Uber – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 29 Sep 2024 09:52:17 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Uber จับมือ Spirit Halloween ผุดเดลิเวอรี่ส่งด่วน อุปกรณ์-เครื่องแต่งกาย รับเทศกาลฮาโลวีนในอเมริกา https://positioningmag.com/1492154 Sat, 28 Sep 2024 11:58:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492154 Uber Technologies ผู้ให้บริการเรียกรถโดยสาร, จัดส่งพัสดุ, จัดส่งอาหาร และ การขนส่งสินค้า สัญชาติอเมริกา ได้ร่วมมือกับ Spirit Halloween ผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายของตกแต่ง, เครื่องแต่งกาย, อุปกรณ์ประกอบฉาก และอุปกรณ์เสริมตามฤดูกาลในอเมริกา ผุดบริการเดลิเวอรี่ส่งด่วนอุปกรณ์-เครื่องแต่งกาย เพื่อต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน 

จากรายงานข้อมูลของสหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลฮาโลวีนเป็นเทศกาลที่มีการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาเยอะที่สุดและมีการใช้จ่ายมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่า ยอดขายฮาโลวีนจะสูงถึง 11.6 พันล้านดอลลาร์ 

Spirit Halloween ถือเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าตามเทศกาล อาทิ ฮาโลวีน ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในฤดูกาลนี้ก็มีกําหนดจะเปิดร้านเพิ่มเป็น 1,525 แห่งทั่วอเมริกาเหนือ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3% จาก 1,506 แห่งที่เปิดในปี 2023 ถือเป็นการเปิดร้านจำนวนสูงสุดประวัติการณ์ 

ทำให้ Uber ตัดสินใจร่วมมือกับ Spirit Halloween ในการกอบโกยรายได้และยอดขายในช่วงเทศกาลดังกล่าว โดย Uber ได้เพิ่มร้าน Spirit Halloween ทั้งหมดลงในแอป ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าเกี่ยวกับเทศกาลฮาโลวีน ผ่าน Uber Eats, Postmates และแอป Uber ได้ และผลิตภัณฑ์ของ Spirit Halloween จะถูกนําเสนอในราคาเดียวกับที่ผู้บริโภคสามารถหาได้ในร้านค้าต่างๆ และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป 

นอกจากนั้น Uber ร่วมมือกับผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจสินค้า-เครื่องแต่งกายเฉพาะเทศกาล เช่น Party City เพื่อเข้าถึงฐานผู้บริโภคที่กว้างขึ้น นอกเหนือจากธุรกิจเดลิเวอรี่อาหาร เป็นต้น

ที่มา : CNBC 

]]>
1492154
“Uber” เซ็นดีล “BYD” นำรถอีวี “100,000 คัน” ปล่อยราคาพิเศษให้คนขับในยุโรป-ละตินอเมริกา https://positioningmag.com/1484612 Wed, 31 Jul 2024 13:09:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484612 ไม่แคร์กำแพงภาษี! บริการเรียกรถ “Uber” เซ็นดีลกับ “BYD” นำรถอีวี “100,000 คัน” ปล่อยเช่าซื้อราคาพิเศษให้กับคนขับบนแพลตฟอร์มใน “ยุโรป” และ “ละตินอเมริกา” พร้อมจับมือร่วมกันพัฒนา “ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เพื่อแพลตฟอร์มนี้โดยเฉพาะ

“Uber” กับ “BYD” ร่วมกันแถลงข่าวความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาว ทางบริษัท Uber สัญญาสนับสนุนรถอีวีของ BYD จำนวนรวม 100,000 คันให้กับคนขับบนแพลตฟอร์ม โดยจะมีการจัดแพ็กเกจสินเชื่อเช่าซื้อราคาพิเศษ, สนับสนุนทางการเงิน, ประกันรถยนต์, ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และค่าชาร์จไฟฟ้า ให้กับคนขับ Uber ที่ต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD มาใช้ร่วมขับขี่

โดยตลาดหลักของ Uber ที่จะเริ่มสนับสนุนรถยนต์ BYD ก่อน ได้แก่ ยุโรป และ ละตินอเมริกา ขณะที่ในอนาคตจะมีการขยายไปในตลาดอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลาง แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

ทั้งสองบริษัทถือว่าเป็นผู้นำเรื่องรถอีวีในวงการของตนเอง เพราะ Uber ถือเป็นแพลตฟอร์มเรียกรถที่มีรถอีวีในเครือข่ายมากที่สุดในโลก ส่วน BYD เป็นผู้นำด้านการผลิตรถอีวี จากการร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งสองบริษัทมีเป้าหมายที่จะทำให้ต้นทุนการเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าของคนขับ Uber ต่ำลง

แม้ว่าคนขับ Uber จะเปลี่ยนไปใช้รถอีวีเร็วกว่าคนขับบนแพลตฟอร์มอื่นถึง 5 เท่า แต่จากการสำรวจของ Uber ก็พบว่า คนขับมองว่า “ราคา” ของรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนจากรถสันดาปมาเป็นอีวี ทำให้บริษัทต้องการจะหาดีลพิเศษเพื่อให้คนขับบนแพลตฟอร์มเปลี่ยนมาใช้รถอีวีได้ง่ายขึ้น

นอกจากดีลรถยนต์ราคาพิเศษแล้ว ต่อไปในอนาคตทั้งสองบริษัทจะร่วมกันพัฒนา “ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ” เพื่อนำมาใช้บนแพลตฟอร์ม Uber โดยเฉพาะด้วย

BYD Atto 3

“Uber กับ BYD มีสัญญาร่วมกันที่จะสร้างนวัตกรรมไปสู่โลกที่สะอาดขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกันไปสู่อนาคตดังกล่าว” Chuanfu Wang ประธานกรรมการและประธานบริษัท BYD กล่าว

“เมื่อคนขับ Uber เปลี่ยนมาใช้รถอีวี พวกเขาจะสร้างประโยชน์ลดการปล่อยคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อมได้มากกว่า 4 เท่าเทียบกับผู้ใช้รถปกติ เพราะคนขับ Uber นั้นใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานกว่า นอกจากนี้ ผู้โดยสารหลายคนบอกกับเราว่าได้สัมผัสประสบการณ์บนรถอีวีครั้งแรกเมื่อเรียกรถ Uber นั่นทำให้เราตื่นเต้นที่จะช่วยสาธิตประโยชน์ของรถอีวีให้กับผู้คนทั่วโลกให้มากขึ้น” Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber กล่าว

สำหรับบริษัท BYD นั้นเป็นบริษัทสัญชาติจีนที่สามารถเอาชนะ Tesla ได้ 2 ปีติดต่อกันในแง่จำนวนการผลิตและส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก เมื่อปี 2023 บริษัท BYD มีการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าถึง 240,000 คันไปสู่ 70 ประเทศ และบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2024 จะเพิ่มจำนวนส่งออกเป็นเท่าตัว!

การแถลงข่าวในครั้งนี้ ทั้งสองบริษัทยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่ารถอีวีที่อยู่ในดีลจะเป็นรถรุ่นไหนบ้าง แต่รูปภาพสำหรับประชาสัมพันธ์ในงานพบว่ามีรถ BYD ทั้งหมด 3 รุ่นปรากฏอยู่ ได้แก่ รถซีดานรุ่น Seal, รถเอสยูวีรุ่น Seal U และ รถเอสยูวีรุ่น Atto 3

ที่มา: Yahoo Finance, CNBC

]]>
1484612
CEO ของ Uber เผย ‘ปรากฏการณ์ Taylor Swift’ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างดี บริการส่งอาหาร ขนส่งบูมทันที https://positioningmag.com/1461940 Thu, 08 Feb 2024 06:36:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461940 Dara Khosrowshahi ซึ่งเป็น CEO ของ Uber มองว่าปรากฏการณ์ Taylor Swift ที่ได้ทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่างๆ ส่งผลดีต่อหลายภาคธุรกิจ ซึ่งเกิดจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคอย่างมาก สอดคล้องกับธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาสาขาฟิลาเดลเฟีย ได้รายงานว่าทัวร์คอนเสิร์ตของเธอช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

Business Insider รายงานข่าวโดยอ้างอิง CNBC ที่ได้สัมภาษณ์ Dara Khosrowshahi ซึ่งเป็น CEO ของ Uber โดยมองว่าปรากฏการณ์ Taylor Swift ที่ได้ทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่างๆ ได้ส่งผลดีต่อหลายภาคธุรกิจ ซึ่งเกิดจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคอย่างมาก

CEO ของ Uber ได้กล่าวว่า การที่ Taylor Swift ได้ทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่างๆ ส่งผลทำให้มีผู้ใช้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการขนส่ง หรือแม้แต่บริการส่งอาหาร ซึ่งผลดีนั้นได้กระจายออกไปยังบริเวณโรงแรมหรือบริเวณที่ใกล้เคียงด้วย จนทำให้พนักงานต้องเตรียมตัวรับมือกับปริมาณการสั่งอาหาร หรือบริการเรียกรถ ที่มีมหาศาล

Pollstar ได้ประเมินว่าการทัวร์คอนเสิร์ตของเธอในต่างประเทศในชื่อ Eras Tour นั้นอาจทำเงินได้มากถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยโชว์ของ Taylor Swift ถือเป็นทัวร์คอนเสิร์ตของศิลปิน 7 ใน 25 ที่ขายดีสุดและมีตั๋วคอนเสิร์ตเฉลี่ยมากกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ดีสำหรับ Uber การทัวร์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift อาจได้ผลดีกับบริษัทบ้าง โดย CEO รายนี้ก็มองว่าบริษัทนั้นมีบริการทั่วโลก มีเที่ยวการเดินทางนั้นนับ 10,000 ล้านเที่ยว และการทัวร์คอนเสิร์ตของเธอนั้นเป็นผลดีกับบริษัทแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาฟิลาเดลเฟีย ได้กล่าวว่าทัวร์คอนเสิร์ตของ Taylor Swift ได้ช่วยกระตุ้นการเดินทางและการท่องเที่ยวในภูมิภาค ส่งผลทำให้เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่ดีที่สุดสำหรับรายได้ของโรงแรมในเมืองนับตั้งแต่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดของโควิด

ในรายงานของมหาวิทยาลัย Northeastern University ที่ได้ตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคมปี 2023 ได้ชี้ว่าแต่ละคอนเสิร์ตของ Taylor Swift มีผู้ชมเฉลี่ยราวๆ 54,000 คน ได้ก่อให้เกิดการใช้จ่ายในสหรัฐอเมริกามากถึง 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐ

และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลายประเทศ หรือแม้แต่หลายเมืองในสหรัฐอเมริกา ต้องการให้ Taylor Swift หรือแม้แต่ศิลปินรายใหญ่มาจัดคอนเสิร์ต เนื่องจากผลดีต่อเศรษฐกิจจากการจับจ่ายใช้สอยของแฟนเพลง แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม

ที่มา – Business Insider

]]>
1461940
Uber ทดลองตลาดจัดส่ง “กัญชา” ในแคนาดา เตรียมเป็นสปริงบอร์ดลุยสหรัฐฯ ในอนาคต https://positioningmag.com/1363906 Thu, 25 Nov 2021 05:34:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363906 หนึ่งในบริษัทใหญ่รายล่าสุดที่ก้าวขาเข้ามาในธุรกิจ “กัญชา” คือ “Uber” แม้จะเป็นเจ้าใหญ่แต่เลือกชิมลางในส่วนเล็กๆ ก่อน โดยการเปิดบริการจัดส่งกัญชาในเมืองออนทาริโอ แคนาดา เพื่อเตรียมระบบเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เมื่อรัฐบาลกลางปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมายทั่วประเทศ

Uber เริ่มเปิดบริการรับส่ง “กัญชา” ในเมืองออนทาริโอ แคนาดาแล้ว โดยประเทศแคนาดาปลดล็อกให้กัญชาสามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2018 ทำให้เหมาะเป็นพื้นที่ทดลองทำธุรกิจของบริษัท

ดารา โคสโรวชาฮี ซีอีโอ Uber เคยให้สัมภาษณ์กับ CNBC ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า บริษัทยังรอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ รับรองให้กัญชาสามารถใช้ได้อย่างถูกกฎหมายทั่วประเทศ ก่อนที่จะเข้ามาทำธุรกิจนี้ในสหรัฐฯ แม้ว่าปัจจุบันจะมีถึง 36 รัฐแล้วก็ตามที่ให้กัญชาใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย

“เมื่อทางโล่งแล้วสำหรับกัญชา เมื่อกฎหมายรัฐบาลกลางเข้ามากำกับ เราจะเข้ามาดูธุรกิจนี้แน่นอน” โคสโรวชาฮีกล่าว

คาเล็ด นาอิม ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Onfleet บริษัทซอฟต์แวร์การจัดการเดลิเวอรีจากซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำงานร่วมกับสถานที่จัดจำหน่ายกัญชา มองว่า ความเคลื่อนไหวของ Uber ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจในแคนาดา ครึ่งหนึ่งเป็นการทดลองวิจัยตลาดและอีกครึ่งหนึ่งเป็น ‘PR stunt’ ช่วยประชาสัมพันธ์ปักธงแบรนด์ของบริษัทในอุตสาหกรรมนี้

นาอิมกล่าวว่า การเข้าไปทำธุรกิจที่แคนาดาเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด เพราะเป็นตลาดขนาดเล็กที่ถูกกฎหมาย โดยบริษัทวิจัย Cowen คาดว่ามูลค่าตลาดกัญชาแคนาดาจะแตะ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.33 แสนล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ตลาดกัญชาสหรัฐฯ น่าจะทำยอดขายถึง 25,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 8.34 แสนล้านบาท)

สำหรับความท้าทายที่รอ Uber อยู่ในสหรัฐฯ คือแม้ว่าหลายรัฐจะให้จำหน่าย “กัญชา” ได้แล้ว แต่ “การจัดส่ง” จะต้องทำโดยสถานที่จำหน่ายกัญชาที่ได้รับอนุญาต ทำให้มีบางบริษัทที่กระโดดเข้าสู่ธุรกิจนี้ไปแล้ว เช่น Eaze ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น นาอิมมองว่า หาก Uber จะใช้กองทัพคนขับรถที่ตนมีให้เป็นประโยชน์ ก็จะต้องขอใบอนุญาตให้ได้เช่นกัน และต้องขอแยกในแต่ละรัฐด้วย

นาอิมยังวิเคราะห์ด้วยว่า Uber อาจจะใช้วิธีควบรวมกิจการเพื่อเข้าสู่ธุรกิจได้เร็ว เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วเมื่อบริษัทเข้าซื้อ Drizly เพื่อเข้าสู่ธุรกิจจัดส่งแอลกอฮอล์เดลิเวอรี

โสคราตีส โรเซนเฟลด์ ซีอีโอบริษัท Jane Technologies บริษัทซอฟต์แวร์ระบบอี-คอมเมิร์ซสำหรับจำหน่ายกัญชา มองตรงกันว่า Uber กำลังใช้ตลาดแคนาดาเป็นตลาดทดลองก่อนเข้าสู่สหรัฐฯ เพราะเป็นตลาดที่ซับซ้อนน้อยกว่า

“ผลสุดท้ายแล้ว เป็นเรื่องดีเมื่อใดก็ตามที่เราได้เห็นเทคคัมปะนีรายใหญ่เข้ามาในตลาด เพราะนั่นหมายความว่าอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าและจะยั่งยืนต่อไป” โรเซนเฟลด์กล่าว “เรายังต้องการผู้ซื้อกระแสหลักมากกว่านี้ และเราต้องการบริษัทในตลาดหุ้นเข้าสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น”

Source

]]>
1363906
Tesla จับมือ Uber ดึงคนใช้ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ มากขึ้น ให้คนขับเช่า-ซื้อในราคาพิเศษ https://positioningmag.com/1360274 Wed, 03 Nov 2021 10:23:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360274 ตั้งเเต่วันนี้เป็นต้นไป คนขับ ‘Uber’ ในกรุงลอนดอน จะสามารถซื้อหรือเช่ารถยนต์พลังงงานสะอาดของ Tesla มาให้บริการลูกค้าได้ใน ‘ราคาพิเศษ’ หนึ่งในโครงการจูงใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

หลังจาก Uber เเพลตฟอร์มเรียกรถ Ride-hailing ยักษ์ใหญ่ เริ่มคิดค่าธรรมเนียมอากาศบริสุทธิ์ หรือ clean air fee ในราคา 4 เซ็นต์ในทุกๆ การเดินทาง 1 ไมล์ หรือ 1.33 บาทในทุก ๆ 1.6 กิโลเมตรสำหรับการใช้บริการแท็กซี่ในกรุงลอนดอน ซึ่งมีการรวบรวมเงินดังกล่าวได้มากกว่า 135 ล้านปอนด์ (ราว 6.1 พันล้านบาท)

โดยเงินส่วนนี้ จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนให้บรรดาคนขับของ Uber สามารถซื้อรถยนต์รุ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ ในราคาพิเศษจากบริษัทพันธมิตร อย่าง Nissan เเละ Kia เเละล่าสุด Tesla ก็เข้าร่วมเเผนการนี้ด้วย

โดยการจับมือระหว่าง Uber เเละ Tesla เกิดขึ้นเพียง 1 สัปดาห์หลัง Tesla ประกาศดีลซื้อขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับ Hertz บริษัทให้เช่ารถรายใหญ่ จำนวน 50,000 คัน เพื่อนำไปให้บริการเป็นรถรับจ้างเเบบ Ride-hailing ร่วมกับ Uber ในสหรัฐฯ ภายในปี 2023

ปัจจุบัน คนขับ Uber ในกรุงลอนดอนกว่า 4,000 คน ได้หันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้บริการผู้โดยสารทั่วไปเเล้ว ถือว่ามีจำนวนมากที่สุดในบรรดาเมืองใหญ่ทั่วโลก

ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจเเละการคมนาคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความคืบหน้าในกรุงลอนดอนนั้น จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านนี้”  Jamie Heywood ผู้บริหารประจำภูมิภาคยุโรปเหนือเเละยุโรปตะวันออกของ Uber กล่าว

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1360274
อังกฤษ ให้ส่วนลดค่าอาหาร-เเท็กซี่ จูงใจคนรุ่นใหม่ เร่งขยายจุดฉีดวัคซีนป๊อปอัพสโตร์ https://positioningmag.com/1344765 Sun, 01 Aug 2021 08:01:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344765 รัฐบาลอังกฤษ เสนอเเจกส่วนลดค่าอาหาร ฟู้ดเดลิเวอรี่ค่าเเท็กซี่ เพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่วัย 18-29 ปี ให้ออกมาฉีดวัคซีนกันมากขึ้น

โครงการฉีดวัคซีนแลกส่วนลดนี้ ครอบคลุมทั้งบริการสั่งอาหารและเเละเรียกแท็กซี่ มีบริษัทเทคยักษ์ใหญ่เข้าร่วมอย่าง Uber, Bolt, Deliveroo และ Pizza Pilgrims ซึ่งรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ กำลังจะเปิดเผยในเร็วๆ นี้

ปัจจุบัน หนุ่มสาวชาวอังกฤษที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรกไปแล้วราว 67% หรือคิดเป็น 2 ใน 3 หลังจเปิดให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนได้ ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ขณะที่ประชากรกลุ่มผู้ใหญ่ ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกราว 88.5% เเละฉีดครบ 2 เข็มแล้วมากกว่า 72%

‘Uber’ ได้ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานทุกคน สนับสนุนให้ไปเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อแลกกับส่วนลดค่าแท็กซี่และค่าอาหาร

ส่วน Bolt ผู้ให้บริการเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันอีกราย กำลังอยู่ในช่วงเตรียมการเสนอ ‘free ride credit’ เพื่อใช้บริการแท็กซี่ เพื่อเดินทางไปยังศูนย์ฉีดวัคซีนได้ฟรีอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าดังอย่าง Deliveroo ที่พร้อมจะให้บัตรกำนัลแก่คนหนุ่มสาวที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเเล้ว

ทางกรมอนามัยของสหราชอาณาจักร ยังจะมีข้อเสนอจูงใจเพื่อฉีดวัคซีนออกมาอีกเรื่อยๆ เช่น บัตรกำนัลหรือส่วนลดร้านอาหาร สำหรับผู้ที่ไปเข้ารับการฉีดวัคซีนตามจุดฉีดวัคซีนแบบป๊อปอัพสโตร์ หรือจุดฉีดวัคซีนชั่วคราว จองผ่านช่องทางออนไลน์ของระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS)

โดยรัฐบาล กำลังเจรจากับบริษัทเอกชนอื่นๆ เพื่อให้ส่วนลดในร้านกาแฟ ร้านอาหาร และตั๋วชมภาพยนตร์ จะตามมาในเร็วๆ นี้

อังกฤษ ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดก่อนหมดช่วงฤดูร้อนในเดือนสิงหาคม เเละมีการระดมเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนแบบป๊อปอัพสโตร์ทั่วประเทศเเล้ว

เช่นเดียวกับรัฐบาลในหลายประเทศที่ออกนโยบาย จูงใจให้ประชาชนฉีดวัคซีนด้วยของรางวัลอย่างสหรัฐฯ ที่มีการเเจกเบียร์พิซซ่าตั๋วรถไฟ  รวมถึงกลยุทธ์ ‘vaccine lottery’ ที่รัฐโอไฮโอ สุ่มเเจกเงินรางวัลคนละ 1 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 31 ล้านบาท พร้อมมอบทุนการศึกษาเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปีเต็มให้เยาวชน

เเละล่าสุดนิวยอร์กประกาศแจกเงินคนละ 100 เหรียญ (ราว 3,300 บาท) เพื่อเร่งให้คนมาฉีดวัคซีนเพื่อสกัดไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย

 

ที่มา : BBC 

]]>
1344765
องค์กรทั่วโลกทุ่มเงินพัฒนา AI กว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ แต่ปัจจุบันมีเพียง 10% ที่ได้ผลจริง https://positioningmag.com/1302665 Wed, 21 Oct 2020 10:30:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302665 MIT ประเมินปี 2020 องค์กรต่างๆ ทั่วโลกลงทุนใน AI เกิน 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ปัจจุบันมีเพียง 10% ขององค์กรที่สำรวจที่ตอบว่าตนได้ประโยชน์ทางการเงินแล้วจากการลงทุน AI หลายบริษัทพบว่าโครงการ AI พัฒนาให้สำเร็จได้ยากกว่าที่คาด

MIT Sloan Management Review ร่วมกับ Boston Consulting Group (BCG) จัดสำรวจบริษัท 3,000 แห่งเกี่ยวกับการลงทุนใน AI หรือ Artificial Intelligence พบว่า ปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนใน AI รวมกันกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม มีเพียง 10% ของบริษัทที่สำรวจที่กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้รับผลประโยชน์ทางการเงินแล้วจากการลงทุนใน AI

“เราเห็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้นด้วย” Shervin Khodabandeh หัวหน้าร่วมของฝ่ายธุรกิจ AI ภูมิภาคอเมริกาเหนือ BCG กล่าว “แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก”

ที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ มีการลงทุนใช้ AI ด้วยเม็ดเงินที่สูงและอันตรายมาก โดยพยายามจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับทุกอย่าง ตั้งแต่การจัดการสัญญาไปจนถึงผู้ช่วยภายในบ้าน แม้กระทั่งรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดย IDC คาดการณ์ว่าปี 2020 นี้จะมีการลงทุนใน AI ด้วยเม็ดเงินมากกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบกับปี 2019 ที่มีการลงทุน 3.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ด้วยว่าการลงทุนจะมากขึ้นต่อเนื่อง จนปี 2024 คาดว่าจะมีการลงทุนใน AI ถึง 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

 

การพัฒนา AI ให้สำเร็จ…ยากกว่าที่คาดคิด

แม้ว่าจะมีเงินลงทุนหลายพันล้านในเทคโนโลยี AI แต่โครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เริ่มมีผลต่อการลงทุนมากขึ้นแล้ว ยกตัวอย่างเช่น IBM ที่เริ่มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Watson น้อยลง หลังจากเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้กับโครงการด้านเนื้องอกวิทยา มีผู้ลงทุนรวมกันกว่า 62 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับกลายเป็นว่า Watson แนะนำการรักษาโรคมะเร็งที่ไม่แม่นยำ

(Photo by Spencer Platt/Getty Images)

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ Amazon มีการยกเลิกการพัฒนาเครื่องมือรับสมัครงานโครงการหนึ่งไปแล้ว หลังจากโครงการนี้แสดงผลว่า AI มีอคติทางเพศ นอกจากนี้ บริษัทขนาดเล็กกว่าอื่นๆ ต่างพบว่าการนำ AI มาใช้ในโครงการต่างๆ นั้นยากเย็นกว่าที่คาด แม้จะนำมาใช้ในงานที่ไม่ซับซ้อนมากอย่างการเป็นผู้ช่วยเสมือนจริงทำการนัดหมายลงปฏิทิน ทำให้ต้องกลับไปใช้คนกันอีกครั้ง

Khodabandeh กล่าวว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทพัฒนาโครงการ AI ไม่สำเร็จ เป็นเพราะบริษัททุ่มเงินไปกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ข้อมูล แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินธุรกิจให้รับประโยชน์จาก AI

ยกตัวอย่าง Uber เดือนก่อนนี้กลุ่มวิศวกรของบริษัทพบว่า รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของพวกเขาเดินทางไปได้ไม่เกินครึ่งไมล์ก็จะต้องพบปัญหาเข้าสักอย่างหนึ่ง โปรแกรม AI ของพาหนะนี้ “ยังคงพยายามเรียนรู้ขั้นตอนและคู่มือง่ายๆ” โดยมีรายงานเหตุผลความผิดพลาดภายในบริษัทว่า เป็นเพราะทีมก็ยังแข่งขันกันเองภายในว่าจะนำเทคโนโลยีไปปรับใช้กับรถยนต์อย่างไร

แต่ด้วยความหวังจาก AI ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาขนานใหญ่ในธุรกิจ ทำให้องค์กรต่างๆ ไม่มีแนวโน้มจะหยุดลงทุนในเทคโนโลยีในเร็วๆ นี้ โดยผลสำรวจของ MIT และ BCG พบว่า บริษัทถึง 57% มีการเริ่มทดลองนำร่องโครงการ AI ของตัวเองแล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 44% ในปี 2018

Khodabandeh แนะนำว่า เหล่าผู้รับเอาเทคโนโลยี AI ไปใช้งาน ต้องคิดใหม่ทำใหม่ว่าจะนำเทคโนโลยีนี้ปรับใช้เข้ากับธุรกิจตัวเองให้เหมาะสมได้อย่างไร จึงจะทำให้โครงการที่อุตส่าห์ทุ่มเม็ดเงินลงไปสำเร็จได้จริง

Source

]]>
1302665
แผนใหม่ของ Uber มุ่งพลังงานสะอาด ตั้งเป้าใช้ “รถยนต์ไฟฟ้า” แบบ 100% ทั่วโลก ภายในปี 2040 https://positioningmag.com/1296173 Wed, 09 Sep 2020 13:07:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1296173 Uber ยักษ์ใหญ่เเพลตฟอร์ม Ride-Sharing ประกาศแผนธุรกิจใหม่ มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งเป้าเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 100%

Dara Khosrowshahi ซีอีโอของ Uber บอกว่า บริษัทจะมุ่งไปสู่การเป็นเเพลตฟอร์มที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นศูนย์เเบบ 100% ทั่วโลกให้ได้ ภายในปี 2040 โดยตั้งเป้าให้รถยนต์ที่ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มทุกคันในสหรัฐฯ แคนาดา และยุโรปจะต้องเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ให้ได้ตั้งเเต่ปี 2030

โดย Uber มีเเผนเพื่อให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริงให้ได้เร็วที่สุด ผ่านการสนับสนุนต่างๆ ดังนี้

  • ขยายบริการ Uber Green เพื่อให้ลูกค้าเลือกได้ว่าพวกเขาต้องการจะใช้บริการรถยนต์เเบบไฮบริดหรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
  • ทุ่มงบกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อจูงใจให้คนขับหลายเเสนคนในสหรัฐฯ แคนาดาและยุโรป หันมาใช้รถพลังงานสะอาด ภายในปี 2025
  • ร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาด ทั้งผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ให้บริการรถเช่า บริษัทชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • ลงทุนในการสื่อสารข้อมูล เกี่ยวกับการใช้พลังงานทางเลือก เดินหน้าโรดแมป Driving a Green Recovery ที่ให้สาธารณชนรับรู้เเละมีส่วนร่วม

โดยกลยุทธ์ที่จะดึงดูดให้คนขับหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นนั้น ทางบริษัทจะให้อินเซนทีฟตอบแทนที่ดีกว่า เช่น ในอเมริกาและแคนาดา คนขับรถยนต์ไฮบริด จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม 50 เซนต์ในทุกๆ เที่ยวที่ให้บริการ Uber Green ส่วนคนขับที่ให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มอีก 1 เหรียญสหรัฐ รวมเป็น 1.5 เหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ Uber ได้ความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง General Motors และกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan เพื่อมอบสิทธิพิเศษเมื่อคนขับไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของทางค่ายดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ คู่เเข่งรายสำคัญของ Uber อย่าง Lyft ก็เพิ่งประกาศเป้าหมายที่จะให้บริการด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 ผ่านเเผน The Path to Zero Emission โดยจะเริ่มจากบริการเช่ารถยนต์ก่อนเเละค่อยขยายไปบริการอื่น ควบคู่กับกระตุ้นให้ภาครัฐเเละประชาชนตระหนักถึงปัญหาของการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ พร้อมการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ

ความเคลื่อนไหวของยักษ์ใหญ่อย่าง Uber เเละ Lyft สะท้อนให้เห็นทิศทางของธุรกิจ Ride-Sharing ที่มีส่วนในการปล่อยมลพิษจำนวนมาก ซึ่งต่อไปก็คงมีเจ้าอื่นๆ เข้ามาร่วมในการผลักดันประเด็นนี้ด้วย

 

 

ที่มา : theverge , Uber , CNET 

 

]]>
1296173
ศาลแคลิฟอร์เนียสั่ง Uber ให้เปลี่ยนสถานะคนขับจาก “ผู้รับจ้างอิสระ” เป็น “พนักงาน” https://positioningmag.com/1292275 Thu, 13 Aug 2020 04:38:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292275 ศาลแคลิฟอร์เนียมีคำตัดสินให้ Uber และ Lyft สองผู้ให้บริการแพลตฟอร์มร่วมขับขี่ (ride-sharing) รายใหญ่ ปรับสถานะคนขับที่ทำงานให้แพลตฟอร์มเป็น “พนักงาน” ในบริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาและสวัสดิการสุขภาพตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองยังมีเวลาอีก 10 วันในการยื่นอุทธรณ์ก่อนที่คำตัดสินนี้จะถูกบังคับใช้

อีธาน ชูลแมน ผู้พิพากษาศาลสูงแห่งซานฟรานซิสโก ได้ให้คำตัดสินเบื้องต้นต่อคดีที่ ฮาเวียร์ บีเซอร์รา อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียฟ้องร้อง Uber และ Lyft โดยมีคำสั่ง “ไม่ให้” ทั้งสองบริษัทจัดสถานะคนขับรถในแพลตฟอร์มเป็น “ผู้รับจ้างอิสระ” ในระหว่างที่ศาลจะมีการพิจารณาเพิ่มเติม คำสั่งนี้จะมีผลภายใน 10 วัน แต่ระหว่างช่วงเวลานี้ทั้งสองบริษัทสามารถยื่นอุทธรณ์คำตัดสินได้ และทั้งสองบริษัทออกแถลงการณ์แล้วว่าจะยื่นอุทธรณ์ในทันที

ข้อกล่าวหาที่มีต่อ Uber และ Lyft นั้นฟ้องร้องตามข้อกฎหมายที่ชื่อว่า Assembly Bill 5 เป็นกฎหมายใหม่ที่เพิ่งบังคับใช้ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2018 มีชื่อเล่นว่า “กฎหมายฟรีแลนซ์” เพราะจุดประสงค์หลักของกฎหมายต้องการขีดเส้นแบ่งแยกผู้ที่ทำงานให้กับบริษัทว่าเป็น “ผู้รับจ้างอิสระ” หรือ “พนักงาน”

กฎหมายนี้ได้กำหนดว่า ถ้าหากบุคคลผู้นั้นทำงานให้บริษัทในสิ่งที่ไม่ใช่แกนหลักของธุรกิจ เป็นอิสระจากการควบคุมและทิศทางนโยบายของบริษัท รวมถึงมีการรับจ้างทำงานลักษณะเดียวกันแก่องค์กรอื่นด้วย จึงจะถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้รับจ้างอิสระหรือฟรีแลนซ์

Lyft อีกหนึ่งบริษัท ride-sharing สำคัญของสหรัฐฯ (Photo : Shutterstock)

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากบริษัทใดๆ รวมถึง Uber และ Lyft ถูกตัดสินให้เปลี่ยนสถานะผู้รับจ้างงานเป็นพนักงานในบริษัท บริษัทจะต้องจ่ายเงินค่าล่วงเวลา สวัสดิการสุขภาพ และสวัสดิการอื่นๆ ที่จำเป็นให้พนักงานตามกฎหมาย

ในกรณีของบริษัท ride-sharing ปัจจุบัน “ผู้รับจ้างอิสระ” หรือที่มักเรียกกันว่าพาร์ตเนอร์คนขับ ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงและบำรุงรักษารถยนต์ด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะต้องกลายเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทแทนในอนาคต เป็นเหตุให้แพลตฟอร์ม ride-sharing เหล่านี้คัดค้านกฎหมายฟรีแลนซ์มาโดยตลอด เพราะจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นทั้งที่ยังไม่เริ่มทำกำไรเลย

 

บริษัทค้าน : “คนขับ” ก็ไม่อยากเป็น “พนักงาน”

มาฟังมุมมองของฝั่งแพลตฟอร์มกันบ้าง ทั้ง Uber และ Lyft ต่างออกแถลงการณ์ว่าจริงๆ แล้วคนขับรถเองก็ต้องการจะเป็นฟรีแลนซ์มากกว่าเป็นพนักงานในเครือ เพราะคนขับจำนวนมากไม่สะดวกเข้าเป็นพนักงานเต็มเวลา

แถลงการณ์ของ Uber ยังโจมตีกลับฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐด้วยว่า “เมื่อคนแคลิฟอร์เนียมากกว่า 3 ล้านคนไม่มีงานทำ ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งของเราควรจะมุ่งเน้นกับการสร้างงานสร้างอาชีพ ไม่ใช่พยายามทำลายอุตสาหกรรมท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบนี้”

“ดารา โคสโรว์ชาฮี” ซีอีโอ Uber

“ดารา โคสโรว์ชาฮี” ซีอีโอ Uber ยังพยายามหาทางออกให้กับประเด็นนี้มาตั้งแต่ต้นปี โดยเขามองว่าเรื่องนี้ควรจะมี “ทางเลือกที่สาม” ให้กับคนขับ ทำให้ผู้รับจ้างอิสระยังคงมีอิสระและยืดหยุ่นในอาชีพการงาน พร้อมๆ กับได้รับสวัสดิการและการปกป้องทางกฎหมายที่มากขึ้น

ทางเลือกที่สามที่เขาเสนอคือ บริษัทจะตั้งกองทุนสวัสดิการที่จ่ายให้ในสัดส่วนสอดคล้องกับจำนวนชั่วโมงที่ผู้รับจ้างอิสระทำงานให้กับบริษัท เขายังระบุว่าถ้าหากมีโมเดลนี้เกิดขึ้นจริงใน 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา Uber จะจ่ายเข้ากองทุนนี้ไปแล้ว 655 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเฉพาะปี 2019 เท่านั้น

สำหรับความเห็นของผู้พิพากษาชูลแมนมองว่า ในยามนี้ที่ไวรัสโคโรนาระบาดหนัก ทำให้ความต้องการใช้บริการของ Uber และ Lyft ลดลงอย่างรุนแรง ในภาวะที่จำนวนการใช้บริการลดลงต่ำที่สุด อาจจะเป็น ‘เวลาที่ดีที่สุด’ ที่จำเลยจะต้องเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจให้สอดคล้องกับกฎหมายรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยไม่ให้เกิดผลกระทบข้างเคียงเป็นวงกว้างแก่คนขับของตนเอง

Source: Forbes, CNBC

]]>
1292275
จากกันเเบบมีเยื่อใย! บริษัทเทคฯ เปิดเว็บรวมโปรไฟล์พนักงานที่ถูกปลด ช่วยหางานใหม่ https://positioningmag.com/1280270 Sat, 23 May 2020 10:53:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1280270 เหล่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ต่างหนีไม่พ้นผลกระทบจาก COVID-19 เช่นเดียวกับภาคธุรกิจทั่วโลก เเม้จะพยายามปรับเปลี่ยนธุรกิจเเละลดต้นทุน เเต่ก็ไม่อาจต้านได้ต้อง “ปลดพนักงาน” ออก เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป

Agoda ยักษ์ใหญ่ด้านการจองที่พักเพิ่งปลดพนักงานไปกว่า 1,500 คน ใน 30 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของพนักงานทั้งหมดโดยซีอีโอของบริษัทออกมาบอกว่า เเม้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเเต่ต้องเตรียมพร้อมในระยะยาว จึงจำเป็นต้องปรับขนาดทีมเพื่อให้เข้ากับการท่องเที่ยวในอนาคต

ก่อนหน้านี้ สตาร์ทอัพดาวรุ่งอย่าง Airbnb สั่งปลดพนักงาน 25% หรือ 1,900 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 7,500 คน ที่มีอยู่ทั่วโลก พร้อมปรับลดขนาดบริษัทให้เล็กลง เลิกทำธุรกิจที่ไม่จำเป็นเเละกลับมาโฟกัสเเต่เรื่องที่พักเหมือนช่วงเริ่มต้นธุรกิจใหม่ โดยระบุว่า บริษัทกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่บอบช้ำที่สุด ผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกต้องหยุดชะงัก

ขณะเดียวกัน Uber บริการเรียกรถขนส่งสาธารณะผ่านแอปพลิเคชันรายใหญ่ เตรียมปลดพนักงานไปถึง 2 รอบในช่วง 2 สัปดาห์รวมกว่า 6,700 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 จากจำนวนพนักงานทั่วโลก 28,600 คน ซึ่งเเม้ตอนนี้ธุรกิจส่วนเดลิเวอรี่กำลังได้รับความนิยมเเต่ก็ไม่อาจทดเเทนรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทที่มาจากส่วน Ride Hailing ได้

นอกจากนี้ยังมีบริษัทเล็กใหญ่อีกมากที่ต้องปลดพนักงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักอย่างธุรกิจท่องเที่ยว โรงเเรมการบินเเละร้านอาหาร

ล่าสุดทั้ง Agoda , Airbnb , Uber มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในมาตรการช่วยเหลือพนักงานที่ถูกปลด นอกเหนือจากการจ่ายชดเชย การคุ้มครองด้านสุขภาพและช่วยเหลือด้านวีซ่าสำหรับพนักงานต่างชาติเเล้ว ยังมีการเปิดเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลโปรไฟล์ของพนักงานที่ถูกปลด เพื่อช่วยเหลือพนักงานเหล่านี้ให้หางานใหม่ได้ง่ายขึ้น เป็นโครงการให้พนักงานเดิมเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจ

โดยจะมีการรวมตำเเหน่ง โปรไฟล์ ทักษะเเละประสบการณ์ พร้อมข้อมูลอื่น ๆ ที่สำคัญเช่น สามารถย้ายที่อยู่ได้ด้วยหรือไม่ มาไว้ในนายจ้างบริษัทอื่นๆ ได้สรรหาตามความเหมาะสม ซึ่งบริษัทที่สนใจสามารถสามารถติดต่อระหว่างบุคคลได้โดยตรง รวมถึงสามารถส่งงานพิเศษผ่านทางแบบเเพลตฟอร์มได้ด้วย

Uber : uber.com/talent

Photo : Uber

 

Airbnb : airbnb.com/d/talent

Photo : Airbnb

Agoda: Agoda Talent Directory

Photo : Agoda

 

นับเป็นอีกหนึ่งมาตรการช่วยเหลือพนักงานให้มีโอกาสได้งานใหม่เร็วยิ่งขึ้น หลายบริษัทที่จำเป็นต้องปลดพนักงานในช่วงนี้อาจนำไปประยุกต์ใช้ได้ อย่างน้อยก็เป็นการช่วยเหลือกันในสถานการณ์ยากลำบาก เพราะการหางานใหม่ในช่วงนี้ไม่ง่ายนัก ขอให้กำลังใจกับทุกคนให้ผ่านวิกฤต COVID-19 นี้ไปให้ได้ 🙂

]]>
1280270