มาเลเซีย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 01 Oct 2024 11:27:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ไทยเบฟ” เปิดงบลงทุน 18,000 ล้านบาทปี 2568 พร้อมวิสัยทัศน์ “PASSION 2030” ผู้นำ F&B แห่งอาเซียน https://positioningmag.com/1492388 Tue, 01 Oct 2024 11:24:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492388
  • เปิดงบลงทุน 18,000 ล้านบาทของ “ไทยเบฟ” ปี 2568 ไฮไลต์โครงการ “AgriValley” ฟาร์มโคนม  20,000 ตัวในมาเลเซีย โรงงานผลิตนม ชาเขียว และเบียร์ในกัมพูชา รวมถึงการขยายกลุ่มร้านอาหารอีก 69 สาขา
  • เจาะวิสัยทัศน์ “PASSION 2030” รักษาตำแหน่งบริษัทผู้นำในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งอาเซียน
  • “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารเปิดแถลงข่าวแผนธุรกิจการลงทุนในปี 2568

    โดย “ประภากร ทองเทพไพโรจน์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการต่างประเทศ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุดการเงินและบัญชีกลุ่ม เปิดเผยว่า ไทยเบฟมีการวางงบการลงทุนในปี 2568 ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท

    มีไฮไลต์สำคัญในงบการลงทุนก้อนนี้คือ โครงการ “AgriValley” ซึ่งได้มาจากการแลกหุ้นนำธุรกิจเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (F&N) เข้ามาอยู่ในพอร์ตของไทยเบฟ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการ “ฟาร์มโคนม” ในมาเลเซีย ซึ่งจะมีการเลี้ยงโคนมถึง 20,000 ตัว บนพื้นที่ 2,726 เฮกตาร์ (ประมาณกว่า 17,000 ไร่) คาดจะผลิตน้ำนมได้ 200 ล้านลิตรต่อปี

    “โครงการนี้เกิดจากรัฐบาลมาเลเซียต้องการจะสร้างความมั่นคงทางอาหารของตนเอง เพราะเห็นตั้งแต่ช่วงโควิด-19 แล้วว่าถ้าไม่มีเรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาต่อประเทศได้ ทางบริษัท F&N ที่มาเลย์ก็มีการทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาล ทำให้เรารู้ว่าเขาต้องการวางกลยุทธ์ของประเทศในแบบนี้ จึงมีการสร้างโครงการนี้ขึ้น และตัวเราเองก็มองยาวว่าเราสามารถสร้างมาเลเซียเป็น ‘Hub of Halal’ ได้เลย คือสามารถส่งสินค้าฮาลาลจากมาเลย์ไปประเทศที่รับประทานอาหารฮาลาลอื่นๆ ได้อีก” ฐาปนกล่าว

    ไทยเบฟ

    ประภากรกล่าวต่อว่า อีกไฮไลต์หนึ่งในการลงทุนปีหน้าคือการก่อสร้างโรงงานใน “กัมพูชา” ต่อเนื่อง โดยจะใช้งบประมาณอีก 2,500 ล้านบาท สร้างโรงงานครบวงจรที่ผลิตสินค้า 3 ประเภท ได้แก่ “นมข้นหวาน” ตราทีพอท, “ชาเขียว” โออิชิ และ “เบียร์” ช้าง โดยเฉพาะสายการผลิตเบียร์นี้คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 50 ล้านลิตรเมื่อเปิดดำเนินการ คาดเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ต้นปี 2569

    ด้าน “โสภณ ราชรักษา” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหารประเทศไทย และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจโลจิสติกส์ เปิดเผยว่างบลงทุนปีหน้าของกลุ่มอาหารจะอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบรวมทั้งการเปิดร้านอาหารสาขาใหม่และรีโนเวตสาขาเดิม

    โดยการเปิดสาขาใหม่จะเปิดรวมทั้งหมด 69 สาขา แบ่งเป็นร้านเคเอฟซี (KFC) ทั้งหมด 45 สาขา ส่วนที่เหลือ 24 สาขาจะเป็นแบรนด์อื่นๆ ในเครือ ซึ่งหลังจากเปิดครบทั้งหมดตามเป้าแล้ว จะทำให้สิ้นปี 2568 ไทยเบฟจะมีร้านอาหารรวม 888 สาขา

     

    “PASSION 2030” ของ “ไทยเบฟ”

    บนเวทีวันนี้ (1 ตุลาคม 2567) เจ้าสัว “ฐาปน” ยังแสดงวิสัยทัศน์ใหม่ไทยเบฟ “PASSION 2030” หรืออีก 6 ปีข้างหน้า เป้าหมายคือต้องการจะยึดตำแหน่งผู้นำในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งอาเซียนไว้ให้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

    ฐาปนฉายภาพว่า วิธีการไปสู่เป้าหมายจะแบ่งออกเป็น 2 แกนหลักคือ “Reach Competitively” และ “Digital for Growth”

    ไทยเบฟ

    แกนกลยุทธ์ Reach Competitively หมายถึงการสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขันและบริการเพื่อตอบสนองลูกค้า เช่น การเข้าถึงทุกพื้นที่ ไปให้ถึงลูกค้าทุกคน ไม่ใช่แค่ในไทยแต่ไปทั่วอาเซียน

    “ลูกค้าวันนี้ให้เวลาแค่ 30 วินาทีในการรอคอยการบริการที่ประทับใจกับตัวเขา ราคาต้องดี สินค้าต้องดี ทุกอย่างครบ” ฐาปนกล่าว

    ส่วนแกนกลยุทธ์ Digital for Growth คือ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในทุกส่วนทุกขั้นตอนขององค์กร เช่น การ upskill บุคลากรให้สามารถใช้งานดิจิทัลในการทำงานได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว การนำดาต้าที่เก็บมามาใช้ในการทำงานและตัดสินใจทางการบริหารได้จริง

    ในประเด็นนี้ “โฆษิต สุขสิงห์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวเสริมด้วยว่า การนำดิจิทัลมาใช้จะรวมถึงพันธมิตรธุรกิจของไทยเบฟด้วย จากจุดขายของบริษัทในไทยที่มีถึง 8 แสนจุด ในเวียดนามอีก 8-9 แสนจุด จะมีการนำดิจิทัลมาเพื่อใช้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันทั้งหมด โดยมีการใช้ Deep Tech จากสตาร์ทอัพมาเสริมแกร่งให้กับองค์กร

    ฐาปนกล่าวปิดท้ายว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่จะ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต” ตามพันธกิจขององค์กร ไทยเบฟจะต่อยอดความสำเร็จจากแผน PASSION 2025 ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนสู่ PASSION 2030 ซึ่งเป็นแผนการดำเนินงานของกลุ่มเพื่อมุ่งสู่การสู่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงห้าปีข้างหน้า

    ]]>
    1492388
    มาเลเซียตั้งเป้าเป็น ‘ศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค’ ภายในปี 2030 ดึงดูดสตาร์ทอัพหรือแม้แต่บริษัทเทคฯ เข้ามาลงทุนในประเทศ https://positioningmag.com/1470683 Tue, 23 Apr 2024 08:14:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470683 มาเลเซียเตรียมที่จะตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาคภายในปี 2030 ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดสตาร์ทอัพหรือแม้แต่บริษัทเทคฯ ต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศ รวมถึงการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจในประเทศ

    Anwar Ibrahim นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้กล่าวในงาน KL20 Summit ว่า มาเลเซียต้องการที่จะตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาค และต้องการที่จะติด 1 ใน 20 ประเทศในดัชนี Global Start-up Ecosystem ภายในปี 2030 ให้ได้

    แผนการดังกล่าวนั้นมีทั้งการที่จะปั้นให้มาเลเซียที่จากเดิมเป็นแหล่งสำหรับทดสอบและทำแพ็กเกจจิ้งชิป และมีส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมมากถึง 13% ให้กลายเป็นแหล่งสำหรับออกแบบชิป ซึ่งการออกแบบชิปถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงมากกว่า หลังจากนี้จะมีการตั้งพื้นที่สำหรับการออกแบบชิปโดยเฉพาะ

    โดยสำหรับพื้นที่สำหรับการออกแบบชิป นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้กล่าวว่า รัฐบาลมาเลเซียได้พูดคุยกับบริษัทออกแบบชิประดับโลกอย่าง Arm ในเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด

    สำหรับการให้ความช่วยเหลือสตาร์ทอัพที่ตั้งธุรกิจในมาเลเซีย รัฐบาลได้วางแผนทั้งการให้ข้อมูลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โอกาสในการหาลูกค้า การให้ความช่วยเหลือในเรื่องของวีซ่า หรือแม้แต่การให้ความรู้ในเรื่องการระดมทุน

    นายกรัฐมนตรีของยังเชิญชวนให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มาลงทุนในประเทศ และยังกล่าวเสริมว่ากองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลก หรือ Venture Capital มากถึง 12 แห่งเตรียมที่จะตั้งสำนักงานในประเทศ เพื่อที่จะสร้างระบบนิเวศขึ้นให้ได้

    ไม่เพียงเท่านี้กองทุนความมั่งคั่งของมาเลเซียอย่าง Khazanah Nasional เตรียมเม็ดเงินมากถึง 1,000 ล้านริงกิต เพื่อที่จะลงทุนในบริษัทมาเลเซียที่มีการเติบโตสูงและมีนวัตกรรมทันสมัยด้วย

    Rafizi Ramli รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของมาเลเซียยังกล่าวเสริมในเรื่องของแผนการของมาเลเซียในครั้งนี้ว่า มาเลเซียต้องการที่จะดึงดูดสตาร์ทอัพจากทั่วโลก บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ รวมถึงแรงงานทักษะสูง ซึ่งจะสร้างตำแหน่งงานทักษะสูงในอนาคต โดยตั้งเป้าว่าตำแหน่งงานดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่ง

    นอกจากนี้ยังรวมถึงการให้วีซ่าระยะยาวแก่เจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพ การให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เพื่อที่จะทำให้มาเลเซียกลายเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับภูมิภาคให้ได้

    ที่มา – Malay Mail, Reuters

    ]]>
    1470683
    ไม่ใช่แค่ไทย มาเลเซียเปิดฟรีวีซ่า 30 วันให้กับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ดึงรายได้เข้าประเทศ https://positioningmag.com/1453376 Sun, 26 Nov 2023 16:57:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453376 มาเลเซียเปิดฟรีวีซ่า 30 วันให้กับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย รวมถึงประเทศชาติอาหรับอื่นๆ เพื่อที่จะดึงรายได้เข้าประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียให้เหตุผลว่ามองเห็นโอกาสสำคัญจากนักท่องเที่ยวที่อยู่นอกอาเซียน 

    อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้ประกาศเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจากจีน รวมถึงอินเดีย โดยเป้าหมายคือต้องการให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้เข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ รวมถึงมีแผนที่จะดึงดูดการลงทุนให้เข้ามาในประเทศอีกด้วย

    นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้ให้เหตุผลของมาตรการฟรีวีซ่าดังกล่าวว่ามองเห็นโอกาสของนักท่องเที่ยวจากนอกอาเซียนที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลมาเลเซียนั้นคาดว่าในปี 2023 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศมากถึง 25 ล้านราย

    ไม่เพียงเท่านี้นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียยังกล่าวถึงการเปิดฟรีวีซ่ากับประเทศจีนเพื่อฉลองความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศที่กำลังจะครบรอบ 50 ปีในช่วงปี 2024 นี้อีกด้วย

    เขายังชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ นั้นช่วยทำให้ภาคธุรกิจมาลงทุนในมาเลเซียเพิ่มมากขึ้นด้วย

    มาตรการฟรีวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวนั้นไม่ใช่แค่มาเลเซีย หรือไทย เท่านั้นที่งัดมาตรการดังกล่าวออกมา ในช่วงปลายเดือนที่ตุลาคมที่ผ่านมาประเทศรีลังกาได้ออกมาตรการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดีย รัสเซีย เพื่อที่จะดึงดูดรายได้เข้าประเทศเช่นกัน

    ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันทางด้านของฝั่งจีนเองก็ได้เปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวของมาเลเซียสามารถท่องเที่ยวในประเทศจีนได้ยาวถึง 15 วัน

    ปัจจุบันมาเลเซียมีนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซีย รวมถึงสิงคโปร์ เป็นสัดส่วนมากที่สุด แต่ถ้าหากเป็นนักท่องเที่ยวนอกอาเซียนแล้ว นักท่องเที่ยวชาวจีนถือว่ามีสัดส่วนมากที่สุด

    โดยมาตรการฟรีวีซ่าดังกล่าวนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป นอกจากอินเดีย และจีนแล้ว มาเลเซียยังจะเปิดฟรีวีซ่าให้กับประเทศกลุ่มอาหรับ เช่น จอร์แดน รวมถึงตุรกี เช่นกัน

    ที่มา – Malay Mail, The Strait Times

    ]]>
    1453376
    MYAirline สายการบินราคาประหยัด ถูกทางการมาเลเซียระงับการบินชั่วคราว หลังขาดสภาพคล่องอย่างหนัก https://positioningmag.com/1448094 Mon, 16 Oct 2023 07:29:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448094 MYAirline สายการบินราคาประหยัดของประเทศมาเลเซีย ล่าสุดถูกทางการมาเลเซียยึดใบอนุญาตด้านการบินชั่วคราว หลังจากที่สายการบินได้ประกอบธุรกิจได้ไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำ เนื่องจากปัญหาด้านการเงิน ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก

    Loke Siew Fook รัฐมนตรีด้านคมนาคมของมาเลเซีย กล่าวว่าได้ระงับใบอนุญาตของ MYAirline ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน นอกจากนี้ยังได้เตือนสายการบินรายดังกล่าวว่าจะต้องจัดลำดับความสำคัญของสวัสดิการของพนักงาน 900 คน รวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าด้วย

    โดยปกติแล้วถ้าหากสายการบินในประเทศมาเลเซียต้องการที่จะต่อใบอนุญาตด้านธุรกิจการบินกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบิน จะต้องมีการยื่นงบการเงินให้ตรวจสอบก่อนว่าสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างตลอดรอดฝั่งด้วย ซึ่งใบอนุญาตล่าสุดที่สายการบินคู่แข่งรายอื่นได้ไปนั้นจะต่ออายุปีต่อปี

    ก่อนหน้านี้สายการบิน MYAirline ได้แจ้งขอยุติการให้บริการของสายการบิน โดยยกเลิกเที่ยวบินมายังประเทศไทยแบบกะทันหันในวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าต้องหยุดประกอบกิจการชั่วคราวเพื่อปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเพิ่มทุน เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงิน

    สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้ผู้โดยสารในมาเลเซียและสนามบินปลายทางที่สายการบินให้บริการเกิดความเดือดร้อนทันที เนื่องจากสายการบินหยุดให้บริการกะทันหัน ส่งผลทำให้สายการบินอย่าง AirAsia หรือแม้แต่ Batik Air Malaysia ได้ช่วยเหลือโดยลดราคาค่าตั๋วเครื่องบิน 50% ทันที

    นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวยังทำให้ Stuart Cross ผู้บริหารสายการบินอย่างรักษาการ CEO ของสายการบินก็ได้ลาออกจากตำแหน่งทันที

    ไม่เพียงเท่านี้บริษัทที่ให้เช่าเครื่องบินหลายรายไม่ว่าจะเป็น AerCap และ SMBC Aviation Capital รวมถึงบริษัทอื่นๆ ได้ติดต่อสายการบินเพื่อให้ส่งคืนเครื่องบินที่สายการบินเช่าอยู่ 8 ลำ ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง AirAsia เองก็เตรียมที่จะขอเช่าเครื่องบิน 6 ลำต่อทันทีจากบริษัทให้เช่าเครื่องบินเหล่านี้

    ในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา MYAirline ประกอบธุรกิจการบินโดยใช้เครื่องบินของ Airbus รุ่น A320-200 จำนวน 3 ลำ โดยมีพนักงานกว่า 400 คน ให้บริการผู้โดยสารจากต้นทางท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ไปยังปลายทางในประเทศมาเลเซีย ได้แก่ โกตาบารู ปีนัง ลังกาวี และตั้งเป้าที่จะทำราคาตั๋วนั้นถูกกว่าคู่แข่งอย่าง AirAsia ได้ สายการบินรายดังกล่าวได้ขยายเส้นทางเพิ่มเติมไปยังปลายทางอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย

    ท้ายที่สุดสายการบินอาจต้องเร่งหานักลงทุนรายใหม่เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้กับสายการบินรายนี้ให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ภายในเส้นตาย 90 วันนี้

    ที่มา – Free Malaysia Today, New Strait Times [1], [2]

    ]]>
    1448094
    มาเลเซียกำลังพิจารณาห้ามส่งออกแร่ธาตุหายาก หวังเพิ่มการผลิต-การจ้างงานในประเทศมากยิ่งขึ้น https://positioningmag.com/1443934 Mon, 11 Sep 2023 17:46:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443934 แร่ธาตุหายากกำลังจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญด้านความมั่นคงของเศรษฐกิจหลายประเทศ ล่าสุดมาเลเซียกำลังพิจารณาที่จะห้ามส่งออกแร่หายากเหล่านี้ โดยมองว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากในมาเลเซียจะช่วยสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ และทำให้เกิดการจ้างงาน

    สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า รัฐบาลมาเลเซียกำลังพิจารณาแบนการส่งออกแร่ธาตุหายาก (Rare Earth) โดยมองว่าเพื่อที่จะต้องการให้มีการผลิตในประเทศ หรือแม้แต่ต้องการให้มีการจ้างงานในประเทศเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าปริมาณของการส่งออกของแร่ธาตุดังกล่าวนี้จะไม่มากก็ตาม

    คาดการณ์ล่าสุดจากทางสหรัฐอเมริกาคาดว่ามาเลเซียจะมีปริมาณสำรองของแร่หายากราวๆ 30,000 ตัน ขณะที่จีนยังเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองเป็นอันดับ 1 มากถึง 44 ล้านตัน ซึ่งแร่หายากเหล่านี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ ยานพาหนะไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางทหาร

    การตัดสินใจดังกล่าวมาจากประเทศที่ต้องการแร่ธาตุหายากหลายประเทศต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงไปยังประเทศอื่น และมาเลเซียเองก็เป็นประเทศที่มีแร่ธาตุดังกล่าว ส่งผลทำให้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม เสนอแผนดังกล่าวออกมา

    นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้กล่าวว่า รัฐบาลจะสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากในมาเลเซีย ซึ่งเขาได้กล่าวเสริมว่าอุตสาหกรรมแร่หายากคาดว่าจะมีส่วนสนับสนุน GDP ได้มากถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2025 และสร้างโอกาสในการทำงานเกือบ 7,000 ตำแหน่ง

    เขายังกล่าวเสริมว่าการสั่งห้ามส่งออกแร่หายากเหล่านี้จะเป็นการรับประกันผลตอบแทนสูงสุดสำหรับประเทศ

    ขณะที่ David Merriman นักวิเคราะห์จาก Project Blue ได้กล่าวกับ Reuters ว่าผลกระทบในการห้ามส่งออกแร่หายากนั้นจะกระทบกับบริษัทจีนที่ดำเนินกิจการในมาเลเซียที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแร่หายากเหล่านี้ ซึ่งจะส่งสินแร่เหล่านี้กลับไปที่โรงงานในประเทศจีน

    ก่อนหน้านี้หลายประเทศสั่งห้ามไม่ให้ส่งออกแร่ธาตุหายากเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจีนที่เป็นประเทศผู้ส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก จากเหตุผลความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศอย่างอินโดนีเซียที่ไม่ต้องการส่งออกแร่อย่างนิกเกิล เพื่อต้องการให้มีการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแร่ดังกล่าวในประเทศ เป็นต้น

    หรือแม้แต่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อินเดียเตรียมพิจารณาออกมาตรการห้ามส่งออก 4 แร่หายากสำคัญ โดยให้เหตุผลว่าแร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ

    สอดคล้องกับ Stewart Randall นักวิเคราะห์จาก Intralink กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเขามองว่ามาตรการแบนการส่งออกแร่หายากของจีน อาจกระตุ้นให้บางประเทศกระจายซัพพลายเชนแร่หายาก

    อย่างไรก็ดีแนวทางดังกล่าวของมาเลเซีย ยังไม่ได้ระบุว่าจะมีผลในช่วงใด แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าแร่ธาตุหายากนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในอนาคตอย่างมากสำหรับหลายประเทศ

    ]]>
    1443934
    “TCP” รุกคืบร่วมทุนท้องถิ่นในตลาดดาวรุ่ง “มาเลเซีย” ด้านรายได้องค์กรปี’66 วางเป้าโต 10-15% https://positioningmag.com/1431392 Tue, 23 May 2023 11:11:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431392 TCP เปิดแผนปี 2566 รุกตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โฟกัสตลาด “มาเลเซีย” เซ็นสัญญาร่วมทุนท้องถิ่น “Yee Lee Group” เพื่อให้ “กระทิงแดง” ขยายตลาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้านตลาด “จีน” โรงงานในเสฉวนจะเริ่มเดินเครื่องปลายปีนี้ เพิ่มกำลังผลิตได้เป็นเท่าตัว วางเป้ารายได้ทั้งองค์กรปี’66 เติบโต 10-15% จากปีก่อน แม้ไตรมาสแรกไม่ค่อยสดใสนัก

    “สราวุฒิ อยู่วิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีหนึ่งที่บริษัทมีความคืบหน้าในตลาดต่างประเทศสูง โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งรุกคืบในตลาด “มาเลเซีย” ไปอีกขั้น ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับ “Yee Lee Group” บริษัทท้องถิ่นในมาเลเซีย

    โดย Yee Lee Group นั้นเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย “กระทิงแดง” หรือ “Red Bull” ในมาเลเซียให้ TCP มานาน 8 ปี และทางบริษัทเห็นศักยภาพของตลาดนี้ว่ายังเติบโตเพิ่มขึ้นได้ จึงตัดสินใจร่วมทุน 50:50 ในบริษัท Yee Lee Marketing เพื่อให้ TCP ได้เข้าใจผู้บริโภคมาเลย์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

    นอกจากนี้ Yee Lee Group นั้นเป็นบริษัทใหญ่ด้าน FMCG ในมาเลเซีย เป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าหลายกลุ่ม เช่น อาหาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค ดังนั้น จึงเป็นพันธมิตรที่สามารถร่วมงานกันได้ในระยะยาว

    TCP มาเลเซีย
    ตัวอย่างสินค้า Red Bull ที่จำหน่ายในมาเลเซีย

    ปัจจุบัน “Red Bull” ที่จำหน่ายในมาเลเซียมี 3 รายการ คือ รสออริจินัล กระป๋องทอง, รสน้ำตาลน้อยลง 25% กระป๋องเงิน และ Red Bull Plus ไม่มีน้ำตาล และทั้งสามผลิตภัณฑ์นี้ส่งให้แบรนด์ Red Bull เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drink) อันดับ 1 ของมาเลเซีย ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 51.3% (ข้อมูลจาก NeilsenIQ)

    สราวุฒิกล่าวต่อว่า ศักยภาพของมาเลเซียที่บริษัทเล็งเห็น คือ อัตราการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังต่ำอยู่ โดยมีการบริโภคเพียง 1 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบกับไทยมีการบริโภค 5 ลิตรต่อคนต่อปี หรือเวียดนามบริโภคสูงถึง 6 ลิตรต่อคนต่อปี จึงยังมีพื้นที่ว่างให้ตลาดนี้เติบโตได้อีกมาก

     

    โรงงาน “จีน” ใกล้เดินเครื่อง

    สำหรับประเทศจีน ตลาดใหญ่ของ TCP ตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่บริษัทเคยประกาศการลงทุน 2,000 ล้านหยวน (ประมาณ 9,800 ล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มของบริษัทในมณฑลเสฉวน ครอบคลุมพื้นที่ 166 ไร่

    สราวุฒิอัปเดตความคืบหน้าว่า โรงงานดังกล่าวจะเริ่มเดินเครื่องได้ภายในปลายปีนี้ และจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1,400 ล้านกระป๋องต่อปี เติบโตเป็นเท่าตัว และยังมีพื้นที่เหลือสำหรับไลน์ผลิตสินค้าอื่นที่อาจมีขึ้นในอนาคต

    TCP 9 หมื่นล้าน
    พิธีวางรากฐานโรงงานแห่งใหม่กระทิงแดง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน

    โดยเครื่องดื่มกระทิงแดง หรือที่คนจีนรู้จักในชื่อ “หงหนิว” มีจำหน่ายในจีนมากว่า 30 ปีแล้ว และเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังอันดับ 1 อย่างไรก็ตาม สราวุฒิกล่าวว่าในระยะหลังมีแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ท้องถิ่นของจีนเองเกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นความท้าทายที่ TCP จะต้องพัฒนาให้ทันผู้บริโภคอยู่เสมอ

    ปลายปีนี้บริษัทจึงเตรียมจัดตั้งแผนกคิดค้นพัฒนาสินค้า เพื่อให้คนจีนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจคนจีนเอง เป็นแต้มต่อในการครองตลาด

     

    วางเป้าปี’66 เติบโต 10-15%

    สำหรับประเทศไทยเองก็มีการลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน โดยปลายปีนี้คาดว่าจะได้เริ่มไลน์ผลิตเครื่องดื่มประเภทขวดแก้ว 2 ไลน์ใหม่ในโรงงานปราจีนบุรี สนับสนุนการผลิตเครื่องดื่มทุกแบรนด์ที่ใช้ขวดแก้ว เช่น กระทิงแดง, เรดดี้, โสมพลัส, ไฮ่ x DHC, สปอนเซอร์

    ผลิตภัณฑ์ใหม่: (จากซ้าย) Red Bull โซดา แบบไม่มีน้ำตาล, FarmZaa มะปี๊ดโซดา จากฟาร์มเกษตรกรเมืองจันท์ และ Planett โซดากลิ่นดอกไม้และผลไม้ หนึ่งใน 50 สินค้านวัตกรรมด้านรสชาติ ในงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023

    รวมถึงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดไทย ได้แก่ Red Bull Soda ไม่มีน้ำตาล 2 รสชาติ รสแอปเปิ้ล-องุ่นมัสแคต และ รสเกรปฟรุ๊ต-สับปะรด, FarmZaa มะปี๊ดโซดา, คอลลาเจนกัมมี่ DHC x Bestural และ Planett โซดากลิ่นดอกไม้และผลไม้ ซึ่งสินค้าใหม่ทั้งหมดสามารถเข้าชมและชิมได้ที่งาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

    สราวุฒิกล่าวว่า เมื่อปี 2565 ถือเป็นปีที่ดีมากของ TCP ทำรายได้ไปถึง 50,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% ซึ่งเกิดจากการฟื้นตัวในตลาดต่างประเทศ

    ส่วนปี 2566 นี้ บริษัทยังตั้งเป้าเติบโต 10-15% แต่รายได้ในช่วงไตรมาสแรกยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยยังทรงตัวไม่เติบโต อย่างไรก็ตาม พบว่าเกิดจากเมื่อปีก่อนบริษัทต่างๆ ต่างตุนสินค้าไว้มาก เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งทำให้ช่วงไตรมาสแรกมีการชะลอการสั่งซื้อ จึงหวังว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นและทำให้บริษัทโตได้ตามเป้าหมาย

    ]]>
    1431392
    เช็คลิสต์ “5 ประเทศอาเซียน” พร้อมเปิดประเทศให้เที่ยวได้แบบไม่ต้องกักตัว https://positioningmag.com/1379135 Fri, 25 Mar 2022 04:00:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1379135 ช่วงนี้สถานการณ์ COVID-19 ในหลายๆ ประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น การเดินทางระหว่างประเทศก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการลง หลายๆ แห่งที่ปิดประเทศไม่รับนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลานาน ก็เริ่มออกมาประกาศว่าจะเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวได้แบบไม่ต้องกักตัว ทำให้แนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศเริ่มคึกคักมากขึ้น

    สำหรับประเทศในแถบอาเซียนใกล้ๆ บ้านเรา ก็มีหลายแห่งที่กำลังจะเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ลองมาสำรวจกันว่ามีประเทศไหนบ้าง

    มาเลเซีย

    Photo : Shutterstock

    ประเทศเพื่อนบ้านของเราที่ประกาศจะเปิดพรมแดนใหม่อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นต้นไป ภายหลังจากปิดพรมแดนมาเกือบ 2 ปี เนื่องจากมีการระบาดใหญ่ของ COVID-19

    สำหรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดส (หรือ ฉีดบูสเตอร์โดสแล้ว) ไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 ดังนี้ (ทั้งการเดินทางเข้าทางอากาศและทางด่าน)

    • ดาวน์โหลดและลงทะเบียนแอป MySejahtera
    • หลังลงทะเบียนเสร็จ กรอกข้อมูล Traveller ในแอปให้เรียบร้อย
    • ต้องมีผลตรวจ RT-PCR ไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
    • ผู้ที่เคยได้รับเชื้อ COVID-19 มาแล้ว สามารถใช้ผลตรวจ RTK-Ag ที่ไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงได้ แต่ต้องมีใบรับรองจากโรงพยาบาล ว่าหายขาดหรือไม่สามารถแพร่เชื้อได้แนบมาด้วย
    • ประกันการเดินทางครอบคลุมการรักษาโควิด-19 ไม่ต่ำกว่า 50,000 USD
    • ต้องทำการตรวจ RTK-Ag อีกครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเดินทางถึงมาเลเซีย

    ส่วนผู้เดินทางระหว่างประเทศที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส จะต้องผ่านการกักตัว เป็นเวลา 5 วันเมื่อเดินทางมาถึงมาเลเซีย ในขณะเดียวกันเด็กที่มีอายุ 12-17 ปี ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ โดยปลอดการกักตัว และจำเป็นต้องได้รับการตรวจ RTK-Ag ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึงมาเลเซีย

    สิงคโปร์

    ภายหลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวภายใต้เงื่อนไข Vaccinated Travel Lane (VTL) มาพักใหญ่ๆ โดยต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดส เดินทางด้วยเที่ยวบินแบบ VTL ตามที่รัฐกำหนด รวมถึงปฏิบัติตามข้อกำหนดอื่นๆ

    ล่าสุด รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมผ่อนคลายมาตรการคุมการระบาดของ COVID-19 ผ่านการข้ามแดน โดยอนุญาตให้นักเดินทางจากทุกชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดส สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางมาถึงสิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นต้นไป (รวมถึงเด็กที่มีอายุเท่ากับหรือต่ำกว่า 12 ปี)

    นอกจากนี้ ยังยกเลิกการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยวิธี ART เมื่อเดินทางถึงสิงคโปร์ภายใน 24 ชั่วโมง (แต่ยังคงต้องตรวจ PCR หรือ ATK ก่อนเดินทางเข้าสิงคโปร์ ภายใน 48 ชั่วโมง) และไม่ต้อวเดินทางด้วยเที่ยวบิน VTL แต่จะเปลี่ยนเป็นการเดินทางภายใต้โครงการ Vaccinated Travel Framework แทน (รายละเอียดโครงการต้องรอติดตามต่อไป) และยังเตรียมยกเลิกข้อกำหนดให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่นอกอาคารอีกด้วย

    กัมพูชา

    Photo : Shutterstock

    เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว กัมพูชาเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางเข้าประเทศ แต่ต้องมีผลตรวจโควิดเป็นลบ 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง

    ส่วนประกาศล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค. 65 เป็นต้นไป กัมพูชาเปิดให้นักท่องเที่ยวที่รับวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่ต้องกักตัวเมือเดินทางเข้าประเทศ และยังยกเลิกข้อกำหนดให้แสดงผลตรวจ PCR ของ COVID-19 เพื่อเดินทางเข้าประเทศกัมพูชา ยกเลิกข้อกำหนดในการตรวจโควิดเร่งด่วน (ATK) เมื่อเดินทางถึง และเปิดให้ขอ Visa on Arrival สำหรับผู้เดินทางต่างชาติทุกคน ทั้งผู้เดินทางทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ

    นอกจากนี้ ผู้เดินทางทุกคนต้องแสดงบัตรหรือใบรับรองการฉีดวัคซีน COVID-19 ครบโดส เมื่อเดินทางมาถึงกัมพูชา (สำหรับผู้เดินทางที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส จะต้องกักตัว 14 วัน ณ สถานที่ที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุข) และแนะนำให้ผู้เดินทางทุกคนควรตรวจ ATK ด้วยตัวเองก่อนเดินทาง

    เวียดนาม

    Photo : Shutterstock

    เปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 65 เป็นต้นไป โดยยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางเกือบทั้งหมด ซึ่งมีเงื่อนไขคือ นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดส ไม่ต้องกักตัวเมื่อเดินทางเข้าประเทศ เพียงแสดงเอกสาร

    • เอกสารแสดงผลตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นลบ โดยสามารถใช้ได้ทั้งผลการตรวจหาเชื้อไวรัสแบบ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมง หรือผลการตรวจหาเชื้อแบบเร่งด่วน (Antigen Rapid Test) จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
    • ประกันสุขภาพหรือประกันเดินทางต่างประเทศที่ครอบคลุมการรักษาโรคไวรัส COVID-19 วงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 332,835 บาท)
    • ข้อมูลสุขภาพผู้เดินทาง โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ tokhaiyte.vn ก่อนหรือเมื่อเดินทางถึงประเทศเวียดนาม
    • ติดตั้งแอปพลิเคชัน PC-Covid เมื่อเดินทางถึงประเทศเวียดนาม

    ทั้งนี้ ผู้เดินทางไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารแสดงประวัติการรับวัคซีน COVID-19 และไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อเมื่อเดินทางถึงประเทศเวียดนาม

    อินโดนีเซีย

    Photo : Shutterstock

    ประเทศอินโดนีเซีย ทดลองเปิด “เกาะบาหลี” ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 65 เป็นต้นไป โดยชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าบาหลีแบบไม่ต้องกักตัวต้องแสดงหลักฐานด้านสุขภาพดังต่อไปนี้

    • หลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดส/วัคซีนเข็มกระตุ้น
    • มีผลตรวจ COVID-19 แบบ PCR เป็นลบก่อนเดินทางจากประเทศต้นทาง
    • เอกสารการจองโรงแรมและชำระเงินเต็มจำนวนอย่างน้อย 4 วันในจังหวัดบาหลี
    • รับการตรวจ COVID-19 แบบ PCR เมื่อเดินทางถึงจังหวัดบาหลี ซึ่งหากมีผลตรวจเป็นลบ ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วบาหลี แต่หากมีผลตรวจเป็นบวก จะต้องแยกกักตัวในโรงแรมตามที่ทางการบาหลีกำหนด

    ส่วนผู้สูงอายุต่างชาติที่มีผลตรวจเป็นบวกและมีอาการป่วยโรคอื่นร่วมด้วยจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ในวันที่ 3 ที่เดินทางถึงบาหลี นักเดินทางต่างชาติต้องตรวจ COVID-19 อีกครั้ง หากผลเป็นลบจะสามารถเดินทางไปพื้นที่อื่นๆ นอกบาหลีในวันที่ 4 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ชาวต่างชาติจะต้องทำประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษา COVID-19 ด้วย

    ขณะเดียวกัน จะมีการออก Visa on Arrival ให้นักเดินทางต่างชาติจาก 23 ประเทศ ได้แก่ ไทย, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, กาตาร์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, แคนาดา, อิตาลี, นิวซีแลนด์, ตุรกี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, บรูไน, เวียดนาม, ลาว, เมียนมา, กัมพูชา และฟิลิปปินส์ โดยมีค่าธรรมเนียม Visa on Arrival คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,520 บาท

    โดยรัฐบาลอินโดนีเซียจะขยายการบังคับใช้นโยบายไม่กักตัวทั่วประเทศในวันที่ 1 เม.ย. หรือเร็วกว่านั้น หากการทดลองในบาหลีประสบผลสำเร็จ

    ทั้งนี้ มาตรการการเดินทางเข้าไปยังประเทศต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ก่อนการเดินทางหรือจองตั๋วเครื่องบิน แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลของประเทศนั้นๆ อีกครั้ง

    Source

    ]]>
    1379135
    วิกฤตขาดเเคลนมันฝรั่ง ลามถึงมาเลเซีย ‘แมคโดนัลด์’ จำกัดขาย ‘เฟรนช์ฟรายส์’ ชั่วคราว https://positioningmag.com/1372109 Fri, 28 Jan 2022 07:10:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372109 วิกฤตขาดเเคลนมันฝรั่งลามมาถึงมาเลเซีย หลังเชนฟาสต์ฟู้ดเจ้าใหญ่อย่างแมคโดนัลด์ประกาศงดขายเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์ใหญ่ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนเเปลง

    แมคโดนัลด์ (McDonald’s) ยืนยันกับสำนักข่าว AFP ว่าตอนนี้สาขาต่างๆ ในมาเลเซียหลายร้อยแห่ง กำลังประสบปัญหาด้านซัพพลาย ทำให้ไม่สามารถเสิร์ฟเมนูเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์ใหญ่ มาตั้งแต่วันจันทร์ (24 .. 65)

    โดยบริษัทกำลังเฝ้าระวังเรื่องซัพพลายอย่างใกล้ชิด เเละจะนำเมนูเฟรนช์ฟรายส์ขนาดใหญ่มาวางขายอีกครั้งให้เร็วที่สุด

    ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ต้องสะดุดครั้งใหญ่เมื่อเผชิญกับการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา ทำให้เกิดการขาดแคลนในสินค้าต่างๆ ตั้งแต่อาหารไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    ช่วงต้นเดือนนี้ แมคโดนัลด์ไต้หวัน เเจ้งต่อลูกค้าว่าจากการขนส่งซัพพลายที่ไม่เสถียรเป็นเหตุให้บางสาขาไม่มีเมนูแฮชบราวน์เพราะต้องนำเข้าจากสหรัฐฯ

    ด้านแมคโดนัลด์ในญี่ปุ่น ต้องงดขายเฟรนช์ฟรายส์ไซซ์ขนาดใหญ่และขนาดกลางถึง 2 ครั้ง ตั้งแต่เดือน ธ..ที่ผ่านมา จากเหตุโควิด-19 ระบาดหนักและน้ำท่วมในแคนาดาที่ส่งผลมันฝรั่งนำเข้าขาดแคลน เเละจำเป็นต้องขนส่งวัตถุดิบจากแหล่งอื่นเข้ามาแทน 

     

    ที่มา : CNA 

    ]]>
    1372109
    ข้ามไทยอีกแล้ว! ‘Intel’ เตรียมลงทุน 7 พันล้านเหรียญ เปิดโรงงานผลิต ‘ชิป’ ในมาเลเซีย https://positioningmag.com/1367306 Thu, 16 Dec 2021 05:44:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367306 ‘อินเทล’ (Intel) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เปิดเผยว่า จะลงทุนเป็นเงินมากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานบรรจุภัณฑ์และทดสอบชิปแห่งใหม่ในมาเลเซีย

    แพ็ต เกลซิงเกอร์ หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงของอินเทล กล่าวว่า สาเหตุที่อินเทลขยายการผลิต เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยโรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงแห่งใหม่ในมาเลเซียคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2024 ด้านรัฐบาลมาเลเซีย กล่าวว่า การลงทุนมูลค่า 30 พันล้านริงกิต (7.10 พันล้านดอลลาร์) ของอินเทล จะสร้างงานกว่า 4,000 ตำแหน่งและงานก่อสร้างมากกว่า 5,000 ตำแหน่งในประเทศ

    การดำเนินการนี้เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีเนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการขาดแคลนชิปและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากการฟื้นตัวของโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก” โมฮาเหม็ด อัซมิน อาลี รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศของมาเลเซียกล่าว

    ที่ผ่านมา อินเทลได้เปิดโรงงานผลิตแห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกาที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซียเมื่อปี 1972 โดยโรงงานมีขนาด 5 เอเคอร์ และในปี 1975 มีพนักงานประมาณ 1,000 คน และได้กลายเป็นส่วนสำคัญของซัพพลายการผลิตของบริษัท ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการประกอบชิปของมาเลเซีย คิดเป็นกว่า 1 ใน 10 ของการค้าโลกซึ่งมีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    สำหรับปัญหาการขาดแคลนทั่วโลกของชิปเซมิคอนดักเตอร์ส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีการแพร่ระบาดเป็นเชื้อเพลิง โดยที่ผ่านมาจะเห็นหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากปัญหา ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องลดจำนวนการผลิต ไปจนถึงความล่าช้าในการส่งมอบมาร์ทโฟน อาทิ iPhone ของ Apple ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนชิปคาดว่าจะลากยาวไปอีกน้อย 2 ปี

    โดยรวมแล้วอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปีนี้จะเติบโตมากกว่าในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา แต่ช่องว่างยังคงมีขนาดใหญ่แต่ด้วยสถานการณ์และข้อจำกัดต่าง ๆ คาดว่าปัญหาจะยาวไปถึงปี 2023” แพ็ต เกลซิงเกอร์ กล่าว

    ไม่ใช่แค่มาเลเซีย แต่อินเทลหวังที่จะประกาศเปิดโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปภายในต้นปีหน้า

    Source

    ]]>
    1367306
    รัฐบาลมาเลเซีย หนุนเงินกู้อัดฉีด ‘เเอร์เอเชีย’ รับการบินฟื้นตัวหลังโควิด https://positioningmag.com/1355091 Tue, 05 Oct 2021 15:50:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355091 รัฐบาลมาเลเซีย สนับสนุนเงินกู้ต่อลมหายใจ ให้กับสายการบินโลว์คอสต์เจ้าใหญ่อย่างเเอร์เอเชีย’ รับการฟื้นตัวหลังโควิด

    แอร์เอเชีย กรุ๊ป (AirAsia Group) ได้รับการอนุมัติเงินกู้จาก Danajamin Nasional Berhad สถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 50% จำนวน 500 ล้านริงกิต หรือราว 4 พันล้านบาท

    วงเงินกู้ดังกล่าว รัฐบาลมาเลเซียเป็น ‘ผู้ค้ำประกันให้ถึง 80% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หลังวิกฤตโรคระบาด

    Tony Fernandes ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ AirAsia Group ให้สัมภาษณ์กับ The Edge เมื่อช่วงต้นปีว่า บริษัทมีเเผนจะระดมทุนครั้งใหญ่ ราว 2,000-2,500 ล้านริงกิต รวมไปถึงการกู้ยืมเงินจากธนาคารในท้องถิ่น 3 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติ เเละ Danajamin ก็เป็นหนึ่งในนั้น

    โดยแอร์เอเชีย จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนจ่ายเงินเดือนพนักงาน และใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของบริษัท เช่น การบำรุงรักษาเครื่องบิน เนื่องจากทางสายการบินกำลังเตรียมเพิ่มการดำเนินงานเพื่อรองรับการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้ง

    การได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซีย จึงเป็นเหมือนการเพิ่มความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของธุรกิจสายการบิน ว่าจะมีเเนวโน้มที่ดีขึ้น เเละจะกลับมาให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ในอนาคตอันใกล้ พร้อมกับการที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังจะเริ่มเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ เมื่อประสบความสำเร็จในการกระจายวัคซีน

    ส่วนตลาดในประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เเอร์เอเชียก็เริ่มมีการกลับมาเปิดให้บริการ ‘อย่างค่อยเป็นค่อยไป’ ขณะที่รอการเจรจาเรื่องทราเวล บับเบิลและการผ่อนคลายมาตรการเพื่อเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้ง

    โดยรัฐบาลมาเลเซีย วางเเผนจะเปิดเส้นทางการบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ เมื่อประชากรวัยผู้ใหญ่ราว 90% ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส ซึ่งปัจจุบันระดมฉีดไปเเล้วกว่า 88% (4 ต.ค.)

     

    ที่มา : theedgemarkets , Reuters 

    ]]>
    1355091