Saturday, December 20, 2025
Home Blog Page 10419
ดังเปรี้ยงชนิดไม่ต้องโปรโมต ! คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณขององค์บากและ จา พนม หากถึงขั้นที่แม็กกาซีน Entertainment Weekly เมื่อเดือนที่ผ่านมาจัดอันดับให้ติดทำเนียบ 122 คนและของดังแห่งปี 2005 ในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรง และเป็นหนึ่งในดาราเอเชีย 2 รายที่ติดอันดับ ในขณะที่ก่อนหน้านั้นก็เพ่งลงนิตยสารGQ อเมริกาไปเมื่อเดือนเมษาฯ ไปหมาดๆ ก่อนหน้า “ปรากฏการณ์องค์บาก” จะเผยตัวตนของหนังบู๊ไทยเมื่อสองปีก่อน คำว่า “ตลาดโลก”ดูจะไกลเกินฝันสำหรับหนังไทยซักเรื่อง เมืองไทยเป็นแค่ “ตลาด” และ “ผู้ซื้อ” ไม่ใช่...
การนำภาพยนตร์มาอยู่รูปของหนังสือการ์ตูน เป็นโมเดลธุรกิจที่มีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่อง องค์บาก มหาอุตม์ บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม หรือ 7 ประจัญบาน รวมทั้ง “ต้มยำกุ้ง” ภาพยนตร์ไทยเรื่องล่าสุด ซึ่งจัดเป็นโมเดลของการนำ “เรื่องเล่า” กลับมาเล่าซ้ำ เพื่อให้เกิดช่องทางขายใหม่ และเป็นการขยายฐานคนดูร่วมกัน ระหว่างภาพยนตร์ และหนังสือการ์ตูน “วิบูลย์กิจ” เป็นสำนักพิมพ์การ์ตูน ที่ทำงานร่วมกับภาพยนตร์มาได้ 2 ปี ภายใต้ชื่อ “Thaicomics” และยังจัดเป็นผู้ผลิตหนังสือการ์ตูนรายใหญ่ ที่ทำร่วมงานกับภาพยนตร์หลายเรื่องอย่าง มหาอุตม์ บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม และ 7 ประจัญบานมาแล้ว ล่าสุดคือ ต้มยำกุ้ง ที่เป็นผลงานล่าสุดในการทำงานร่วมกับสหมงคงฟิล์ม...
“หนัง - เพลง - เกม”เป็นรูปแบบธุรกิจต่อเนื่องของภาพยนตร์ระดับโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงสร้างของภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ที่สามารถต่อยอดอุตสาหกรรมได้ด้วยตัวเอง นอกจากสร้างรายได้เพิ่มแล้ว ยังเป็นการขยายช่องทาง และขยายตลาดให้กว้างมากขึ้น “Game Nolimit” เป็นบริษัทที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล กับโปรเจ็คสร้างนาภาพยนตร์เรื่อง “ต้มยำกุ้ง” มาทำเป็นเกมคอมพิวเตอร์ของไทย ด้วยงบลงทุน 10 ล้านบาทของสหมงคลฟิล์ม โดยมี พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ที่หลายๆคนคงคุ้นหน้าจากการเป็นพิธีกรไอทีที่มีลีลาเฉพาะตัว เป็นผู้ริเริ่ม และรับผิดชอบดูแลโปรเจ็คสำคัญชิ้นนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ “ปักษาวายุ” ของอาร์เอสฟิล์ม จะเป็นเกมแรกที่ผลิตให้กับภาพยนตร์โดยคนไทย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่สำหรับ เกมต้มยำกุ้ง พงศ์สุขบอกว่า มีโครงสร้างของเกมใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาในบ้านเรา “เกม...
โดยภาพรวมแล้ว “Licensing” เป็นธุรกิจที่รวมเอาทั้ง “Promotional licensing” และ“Merchandizing” มาใช้ประโยชน์จากลิขสิทธิ์สินค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดระหว่างพันธมิตร ในลักษณะ “win-win situation” เงื่อนไขสำคัญของการบริหารลิขสิทธิ์อยู่ที่การบริหารจัดการ ระหว่างผู้สร้างลิขสิทธิ์และผู้ใช้ลิขสิทธิ์ให้เกิดผลบวก สำหรับภาพยนตร์เอง ผลบวกทั้งฝั่งรายได้ของผู้สร้าง (producer) และฝั่งรายได้ของผู้ผลิต (retailer) เกิดขึ้นเนื่องจากการมาพบกันตรงกลางของสิ่งที่แต่ละฝ่ายขาด ...ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้าง “คาแร็กเตอร์” ที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ของ “แบรนด์” ขึ้นมา ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมาย บุคลิกเฉพาะ และการรับรู้ด้านต่างๆ แต่ไม่สามารถใช้ “แบรนด์” ที่สร้างไปใช้ประโยชน์ได้เพราะขาดประสบการณ์ในภายนอกธุรกิจตัวเอง ในขณะที่เจ้าของโปรดักส์ก็ขาดสิ่งนี้ในการนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในแง่ของการต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม(promotional) หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ (merchandizing) และสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ไทยแล้ว เมอร์ชั่นไดซ์...
ด้วยความสามารถในการสะท้อนคาแร็กเตอร์การเป็นนักสู้มือเปล่าของ “จา พนม” ในหนังองก์บาก ซึ่งทำรายได้ถล่มทลายมาแล้วทั่วโลก ไม่เพียงแต่จะทำให้สหมงคลฟิล์มควักเงินลงทุน 200 ล้านบาท สร้างหนังฟอร์มยักษ์ เรื่อง “ต้มยำกุ้ง” ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ขายไปได้แล้วกว่า 70 ประเทศ ยังนำไปสู่การต่อยอดทำธุรกิจ “เมอร์ชั่นไดซ์” และไลเซนซิ่ง Happy Window คือ พันธมิตรที่เข้ามาช่วยทำธุรกิจเมอร์ชั่นไดซิ่งให้กับสหมงคลฟิล์ม โดยแฮปปี้วินโดว์ ทำหน้าที่ประสานงานและหาแหล่ง supplier ดูแลจัดการลิขสิทธิ์ในการผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ และคาแร็กเตอร์ของนักแสดงในหนังเรื่องต้มยำกุ้ง “ในต่างประเทศ คนทำงานด้านนี้ จะเข้าไปทำงานโปรดักชั่นตั้งแต่ต้น อย่างเช่นดาราควรต้องใช้รองเท้าอะไร นุ่งกางเกงของใคร เพื่อที่ว่าเราจะนำข้อมูลจากโปรดักชั่นที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในจุดต่างๆ” ธานินทร์...
ธุรกิจบนแผ่นฟิล์มยุคนี้ พ.ศ.นี้ เมื่อหนังดัง หนังดี ระดับโกอินเตอร์ จำเป็นต้องมีพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้าง Movie Marketing “ต้มยำกุ้ง” ได้ 4 สปอนเซอร์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าต้มยำกุ้ง, HAPPY จาก DTAC, เครื่องดื่ม เอ็ม 150 และการบินไทย ถือเป็น Exclusive Band สำคัญ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีพลังทางการตลาดที่ช่วยส่งเสริม Band ของหนัง และตัวสินค้าผู้สนับสนุนแบบคู่รักคู่รส รสเด็ดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป! เมื่อชื่อภาพยนตร์บนแผ่นฟิล์ม ต้มยำกุ้ง ผูกโยงกับแบรนด์สินค้าดังอย่าง...
“ต้มยำกุ้ง” แทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีโมเดลโครงสร้างทางด้านการจัดการ และการตลาด ที่สมบูรณ์มากที่สุด ตัวอย่างหนึ่งของภาพยนตร์ไทย เนื่องจากข้อได้เปรียบของภาพยนตร์ที่มีรูปแบบการจัดการที่ส่งต่อเนื่องจากองค์บาก รวมไปถึงการทำงานในระบบ “pre-sale” (ขายได้ตั้งแต่สร้างไม่เสร็จ) ทำให้สามารถควบคุมขั้นตอนการทำงาน เพื่อหวังผลกำไรมีประสิทธิภาพมากขึ้น อวิกา เตชะรัตนประเสริฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส ดูแลด้านกลยุทธ์และการสื่อสารการตลาดของภาพยนตร์ในเครือสหมงคลฟิล์มฯ เล่ารูปแบบการทำงานที่ถือได้ว่าหนักที่สุด เท่าที่เคยมีประสบการณ์ทำมา “เราเริ่มต้นที่จะคุยเรื่องการตลาดตั้งแค่เริ่มต้นในช่วงของการโปรดักชั่น ก็คือตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่ายหนังทั้งเรื่อง ก็ได้ มีการดึงเอาจุดที่แข็งแรงของหนังมาพูด เอามาทำการตลาดพีอาร์นั่นก็คือ ช่วงเริ่มต้น คือตั้งแต่เริ่มก่อนถ่ายหนังทั้งเรื่อง ก็ได้มีการดึงเอาจุดที่แข็งแรงของหนังมาพูดเอามาโปรโมตก่อน” อวิกาอธิบายอีกว่า ได้ใช้งบการตลาดปีนี้กับต้มยำกุ้งเรื่องเดียว 70 ล้าน โดยแบ่งเป็นบางส่วนสำหรับต่างประเทศ เช่น สื่อ หรือการเดินทางไปโปรโมต ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับองค์บากทำแค่เพียง 15 ล้าน โดยปกติ รูปแบบการทำการตลาดสำหรับภาพยนตร์ไทยนั้น...
ลีลาท่วงท่ามวยคชสาร... พลังตัวเบาเหินฟ้า...ของ “จา พนม” ...นี่เป็นเพียงตัวอย่างศิลปะการต่อสู้ระดับมาสเตอร์พีซ ของชายผู้นี้ “พันนา ฤทธิไกร” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์ “ต้มยำกุ้ง” และเปรียบเสมือนปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้บนแผ่นฟิล์มที่สร้างฮีโร่พันธุ์บู๊หนังไทย ออกสู่สายตาผู้ชม... เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานที่ผ่านยุครุ่งโรจน์ และตกต่ำ ร่วมงานและฝึกฝนพระเอกนางเอกอย่างสรพงศ์ ชาตรี หรือ ม.ล.สุลีวัลย์ สุรียงค์ และดารานำอีกหลายคน จนมีเป็นเอกลักษณ์เป็นตัวแทนของภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น ด้วยผลสร้างงานทุกระดับตั้งแต่ ภาพยนตร์ทุนสร้างต่ำสำหรับสายหนังต่างจังหวัด อย่าง ปีนเกลียว 1,2,3 ปลุกมันขึ้นมาฆ่า 1,2,3 กองทัพเถื่อน, มือปราบปืนโหด ฯลฯ ในยุคที่อุตสาหกรรมหนังไทยมีภาพยนตร์เกิดขึ้นมา 100 กว่าเรื่องในแต่ละปี หนังแอ็กชั่นทุนต่ำของเขานำกลับมาเล่าซ้ำใหม่ได้หลายภาค และเป็นที่นิยมของแฟนหนังต่างจังหวัด มีคนที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์แอ็กชั่น ที่เป็นโลโก้ตัวติดของพันนา ...
พ.ศ.นี้ ชื่อเสียงของ “โทนี่ จา” หรือ จา พนม โด่งดังถึงขนาดถูกยกเทียบชั้นกับดาราซูเปอร์สตาร์จอมบู๊ระดับโลกอย่าง “บรู๊ซ ลี” และ “เฉินหลง” จากบทบาทความสามารถลีลาคิวบู๊ของเขา แบบไม่ใช้สแตนด์อิน ความสำเร็จจาก “องค์บาก” มาสู่ “ต้มยำกุ้ง” ย่อมการันตีวิถีแห่งโชคชะตาบนแผ่นฟิล์มได้ดีว่า ตำแหน่งสุดยอดลีลาบู๊สนั่นโลก ยุคนี้ ต้องชื่อ “โทนี่ จา” เท่านั้น ดีกรีความร้อนแรงของ “จาพนม ยีรัมย์” นาทีนี้เรียกว่า ดังแบบทะลุองศาเดือด ยิ่งในสายตาของชาวต่างประเทศด้วยแล้วชื่อเสียงของเขาโด่งดังชนิดที่ฝรั่งหลายคนต่างยกนิ้วให้ในความเป็น “สุดยอดพระเอกหนังบู๊” จากความสำเร็จภาพยนตร์เรื่ององค์บาก มาสู่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ “ต้มยำกุ้ง” ออกฉายภายใต้คอนเซ็ปต์ “ไม่ใช้สลิง...
“ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 4 ของปรัชญา ปิ่นแก้ว หลังจากสร้างผลงานอันลือลั่น พิสูจน์ในเวทีระดับโลกที่ชื่อว่า “องค์บาก” นับเป็นผลงาน 4 เรื่องในรอบ 13 ปี ของอดีตผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ ซึ่งนับว่าค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เขาอยู่ในวงการ เรื่อง “เกิดอีกทีต้องมีเธอ” ซึ่งปรัชญากำกับในปี 2537 ระยะห่างจากองค์บากถึง 10 ปี ซึ่งเขาใช้เวลาระหว่างที่ว่างเว้นจากการกำกับ ดูแลฝ่ายผลิต โปรโมชั่น และควบคุมงานสร้างให้กับภาพยนตร์และดนตรี วันนี้ “ต้มยำกุ้ง” เป็นตัวสะท้อนความคิดรวบยอดของโมเดลการทำงานทั้งในฐานะผู้สร้างมืออาชีพ และผู้กำกับที่มีแนวทางของตัวเอง ด้วยทุนสร้างถึง 200 ล้าน...