Henley & Partners ที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน เปิดเผยรายงานที่พบว่า ปีนี้ “จีน” จะยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐีย้ายออกนอกประเทศมากที่สุดในโลก
โดยในปี 2022 ผู้มีความมั่งคั่งสูง (High Net-Worth Individual: HNWI) อพยพออกจากจีนไป 10,800 คน และคาดว่าปี 2023 น่าจะย้ายออกอีก 13,500 คน
การย้ายถิ่นฐานของเศรษฐีในจีนไม่ได้มีผลโดยตรงจากโรคระบาดโควิด-19 แต่เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานาน 10 ปี
“การย้ายออกในช่วงหลังนี้อาจจะเป็นผลเสียกับจีนมากกว่าปกติ โดยระหว่างปี 2000-2017 เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างแข็งแรง แต่ความมั่งคั่งและเศรษฐีในประเทศมีเพิ่มขึ้นน้อยมากในช่วงเดียวกัน” Andrew Amoils หัวหน้าฝ่ายวิจัย New World Wealth ผู้ช่วยศึกษาวิจัยรายงานฉบับนี้กล่าว
อันดับ 2 ประเทศที่เศรษฐีเลือกย้ายออกมากที่สุดในปี 2023 คือ “อินเดีย” ซึ่งคาดว่าผู้มีความมั่งคั่งจะย้ายถิ่นฐานถึง 6,500 คน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ลดลงจากปี 2022 ไปประมาณ 1,000 คน
อินเดียมีอุปสรรคสำคัญต่อกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งคือเรื่องภาษี และกฎเกณฑ์การนำเงินโยกย้ายออกนอกประเทศที่สามารถตีความได้ตามวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม Amoils ชี้ให้เห็นว่ากรณีของอินเดียอาจไม่น่าเป็นห่วงมากนักเพราะในแต่ละปีก็จะมีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเช่นกัน
ขณะที่อันดับ 3 ในปีนี้ตกเป็นของ “อังกฤษ” ซึ่งคาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายถิ่นฐานออก 3,200 คน เพิ่มขึ้นสูงมากจากปีก่อนที่มีเศรษฐีย้ายออก 1,600 คน เป็นผลโดยตรงจาก Brexit ที่ทำให้การอยู่อาศัยในอังกฤษเกิดความยุ่งยากเมื่อจะเดินทางเข้าออกสหภาพยุโรป (EU) ประเด็นนี้ทำให้ประเทศใหญ่ใน EU คือ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ได้อานิสงส์ เป็นประเทศต้อนรับเศรษฐีที่ต้องการเดินทางสะดวกในทวีปนี้
ส่วนอันดับที่ 4 คือ “รัสเซีย” คาดจะมีเศรษฐีย้ายออกนอกประเทศ 3,000 คน ถือว่าตัวเลขลดลงแรงจากปีก่อนที่มีเศรษฐีย้ายออกจากรัสเซียไปแล้วถึง 8,500 คน เห็นได้ว่าปัจจัยความไม่มั่นคงทางการเมืองและสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน น่าจะส่งผลต่อผู้มีความมั่งคั่งสูงไปมากแล้ว และเริ่มจะคลายตัวลง
ประเทศในทวีปเอเชียอื่นๆ ที่เป็นแหล่งผู้มีความมั่งคั่งสูงหลายประเทศก็เริ่มเห็นเทรนด์การย้ายออกของเศรษฐีเช่นกัน เช่น เขตปกครองพิเศษฮ่องกง คาดจะมีเศรษฐีอพยพออก 1,000 คนในปีนี้ ขณะที่เกาหลีใต้น่าจะอพยพไป 800 คน ตามด้วยญี่ปุ่นที่คาดจะย้ายออก 300 คน
โดยในกรณีของฮ่องกง ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้มีความมั่งคั่งสูงรู้สึกไม่มั่นใจกับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับโควิด-19 และวัตรปฏิบัติด้านประชาธิปไตยที่เริ่มเปลี่ยนไป
ปี 2023 นี้ ผลวิจัยมองว่า “ออสเตรเลีย” น่าจะได้ต้อนรับการอพยพของผู้มีความมั่งคั่งสูงประมาณ 5,200 คน ขณะที่ “UAE” น่าจะมีเศรษฐีอพยพเข้าไปราว 4,500 คน ตามด้วย “สิงคโปร์” เป็นอันดับ 3 ที่น่าจะมีเศรษฐีตั้งถิ่นฐานประมาณ 3,200 คน
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองภาพรวมแล้ว แนวโน้มการอพยพของเศรษฐีมักจะมีปลายทางมุ่งเป้าไปตั้งถิ่นฐานในประเทศตะวันตกมากที่สุด โดยในสหรัฐฯ คาดจะได้ต้อนรับเศรษฐีอพยพ 2,100 คน สวิตเซอร์แลนด์อีก 1,800 คน และแคนาดาประมาณ 1,600 คน
“ในภาพรวมแล้ว เศรษฐีมีการย้ายถิ่นฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา โดยปี 2023 นี้คาดว่าจะมีการย้ายถิ่น 122,000 คน และปี 2024 ย้ายถิ่นอีก 128,000 คน” Juerg Steffen ซีอีโอ Henley & Partners กล่าว
]]>แคร์รี่ ลัม ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญ ให้วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นวันเริ่มแง้มประตูเปิดประเทศบางส่วน โดยจะอนุญาตให้เที่ยวบินจาก 9 ประเทศสามารถลงจอดได้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, บริเตน, แคนาดา, อินเดีย, เนปาล, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์
ฮ่องกงยังจะ “ลดวันกักตัว” สำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเหลือ 7 วัน จากเดิม 14 วัน รวมถึงเริ่มกลับมาเปิดการเรียนการสอนแบบออนไซต์ในโรงเรียนตั้งแต่วันที่ 19 เมษายนนี้ ตามด้วยการเปิดสถานที่สาธารณะตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนเป็นต้นไป
การตัดสินใจของลัมเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มผู้พำนักอาศัยในฮ่องกง ที่หงุดหงิดใจมากขึ้นเรื่อยๆ กับวิธีจัดการการระบาดของ COVID-19 ของรัฐ เพราะดำเนินนโยบายที่เข้มงวดมานานกว่า 2 ปีแล้ว
อัตราการเสียชีวิตต่อประชากรของฮ่องกงยังสูงที่สุดในโลก โดยเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2022 ฮ่องกงมีผู้เสียชีวิต 223 รายจาก COVID-19 และมีผู้ติดเชื้อใหม่ 14,068 คน โดยที่เกาะแห่งนี้มีประชากรเพียง 7.5 ล้านคนเท่านั้น แต่การปรับนโยบายก็มีความจำเป็นมากขึ้น
พรมแดนฮ่องกงแทบจะปิดตายมาตั้งแต่เกิดการระบาดต้นปี 2020 โดยมีไฟลท์บินน้อยมากที่ได้รับอนุญาตให้ลงจอด และแทบไม่มีผู้โดยสารทรานสิทผ่านเกาะแห่งนี้อีกเลย เรียกว่าสถานการณ์ของฮ่องกงพลิกผันอย่างมากจากที่เคยเป็นฮับทางการเงินและการค้าแห่งภูมิภาค
นโยบาย Zero-Covid ที่ใช้แบบเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้การเข้าออกประเทศทำได้ลำบากมาก เนื่องจากผู้พำนักที่เดินทางออกนอกแผ่นดิน จะต้องไปพำนักอยู่ในต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ ก่อนจะกลับเข้าฮ่องกงได้ และเมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องกักตัวในโรงแรมอีก 2 สัปดาห์ ท่ามกลางนโยบายประเทศอื่นในโลกที่เริ่มเปิดการเดินทางไล่เลี่ยกัน แต่ฮ่องกงก็ยังปิดตัวต่อไป
ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2021 เริ่มเห็นการย้ายออกของผู้พำนักอาศัยในฮ่องกง เฉพาะช่วงโอมิครอนระบาดก็มีการย้ายออกไปมากกว่าแสนคนแล้ว โดยย้ายออกไปเกือบ 17,000 คนในเดือนธันวาคมปีก่อน ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 มีเวฟผู้อพยพย้ายออกอีก 71,000 คน จนถึงเดือนมีนาคมก็ยังมีคนย้ายออกอีก 54,000 คน
คลื่นการย้ายออกของคนที่เคยพำนักในฮ่องกง ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าความสามารถในการแข่งขันของเกาะฮ่องกงจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ในระยะยาว
ทั้งการย้ายออกของผู้พำนัก รวมถึงการล็อกดาวน์เพื่อต่อสู้ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้เศรษฐกิจฮ่องกงยิ่งตกต่ำ ซ้ำร้าย คนฮ่องกงยังต้องเผชิญกับภาวะสุขภาพจิตแย่ลงจากปัญหาทั้งหมด โดยเฉพาะครอบครัวที่อยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจะเผชิญปัญหานี้หนักหนากว่า
สาเหตุที่ฮ่องกงมีอัตราผู้เสียชีวิตสูงมาก เนื่องจากมีผู้สูงวัยจำนวนมากที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน และเมื่อโอมิครอนแพร่กระจายเข้าสู่บ้านพักคนชรา ทำให้เกิดเวฟการเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ฮ่องกงมีผู้เสียชีวิตสะสมแล้ว 5,000 ราย และส่วนใหญ่เพิ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้วจากการระบาดของโอมิครอนนี้เอง
ความร้ายแรงของโอมิครอนในฮ่องกง เทียบได้กับภาพที่เราเห็นกันทั่วโลกในช่วงที่โลกยังปราศจากวัคซีน ผู้ป่วยต้องนอนรอนอกโรงพยาบาล โลงศพมีไม่พอ และห้องเก็บศพเต็มไปด้วยศพอัดแน่นรอการฌาปนกิจ
ก่อนหน้านี้ ลัมเคยเตรียมการที่จะปูพรมตรวจหาเชื้อประชากรทุกคนบนเกาะ ตามนโยบาย Zero-Covid แต่สุดท้ายแล้วผู้เชี่ยวชาญมองว่าการปูพรมตรวจดูจะไม่ทันการแล้ว
]]>ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่เเล้ว รัฐบาลแคนาดาประกาศจะช่วยเหลือให้เยาวชนชาวฮ่องกง ได้เข้ามาเรียนเเละทำงานในเเคนาดา ‘ง่ายขึ้น’ เพื่อตอบโต้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ที่กำหนดขึ้นโดยจีน เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกง
ภายใต้กฎการขอวีซ่าใหม่นี้ ระบุว่า ชาวฮ่องกงที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในแคนาดา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สามารถสมัครวีซ่าทำงานได้ถึง 3 ปี รวมถึงผู้ที่มีใบรับรองการวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศ ก็มีสิทธิ์สมัครได้เช่นกัน
โครงการนี้ ถือเป็นโครงการแรกที่กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยตรงไปยัง ‘ชาวฮ่องกงวัยหนุ่มสาว’ เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2021 ปัจจุบันมีผู้สมัครมาแล้วกว่า 5,727 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม) โดยได้รับใบสมัครจากชาวฮ่องกงมากถึง 503 คนภายใน 3 สัปดาห์แรกหลังเปิดตัวโครงการ
“แคนาดาและฮ่องกง มีสายสัมพันธ์อันเเน่นเเฟ้นเรื่อยมา จากความต้องการของหนุ่มสาวชาวฮ่องกงที่ต้องการไปยังต่างแดน เราอยากให้พวกเขาเลือกมาที่เเคนาดา” เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองผู้ลี้ภัยและพลเมืองแคนาดากล่าว
แคนาดา นับเป็นบ้านหลังที่สองของชาวฮ่องกงจำนวนมาก โดยมีครอบครัวชาวฮ่องกงย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่แวนคูเวอร์และโตรอนโต มาตั้งเเต่ก่อนที่อังกฤษจะส่งมอบอาณานิคมเดิมให้กับจีนในปี 1997
หลังจากได้รับสัญชาติแคนาดา มีหลายครอบครัวตัดสินใจกลับบ้านเกิดมาอยู่อาศัยในฮ่องกง ทำให้ปัจจุบันฮ่องกงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่ถือสัญชาติแคนาดาประมาณ 3 เเสนคน ถือเป็นชุมชนชาวแคนาดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในต่างประเทศ
จากสถานการณ์ขัดเเย้งทางการเมืองเเละการประท้วงครั้งใหญ่ รัฐบาลจีนได้บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2020 ซึ่งประชาชนชาวฮ่องกงหลายคนมองว่าเป็นการริดลอนสิทธิเสรีภาพ ทำให้พลเมืองจำนวนมากที่อาศัยในฮ่องกง ตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน ขนสินทรัพย์หลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปยังต่างเเดน เพื่อสร้างอนาคตใหม่
เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักร ประกาศว่าจะมอบเงินสนับสนุน 43 ล้านปอนด์ (ราว 2 พันล้านบาท) ช่วยเหลือชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทางพลเมืองอังกฤษโพ้นทะเล ที่มีศักยภาพสูงกว่า 5 ล้านคนให้เริ่มต้นชีวิตใหม่และตั้งถิ่นฐานในอังกฤษได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการหางาน ที่อยู่อาศัยและการเข้ารับการศึกษา
]]>
ข้อมูลจากหน่วยราชการ “นิวซีแลนด์” พบว่า สัดส่วนผู้ขอวีซ่าประเภท “Golden Visa” ในช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคมปีนี้เปลี่ยนแปลงไป มีชาวอเมริกันขอวีซ่าเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ขอทั้งหมด จากเดิมที่มีชาวอเมริกันขอวีซ่าประเภทนี้แค่ 3% เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ผู้ขอวีซ่าแบบ Golden Visa ส่วนใหญ่จะเป็น “ชาวจีน” ซึ่งมีสัดส่วนถึง 43% ของผู้ขอทั้งหมด แต่ช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคมปีนี้กลับเห็นจำนวนผู้ขอวีซ่าชาวจีนลดลงเหลือสัดส่วน 25.4%
Golden Visa ดังกล่าวนั้นเป็นวีซ่านักลงทุน คือผู้ขอวีซ่ามีสิทธิได้รับสิทธิพำนักถาวร แลกกับเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ขั้นต่ำ 3 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 62 ล้านบาท) ที่จะลงทุนในสินทรัพย์หรือกองทุนของนิวซีแลนด์ พร้อมด้วยแผนการลงทุนที่สื่อได้ว่าจะอยู่ในนิวซีแลนด์ระยะยาว อย่างไรก็ตาม โควตา Golden Visa นั้นมีให้ชาวต่างชาติเพียงปีละ 400 รายเท่านั้น
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสถานการณ์ในสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากช่วง COVID-19 ทำให้มีดีมานด์จากนักลงทุนชาวอเมริกันสูงขึ้น
“เดวิด คูเปอร์” ประธานบริษัท Malcolm Pacific Immigration ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเอกชนด้านการอพยพย้ายถิ่นฐาน มีสำนักงานในเมืองโอ๊กแลนด์และเมืองเวลลิงตัน นิวซีแลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ชาวอเมริกันต้องเจอกับ “เคราะห์ร้าย 4 เท่า” ที่ส่งให้พวกเขาตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ และเป็นประเทศที่ปลอดภัยในการลงทุน
“พวกเขาบอกว่า การประท้วงของประชาชน การเมืองไม่เสถียร ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย และ COVID-19 คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาหลังพิงฝา” คูเปอร์กล่าว “เราได้รับสายโทรฯ เข้าและอีเมลไม่ขาดสายจากคนที่ต้องการทราบว่า ตนเองจะย้ายมาอยู่ในนิวซีแลนด์ได้อย่างไร”
ไม่เพียงแต่ประเด็นใหญ่เหล่านั้นเท่านั้น ชาวอเมริกันที่ต้องการย้ายออกจากสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงสาเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้พวกเขาต้องการออกนอกประเทศ เช่น การใช้ความรุนแรงของตำรวจ ฝ่ายอนุรักษนิยมเข้าครอบงำศาลฎีกา กฎหมายครอบครองปืน ความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้านการก่อการร้ายภายในประเทศ ไปจนถึงภาวะไร้ความสามารถของประเทศในการจัดการปัญหาโลกร้อน
ข้อมูลจาก กรมสรรพากรสหรัฐฯ ระบุสอดคล้องกันว่า มีคนอเมริกันที่ละทิ้งสัญชาติหรือสิทธิพำนักถาวรเพิ่มขึ้นมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 มีคนอเมริกันทิ้งสัญชาติแล้ว 5,816 คน เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 ที่มี 2,072 คน เรียกว่าเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว
นอกจากนี้ ในคืนวันเลือกตั้งของสหรัฐฯ ข้อมูลจาก Google พบว่า การค้นหาเรื่อง “วิธีการย้ายไปนิวซีแลนด์” พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่แทบจะปลอด COVID-19 ขณะที่สหรัฐอเมริกายังอยู่ท่ามกลางการระบาดซ้ำ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 แสนเคสต่อวันตั้งแต่เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน
คูเปอร์กล่าวต่อว่า เคราะห์ร้ายในการรับมือโรคระบาดของสหรัฐฯ กลายเป็นโชคดีของนิวซีแลนด์ เมื่อเป็นดั่งสวรรค์ปลอดเชื้อ ทำให้แดนกีวีมีโอกาสดึงการลงทุนเข้าสู่ประเทศ แลกกับการได้วีซ่าพำนักระยะยาว และจะช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น
เขาเปิดเผยว่า ในจำนวนผู้ขอวีซ่านักลงทุนและรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอยู่นั้น มีมูลค่าการลงทุนรวมกันประมาณ 2.8 พันล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์แล้ว (ราว 5.77 หมื่นล้านบาท)
“ถ้ารัฐบาลตัดสินใจอนุมัติได้เร็ว จะมีเม็ดเงินก้อนหนึ่งที่เริ่มเข้าประเทศทันที” คูเปอร์กล่าว “และเมื่อนักลงทุนเข้ามาแล้วพวกเขาจะไม่กลับออกไปเร็ว ดังนั้น ในห้วงเวลาหนึ่งเราจะมีเม็ดเงินเข้ามามากกว่า 2.8 พันล้านเสียอีก”
นอกจากการรับมือโรคระบาด COVID-19 ที่ดีเยี่ยมของนิวซีแลนด์ ประเทศนี้ยังมีพื้นฐานที่ดีมากในการทำธุรกิจด้วยโดยรายงานการทำธุรกิจของ ธนาคารโลก จัดอันดับให้นิวซีแลนด์เป็นอันดับ 1 ประเทศที่ทำธุรกิจได้คล่องตัวที่สุดของโลกติดต่อกันเป็นปีที่สี่ และเป็นอันดับ 1 ประเทศที่เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่สิบสอง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีฐานภาษีเอื้อต่อนักลงทุน มีระบบรัฐบาลและกฎหมายที่แข็งแรง มีตลาดส่งออกที่ให้ผลกำไรสูง และการขอวีซ่าที่สะดวก
ส่วนกรณีของชาวจีนที่ขอวีซ่าเข้านิวซีแลนด์น้อยลง “จอร์จ ชิมเมล” หัวหน้าฝ่ายอสังหาริมทรัพย์จีนบริษัท Juwai กล่าวว่า ชาวจีนลดการขอวีซ่าออกนอกประเทศเพราะการอยู่อาศัยในจีนทุกวันนี้ปลอดภัยกว่าประเทศอื่น
“ในประเทศจีน ทั้งสถานการณ์การระบาดและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดูดีกว่าประเทศอื่นๆ ผู้ขอวีซ่าหลายรายที่ขอเลื่อนแผนออกไปก่อนมองว่า ไม่เป็นไรที่จะรอดูสถานการณ์ว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางไหน” ชิมเมลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ชิมเมลมองว่า นักลงทุนจีนจะกลับไปนิวซีแลนด์อีกแน่นอน เพราะเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุน แม้ว่าขนาดเศรษฐกิจจะเล็ก แต่เปิดโอกาสที่ดีให้กับนักลงทุนจีน โดยมีกลุ่มธุรกิจที่คนจีนสนใจคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรม ภาคการผลิต และป่าไม้
เขายังให้ความเห็นถึงชาวอเมริกันที่กำลังแห่ขอวีซ่าไปนิวซีแลนด์ขณะนี้ว่า เชื่อว่าจะเป็นความสนใจระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐฯ และประธานาธิบดีคนใหม่ว่าจะทำให้วิกฤตคลี่คลายได้เร็วแค่ไหน
]]>จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในวิกฤต COVID-19 ประกอบกับการใช้กฎหมายความมั่นคงของจีนเเละการชุมนุมประท้วง ส่งผลให้ชาวฮ่องกงตัดสินใจประกาศ “ขายอสังหาริมทรัพย์” ของตัวเองมากขึ้น
ข้อมูลจาก Centaline Property Agency ตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง ระบุว่า ปัจจุบันชาวฮ่องกงประกาศขายบ้านถึง 26,000 หลัง เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 44% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ความกดดันจากกฎหมายความมั่นคงของจีน ความตึงเครียดทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจเเละอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงจากโรคระบาด ทำให้ประชาชนฮ่องกงบางส่วน มองหา “ลู่ทาง” ในการย้ายไปยังประเทศอื่นมากขึ้น
โดยสหราชอาณาจักร (UK) เป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่ชาวฮ่องกงอยากย้ายไปอยู่มากที่สุด เพราะความคุ้นเคยจากการที่เคยครอบครองเกาะฮ่องกงมาก่อน
Eric Yip ผู้อำนวยการ Link-UK Property Consultancy บริษัทตัวเเทนขายอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรให้กับชาวฮ่องกง เปิดเผยกับ Bloomberg ว่า บริษัทของเขามีการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ในระหว่างเดือนมิ.ย. – ส.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เเนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นหลังรัฐบาลอังกฤษ มอบสิทธิพิเศษทางวีซ่าอนุญาตให้ชาวฮ่องกง 3 ล้านคน สามารถยื่นขอสัญชาติได้ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการ “ขายบ้านหลังเดิม” ในฮ่องกง เพื่อนำเงินมาซื้อบ้านหลังใหม่ในสหราชอาณาจักรหรือประเทศอื่นๆ ที่จะย้ายไป
ที่มา : Bloomberg
]]>