Top 5 สัญชาติ คือ
”ในแง่วอลุ่มต้องยกให้จีนและอินเดีย แต่ถ้าในแง่ยอดการใช้จ่ายสัญชาติออสเตรเลีย (อันดับ 16 จำนวน 8 แสนคนที่เข้าไทย) และตะวันออกลลาง (อันดับ 20 จำนวน 7 แสนคนที่เข้าไทย) จะมียอดสูงสุด ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย“
โดย CBRE Research คาดว่าปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 40 ล้านคน มากกว่าช่วงพีกสุดก่อนโควิดเสียอีก
โชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและให้คำปรึกษา ซีบีอาร์อี ประเทศไทย หรือ CBRE กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมเติบโต โดยพื้นที่ กทม. จะมีการเปิดตัวใหม่โรงแรมมากกว่า 5,500 ห้อง เพิ่มขึ้น 7% (YoY) เติมซัพพลายเดิมที่มีอยู่ 80,000 ห้อง
การเปิดตัวใหม่ ส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นโรงแรมระดับ Upscale (ระดับกลางค่อนบน) และระดับลักซูรี (ระดับบน) ราคาตั้งแต่หลัก 4,000 บาท/คืน ไปจนถึงมากกว่า 10,000 บาท/คืนขึ้นไป และระดับสูงสุดคือ 50,000 บาท/คืน (Aman Nailert ย่านชิดลม จำนวน 52 ห้อง เปิด เม.ย. 68)
โดยปี 2568 มีโครงการใหญ่เตรียมลอนช์ เช่น Andaz One Bangkok จำนวน 244 ห้อง, Grand Centre Point Lumphini จำนวน 512 ห้อง เป็นต้น
“กลุ่มโรงแรมหรูระดับอัปสเกลและลักซูรี จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองยอดนิยมระดับโลก และด้วยโครงการริเริ่มของรัฐบาลเพื่อดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและแขกที่เข้าพักระยะยาวผ่านโครงการวีซ่าระยะยาว ซีบีอาร์อีคาดว่าจะมีแบรนด์ที่พักระยะกลางและระยะยาวเปิดให้บริการในกรุงเทพฯ มากขึ้น”
ขณะที่อัตราการเข้าพัก (OCC Rate) ปี 2568 คาดจะกลับมาแตะระดับ 77% (จากก่อนโควิด 78%) โดยมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) 4,300 บาท/คืน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดที่มี ADR 3,412 บาท/คืน
ไม่เพียงแต่อัตราราคาห้องพักของโรงแรมใน กทม. เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ในเมืองท่องเที่ยวยิ่งขยายตัวสูงกว่า
SCB EIC เปิดเผยว่า ช่วง 11 เดือน (ม.ค. – พ.ย.) ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 32 ล้านคน โดย 5 อันดับแรก คือ
ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายของปีมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นช่วงไฮซีซั่น ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 36.2 ล้านคน ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวน 39.8 ล้านคน “สร้างรายได้ให้ภาคท่องเที่ยวกว่า 1.7 ล้านล้านบาท”
และคาดว่าในปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติขยับเป็น 39.4 ล้านคน จากการกลับมาของกลุ่มทัวร์จีน และนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ อาทิ ตะวันออกกลาง รัสเซีย อิสราเอล และอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง “คาดสร้างรายได้ให้ไทย 2 ล้านล้านบาท”
ส่วนนักท่องเที่ยวไทย ยังเติบโตได้ดี จากการเที่ยวเมืองรอง ตามมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ อาทิ ลดหย่อนภาษี โครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง ส่งผลให้ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยมีจำนวน 270.2 ล้านคน เติบโต 9% (YoY)
อย่างไรก็ดี ปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไทยราว ๆ 275.6 ล้านคน เติบโตแบบชะลอตัว 2% (YoY) จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการวางแผนใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว
รวมไปถึงการขยายตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศในคนไทย จากมาตรการฟรีวีซ่าและแพ็กเกจท่องเที่ยวต่างประเทศราคาถูกที่เจาะคนไทยต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงแรมในไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 72% ขณะที่ราคาห้องพักเติบโต 31% เมื่อเทียบกับปี 2566 (YoY) และเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปี 2562 ช่วงก่อนเกิดโควิด
ในปี 2568 คาดว่าธุรกิจโรงแรมจะมีมีแนวโน้มเติบโตเล็กน้อย จากสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยที่กลับสู่ภาวะปกติ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ยของทั้งประเทศอยู่ที่ 74% และราคาห้องพักเพิ่มขึ้น 5% (YoY) ซึ่งเหนือกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด ที่มีอัตราการเข้าพักประมาณ 70% และมีอัตราเติบโตของราคาห้องพักเฉลี่ย 4%
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันสูง จากซัพพลายห้องพักที่ทยอยเปิดให้บริการ สะท้อนจากตัวเลขใบอนุญาตการก่อสร้างโรงแรม ระหว่างปี 2564 – 2566 มีจำนวนกว่า 5,600 อาคารทั่วประเทศ
ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้โซนท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี รวมไปถึงจังหวัดท่องเที่ยวเจาะกลุ่มคนไทย เช่น น่าน เชียงราย จันทบุรี เป็นต้น
เบื้องต้น ตัวเลขการขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมทั่วประเทศ ช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค. – ก.ค.) ปี 2567 เพิ่มสูงถึง 1,200 อาคาร คิดเป็นการขยายตัว 38% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ทำให้การแข่งขันเพิ่มขึ้น และอาจเกิดภาวะซัพพลายล้นของห้องพักโรงแรมในบางพื้นที่ ซึ่งจะกดดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในอนาคต
และอาจทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้กลยุทธ์ด้านราคา ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาเฉลี่ยห้องพักตามไปด้วย
ทั้งนี้ การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ทำเลที่ตั้งและความสามารถในการปรับตัว โดยธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่
แห่งแรกคือ “อาคารอีสต์เอเชียติก” อาคารอายุ 124 ปีที่เคยเป็นที่ทำการบริษัทเดินเรือขนส่งจากยุโรป ปัจจุบันเจ้าของโครงการคือ AWC ตระกูลสิริวัฒนภักดี กำลังจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นโรงแรม “เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก”
อีกแห่งหนึ่งคือ “โรงภาษีร้อยชักสาม” อาคารอายุ 140 ปี อดีตศุลกสถานเก็บภาษีนำเข้าส่งออกสินค้า ปัจจุบันเจ้าของโครงการที่ได้สัมปทานคือ “แรบบิท โฮลดิ้งส์” (เครือบีทีเอส กรุ๊ป) จะเปลี่ยนอาคารมาเป็นโรงแรม “เดอะ แลงแฮม แบงคอก”
ทั้งสองอาคารจะมีการเก็บอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งถือเป็นงานที่ยากและต้องใช้เวลา ความประณีตในการทำงานสูงมาก
คาดว่าเราจะได้เห็นทั้ง 2 อาคารกลับมาให้บริการได้ในปี 2569
#อาคารโบราณ #รีโนเวต #ปรุงปรุงอาคาร #โบราณสถาน #อาคารเก่า #เจริญกรุง #ริมน้ำ #PositioningOnline
]]>ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 โรงแรม “แกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ” หัวมุมแยกรัชดา-พระราม 9 ได้เปลี่ยนชื่อและเชนบริหารอย่างเป็นทางการเป็น “อวานี รัชดา กรุงเทพฯ” เริ่มต้นบทใหม่ของโรงแรมที่อยู่มานานกว่า 30 ปีจนเป็นภาพจำของแยกนี้
แม้ว่าจะเปลี่ยนเชนบริหารเป็นอวานีในเครือ “ไมเนอร์ โฮเทลส์” แต่เจ้าของโรงแรมไม่ได้เปลี่ยนมือ ยังคงเป็นอสังหาริมทรัพย์ในมือ “CP LAND” เช่นเดิม เพียงแต่ได้ทีมบริหารใหม่ที่จะใช้ความเชี่ยวชาญมาอัปเกรดโรงแรมให้ทำรายได้ได้ดีขึ้น
“ชิดชนก พศินพงศ์” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอวานี รัชดา กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า โรงแรมนี้ถือเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีห้องพักรวม 402 ห้อง และมีจุดเด่นคือทำเลยุทธศาสตร์ ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT พระราม 9 ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เช่น จ๊อดแฟร์, RCA และอยู่ท่ามกลางแหล่งสำนักงาน ‘นิวซีบีดี’ ของกรุงเทพฯ
รวมถึงเจ้าของคือ CP LAND มีการบำรุงรักษาตึกเป็นอย่างดี รีโนเวตใหญ่รอบล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้ภาพรวมเชื่อว่าการเข้ามาบริหารของไมเนอร์จะช่วยดันศักยภาพโรงแรมได้ไม่ยาก
ชิดชนกกล่าวต่อว่า ขณะนี้ไมเนอร์ร่วมกับ CP LAND กำลังเคาะแผนการรีโนเวตโรงแรมเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะมี 4 ส่วนสำคัญที่จะมีการลงทุน ได้แก่
1.ล็อบบี้ – ปรับให้สนุกสดใส ลุคแอนด์ฟีลเป็นสไตล์แบบ “อวานี” สามารถมานั่งเล่น จิบกาแฟ คุยงานกันได้
2.ห้องพัก – เฉพาะกลุ่มห้องพัก Deluxe Room (ห้องขนาดเริ่มต้น) จำนวน 231 ห้อง จะมีการปรับใหม่เป็นสไตล์อวานี
3.ห้องประชุม – มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องประชุมแบบยืดหยุ่น สามารถเปิดปิดกำแพงเพื่อเปลี่ยนขนาดห้องได้ง่าย
4.IT Systems – ปรับเปลี่ยนระบบหลังบ้าน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในห้องพัก
ทั้งหมดนี้ยังไม่สรุปงบประมาณการลงทุน แต่จะเริ่มที่การปรับล็อบบี้ก่อนในช่วงปลายปี 2567 ตามด้วยการทยอยรีโนเวตห้องพักช่วงไตรมาส 2-3 / 2568 แผนการรีโนเวตทั้งหมดจะเสร็จเรียบร้อยภายในปลายปี 2568 โดยไม่มีการปิดโรงแรม จะใช้วิธีแบ่งโซนปรับปรุงเป็นส่วนๆ
ด้านกลุ่มลูกค้าของโรงแรมแห่งนี้ ชิดชนกอธิบายว่าแต่เดิมลูกค้า 30% เป็นกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยว 20% เป็นกรุ๊ปสัมมนา ประชุม ธุรกิจ (Corporate) 10% เป็นกลุ่มลูกเรือสายการบิน และมี 40% ที่เป็นลูกค้า “จองตรง” ผ่านเว็บไซต์โรงแรมหรือ OTA (Online Travel Agency)
ชิดชนกวางเป้าหมายว่า หลังรีแบรนด์เสร็จเรียบร้อยต้องการจะพลิกให้ลูกค้า 55% เป็นกลุ่มจองตรงด้วยตนเอง 10% กลุ่มลูกเรือสายการบินจะยังคงไว้ ส่วนที่เหลือ 35% เป็นลูกค้ากรุ๊ปทัวร์และกรุ๊ปสัมมนา แต่ถ้าเป็นไปได้ต้องการให้กรุ๊ปสัมมนามีมากกว่า เพราะปกติกรุ๊ปสัมมนาจะมีการใช้จ่ายอื่นๆ ครบวงจรกับโรงแรมด้วย เช่น ห้องประชุม จัดเลี้ยงอาหาร ซึ่งทำให้โรงแรมได้ยอดใช้จ่ายที่ดีกว่ากรุ๊ปท่องเที่ยว
“กรุ๊ปทัวร์ยังสำคัญและต้องมี เพราะโรงแรมเราใหญ่ถึง 402 ห้อง ยังต้องรับคณะทัวร์ และต้องดึงลูกค้าสายการบินไว้ให้ได้” ชิดชนกกล่าว “แต่ที่ต้องเพิ่มลูกค้าจองตรงเพราะทำรายได้ค่าห้องได้ดีกว่า และเป็นเทรนด์คนยุคใหม่จะหันมาเที่ยวเองมากขึ้น ถ้าเราไม่ทำตลาดไว้ก่อนก็จะไม่ได้ลูกค้าส่วนนี้”
นอกจากช่องทางการจองแล้ว โรงแรมยังต้องการจะดึงสัญชาติลูกค้าให้หลากหลาย เนื่องจากปัจจุบันลูกค้า 15% เป็นคนไทย 85% เป็นต่างชาติ ซึ่งชาติหลักที่มาเกิน 60% ของลูกค้าทั้งหมดคือคนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน
หลังจากนี้เชื่อว่าแบรนด์ “อวานี” จะเป็นจุดดึงดูดทำให้ลูกค้ากลุ่ม “ยุโรป” เข้ามามากขึ้น เพราะแบรนด์เป็นที่รู้จักและเครือข่ายไมเนอร์มีสมาชิกจากทั่วโลก จากเดิมกลุ่มยุโรปมีเพียง 10% น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ได้
รวมถึงอีกกลุ่มลูกค้าที่เล็งตลาดไว้คือการเจาะเข้าไปในกลุ่ม “ตะวันออกกลาง” ซึ่งจะเป็นการทำตลาดใหม่ในโซนรัชดาฯ ดึงลูกค้าออกจากโซนสุขุมวิท-นานา
ชิดชนกกล่าวสรุปว่า เป้าระยะสั้นในช่วงไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ อวานี รัชดา กรุงเทพฯ จะเพิ่มอัตราเข้าพักเป็น 85% ขึ้นไป ส่วนเป้าระยะยาวหลังรีแบรนด์เสร็จแล้ว 3 ปี หวังเพิ่มรายได้รวมของโรงแรมขึ้น 25-30% จากการเพิ่มอัตราราคาเฉลี่ยรายวัน (ADR) และการเพิ่มรายได้จากบริการจัดเลี้ยง-ห้องประชุมดังกล่าว
“ตอนนี้ที่อยากให้เกิดขึ้นคือ ทำให้คนจดจำได้ว่าโรงแรมตรงนี้ แยกนี้ เปลี่ยนเป็น ‘อวานี รัชดา กรุงเทพฯ’ แล้ว” ชิดชนกกล่าว
]]>“แคลเรนซ์ แทน” รองประธานอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการเอเชียแปซิฟิกของเครือโรงแรม “Hilton Worldwide Holdings” เจ้าของแบรนด์ดัง เช่น Conrad, Waldorf Astoria, Double Tree ฯลฯ กล่าวว่า บริษัทกำลังขยายการทำตลาดใน “จีน” อย่างต่อเนื่อง โดยเครือมีโรงแรมเปิดในประเทศจีนครบ 700 แห่งเป็นที่เรียบร้อย พร้อมตั้งเป้าที่จะเพิ่มโรงแรมในประเทศจีนอีกประมาณ 100 แห่งภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
ไฮไลต์ของแผนการเติบโตนี้คือ โรงแรมในเครือ Hilton ที่จะเปิดตัวในจีนภายใน 18 เดือนต่อจากนี้มีถึง 25% ที่พัฒนาโดยการแปลงโฉมตึก “ออฟฟิศ” ที่ยังว่างเปล่ามาใช้เป็น “โรงแรม”
ทาง Hilton ระบุว่าวิธีการ “ดัดแปลงเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่” แบบนี้เติบโตสูงขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19
แทนกล่าวว่า เหตุผลเพราะพื้นที่อาคารสำนักงานในจีนมีสภาวะล้นตลาด และฝั่งรีเทลก็ไม่ต่างกันมากนัก ทำให้เกิดโอกาสสำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมขึ้น
“แลนด์ลอร์ดจะบอกว่า ‘ถ้าฉันให้เช่าออฟฟิศไม่ได้ จะเอาที่ไปทำอะไรได้บ้าง?’ เจ้าของตึกส่วนใหญ่จึงให้ผู้ประกอบการเช่า และพวกเขาเลือกติดต่อ Hilton เพื่อไปแปลงตึกเป็นโรงแรม” แทนกล่าว
อัตราการเช่าออฟฟิศในจีนขณะนี้ถือว่าตกต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ และทำให้ราคาค่าเช่าตกต่ำลงไปด้วย ข้อมูลจาก Colliers International Group ชี้ให้เห็นตัวอย่างจากเมืองเซี่ยงไฮ้ พบว่าอัตราการเช่าออฟฟิศระดับ ไพรม์อยู่ที่ 85% เท่านั้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 ส่วนข้อมูลจาก Cushman & Wakefield ก็คาดการณ์ไว้ว่าอัตราการเช่าคงยังต่ำในระดับนี้ไปอีกอย่างน้อยจนถึงเดือนมีนาคม 2025
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่ภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมของจีนกลับ ‘บูม’ ต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 เพราะคนจีนเลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่าออกต่างประเทศอย่างเคย
Lodging Econometrics เปิดเผยข้อมูลว่าปัจจุบันจีนยังมีโรงแรมอีก 3,815 แห่งอยู่ในไปป์ไลน์ บางส่วนอยู่ระหว่างก่อสร้างและบางส่วนอยู่ในแผนพัฒนา ด้วยจำนวนเท่านี้ทำให้โรงแรมที่จะเปิดใหม่ 1 ใน 4 ของโลกจะมา กระจุกตัวอยู่ในประเทศจีน เป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทั้งนี้เมืองยอดฮิตที่จะมีการเปิดโรงแรมใหม่มากที่สุดคือ “เฉิงตู” และ “เซี่ยงไฮ้” เป็น 2 ใน 5 เมืองของโลกนี้ที่จะมีโรงแรมใหม่เปิดมากที่สุด
แทนแห่ง Hilton กล่าวว่า “ออฟฟิศ” บางส่วนที่ถูกเปลี่ยนการใช้งานจากสำนักงานเป็น “โรงแรม” นั้นมักจะเป็นออฟฟิศเกรด A- หรือเกรด B แปลว่าปกติพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ค่าเช่าได้เท่ากับตึกระดับพรีเมียมอยู่แล้ว จึงทำให้การเจรจาต่อรองเพื่อมาเปลี่ยนเป็นโรงแรมง่ายขึ้น ส่วนใหญ่จะทำสัญญาเช่านาน 15 ปี พร้อมมีช่วงเวลาฟรีค่าเช่าระหว่างตกแต่งสถานที่ด้วย
ตัวอย่างโรงแรมที่เปลี่ยนมาจากอาคารสำนักงานและเปิดให้บริการแล้ว เช่น “Hilton Garden Inn Shanghai Lujiazui” ตั้งอยู่ในตึกความสูง 38 ชั้น ย่านผู่ตง เมืองเซี่ยงไฮ้ แต่เดิมเคยเป็นออฟฟิศมาก่อน ก่อนที่เจ้าของจะตัดสินใจเปลี่ยนบางส่วนของตึกเป็นโรงแรม หลังจากใช้เวลาดีไซน์และปรับปรุงใหม่ 6 เดือน โรงแรมขนาด 150 ห้องก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายน 2023
แทนกล่าวว่า การเปลี่ยนการใช้งานทำเวลาก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วคืออีกข้อดีหนึ่ง เพราะการเปลี่ยนออฟฟิศมาเป็นโรงแรมจะใช้เพียงผนังน็อกดาวน์เพื่อกั้นห้อง ทำให้การก่อสร้างใช้เวลาไม่เกิน 18 เดือนก็พร้อมให้บริการได้ ต่างจากการสร้างตึกโรงแรมขึ้นมาใหม่ในจีนที่ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี
แม้ว่าการเปลี่ยนออฟฟิศเป็นโรงแรมดูจะทำให้เจ้าของตึกได้เข้าสู่ตลาดที่มีอนาคตกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยงเสียทีเดียว
สภาการท่องเที่ยวและการเดินทางโลกประเมินว่า “จีนเที่ยวจีน” คนจีนเที่ยวในประเทศปี 2024 นี้จะเติบโตขึ้น 11% เทียบกับปี 2019 แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าจีนยังไม่กลับมาเติบโตมากนัก
Hilton เองก็เผชิญสถานการณ์เดียวกัน เพราะแม้ว่าอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) โดยรวมของเครือในเอเชียแปซิฟิกจะโตขึ้น 11% เมื่อช่วงไตรมาส 2/2024 แต่เฉพาะตลาดจีนกลับตกลงไป -5%
“การเดินทางของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าจีนยังไม่มากพอ” คริสโตเฟอร์ นาสเซ็ตตา ซีอีโอ Hilton กล่าว “ยังมีไฟลท์บินจากยุโรป สหรัฐฯ และส่วนต่างๆ ของโลกเข้ามาประเทศจีนไม่เพียงพอ คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก”
กระนั้นก็ตาม ปัจจุบันจำนวนห้องพักโรงแรมต่อจำนวนประชากรของจีนก็ยังน้อยกว่าในสหรัฐฯ ถึง 10 เท่า
“โอกาสลุ้นของจีนและเอเชียแปซิฟิกคือ การเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มที่เรายังเข้าไม่ถึงในการดึงเงินออกมาใช้จ่าย” แทนกล่าว “การแข่งขันตอนนี้คือการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากลูกค้ากลุ่มชนชั้นกลางมาให้ได้ ไม่ว่าจะในแง่การเป็นแบรนด์ในใจและการดึงเม็ดเงิน การเติบโตของกลุ่มนี้ในเอเชียถือว่ามหาศาลและซับซ้อน และเราต้องชนะการแข่งขันเท่านั้น” แทนกล่าวปิดท้าย
]]>“วิเวก บัลลา” กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเริ่มทำตลาดแบรนด์ “Garner” ในประเทศไทย โดยแบรนด์ดังกล่าวเป็นแบรนด์ใหม่ของ IHG ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ปัจจุบันมีให้บริการแล้ว 4 แห่งในสหรัฐฯ และอยู่ในไปป์ไลน์การเปิดตัวอีก 79 แห่งทั่วโลก เฉพาะในเอเชียจะมีการเปิดโรงแรม Garner 3 แห่งแรกภายในสิ้นปีนี้ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
ลักษณะเด่นของแบรนด์ Garner คือการเข้ามาอุดช่องว่างในตลาดให้กับ IHG เพราะเป็นแบรนด์โรงแรมระดับกลางซึ่งช่วยตอบโจทย์ลูกค้าผู้เข้าพักที่ต้องการเฉพาะห้องพักในระดับมาตรฐาน นอนพักสบาย ไวไฟแรง และสามารถเลือกรับหรือไม่รับประทานอาหารเช้าได้
รวมถึงจะตอบโจทย์กลุ่มเจ้าของโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมอิสระไม่มีแบรนด์ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนมืออาชีพช่วยบริหาร เพราะมาตรฐานและเงื่อนไขด้านโครงสร้างพื้นฐานของ Garner จะยืดหยุ่นกว่า ช่วยให้โรงแรมอิสระสามารถปรับปรุงห้องพักเพื่อมาอยู่ในเชนของ IHG ได้ง่ายขึ้น เช่น ห้องพักขนาดขั้นต่ำเพียง 15 ตารางเมตร, มีห้องพักขั้นต่ำเพียง 150 ห้อง, ไม่จำเป็นต้องมีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และร้านอาหารที่เปิดครบทุกมื้อ
ในแง่งานบริการใน Garner มีการลดทอนลงมาเช่นกัน เช่น Welcome Drink ในลักษณะบริการตนเอง, มื้อเช้าแบบ Grab & Go, เปลี่ยนจากบริหารรูมเซอร์วิสเป็น ‘Garner Shop’ ซึ่งอาจจะตั้งเป็นเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติแทนการใช้พนักงาน
ทั้งหมดจะทำให้ Garner บีบราคาลงมาได้ต่ำกว่า Holiday Inn Express ซึ่งปัจจุบันเป็นเทียร์ต่ำสุดของ IHG ในโรงแรมระดับกลาง ตัวอย่างราคาของ Holiday Inn Express Central Pattaya จะอยู่ที่ 1,500-2,500 บาทต่อคืน แบรนด์ใหม่นี้จะมาช่วยอุดช่องว่างในระดับราคาที่ต่ำกว่านั้น แต่ยังอยู่เหนือกว่ากลุ่มบัดเจ็ทโฮเทล
วิเวกกล่าวถึงเทรนด์การเปลี่ยนจากโรงแรมอิสระที่ไม่ใช้เชนมาเป็นเชนบริหาร (Conversion) ด้วยว่า มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลกเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 โดยข้อมูลจาก Horwath และ Lodging Economics พบว่า ย้อนไปในปี 2562 อัตราโรงแรมที่เป็นสัญญา Conversion อยู่ที่ 15% จากสัญญาจ้างเชนบริหารทั้งหมด แต่ในปี 2566 อัตราส่วนเพิ่มเป็น 33% และปี 2567 ปัจจุบันเพิ่มเป็น 40%
หากเจาะลึกเฉพาะตลาดประเทศไทย ในปี 2562 อัตราโรงแรมที่เป็นสัญญา Conversion อยู่ที่ 21% แต่ในปี 2566 อัตราส่วนเพิ่มเป็น 58% เห็นได้ว่าเทรนด์ของโรงแรมอิสระที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนบริหารเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยนับว่าเกินครึ่งของตลาด สูงกว่าการทำสัญญากับกลุ่มโรงแรมเปิดใหม่
วิเวกอธิบายว่า สาเหตุที่โรงแรมอิสระเริ่มสนใจเปลี่ยนมาใช้เชนบริหาร เพราะการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มบริษัทมักจะควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า เช่น การเจรจาต่อรองค่าคอมมิชชันกับ OTA (Online Travel Agency) และการเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างกว่า รวมถึงเทรนด์ของลูกค้าต้องการเข้าพักกับโรงแรมที่ใช้เชนบริหารมากขึ้น
ทั้งนี้ การทำสัญญา Conversion เกิดขึ้นในทุกๆ เซ็กเมนต์โรงแรม เพียงแต่ IHG มีพอร์ตบริหารเกินครึ่งหนึ่งเป็นโรงแรมระดับกลาง ได้แก่ Holiday Inn และ Holiday Inn Express ทำให้เห็นโอกาสว่ายังมีช่องว่างตลาดอีก เพราะโรงแรมอิสระในประเทศไทยมีมากกว่า 1,400 แห่ง ตามข้อมูลจาก STR
ด้านเทรนด์ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย วิเวกระบุว่า ครึ่งปีแรก 2567 อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ทั้งหมดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อน เป็นผลจากเกิดเปิด Visa-Free ให้กับหลายประเทศ จึงคาดการณ์ว่าตลอดปีนี้อัตราการเติบโตของ RevPAR จะยังคงเป็นตัวเลขสองหลักได้
โดยจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็น ภูเก็ต เกาะสมุย และกรุงเทพฯ และมีค่าเฉลี่ยการเข้าพักทริปละ 3 คืนขึ้นไป ส่วนจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทยจะเป็นเมืองหัวหิน พัทยา ระยอง และเขาใหญ่ และมีค่าเฉลี่ยเข้าพักทริปละ 2 คืน
แนวโน้มในอนาคต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามายังประเทศไทยคาดจะเติบโตสะสม 14.8% ภายในปี 2571 ทำให้การเติบโตด้านการท่องเที่ยวน่าจะยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2-3 ปีจากนี้
สำหรับ IHG ปัจจุบันมีแบรนด์โรงแรมที่เปิดบริการแล้วในไทยทั้งหมด 9 แบรนด์ รวมทั้งหมด 39 แห่ง และยังมีโรงแรมในไปป์ไลน์ระหว่างก่อสร้างหรือปรับปรุงอยู่อีก 35 แห่งที่จะเปิดบริการในอนาคต
]]>“เดฟ สตีเวนสัน” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ Airbnb ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า บริษัทกำลังหากลยุทธ์เพื่อชิงนักท่องเที่ยวกลับมาจากธุรกิจโรงแรม ด้วยการให้ “บริการเสริม” เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการเข้าพักที่ Airbnb
ตัวอย่างบริการเสริมดังกล่าว เช่น เครื่องใช้ส่วนตัวจากแบรนด์ลักชัวรี, พนักงานทำความสะอาดประจำวัน, เติมของในตู้เย็น, หมอนวดส่วนตัว, บริการสปา, เชฟส่วนตัว, บริการเช็กอิน-เช็กเอาต์ที่เรียบง่าย
พูดง่ายๆ คือบริการเสริมที่ Airbnb กำลังพิจารณาคือบริการที่การพักใน “โรงแรม” มักจะมีให้อยู่แล้วนั่นเอง
ช่วงที่ผ่านมา Airbnb มีกระแสเชิงลบจากลูกค้าที่เข้าพักมากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นหลักที่ถูกโจมตีก็คือ “ค่าทำความสะอาด” (Cleaning Fee) ที่ซ่อนอยู่และจะมาปรากฏในช่วงสุดท้ายของการจองที่พัก และหลายครั้งที่ค่าทำความสะอาดกลับสูงกว่าราคาที่พักเสียอีกเพราะโฮสต์ Airbnb สามารถตั้งราคาเองได้ตามอำเภอใจ ทำให้ลูกค้าต้องเสียอารมณ์ที่ราคา ‘ไม่ตรงปก’ กับที่เห็นในหน้าแรก
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ระยะหลังโฮสต์ Airbnb มีข้อเรียกร้องมากขึ้นกับแขกที่มาพัก ด้วยการระบุ “รายการงานบ้านที่ต้องปฏิบัติก่อนเช็กเอาต์” งานบ้านที่ว่านี้ เช่น ล้างแก้วล้างจาน ทิ้งขยะ เก็บของในตู้เย็นออกมาทิ้ง กวาดพื้น ทั้งที่โฮสต์มีการเก็บค่าทำความสะอาดไปแล้ว แต่แขกกลับถูกบังคับให้ทำความสะอาดที่พักเป็นบางส่วนด้วย
เมื่อลูกค้าหลายคนเผชิญประสบการณ์เหมือนถูกเอาเปรียบจาก Airbnb จึงกลับไปใช้บริการโรงแรมเหมือนเดิม เพราะไม่ต้องจ่ายค่าทำความสะอาดเพิ่ม และไม่ต้องเก็บห้องให้เรียบร้อยก่อนกลับ
ข้อได้เปรียบของ Airbnb ที่มีเหนือโรงแรมนั้นปกติจะเป็นประเด็นเรื่องลักษณะที่พัก หลายคนเลือกใช้ Airbnb เพราะต้องการพักใน “บ้าน” ที่มีห้องนอนหลายห้องสำหรับการเดินทางเป็นครอบครัว มีครัวให้ทำอาหารได้เพราะจะพักระยะเวลานาน มีความเป็นส่วนตัวกว่าเพราะไม่มีรีเซปชันหรือพนักงานโรงแรมสอดส่อง หรือบางคนก็เลือกเพื่อจะได้พักในบ้านแบบท้องถิ่น (local) ได้ประสบการณ์มากกว่าอยู่ในโรงแรม
จึงน่าสนใจว่าการเพิ่มบริการเสริมของ Airbnb ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อกำจัดความรู้สึกไม่สะดวกเหล่านี้ออกไป จะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและแก้เกมได้จริงๆ หรือไม่
]]>ย้อนประวัติ “เครืออิตัลไทย” เริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจโรงแรมครั้งแรกในปี 2508 จากการเข้าซื้อโรงแรม “นิภาลอร์ด” ที่พัทยา ก่อนที่ธุรกิจจะค่อยๆ เติบโตจนมีการเปิดตัวโรงแรม “อมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ” ในปี 2526 เป็นหมุดหมายสำคัญของการสร้างแบรนด์ที่จะเป็นเชนโรงแรมในอนาคต
กลุ่มอมารีมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” (ONYX) เมื่อปี 2553 เพื่อจะขยายตัวในตลาดฮอสพิทาลิตี้แบบเต็มสูบ มีการเข้าซื้อแบรนด์ในต่างประเทศและการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเพิ่ม เดินหน้าไปสู่เป้าหมายเป็น “The Best Medium-size Hospitality in South East Asia” หรือบริษัทขนาดกลางด้านธุรกิจฮอสพิทาลิตี้ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันออนิกซ์มีทั้งหมด 4 แบรนด์หลัก รวมโรงแรมในเครือที่เปิดบริการแล้วและที่จะเปิดภายในปี 2567 ทั้งหมด 40 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย จีนและฮ่องกง ลาว มัลดีฟส์ และศรีลังกา พร้อมวางเป้าหมายจะขยายจำนวนโรงแรมเพิ่มเป็น 70 แห่ง ภายในปี 2571 และอาจจะมีการเปิดตลาดใหม่เพิ่มอีกได้ในอนาคต
4 แบรนด์ของ “ออนิกซ์” มีการกระจายเซ็กเมนต์และเป้าหมายลูกค้าไว้ ดังนี้
อมารีเป็นแบรนด์โรงแรมเก่าแก่ที่สุดในพอร์ต และน่าจะเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักคุ้นชื่อมากที่สุดจากสาขาที่มีชื่อเสียงอย่าง “อมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ” หรือ “อมารี กรุงเทพฯ” (*ชื่อเดิม: อมารี วอเตอร์เกต) ปัจจุบันแบรนด์อมารีมีสัดส่วนจำนวนห้องพักคิดเป็น 49% ของพอร์ตบริษัท
“ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้แบรนด์อมารีค่อนข้างจะสับสนว่าแบรนด์จะมีจุดยืนความโดดเด่นอย่างไร
แต่ล่าสุดบริษัทมีการรีแบรนด์ใหม่ให้ชัดเจนว่าอมารีจะเป็น “MICE High-end Hotel” ความหมายคือเป็นโรงแรมระดับบนที่รองรับการประชุมสัมมนาและอีเวนต์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอมารีที่อยู่ในเมือง (urban) หรืออมารีในทำเลพักผ่อน (resort) ก็จะมีห้องประชุมไว้รองรับการสัมมนา
นอกจากนี้บริษัทยังอดงบเพื่อทำการตลาดแบรนด์ให้มีชีวิตชีวามากขึ้นในปีนี้ “เราทำงานหนักมากเพื่อให้แบรนด์อมารียังดูทันสมัย เป็นแบรนด์เก่าแก่ก็จริงแต่ต้องไม่เก่าเก็บ” ยุทธชัยกล่าว
ชามาเป็นแบรนด์เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ที่ออนิกซ์ซื้อกิจการเข้ามาในปี 2553 หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในบริษัท ปัจจุบันชามามีสัดส่วนจำนวนห้องพักคิดเป็น 32% ของพอร์ตบริษัท
ยุทธชัยกล่าวว่า ลักษณะธุรกิจชามาจะเป็นแบบ ‘Room Only’ เพราะเน้นการเช่าพักระยะยาว หากบางสาขามีร้านอาหารจะใช้การจัดจ้างจากภายนอก (Outsource) มาบริการ ซึ่งทำให้ชามาเป็นธุรกิจที่ได้กำไรสูง เสนอแผนรับบริหารให้กับลูกค้าได้ง่าย เพราะสามารถ plug-in สวมแบรนด์เข้าไปในอะพาร์ตเมนต์เดิมของลูกค้าและเปลี่ยนเป็นเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ได้ไม่ยาก
เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเพื่อมาตอบโจทย์เป็นโรงแรมระดับกลางบน ปัจจุบันโอโซ่มีสัดส่วนจำนวนห้องพักคิดเป็น 17% ของพอร์ตบริษัท
สโลแกนของโอโซ่คือ “Unpack Good Vibes” เพราะต้องการให้เป็นโรงแรมบรรยากาศสดใส สนุกสนาน เข้าถึงง่าย ภายในมีกิจกรรมให้ทำ ไม่น่าเบื่อ และมาในราคาคุ้มค่า ปัจจุบันมีโรงแรมที่เป็นเรือธงคือ “โอโซ่ นอร์ธ พัทยา” โรงแรมขนาด 400 ห้อง
“ความฝันของเราคืออยากปั้นให้โอโซ่เป็นแบรนด์ที่คนไทยชอบและภูมิใจ เมื่อขยายไปในต่างประเทศก็อยากจะตามไปพัก” ยุทธชัยกล่าว
ปัจจุบันแบรนด์นี้มีเพียงแห่งเดียวคือ “โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ” บนถนนวิทยุ คอนเซ็ปต์ของแบรนด์คือเป็นโรงแรมลักชัวรี เรียบหรู มีจำนวนห้องพักไม่มาก
ยุทธชัยมองว่าแบรนด์นี้ยังสามารถเติบโตได้ในทำเลอื่น โดยบริษัทจะลงทุนเองเพื่อขยายในจังหวัดภูเก็ต (หาดป่าตอง) และพัทยา คาดว่าจะสรุปการลงทุนได้ในปี 2568
ลักษณะธุรกิจของออนิกซ์มีทั้งการลงทุนเองและการรับจ้างบริหาร โดยแบ่งพอร์ตโฟลิโอตามประเทศที่มีการขยายธุรกิจ ดังนี้
เห็นได้ว่าตลาดต่างประเทศหลักของออนิกซ์ก็คือ “มาเลเซีย” ซึ่งยุทธชัยมองว่าออนิกซ์คือเชนโรงแรมจากประเทศไทยแห่งแรกๆ ที่เน้นเจาะตลาดนี้ โดยบริษัทสามารถสร้างการเติบโตในมาเลย์ได้ถึง 250% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีโรงแรมที่เปิดตัวแล้วและที่กำลังจะเปิดปีนี้รวม 7 แห่ง เช่น “อมารี กัวลาลัมเปอร์” “โอโซ่ เมดินี” “ชามา ซัวซานา ยะโฮร์ บาห์รู”
ส่วนตลาดใหม่ๆ ที่มีความเป็นไปได้คือ “ญี่ปุ่น” โดยยุทธชัยระบุว่าอยู่ระหว่างพูดคุยเจรจากับเจ้าของโครงการ รวมถึงมีแนวคิดว่าบริษัทอาจสนใจร่วมลงทุน (Joint Venture: JV) ในกิจการที่ญี่ปุ่น
ทั้งนี้ การหาตลาดใหม่ของออนิกซ์ จะเน้นเฉพาะในเขตเอเชียแปซิฟิกและเน้นตลาดที่ไม่ไกลเกินไปนักโดยวัดจากการบินพิสัยกลางระยะไม่เกิน 5 ชั่วโมง เพราะไม่ต้องการออกนอกพื้นที่แข่งขันที่ถนัด
“จุดเด่นของเครือเราซึ่งเป็นบริษัทขนาดกลางคือการดูแลทุกสัญญาอย่างละเอียด มองแต่ละสัญญาว่าเรามาช่วยให้เจ้าของโครงการ ‘ทำกำไร’ ไม่ใช่ทำสัญญาเพื่อเราจะเก็บค่าธรรมเนียมในการบริหารอย่างเดียวแล้วจบ” ยุทธชัยกล่าว
]]>OYO Hotels and Homes เป็นบริษัทในเครือ Oravel Stays จากอินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีแบ็กอัพรายใหญ่คือ SoftBank จากญี่ปุ่น ที่ผ่านมาบริษัท OYO พยายามจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินเดียมาแล้ว 2 ครั้ง แต่กลับถอนตัวและยกเลิกไปทั้งหมด
ล่าสุดมีรายงานว่า OYO กำลังเข้าสู่การระดมทุนรอบใหม่ แต่ถูกตีมูลค่าบริษัทลดลงเหลือเพียง 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงถึง 74% จากเมื่อปี 2021 ซึ่งบริษัทเคยมีมูลค่าสูงถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นรอบที่มี Microsoft มาร่วมลงทุนด้วย
The Economics Times รายงานว่า Ritesh Agarwal ผู้ก่อตั้ง OYO กำลังพูดคุยกับนักระดมทุนที่เป็นผู้มีความมั่งคั่งสูงอยู่หลายราย โดยสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า หนึ่งในนั้นที่แสดงความสนใจคือ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมาเลเซีย
รายละเอียดการลงทุนยังพูดคุยกันอยู่ แต่ทาง OYO คาดการณ์ว่าการระดมทุนรอบนี้จะได้เงินลงทุนรวม 70-80 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการระดมทุนรอบนี้จะเป็นการ ‘รีไฟแนนซ์’ หนี้สินของบริษัท
ย้อนกลับไปในเส้นทาง IPO ของบริษัท OYO บริษัทเคยยื่นไฟลิ่งขอจดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2021 ก่อนที่ SoftBank ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะตัดสินใจลดการตีมูลค่าบริษัทนี้ลงจากเดิม 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเพียง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ต่อมา OYO ต้องทำเอกสาร IPO ใหม่ ลดขนาดบริษัทลงประมาณ 40-60% และยื่นไฟลิ่งใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนเมษายน 2023
หลังจากนั้นกลับมีข่าวออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ว่าบริษัทได้ถอนตัวจากการเปิด IPO เป็นครั้งที่สอง ก่อนที่ทางตลาดหุ้นอินเดียจะยืนยันเองในเดือนนี้ว่า OYO ได้ถอนตัวไปแล้วจริงๆ
ปัจจุบัน SoftBank มีหุ้นอยู่ใน OYO เป็นสัดส่วน 46% ตามด้วยผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Ritesh Agarwal ถือหุ้น 33% ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนรายอื่นๆ เช่น Lightspeed, Peak XV Partners
OYO มีการดำเนินธุรกิจในไทยด้วยเช่นกัน โดยเข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ใช้โมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ คือให้ใช้แบรนด์สวมในโรงแรมเดิม รวมถึงใช้ระบบบริหารและจองห้องพักของ OYO เป้าหมายของบริษัทคือบรรดาโรงแรมบัดเจ็ทขนาดเล็กที่เข้าถึงลูกค้ายากเมื่อไม่มีแบรนด์ นอกจากนี้ ปีนี้บริษัทยังแตกแบรนด์ใหม่ชื่อ ‘Palette’ มาเจาะตลาดโรงแรมระดับกลางในไทยด้วย
]]>“ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ประกาศแผนการลงทุนช่วงปี 2568 ตั้งงบลงทุนรวม 4,800 ล้านบาท เพื่อรีโนเวตและก่อสร้างโรงแรมใหม่ 4 แห่ง ดังนี้
โดยโครงการที่น่าสนใจคือโรงแรม “EQ Phuket” เพราะจะเป็นโครงการร่วมลงทุน (JV) กับกลุ่มทุนจากมาเลเซียผู้เป็นเจ้าของโรงแรมหรู “EQ Kuala Lumpur” ถือเป็นโครงการแรกที่ออนิกซ์อยู่ในฐานะเจ้าของร่วม และไม่ได้ใช้เชนโรงแรมของตนเองในการบริหาร แต่เลือกที่จะใช้เชนโรงแรมของบริษัทอื่น
“โครงการนี้เราจะเป็นแลนด์ลอร์ดเพราะเป็นที่ดินของเราเอง นำมาทดลองโมเดลธุรกิจที่มีผู้ร่วมลงทุนและเป็นผู้บริหารโรงแรมให้เรา ซึ่งทำให้เราประหยัดงบลงทุนและลดความเสี่ยง” ยุทธชัยกล่าว “เราเลือกกลุ่ม EQ เพราะเขามีสถิติที่ดีในการบริหาร EQ Kuala Lumpur และเจ้าของยังคงบริหารเอง ทำเอง และมีแพสชั่นที่จะมาเริ่มลงทุนในประเทศไทย”
สำหรับเครือออนิกซ์เป็นเครือโรงแรมที่มีทั้งการลงทุนเอง และรับจ้างบริหารให้กับเจ้าของ โดยมีแบรนด์โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 4 แบรนด์เพื่อตอบสนองลูกค้า ได้แก่ อมารี (Amari), โอโซ่ (OZO), ชามา (Shama) และ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ (Oriental Residence)
ปัจจุบันมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 40 แห่ง สัดส่วน 53% อยู่ในประเทศไทย ส่วนที่เหลือ 47% อยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย จีน ฮ่องกง ลาว มัลดีฟส์
ยุทธชัยกล่าวว่า ปี 2567 ถือเป็นเป็นปีที่ดีมากของการท่องเที่ยว ทำให้ออนิกซ์คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 9,400 ล้านบาท เติบโต 19% จากปีก่อน และทำกำไรสุทธิมากกว่า 1,800 ล้านบาท เติบโต 28% จากปีก่อน
“สายการบินกลับมาบินเกิน 50-60% ของจำนวนเที่ยวบินเดิมก่อนโควิด-19 แล้ว และพอเข้าไตรมาส 2 คนจีนเริ่มกลับมาเที่ยวเมืองไทย จนตอนนี้เป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ในเครือออนิกซ์ รองลงมาอันดับ 2 คือคนไทย และอันดับ 3 คือรัสเซีย” ยุทธชัยกล่าว “ไตรมาสแรกเราทำรายได้ทะลุเป้าไป 19-20% เลย ถือว่าได้ตุนรายได้ไว้ก่อน ปัจจุบันอัตราการเข้าพักของเราทุกโรงแรมในไทยแตะ 80-85% หมด”
ส่วนโรงแรมที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จและเปิดบริการภายในปี 2568 ของเครือออนิกซ์มีทั้งหมด 9 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศมาเลเซีย 3 แห่ง จีนและฮ่องกง 2 แห่ง ไทย 2 แห่ง ลาว 1 แห่ง และศรีลังกา 1 แห่ง ตัวอย่างโรงแรมที่จะเปิดบริการเร็วๆ นี้ เช่น
ยุทธชัยกล่าวต่อว่า ถึงแม้การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดี แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังทำให้ต้องระมัดระวังการลงทุน มีการชะลอเวลาออกไปบ้าง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง หนี้สาธารณะสูง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ตตามนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ยุทธชัยมองว่าโครงการนี้น่าจะเป็น ‘การกระตุ้นระยะสั้น’ ให้กับเศรษฐกิจไทยได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ แต่มองระยะยาว ผลจากโครงการจะเป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศมากกว่า
“เศรษฐกิจไทยปีนี้แย่มาก จีดีพีอาจจะไม่ถึง 2% พอดีในเครือเรามีธุรกิจก่อสร้างด้วย ทำให้เราเห็นว่าตลาดแย่มาก จากงบเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้าไป 6 เดือน ซ้ำเติมจากช่วงโควิด-19 ที่แย่มาแล้ว 3 ปี แล้วยังมีสงครามทำให้ต้นทุนการก่อสร้างทุกอย่างพุ่งขึ้นมาอีก ผมว่ารวมๆ แล้วเศรษฐกิจไทยจะยังท้าทายไปแบบนี้อีก 2-3 ปี” ยุทธชัยกล่าว
]]>