สำหรับคำนิยามของซูเปอร์ยอชต์’ (superyacht) คือเรือสำราญที่มีขนาดความยาว 24 เมตรขึ้นไป (บางลำอาจมีความสูงถึง 180 เมตร) มีลูกเรือประจำเรือ เเละเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน

ปกติเเล้วราคาซูเปอร์ยอชต์ลำเล็กมือสองจะอยู่ที่ราว 1-5 ล้านยูโร (ราว 38-191 ล้านบาท) เเละต้องจ่ายค่าบริการของลูกเรือ ค่าท่าจอดเรือและค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ตกเฉลี่ยปีละประมาณ 2 เเสนยูโร (ราว 7.6 ล้านบาท)

โดยสามารถตกแต่งเพิ่มเติมให้มีทั้งสระน้ำ สปา ลานอาบแดด ห้องออกกำลังกาย หรืออื่นๆ ได้ตามที่เจ้าของเรือต้องการ

Stewart Campbell บรรณาธิการของนิตยสาร Boat International บอกว่า

ยอดขายเรือยอชต์ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากความต้องการของมหาเศรษฐีที่ต้องการหลีกหนีจากมาตรการล็อกดาวน์เเละข้อจำกัดการเดินทางในเมืองต่างๆ ซึ่งโรคระบาดก็มีส่วนทำให้การนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปยังเเถบเมดิเตอร์เรเนียนยุ่งยากขึ้น คนรวยหลายคนจึงหันมาเดินทางทางน้ำเเบบหรูหราเเทน

Photo : Shutterstock

เจ้าของเรือยอชต์หลายรายบอกว่า ตอนนี้พวกเขายังไม่ต้องการเข้าฝั่งเนื่องจากสถานการณ์เเพร่ระบาดยังไม่เเน่นอน

กว่า 50% ของซูเปอร์ยอชต์ที่ขายได้อยู่ในสหรัฐฯ โดยเรือยอชต์มือสองที่ใหญ่ที่สุด 3 ลำที่ขายในปีนี้ ได้เเก่ Solo มีราคาสูงกว่า 54 ล้านปอนด์ (ราว 2.3 พันล้านบาท) ตามมาด้วย Elixir มีราคาเสนอขายอยู่ที่ 33.5 ล้านปอนด์ (ราว 1.4 พันล้านบาท) และ Lady Sheridan มีราคาเสนอขายที่ 24.7 ล้านปอนด์ (ราว 1.1 พันล้านบาท)

ว่ากันว่า ซูเปอร์ยอชต์สุดพิเศษของเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซอย่าง Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon มีราคาสูงถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.5 หมื่นล้านบาท) เลยทีเดียว

ในอีกมุมหนึ่ง โรคระบาดก็เป็นตัวเร่งทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมร้าวลึกมากขึ้น คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง โดยมหาเศรษฐี TOP 10 ของโลกมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นรวมกันกว่า ‘5 เเสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงวิกฤต COVID-19 ขณะที่ผู้คนหลายร้อยล้านคนมีรายได้ลดลง หนี้สินเพิ่มขึ้นเเละต้อง ‘ตกงาน

องค์การ Oxfam เเสดงความคิดเห็นว่า เงินกว่า 1 พันล้านปอนด์ที่เหล่าเศรษฐีใช้ไปกับการซื้อซูเปอร์ยอชต์มือสองในปีนี้นั้น เพียงพอที่จะซื้อวัคซีนฉีดให้คนทั้งประเทศ โดยยกตัวอย่างประเทศเนปาล ที่กำลังเสียหายอย่างหนักจากพิษโควิด

โดยทุกประเทศในโลก มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

 

ที่มา : BBC (1) , (2)

]]>
1333254
ตลาด Wealth โตพุ่ง SCB ปั้น Private Banking สู่เป้าพอร์ต 1 ล้านล้านบาท โอกาสทองจับ ‘เศรษฐีไทย’  https://positioningmag.com/1321958 Fri, 05 Mar 2021 13:10:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1321958 สถาบันการเงิน เร่งเครื่องดันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง เเย่งลูกค้าเศรษฐีกันดุเดือด ด้วยความที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการออกสินเชื่อ เเถมยังมีการเติบโตสูง สร้างรายได้ดี เเม้จะเจอวิกฤตเศรษฐกิจ

SCB เป็นอีกหนึ่งเจ้าใหญ่ในไทยที่ประกาศจะขึ้นเป็นผู้นำในตลาด Private Banking โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะมี AUM สู่ระดับ 1 ล้านล้านบาทให้ได้

สารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ธุรกิจ Wealth Management ดูเเลพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าผู้มั่งคั่งเติบโตขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางโรคระบาด

ด้วยสภาพคล่องที่ล้นตลาดทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำทั่วโลก การออมเงินฝากหรือพันธบัตร ไม่ได้ให้ผลตอบเเทนที่ดีมากนัก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องหาทางลงทุนอื่นๆ ที่ได้ผลตอบเเทนมากขึ้น เเม้จะความผันผวนในตลาดสูง

โดยกลุ่มผู้มีสินทรัพย์สูง หรือ HNWIs (มีสินทรัพย์ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป) มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญที่จะมาให้คำเเนะนำการดูเเลพอร์ตมากขึ้น ทำให้ธุรกิจ Private Banking ขยายตัวตามไปด้วย

ตลาด Wealth โตพุ่ง โอกาสจับ ‘เศรษฐีไทย’ 

SCB ประเมินว่า ภาพรวม Wealth ทั่วโลกในปี 2024 จะเติบโต 7% เมื่อเทียบกับปี 2018 โดยจะขยายตัวมากที่สุดในจีน เเละเอเชียแปซิฟิก

สำหรับตลาด Wealth ในประเทศไทย คาดว่าจะเติบโต 5% สูงกว่า GDP ไทยถึง 2 เท่า โดยจำนวนลูกค้า Wealth ทั้งหมดในไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 8.86 แสนคน เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2018 ที่อยู่ราว 7.1 แสนคน

ประชากร 1% ของคนไทย ถือครองทรัพย์สิน 80% ของทั้งประเทศ

ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-10 ‘เศรษฐีหลายราย ต้องการพึ่งพาที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศนั้นๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ เพราะการเดินทางยังลำบาก เราจึงได้เห็นสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งเริ่มมาเปิดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งร่วมกับสถาบันการเงินท้องถิ่นมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น Credit Suisse ที่เปิดตัวในปี 2016 ต่อมาในปี 2018 กลุ่มธุรกิจบริการ Private Banking รายใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Julius Baer ได้เปิดตัวธุรกิจกับพันธมิตรอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB ถือหุ้นใหญ่ 60% ส่วน Julius Baer ถือหุ้น 40%) เเละในปี 2019 สถาบันการเงินจากลิกเตนสไตน์อย่าง LGT ก็ได้มาเปิดสำนักงานในไทย เเละล่าสุด HSBC จากอังกฤษ ก็เตรียมตั้งธุรกิจ Private Banking ในไทย

ข้อมูลจาก HSBC ระบุว่า สินทรัพย์ที่นักลงทุนกลุ่ม High Net Worth (HNW) ในเอเชียถือครอง จะเพิ่มขึ้นไปสู่ 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ภายในปี 2025 ถือว่าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2017

นี่จึงเป็นโอกาสทอง เเละการเเข่งขันที่สูงมากเช่นนี้ ทำให้ธุรกิจ Private Banking ต้องงัดหากลยุทธ์ใหม่ๆ มาเพื่อครองใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด

บริหารความมั่งคั่ง คือ New S-Curve 

ปัจจุบันธุรกิจ Wealth ของไทยพาณิชย์ มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่อยู่ภายใต้การบริหาร (AUM) ราว 8.5 แสนล้านบาท เเละในปี 2024 ตั้งเป้าจะมี AUM สู่ระดับ 1 ล้านล้านบาท ภายใต้แนวคิด BEAT THE BENCHMARK

โดยมีฐานลูกค้า Wealth จำนวนกว่า 3 เเสนราย (จากราว 7 เเสนรายทั้งประเทศ) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • ลูกค้า SCB Prime มีสินทรัพย์ 2-10 ล้านบาท
  • ลูกค้า SCB First มีสินทรัพย์ 10-50 ล้านบาท
  • ลูกค้า SCB Private Banking มีสินทรัพย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป

ธนาคารได้เริ่มแผน Wealth Transformation มาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งปีนั้นสร้างรายได้ให้ธนาคารคิดเป็น 7% ของรายได้รวม และ 31% ของรายได้ค่าธรรมเนียม จากนั้นก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2020 สามารถทำรายได้ถึง 15% ของรายได้รวม และ 56% ของรายได้ค่าธรรมเนียม

ธุรกิจ Wealth Management จึงกลายมาเป็น New S Curve ของไทยพาณิชย์

โดยคาดว่า AUM ลูกค้ากลุ่ม Wealth ของไทยพาณิชย์จะโตเฉลี่ยปีละ 10-12% และปี 2566 คาดว่าจะมี AUM 1 ล้านล้านบาท ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมคาดว่าจะเติบโตได้ในอัตราสองหลัก 

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของธนาคาร เติบโตกว่า 25% แม้จะเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต COVID-19

ณรงค์ ศรีจักรินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เล่าว่า เมื่อ 4 ปีก่อน ธนาคารได้เฟ้นหาพนักงานหัวกะทิที่โดดเด่นที่สุดของสาขา 1,100 คน มาร่วมทีม Wealth Management โดยมีการจัดเทรนนิ่งอย่างเข้มข้น จนตอนนี้ธนาคารมี RM (Relationship Manager) ที่มีใบรับรองมากที่สุดในไทย

หลักๆ จะเน้นการสร้างขีดความสามารถในการให้คำปรึกษา (Advisory Capability) ควบคู่ไปกับการปรับ ‘Operating Model’ พัฒนาโซลูชันด้านการลงทุนเเบบ Open Architecture คือการมีผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเลือกลงทุนจากบริษัทพันธมิตรเเละประกัน (ตอนนี้มีอยู่ 35 แห่ง) ไม่ได้มีเเค่ผลิตภัณฑ์ของ SCB เท่านั้น รวมทั้งมีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการพอร์ต สร้างเเพลตฟอร์มเฉพาะมาบริการเพื่อช่วยให้ลูกค้าเห็นการลงทุนของตัวเองชัดเจนขึ้น

โดยทิศทางของกลุ่มธุรกิจ SCB Wealth ในปี 2021 จะโฟกัสและมุ่งเน้นการเติบโตของเซ็กเมนต์ Private Banking เพื่อจับลูกค้าใหม่ที่มีสินทรัพย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป

เมธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กลุ่มลูกค้า Wealth ของไทยพาณิชย์ เมื่อดู Investment AUM (ไม่รวมเงินฝาก) จะมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 5.7 แสนล้านบาท จาก AUM ทั้งหมดที่ 8.5 แสนบาท สามารถสร้างผลตอบแทนจากการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าได้ 14.9% ในระยะเวลา 1 ปี (1 .. – 31 .. 2020) 

มธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์

โดยในปี 2021 นี้ SCB Private Banking จะดำเนินธุรกิจ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้

  • Investment Solutions for Wealth Preservation ต่อยอดความมั่งคั่งให้ลูกค้า โดยจะมีลงทุนทั้งในและต่างประเทศในสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภท กว่า 10,000 หลักทรัพย์และกองทุน ทั้ง Public assets หรือ Private assets
  • Business Solutions for Wealth Creation บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอย่างรอบด้าน เปิดโอกาสการลงทุนแบบใหม่ๆ เช่น สินเชื่อ SCB Property Backed Loan ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ให้ลูกค้านำไปเพิ่มกระแสเงินสด
  • SCB Financial Business Group ประสานกับธุรกิจส่วนต่างๆ ทั้งหมดในธนาคารไทยพาณิชย์ให้ครบวงจรเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้า

สำหรับข้อเเนะนำในการลงทุนในปีนี้ ผู้บริหาร SCB บอกว่า ควรจะกระจายความเสี่ยงในต่างประเทศ โดยเน้นธุรกิจที่เติบโตในยุค New Normal อย่าง อีคอมเมิร์ซ การขนส่งเเละธุรกิจคลาวด์

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการลงุทนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม พลังงานหมุนเวียน ตามที่จะเห็นรัฐบาลใหญ่ๆ ของโลกทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ต่างออกนโนบายเพื่อขับเคลื่อนสิ่งนี้

ขณะเดียวกันภาวะดอกเบี้ยต่ำที่จะดำเนินต่อเนื่องผู้ลงทุนก็ต้องมองหาผลตอบแทนที่มากกว่า เช่น ตราสารหนี้ , หุ้น เป็นต้น

โดยในปีนี้เเนะนำแบ่งพอร์ตการลงทุนเป็น 60% ลงทุนในหุ้น และ 40% ลงทุนในตราสารหนี้ เเละช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ให้ปรับตราสารหนี้เป็น 50-60% เเละเมื่อการกระจายวัคซีนได้ผลดีจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ได้เเล้ว เเนะให้ถือตราสารหนี้ลดลงเหลือ 30% พร้อมกับการติดตามข่าวสารเเละนโนบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อย่างใกล้ชิด

 

 

]]>
1321958