ธุรกิจร้านอาหารพลิกเกมใหม่ หลังวิกฤต COVID-19 ยักษ์ใหญ่อย่าง CRG เปิดกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มสู่ร้านอาหารดิจิทัล ตั้งเป้าขยายสาขาโมเดลใหม่ กระจาย ‘คลาวด์คิทเช่น’ ให้ได้ 50 แห่งภายใน 2 ปี เน้นส่งเดลิเวอรี่ ดัน Mobile Box Model บุกปั๊มน้ำมัน
โดยจะเชื่อมเครือข่ายร้านอาหาร 16 แบรนด์ทำ Shop in Shop & Cross Sale ไปพร้อมๆ กับการมองหาพาร์ตเนอร์ ‘สตรีทฟู้ด-SMEs’ ทุ่มพันล้านขยายสาขา-รีโนเวตระบบหลังบ้าน ลุ้นเปิดร้านอาหารใหม่เพิ่มอีก 2-3 แบรนด์ พร้อมลงสนาม ‘กัญชา-กัญชง’
ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เล่าว่า เเม้ธุรกิจอาหารจะปรับตัวโดยการส่งเดลิเวอรี่ เเต่วิกฤตโรคระบาดกระทบธุรกิจไม่น้อย เพราะต้องขาดนักท่องเที่ยวเเละต้องปิดร้านชั่วคราวตามมาตรการรัฐ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปวิธีคิดเเละเเผนธุรกิจต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย
ในปี 2020 CRG ทำยอดขายรวมได้ราว 10,100 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีที่เเล้ว ส่วนยอดขายออนไลน์อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 150%
โดยมองธุรกิจอาหารในไทยจะกลับมาฟื้นได้ในปีนี้ เเละหวังจะทำยอดขายให้ทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 18-20% เพิ่มจำนวนสาขาอีก 200 เเห่งเป็น 1,300 สาขา เน้นเปิด ‘สาขาเล็กๆ’ เเละโปรโมตผ่านออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง
ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา CRG ปรับกลยุทธ์ในการขยายโมเดลร้านค้ารูปแบบใหม่ๆ หาช่องทางการขายอื่นๆ นอกเหนือหน้าร้าน กลายเป็น ‘โมเดลร้านนอกห้าง’ เพื่อกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพิงศูนย์การค้า
สำหรับมูลค่าตลาดธุรกิจร้านอาหารในไทย ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 3.7 เเสนล้านบาท ลดลงราว 10% จากระดับ 4 เเสนล้านบาทในช่วงก่อนโรคระบาด โดยตลาดใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านคาเฟ่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่นราว 2.5 หมื่นล้านบาท เเละร้าน Hot-Pot ปิ้งย่างที่ราว 2 หมื่นล้านบาท
รวมกันเราอยู่…ชูโมเดล Shop in Shop & Cross Sale
กลยุทธ์หลักๆ ของ CRG ในปีนี้ ยังเดินหน้าไปที่การ ‘ขยายสาขา’ เช่นเคย เเต่จะใช้รูปแบบร้านแนวใหม่ ‘Shop in Shop’ นำร่องเปิดเคาน์เตอร์อาริกาโตะร่วมกับร้านมิสเตอร์ โดนัท และใช้กลยุทธ์ Cross Sales ของทุกแบรนด์ในเครือ
ยกตัวอย่างเช่น การนำเมนูจาก บราวน์ คาเฟ่ (Brown Café) มาขายในร้านคัตสึยะ เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่และตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะขยายสาขาที่มีบริการเเบบ Cross Sales เช่นนี้ได้มากกว่า 400 สาขา
ปัจจุบัน CRG มีเครือข่ายร้านอาหารทั้ง 16 แบรนด์ จำนวนสาขามากกว่า 1,100 สาขา พนักงานมากกว่า 10,000 คน และเมนูที่มีมากกว่า 800 เมนู เจาะลูกค้าทุกกลุ่มอายุ ทุกไลฟ์สไตล์
ลงสนาม ‘กัญชา–กัญชง’
ภาคธุรกิจกระโดดลงมาชิงเค้กตลาด ‘กัญชา–กัญชง’ กันคึกคัก CRG เองก็ขานรับนโยบายปลดล็อกกัญชาเช่นกัน เปิดตัวอาหารไทย 10 เมนู ที่ปรุงจาก ‘ใบกัญชาออร์แกนิก’ โดยสั่งซื้อมาจากวิสาหกิจชุมชนผัก พืชสมุนไพรและพืชพลังงาน ตำบลพนมรอก จ.นครสวรรค์
ประเดิมวางขายในร้านของแบรนด์ไทยเทอเรส และ อร่อยดี ด้วยคอนเซ็ปต์ต้มยำทำเเกงเเบบ ‘เมนูรื่นรมย์’ มีเมนูที่น่าสนใจอย่าง ยำเชิญยิ้มวุ้นเส้น เเกงรัญจวนชวนยิ้ม ซุปไก่ซดเพลิน เเกงเลียงกุ้งสดอารมณ์ดี ฯลฯ
“ตอนนี้เราไม่ได้โปรโมตมากนัก เพราะห่วงกลุ่มลูกค้าที่ยังเป็นเยาวชน โดยถือเป็นตลาดที่น่าสนใจเเละคาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างดีในระยะสั้น เเต่อย่างไรก็ต้องจับตาดูในระยะยาว ซึ่งจะมีการวางแผนขยายไปยังแบรนด์อื่นๆ ในเครือ CRG ต่อไป”
Mobile Box Model : เล็กๆ เเต่คล่องตัว
CRG จะรุกเข้าหาลูกค้าผ่านพื้นที่ชุมชนต่างๆ โดยปีนี้เตรียมเปิดตัว ‘Mobile Box Model’ ในสถานีบริการน้ำมันและมินิคีออส (Mini Kiosk) ต่อจากโมเดลร้านเดลโก้ (Delco) ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้และขยายสาขาได้คล่องตัว
นอกจากนี้ จะต่อยอดโมเดล ‘แฟรนไชส์’ ที่เริ่มทำมาเเล้วกับแบรนด์ ‘อร่อยดี’ ที่มีทำเลเป้าหมาย คือ Non Mall, Residential Area, Stand alone
โดยในปีแรก มีจำนวนสาขาของบริษัท 25 สาขา และจำนวนสาขาแฟรนไชส์ 1 สาขา รวม 26 สาขา หลังจากนี้ปีที่ 2- 5 ตั้งเป้าหมายจำนวนสาขาของบริษัทต้องมีปีละ 10 สาขา
ส่วนจำนวนสาขาแฟรนไชส์ที่เปิดให้ผู้สนใจมาร่วมธุรกิจ ‘อร่อยดี’ ปีแรกตั้งเป้าที่ 35 สาขา ปีที่ 2-4 จำนวน 45 สาขา และปีที่ 5 จำนวน 54 สาขา รวมทั้งหมดจะเปิดให้ได้ 300 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น CRG 75 สาขาแฟรนไชส์ 225 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของอร่อยดีนั้น กว่า 60% เป็นพนักงานออฟฟิศและทำธุรกิจส่วนตัว อายุระหว่าง 25 – 45 ปี
ยุคเเห่งเดลิเวอรี่เเละ ‘คลาวด์คิทเช่น’
เเม้สงครามเดลิเวอรี่จะเเข่งขันดุเดือด เเต่ก็คุ้มค่า CRG วางเป้าหมายจะขยายจุดบริการให้ครอบคลุมมากที่สุดพร้อมกับการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายใหม่ๆ โดยชูจุดเด่นเรื่องความสะอาด บริการเร็วเเละตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตั้งเป้ายอดขายผ่านเดลิเวอรี่ปีนี้ อย่างน้อย 3,000 ล้านบาท (จากปี 2020 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท)
ส่วนเป้าหมายของ ‘คลาวด์คิทเช่น’ (Cloud Kitchen) นั้น คาดว่าปีนี้จะขยายครบ 15 แห่งเเละกระจายไปทั่วประเทศให้ได้อย่างน้อย 50 แห่ง ภายในปี 2023
นอกจากนี้ จะลุยกลยุทธ์รุกช่องทางออนไลน์ ผ่านกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น เน้นไปที่ O2O หรือ Online to Offline ผสานให้เป็น Omnichannel รวมไปถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ เช่น JD Central, Shopee และ LAZADA
New Brand & New Business
CRG จะมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 แบรนด์ เเต่ยังไม่เปิดเผยว่าจะเป็นประเภทไหน โดยบอกเพียงว่า “เปิดกว้างเพื่อพาร์ตเนอร์รายใหม่ โดยเฉพาะ SMEs ที่หาโอกาสจะขยายธุรกิจให้ win-win ทั้งสองฝ่าย” ซึ่งมองว่าตอนนี้ ร้านอาหารเเนวสุขภาพก็มีเเนวโน้มเติบโตไปดี
ในปีที่ผ่านมา CRG เริ่มจับมือกับ ‘สลัดแฟคทอรี่’ (Salad Factory) เเละสามารถทำยอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตถึง 400% เเละปีนี้ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายรวมเติบโต 2 เท่า
ขณะเดียวกันก็จับมือกับ ‘โออาร์’ (OR) ขยายเครือข่ายร้านกาแฟ ‘คาเฟ่อะเมซอน’ ในประเทศเวียดนาม ล่าสุดเปิดสาขาแล้ว 5 แห่ง ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน นับจากสาขาแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2020
CRG วางเเผนจะปรับพอร์ตธุรกิจ New Business ให้เพิ่มขึ้น จากสัดส่วน 7% ในปี 2019 ขยับมาที่ 22% ในปี 2020 จากอานิสงส์ COVID-19 เเละหวังว่าจะขยายให้เป็น 30% ได้ในปี 2030
ทุ่มลงทุน 1 พันล้าน พร้อมปรับหลังบ้านใหม่
สำหรับเเผนการลงทุนในปีนี้ CRG วางงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท เเบ่งเป็นราว 600-700 ล้านบาทเพื่อใช้ในการขยายสาขา เเละอีกราว 300 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงเเละรีโนเวตระบบหลังบ้านใหม่ ส่วนอีกราว 3-4% จะเป็นงบการตลาด
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา CRG วางงบลงทุนไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เเต่ด้วยวิกฤต COVID-19 ทำให้บริษัทใช้งบฯ ไปเพียง 470 ล้านบาทเท่านั้น ด้วยปีนี้มองว่าธุรกิจร้านอาหารในไทยจะกลับมาได้อีกครั้ง จึงตัดสินใจเพิ่มการลงทุน
สำหรับทิศทางการเเข่งขันใน ‘ธุรกิจร้านอาหาร’ คาดว่าจะรุนแรงมากขึ้น ต่อสู้กันด้วยเดลิเวอรี่เเละขายออนไลน์ นอกจากเชนร้านอาหารรายใหญ่ เเละผู้ประกอบการรายย่อยเเล้ว ตอนนี้ยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ ‘นอกธุรกิจอาหาร’ เข้ามาเเจมสมรภูมินี้ด้วย ถือเป็นการดิสรัปต์วงการที่ทุกเจ้าต้องปรับตัว ‘ตามให้ทัน’