อัตราการเกิด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 06 Jun 2024 12:03:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไทยเอาด้วยไหม? ‘เซี่ยงไฮ้’ ใส่บริการช่วย ‘ผู้มีบุตรยาก’ ในประกันสุขภาพ หวังช่วยเพิ่มอัตราการเกิด https://positioningmag.com/1476964 Thu, 06 Jun 2024 09:27:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1476964 การกระตุ้นอัตราการเกิดอาจไม่ใช่แค่ ให้เงิน เพื่อจูงใจให้คนมีลูก แต่บางครั้งปัญหาการ มีลูกยาก ก็ทำให้คนที่อยากมีลูกจริง ๆ ไม่สามารถมีได้ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการมีลูกก็ค่อนข้างมีราคาสูง ทำให้ เซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองแรกของจีนที่นำเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ ใส่ไว้ในโครงการประกันสุขภาพ

หลังจากที่ จีน เผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดต่ำที่สุด ทำให้ประเทศต้องพยายามหามาตรการมากระตุ้นอัตราการเกิด โดยล่าสุด เซี่ยงไฮ้ ได้นำร่องในการ รวมบริการเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology: ART) ไว้ในโครงการประกันสุขภาพตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป 

โดยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ที่อยู่ภายใต้โครงการประกันสุขภาพจะมีทั้งหมด 12 ประเภท ซึ่งจะช่วยให้คู่รักที่ต้องการใช้บริการดังกล่าว ลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ได้ถึง 70% จากการขยายสิทธิของโครงการประกันสุขภาพเพื่อสนับสนุนการมีบุตร

ปัจจุบัน เซี่ยงไฮ้มีประชากรเกือบ 25 ล้านคน โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา อัตราการเจริญพันธุ์ของประชากรอยู่ในระดับ ต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 0.6 หรือ เฉลี่ยผู้หญิงแต่ละคนมีลูกเพียง 0.6 คน ในช่วงชีวิตการเจริญพันธุ์ ขณะที่อัตราการเจริญพันธุ์เฉลี่ยควรอยู่ที่ระดับ 2.1 และถือว่าต่ำกว่า เกาหลีใต้ ที่เป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์เฉลี่ยต่ำสุดของโลกที่ 0.72% 

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาไม่มีการเปิดเผยถึงตัวเลขอัตราการเจริญพันธุ์ทั้งหมดของจีน แต่นักวิเคราะห์ประเมินว่าอยู่ที่ประมาณ 1.0 ส่วน ฮ่องกง คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 0.8 ตามรายงานของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติที่เผยแพร่ในเดือนเมษายน

ย้อนไปในปี 2022 ที่ผ่านมา ประชากรของจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี เนื่องจากจํานวนผู้เสียชีวิตมีจํานวนมาก กว่าการเกิด และแนวโน้มยังคงดําเนินต่อไปในปีที่แล้ว และทำให้จีนได้เสียตำแหน่งเบอร์ 1 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกให้กับอินเดีย

โดยจำนวนทารกแรกเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อจำนวนเด็กก่อนวัยเรียนทั่วประเทศจีน เนื่องจากจํานวน ครูอนุบาลลดลงกว่า 170,000 คนในปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 ตามรายงานที่ออกโดยสถาบันวิจัย Sunglory Education ในปักกิ่ง

“จํานวนเด็กที่ลดลงมาเร็วมากจนส่งผลต่ออุตสาหกรรมการศึกษาก่อนวัยเรียน” Zhang Shouli ผู้ก่อตั้งสถาบันกล่าว

มีการคาดการณ์ว่า จํานวนเด็กที่โรงเรียนอนุบาล ระหว่างปี 2026-2030 ของจีนจะ ลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับปี 2020

Source

]]>
1476964
อัตราเกิดทรุดฮวบ! กระทบบริษัทใหญ่ในญี่ปุ่นเลิกผลิตไลน์สินค้า “ผ้าอ้อมเด็ก” หันมาผลิตแต่ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่” https://positioningmag.com/1467878 Wed, 27 Mar 2024 07:01:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467878 “Oji Nepia” บริษัทผู้ผลิตสินค้าผ้าอ้อมสำเร็จรูปในญี่ปุ่น ประกาศยกเลิกการผลิตสินค้าประเภท “ผ้าอ้อมเด็ก” หันมาผลิตเฉพาะ “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่” เท่านั้น หลังจากอัตราการเกิดในญี่ปุ่นทรุดเร็วกว่าที่คาด โดยเมื่อปี 2023 มีเด็กทารกเกิดใหม่เพียง 758,631 คน และสังคมญี่ปุ่นกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ

Oji Nepia บริษัทลูกของเครือธุรกิจ Oji Holdings ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้า “ผ้าอ้อมสำเร็จรูป” รายใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมาว่า โรงงานภายในประเทศของบริษัทจะ “เลิกผลิต” สินค้าประเภท “ผ้าอ้อมเด็ก” ตั้งแต่เดือนกันยายน 2024

การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้บริษัทยกเลิกแบรนด์สินค้า Whito และ Genki! ของบริษัทไปด้วย ซึ่งบริษัทตัดสินใจเช่นนี้เพราะดีมานด์ที่ลดลงอย่างมาก เทียบกับเมื่อปี 2001 บริษัทสามารถขายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปได้ปีละ 700 ล้านชิ้น แต่เมื่อปี 2023 ตัวเลขนี้ลดเหลือเพียง 400 ล้านชิ้นต่อปีเท่านั้น

ตัวเลขยอดขายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปมีแนวโน้มจะลดลงอีกในอนาคต เพราะจากสถิติที่ประกาศโดยรัฐบาลญี่ปุ่นพบว่าปี 2023 มีเด็กทารกเกิดใหม่เพียง 758,631 คน เป็นสถิติที่ต่ำที่สุดที่เคยมีมา ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าผิดไปจากที่คาดอีกด้วย เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นเคยประเมินว่าจำนวนทารกเกิดใหม่จะไม่ร่วงลงมาต่ำกว่า 800,000 คนต่อปีจนกว่าจะถึงปี 2030

ฝั่งทารกเกิดใหม่น้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต โดยปีที่แล้วมีประชากรชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต 1.59 ล้านคน และเมื่อย้อนไปถึงปี 2022 พบว่าประชากรญี่ปุ่นที่มีอายุไม่เกิน 15 ปีนั้นมีเพียง 12% ของประชากรรวม ขณะที่คนญี่ปุ่นที่อายุ 65 ปีขึ้นไปกลับคิดเป็นเกือบ 30% ของประชากร

เมื่อเป็นเช่นนี้ แทนที่จะผลิตสินค้าตอบสนองกลุ่มทารก Oji จึงเปลี่ยนมาโฟกัสการผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นแทน นั่นคือการผลิต “ผ้าอ้อมผู้ใหญ่” ซึ่งน่าจะมีดีมานด์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

Oji แจ้งอีกด้วยว่า การหยุดผลิตสินค้าผ้าอ้อมเด็กจะหยุดเฉพาะในโรงงานที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนโรงงานที่บริษัทมีในต่างประเทศ​คือ มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย จะยังคงผลิตผ้าอ้อมเด็กต่อไป รวมถึงจะผลักดันยอดขายผ้าอ้อมเด็กในต่างประเทศมากขึ้นด้วย

จากอัตราการเกิดที่ลดลงของญี่ปุ่น ทำให้จำนวนประชากรญี่ปุ่นที่เคยขึ้นไปสูงสุด 128.1 ล้านคนเมื่อปี 2010 ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 125 ล้านคนเท่านั้น และมีการคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรจะลดจนเหลือเพียง 88 ล้านคนภายในปี 2065

แน่นอนว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีความพยายามมากมายที่จะกระตุ้นให้คู่รักมีลูกกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินอุดหนุนมากขึ้น หรือกระตุ้นการให้วันลาคลอดและเลี้ยงดูบุตรเพิ่มขึ้น แต่เห็นได้ว่าความพยายามของรัฐดูจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก

แม้แต่รัฐมนตรี “ฟูมิโอะ คิชิดะ” ก็เคยพูดถึงปัญหานี้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างมาก ตัวเขาเองกับภรรยานั้นมีลูกถึง 3 คน ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศที่มีลูกเพียงครอบครัวละ 1.3 คนเท่านั้น

Source

]]>
1467878
“ประชากรจีน” หดตัว 2 ปีติดเหลือ 1.409 พันล้านคน อัตราเกิดลดเหลือ 6.39/1,000 คน ทำสถิติต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 1949 https://positioningmag.com/1459151 Wed, 17 Jan 2024 07:11:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459151 ทั้งปัญหาการเติบโตของเศรษฐกิจที่น้อยสุดในรอบ 30 ปี ขณะที่เยาวชนอายุน้อยก็ตกงานกันเพียบ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะส่งผลให้คนจีนเลือกที่จะมีลูกน้อยลง ทำให้อัตราการเกิดต่ำลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ประชากรจีนหดตัวซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

สํานักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ปี 2023 ที่ผ่านมา จำนวนประชากรจีนลดลงเหลือ 1.409 พันล้านคน ลดลงประมาณ 2.08 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2022 โดยถือเป็นการ หดตัวต่อเนื่องสองปีติดต่อกัน ซึ่งยิ่งเกิดความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ที่อาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อเศรษฐกิจของที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

ขณะที่ อัตราการเกิด ยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดใหม่ที่ 6.39 ต่อ 1,000 คน ลดลงจาก 6.77 คน ในปีก่อนหน้า ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การก่อตั้งคอมมิวนิสต์จีนในปี 1949 ที่มีทารกเกิดใหม่ประมาณ 9.02 ล้านคน เทียบกับปี 2022 ที่มีทารกเกิดใหม่ 9.56 ล้านคน

ทั้งนี้ จำนวนประชากรจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษในปี 2022 ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นการลดลงครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่ปี 1961 ที่มีแผน Great Leap Forward หรือแผนห้าปีฉบับที่สอง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการรณรงค์ทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนของอดีตผู้นํา เหมา เจ๋อตง ส่งผลให้ปี 2023 จีนได้ถูก อินเดีย แซงหน้าในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

ที่ผ่านมา แรงงานของประเทศจีนประกอบด้วยคนใน กลุ่มอายุ 16-59 ปี ซึ่งลดลง 10.75 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2022 ในขณะที่จํานวน ผู้สูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เพิ่มขึ้น 16.93 ล้านคน โดยจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นสวนทางกับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เป็นแรงงานที่หดตัว ซึ่งอาจทําให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตกต่ำลงอย่างมาก

ส่งผลให้รัฐบาลจีนได้ยกเลิกนโยบาย ลูกคนเดียว ที่มีมานานหลายหลายทศวรรษ พร้อมทั้งออกนโยบายกระตุ้นให้คู่รักมีลูกกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาก็ไม่สามารถช่วยให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นได้ ปัจจุบัน เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความท้าทาย ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาเติบโต 5.2% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลประกอบการทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศในรอบกว่า 30 ปี

Source

]]>
1459151
เท่าไหร่ก็ไม่พอ! อัตราเกิดใน ‘สิงคโปร์’ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้รัฐฯ อัดฉีดกว่า 3 แสนบาทเพื่อจูงใจ https://positioningmag.com/1444549 Mon, 18 Sep 2023 04:13:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444549 แม้ว่า สิงคโปร์ จะถือเป็นประเทศที่มีความสุขสูงสุดในเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงาน World Happiness Report จากสหประชาชาติ (U.N.) ก็ตาม แต่อัตราการเกิดของสิงคโปร์กลับลดต่ำลงเรื่อย ๆ โดยสาเหตุหลัก ๆ เลยก็คือ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ภาครัฐจะออกนโยบายกระตุ้น พร้อมให้สิทธิพิเศษมากมายก็เหมือนจะยังไม่สามารถจูงใจได้

ปี 2022 อัตราการเกิดของสิงคโปร์แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.05 โดยลดลงถึง 7.9% หลังจากลดลงต่อเนื่องมาหลายปี ยกเว้นแค่ในปี 2021 ที่เกิดการระบาดของโควิดที่อัตราเกิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.1 เป็น 1.12 โดยสาเหตุที่ทำให้อัตราการเกิดลดลงนั้นหนีไม่พ้นเรื่อง ค่าครองชีพที่สูง ทำให้หลาย ๆ คนไม่อยากขยายครอบครัว

การมีลูกนั้นเชื่อมโยงกับหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ความสามารถในการซื้อบ้าน คู่สมรส และความพร้อมของตลาดงาน ซึ่งถ้ารู้สึกพร้อมทั้งหมด คุณก็จะรู้สึกปลอดภัยพอที่จะมีลูก ซึ่งความน่าดึงดูดใจของการอยากมีลูกลดลงอย่างมากจริง ๆ” Jaya Dass กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Ranstad กล่าว

ปัจจุบัน สิงคโปร์กำลังเผชิญกับอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยข้อมูลจาก สถาบันการศึกษานโยบายในสิงคโปร์ แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 2024 ปี มีโอกาสคลอดบุตรน้อยกว่าผู้หญิงอายุระหว่าง 3539 ปี แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเลือกที่จะมีบุตรในภายหลังหรือ ไม่มีเลย

ด้วยเหตุนี้ทำให้รัฐบาลต้องทุ่มสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนมีลูก โดยคู่รักที่มีบุตรตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ พ่อ-แม่จะได้รับเงินคนละ 11,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 290,000 บาท) เพิ่มขึ้นจาก 8,000 สิงคโปร์ สำหรับลูกคนแรกและคนที่สอง และเพิ่มเป็น 13,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 3440,000 บาท) สำหรับลูกคนที่สามและต่อ ๆ ไป ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 30%-37% นอกจากนี้ คุณพ่อยังสามารถลางานเพิ่มได้จาก 2 สัปดาห์เป็น 4 สัปดาห์ สำหรับพ่อของเด็กที่เกิดในปี 2024

อย่างไรก็ตาม เวิน เหว่ย ตัน นักวิเคราะห์จาก Economist Intelligence Unit มองว่า ต่อให้ทุ่มเงินมหาศาลก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะการแก้ปัญหาอัตราการเจริญพันธุ์จะทำให้ต้องเผชิญหน้ากับจุดอ่อนของระบบที่ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่หมายถึงการจัดการกับความท้าทายด้านประชากรศาสตร์เท่านั้น

ทั้งนี้ ในปี 2022 EIU จัดอันดับให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่ ค่าครองชีพแพงที่สุด โดยครองตำแหน่งสูงสุดร่วมกับนิวยอร์กซิตี้ ขณะที่ ราคาบ้านก็แพงสุดในเอเชียแปซิฟิก โดยเพิ่มขึ้น 7.5% ดังนั้น การเป็นเจ้าของบ้านก็ถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคู่รักหนุ่มสาวเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหา เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูบุตรในสิงคโปร์ ส่งผลให้ชาวสิงคโปร์มีความรู้สึกว่า ไม่มั่นคงพอจะมีลูก แม้แต่กับกลุ่มคู่รักที่มีรายได้สองทาง แต่ก็เลือกจะไม่มีลูก

“ความไม่มั่นคงกำลังดึงผู้คนให้ห่างไกลจากการมีลูก” Mu Zheng ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าว

นอกจากเรื่องค่าครองชีพแล้ว เรื่อง หน้าที่การงาน ก็เป็นอีกส่วน เนื่องจากกรอบความคิดคนเปลี่ยนแปลงไป โดยคู่รักจำนวนมากขึ้นเต็มใจที่จะ ให้ความสำคัญกับอาชีพการงานมากกว่าการแต่งงานและการมีลูก นอกจากนี้ การชะลอการแต่งงานหมายความว่าผู้คนอาจได้รับโอกาสมากขึ้นในการ ศึกษาต่อในระดับสูง ส่งผลให้บางคน เลือกมากขึ้น และ คาดหวังกับคู่ครองในอนาคตมากขึ้น

เมื่อผู้หญิงมีลูก พวกเธอจะเห็นการชะลอตัวในความก้าวหน้าในอาชีพการงาน หลายคนตัดสินใจที่จะรอจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกมั่นคงและมั่นคงในงานของตน เพื่อไม่ให้ครอบครัวลำบากหากพวกเขาลาออกจากงาน” ตัน โปห์ ลิน นักวิจัยอาวุโสของ Lee Kuan Yew School of Public กล่าว

แน่นอนว่า สาเหตุที่รัฐบาลต้องกระตุ้นให้การเกิดเพิ่มมากขึ้นเป็นเพราะ จำนวนประชากรสูงวัย เพิ่มมากขึ้น แต่การเกิดลดลงจะมีผลกระทบต่อกำลัง แรงงานของสิงคโปร์ และจำนวนพนักงานที่ลดลงอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ ภาษีของรัฐบาล

คุณกำลังรวบรวมเงินน้อยลงจากพนักงานที่มีขนาดเล็กลง ดังนั้น รัฐบาลจึงมีทรัพยากรทางการคลังน้อยลงเพื่อนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจที่ประเทศอาจต้องการ ต่อไป คนงานต้องจ่ายภาษีมากขึ้น และมีภาระทางการเงินในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น และหากใครแต่งงานและมีลูก ก็มีข้อพิจารณาทางการเงินมากขึ้น”

]]>
1444549
คุณพ่อลูกสิบ ‘อีลอน มัสก์’ ชวนคนมี ‘ลูก’ หลังอัตราเกิดต่ำอาจเป็นอันตรายต่อ ‘อารยธรรมมนุษย์’ https://positioningmag.com/1398156 Tue, 30 Aug 2022 05:00:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398156 ต้องยอมรับว่าปัจจุบันอัตราการเกิดในหลาย ๆ ประเทศลดลงอย่างมาก โดยนับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา อัตราการอัตราการเติบโตของประชากรลดลงเหลือต่ำกว่า 1% โดยในปี 2564 เหลือเพียง 0.82% ซึ่ง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า โลกจำเป็นต้อง ผลิตลูกให้มากขึ้น และขุดหาน้ำมันต่อไป

อย่างที่หลายคนรู้ อีลอน มัสก์ ไม่ใช่แค่ชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ยังเป็นคุณพ่อลูก 10 ได้ออกมาเตือนว่า อัตราการเกิดที่ต่ำ ก่อให้เกิด อันตรายต่ออารยธรรม โดยเขากล่าวก่อนการประชุมด้านพลังงานในนอร์เวย์ว่า วิกฤตทารก เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกต้องเผชิญ

“เราไม่ต้องการให้ประชากรลดลงจนแทบตายในที่สุด อย่างน้อยก็สร้างลูกให้เพียงพอที่จะรักษาจำนวนประชากรเดิม ถ้าเรามีลูกไม่พอ เราจะตายพร้อมกับส่งเสียงครวญครางใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสลดใจ อีลอน มัสก์ กล่าว

สังคมตะวันตกและประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น จีน กำลังเผชิญกับอัตราการเกิดที่ลดลง ในขณะที่สังคมสูงอายุที่มีมากขึ้น และจากรายงานของ บีบีซี ระบุว่า เกาหลีใต้ ครองสถิติเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลกอีกครั้ง โดยอยู่ที่ 0.81 หรือมีเด็กเกิดไม่ถึง 1 คนต่อผู้หญิง 1 คน ลดลงจากปีก่อน 0.3 จุด และลดลงเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันแล้ว

อย่าง จีน แม้จะยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว และได้อนุมัตินโยบาย ลูก 3 คน ในปี 2564 พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมีลูกด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น การให้เงินโบนัสในการมีบุตร การอุดหนุนการคลอดบุตรและการช่วยเหลือค่าเรียนการศึกษาของเด็ก แต่ดูเหมือนว่านโยบายนี้จะมาช้าไป เพราะในหลายมณฑลของจีนมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในรอบหลาย 10 ปี และบางพื้นที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในรอบ 60 ปี โดยมีอัตราการเกิดเฉลี่ยเพียง 7.52 คนต่อประชากร 1,000 คน

อีกวิกฤตของโลกที่มัสก์มองคือ โลกต้องการแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ ดังนั้น โลกต้องพยายามหาแหล่งน้ำมันแหล่งใหม่ นอกจากนี้เขายังสนับสนุนการซ่อมบำรุง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แม้หลายประเทศในยุโรปได้ตัดสินใจที่จะเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ แต่หลังจากการบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย ทำให้หลายคนเริ่มหยิบเรื่องพลังงานนิวเคลียร์มาพูดขึ้นอีกครั้ง

“ผมคิดว่าตามความเป็นจริง เราจำเป็นต้องใช้น้ำมันและก๊าซในระยะสั้น เพราะไม่เช่นนั้น อารยธรรมจะพังทลาย การสำรวจเพิ่มเติมควรมีได้แล้วในตอนนี้”

Source

]]>
1398156
นักวิชาการจีนเสนอรัฐบาลแจกเงิน “1 ล้านหยวน” กระตุ้นประชาชนมีลูก แก้วิกฤตการเกิดต่ำ https://positioningmag.com/1331757 Thu, 13 May 2021 14:48:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331757 อาจารย์มหาวิทยาลัยชาวจีนคนหนึ่งเสนอแนวคิดให้รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนแก่ครอบครัวที่มีบุตรเกิดใหม่คนละ 1 ล้านหยวน (ราว 4.85 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาอัตราการเกิดในจีนที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ

ผลการสำรวจสำมะโนประชากรจีนครั้งล่าสุดพบว่า จำนวนประชากรจีนในช่วงระหว่างปี 2010-2020 เติบโตช้าที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าจำนวนพลเมืองวัยทำงานอาจไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และโอบอุ้มประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น

เหลียง เจียนจาง (Liang Jianzhang) อาจารย์ประจำสำนักวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้แสดงความคิดเห็นผ่านคลิปวิดีโอที่โพสต์ลงเวยปั๋วว่า จีนจะต้องใช้งบลงทุนถึง 10% ของ GDP จึงจะสามารถเพิ่มอัตราการเกิดจาก 1.3% ในปัจจุบันให้เป็น 2.1% หรือเทียบเท่ากับเงิน 1 ล้านหยวนต่อบุตร 1 คน ซึ่งรัฐอาจจะจัดสรรให้ในรูปของการจ่ายเงินสด, การลดภาษี หรืออุดหนุนที่อยู่อาศัย เป็นต้น

“ผมได้พูดคุยกับคนหนุ่มสาวจำนวนมาก เงินแค่ไม่กี่หมื่นหยวนไม่สามารถโน้มน้าวให้คนมีลูกเพิ่มได้” เหลียง กล่าว

Photo : Shutterstock

อาจารย์เศรษฐศาสตร์ผู้นี้เชื่อว่า เม็ดเงินลงทุนนี้จะได้กลับคืนมาหลังจากที่ประชากรรุ่นใหม่เติบโต และทำประโยชน์ให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ

“ถ้า 1 ครอบครัวมีลูกเพิ่มอีก 1 คน สิ่งที่เด็กคนนั้นจะมอบคืนให้ในรูปของเงินประกันสังคม และการจ่ายภาษีในอนาคตจะเกินกว่า 1 ล้านหยวนแน่นอน”

แนวคิดของ เหลียง ได้กลายเป็นเทรนด์ฮิตในเวยปั๋ว โดยชาวเน็ตจำนวนมากต่างแสดงความคิดเห็นว่ามันเป็นการนำเงินภาษีมาใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ และบ้างก็ว่าเงินแค่ 1 ล้านหยวนอาจไม่พอจ่ายค่าเล่าเรียนบุตรด้วยซ้ำ

“หากมีลูก 1 คนแต่ไม่สามารถนำพรสวรรค์ของเขาออกมาใช้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการก่ออาชญากรรมสำหรับสังคมในยุคนี้” ผู้ใช้เวยปั๋วคนหนึ่งให้ความเห็น ขณะที่อีกคนบอกว่า “ควรทำให้เร็วที่สุดเลยนะ ถ้ารอไปอีก 2-3 ปี ต่อให้เพิ่มเงินเป็น 2 ล้านหยวน ก็ไม่มีใครอยากมีลูกเพิ่มหรอก”

Source

]]>
1331757
อัตราการเกิด ‘จีน’ ลดลง 20% โตช้าสุดในรอบ 10 ปี คาดประชากร ‘อินเดีย’ จะแซงใน 5 ปี https://positioningmag.com/1331634 Tue, 11 May 2021 10:43:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331634 ‘จีน’ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 และมีประชากรมาสุดที่สุดของโลกกำลังเผชิญกับ ‘อัตราการเกิด’ ที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยลดลงจาก 20% แม้ว่าในปี 2016 จีนจะยกเลิกนโยบาย ‘ลูกคนเดียว’ ที่เคยประกาศใช้เมื่อปี 1979 เพื่อเป็นมาตรการควบคุมการเติบโตของประชากร

เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา จำนวนประชากรของประเทศจีนสูงถึง 1.41 พันล้านคนเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีก่อนที่มีประชากร 1.33 พันล้านคน โดยอัตราการเติบโตของประชากรเฉลี่ยต่อปี 0.53% ช้ากว่า 0.57% ที่วัดได้ในปี 2010 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มอัตราการเกิดของจีน โดยจำนวนทารกแรกเกิดในปี 2020 อยู่ที่ 12 ล้านคนลดลงเกือบ 20% จากปีก่อนหน้า

สัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นเป็น 18.7% ซึ่งมากกว่าปี 2010 ที่มีจำนวน 13.26% ในขณะที่ประชากรวัยทำงานของผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-59 ปีลดลงเหลือ 63.35% จาก 70.14% แม้ว่าสัดส่วนของผู้ที่มีอายุ 0-14 ปีจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 16.6% เป็น 17.95%

“อายุเฉลี่ยของประชากรจีนคือ 38.8 ปี ซึ่งร่ำรวยและแข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับอายุ 38 ปีของสหรัฐฯ แต่สัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและผู้สูงวัยจะกลายเป็นพื้นฐานของประเทศเราในอนาคต” Ning Jizhe หัวหน้า NBS กล่าว

(Photo by Miguel Candela/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนการพึ่งพา ซึ่งหมายถึงภาระในการดูแลเด็กและผู้สูงอายุของคนวัยทำงาน และเนื่องจากครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลง รวมถึงผู้สูงวัยที่มากขึ้น และกำลังแรงงานในอนาคตที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

ทั้งนี้ ประชากรวัยทำงานของจีน คือ คนที่มีอายุ 16-59 ปี แม้ว่าจะลดลงไป 40 ล้านคน เมื่อเทียบกับการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดในปี 2010 แต่ เจิง ยู่ผิง หัวหน้านักระเบียบวิธี กล่าวว่า ขนาดประชากรวัยทำงานทั้งหมด 880 ล้าน ยังมีขนาดใหญ่อยู่ และยังมีกำลังแรงงานมากมาย

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนไม่เห็นว่าการลดลงของประชากรทำให้แผนการเติบโตในระยะยาวของจีนลดลง โดย Fang Hanming ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มองว่า ระบบอัตโนมัติจะเข้ามาทดแทนแรงงานที่ลดลงได้

“การเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรไม่ควรก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ สำหรับเป้าหมายในการเพิ่มรายได้ต่อคนเป็นสองเท่าภายในปี 2035 หากจีนเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ”

ตามรายงานของ United Nation ในปี 2019 ประชากรของจีนคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดภายในปี 2030 ในขณะที่อินเดียปัจจุบันมีประชากรอยู่ที่ 1.36 พันล้านคน โดยคาดว่าอินเดียจะแซงหน้าจีนในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในราวปี 2025

Source

]]>
1331634
‘Meiji’ รุกตั้งบริษัทใน ‘เวียดนาม’ โอกาสขยายตลาด ‘นมผง’ หลังอัตราการเกิดมากกว่าญี่ปุ่น 70% https://positioningmag.com/1323397 Mon, 15 Mar 2021 05:43:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323397 ‘Meiji’ ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารของญี่ปุ่น เตรียมตั้งบริษัทย่อยในเวียดนามเพื่อนำเข้าและจำหน่ายนมผงสำหรับทารก หลังมีอัตราการเกิดมากกว่าญี่ปุ่นถึง 70% นับเป็นโอกาสทางธุรกิจสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายเเละขยายกิจการในตลาดใหม่ๆ

โดย Meiji Food Vietnam จะเป็นบริษัทที่ Meiji เป็นเจ้าของเองทั้งหมด ซึ่งกำลังจะเปิดตัวที่กรุงฮานอยในวันที่ 1 เมษายน นี้ ด้วยเงินทุนประมาณ 200 ล้านเยน (ราว 56 ล้านบาท)

เวียดนาม กำลังเป็นประเทศที่ถูกจับตามองว่าเป็นตลาดที่มีแนวโน้มดีสำหรับธุรกิจนมผงสำหรับทารก

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติ ชี้ให้เห็นว่า อัตราการเกิดของเวียดนามในปี 2020 อยู่ที่ 1.5 ล้านคน มากกว่าญี่ปุ่นถึง 70% และมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไป โดยเวียดนามมีประชากร 97 ล้านคน ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และยังมีอายุเฉลี่ยของประชากรยังอยู่ในระดับต่ำที่ 31 ปี

ที่ผ่านมา บริษัทนมและขนมของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ มักจะเลือกส่งสินค้าที่ผลิตในประเทศไปขายในเวียดนาม ซึ่ง Meiji ก็ตั้งใจที่จะดำเนินการต่อไป โดยที่ยังไม่มีแผนจะสร้างโรงงานในท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน Meiji มีความพยายามจะเพิ่มยอดขายในต่างประเทศให้มีสัดส่วนมากกว่า 10% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท ให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2026 

โดยต้องการจะเจาะตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการขยายธุรกิจด้านโภชนาการ ซึ่งมีทั้งนมผงเด็กแรกเกิด โกโก้ ช็อกโกแลต รวมถึงผลิตภัณฑ์ขนมอื่นๆ

ที่ผ่านมา Meiji ได้ขยายตลาดนม โยเกิร์ตและไอศกรีม ในประเทศจีน เเละจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตในสิงคโปร์และอินโดนีเซียเป็นหลัก ส่วนในไทยจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น

ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2020 ธุรกิจอาหารของ Meiji Holdings มียอดขายรวมราว 6.4 พันล้านเยน (ราว 1.8 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 12% 

 

 

ที่มา : Nikkei , Meiji , Kyodo 

]]>
1323397
ประเทศพัฒนาแล้ว “อัตราการเกิด” ลดฮวบ ยิ่งล็อกดาวน์ยิ่ง “เครียด” มากกว่าได้ใช้เวลาดีๆ https://positioningmag.com/1319661 Tue, 16 Feb 2021 11:48:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319661 ผ่าน 9 เดือนหลังจากช่วงล็อกดาวน์เมื่อปีก่อน ฝรั่งเศสเผชิญภาวะ “อัตราการเกิด” ต่ำกว่าปกติราว 10-25% ผิดจากที่คาดว่าการล็อกดาวน์จะทำให้คู่รักได้ใช้ช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันมากขึ้น และมีบุตรสูงขึ้น เทรนด์นี้เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง สาเหตุก็คือ แทนที่จะเป็นช่วงเวลาอบอุ่นของครอบครัว การล็อกดาวน์กลับเป็นตัวการความกังวลด้านเศรษฐกิจและความเครียดของคน

ฝรั่งเศส ประเทศซึ่งมีประชากรมากกว่า 64 ล้านคน เข้าสู่ช่วง 9 เดือนหลังการล็อกดาวน์เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 รอบแรก โดยฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการล็อกดาวน์เข้มงวดมากที่สุดในโลก จนมีการคาดการณ์ว่า การล็อกดาวน์น่าจะนำไปสู่อัตราการเกิดที่สูงขึ้นเพราะทุกคนติดอยู่ในบ้านเดียวกัน

แต่กลับกลายเป็นว่า อัตราการเกิดของฝรั่งเศสลดต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลด้านเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ความเครียด และบางกรณีคือความกังวลเกี่ยวกับไวรัสอาจจะมีอันตรายต่อเด็ก ทำให้ครอบครัวจำนวนมากเลื่อนแผนหรือยกเลิกแผนการมีลูกไปก่อน

ยกตัวอย่างจำนวนทารกเกิดใหม่ที่ โรงพยาบาล Saint-Denis ชานเมืองปารีส ในช่วงระหว่างกลางเดือนธันวาคม 2020 ถึงกลางเดือนมกราคม 2021 กลับลดลงกว่าช่วงปีก่อนหน้าถึง 20% และยังคาดการณ์ด้วยว่า ตัวเลขทารกเกิดใหม่ของปีนี้น่าจะยังคงต่ำกว่าปีก่อน อย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งปีแรก

 

ล็อกดาวน์ยิ่งเข้มงวด การมีลูกยิ่งน้อยลง

ไม่เพียงแต่ชานเมืองปารีส เทรนด์นี้เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ของฝรั่งเศส มีอัตราการเกิดลดลงระหว่าง 10-25% ในช่วงเดือนมกราคม 2021 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ข้อมูลจาก University Hospital in Nancy) ซึ่งการเกิดที่ลดลงเท่านี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างมาก

17 ตุลาคม 2020 : บรรยากาศร้านอาหารแห่งหนึ่งในปารีส ต้องเก็บร้านก่อนเวลาเนื่องจากการประกาศเคอร์ฟิวของภาครัฐ เพื่อควบคุมการระบาดระลอกสอง (Photo: Adnan Farzat/NurPhoto via Getty Images)

รวมถึงใน “อิตาลี” และ “สหรัฐอเมริกา” เกิดเทรนด์แบบเดียวกัน ข้อมูลจาก สำนักสถิติแห่งชาติอิตาลี ระบุว่าเมืองหลัก 15 เมืองของอิตาลีมีอัตราการเกิดต่ำลงมากกว่า 21% ทั้งนี้ บางเมืองในประเทศพัฒนาแล้วก็ไม่เกิดผลกระทบมากนัก เช่น เบอร์ลิน มีอัตราการเกิดต่ำลงไม่มาก แต่เปรียบเทียบกันแล้ว ความเข้มงวดในการล็อกดาวน์ของเยอรมนียังไม่หนักหนาเท่าฝรั่งเศสและอิตาลี

สะท้อนให้เห็นว่า COVID-19 จะมีผลโดยอ้อมต่ออัตราการเกิด และทำให้ภูมิประชากรของประเทศเปลี่ยนแปลง ซึ่งเทียบได้กับเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ที่มีผลกับภูมิประชากร เช่น สงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หายนะภัยครั้งใหญ่ หรือแม้แต่ภาวะโลกร้อนก็สามารถมีผลได้

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ประเทศกำลังพัฒนากลับมีอัตราการเกิดสูงขึ้น เพราะโรคระบาดทำให้รัฐลดงบที่เกี่ยวกับการป้องกันการตั้งครรภ์ เช่น ยาคุมกำเนิด บริการวางแผนครอบครัว (อ่านเพิ่มเติม: สิงคโปร์งัดนโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” ขณะที่ฟิลิปปินส์-อินโดฯ การเกิดพุ่งจนน่ากังวล)

 

กังวลเรื่องรายได้-เครียดจนไม่อยากมีลูก

สำนักข่าว Independent รายงานว่าปัจจัยใหญ่ที่ทำให้คนในประเทศพัฒนาแล้วมีลูกลดลง คือปัจจัย “ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ” เพราะคนที่กำลังพิจารณามีบุตรในช่วงที่โรคระบาดเพิ่งเริ่มขึ้น อาจจะประสบปัญหาตกงานหรือรายได้ลดลงพอดี

แม้ว่ารัฐบาลฝรั่งเศสหรือประเทศในยุโรปอื่นๆ ต่างมีเงินช่วยเหลือให้กับคนตกงาน แต่แน่นอนว่าเงินช่วยเหลือจะมีให้เพียงชั่วคราว และความจริงที่ว่าอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจะไม่ฟื้นตัวเร็ว ประชาชนจึงไม่รู้สึกมั่นคงพอที่จะมีลูก

การล็อกดาวน์ไม่ได้ช่วยให้เกิดช่วงเวลาดีๆ ของครอบครัว แต่เป็นในทางตรงกันข้าม คนในครอบครัวเครียดมากขึ้น

ลำดับต่อมาคือ “ความเครียด” การติดอยู่บ้านในช่วงล็อกดาวน์ไม่ใช่ช่วงเวลาดีๆ ของคู่สามีภรรยาอย่างที่คิด แต่หลายๆ ครอบครัวเครียดหนักขึ้นเพราะสามีภรรยาอยู่ตัวติดกันมากเกินไป หรือบางครอบครัวมีลูกที่โตพ้นวัยทารกแล้ว ปกติเด็กๆ จะอยู่ที่โรงเรียนในเวลากลางวัน ช่วยผ่อนบรรเทาภาระพ่อแม่ แต่เมื่อเกิดล็อกดาวน์ ทั้งพ่อแม่และเด็กต้องมาติดอยู่ในบ้านเดียวกันตลอดวันตลอดคืน

ความเครียดเหล่านี้ร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะกลายเป็นตัวนำไปสู่ความรุนแรงในครอบครัว

“มีผู้หญิงจำนวนมากกว่าปกติที่มาที่โรงพยาบาลเพื่อขอทำแท้ง พวกเธอจะบอกว่า ‘ฉันมีลูกกับคนที่กลายเป็นคนใช้ความรุนแรงในช่วงล็อกดาวน์แบบนี้ไม่ได้หรอก'” Ghada Hatem-Gantzer สูตินรีแพทย์ประจำโรงพยาบาล Saint-Denis กล่าว อย่างไรก็ตาม จำนวนการทำแท้งที่แท้จริงไม่ได้สูงขึ้น แต่เหตุผลเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมีสัดส่วนที่สูงขึ้นจริง

น่าสนใจว่า COVID-19 จะทำให้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยิ่งมีประชากรจำนวนน้อยลงหรือไม่ จากที่หลายประเทศมีภาวะสังคมสูงวัยอยู่ก่อนแล้ว ส่วนประเทศไทยนั้น กระทรวงสาธารณสุขเพิ่งเปิดสถิติเด็กเกิดใหม่ปี 2563 ที่ลดต่ำกว่า 6 แสนคนต่อปีเป็นครั้งแรก เนื่องจากคนไทยมีค่านิยมอยู่เป็นโสดและไม่มีบุตรมากขึ้น

Source

]]>
1319661
สิงคโปร์ งัดวิธี “เพิ่มโบนัส” จ่ายเงินกระตุ้นให้ประชาชน “มีลูก” ช่วง COVID-19 https://positioningmag.com/1300225 Tue, 06 Oct 2020 13:28:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300225 รัฐบาลสิงคโปร์ หาสารพัดวิธีแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำ เตรียมเพิ่มเงินโบนัสกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกในช่วงวิกฤต COVID-19 สวนทางกับอินโดนีเซียฟิลิปปินส์ที่มีปัญหาตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงล็อกดาวน์ 

หนึ่งในเรื่องที่น่ากังวลในช่วงนี้ คือ ชาวสิงคโปร์จำนวนมากเลื่อนแผนการมีลูกของออกไป เพราะมีความเครียดทางการเงิน จากรายได้ลดน้อยลง และบางคนถึงขั้นตกงาน เพราะบริษัทจำเป็นต้องลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงาน

Heng Swee Keat รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ ระบุว่า โครงการกระตุ้นให้ประชาชนมีลูกมากขึ้นดังกล่าว กำลังอยู่ในช่วงพิจารณา โดยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนเงินและวิธีการจ่ายเงินโบนัส จะแจ้งให้ประชาชนทราบในเร็ว ๆ นี้

สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก และปีนี้มีอัตราการเกิดต่ำสุดในรอบ 8 ปี ซึ่งอัตราการเกิดในปี 2018 คือ 1.14 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน

ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามส่งเสริมให้คนในประเทศมีลูก ตามนโยบายมีลูกเพื่อชาติด้วยการจ่ายเงินให้ประชาชนมาหลายทศวรรษ ซึ่งปัจจุบันมีการจ่ายเงินโบนัสให้ประชาชนที่มีบุตรสูงถึง 10,000 เหรียญสิงคโปร์ (ราว 2.2 เเสนบาท)

หลายประเทศในเอเชีย กำลังเผชิญกับปัญหาอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง เเละอาจเลวร้ายลงไปอีกในช่วงการระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีอัตราการเกิดต่ำมากอยู่เเล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของสิงคโปร์เเละญี่ปุ่น กลับตรงกันข้ามกับเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ 

กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) คาดการณ์ว่า หากมาตรการการล็อกดาวน์ในฟิลิปปินส์ ยังต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนี้ จะทำให้มีการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจเพิ่มขึ้นเกือบ 50% หรือจำนวน 2.6 ล้านคน

ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ 108.4 ล้านคน เเละมีการเเพร่ระบาดของ COVID-19 รุนเเรงในอาเซียน โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 307,000 คนเเล้ว

วุฒิสมาชิก Risa Hontiveros หัวหน้าคณะกรรมาธิการด้านสตรี ให้ความเห็นกับ BBC ว่าปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจในฟิลิปปินส์ถูกมองข้ามไปในช่วงที่ประเทศเจอวิกฤต COVID-19 รัฐบาลควรจะเเก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเเละควรเพิ่มเจ้าหน้าที่หญิงเพื่อทำงานนี้ด้วย

 

ที่มา : BBC , Telegraph

 

]]>
1300225