ดราม่า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 22 Jul 2024 03:06:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Adidas” ถอดนางแบบดัง “Bella Hadid” ออกจากแคมเปญโฆษณา หลังทัวร์ยิวลงอย่างหนัก https://positioningmag.com/1483471 Sat, 20 Jul 2024 10:37:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1483471 แบรนด์เครื่องกีฬา “Adidas” พัวพันกับเรื่องวุ่นๆ ด้านการตลาดอีกครั้ง หลังนำรองเท้ารุ่น “SL72” ย้อนรำลึกเหตุการณ์ “1972 Munich Olympic” กลับมาขายใหม่ แต่ดราม่าเกิดเพราะแบรนด์เลือก “Bella Hadid” นางแบบดังชาวปาเลสไตน์มาถ่ายแบบจนทัวร์ชาวยิวลงอย่างหนัก

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2024 แบรนด์ “Adidas” ออกแถลงการณ์ “ขออภัยที่ได้สร้างความเจ็บปวดและไม่พอใจ” จากการเลือกนางแบบดัง “Bella Hadid” มาถ่ายโฆษณาการนำสนีกเกอร์รุ่น SL72 รำลึกเหตุการณ์ “1972 Munich Olympic” กลับมาวางขายใหม่อีกครั้ง

สาเหตุดราม่าครั้งนี้ต้องย้อนกลับไปที่การจัดงานโอลิมปีกปี 1972 ที่เมืองมิวนิค ในปีนั้นมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อกลุ่มก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ Black September ก่อการจนทำให้นักกีฬาชาวอิสราเอลเสียชีวิต 11 ราย และตำรวจเยอรมันเสียชีวิต 1 ราย ถือเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์

ขณะที่ “Bella Hadid” ซูเปอร์โมเดลคนดังวัย 27 ปีนั้นมีบิดาเป็นชาวปาเลสไตน์ และตัวเธอเองระบุว่าเธอ “เป็นชาวปาเลสไตน์อย่างภาคภูมิใจ” มาโดยตลอด พร้อมกับใช้แพลตฟอร์มสื่อในมือคอยสื่อสารถึงความลำบากของชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์อยู่เสมอ จนเธอได้รับเลือกจากนิตยสาร Time ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลทรงอิทธิพลประจำปี 2023

ความย้อนแย้งในการเลือกนางแบบปาเลสไตน์ที่สนับสนุนปาเลสไตน์ มาถ่ายแคมเปญรองเท้าที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์การโจมตีชาวยิว ย่อมทำให้ชุมชนชาวอิสราเอลไม่พอใจอย่างยิ่ง

“เราตระหนักถึงความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญในประวัติศาสตร์ และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เราขออภัยที่ได้สร้างความเจ็บปวดและไม่พอใจที่เกิดขึ้น” Adidas แถลงผ่านสื่อ USA Today Sports

“ด้วยเหตุนี้ เรามีการทบทวนแคมเปญโฆษณาในส่วนที่เหลือ เราเชื่อมั่นว่ากีฬาเป็นพลังในการรวมผู้คนรอบโลกให้เป็นหนึ่ง และจะพยายามต่อไปในการสร้างความแตกต่างหลากหลายและความเท่าเทียมในทุกสิ่งที่เราทำ”

หลังจากมีการแถลงขออภัยแล้ว Adidas ได้ลบภาพและข้อความที่เกี่ยวกับ Bella Hadid ในแคมเปญนี้ออกเกลี้ยงจากบัญชี X และ Instagram ของแบรนด์

ด้าน American Jewish Committee (AJC) เรียกร้องให้ Adidas แถลงการณ์โดยเอ่ยถึง “ความผิดพลาดอันเลวทราม” ของตนด้วย

“ในการแข่งโอลิมปิกปี 1972 ที่มิวนิค ชาวอิสราเอล 12 คนถูกฆาตกรรมและจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มก่อการร้าย Black September การที่ Adidas เลือกนางแบบที่เป็นกระบอกเสียงให้กลุ่มต่อต้านชาวอิสราเอลมารำลึกถึงโอลิมปิกสุดมืดหม่น ถือว่าเป็นการละเลยความผิดพลาดครั้งมโหฬารหรือไม่ก็เป็นการยั่วโทสะโดยเจตนา ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหนก็รับไม่ได้ทั้งสิ้น” AJC โพสต์ข้อความนี้ลง X เมื่อวานนี้

Source

]]>
1483471
สรุปประเด็น “Coway” ส่งข้อมูลเข้า “เครดิตบูโร” แต่ระบบภายในมีปัญหาจนลูกค้าขึ้นสถานะค้างชำระ! https://positioningmag.com/1472336 Tue, 07 May 2024 08:18:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472336 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีประเด็นเดือดในกลุ่มลูกค้า “Coway” (โคเวย์) หลังลูกค้าบางส่วนพบว่าตนเองติดสถานะค้างชำระ “เครดิตบูโร” เพราะไม่ได้จ่ายรายเดือนค่าเครื่องกรองน้ำ สร้างความสับสนให้ลูกค้าเพราะตนเองจ่ายตรงเวลาตลอด และไม่เคยทราบมาก่อนว่าบริษัทมีการส่งข้อมูลให้กับเครดิตบูโร

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ “Lerrin Isarankura Na Ayudhaya” โพสต์เล่าปัญหาของเธอกับเครื่องกรองน้ำ Coway และการติดเครดิตบูโรโดยไม่รู้ตัว

เธอเล่าว่าเธอเป็นลูกค้าที่ติดเครื่องกรองน้ำยี่ห้อนี้รวม 5 เครื่อง แต่เมื่อ 5-6 เดือนก่อนมีสายเข้าจากบริษัทแจ้งว่าเธอค้างชำระค่าสมาชิกรายเดือนเครื่องกรองน้ำอยู่ 1 เครื่อง แต่เธอได้ปฏิเสธไปว่าเธอแจ้งให้เครื่องกรองน้ำทุกเครื่องตัดชำระบัตรเครดิตใบเดียวกัน ทำให้ไม่น่าจะค้างชำระเพียงเครื่องเดียวได้ จึงให้พนักงานตรวจสอบข้อมูลก่อน

หลังจากนั้น 2-3 เดือน พนักงานโทรฯ เข้ามาทวงยอดชำระอีกครั้งซึ่งเธอปฏิเสธไปเช่นเดิมเพราะบริษัทไม่แจกแจงรายละเอียด จนกระทั่งล่าสุดเธอทราบว่าตนเองติดสถานะ “ค้างชำระ” อยู่กับเครดิตบูโรเพราะประเด็นการจ่ายค่าเครื่องกรองน้ำ

คุณ Lerrin หลังจากทราบว่าติดสถานะค้างชำระ เธอจึงติดต่อกลับไปที่ Coway จนได้คำตอบว่า เครื่องกรองน้ำ 1 เครื่องที่ไม่ถูกตัดชำระเงินเพราะ ‘ไม่ถูกคีย์เข้าระบบ’ เครื่องนี้จึงไม่อยู่ในระบบการชำระเงินเลย และบริษัทนี้สมัครเป็นสมาชิกเครดิตบูโร เมื่อลูกค้าค้างจ่ายบริษัทจึงส่งข้อมูลไปที่เครดิตบูโรตามระเบียบ

หลังจากพูดคุยไปมาหลายครั้ง ไม่สามารถตกลงกันได้ตามที่ลูกค้าต้องการ คุณ Lerrin จึงแต่งตั้งทนายเพื่อเจรจา และมีการโพสต์เพื่อให้สังคมรับรู้เป็นวงกว้าง

Coway เครดิตบูโร
โพสต์ของ Lerrin Isarankura Na Ayudhaya จุดประเด็นเป็นวงกว้าง

โพสต์ดังกล่าวมีการกดไลก์ไปกว่า 1,600 ครั้ง และแชร์อีก 1,500 ครั้ง พร้อมกับมีลูกค้าหลายคนแสดงตัวว่าเผชิญปัญหาเดียวกันอยู่ เช่น เครดิตบูโรขึ้นสถานะค้างชำระ แต่ใบเสร็จจาก Coway ไม่เคยแจ้งว่ามีการค้างชำระ, บริษัทตัดยอดชำระซ้ำซ้อนหลายครั้ง, ลูกค้าแจ้งเปลี่ยนบัตรเครดิตใบใหม่ แต่บริษัทไม่อัปเดต ทำให้ขึ้นสถานะค้างชำระและส่งเครดิตบูโร

สำหรับระบบขายของเครื่องกรองน้ำ Coway บริษัทนี้ขายเครื่องกรองน้ำด้วยแพ็กเกจพ่วงบริการ คือทำสัญญา 5 ปีหรือ 7 ปี ชำระค่าสมาชิกเริ่มต้น 490 บาทต่อเดือน สิ่งที่จะได้คือเครื่องกรองน้ำ และบริการเข้ามาทำความสะอาดฟรีทุกๆ 2 เดือน กับเปลี่ยนไส้กรองฟรีทุกๆ 4 เดือนตลอดอายุสัญญา โดยทางบริษัทโฆษณาว่าเป็น ‘Subscription Model’ แต่จริงๆ ก็คือการทำ ‘สัญญาสินเชื่อเช่าซื้อ’ สินค้าชิ้นหนึ่ง

 

Coway แก้วิกฤตด่วน! แจ้งลาออกจากเครดิตบูโร

จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 บริษัท โคเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทได้ประชุมเร่งด่วนกับเครดิตบูโรแล้ว และขอลาออกจากการเป็นสมาชิกเครดิตบูโรเรียบร้อย มีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป จะทำให้ลูกค้าสินเชื่อของบริษัทไม่มีชื่อและข้อมูลในฐานระบบเครดิตบูโรอีก (รายละเอียดฉบับเต็มตามรูปด้านล่าง)

Coway เครดิตบูโร

 

ขายเครื่องกรองน้ำ ส่งเครดิตบูโรได้ด้วยหรือ?

จากดราม่าที่เกิดขึ้นนี้ อีกหนึ่งคำถามที่ชาวไทยสงสัยคือบริษัทขายเครื่องกรองน้ำแบบ Coway ทำไมจึงสามารถเป็นสมาชิกเครดิตบูโรได้?

ต้องบอกว่าในทางกฎหมายแล้วสามารถทำได้จริง เพราะตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 ซึ่งทำให้เกิด บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ขึ้นมานั้น กำหนดในมาตรา 3 ว่า “สถาบันการเงิน” คือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจแบบใดแบบหนึ่ง ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์, บริษัทเงินทุน, บริษัทหลักทรัพย์, บริษัทเครดิตฟองซิเอร์, บริษัทประกันภัย, บริษัทประกันชีวิต, นิติบุคคลที่ให้บริการบัตรเครดิต, นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการทางการเงิน และ นิติบุคคลอื่นที่ประกอบกิจการให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

ดังที่กล่าวไปว่า Coway แม้จะโฆษณาว่าเป็น ‘Subscription Model’ เสมือนจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน แต่แท้จริงเป็นการทำสัญญา ‘สินเชื่อเช่าซื้อ’ เป็นการทำการค้าโดยให้สินเชื่อ จึงสามารถสมัครสมาชิกเครดิตบูโรได้

ตัวอย่างโฆษณา Coway ว่าเป็นการให้บริการแบบ Subscription

 

บทเรียนการดูแลลูกค้า

ประเด็นการจัดการระบบชำระเงินของ Coway อาจจะไม่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้หากไม่ได้มีการนำส่งข้อมูลให้กับเครดิตบูโร เพราะการติดประวัติเคยมียอดค้างชำระจะถูกบันทึกไว้กับเครดิตบูโรนานถึง 36 เดือน (3 ปี) แม้จะชำระครบแล้วในภายหลัง อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงเมื่อลูกค้าไปขอกู้สินเชื่อหรือเปิดบัตรเครดิตได้ในอนาคต ทำให้ลูกค้ารู้สึกเดือดร้อนใจอย่างมากเมื่อทราบว่ามีการนำส่งข้อมูลให้เครดิตบูโร

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับ Coway ในการแก้วิกฤตอย่างเร่งด่วน เพราะปัญหานี้อาจจะกลบทับชื่อเสียงในทางบวกของแบรนด์ที่สร้างมาทั้งหมดได้เลย การตัดสินใจลาออกจากสมาชิกเครดิตบูโรเพื่อสยบดราม่าโดยเร็วจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่แบรนด์ทำได้ในเวลานี้ แล้วจึงมาแก้ปัญหาระบบชำระเงินพร้อมกับเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้ากลับคืนมาอีกครั้ง

]]>
1472336
Adidas “หนีตาย” จากวิกฤต “คานเย่ เวสต์” กรณีศึกษา “คอลแลป” คนดังที่อาจสร้างปัญหาย้อนศร https://positioningmag.com/1405536 Wed, 26 Oct 2022 03:22:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1405536 Adidas เป็นแบรนด์ล่าสุดที่ประกาศ “ยกเลิก” สัญญาการทำงานคอลแลปกับ “คานเย่ เวสต์” หลังเกิดเหตุ “เหยียดชาวยิว” ของคานเย่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

ก่อนหน้าที่ Adidas จะประกาศ มีหลายแบรนด์และบริษัทชื่อดังที่ประกาศ “ยกเลิก” สัญญากับคานเย่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Balenciaga และ Gap ที่ยกเลิกสัญญาสินค้าคอลแลปไปเมื่อสัปดาห์ก่อน, CAA บริษัทเอเย่นต์ดาราก็ประกาศเลิกสัญญาไม่รับคานเย่เป็นลูกค้าอีกต่อไป หรือบริษัทโปรดักชันหนัง MRC ก็ประกาศ ‘ดอง’ สารคดีเกี่ยวกับคานเย่ขึ้นหิ้งไปก่อน

Adidas เป็นบริษัทที่ทำงานกับคานเย่มานานถึง 9 ปี แต่ยอมยกเลิกสัญญาในครั้งนี้ตามแถลงการณ์ของบริษัทระบุว่าเป็นเพราะ “บริษัทจะไม่อดทนต่อแนวคิดเหยียดยิวและข้อความสร้างความเกลียดชังอื่นๆ” และยังบอกด้วยว่าความคิดเห็นของคานเย่ล่าสุดนั้น “ยอมรับไม่ได้ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และอันตราย”

คานเย่ เวสต์ไปทำอะไรไว้ถึงทำให้สังคมโจมตีจนแบรนด์ยังต้องเผ่นหนี? เมื่อต้นเดือนตุลาคม คานเย่ไปให้สัมภาษณ์อัดเทปพอดคาสต์รายการ Drink Champs กล่าวถึงคนยิวว่าเป็นชนชาติที่ “คุมสื่อ” ไว้หมด เป็นเจ้าของทุกอย่างในธุรกิจบันเทิง รวมถึงมีคำกล่าวว่า “ผมแ-งจะพูดเหยียดยิวอย่างไรก็ได้ แล้ว Adidas ก็ไม่กล้ายกเลิกสัญญากับผมหรอก”

ก่อนหน้านั้นคานเย่ก็เคยแสดงออกเสียดสีกระแส Black Lives Matter (กระแสเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมให้คนผิวสี) โดยการใส่เสื้อสกรีนข้อความ “White Lives Matter” มาแล้ว

ความโด่งดังของคานเย่เป็นเหมือนใบเบิกทางให้คนกลุ่มที่เรียกว่า “นีโอ-นาซี” ซึ่งเป็นคนที่สมาทานความคิดแบบเดียวกับพรรคนาซีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือรังเกียจชาวยิว หลังจากคานเย่ปล่อยพอดคาสต์นั้นออกไป กลุ่มนีโอ-นาซีได้ซื้อโฆษณาบิลบอร์ดขนาดใหญ่ใส่ข้อความว่า “คานเย่พูดถูกแล้วเรื่องคนยิว”

สังคมจึงรุมกระหน่ำ ทั้งดารา นักร้อง และนักกีฬาที่เป็นคู่สัญญากับ Adidas เหมือนกัน ต่างเรียกร้องให้ Adidas ยกเลิกสัญญากับคานเย่ด่วนๆ

ทำไมก่อนหน้านี้สารพัดแบรนด์จึงชอบคอลแลปกับคานเย่? เหตุก็เพราะเขาคือแรปเปอร์ที่เป็น “แฟชั่นไอคอน” ของยุคนี้ ยกตัวอย่าง Adidas ที่ร่วมงานคอลเล็กชัน Adidas Yeezy กับเขามาตั้งแต่ปี 2013 โกยรายได้ไปจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม คานเย่เป็นคนที่ถูกสังคมวิจารณ์ในทางลบอยู่เสมอ จากการกระทำสุดโต่งต่างๆ เช่น แย่งไมค์เทย์เลอร์ สวิฟต์ที่กำลังกล่าวขอบคุณที่ได้รางวัล MTV Best Female Video เพื่อบอกว่าบียอนเซ่ต่างหากที่ควรได้รางวัล หรือเรื่องดราม่าระหว่างสามี-ภรรยา คานเย่ vs คิม คาร์ดาเชียน ที่ขึ้นพาดหัวข่าวอยู่เสมอ

สรุปแล้ว แม้ว่าคนดังคนนั้นจะมีผู้ติดตามจำนวนมาก สามารถปั้นรายได้ให้แบรนด์ได้สูงเมื่อร่วมงานกัน แต่ถ้าหากทัศนคติหรือพฤติกรรมไม่ค่อยจะดีนัก แบรนด์อาจจะต้องระมัดระวังมากขึ้น … งานนี้ Nike อาจจะดีใจที่แยกทางกับคานเย่ไปตั้งแต่ปี 2013 แล้ว

ที่มา: CNN, Rolling Stone, US Weekly

]]>
1405536
สรุปดราม่า “แบนลาซาด้า-นาราเครปกะเทย” งานเข้าเพราะโฆษณาหมิ่นเหม่ ล้อเลียนผู้ป่วย https://positioningmag.com/1384137 Fri, 06 May 2022 07:35:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384137 อีกหนึ่งบทเรียนการตลาดที่ล้ำเส้นจริยธรรม แฮชแท็ก #แบนลาซาด้า ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง จากคลิปและภาพโปรโมตจากอินฟลูเอนเซอร์ “นารา เครปกะเทย” หมิ่นเหม่พาดพิงบุคคล และเป็นการล้อเลียนลักษณะทางร่างกายที่เกิดจากความเจ็บป่วย ล่าสุดทั้งเอเจนซี่โฆษณาและลาซาด้าแถลงการณ์ขออภัยต่อสังคมแล้ว แต่ดูเหมือนกระแสยังไม่จางไปง่ายๆ

ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. 2565 แพลตฟอร์ม “ลาซาด้า” (Lazada) มีแคมเปญโปรโมตต้อนรับเทศกาลลดราคาวันเลขคู่ 5.5 และหนึ่งในคลิปที่จัดทำขึ้นมาจากการจ้างงาน “นารา เครปกะเทย” อินฟลูเอนเซอร์คนดัง กลายเป็นปัญหาครั้งใหญ่ของแอปพลิเคชัน

ภาพและคลิปที่ปรากฏ นอกจากนาราแล้วยังมี “หนูรัตน์” ซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ทางอินเทอร์เน็ตอีกรายเข้าร่วมด้วย โดยปัญหาหลักอยู่ที่หนูรัตน์ที่แต่งตัวในชุดไทยนั่งบนรถวีลแชร์ และแสดงออกถึงลักษณะของผู้ป่วย จุดประสงค์ต้องการให้ตลกขบขัน

แบนลาซาด้า
(ซ้าย) นารา เครปกะเทย (ขวา) หนูรัตน์ ในคลิปเจ้าปัญหา

แต่กระแสสังคมตีกลับ เพราะกังขาว่าภาพที่ปรากฏเป็นการล้อเลียนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ ที่สำคัญคือการล้อเลียนผู้ป่วยนั้นเห็นได้ชัดและไม่ใช่สิ่งที่สังคมยอมรับได้

จากคลิปนี้ทำให้สังคมโซเชียลผุดแฮชแท็ก #แบนลาซาด้า ที่เริ่มเป็นกระแสตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. 65 ต่อเนื่องถึงวันที่ 6 พ.ค. 65 ปัจจุบันยังคงเป็นเทรนด์ในประเทศไทย มีการทวีตบนทวิตเตอร์ไปกว่า 97,000 ครั้ง เรียกร้องความรับผิดชอบจากแพลตฟอร์มต่อโฆษณาที่สะเทือนสังคม และรณรงค์ให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยลบแอปฯ หยุดการใช้งานแพลตฟอร์มนี้

แบนลาซาด้า นาราเครปกะเทย
ตัวอย่างกระแสบนทวิตเตอร์ต่อกรณี #แบนลาซาด้า

 

“เอเจนซี่-ลาซาด้า” ขออภัยในความไม่รอบคอบ

ในวันที่ 5 พ.ค. 65 หลังเกิดกระแสเชิงลบ ทาง บริษัท อินเตอร์เซคท์ ดีไซน์ แฟคทอรี่ จำกัด ในฐานะเอเจนซี่ผู้ติดต่อประสานงานกับนารา เครปกะเทย ได้ออกแถลงการณ์น้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว และทำการลบคลิปทันที พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาล้อเลียนพฤติกรรมหรือสภาพร่างกาย หรือพาดพิงบุคคลใด รวมถึงจะปรับปรุงให้ความสำคัญกับเนื้อหาและรายละเอียดอย่างรอบคอบมากขึ้น

ต่อมาในวันที่ 6 พ.ค. 65 จากกระแสที่ยังไม่สงบ ทำให้ “ลาซาด้า” ต้องออกแถลงขออภัยต่อความผิดพลาดเช่นกัน โดยรับทราบว่าคลิปดังกล่าว “สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจต่อสังคมและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์” และแม้ว่าเอเจนซี่ผู้รับผิดชอบประสานงานจะขอโทษต่อสาธารณชนแล้วแต่ “เหตุการณ์ที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงในครั้งนี้เป็นผลมาจากความไม่รอบคอบของทางลาซาด้าอย่างปฏิเสธไม่ได้” พร้อมขอโทษต่อสังคมและจะปรับปรุงกระบวนการทำงานให้รัดกุมยิ่งขึ้น

จากการแถลงของทั้งสองบริษัท เป็นไปได้ว่าความผิดพลาดครั้งนี้เกิดจากการจ้างงานที่ค่อนข้างหละหลวมในแง่การดูแลเนื้อหาของอินฟลูเอนเซอร์ที่รับงาน ทำให้เนื้อหางานที่หมิ่นเหม่นี้ถูกปล่อยผ่านได้

อย่างไรก็ตาม ฝั่งนารา เครปกะเทยซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีเจตนาพาดพิงบุคคลใด และ ยืนยันว่าทางแอปฯ (ลาซาด้า) ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบรีฟเนื้อหางานครั้งนี้

 

“สมาคมโฆษณา” ประณามชิ้นงานไร้รสนิยม

ประเด็นนี้ทาง “สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย” มีการออกแถลงการณ์เพื่อแสดงจุดยืนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นห่วงว่าเหตุการณ์นี้จะบั่นทอนเกียรติ ศักดิ์ศรี และความเชื่อมั่นต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ จึงขอยืนยันถึงหลักจรรยาบรรณวิชาชีพในการโฆษณา 3 ส่วนที่สมาคมฯ สนับสนุน ดังนี้

  1. การโฆษณาทุกชิ้นต้องถูกกฎหมาย มีเกียรติ ซื่อสัตย์ และนำเสนอความจริง
  2. การโฆษณาไม่ควรมีความขัดแย้งกับศีลธรรมอันดีและระเบียบสังคม ในการสร้างสรรค์งานโฆษณา ควรกระทำด้วยการตระหนักถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และอยู่ภายใต้หลักของการแข่งขันที่ยุติธรรม ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในวงการธุรกิจ
  3. การโฆษณาต้องไม่ทำให้สาธารณชนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในการโฆษณา

สมาคมฯ ยังระบุด้วยว่า “การกระทำใดๆที่ปราศจากความรับผิดชอบ ยุยงต่อต้านสังคม ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดูหมิ่นบุคคลหรือกลุ่มบุคคล แสดงรูปแบบใดๆของการเหยียดหรือเลือกปฏิบัติ ถือเป็นการกระทำที่ปราศจากรสนิยมและความตั้งใจอันดี สร้างความเสียหายต่อวิชาชีพ สังคมและผู้บริโภคมีสิทธิพิจารณาความเหมาะสมที่จะยุติการสนับสนุนต่อไป”

“ผู้ทำหน้าที่ผลิตชิ้นงานหรือบริษัทตัวแทนโฆษณา ตลอดจนนักการตลาดผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการกิจกรรมการตลาดของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ สมควรจะแสดงความรับผิดชอบอย่างเปิดเผยและจริงใจโดยทันที”

อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1384137
ดราม่าหนัก! ประธาน IOC แนะให้ชาวญี่ปุ่น “เสียสละ” จัดโอลิมปิกท่ามกลางการระบาด https://positioningmag.com/1333665 Tue, 25 May 2021 05:56:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333665 IOC ยังเรียกร้องให้ชาวญี่ปุ่น “เสียสละ” เพื่อให้ “โตเกียว โอลิมปิก” ได้เดินหน้าต่อ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดในญี่ปุ่นจะยังคงสาหัส ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจในญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยอมยกเลิกการจัดงาน

“จอห์น โคตส์” รองประธานคณะกรรมการการโอลิมปิกสากล หรือ IOC ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ในญี่ปุ่นทันที หลังจากเอ่ยปากพูดว่าโตเกียว โอลิมปิกจะเดินหน้าต่อ แม้ว่าประเทศเจ้าบ้านจะตกอยู่ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

“คำตอบคือ ใช่แน่นอน” โคตส์กล่าว หลังได้รับการสอบถามไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่างานจะยังจัดต่อไปหรือไม่

ขณะเดียวกัน โลกโซเชียลมีเดียของญี่ปุ่นต่างเดือดดาลต่อท่าทีของโคตส์และ “โธมัส บาค” ประธาน IOC ซึ่งละเลยต่อความรู้สึกของสาธารณชนชาวญี่ปุ่น เพราะระยะหลังมีคนญี่ปุ่นจำนวนมากที่คัดค้านการจัดโอลิมปิกภายในปีนี้

“โธมัส บาค กับ จอห์น โคตส์ ตีคู่กันมาเลยในการแข่งขันคนที่ถูกเกลียดที่สุดในญี่ปุ่นของปีนี้ ฉันว่าการแข่งขันจะร้อนแรงมาก” ผู้ใช้ Twitter รายหนึ่งแสดงความเห็น

ต่อเนื่องถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา บาคยังถูกวิพากษ์หนักขึ้นไปอีก เมื่อแสดงท่าทีว่าคนญี่ปุ่นควรจะต้อง “ยืดหยุ่น” มากกว่านี้ โดยเขาเข้าประชุมสมาพันธ์ฮอกกี้ระดับสากล และกล่าวว่า “นักกีฬาสามารถทำให้ฝันโอลิมปิกของตนเองเป็นจริงได้ โดยเราจะต้องเสียสละบ้างเพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”

แม้จะไม่ชัดเจนว่าบาคหมายถึงใครที่จะต้อง ‘เสียสละ’ แต่หลายคนตีความว่าเขาหมายถึงสาธารณชนชาวญี่ปุ่นนั่นเอง

จอห์น โคตส์ รองประธาน IOC

“เขาพูดว่าคนญี่ปุ่นควรจะเสียสละความปลอดภัย สุขภาพ และชีวิตของเราเพื่อโอลิมปิกงั้นเหรอ?” ผู้ใช้ Twitter รายหนึ่งวิจารณ์ “ทำไมคนญี่ปุ่นจะต้องเสียสละเพื่อโอลิมปิกท่ามกลางการระบาดระดับโลก? สิ่งนี้รับไม่ได้เลย” ผู้ใช้อีกรายหนึ่งกล่าว

นักธุรกิจใหญ่ของญี่ปุ่นก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน “มาซาโยชิ ซัน” ประธานกรรมการของ SoftBank กล่าวว่า สถานการณ์ “ขาดแคลนวัคซีน” ของญี่ปุ่นจะยิ่งทำให้ประเทศนี้ต้อง ‘จ่ายหนัก’ กว่าเดิมอีกหากยังจะจัดโอลิมปิก โดยเขาวิจารณ์ถึงรัฐบาลญี่ปุ่นที่ขาดศักยภาพในการกดดันให้ IOC ยกเลิกโอลิมปิก และเจรจาให้ญี่ปุ่นไม่ต้องจ่ายค่าปรับการยกเลิกจัดงานเป็นเงินมหาศาล

“ขณะนี้คนญี่ปุ่นกว่า 80% ต้องการให้ยกเลิกหรือเลื่อนจัดโอลิมปิกออกไปก่อน ใครหรืออำนาจจากไหนเหรอที่กำลังผลักดันให้ยังจัดต่อไปได้?” มหาเศรษฐีซันกล่าวใน Twitter

“มีการพูดถึงค่าปรับมหาศาลที่ต้องจ่าย (ถ้าโอลิมปิกถูกยกเลิก) แต่ถ้าคนเป็นแสนคนจาก 200 ประเทศบินมาถึงญี่ปุ่นที่ยังคงขาดวัคซีน แล้วทำให้มีไวรัสกลายพันธุ์มาแพร่ที่นี่ ชีวิตอาจจะสูญเสียไปอีก รัฐต้องจ่ายเงินอุดหนุนมากขึ้นอีกหากต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่ม และจีดีพีประเทศก็จะตกลง ถ้าเรามองจากมุมที่ว่าสาธารณะจะต้องรับมือกับอะไร ผมคิดว่าเรามีสิ่งที่ต้องสูญเสียอีกมาก” ซันกล่าว

 

ขุดยับ IOC จองห้องพักหรูเตรียมสำราญในญี่ปุ่น

สื่อญี่ปุ่นยังตามขุดคุ้ยถึงโธมัส บาคและสมาชิก IOC อาวุโสทั้งหลาย โดยรายงานว่าพวกเขาเตรียมจะมาใช้ชีวิตแบบ ‘ราชวงศ์’และสำราญในญี่ปุ่น นิตยสาร ชูกังโพสต์ รายงานว่า ออร์กาไนเซอร์จัดงานได้จองห้องพักโรงแรมทั้งบล็อกไว้ในโรงแรมที่แพงที่สุดของกรุงโตเกียวอย่างน้อย 4 แห่ง โดยที่ IOC เป็นฝ่ายจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้แค่เพียงบางส่วน

หนังสือพิมพ์ใหญ่ระดับชาติที่ออกค่าสปอนเซอร์ให้โตเกียว โอลิมปิกมักจะแสดงท่าทีน้อยมากกับเรื่องการจัดงาน แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจะโจมตีเรื่องนี้ได้มากกว่า

โอซาก้าท่ามกลางการระบาด บรรยากาศเงียบเหงา (Photo : Shutterstock)

หนังสือพิมพ์ ฮอกไกโดชิมบุน (เป็นสปอนเซอร์งานด้วย) กล่าวโจมตีโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีว่า “จ่ายค่าความรับผิดชอบของเขาเป็นชีวิตและสุขภาพของผู้คน” ขณะที่หนังสือพิมพ์ ชินาโนะ ไมนิจิ ชิมบุน ระบุว่าโอลิมปิกควรถูกยกเลิก

“เราไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาเฉลิมฉลองอีเวนต์ที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลแบบนี้” หนังสือพิมพ์รายนี้ระบุ “โตเกียว โอลิมปิกและพาราลิมปิกควรถูกยกเลิก รัฐบาลต้องตัดสินใจเพื่อปกป้องชีวิตและการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่น”

 

บุคลากรการแพทย์รับไม่ไหว

ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 มากกว่า 12,000 รายแล้ว และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถิติผู้เสียชีวิตแย่ที่สุดในเอเชีย ปัจจุบันทั้งโตเกียว โอซาก้า และอีก 8 พื้นที่ของญี่ปุ่นยังอยู่ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งคาดว่าจะถูกต่อเวลาอีกครั้งไปถึงเดือนมิถุนายน เพราะทั้งประเทศยังคงต้องฝืนสู้กับภาวะเตียงโรงพยาบาลเต็มและบุคลากรสาธารณสุขที่กำลังท้อถอย

โพลที่จัดเมื่อเร็วๆ นี้เก็บสำรวจจากสหภาพแรงงานบุคลากรทางการแพทย์ พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของพยาบาลที่ทำงานในวอร์ดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา รู้สึกอยากจะลาออกจากอาชีพนี้ เนื่องจากความเครียด ความกลัวติดเชื้อ และความเหนื่อยอ่อนจากการอดนอน

ญี่ปุ่นเพิ่งฉีดวัคซีนครบสองโดสให้ประชากรไปแค่ 2% จากทั้งหมด 126 ล้านคน ถือว่าการฉีดทำได้ช้ามาก แต่ซูงะกำลังพยายามแก้ปัญหา โดยเมื่อวานนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนที่บริหารงานโดยกองกำลังป้องกันตนเองเพิ่งจะเปิดตัวในโตเกียวและโอซาก้า มุ่งเป้าการฉีดไปที่กลุ่มคนวัย 65 ปีขึ้นไปก่อน ตามแผนของซูงะที่จะให้คนชรา 36 ล้านคนได้ฉีดวัคซีนครบหมดภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้

Source

]]>
1333665
กรณีศึกษา : ดราม่า “Burger King” วันสตรีสากล เจอกระแสตีกลับประเด็น “เหยียดเพศ” https://positioningmag.com/1322741 Wed, 10 Mar 2021 08:01:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322741 เจ้าพ่อแคมเปญโฆษณากวนๆ เรียกกระแสอย่าง Burger King ก็มีวันพลาดได้ หลังทวีตข้อความเหยียดเพศ หวังเป็นโฆษณาแบบ “คลิกเบท” แต่กระแสดราม่าไปไกลเกินกว่าจะกู้อารมณ์คนกลับมาได้ทัน

ล่าสุดในวันสตรีสากล วันที่ 8 มีนาคม 2021 อยู่ๆ แอคเคานต์ทางการของ Burger King UK บนทวิตเตอร์ก็ทวีตข้อความสั้นๆ ว่า “Women belong in the kitchen” หรือ “พวกผู้หญิงควรอยู่ในครัว” ก่อให้เกิดกระแสดราม่าตามมาว่าทำไม Burger King จึงทวีตแบบนี้ และเกิดขึ้นในวันสตรีสากลด้วย เนื่องจากข้อความนี้ถือเป็นข้อความติดตลกเพื่อเหยียดเพศหญิงในฝั่งตะวันตก เพราะหมายถึงหน้าที่ของผู้หญิงควรจะเป็นเพียงแม่บ้าน อยู่แต่ในครัวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม Burger King ทวีตต่อท้ายข้อความดังกล่าวในเวลาต่อมาว่า “ถ้าพวกเธอต้องการนะ” พร้อมอธิบายว่าจากข้อมูลสถิติ เชฟระดับมืออาชีพของอังกฤษนั้นมีเชฟผู้หญิงเพียง 20% เท่านั้น ดังนั้น Burger King จึงมีเป้าหมายสนับสนุนเชฟผู้หญิงด้วยทุนการศึกษาด้านการทำอาหารให้กับสตรี

ต้นทวีตสร้างความดราม่าของแบรนด์ Burger King UK

จะเห็นได้ว่า แคมเปญนี้ต้องการให้เป็น ‘คลิกเบท’ คือพยายามใช้ข้อความหวือหวาดึงความสนใจของคนก่อน แล้วจึงเฉลยภายหลังว่าแบรนด์มีความตั้งใจดี แต่วิธีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับประเด็นนี้เพราะสังคมต่างวิจารณ์กันไปไกลแล้วก่อนที่ Burger King จะมาเฉลยได้ทัน และแม้จะเฉลยแล้วว่าเป็นแคมเปญเพื่อสนับสนุนผู้หญิง คนก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น แถมยังดึงกลุ่มคนเหยียดเพศหญิงมารวมตัวกันแสดงความเห็นอีก

ในที่สุด Burger King ได้ทวีตน้อมรับความผิดพลาดว่า “เราได้ยินคุณแล้ว ทวีตตั้งต้นของเรานั้นผิดพลาด และเรารู้สึกเสียใจ” รวมถึงกล่าวว่า “เราตัดสินใจลบทวีตข้อความแรกนั้นหลังจากแถลงขออภัย เพราะเล็งเห็นว่ามีคอมเมนต์ที่ทำร้ายจิตใจคนมากมายใต้ทวีต และเราไม่ต้องการเปิดให้ใครได้พื้นที่ทำเช่นนั้น”

ข้อความขอโทษต่อสังคมและอธิบายแคมเปญในเวลาต่อมา

กลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่าการทำแคมเปญพีอาร์แบบคลิกเบท หรือเล่นกับกระแสที่อ่อนไหวในยุคที่ข้อความในอินเทอร์เน็ตส่งต่อกันเร็วในชั่ววินาที ผลสุดท้ายอาจจะไม่ได้ผลดีอย่างที่ใจคิด และนักการตลาดต้องระมัดระวังสูงขึ้น

Source

]]>
1322741
ดราม่า #Shopeeไม่ต้องสาระแน จากปัญหาการจัดส่ง สู่วิกฤตครั้งใหญ่ที่แบรนด์ต้องเรียนรู้ https://positioningmag.com/1314156 Wed, 13 Jan 2021 14:30:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314156 กลายเป็นเรื่องราวร้อนแรงบนโลกออนไลน์ เมื่อผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อย่าง Shopee ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายด้านการจัดส่งสินค้า ทำให้ลูกค้าเลือกเจ้าขนส่งด้วยตนเองไม่ได้ นำไปสู่การไม่พอใจในการช้อปปิ้ง แถมดราม่านี้ยังกระทบไปถึงเรื่องอื่นๆ ทั้งการคิดค่าส่งแพงขึ้น การเก็บค่าธรรมเนียมจากร้านค้าแพงขึ้น กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่แบรนด์ต้องเผชิญตั้งแต่ต้นปี

ย้อนรอยการแจ้งเกิด Shopee โปรส่งฟรี ขายฟรี

ต้องบอกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของใครหลายๆ คนก็เป็นได้ จากเดิมที่อาจจะซื้อสินค้าบางชิ้น เพื่ออำนวยความสะดวกไม่ต้องไปที่ร้าน แต่ปัจจุบันพบว่าบางคนก็ใช้บริการออนไลน์ในสินค้าแทบทุกอย่าง เพื่อความสะดวกสบาย อีกทั้งยังมีโปรโมชันมากมายสำหรับผู้ซื้อด้วย

Shopee เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่บุกตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 และด้วยความที่เข้าใจจริตคนไทย แรกเริ่มได้จัดโปรโมชันโหดๆ เน้นที่การจัดส่งสินค้าฟรี เพราะ Pain Point ของคนไทยอยู่ที่ “ค่าส่ง” การมีโปรส่งฟรีเป็นการสร้างการรับรู้ สร้างการทดลองใช้ และดึงดูดร้านค้าให้มาร่วมในแพลตฟอร์มมากขึ้น

นอกจากเรื่องของโปรส่งฟรีแล้ว Shopee ได้อัดกลยุทธ์การตลาดแบบแน่นเอี้ยด เมื่อปี 2560 ได้จัดทัพพรีเซ็นเตอร์ “ณเดชน์-ญาญ่า” ซึ่งในตอนนั้นเรียกว่าเป็นช่วงท็อปฟอร์มของทั้งคู่ ยิ่งช่วยสร้างการรับรู้ของ Shopee ให้แรงยิ่งขึ้น

แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงการทดลองตลาด Shopee ก็ได้เริ่มปรับเงื่อนไขในการส่งมากขึ้น มีการผุดโปรโมชันใหม่ๆ ถ้าย้อนไปหลายปีก่อนยังไม่มีผู้ให้บริการขนส่งมากมายเท่ายุคนี้ แต่ก็ยังมีช่วงที่แบ่งเบาภาระให้ร้านค้าได้บ้าง หรือมีโปรส่งฟรีให้ลูกค้าได้บ้าง

รวมถึงมีโค้ดส่งฟรีให้กับลูกค้า เมื่อมีการใช้บริการผ่าน “AirPay” เป็นพันธมิตรของ Shopee จากที่มีโค้ดส่งฟรีได้เดือนละ 4 ครั้ง เริ่มปรับเป็นส่งฟรีเดือนละ 2 ครั้ง และก็เปลี่ยนเป็นส่งฟรีเดือนละ 2 ครั้ง แต่มีเงื่อนไขตามมาอีกมากมาย ไม่ได้ใช้งานแบบง่ายๆ เหมือนเดิม หลายคนมองว่าเป็นการส่งฟรีที่ไม่ฟรี

อีกหนึ่งจุดเด่นของ Shopee ในช่วงแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทยก็คือ การไม่คิดค่าธรรมเนียม และค่าคอมมิชชั่นกับผู้ขายแต่อย่างใด เป็นกระบวนการเผาเงินแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าหลายคนยังสงสัยว่าแบบนี้ Shopee จะมีรายได้จากอะไร? ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของแพลตฟอร์มที่ต้องอัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นการลองใช้ แล้วค่อยมีโมเดลหารายได้นั่นเอง

จนเมื่อตลาดอยู่ตัว สามารถดึงร้านค้า และลูกค้าได้พอสมควร Shopee ก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขด้านค่าธรรมเนียมกับร้านใหม่ เริ่มจากการเก็บ “ค่าธุรกรรมบัตรเครดิต และบัตรเดบิต” คิด 2% จากยอดชำระของผู้ซื้อ และ “ค่าธรรมเนียมการขาย (Commission Fee)” แบ่งเป็นสินค้า IT คิดค่าธรรมเนียม 3% และสินค้าอื่นๆ 5%

แต่การคิดค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งที่ร้านค้าสามารถจ่ายได้ เพราะเหมือนเป็นการจ่ายค่าเช่าที่ให้กับแพลตฟอร์มนั่นเอง

ลูกค้าไม่แฮปปี้ ช้อปปี้สุ่มการขนส่ง

ในช่วงที่ผ่านมานั้น การสั่งซื้อสินค้ากับ Shopee เรียกว่ามีความราบรื่นมาโดยตลอด ไม่ค่อยเห็นปัญหาให้เห็นเท่าที่ควร สังเกตได้จากการที่ไม่ค่อยเห็นประเด็นดราม่าบนโลกออนไลน์ ซึ่งร้านค้าที่เปิดให้บริการบน Shopee สามารถเลือกผู้จัดส่งที่ตนเองสะดวกได้ ทำให้มีตัวเลือกในการจัดส่งมากขึ้นทั้ง ไปรษณีย์ไทย, Kerry, J&T, Flash, DHL, Best Express, Ninja Van และอื่นๆ

ทางร้านค้าสามารถเลือกให้บริการในการจัดส่งได้ บางร้านมีการจัดส่งหลายเจ้าเพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้า อาจจะมีราคาแตกต่างกัน ส่วนลูกค้าเองก็สามารถเลือกตามความชอบส่วนตัวได้

ทีนี้ได้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เมื่อ Shopee ได้ประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดส่งสินค้าครั้งใหญ่ เรืยกว่าสะเทือนทั้งทางฝั่งผู้ซื้อ และร้านค้า จนถึงขึ้นเกิดแฮชแท็ก #Shopeeไม่ต้องสาระแน ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ ทำเอานักช้อป และชาวเน็ตต่างไม่พอใจกันยกใหญ่

Shopee ได้อธิบายถึงการส่งรูปแบบใหม่นี้ว่า เป็นการขนส่งแบบมาตรฐานของ Shopee นั่นคือทางระบบจะเป็นคนเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับคำสั่งซื้อของของลูกค้า ตามรูปแบบการจัดส่งที่เลือก โดยดูจากความรวดเร็วในการจัดส่ง พื้นที่ให้บริการ และน้ำหนักพัสดุที่สามารถรับได้ ส่วนใหญ่จะใช้กับ “ร้านค้าแนะนำ” ที่เป็นร้านที่มียอดขายเยอะๆ หรืออาจจะเคยลงโฆษณา ร้านค้าอื่นๆ ยังไม่เจอปัญหานี้เท่าไหร่

แบ่งการจัดส่งเป็น 5 รูปแบบ ได้แก่

  1. Standard Delivery (Normal) : การขนส่งแบบมาตรฐาน เหมาะสำหรับการจัดส่งพัสดุที่มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 20 กิโลกรัม และขนาดของสินค้ำที่รับได้สูงสุดคือ 100 cm + 100 cm + 100 cm รวมกัน 3 ด้านไม่เกิน 180 ซ.ม. โดยบริษัทขนส่งที่ให้บริการส่งสินค้าในช่องทางนี้ ได้แก่ Shopee Express, Kerry, J&T Express, Ninja Van, DHL Domestic, Best Express และ Flash Express
  2. Standard Delivery (Bulky) : การขนส่งสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการจัดส่งพัสดุที่มีน้ำหนักรวมเกินกว่า 20 กิโลกรัมขึ้นไป และขนาดของสินค้าที่รับได้สูงสุดคือ 200 cm + 200 cm + 200 cm รวมกัน 3 ด้านไม่เกิน 600 ซ.ม. โดยบริษัทขนส่งที่ให้บริการในช่องทางนี้ ได้แก่ Shopee Express Bulky และ DHL Bulky
  3. Standard – Thailand Post EMS : การขนส่งแบบ EMS โดยไปรษณีย์ไทย เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักไม่เกินกว่า 20 กิโลกรัม และต้องการการจัดส่งที่รวดเร็ว
  4. Economy – Thailand Post Registered Mail : การขนส่งแบบลงทะเบียนโดยไปรษณีย์ไทย เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักไม่เกินกว่า 20 กิโลกรัม และค่าส่งถูกกว่า EMS แต่ได้ของช้ากว่า
  5. Other Logistics : การขนส่งแบบอื่นๆ เช่น Seller Own Fleet หรือ Same Day Delivery เป็นต้น

แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ทางลูกค้าขอนิยามมันว่า “การส่งแบบสุ่ม” เมื่อลูกค้าได้เลือก Standard Delivery (Normal) ทาง Shopee จะเลือกผู้จัดส่งให้เอง โดยลูกค้าไม่มีสิทธิ์รู้ได้จนกว่าจะขึ้นในระบบ ซึ่งราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่ 27 บาท ไปจนถึง 203 บาท

Shopee ยังอธิบายอีกว่า การปรับการส่งครั้งนี้จะช่วยเรื่อง “ค่าขนส่ง” ที่รับประกันว่าเหมาะสมที่สุด ซึ่ง Shopee จะคิดอัตราค่าบริการขนส่งในราคาที่เท่ากันทั้งหมด ทั้งแบบ Standard Delivery (Normal) และ Standard Delivery (Bulky) หมายความว่า ในกลุ่ม Standard Delivery (Normal) ถ้าร้านค้ามีการส่งของ Kerry, J&T และ BEST Express จะมีราคาค่าส่ง 3 เจ้าเท่ากัน จากเดิมที่จะมีราคาที่แตกต่างกัน

แต่หลายคนกลับให้ความเห็นว่าหลังจากปรับการส่งนี้แล้ว ทำให้ราคาค่าส่งแพงขึ้นไปอีกด้วย แต่เดิมที่ค่าส่งเพียงหลักสิบ แต่บางสินค้าค่าส่งพุ่งไปถึงหลักร้อยเลยก็มี จนต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์มในการซื้อสินค้า

ไม่ต้องคิดแทน เพราะลูกค้ารู้ดีสุด

ส่วนที่มาของ #Shopeeไม่ต้องสาระแน เป็นการสะท้อนว่า Shopee ไม่ต้องเลือกผู้ส่งสินค้าให้ เพราะตัวลูกค้าย่อมรู้ดีที่สุดว่าตนเองถูกชะตากับบริการของขนส่งเจ้าไหน ไม่ใช่แค่ปัจจัยด้านราคาที่ผู้บริโภคต้องการค่าส่งถูกที่สุด คุ้มที่สุด เหมาะสมที่สุด

แต่ยังมีเรื่อง “บริการ” ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวใจสำคัญ บางเจ้าส่งเร็ว บางเจ้าส่งช้า บางเจ้าโทรมายืนยันที่อยู่ก่อน บางเจ้าพนักงานให้บริการไม่ดี หลายๆ อย่างล้วนขึ้นอยู่กับความ “ถูกใจ” ของลูกค้าทั้งสิ้น

หลายคนให้ความเห็นว่าสุ่มเจอผู้ส่งเจ้าหนึ่ง ปกติไม่ชอบบริการนี้เลย แต่ก็เลือกไม่ได้ ซึ่งอาจจะทำให้การจัดส่งช้าลงไปอีก ไม่เป็นที่ชอบใจของลูกค้าเลย

ลุยระบบโลจิสติกส์

การปรับเปลี่ยนนโยบายในการจัดส่งครั้งนี้ คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นการลุยเรื่องระบบโลจิสติกส์ของตัวเองด้วย เพราะ Shopee ได้วางอีโคซิสเท็มมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่การเปิดคลังสินค้า Shopee Warehouse ด้วยพื้นที่กว่า 30,000 ตารางเมตรย่านสมุทรปราการ พร้อมกับบริการ Shopee Express เป็นหน่วยส่งสินค้าของ Shopee เอง ได้เริ่มนำร่องตั้งแต่ปี 2562 แล้ว

จากที่ Shopee ได้เปิดคลังสินค้าให้สื่อมวลชนเยี่ยมชมเมื่อตอนเดือนสิงหาคม 2563 ผู้บริหารได้เปิดเผยข้อมูลว่า ที่คลังสินค้าได้ใช้ระบบ Warehouse Management System (WMS) ที่ช่วยในเรื่องการรับ แพ็ก และการจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคลังสินค้าสามารถเตรียมจัดส่งสินค้าได้ภายใน 8 ชั่วโมงหลังจากมีคำสั่งซื้อ และกว่าครึ่งของสินค้าจะถูกจัดส่งโดย Shopee Express ส่วนที่เหลือจะถูกจัดส่งโดยพันธมิตรโลจิสติกส์รายอื่นๆ

ในช่วงที่ผ่านมานี้ทาง Shopee ก็ดันการจัดส่งผ่าน Shopee Express ของตนเองมากขึ้น ไม่ว่าจะจัดโปรลดราคา หรือมีค่าส่งที่ถูกกว่าเจ้าอื่น เพื่อให้ลูกค้าทดลองใช้ การปรับเป็นแบบสุ่มการส่ง ก็จะทำให้ Shopee เลือกบริการของตัวเองได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างที่ทราบกันดีว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย เป็นธุรกิจที่มีการเผาเงินอย่างมาก มีการลงทุนมหาศาล แต่เกือบทุกรายก็ยังมีผลประกอบการที่ขาดทุนย่อยยับ เพียงแต่ว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ มีสายป่านยาว มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง ทำให้ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

การลุยระบบโลจิสติกส์มากขึ้น เป็นการเพิ่มรายได้ และกำไรให้กับบริษัทมากขึ้นได้ ยิ่งในตอนนี้เป็นเวลาทองของธุรกิจโลจิสติกส์อย่างมาก ยิ่งเป็นช่วงที่ต้องกอบโกย

แต่ Shopee เองก็ต้องเร่งพัฒนาบริการของ Shopee Express ให้เท่าทันกับบริการของเจ้าอื่น เพราะจากหลายความคิดเห็นพบว่าหลายคนไม่ประทับใจในการส่ง มีการจัดส่งที่ล่าช้ากว่าเจ้าอื่นอย่างมาก

จากประสบการณ์ส่วนตัวได้เคยใช้บริการ Shopee Express เช่นกัน มีการส่งสินค้าช้ามาก สินค้าติดอยู่ที่สาขาปลายทางหลายวัน และไม่มีการโทรแจ้งผู้รับ กว่าจะได้รับสินค้าใช้เวลาเกือบ 10 วัน จากปกติใช้เวลาแค่ 2-3 วันเท่านั้น

กระทบแบรนด์ระยะยาว?

กลายเป็นวิกฤตใหญ่ที่แบรนด์จะต้องรับมือตั้งแต่ต้นปี เพราะการขนส่งสินค้าเป็นหัวใจหลักของการซื้อสินค้าเลยก็ว่าได้ ซึ่งดราม่าครั้งนี้กระทบทั้งฝั่งผู้ซื้อ และผู้ขาย ทางร้านค้าเองก็เลือกผู้จัดส่งไม่ได้ ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแพลตฟอร์มในการใช้งานได้

โดยกระแสในทวิตเตอร์เริ่มเห็นว่า หลายคนเริ่มเปรียบเทียบค่าส่งกับแพลตฟอร์มอื่น และพร้อมที่จะย้ายค่ายโดยไม่รีรอ เพราะไม่มี “โค้ด” ที่เป็นสิ่งที่ดึงรั้งเขาไว้ หลายคนใช้บริการ Shopee เพราะมีโค้ดส่งฟรี โค้ดลดราคา แต่ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงแบบนี้ อาจจะทำให้ลูกค้าโบกมือลาเอาง่ายๆ

ตอนนี้ทาง Shopee ยังไม่มีคำชี้แจงแต่อย่างใด อาจจะต้องรอคำอธิบายจากทีมผู้บริหารอีกรอบ…

]]>
1314156
กรณีศึกษา : นัทนิสา ดราม่า #แกงเขียวหวาน250 แก้วิกฤตผิดทางพาฟอลโลเวอร์หล่น 6% https://positioningmag.com/1275541 Mon, 27 Apr 2020 12:13:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1275541 ดราม่าที่บานปลายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการ unfollow/unsubscribe ที่ไหลเร็วจนห้ามเลือดไม่ทัน มาติดตามกรณีศึกษาจากปัญหาดราม่าเปิดขาย “แกงเขียวหวาน” ของช่อง “นัทนิสา สะบัดแปรง” ที่คำพูดและท่าทีต่อสาธารณชนกลายเป็นการราดน้ำมันใส่กองเพลิง จนวิกฤตหนักถึงขั้นฟอลโลเวอร์ใน Instagram ลดฮวบเกือบ 6% ภายในวันเดียว

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 63 เป็นวันแรกที่ นัท-นิสามณี เลิศวรพงศ์ หรือ นัทนิสา สะบัดแปรง อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในสายความสวยความงาม เริ่มเปิดขายอาหารในนามร้าน by-mama (บาย-มาม๊า) โดยเล่าคอนเซ็ปต์ร้าน คือเป็นอาหารที่คุณแม่ของเธอทำแบบโฮมเมดด้วยสูตรอาหารของคุณแม่เอง ให้ความรู้สึกเหมือนได้ทานอาหารฝีมือแม่ โดยเปิดขายและจัดส่งให้ลูกค้าแบบเดลิเวอรี่

แต่เรื่องราวเกิดจุดเริ่มต้นกระแสดราม่าในวันที่ 24 เม.ย. 63 เมื่อเธอโพสต์หน้าตาและราคาอาหารเมนูที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ “แกงเขียวหวาน” ราคาถุงละ 250 บาท ทำให้มีชาวเน็ตคอมเมนต์ติติงว่าราคาอาหารแพงเกินไป เพราะเป็นแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายปกติ และยังใส่ในแพ็กเกจจิ้งถุงร้อนมัดยางแกงแปะสติกเกอร์แบรนด์ by-mama เท่านั้น ไม่ได้สร้างสรรค์แพ็กเกจจิ้งที่เหมาะสมกับราคาเหมือนเจ้าอื่นๆ

ต้นเหตุดราม่า : เมนูแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ถุงละ 250 บาท

ร้อนถึงนัทนิสา เจ้าของแบรนด์ ต้องออกโรงชี้แจงว่า ราคาอาหารเป็นราคานี้เพราะใช้วัตถุดิบอย่างดี คุณแม่เป็นคนลงมือปรุงด้วยตนเอง ส่วนที่ใช้ถุงร้อนมัดยางเพราะต้องการช่วยลดโลกร้อน จึงไม่ใช้กล่องพลาสติกใส่อาหารอย่างที่ชาวเน็ตแนะนำ (น่าแปลกใจว่าเมนูแรกที่ลงขายคือ ถั่วฝักยาวผัดมันกุ้ง นั้นเลือกใส่บรรจุภัณฑ์กล่องพลาสติก)

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตยังไม่หยุดวิจารณ์ถึงราคาอาหารจนถึงวันที่ 25 เม.ย. 63 ทำให้ระหว่างที่นัทนิสาและมิกซ์ เฉลิมศรี เพื่อนอินฟลูเอนเซอร์กลุ่มเดียวกัน กำลังไลฟ์สดใน Instagram พูดคุยถึงประเด็นอาหารแพง ตูน หิ้วหวีฯ หรือ alie.blackcobra เพื่อนอินฟลูเอนเซอร์อีกคนหนึ่งได้ตามเข้ามาคอมเมนต์ว่า “จนก็กินแบบจน อย่าพูดมาก” และอีกหลายคอมเมนต์ใกล้เคียงกัน สร้างความเดือดดาลให้ชาวเน็ตมากขึ้นอีก

ตัวอย่างคอมเมนต์บางส่วนที่นัทนิสาและตูน หิ้วหวีฯ ตอบโต้กับชาวเน็ต

แม้ว่านัทนิสาจะไม่ได้พูดหรือคอมเมนต์ประโยคเหล่านี้เอง แต่เธอไม่ได้ห้ามปรามเพื่อน และมีคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น “ตื่นเต้นเมนูจันนี้ จะเอาเว่อกว่าเดิม ขายแพงกว่าเดิม 55” นอกจากนี้ เพื่อนๆ ของนัทนิสาซึ่งทำช่อง YouTube ด้วยกันในนามรายการหิ้วหวีไปหิ้วหวีมา ยังคงไลฟ์สดตอบโต้ชาวเน็ตอย่างต่อเนื่องว่าราคาอาหารสามารถตั้งสูงกว่าร้านทั่วไปเพราะทำและขายโดย “คนดัง”

จากจุดเริ่มต้นเรื่องราคาอาหารที่เจ้าของร้านชี้แจงแล้วยังไม่เป็นที่น่าพอใจ มาผนวกกับการคอมเมนต์ดูถูกคนจน ยิ่งเป็นน้ำมันราดลงกองเพลิงจนเกิดกระแสแฮชแท็ก #นัทนิสา และ #แกงเขียวหวาน ขึ้นเทรนด์อันดับต้นๆ ใน Twitter ช่วงวันที่ 25-26 เม.ย. 63 นำไปสู่การรณรงค์ให้ unfollow บัญชี Instagram และ unsubscribe ช่อง YouTube ของนัทนิสา นับได้ว่าเป็นการจี้จุดทุบหม้อข้าวของเธอเพราะนั่นคือช่องทางสร้างรายได้หลัก

ยอดฟอลโลเวอร์ของนัทนิสา สะบัดแปรง เวลา 18.00 น. วันที่ 27 เม.ย. 63 ลดลงเหลือ 6.88 แสนคน

ช่วงก่อนเกิดดราม่านี้ขึ้น นัทนิสา สะบัดแปรง เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มาแรงมากในสายบิวตี้ โดยเธอเพิ่งได้รางวัลผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดียจากเวที Thailand Zocial Awards 2020 เมื่อเดือนมีนาคมนี้เอง

แต่หลังจากเกิดดราม่าและการโหมกระแส “เลิกติดตาม” ทำให้ผู้ติดตามช่อง YouTube ของเธอลดจาก 1.36 ล้านคนเหลือ 1.32 ล้านคนภายในวันเดียว หรือคิดเป็น 3% ส่วนบัญชี Instagram ก็ตกจาก 7.31 แสนคนเหลือ 6.88 แสนคน หรือคิดเป็น 5.8%

ยอดฟอลโลเวอร์ที่ต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะได้มา กลับมาตกฮวบภายใน 1-2 วัน กลายเป็นสัญญาณฉุกเฉินให้นัทนิสาและตูน หิ้วหวีฯ ต้อง “ขอโทษ” ในคืนวันที่ 26 เม.ย. 63 โดยนัทนิสาระบุว่าคอมเมนต์ของเพื่อนเกิดจากเพื่อนๆ ต้องการปกป้องตนจากชาวเน็ตบางคนที่เข้ามาแสดงความเห็นระหว่างการไลฟ์สดเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจดูถูกสังคมโดยรวม อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตนเองก็ใช้อารมณ์ จึงขอโทษและจะเก็บไว้เป็นบทเรียนนำไปปรับปรุง

แต่ดูเหมือนอารมณ์ความรู้สึกที่เสียไปแล้วของสาธารณชน เมื่อต้องใช้เวลาข้ามวันกว่าที่จะออกมาแก้ไขวิกฤต ทำให้ความเชื่อใจไม่สามารถกลับคืนมาได้ง่ายๆ และยอดฟอลโลเวอร์ของนัทนิสายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้แม้จะเอ่ยปากขอโทษแล้วก็ตาม

เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นกรณีศึกษาให้อินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์ได้ในแง่ของการสื่อสารกับสังคมยุคใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าทัศนคติของเจ้าของแบรนด์ต่อผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญและละเอียดอ่อน รวมถึงความเร็วในโซเชียลทำให้ทุกคำพูดสามารถแพร่กระจายไว จนการแก้ไขวิกฤตช้าไปเพียงวันเดียวอาจส่งผลเสียหายได้มากกว่าที่คิด

]]>
1275541
กรณีศึกษา: Countdown เดือดรับปีใหม่! เปิดไทม์ไลน์ “นุช” ดราม่า “เซ็นทรัลเวิลด์” https://positioningmag.com/1259211 Thu, 02 Jan 2020 10:07:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259211 กรณีศึกษาร้อนฉ่ารับปีใหม่ จากแคมเปญ AIS Bangkok Countdown 2020 ซึ่งจัดขึ้นที่ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ สร้างความไม่พอใจให้แฟนคลับของศิลปินดัง “เป๊ก-ผลิตโชค” เนื่องจากระยะเวลาการแสดงของเป๊กบนเวทีไม่เป็นไปตามตาราง และการจัดโซนพิเศษเฉพาะลูกค้าห้างไม่เป็นไปตามข้อตกลง ทำให้แคมเปญที่ควรใช้สร้างแบรนด์กลายเป็นดาบสองคมจากการบริหารจัดการผิดพลาด

แฮชแท็ก #เคาท์ดาวน์มหาสนุก_day2 ขึ้นเทรนด์บนทวิตเตอร์เป็นวันที่สองโดยมีผู้ใช้ทวีตเรื่องราวประเด็นนี้ไปมากกว่า 5 แสนครั้ง Positioning ขอหยิบไทม์ไลน์มาฝากเป็นกรณีศึกษา

1.เซ็นทรัลเวิลด์ ประกาศการจัดงาน Countdown ปีใหม่พร้อมเปิดแฟนโซนพิเศษ

ในวันที่ 13 ธันวาคม 2019 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ ประกาศจัดงาน Countdown ปีใหม่พร้อมแจ้งไลน์อัพศิลปินมากมาย หนึ่งในนั้นคือ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร ศิลปินดังที่มีแฟนคลับ “นุช” ติดตามทั่วฟ้าเมืองไทย

(photo: Facebook@CentralwOrld)

นอกจากจะแจ้งไลน์อัพแล้วยังแจ้งเงื่อนไข “แฟนโซน” ด้านหน้าเวทีที่จะได้ใกล้ชิดศิลปินจำนวน 150 สิทธิ ผู้มีสิทธิจะต้องใช้จ่ายในเซ็นทรัลเวิลด์ให้ครบ 3,000 บาท และมาแลกรับสิทธิเข้าแฟนโซน 2 ใบ โดยใช้ระบบแลกก่อนได้ก่อน

2.แฟนโซนหมดเกลี้ยงใน 20 นาที

(photo: Facebook@CentralwOrld)

วันที่ 18 ธันวาคม 2019 วันแลกรับสิทธิแฟนโซน เซ็นทรัลเวิลด์ประกาศชื่อเต็มงาน AIS Bangkok Countdown 2020 พร้อมไลน์อัพศิลปินและกิจกรรมแบบระบุเวลา โดยเป๊ก-ผลิตโชคมีคิวขึ้นร้องเพลงบนเวทีเวลา 19.00-20.00 น. (1 ชั่วโมง) และมีกิจกรรมพิเศษเวลา 23.40-23.50 น. (10 นาที) ร่วมกับเจมส์-จิรายุ ในฐานะพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ AIS

(photo: Facebook@CentralwOrld)

หลังจากประกาศไลน์อัพเพียง 20 นาที เซ็นทรัลเวิลด์ก็ประกาศปิดแลกรับสิทธิแฟนโซน 150 สิทธิ เนื่องจากเต็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในจำนวนนี้ มีแฟนคลับเป๊ก-ผลิตโชคที่ตัดสินใจช้อปตามเงื่อนไขห้างเพื่อใกล้ชิดศิลปินทั้งสองช่วงเวลา

3.เป๊ก-ผลิตโชคถูกตัดเวลาช่วงแรก และงดการแสดงช่วงหลัง

เป๊ก-ผลิตโชค ขึ้นแสดงในช่วงหัวค่ำ (photo: Facebook@CentralwOrld)

ในงาน AIS Bangkok Countdown 2020 เป๊ก-ผลิตโชคขึ้นโชว์ช่วงแรก แต่แฟนคลับบางรายกล่าวถึงงานในค่ำคืนนั้นว่า การแสดงใช้เวลาเพียง 40 นาทีเป๊กก็ลงจากเวที

หลังจากนั้นในคิวโชว์ช่วงหลังเป็นเจมส์-จิรายุที่ขึ้นร้องเพลงกับน้องอุ่นใจ AIS อย่างไรก็ตาม เป๊ก-ผลิตโชคไม่ได้ออกโชว์ด้วย เพียงแต่สแตนด์บายข้างเวที ณ เวลา 23.47 น. จากนั้นเวทีได้ตัดเข้าสู่ช่วงพิธีการเชิญผู้บริหารและศิลปินต่างๆ เตรียมตัวสำหรับการนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ โดยยังเหลือเวลาถึง 12 นาทีก่อนจะเที่ยงคืน

เจมส์-จิรายุ กับน้องอุ่นใจ โชว์พิเศษสุดท้ายก่อนนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ (photo: Facebook@CentralwOrld)

เหล่านุชสับสนถึงการบริหารจัดการเวลาที่ไม่เป็นไปตามตารางตั้งแต่ช่วงแรกที่เวลาแสดงสั้นกว่าที่แจ้ง และช่วงหลังซึ่งตัดโชว์ของเป๊ก-ผลิตโชคออกทั้งหมด สร้างความผิดหวังให้แฟนคลับที่ยืนคอยมาร่วม 4 ชั่วโมง เพื่อชมโชว์รอบที่สอง รวมถึงกลุ่มที่ใช้จ่ายเพื่อเข้าแฟนโซนแต่ได้ชมการแสดงน้อยกว่าเวลาที่แจ้งไว้

4.เซ็นทรัลเวิลด์-โฟโนล็อคออกแถลงขอโทษ เอไอเอสแจงไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ

เซ็นทรัลเวิลด์ ออกแถลงการณ์ผ่านทาง Facebook ในวันที่ 1 มกราคม 2020 เวลา 22.05 น. ว่ามีเหตุเรื่องข้อจำกัดด้านเวลา เกรงว่าจะไม่สามารถร่วมนับถอยหลังได้ทัน ทำให้ตัดสินใจตัดโชว์ชุดสุดท้ายคือเป๊ก-ผลิตโชคออกจริง โดยยอมรับถึงความผิดพลาดและขออภัยต่อแฟนคลับ

ด้าน AIS แถลงทาง Twitter ในวันที่ 2 มกราคม 2020 เวลา 12.47 น. กล่าวตรงกันว่าเหตุเกิดจากเซ็นทรัลเวิลด์กังวลเรื่องเวลาจึงขอตัดการแสดงออก แม้ว่า AIS จะต้องการให้เป๊ก-ผลิตโชค พรีเซ็นเตอร์แบรนด์ได้ขึ้นโชว์ก็ตาม แต่การตัดสินใจของห้างถือเป็นสิ้นสุด

ส่วน โฟโนล็อค ออร์กาไนเซอร์ผู้จัดงาน AIS Bangkok Countdown 2020 กลายเป็นบริษัทสุดท้ายที่ออกแถลงการณ์ผ่านทาง Facebook และ Twitter ในวันที่ 2 มกราคม 2020 เวลา 15.30 น. โดยกล่าวสั้นๆ ว่าขออภัยและเสียใจต่อเหตุการณ์ และจะแก้ไขปรับปรุงในอนาคต

5.เรื่องราวยังคงบานปลาย

แม้จะมีการออกแถลงการณ์ขออภัย แต่แฟนคลับบางส่วนยังคงไม่พอใจและต้องการความรับผิดชอบเพิ่มเติม เช่น คำอธิบายถึงเหตุการณ์เชิงลึกว่าเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยหรือจงใจ, การบริหารแฟนโซนซึ่งเปิดให้ผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิเข้าฟรี ขณะที่ผู้มีบัตรบางส่วนไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้โดยรับแจ้งว่าพื้นที่เต็ม, ความรับผิดชอบต่อสิทธิแฟนโซนที่ต้องใช้จ่าย 3,000 บาทเพื่อแลกบัตรเข้างาน แต่ไม่ได้ชมการแสดงตามตกลง เป็นต้น

โดยขณะนี้กลุ่มแฟนคลับเป๊ก-ผลิตโชคบางส่วนที่ช้อปแลกสิทธิแฟนโซนอยู่ระหว่างเข้าชื่อเพื่อพิจารณายื่นเรื่องฟ้องร้องต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แล้ว

กลายเป็นกรณีศึกษาถึงการบริหารความคาดหวังแฟนคลับ หากทำได้ดีพลังของแฟนๆ ก็พร้อมดันแบรนด์นั้นๆ อย่างเต็มที่ แต่ถ้ามีข้อผิดพลาดก็พร้อมจะพังทุกอย่างเช่นกัน ยิ่งในห้วงเวลาที่ “เซ็นทรัลเวิลด์” ไม่ใช่ทำเล Countdown ปีใหม่แห่งเดียวของกรุงเทพฯ แล้วในพ.ศ.นี้ การตัดสินใจทุกก้าวยิ่งต้องระวังมากขึ้นไปอีกขั้น

 

อ่านเรื่องเพิ่มเติม

]]>
1259211
“ดราม่ากูลิโกะ” แบรนด์ออกโรงแถลงไม่เกี่ยว “วิ่งไล่ลุง” อย่าเอาโลโก้โยงการเมือง https://positioningmag.com/1255631 Mon, 02 Dec 2019 18:21:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255631 กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่องาน “วิ่งไล่ลุง” ดันใช้โลโก้คล้ายคลึงกับแบรนด์ “กูลิโกะ” จนทางแบรนด์ต้องออกโรงแถลงว่าไม่เกี่ยวข้องกัน พร้อมอย่าเอาโลโก้ไปโยงเรื่องการเมือง

แบรนด์ออกโรงเตือน ไม่เกี่ยวข้องการเมือง

จากกรณีที่นายธนวัฒน์ วงค์ไชย หรือ บอล ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นประธานยุทธศาสตร์ สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมจัดงาน “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 .. 2563 เพื่อเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จากพรรคพลังประชารัฐ

จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิ่ง ที่นำกิจกรรมวิ่งไปเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมทั้งยังมีการทำการ์ตูนล้อเลียนป้ายกูลิโกะแมนสัญลักษณ์ของกูลิโกะริมแม่น้ำโดตมโบริ บริเวณสะพานอิบิซึบาชิ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ทำให้สังคมเข้าใจว่าขนมขบเคี้ยวยี่ห้อดังให้การสนับสนุนหรือไม่

ล่าสุดทางแบรนด์กูลิโกะได้ทำการแถลงผ่านเฟซบุ๊ก Glico TH โดยบริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด และ บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด ออกหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับการนำเครื่องหมายการค้าไปดัดแปลงเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ทางการเมือง ระบุว่า


“ตามที่ได้มีผู้นำเครื่องหมายการค้าหรือโลโก้ที่กลุ่มบริษัทกูลิโกะใช้ในการประกอบธุรกิจ ไปดัดแปลงเพื่อใช้สำหรับกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากลุ่มบริษัทกูลิโกะได้ให้การสนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองนั้น

บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด และ บริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด (“บริษัทฯ”) ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัทกูลิโกะในประเทศไทย ขอเรียนชี้แจงให้ทราบว่า บริษัทฯ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น และบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจนในการประกอบธุรกิจการผลิตและขายสินค้าประเภทขนมหวานและไอศกรีม

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอย้ำอีกครั้งว่าบริษัทฯ มีนโยบายความเป็นกลางทางการเมือง และไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกรูปแบบ จึงใคร่ขอความร่วมมือให้งดเว้นการนำเครื่องหมายการค้าหรือโลโก้ของกลุ่มบริษัทกูลิโกะ ไปดัดแปลงเพื่อนำไปใช้สำหรับกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ว่าด้วยวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์หรือไม่ก็ตาม พื่อไม่ให้กิดความสับสนและเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป

จาก “นักวิ่งกากๆ” สู่ “วิ่งไล่ลุง”

ความจริงเรื่องการนำโลโก้ของกูลิโกะมาดัดแปลงนั้น เราไม่ได้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ถ้าในวงการวิ่งจะคุ้นเคยกับเพจ “นักวิ่งกากๆ” กันเป็นอย่างดี โดยมีการนำเอาสัญลักษณ์กูลิโกะแมนมาใช้เช่นกัน พร้อมกับข้อความที่ว่า “กลูแหละกาก”

ซึ่งเพจนักวิ่งกากๆ เป็นเพจที่รวบรวมดราม่างานวิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดงาน นักวิ่งที่โกงรางวัล เรื่องของผู้จัดงานต่างๆ ทางเพจจะนำมาเล่า หรือนำมาแฉให้กับนักวิ่งในวงการรับทราบกัน

เพียงแต่เพจนักวิ่งกากๆ เป็นการดัดแปลงในทำนอง Parody หรือล้อเลียน ต่างจากงานวิ่งไล่ลุงที่นำโลโก้มาใช้ในงานวิ่งเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังมีการเชื่อมโยงกับเรื่องการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ทางแบรนด์จึงต้องออกตัวในการป้องกันภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่จะเสียหาย หรือมองว่ามีการสนับสนุนงาน เพราะบางคนอาจจะมีการเข้าใจผิดกันได้

ล่าสุดทางเพจของวิ่งไล่ลุงได้แถลงการขอโทษทางแบรนด์กูลิโกะแล้วเรียบร้อยเช่นกัน พร้อมกับระบุว่า

จากรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ และจากความห่วงใย ของบริษัท กูลิโกะ ประเทศไทย ต่อโลโก้การจัดงาน “วิ่ง ไล่ ลุง” ที่กำลังจัดขึ้น ในวันที่ 12 มกราคม 2563 ที่จะถึงนี้นั้น

ทางคณะจัดงาน “วิ่ง ไล่ ลุง” และ “ธนวัฒน์ วงค์ไชย” ในฐานะผู้ประสานงานจากจัดงานดังกล่าว ขอกราบขออภัยทางบริษัท Glico TH ประเทศไทย และบริษัทต้นสังกัด จากทางประเทศญี่ปุ่น ที่ปล่อยใหัเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ทางผู้จัดงาน ขอยืนยันว่ากลุ่มของเรามิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อบริษัทดังกล่าว และเรามิได้ประสงค์จะนำโลโก้ขอบบริษัท มาดัดแปลง เพื่อจุดประสงค์ทางธุรกิจการค้า หรือทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด

โดยขณะนี้ เรากำลังดำเนินการจัดทำ Artwork ตัวใหม่ สำหรับประชาสัมพันธ์การจัดงานนี้ เราขอสัญญาว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก และจะไม่ให้ภาคเอกชนใดเสียหายอีก.

]]>
1255631