การเงิน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Nov 2025 15:02:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปแนวทาง ‘ลงทุน’ ปี’69 โดย ‘บล.บัวหลวง’ ในวันที่หุ้นไทยยัง ‘เป็นรอง’ ในภูมิภาค ควรกระจายพอร์ตอย่างไรดี? https://positioningmag.com/1548809 Thu, 27 Nov 2025 04:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548809 หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ว่าจะเริ่ม ทยอยฟื้นตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันและปรับตัวลดลงกว่า 8% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยบวกสำคัญที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ คือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการฟื้นตัวของ ภาคการท่องเที่ยว ทำให้คงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2569 ที่ระดับ 1,440 จุด

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2569

การฟื้นตัวในปีหน้าจะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต: การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะเริ่มลงทุนจริงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ดิจิทัล (Data Center) และ อิเล็กทรอนิกส์ (Semiconductor) ซึ่งได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้ว
  2. ภาคท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก: คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 34 ล้านคน โดยเฉพาะตลาดอินเดีย รัสเซีย และยุโรป ส่วนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ
  3. ภาคการส่งออกพลิกฟื้น: การส่งออกคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ปี 2568 และมีแนวโน้มจะ ฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2569

กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำ: Barbell Strategy

บัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนใช้ กลยุทธ์ Barbell Strategy เพื่อสร้างสมดุลและลดความผันผวนของพอร์ต โดยแบ่งการลงทุนออกเป็นสองด้าน คือ สินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ:

  • ตลาดหุ้น (60%): เน้นหุ้นคุณภาพสูงหรือหุ้นปันผลสูง แบ่งเป็น หุ้นไทย 10% และ หุ้นต่างประเทศ 50% ผ่าน DR ในธีมสำคัญ เช่น AI ในสหรัฐฯ, เศรษฐกิจดิจิทัลในจีน, รวมถึงอินเดียและเวียดนาม
  • ตราสารหนี้ (30%): ใช้เพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
  • ทองคำ (10%): ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยราคามีแนวโน้มแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก คาดราคาทองคำเข้าสู่ Super Cycle ระยะที่ 3

“นักลงทุนไทยควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศ ให้มากกว่าปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 5−10% เพราะตลาดทุนไทยอาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับ AI ซึ่งไทยยังเป็นแค่ Data Center แต่ไม่ได้เป็นบริษัทต้นน้ำ ซึ่งตลาดหลักที่เม็ดเงินจะไป ได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น” ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าว

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

4 ธีมหลักกลุ่มหุ้นน่าสนใจ

บัวหลวงเน้นการลงทุนใน 4 ธีมหลักที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องและได้รับประโยชน์จากปัจจัยหนุนต่างๆ:

  1. ผู้นำการเติบโตธีม Data Center และ Digital Transformation:
    • การเติบโตของกลุ่มโรงไฟฟ้า-น้ำ (WHAUP, GULF) และสื่อสาร (ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำสำหรับ Data Center ที่เร่งตัวขึ้น
  2. กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก:
    • กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, SCC) ที่มี Valuation ถูกมาก และจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลก รวมถึงนโยบาย Anti-involution ที่จำกัดอุปทานส่วนเกิน
    • กลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (ITC) ที่ความต้องการยังคงแข็งแกร่ง
  3. กลุ่มที่กำไรเติบโตต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ:
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เช่น “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 และ “Easy e-receipt” จะหนุนกลุ่มค้าปลีก, ห้างสรรพสินค้า (CPN, CENTEL, AOT)
    • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะส่งผลดีต่อกลุ่มการเงินที่มีคุณภาพสินทรัพย์ดี (MTC, TIDLOR)
  4. กลุ่มปันผลสูง กระแสเงินสดสม่ำเสมอ:
    • ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนใหม่ เช่น โครงการ TISA (Thailand Individual Investment Account) ซึ่งจะหนุนกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีอย่างธนาคารและสื่อสาร (KTB, SCB)

หุ้นเด่นภายใต้การลดดอกเบี้ย

การลดดอกเบี้ยหลัก ๆ จะหนุนกลุ่ม Rate Sensitive (อัตราดอกเบี้ยอ่อนไหว) เช่น Finance (การเงิน), Yield Play (ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชน), และ ICT (กลุ่มที่มีภาระหนี้เยอะ) เนื่องจากได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย) และมีฟื้นฐานกำไรที่ยังแข็งแกร่ง แต่ในกลุ่ม Finance ต้องระวังเรื่อง Asset Quality (คุณภาพสินทรัพย์) และการก่อตัวของ NPL Formation (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ GULF (GPC)

กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง

หลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ และ ยานยนต์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้าและได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาระ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

]]>
1548809
แนะ ‘เดอะแบก’ เร่งวางแผนการเงิน รับมือเศรษฐกิจไม่ดี-เสี่ยงตกงาน-เกษียณตอนอายุ 45 ปี https://positioningmag.com/1542578 Sat, 11 Oct 2025 08:32:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542578 ในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจการเงินของโลกผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับเศรษฐกิจเติบโตต่ำ ล้วนส่งผลกระทบต่อ ‘คนทำงาน’ เงินเดือนไม่ขึ้น-โบนัสไม่มี-โอทีไม่ได้ แถมเสี่ยงตกงาน และหลายองค์กรเริ่มเปิดให้พนักงานสมัครใจเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณว่า คนไทยอาจต้องเผชิญกับ ‘ชีวิตการทำงานที่สั้นลง’ (20–25 ปี) แต่ ‘ชีวิตหลังเกษียณยาวนานขึ้น’ (35–40 ปี)

 

สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นปัจจัยสั่นคลอนต่อฐานะการเงินของคนไทย โดยเฉพาะ ‘คนชั้นกลาง’ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘เดอะแบก’ ที่มีภาระรับผิดชอบดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวตนเอง ส่งผลให้จาก ‘กลุ่มที่เคยมั่นคง’ อาจกลายเป็น ‘กลุ่มเปราะบาง’ หากขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะรายได้หดหายไป มีความเสี่ยงจากหลายๆ ปัจจัย ขณะที่ยังมีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายครอบครัวอยู่

 

ในงานเสวนา ‘วันวางแผนการเงินโลก World Financial Planning Day 2025’ สมาคมนักวางแผนการเงิน ได้แชร์ถึงทางรอดและวิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้น่าสนใจ

 

การเงินดี ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุด

 

‘วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ’ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยคนแรก กล่าวว่า สําหรับนักวางแผนการเงิน คําว่า ‘การเงินดี ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลขในสมุด แต่คือสะพานที่พาเราไปถึงเป้าหมายของชีวิต คือ เกราะป้องกันที่ช่วยให้เรายืนหยัดท่ามกลางพายุ และเป็นพลังที่ทําให้เรามีอิสระในการเลือกอนาคตที่เราอยากเป็น

 

สถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วแบบไม่มีใครคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น การจัดการชีวิต วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจึงสําคัญมาก โดยวิกฤตการณ์การเงินโลก และการระบาดของโควิด-19 มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่า คนที่มีการวางแผนการเงินที่ดี ชีวิตจะมีความมั่นคงกว่า สามารถผ่านช่วงเวลายากลําบากหรือเหตุไม่คาดฝันในชีวิตได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้วางแผน

 

อย่างไรก็ตาม จากการสํารวจของ Financial Planning Standards Board พบว่า มีคนเพียง 20% เท่านั้น      ที่มั่นใจว่ามีแผนการเงินที่ดี สามารถรับมือกับอนาคตได้เป็นอย่างดี ส่วนอีก 80% ยังไม่มั่นใจ หรือยัง ‘ไม่มีแผน’    จะรับมือกับเรื่องการเงินในชีวิตได้

 

ทางรอดที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ ให้เร่ง ‘ลงทุนในตัวเอง’ ด้วยการพัฒนาตัวเองทั้ง ความรู้ความสามารถและทักษะใหม่ๆ ที่ทันสมัยรับมือ อาทิ ทักษะด้าน AI เพื่อรับมือและให้อยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ควบคู่ไปกับต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีวินัย เช่น ‘ใช้น้อยกว่าที่หาได้-เก็บออมให้เป็น-ลงทุนอย่างมีเป้าหมายและหลักการ’ แต่ต้องไม่เป็นทาสของเงินหรือวัตถุ เพราะคุณค่าที่แท้จริงมิได้อยู่ที่สิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่สิ่งที่เราเป็น

 

แนะการวางแผนการเงินรับมือเหตุไม่คาดคิด

 

ด้านนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ‘วิโรจน์ ตั้งเจริญ’ ได้แชร์ถึงงานวิจัยระดับโลกจาก FPSB พบว่า

 

79% ของผู้ที่วางแผนการเงินเชื่อว่าช่วยทำให้ฝันในชีวิตเป็นจริงได้

73% ของผู้ที่วางแผนการเงินรู้สึกว่ารับมือปัญหาสุขภาพได้ดีกว่า

51% มองการวางแผนการเงินส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัว

51% บอกว่าช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น

 

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย แนะนำการรับมือการวางแผนเกษียณให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ไม่คาดคิดใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘คนทั่วไป’ และ ‘กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน’ ทั้งที่อายุต่ำกว่า 55 ปี และกลุ่มอายุสูงกว่า 55 ปี

 

กลุ่มคนทั่วไป : นอกเหนือจากเงินฉุกเฉิน 6-12 เดือน ต้องวางแผนภาษี ลดความเสี่ยงในชีวิต และวางแผนเกษียณควบคู่กันไปด้วย

 

สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะใช้หลัก 4 Magic no. คือ จากรายได้ 100% แบ่งใช้จ่ายดังนี้ 40% นำไปใช้หนี้, 30% ใช้จ่ายทั่วไป, 20% ออมเพื่อ ตัวเอง และ 10% ทำประกันเพื่อลดความเสี่ยง

 

นอกจากนี้ต้องไม่เป็นหนี้เกินความจำเป็น และท่องไว้ ‘ออมก่อนใช้’ สุดท้ายใช้หลัก 3 รู้

1) รู้เป้าหมายชีวิต ลงทุนเพื่ออะไร

2) รู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน

3) รู้จักเครื่องมือในการลงทุน

 

กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน : ต้องเริ่มจากตรวจสอบสินทรัพย์เพียงพอหรือยัง เมื่อเทียบกับเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ (ได้แก่ สินทรัพย์ต่างๆ, เงินฝาก, PVD, RMF, ภาษี และเงินชดเชยต่างๆ ที่ได้จากตอนออกจากงาน)

 

นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบภาระหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้อะไรบ้าง เพื่อนำมาวางแผนเคลียร์หนี้ โดยต้องเคลียร์หนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงก่อน

 

รวมถึงประมาณการรายได้กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเดือนว่ามีรายรับจากอะไร (เช่น ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล เป็นต้น) และมีค่าใช้จ่ายเท่าไร หากค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ต้องพิจารณาว่าตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไหนออกได้บ้าง หรือต้องหารายได้เสริม จากความถนัดของตัวเอง หรือต้อง Upskill / Reskill เพิ่ม โดยลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้แบบนี้วนไป จนกว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด

 

กรณีที่ 1  คนที่ถูกให้ออกจากงาน ที่อายุต่ำกว่า 55 ปี ต้องทำดังนี้

 

o   ตรวจสอบประกันสุขภาพว่ามีเพียงพอ

o   ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมที่พึงได้

o   ควรคงเงิน PVD และ RMF ไว้ก่อน!!

o   พิจารณาว่าจะหางานใหม่หรือพอแค่นี้

 

กรณีที่ 2 คนที่ถูกให้ออกจากงาน อายุ 55 ปีขึ้นไป

 

o   การจัดสรรเงินเกษียณ และเงินชดเชยที่ได้ จะบริหารเงินก้อนนี้ยังไง?

o   สิทธิรักษาพยาบาล มีอะไรติดตัวบ้าง

o   ตรวจสอบสิทธิที่พึงได้จากภาครัฐ เช่น เงินบำนาญจากประกันสังคม, เบี้ยเงินชรา เป็นต้น

o   เปรียบเทียบ สิทธิบัตรทอง หรือ ประกันสังคม แบบไหนดีและเหมาะสมกับตัวเองกว่ากัน

o   พิจารณาว่า Early Retire หรือทำงานต่อ ถ้าจะทำงานต่อต้อง Reskill ด้านไหนเพิ่มบ้าง

]]>
1542578
ถอดรหัส ‘ผู้บริโภค’ ช่วงวิกฤต รายได้ลด มีปัญหาหนี้ หวังปีหน้าฟื้นตัว เเต่ยัง ‘รัดเข็มขัด’ https://positioningmag.com/1363998 Thu, 25 Nov 2021 10:03:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363998 สรุปประเด็นน่าสนใจจาก EIC Consumer Survey 2564 ถอดรหัสผู้บริโภคยุคโควิด-19 การเงินวิกฤต การใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิม กลุ่มรายได้น้อยรับผลกระทบหนักสุด คนส่วนใหญ่หวังปีหน้ารายได้เริ่มกลับมา เเต่ยัง ‘รัดเข็มขัด’ ระมัดระวังใช้จ่าย แม้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลายก็ตาม เเนะผู้ประกอบการหาโอกาสจากแนวโน้มการใช้จ่ายในหมวดที่จะเร่งตัวจาก pent-up demand ของผู้มีกำลังซื้อ-รายได้สูง เทรนด์ออนไลน์อยู่ยาว 

โดย EIC ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคไทยจำนวน 3,205 คน ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 27 กันยายน 2564 เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมในช่วงโควิด-19 และแนวโน้มหลังวิกฤตคลี่คลาย

ผู้บริโภค รายได้ไม่พอรายจ่าย เเบกภาระหนี้ 

วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้บริโภคไทยจำนวนมาก นำไปสู่ 3 ปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ ปัญหารายได้ไม่พอใช้จ่าย ปัญหาภาระการชำระหนี้ ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน โดยปัญหาจะมีความรุนแรงเป็นพิเศษในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้ผู้บริโภคเกือบครึ่ง หรือ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด
มีรายได้ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19

โดยมีสัดส่วนถึง 30% ของผู้บริโภคที่มีรายได้ที่ลดลงมากกว่า 10% ขึ้นไปเมื่อเทียบกับระดับรายได้ก่อนโควิด-19 ขณะที่มีผู้บริโภคเพียง 24% เท่านั้น ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงเดียวกัน

Photo : Shutterstock

คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนที่มีระดับรายได้ค่อนข้างสูง ด้วยสถานการณ์ด้านรายได้ที่ซบเซา ส่งผลทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งในด้านการใช้จ่าย การจัดการภาระหนี้ และปัญหาสภาพคล่อง

โดยผลสำรวจพบว่ามีถึง 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ที่กำลังเผชิญปัญหารายได้ ไม่พอรายจ่ายไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ เกินครึ่ง (56%) ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีหนี้กำลังเผชิญปัญหาในการชำระหนี้ และ 52% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดยังมีสภาพคล่องทางการเงินไม่เกิน 6 เดือน

ทั้งนี้ EIC พบว่า มีคนจำนวนถึง 31% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดที่กำลังเผชิญ 3 ปัญหาดังกล่าวพร้อมกัน

คนรายได้น้อย รับผลกระทบหนักสุด

เมื่อพิจารณาแยกตามระดับรายได้ EIC พบว่า กลุ่มผู้บริโภครายได้น้อย หรือคนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน มีสัดส่วนคนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจมากที่สุดในทุกประเด็นปัญหาที่กล่าวมา โดยสัดส่วนของจำนวนคนที่มีปัญหาจะลดน้อยลงในกลุ่มระดับรายได้ที่สูงขึ้น

“สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤตโควิด-19 เป็นวิกฤตที่กระทบผู้มีรายได้น้อยรุนแรงกว่า ตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำอันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย”

โดยกลุ่มคนรายได้น้อย มีสัดส่วนของคนที่ระบุว่ารายได้ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมาสูงถึง 63% จากจำนวนคนรายได้น้อยทั้งหมด ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่มีรายได้สูงกว่า

ในทำนองเดียวกัน ทั้งสัดส่วนการมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายของคนรายได้น้อย (87%) สัดส่วนคนมีปัญหาภาระหนี้ (78%) และสัดส่วนคนมีปัญหาสภาพคล่อง (71%) หรือสัดส่วนของคนที่เผชิญทั้ง 3 ปัญหา (49%) ก็ล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงผลกระทบที่มีต่อคนรายได้น้อยส่วนใหญ่และระดับปัญหาที่มากกว่าคนรายได้สูงกว่าทั้งสิ้น

หวัง ‘ปีหน้า’ รายได้เริ่มกลับมา

ผู้บริโภคส่วนใหญ่ มองว่ารายได้จะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับที่เคยได้ในช่วงก่อนโควิด ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป แต่ยังค่อนข้างมีความระมัดระวังกับแผนการใช้จ่ายในระยะข้างหน้า

“อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายสำหรับบริการในประเทศบางประเภทมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากแรงส่งของอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง”

เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้บริโภคครึ่งหนึ่ง คาดว่ารายได้ของตนเองจะฟื้นกลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

โดยมีผู้บริโภคถึง 16% ที่เชื่อว่ารายได้ตนเองไม่มีทางกลับมาเท่ากับก่อนโควิด-19 ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนรายได้น้อย และเป็นคนทำงานในภาคการท่องเที่ยว และค้าส่ง-ค้าปลีก สะท้อนถึงผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจดังกล่าวที่รุนแรงมากและมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ยาก

ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยัง ‘รัดเข็มขัด’ เเม้สถานการณ์จะดีขึ้น 

การคาดการณ์ว่ารายได้จะฟื้นตัวช้า มีส่วนกดดันแผนการใช้จ่ายในระยะข้างหน้า โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ราว 72% ระบุว่าจะยังคงไม่เพิ่มการใช้จ่ายแม้สถานการณ์โควิด จะคลี่คลายก็ตาม ราว 43% ของผู้บริโภคระบุว่าจะลดค่าใช้จ่ายลงจากปัจจุบันอีกด้วย โดยคนกลุ่มที่เลือกจะรัดเข็มขัดเพิ่มเติมนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีมุมมองว่ารายได้ตนเองจะยังไม่เพิ่มขึ้นในเร็ววัน

อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายบางหมวดมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีจากอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแนวโน้มกลับไปใช้จ่ายในหมวดที่เกี่ยวกับกิจกรรมนอกบ้าน หลังสถานการณ์คลี่คลาย เช่น การท่องเที่ยวภายในประเทศ และบริการด้านสุขภาพและความงาม เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มรายได้สูง (รายได้มากกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน) ที่มีสัดส่วนคนที่จะกลับไปใช้จ่ายในหมวดดังกล่าวภายในระยะเวลา 6 เดือนข้างหน้าสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ

คาดว่ามาจากความต้องการที่คงค้างมาจากช่วงปิดเมือง และยังเป็นช่วงเวลาของฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับยังมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นอีกแรงสนับสนุนด้วย

อย่างไรก็ดี สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ บ้าน รถยนต์ มีผู้บริโภคเพียงส่วนน้อย (5-6%) ที่มีแผนจะใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนข้างหน้า สะท้อนถึงผลจากทั้งรายได้และความเชื่อมั่นที่ซบเซา เช่นเดียวกันกับแผนในการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังมีไม่มากนักในหมู่ผู้บริโภคไทย ตามภาวะรายได้ รวมถึงข้อจำกัดและความเชื่อมั่นในการเดินทางระหว่างประเทศ

พฤติกรรม New Normal เทรนด์ออนไลน์อยู่ยาว 

ในช่วง COVID-19 ผู้บริโภคไทยมีการเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งด้านการใช้เทคโนโลยี และการใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น ซึ่งพฤติกรรม 2 กลุ่มนี้มีแนวโน้มกลายเป็น New Normal

ในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากผลกระทบของวิกฤต COVID-19 ทั้งในด้านการใช้เทคโนโลยีและการใช้เวลาที่บ้าน โดย ผู้บริโภค 41% ระบุว่ามีการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์เพิ่มขึ้นหรือซื้อเป็นครั้งแรกเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19

ขณะที่มีเพียง 17% ของผู้บริโภคเท่านั้นที่เพิ่มการใช้จ่ายโดยทั่วไปในช่วงเดียวกัน สะท้อนถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้ามากขึ้นในช่วงที่การจับจ่ายใช้สอยในช่องทางออฟไลน์มีข้อจำกัด

นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (57%) ยังมีการใช้เวลาทำกิจกรรมที่บ้าน เช่น การปลูกต้นไม้ ทำอาหาร เพิ่มขึ้น หรือทำเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน จากการที่วิกฤต COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานที่บ้านและมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องทำให้การปรับปรุงและตกแต่งบ้าน และการซื้อของออนไลน์ในหมวดสินค้าเกี่ยวกับบ้านเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับแนวโน้มหลังโควิดคลี่คลายนั้น พฤติกรรมที่ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ต่อเนื่อง หรือกลายเป็น New Normal แม้จะลดน้อยลงบ้างจากที่เคยทำในช่วง COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าออนไลน์ที่กว่า 86% ของผู้บริโภคระบุว่าจะยังทำต่อไปแม้สถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งอาจเป็นเพราะความสะดวกจากการใช้บริการ

(Photo by Carl Court/Getty Images)

พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะกลายเป็น New Normal ได้แก่ การใช้เวลาทำกิจกรรมที่บ้านที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (91%) ระบุว่าจะยังคงทำต่อไป เช่นเดียวกันกับการปรับปรุง-ตกแต่งบ้าน (67%) และการใช้บริการ food delivery (67%) ซึ่งคาดว่าพฤติกรรมกลุ่มนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากเทรนด์การทำงานที่บ้านที่หลายองค์กรมีแนวโน้มปรับใช้แบบระยะยาว ทำให้การใช้เวลาที่บ้านของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นตามมา

อย่างไรก็ตาม กลุ่มพฤติกรรมดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงบ้างเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เพราะอาจถูกทดแทนด้วยทางเลือกนอกบ้าน โดยเฉลี่ยประมาณ 25-30% ของผู้บริโภคระบุว่าจะยังคงพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์และการใช้เวลาที่บ้าน แต่จะลดน้อยลงจากที่เคยทำในช่วง COVID-19 ทั้งนี้ สาเหตุอาจมาจากการมีทางเลือกมากขึ้นเมื่อบริการที่ทดแทนกันได้แบบออฟไลน์ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร กลับมาเปิดให้บริการได้มากขึ้น

สรุป : 

ข้อค้นพบจากผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของ EIC ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 ต่อผู้บริโภคไทยที่ค่อนข้างรุนแรงและจะยังมีผลต่อเนื่องไปในระยะข้างหน้า ผ่านความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังซบเซา กดดันแนวโน้มการใช้จ่ายภาพรวมในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

“ผู้ประกอบการที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคยังสามารถหาโอกาสได้จากแนวโน้มการใช้จ่ายในหมวดที่จะเร่งตัวจาก pent-up demand ของผู้มีกำลังซื้อ รวมถึงโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในด้านการซื้อของออนไลน์และการใช้เวลาอยู่บ้านซึ่งมีแนวโน้มกลายเป็น New Normal ที่ดำเนินต่อไปแม้สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง”

 

]]>
1363998
‘เเบงก์ชาติ’ เตรียมขยายใช้สกุลเงินดิจิทัล ‘CBDC’ ในภาคประชาชน https://positioningmag.com/1322476 Mon, 08 Mar 2021 11:54:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322476 เเบงก์ชาติพอใจผลทดสอบระบบต้นเเบบการชำระเงินด้วย CBDC สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางในภาคธุรกิจไทย พบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ดี เตรียมต่อยอดปี 2564-65 ขยายใช้ในภาคประชาชน

วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลการพัฒนา ‘ระบบต้นแบบ’ การชำระเงินในภาคธุรกิจ โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) จากความร่วมมือระหว่าง ธปท.เอสซีจีและบริษัทดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด โดยมีบริษัท ConsenSys เป็นผู้สนับสนุนด้านเทคโนโลยี

โดยผลการพัฒนาและทดสอบสรุปได้ว่า เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) การชำระเงินให้แก่ภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี

สำหรับโครงการ CBDC ที่ทดสอบการใช้กับภาคธุรกิจนั้น ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของการชำระเงินในการรองรับการสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ ให้กับภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบต้นแบบดังกล่าว ได้ใช้เทคโนโลยีประมวลผลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) เชื่อมต่อกับระบบบริหารการจัดซื้อ การวางบิล และการชำระเงินระหว่างเอสซีจีกับคู่ธุรกิจ (Suppliers)

อ่านเพิ่มเติม : CBDC ต่างกับคริปโตเคอร์เรนซีอื่นอย่างไร ? 

โดยผลการทดสอบพบว่าผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ใน CBDC (Programmable Money) ให้สอดรับกับกิจกรรมทางธุรกิจได้ดี เช่น การกำหนดเงื่อนไขให้มีการชำระเงินตามข้อมูลที่ระบุไว้ในใบแจ้งหนี้ (Invoices) ในธุรกิจ Supply Chain Financing และการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการเท่านั้น เพื่อลดปัญหาการบริหารเงินสด เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ระบบต้นแบบที่พัฒนาโดยใช้ DLT ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมาก และการปกปิดความเป็นส่วนตัวของธุรกรรมทางการเงิน ที่ยังคงต้องหาแนวทางจัดการทั้งในเชิงเทคโนโลยี หรือการออกแบบระบบต่อไป (รายละเอียดผลทดสอบของโครงการฯ สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่)

“การพัฒนาระบบต้นแบบนี้ นับเป็นครั้งแรกของ ธปท. ที่ขยายขอบเขต CBDC ไปสู่ผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อม เพื่อให้เท่าทันพัฒนาการของสกุลเงินดิจิทัล ทั้งในและต่างประเทศที่อาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเงินในอนาคต” 

ขยายใช้ Retail CBDC ในภาคประชาชน

สำหรับในปี 2564 – 2565 ธปท.จะเน้นการศึกษาและพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน (Retail CBDC) ซึ่งการพัฒนา CBDC ให้สามารถใช้ได้ในวงกว้าง จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านต่างๆ ทั้งด้านการดำเนินนโยบายทางการเงิน เสถียรภาพระบบการเงิน และบทบาทของสถาบันการเงินและธนาคารกลาง

“จะเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบ CBDC ซึ่งจะส่งเสริมให้การทำธุรกรรมทางการเงินสามารถรองรับการพัฒนานวัตกรรมท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล”

ทั้งนี้ ธปท. จะเผยแพร่รายละเอียดผลการศึกษาการออก Retail CBDC ในระยะต่อไป

 

]]>
1322476
‘จีน’ ลุยปฏิรูปเศรษฐกิจ ตั้งเป้า GDP ปีนี้ เติบโต ‘มากกว่า 6%’ สร้างงานใหม่ให้ได้ 11 ล้านตำแหน่ง https://positioningmag.com/1322054 Fri, 05 Mar 2021 06:20:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322054 รัฐบาลจีน ประกาศเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจ กลับมาพุ่งให้ได้มากกว่า 6%’ พร้อมสร้างงานใหม่ 11 ล้านตำแหน่ง ท่ามกลางความท้าทายของโลกหลัง COVID-19

นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงกล่าวต่อที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ว่า เเม้ในปี 2021 จีนจะต้องเผชิญความท้าทายเเละความเสี่ยงจากหลายปัจจัย เเต่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจขนานใหญ่ เพื่อพัฒนาประเทศให้เติบโตในระยะยาว

โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ให้กลับมาอยู่ในระดับมากกว่า 6%’ ในปีนี้

เมื่อปีที่แล้ว ตัวเลข GDP ของจีนขยายตัวที่ 2.3% นับเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในโลก ที่ยังเติบโตเป็นบวกได้ ขณะที่ประเทศเเถบยุโรปเเละสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า เพราะมีการเเพร่ระบาดซ้ำอีกหลายระลอก

การมาของ COVID-19 สะเทือนตลาดเเรงงานในรอบหลายทศวรรษ รัฐบาลจีน จึงประกาศจะเร่งสร้างงานตามเมืองต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 11 ล้านตำเเหน่ง เพิ่มขึ้น 2 ล้านตำแหน่ง เมื่อเทียบกับเป้าหมายของปีที่แล้ว

พร้อมกำหนดเพดานการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ที่ 3.2% ของ GDP น้อยกว่าเป้าหมายของปีที่แล้ว ซึ่งกำหนดไว้ที่ 3.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อ ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 3% เทียบกับเป้าหมายที่ 3.5% เมื่อปีที่แล้ว

โดยรัฐบาลจีนยืนยันว่าจะไม่มีการออกพันธบัตร ในปีนี้ หลังมีการใช้นโยบายดังกล่าวเป็นครั้งเเรกในปีที่ผ่านมา เพื่อฟื้นฟูศรษฐกิจของประเทศ ด้วยวงเงินมากกว่า 3 ล้านล้านหยวน

ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากมาตรการของรัฐที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด และการดำเนินนโยบายอย่างฉับไว เพื่อจำกัดผลกระทบของวิกฤตไวรัสที่เกิดขึ้น 

เเต่การเติบโตยังไม่สมดุล เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาคประชาชนเป็นหลัก เเต่ขณะนี้ยังขาดการบริโภคของภาคเอกชน” IMF ระบุ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจจีน ในปี 2021 จะโตที่ 7.9%

 

 

ที่มา : Reuters , CNBC 

]]>
1322054
ไปไกลกว่าค้าปลีก ‘Walmart’ ลุยปั้นสตาร์ทอัพ ‘ฟินเทค’ ให้บริการทางการเงินกับผู้บริโภค https://positioningmag.com/1313802 Tue, 12 Jan 2021 06:55:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313802 ในยุคที่เศรษฐกิจไม่เเน่นอนเเละพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเเปลงตลอดเวลาการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป 

Walmart ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่เเห่งอเมริกา ที่มีสาขามากกว่า 4,700 เเห่ง เป็นอีกเจ้าที่มีการขยายการลงทุนธุรกิจไปในน่านน้ำอื่น ทั้งเเบรนด์เเฟชั่น คลินิกสุขภาพต้นทุนต่ำและธุรกิจประกันภัย 

ล่าสุด Walmart จับมือกับ Ribbit Capital บริษัทลงทุนที่อยู่เบื้องหลังแพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นชื่อดังอย่าง Robinhood เตรียมปลุกปั้นสตาร์ทอัพฟินเทค’ (FinTech) บริษัทเทคโนโลยีทางการเงินของตัวเองขึ้นมา

โดยจะเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการค้าปลีกของ Walmart เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านฟินเทคของ Ribbit Capital เพื่อส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าและพนักงานของ Walmart

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ ยังไม่ได้เปิดเผยว่าบริษัทใหม่เเห่งนี้จะมีชื่อว่าอะไรหรือจะให้บริการเมื่อใด โดยบอกแต่เพียงว่า “จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นเอกลักษณ์และราคาไม่แพง”

หลังประกาศข่าวนี้ ราคาหุ้นของ Walmart เพิ่มขึ้น 1.5% ทำให้มูลค่าบริษัทของ Walmart ขยับมาอยู่ที่ 416,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

John Furner ซีอีโอของ Walmart ระบุว่า หลายปีที่ผ่านมาลูกค้าหลายล้านคนได้ให้ความไว้วางใจใน Walmart ที่ไม่เพียงจะช่วยประหยัดเงินเมื่อซื้อสินค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยจัดการความต้องการทางการเงินของพวกเขาด้วย

(Photo by Al Bello/Getty Images)

Walmart หันมาสนใจธุรกิจให้บริการทางการเงิน โดยการเริ่มทดลองตลาดด้วยการออก Walmart MoneyCard บัตรเดบิตแบบเติมเงินเพื่อซื้อสินค้าภายในร้าน ชูจุดเด่นหลักๆ อย่างการไม่มีค่าธรรมเนียมเบิกเกินบัญชีหรือรายเดือน และไม่มีข้อกำหนดยอดเงินขั้นต่ำ

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแผนชำระเงินทางเลือกเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโถคที่มีงบจำกัด เช่น Layaway และ Affirm ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อสินค้าออนไลน์ เเละสามารถผ่อนชำระทีหลังได้ 

Bloomberg มองว่า เป้าหมายในธุรกิจฟินเทคของ Walmart คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกับที่ Alibaba อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เป็นทั้งผู้ค้าปลีกออนไลน์และผู้ให้บริการทางการเงินในแพลตฟอร์มเดียวกัน

การขยายไปรุกตลาดฟินเทคอย่างจริงจังของ Walmart ครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในสงครามค้าปลีกยุคใหม่ที่จะเอามาต่อกรกับ Amazon ค้าปลีกออนไลน์ที่เฟื่องฟูขึ้นอย่างมากในวิกฤต COVID-19

 

 

ที่มา : Bloomberg , CNBC , Businesswire

]]>
1313802
“ลงทุนแมน – MisterBan” ครองแชมป์ Influencer สายการเงิน การลงทุนประจำเดือนส.ค. https://positioningmag.com/1297886 Fri, 18 Sep 2020 17:38:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297886 Socializta เปิดข้อมูล Top 5 Influencer จากทุกแพลตฟอร์มยอดนิยม โดยนำเสนอหมวดที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไปในแต่ละเดือน ในเดือนสิงหาคมเป็น Influencer สายการเงิน การลงทุน พบว่า “ลงทุนแมน” ครองแชมป์เอ็นเกจเมนต์สูงสุดบน Facebook

ในทุกๆ เดือน Positioning จะร่วมกับ Socializta เพื่อเผยแพร่ข้อมูลท็อป 5 จากทุกแพลตฟอร์มยอดนิยม โดยนำเสนอหมวดที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไปในแต่ละเดือน และสำหรับเดือนสิงหาคม 2563 นี้ ได้นำเสนอ Top 5 Creators ในหมวดไฟแนนซ์ การเงิน การลงทุน จากทั้ง Youtube, Facebook และ Instagram

Facebook

อันดับ 1 ได้แก่ ลงทุนแมน ด้วยการทำ 1,091,935 เอนเกจเมนต์

Instagram

อันดับ 1 ได้แก่ ลงทุนแมน เช่นกัน มีเอนเกจเมนต์รวมกว่า 336,639

Youtube

อันดับ 1 ได้แก่ MisterBan ที่ทำยอดวิวสูงถึง 338,125 วิว

ในส่วนของเพจที่มีเอนเกจเมนต์เรตสูงสุดบน Facebook ได้แก่ สอนลูกออมเงินและลงทุน ที่ 1.3% บน Instagram ได้แก่ The Money Coach ที่ 5.4% บน Youtube ได้แก่ Startyourway Official ที่ 5.2%

Startyourway Official (เอนเกจเมนต์เรตสูงสุดบน Youtube)

“ผมพยายามทำคอนเทนต์ที่ย่อยง่าย อ่านง่าย ทำในสิ่งที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับแฟนเพจ มีอะไรดี หรือทิปส์ไหนที่น่าสนใจก็จะเอามาแนะนำ เวลาร่วมงานกับสปอนเซอร์ ก็ต้องทำความเข้าใจถึงสิ่งที่อยากให้เราสื่อ ปรับจูนให้เข้าใจร่วมกัน และนำเสนอในรูปแบบที่ได้ทั้งเราและเขา บอกคีย์แมสเสจให้ครบถ้วน แต่ที่สำคัญคือคนที่ติดตามเราต้องได้รับอะไรดีๆ จากตรงนั้นด้วย ซึ่งจะเป็นตัวมัดใจให้คนติดตามและอยากแสดงความคิดเห็น หรือกดไลก์ กดแชร์ไปกับเราครับ”

Money Hero (Top 5 ยอดวิวสูงสุดใน Youtube)

“เป้าหมายเราคือสร้างนักลงทุนรายย่อยที่มีคุณภาพในการลงทุนมากขึ้น ดังนั้นคอนเทนต์ที่ผลิตขึ้นมาก็เพื่อติดอาวุธให้กับนักลงทุนรายย่อยอย่างแท้จริง ทั้งทฤษฎี และ case study หุ้นต่างๆ และที่สำคัญ คอนเทนต์เราต้องใหม่ update และเร็วที่สุด เพื่อให้ทันกับการลงทุนที่รวดเร็วในปัจจุบัน”

ขั้นตอน และวิธีทำรีพอร์ต

คำจำกัดความ

เอนเกจเมนต์ – บน Facebook วัดจากยอดไลก์ คอมเมนต์ รีแอคชั่นและแชร์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาที่เก็บข้อมูล สำหรับ Instagram วัดจากไลก์และคอมเมนต์ ในส่วนของ Youtube วัดจากไลก์และคอมเมนต์เช่นกัน

เอนเกจเมนต์เรต – บน Facebook และ Instagram คำนวณจากเอนเกจเมนต์ที่เกิดขึ้นในแต่ละโพสต์หารด้วยจำนวนผู้ติดตาม สำหรับ Youtube คำนวณจากเอนเกจเมนต์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวิดีโอหารด้วยยอดวิวของวิดีโอ

ยอดวิว – จำนวนวิวจริงที่แสดงให้เห็นในแต่ละวิดีโอ

ขั้นตอน

เริ่มต้นจากการจัดอันดับ 300 โปรไฟล์ในดาต้าเบสของสายไฟแนนซ์ การเงิน การลงทุน โดยวัดจากยอดวิวและเอนเกจเมนต์สูงสุดที่โพสต์หรืออัพโหลดในช่วงวันที่ 1 -31 สิงหาคม 2563 และคัดเอาท็อป 5 ที่ทำเพอร์ฟอร์แมนซ์สูงสุดของแต่ละแพลตฟอร์มมาจัดทำรีพอร์ตชิ้นนี้

]]>
1297886
ตามคาด! กนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.50% เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว รอ “ไม่ต่ำกว่า 2 ปี” กว่าจะกลับสู่ปกติ https://positioningmag.com/1291221 Wed, 05 Aug 2020 09:18:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291221 กนง. ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที มองเศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัว หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว แต่ยังต้องระวังความเสี่ยงจากโอกาสเกิดการระบาดระลอกสอง ยันพร้อมใช้นโยบายทางการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมถ้าจำเป็น

วันนี้ (5 ส.ค. 63) ทิตนันทิ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ระบุว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี

โดยมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว เเต่จะใช้เวลา “ไม่ต่ำกว่า 2 ปี” ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมจะกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะมีความแตกต่างกันมากระหว่างภาคเศรษฐกิจ

การบริการ นักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ ขณะที่นักท่องเที่ยวในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ส่วนด้านการส่งออกสินค้า เริ่มฟื้นตัวแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ

อุปสงค์ในประเทศ หดตัวทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การจ้างงานและรายได้ของครัวเรือนได้รับผลกระทบรุนแรงจากเศรษฐกิจที่หดตัวและจะใช้เวลาฟื้นตัวนาน

กนง.จึงเห็นว่ามาตรการภาครัฐในระยะข้างหน้าจำเป็นต้องสนับสนุนการจ้างงาน ส่งเสริมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการด้านการคลังที่ตรงจุดและทันการณ์ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อที่ช่วยเสริมสภาพคล่อง รวมถึงนโยบายด้านอุปทานเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับรูปแบบการทำธุรกิจ และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลงด้วย

Photo : Shutterstock

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปรับสูงขึ้นบ้างตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น แต่ยังมีแนวโน้มติดลบในปี 2563 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปี 2564 ตามราคาน้ำมันดิบที่จะทยอยปรับสูงขึ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

ภาวะการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทรงตัวในระดับต่ำ ขณะที่ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลยังคงอยู่ในระดับสูง

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อทดแทนการออกตราสารหนี้ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคชะลอลง แม้ว่าส่วนหนึ่งจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการเลื่อนการชำระหนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าสภาพคล่องโดยรวมในระบบการเงินยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้กระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น

อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทผันผวนสูงขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าตามการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ

“หากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม” 

ระบบการเงินมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง แต่ในระยะข้างหน้าต้องเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่แน่นอน และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนที่ลดลง

กนง.เห็นว่าควรผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจให้สอดคล้องกับกระแสรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ในบริบทใหม่หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง รวมถึงเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) การค้ำประกันสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) การสนับสนุนสินเชื่อโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เป็นต้น

คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งจากเศรษฐกิจต่างประเทศ ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 รวมถึงประสิทธิผลของมาตรการการคลังและมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น

 

 

ที่มา : ธนาคารเเห่งประเทศไทย 

]]>
1291221
เปิดเกม KBank vs SCB เเข่งธุรกิจอาหาร เมื่อแบงก์จะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็น “มากกว่า” ธนาคาร https://positioningmag.com/1286885 Wed, 08 Jul 2020 08:44:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286885 สมัยก่อนเมื่อพูดถึงธนาคาร หรือเเบงก์เรามักจะนึกถึงเเค่การทำธุรกรรมทางการเงิน สินเชื่อเเละประกัน เเต่ในยุคดิจิทัล ธนาคารได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา เป็นอีกหนึ่งเเอปพลิเคชันจำเป็นที่ต้องมีไว้ติดมือถือ

ธนาคารในไทย เป็นธุรกิจที่ถูกดิสรัปต์อย่างรุนเเรง เเต่ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเเละมีประสิทธิภาพ พัฒนาไปสู่ดิจิทัล
เเบงกิ้งอย่างเต็มรูปแบบ มีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาสม่ำเสมอ มากไปกว่านั้น ยังเป็นเหมือนผู้นำที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีใหม่ของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยความพร้อมจากการเป็นทุนใหญ่มีทรัพยากรมากทั้งบุคลากรเเละข้อมูลผู้ใช้

ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นการฟาดฟันกันระหว่าง 2 ธนาคารใหญ่เเบงก์เขียวเเละเเบงก์ม่วงอย่างกสิกรไทย (KBank) เเละไทยพาณิชย์ (SCB) ที่เเข่งขันเอาใจลูกค้าเเละตอบสนองความต้องการใหม่ๆ พยายามที่จะเป็นมากกว่าเเบงก์ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ด้วยเป้าหมายว่าต่อไปแบงก์จะอยู่ทุกที่ ยกเว้นที่แบงก์นั่นเอง

KBank เเละ SCB เป็นคู่เเข่งสมน้ำสมเนื้อมาก ด้วยฐานผู้ใช้ K Plus ที่ 13 ล้านราย (ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ 15 ล้านราย)  ส่วน SCB Easy มีผู้ใช้ 11 ล้านราย (ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ 13 ล้านราย)

ด้านรายได้รวม (อ้างอิงจากงบการเงิน 9 เดือน ปี 2562) KBank อยู่ที่ 139,376 ล้านบาท SCB อยู่ที่ 131,890 ล้านบาท

ทั้ง 2 ธนาคารได้ตั้งบริษัทลูกที่จะมาปั้นสตาร์ทอัพในเมืองไทยโดยเฉพาะ อย่าง KASIKORN Business- Technology Group หรือ KBTG ที่ได้ กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล มานำทัพเป็นหัวเรือใหญ่ ฟาก SCB ส่ง
SCB 10X 
มาลงสนามนำทัพโดย ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ 

  • KBank เป็นผู้ให้บริการ Grab Pay ในแอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ Grab ทาง SCB ก็เป็นผู้ให้บริการ Get Pay ผ่านเเอปฯ คู่เเข่งอย่าง Get เช่นกัน
  • KBank มีระบบ Face Pay สแกนใบหน้าเพื่อชำระเงิน ทาง SCB ก็มี Palm Vein การชำระเงินด้วยฝ่ามือ เช่นกัน
  • KBank เปิดตัวขุนทองเป็นแชทบอทเหรัญญิกช่วยคิดการแชร์ค่าอาหารบน LINE ทาง SCB ก็มีปาร์ตี้หาร (PartyHaan)” เช่นกัน

ล่าสุดการฉีกเเนวธนาคาร มาลงทุนในศึก “ฟู้ดเดลิเวอรี่ด้วยการเปิดตัว Robinhood ของ SCB ก็สั่นสะเทือนวงการไม่น้อย เมื่อกำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ด้วยประเด็นจี้จุด Pain Point อย่างการไม่คิด GP ไม่คิดค่าสมัคร โอนเงินไวใน 1 ชั่วโมง ท้าทายคู่เเข่งระดับโลกอย่าง Grab, LINE Man, GET เเละ Food Panda โดยพร้อมจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

ส่วน KBank ตามมาติดๆ เเละได้ใจผู้ประกอบการไปเต็มๆ เปิดตัว “Eatable” (อีทเทเบิล) แพลตฟอร์มตัวช่วยจัดการร้านอาหารไม่ต้องโหลดแอป ไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถจัดการระบบหลังบ้านแบบเรียลไทม์ผ่านทางออนไลน์ ส่วนลูกค้าสามารถเลือกอาหาร สั่ง และจ่ายแบบไร้การสัมผัส ที่กำลังจะเปิดตัวเเบบเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมพัฒนาต่อยอดให้นักท่องเที่ยวจีนสั่งอาหารในไทยได้ปลายปีนี้

การได้เห็นแบงก์แข่งขัน เปิดตัวเทคโนโลยีออกมารัว เเบบนี้ เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคเเละสร้างเเรงกระเพื่อมให้วงการธนาคารไม่น้อย

SCB vs KBank ทุ่มลงทุนธุรกิจ “อาหาร” 

ถ้าการเข้ามาในตลาดนี้ของ SCB ทำให้เจ้าอื่นๆ ตื่นตัวเเละทุ่มโปรโมชั่นเพื่อเเข่งขันกันมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภค

Robinhood เกิดขึ้นจากไอเดียของ อาทิตย์ นันทวิทยา ซีอีโอของ SCB ตอนที่เขาต้องกักตัวในช่วงการระบาดของ COVID-19 ต้องทำงานจากที่บ้าน ทำให้ต้องสั่งอาหารออนไลน์บ่อยครั้ง และมองเห็นโอกาสว่าธนาคารมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำได้ จึงต่อยอดด้วยการระดมทีมกว่า 80 คนพัฒนาแอปฯ นี้ขึ้น ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนเปิดตัว

เเนวคิดหลักของ Robinhood เป็นไปตามเเบบฉบับของสตาร์ทอัพ คือมุ่งเเก้ Pain Point ในวงการฟู้ดเดลิเวอรี่ ทั้งประเด็นการเก็บค่าธรรมเนียม หรือ GP ที่สูงถึง 30-35% ที่ทำให้บางร้านอาหารเเทบไม่มีกำไร หรือผู้บริโภคที่ต้องเเบกรับค่าอาหารที่ “เเพงขึ้น” จากปกติ ดังนั้น Robinhood จึงคว้าโอกาสชูจุดขายว่า ไม่เก็บค่า GP รวมถึงปัญหา “เงินหมุน” ของทั้งร้านค้าเเละคนขับ จึงเป็นที่มาของการที่จะเคลียร์เงินเข้าบัญชีให้ได้ใน 1 ชั่วโมง

ทาง SCB ยืนยันว่าเป็นหนึ่งใน CSR ของบริษัทที่ จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม GP ทั้งในช่วงนี้และต่อไป เเละถ้าหากในอนาคตมีคนใช้จำนวนมาก แนวทางการหารายได้จะเป็นไปในทาง “เสนอสินเชื่อ” ให้ผู้ประกอบการมากกว่าที่จะหันมาหักค่า GP

เเอปพลิเคชัน Robinhood กำลังจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปเเบบในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

ถ้าจะพูดกันว่าเป็นการเผาเงินเล่น ก็คงเป็นการเผาเงินที่คุ้มค่ามากเราลงทุนปีละร้อยล้าน จะมองว่าเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย เเต่เมื่อเทียบกับกำไรของธนาคารที่ได้ปีละ 4 หมื่นล้านเเล้ว ถือว่าน้อยมาก งบในส่วน CSR ของบริษัทเยอะกว่านี้อีก

คำกล่าวของ “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหาร SCB ที่จะมาเป็นหัวเรือใหญ่ของ Robinhood ผ่านการดำเนินงานภายใต้ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (บริษัทลูกของ scb 10x) โดยเขาจะนั่งเป็นประธานกรรมการบริหาร พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านเพย์เมนต์อย่าง “สีหนาท ล่ำซำ” ที่จะมานำทัพบุกเบิกบริษัท ในตำเเหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งกำลังจะปั้นทีมใหม่ให้ได้ราว 40-50 คน ใช้งบลงทุนราว 100 ล้านบาทต่อปี

อ่านเพิ่มเติมเจาะลึกทุกมุมของ Robinhood ไขข้อสงสัยปมค่าส่ง โมเดลธุรกิจเเละเเผนสู้ศึกฟู้ดเดลิเวอรี่

ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในประเด็นการปรับตัวของธุรกิจร้านอาหารเข้าสู่มาตรฐานใหม่ คาดว่า ธุรกิจร้านอาหารในปีนี้จะมีมูลค่าราว 3.8 แสนล้านบาท หดตัวเกือบ 10% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้ามีความระมัดระวังตัวในการออกไปทานอาหารนอกบ้าน จากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคบางส่วนได้เปลี่ยนแปลงไป ใช้บริการเดลิเวอรี่ในการสั่งอาหารมาทานที่บ้านหรือที่ทำงานแทนมากขึ้น ร้านอาหารยุคใหม่จะต้องผสมผสานการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทั้งที่ทานที่ร้านและเดลิเวอรี่ไปพร้อม ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านช่วงแพร่ระบาดหนักมาแล้ว แต่ร้านอาหารก็ยังฟื้นตัวช้ากว่าปีที่ผ่านมาถึง 70% ถือเป็นภาคธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ท้าทายของเหล่าร้านอาหาร ที่ต้องมีการ
ทรานส์ฟอร์เมชั่นไปสู่การเป็นร้านอาหารยุค New Normal แบบครบวงจรที่ตอบรับลูกค้าทั้งการทานที่ร้านและเดลิเวอรี่

นี่จึงเป็นที่มาของ “Eatable” (อีทเทเบิล) แพลตฟอร์มให้ใช้ “ฟรี” ที่จะมาเป็นตัวช่วยจัดการร้านอาหาร พัฒนาโดย KBTG บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย

“Eatable” แพลตฟอร์มฟรีช่วยร้านอาหาร กำลังเปิดให้บริการเต็มรูปเเบบในเดือนตุลาคมนี้

เรืองโรจน์ พูนผล ประธาน KBTG ยืนว่า Eatable เป็นแพลตฟอร์มฟรี ช่วยจัดการร้านอาหารที่มีทั้งส่วนบริการในร้าน รับออเดอร์ เรียกพนักงานหรือรับชำระเงิน เเละมีบริการจัดส่งเดลิเวอรี่ โดยจะเน้นไปที่ประสบการณ์การทานอาหารที่ร้านไม่ได้เน้นไปที่ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่โดยตรง ซึ่งมีการเเข่งขันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม : KBank มาเเล้ว! เปิดตัว “Eatable” แพลตฟอร์มฟรีช่วยร้านอาหาร ระบบสั่งทานที่ร้าน-ส่งเดลิเวอรี่

ไม่หวังกำไร…เเล้วต่อยอดรายได้อย่างไร ? 

การลงทุนใน Robinhood ของ SCB จะเน้นต่อยอดไปที่สินเชื่อเเละสร้างความหลากหลาย

บริษัทใหญ่ของโลกที่ให้บริการทั้ง E-Marketplace , Ride Hailing เเละเดลิเวอรี่ สุดท้ายก็จะวนมาสู่บริการทางการเงิน เป็นคำถามว่าแล้ว SCB ที่เป็นธนาคารให้บริการทางการเงินอยู่แล้ว โดนดิสรัปต์มาโดยตลอด แล้วทำไมธนาคารจะก้าวข้ามไปทำบริการอื่นๆ ไม่ได้

สีหนาท ล่ำซำ เอ็มดีของ Robinhood กล่าวถึงการลงทุนในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ของธนาคาร และบอกว่าข้อได้เปรียบของการเป็นธนาคารในตลาดนี้ คือฐานลูกค้าเเละความเสถียรของระบบเพย์เมนต์ รวมถึงข้อเสนอเรื่องสินเชื่อที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การลงทุนใน Eatable ของ KBank เน้นสร้าง Ecosystem เพื่อดึงลูกค้าให้อยู่ด้วยนานๆเเละต่อยอดไปบริการอื่น

เเม้ผู้บริหาร KBTG จะไม่เปิดเผยถึงงบประมาณในการลงทุน แต่บอกว่าเยอะทั้งในส่วนปฏิบัติการและการประสานงาน แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะ ถ้าลูกค้าแฮปปี้ เขาก็จะอยู่กับเรานาน” เเละต่อยอดไปให้บริการเเละผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของธนาคารได้ 

เบื้องต้นไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะมีร้านค้าใช้ Eatable จำนวนเท่าใด แต่หวังว่าจะดึงดูดให้ร้านอาหารมาเข้าร่วมให้มากที่สุด เพราะถือเป็นการลดต้นทุนด้านเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและร้านอาหารที่มีทุนน้อย ให้สามารถเปลี่ยนแปลง และปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลได้ในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมวงการร้านอาหารไทยเลยทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง การพัฒนาไคไท่เตี่ยนไช่” (Kai Tai Dian Cai) บริการสั่งอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวจีนผ่านแอปวีแชท (WeChat) ก็เป็นการต่อยอดการลงทุนฟินเทคในจีนของกสิกรไทย โดยก่อนหน้านี้ KBTG ได้เปิดตัว 2 บริษัท KX และ Kai Tai Tech ในเซินเจิ้น เพื่อดึงศักยภาพการทำงานรูปแบบสตาร์ทอัพ เเละสร้างการเติบโตให้ธนาคารไทย

สร้าง Engagement ใกล้ชิดกว่าเเบงก์เดิม ๆ 

เห็นได้ชัดว่าทั้ง SCB เเละ KBank ประกาศว่าจะเน้นการให้บริการด้านธุรกิจอาหาร โดยไม่หวังรายได้ “โดยตรง” กลับคืนมา เพราะจุดประสงค์ไม่ใช่การหารายได้ เเต่การสร้าง Engagement กับลูกค้าเเบบที่ไม่เคยมีธนาคารไหนทำมาก่อนซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่

โมเดลธุรกิจที่นอกเหนือจากการเสนอสินเชื่อเเละการเก็บข้อมูลเเล้ว อีกหนึ่งผลพลอยได้ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร้านอาหารกับพนักงานสาขา

โดย SCB วางนโยบายใหม่ว่า พนักงานธนาคารจะต้องออกไปเจอร้านค้าที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ไปพูดคุย ทำความรู้จักเเละให้คำเเนะนำได้ เป็นการ Re-Skill และปรับการทำงานของสาขา SCB ใหม่ จึงเกิดเป็นการเทรนนิ่งพนักงานกว่า 800 คนทั่วประเทศขึ้น

จึงมาถึงยุคที่พนักงานธนาคารต้องปรับตัว ให้ถ่ายรูปสวย เพื่อเป็นผู้ช่วยให้กับร้านอาหาร เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มากกว่าการฝากถอนซึ่งความสนิทสนมเหล่านี้ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะต่อยอดไปสู่บริการอื่นๆ ของธนาคารได้ง่ายขึ้น

Photo : Shutterstock

ส่วน SCB เมื่อเข้าไปเป็นระบบหลังบ้านของร้านอาหารเเล้ว ก็ถือเป็นความใกล้ชิดเเบบสุดๆ เลยก็ว่าได้ เป็นการสร้างความเชื่อใจในระยะยาว เมื่อธุรกิจต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน ต้องการขยายสาขาหรือพัฒนาศักยภาพธุรกิจก็ต้องคิดถึงธนาคารที่ใกล้ตัวที่สุดอยู่เเล้ว

นอกจากนี้ ด้วยประโยชน์ของข้อมูล (Data) ซึ่งได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาธุรกิจยุคดิจิทัล เพื่อนำมาวางทิศทางกลยุทธ์การตลาด เเละคาดการณ์ว่าลูกค้าจะมีความต้องการอะไรทั้งในตอนนี้เเละอนาคตธนาคารจึงสามารถออกบริการใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุด นำไปสู่รายได้ทางอ้อม ที่คุ้มยิ่งกว่าต่างจากสมัยก่อนที่ธนาคารมักจะเสนอบริการแบบเดิมๆ ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าลูกค้าอยากได้หรือไม่

ในช่วงนี้ธนาคารต่างๆ กำลังพัฒนาระบบวิเคราะห์สถานะทางการเงิน เพื่อรุกหนักด้านสินเชื่อออนไลน์ ให้สามารถยื่นกู้ผ่านแอปฯ ได้ทันทีก็เป็นอีกตัวอย่างที่อธิบายการต่อยอดธุรกิจนี้ได้ดี

นอกจากการเเข่งขันในประเทศเเล้ว ธนาคารใหญ่ในไทยกำลังหาบ่อเงินเเห่งใหม่ ด้วยการเข้าไปเจาะประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เป็นตลาดเติบโตใหม่ เป็นโอกาสทองที่จะเข้าไปปูทางสร้างดิจิทัลเเบงกิ้งให้เข้าถึงประชากรจำนวนมาก ในยามที่คู่เเข่งยังไม่เยอะ

อ่านเพิ่มเติม : ธนาคารไทย ตามหา “ขุมทรัพย์ใหม่” เเย่งลงทุนอาเซียน ส่ง “ดิจิทัลเเบงกิ้ง” เข้าถึงท้องถิ่น

KBank เเละ SCB เลือกเจาะเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันดีอย่างเมียนมาโดยธนาคารกสิกรไทย ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการโดยธนาคารกลางของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการเข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 35% ของ ธนาคารเอยาวดี ฟาร์มเมอร์ ดีเวลลอปเม้นท์แบงก์ หรือ เอแบงก์ (A bank) ส่วน SCB ได้รับอนุมัติจัดตั้งธนาคารลูกอย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้า 5 ปี ยอดสินเชื่อแตะ 7 พันล้านบาท เจาะลูกค้าทุกกลุ่มทั้งรายใหญ่ SMEs เเละรายย่อย

การงัดกลยุธ์เด็ดๆ มาประชันกันในศึกดิจิทัลเเบงกิ้งของเหล่าธนาคารยักษ์ใหญ่ในไทย เป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อเเบงก์กำลังจะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็นมากกว่าผู้ให้บริการทางการเงิน ส่วนใครจะก้าวไปไกลเเละเร็วกว่านั้น ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีของไทยทั้งสิ้น เเละหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์ก็คือ เราๆ ชาวผู้บริโภคนั่นเอง…

 

]]>
1286885
รู้จัก Kept เเอปฯ “ออมเงิน” แก้ปัญหา Gen Y-Z เก็บเงินไม่อยู่ ตั้งเป้าดึงเงินฝากเพิ่ม 4-5 พันล้าน https://positioningmag.com/1285987 Wed, 01 Jul 2020 09:36:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1285987 การเพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้คนหันมาออมเงินมากขึ้น เพราะความไม่เเน่นอนของชีวิตเเละหน้าที่การงาน ขณะเดียวกันเหล่านักลงทุนรายย่อย ก็หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเเละหันมาฝากเงินมากขึ้นเช่นกัน

จากข้อมูลของธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า การออมของคนไทย มีจำนวนบัญชีเงินฝากรวม 102 ล้านบัญชี มียอดเงินฝากรวม 15 ล้านล้านบาท โดยพบว่ากว่า 86.6% มียอดเงินฝากเฉลี่ยต่ำกว่า 5,000 บาทต่อบัญชีเท่านั้น

ขณะที่บริษัทข้อมูลเครดิตเเห่งชาติ (NCB) ระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยคนไทยอายุ 30 ปี ถึง 50% มีหนี้ และยิ่งไปกว่านั้นคือ 1 ใน 5 ของคนในช่วงอายุ 29-30 ปี มีหนี้เสีย

พร้อมกันนั้น กลุ่มคนรุ่นใหม่ไทย ยังมีการวางแผนทางการเงินในระดับต่ำ โดยเฉพาะกลุ่ม first jobber ที่มักมีทัศนคติที่ให้ความสำคัญต่อการออมน้อยกว่าคนรุ่นก่อน ดังนั้นวินัยการเก็บเงินของคนรุ่นใหม่ชาว Gen Y เเละ Gen Z จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเเละส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย

ในอีกมุมหนึ่งเมื่อคนไทยมีความระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้นในช่วงนี้ ก็เป็นโอกาสของสถานบันการเงินที่จะเข้ามาเพิ่มยอดเงินฝากนั่นเอง

ล่าสุด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดตัว Kept (เคป) แพลตฟอร์มบริหารเงินที่คำนึงถึง pain point ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการออมเงินอย่างมีระบบ ดึงดูดด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าฝากประจำทั่วไป

พงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่ผ่านมา มีการออมผ่านบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกรุงศรีฯ โตถึง 8% ถือเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เงินฝากจะมีอัตราเติบโตเพียง 4-5% เท่านั้น

ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้งานโมบายแบงกิ้งของทั้งระบบเพิ่มสูงถึง 63 ล้านคน คิดเป็นการเติบโต 28% จำนวนธุรกรรมมากกว่า 523 ล้านรายการ เติบโต 14% สอดคล้องกับ Krungsri Mobile Application (KMA) ที่เติบโตในแง่ฐานลูกค้า 12% และในแง่จำนวนรายการ 21%

เมื่อยอดการออมเเละการใช้โมบายแบงกิ้งพุ่งสูงขึ้นพร้อมๆ กัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดตัวเเอปฯ Kept ในช่วงนี้ ผ่านแนวคิด small change for BIG FUTURE #ปรับนิดชีวิตเปลี่ยน ช่วยให้การออมเงินเป็นเรื่องง่าย สนุกและสำเร็จจริง

Kept : ระบบ 1 กระเป๋า 2 กระปุก

จุดเด่นคือ Kept จะมาเป็นผู้ช่วยการออมเงินด้วยฟีเจอร์อัตโนมัติที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าผ่าน 3 บัญชี คือ บัญชี Kept บัญชี Grow และบัญชี Fun ที่ทำงานร่วมกันในระบบ 1 กระเป๋า 2 กระปุกโดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่สูง 1.7%ต่อปี โดยปีแรกรับ 1.6% และปีที่สอง 1.8% (ปีหลังจากนั้นจะเป็นดอกเบี้ยตามภาวะตลาด) โอน-ถอนได้ทุกเวลา ไม่ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงศรีก็ใช้งานได้

โดยมีให้ดาวน์โหลดฟรี ทั้งระบบ iOS และ Android เปิดบัญชีผ่านระบบยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID – NDID) ไม่ต้องมาที่สาขา หรือยืนยันตัวตนผ่านช่องทาง Krungsri i-CONFIRM ซึ่งเป็นจุดบริการยืนยันตัวตน ณ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา ทั่วประเทศ

1.กระเป๋า Kept

เป็นกระเป๋าสตางค์แยกเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ลูกค้าสามารถโอนเงินเข้ากระเป๋า Kept และตั้งยอดที่ต้องการใช้เงินในกระเป๋า Kept ไว้ล่วงหน้า ส่วนที่เหลือจะถูกโอนไปเก็บไว้ในกระปุก Grow แบบอัตโนมัติทุกสิ้นวัน ทั้งนี้ หากเงินในกระเป๋า Kept ไม่พอใช้ ระบบก็มีฟีเจอร์โอนกลับอัตโนมัติที่จะหยิบเงินส่วนที่ขาดมาจากกระปุก Grow คืนมายังกระเป๋า Kept  ซึ่งลูกค้าสามารถโอนเงินเข้าออกบัญชี Kept ได้บ่อยเท่าที่ต้องการโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

2.บัญชี/กระปุก Grow

เป็นกระปุกเงินเพื่อเก็บเงินก้อน เก็บเงินก้อนส่วนเกินจากจำนวนที่ได้ตั้งไว้เพื่อใช้จ่ายจากกระเป๋า Kept มาใส่ในกระปุก Grow โดยอัตโนมัติ (ขั้นต่ำ 5,000 บาท) เพื่อรับดอกเบี้ยที่สูง ในปีแรกและสูงขึ้นอีกในปีที่ 2 โดยคิดดอกเบี้ยทุกวัน จ่ายดอกเบี้ยทุกวันที่ 28 ของเดือน ซึ่งในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ

3.บัญชี/กระปุก Fun

เป็นกระปุกเงินสำหรับการเก็บเล็กผสมน้อย ที่สามารถทำได้ทุกวัน มาพร้อม 2 ฟีเจอร์เด็ดที่ทำให้การออมเงินเป็นเรื่องสนุก คือแอบเก็บที่ช่วยเก็บเงินให้ทุกครั้งที่โอนออกหรือสแกนจ่ายด้วย QR code ด้วยวิธีแอบเก็บที่เลือกได้เอง และสั่งเก็บ ให้เก็บเงินเมื่อไรและจำนวนเท่าใดก็ได้ ช่วยให้มีเงินออมสม่ำเสมอโดยไม่ต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และเมื่อต้องการใช้เงินในกระปุกนี้ก็สามารถโอนเข้ากระเป๋า Kept ได้

สำหรับ ฟีเจอร์แอบเก็บ เป็นไอเดียมาจากลูกค้าคนหนึ่งที่ชอบการช้อปปิ้งมาก ทุกครั้งที่กดช้อปปิ้งออนไลน์ เขาจะเเบ่งเงินตัวเองเก็บไว้อีก 300 บาททุกครั้ง เพราะไม่อยากรู้สึกผิด (ที่ช้อปปิ้งบ่อย) ดังนั้นเราจึงนำมาพัฒนาให้มีตัวช่วยเเอบเก็บให้ลูกค้า ซึ่งสามารถตั้งจำนวนเงินได้ เช่น สั่งซื้อของ 50 บาท ตั้งไว้ให้หักอีกครั้งละ 50 บาท รวมเป็นตัดบัญชี 100 บาท (ตัดเข้ากระเป๋าออม 50 บาท) หรือจะตั้งให้ปัดเศษได้ เช่น ซื้อของ 137 บาท ตัดเป็น 140 บาท (ตัดเข้ากระเป๋าออม 3 บาท) เป็นต้น

ทั้งนี้ การฝากเงินใน Kept สามารถขอรายการเดินบัญชี (e-statement) ได้ย้อนหลังได้ไม่เกิน 24 เดือน โดยทำรายการผ่านเเอปฯ Kept เช่นเดียวกับการขอรายการเดินบัญชีเเบบทั่วไป

“เป้าหมายของ Kept จะเน้นเจาะกลุ่ม Young Money เเละ Growing Money ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ Gen Y เเละ Gen Z โดยคาดว่าภายใน 1 ปีจะมียอดดาวน์โหลด 2 เเสนรายเเละดึงดูดยอดเงินฝากได้ราว 4-5 พันล้านบาท เฉลี่ยเงินฝาก 20,000 บาทต่อบัญชี” 

 

]]>
1285987