ธุรกิจโรงแรม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 15 Oct 2025 07:28:09 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 โรงแรมเจาะทัวร์จีน จ่อ ‘ขายกิจการ’ หลายแห่ง รับนักท่องเที่ยวจีนหดหนัก https://positioningmag.com/1542806 Wed, 15 Oct 2025 03:16:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542806 สถานการณ์คนจีนเที่ยวไทย ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2568 นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย มีจำนวน 3.41 ล้านคน ลดลงราว 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY)

อัตราการเข้าไทยที่หดตัว “กดดัน” ธุรกิจโรงแรมที่เจาะนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีน

โรงแรมเจาะทัวร์จีน ยอดร่วง 50%

เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) เปิดเผยว่า ปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยราว 5 ล้านคน ลดลงจากปี 2567 ที่มี 7 ล้านคน และต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด (ปี 2562) ที่เคยมีจำนวน 10 ล้านคน

ส่งผลให้โรงแรมที่พึ่งพาทัวร์จีน ยอดเข้าพักลดลง 50% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่หัวเมืองหลัก อาทิ กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต แรงกระแทกสำคัญมาจากปัญหาความเชื่อมั่นด้านปลอดภัย และพฤติกรรมการท่องเที่ยวคนจีนที่เปลี่ยนมาเที่ยวเอง (FIT) มากขึ้น

“โรงแรมที่พึ่งพาทัวร์จีน โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็ก เริ่มขาดสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น จากรายได้ลดลง แต่ต้นทุนคงที่ อาทิ ค่าพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ”

เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA)
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA)

พบโรงแรมเจาะทัวร์จีนขายกิจการโรงแรมเพิ่ม

วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการกลุ่ม บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG ผู้บริหารโรงแรมเครือเดอะควอเตอร์ กล่าวว่า แม้ปัจจุบันจะมีนักท่องเที่ยวรัสเซีย อินเดีย และยุโรปเข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถทดแทนนักท่องเที่ยวจีนได้ทั้งหมด

ขณะที่ช่วงวันหยุดยาว Golden Week ของจีน ปี 2568 มียอดเข้าพักลดลง 15% (YoY) ปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว บางส่วนเลือกเที่ยวในประเทศ ส่วนกลุ่มที่ออกมาต่างประเทศก็เลือกไปประเทศอื่นแทนไทย เช่น กลุ่มงบน้อยอาจเลือกเวียดนาม กลุ่มงบประมาณสูงเลือกไปญี่ปุ่น เป็นต้น

วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการกลุ่ม บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG

เมื่อถามถึงโรงแรมที่เจาะนักท่องเที่ยวจีน วุฒิพล ให้ความเห็นว่า กลุ่มที่ปรับตัวรับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่ม FIT ยังไปได้ดีในหลายพื้นที่ อาทิ สีลม ศาลาแดง ซึ่งได้อานิสงส์จากการเปิดตัว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพาร์ค

แต่หากยังเจาะเพียงทัวร์จีน ค่อนข้างลำบาก เพราะปัจจุบัน ทัวร์จีนหายไป และทดแทนด้วยกลุ่ม FIT เกือบหมดแล้ว

“เราพบว่า โรงแรมเจาะทัวร์จีน ขนาด 100-200 ห้อง หลายแห่ง เริ่มเข้ามาเสนอขายโรงแรมให้กับบริษัทฯ จากช่วงก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน”

]]>
1542806
ธุรกิจโรงแรมไทย ไม่สิ้นเสน่ห์ PCL แนะเร่งยกระดับมาตรฐานสากล เจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพ https://positioningmag.com/1532637 Wed, 06 Aug 2025 10:13:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532637 ปฐม ศิริวัฒนประยูร ประธานกรรมการบริหารบริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด หรือ PCL กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะสั่นคลอนจากหลายปัจจัย เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ และความไม่มั่นใจของนักท่องเที่ยวจีน

ทว่าประเทศไทยยังคงเป็นปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยจุดเด่นยังคงเป็น “ความหลากหลาย” ทางภูมิประเทศ วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์

สะท้อนจากสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย พบว่า

  • ในอดีต (ปี 2553-2562) เติบโต 150% แม้มีวิกฤตการเมือง ภัยพิบัติ และโควิด
  • ปี 2567-2576 ประเมินว่า ไทยน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 88 ล้านคน (จากปี 2568 ประเมินไว้ที่ 34.5 ล้านคน)

“เพียงดึงนักท่องเที่ยวจากเอเชีย 2% ที่เดินทางออกนอกประเทศมายังประเทศไทยได้ ไทยก็จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหลาย 10 ล้านคน”

Raintree Khao Yai

ขณะที่ปัจจุบัน ข้อมูลจาก STR ระบุว่า แม้อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate : OCC) ของโรงแรมไทยจะน้อยลง แต่ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate : ADR) กลับเติบโตขึ้น ดังนี้

โรงแรม 3 ดาว
  • อัตราการเข้าพัก 69.6% เพิ่มขึ้น 0.8%yoy
  • ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน 2,040 บาท เพิ่มขึ้น 17.1%yoy
โรงแรม 4 ดาว
  • อัตราการเข้าพัก 67.8% ลดลง 2.9%yoy
  • ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน 4,430 บาท เพิ่มขึ้น 10.5%yoy
โรงแรม 5 ดาว
  • อัตราการเข้าพัก 67% ลดลง 5%yoy
  • ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน 7,267 บาท เพิ่มขึ้น 6%yoy
ปฐม ศิริวัฒนประยูร ประธานกรรมการบริหารบริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด หรือ PCL
ปฐม ศิริวัฒนประยูร ประธานกรรมการบริหารบริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด หรือ PCL

ปฐม ย้ำว่า ปัญหาของไทยไม่ใช่ “เสน่ห์ไม่พอ” แต่เป็น “ระบบรองรับไม่ทัน” และยึดติดกับโมเดลเดิม ๆ

“ไทยจำเป็นต้องปรับตัว” รองรับกลุ่มกำลังซื้อระดับสูง อาทิ ยุโรป ตะวันออกกลาง จีน และอินเดีย ที่จะกลับมาในอนาคต

ซึ่งตลาดนี้ ไม่ได้โตแค่ “จำนวน” แต่โตที่ “คุณภาพผู้เข้าพัก”

ดังนั้น โรงแรมยุคใหม่ไม่ใช่แค่ “รองรับ” นักท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ต้อง “ดึงดูด” ด้วยคุณภาพระดับโลก

PCL ในฐานะผู้รับบริหารจัดการโรงแรม วางโรดแมป 5 ปี ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจในระดับภูมิภาคเอเชีย ตั้งเป้าเติบโตปีละ 100% ผ่านการขยายพอร์ตรับบริหารโรงแรมครบ 5,000 ห้อง

โดยมุ่งไปที่เจ้าของที่พักท้องถิ่น ที่ต้องการมืออาชีพช่วยบริหารโรงแรมแทน ซึ่ง PCL มี 2 โมเดลการบริหาร ได้แก่
  1. White Label บริหารภายใต้แบรนด์ของเจ้าของ เพิ่มความยืดหยุ่น เหมาะกับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์เอง
  2. International Chain บริหารภายใต้แบรนด์เครือโรงแรมระดับโลก เหมาะกับโรงแรมขนาดกลาง-ใหญ่ ตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป เป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งบริษัทจะนำเข้ามาเป็น 1 ในตัวเลือกให้เจ้าของโรงแรม

“โรงแรมที่ยอดเยี่ยมไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสําเร็จในระยะยาว

เราไม่ใช่ที่ปรึกษาทั่วไป แต่ลงมือทํางานร่วมกับเจ้าของธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อยกระดับธุรกิจโรงแรมของไทยก้าวสู่มาตรฐานระดับสากลและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก”

]]>
1532637
จีนเที่ยวไทย ปี 68 เหลือ 5 ล้านคน กระทบโรงแรมเจาะทัวร์จีน ยอดเข้าพักหาย 50% https://positioningmag.com/1531016 Wed, 23 Jul 2025 11:20:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531016 เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (1 ม.ค. – 13 ก.ค. 68) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย จำนวน 17.7 ล้านคน ลดลง 5.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

โดยนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
  • มาเลเซีย 2.45 ล้านคน
  • จีน 2.43 ล้านคน
  • อินเดีย 1.26 ล้านคน
  • รัสเซีย 1.06 ล้านคน
  • เกาหลีใต้ 8.16 แสนคน
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA)
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA)

[นักท่องเที่ยวจีน หดตัวเหลือ 5 ล้านคน/ปี จากช่วงพีกสุด 10 ล้านคน/ปี]

อย่างไรก็ตาม ไทยกำลังเผชิญปัญหา ”นักท่องเที่ยวจีน“ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ชะลอตัวลงอย่างหนัก แม้จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ทั้งอินเดีย และรัสเซีย เข้ามาค่อนข้างมาก แต่ไม่สามารถทดแทนกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนได้

โดยประเมินว่าปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยประมาณ 5 ล้านคน จากปี 2567 มีจำนวนเกือบ 7 ล้านคน และช่วงก่อนโควิดปี 2562 มีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน

“ในปีนี้ มีเพียงช่วง ม.ค. เดือนเดียวที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยสูงกว่าปีก่อน หลังจากนั้นลดลงจากปีก่อนทุกเดือน จากผลกระทบช่วง ก.พ. 68 เกิดกระแสลักพาตัว ซิงซิง นักแสดงชาวจีน และ มี.ค. 68 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมียนมา กระทบตึกสูงใน กทม.“

นักท่องเที่ยวจีน ศาลเจ้าพ่อเสือ กรุงเทพ
นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวจีน บริเวณศาลเจ้าพ่อเสือ กรุงเทพฯ

[โรงแรมเจาะทัวร์จีน ยอดเข้าพักดิ่ง 50% ต่อเดือน]

ในด้านโรงแรมที่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะเมื่อเจาะกลุ่มทัวร์จีน ซึ่งเผชิญอัตราการเข้าพักหดตัวกว่า 50% ต่อเดือน

ทั้งนี้ ปัจจุบันการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ เสื่อมความนิยมลง เหลือสัดส่วนเพียง 20% จากในอดีตเคยเป็นพอร์ตฯใหญ่ และนักเดินทางจีนรุ่นใหม่ หันมาเดินทางแบบเที่ยวเอง (FIT) มากกว่า

นักท่องเที่ยวจีน เขากังวลด้านความปลอดภัย ต้องทำให้เขาเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยปลอดภัย ไม่ใช่แค่พูดว่าประเทศเราปลอดภัยเฉย ๆ แต่ต้องลงมือทำให้เห็น เช่น ตามจับขบวนการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น แล้วทำข่าวประชาสัมพันธ์ หรือกระทั่งการจัดการเรื่องการโก่งราคานักท่องเที่ยว เป็นต้น หากทำได้ ปี 2569 นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมา

“ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนตอนนี้หายไป 34% แล้ว แต่หากไม่นับรวมเดือน ม.ค. ช่วงก่อนเกิดเหตุลักพาตัวดาราจีน เท่ากับหดตัวสูงถึง 50%”

ตึกสูง กทม. กรุงเทพ โรงแรม
อาคารสำนักงานและโรงแรมใน กทม.

[ท่องเที่ยวชะลอตัว ธุรกิจโรงแรมหืดจับ สภาพคล่องสะดุด]

จากสถานการณ์การท่องเที่ยวชะลอตัวลง ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรม อยู่ในภาวะยากลำบากมากขึ้น เมื่อรายได้ลดลง แต่รายจ่ายยังเดินหน้าต่อเนื่อง ทั้งค่าบุคลากร ค่าไฟ และค่าภาษีที่ดิน ส่งผลให้เกิดภาพ ธุรกิจโรงแรมขาดสภาพคล่องทางเงินมากขึ้น

“อยากให้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาลดภาระทางการเงินหรือยืดหยุ่นนโยบาย ให้กับธุรกิจโรงแรม ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น (มิ.ย.-ส.ค.) โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กในต่างจังหวัด”

]]>
1531016
ธุรกิจโรงแรมไทยบูม ปี 68 เปิดตัวใหม่ 5.5 พันห้อง เน้นโครงการหรู แพงสุด 5 หมื่นบาท/คืน https://positioningmag.com/1511448 Wed, 19 Feb 2025 08:28:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1511448 ปี 2567 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.5 ล้านคน ใกล้เคียงกับปี 2562 ช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวน 39.8 ล้านคน จากอานิสงส์ฟรีวีซ่าหลายประเทศ

Top 5 สัญชาติ คือ

  • จีน 6.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 91% (YoY)
  • มาเลเซีย 5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7% (YoY)
  • อินเดีย 2.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 31% (YoY)
  • เกาหลีใต้ 1.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13% (YoY)
  • รัสเซีย 1.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18% (YoY)

”ในแง่วอลุ่มต้องยกให้จีนและอินเดีย แต่ถ้าในแง่ยอดการใช้จ่ายสัญชาติออสเตรเลีย (อันดับ 16 จำนวน 8 แสนคนที่เข้าไทย) และตะวันออกลลาง (อันดับ 20 จำนวน 7 แสนคนที่เข้าไทย) จะมียอดสูงสุด ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย“

โดย CBRE Research คาดว่าปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 40 ล้านคน มากกว่าช่วงพีกสุดก่อนโควิดเสียอีก

โชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและให้คำปรึกษา ซีบีอาร์อี ประเทศไทย

โชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและให้คำปรึกษา ซีบีอาร์อี ประเทศไทย หรือ CBRE กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมเติบโต โดยพื้นที่ กทม. จะมีการเปิดตัวใหม่โรงแรมมากกว่า 5,500 ห้อง เพิ่มขึ้น 7% (YoY) เติมซัพพลายเดิมที่มีอยู่ 80,000 ห้อง

การเปิดตัวใหม่ ส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นโรงแรมระดับ Upscale (ระดับกลางค่อนบน) และระดับลักซูรี (ระดับบน) ราคาตั้งแต่หลัก 4,000 บาท/คืน ไปจนถึงมากกว่า 10,000 บาท/คืนขึ้นไป และระดับสูงสุดคือ 50,000 บาท/คืน (Aman Nailert ย่านชิดลม จำนวน 52 ห้อง เปิด เม.ย. 68)

โดยปี 2568 มีโครงการใหญ่เตรียมลอนช์ เช่น Andaz One Bangkok จำนวน 244 ห้อง, Grand Centre Point Lumphini จำนวน 512 ห้อง เป็นต้น

“กลุ่มโรงแรมหรูระดับอัปสเกลและลักซูรี จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองยอดนิยมระดับโลก และด้วยโครงการริเริ่มของรัฐบาลเพื่อดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและแขกที่เข้าพักระยะยาวผ่านโครงการวีซ่าระยะยาว ซีบีอาร์อีคาดว่าจะมีแบรนด์ที่พักระยะกลางและระยะยาวเปิดให้บริการในกรุงเทพฯ มากขึ้น”

ขณะที่อัตราการเข้าพัก (OCC Rate) ปี 2568 คาดจะกลับมาแตะระดับ 77% (จากก่อนโควิด 78%) โดยมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) 4,300 บาท/คืน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดที่มี ADR 3,412 บาท/คืน


ไม่เพียงแต่อัตราราคาห้องพักของโรงแรมใน กทม. เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ในเมืองท่องเที่ยวยิ่งขยายตัวสูงกว่า

  • Room Rate โรงแรมพัทยา เพิ่มขึ้น 30% หลังจากเพิ่งฟื้นตัวกลับมาปีก่อน
  • Room Rate โรงแรมภูเก็ต เพิ่มขึ้น 40% จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าภูเก็ต 10 ล้านคน
]]>
1511448
ธุรกิจโรงแรมไทยฮอต อัตราเข้าพัก 74% แซงช่วงก่อนโควิด สร้างเพิ่ม 1.2 พันแห่ง โต 38% https://positioningmag.com/1502212 Thu, 05 Dec 2024 03:44:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502212 ธุรกิจโรงแรมไทยฮอต อัตราเข้าพัก 74% แซงช่วงก่อนโควิด สร้างเพิ่ม 1.2 พันแห่ง โต 38% จับตาซัพพลายล้นบางพื้นที่ กดดันอัตราเข้าพัก-ราคาห้องพักเฉลี่ยในอนาคต

SCB EIC เปิดเผยว่า ช่วง 11 เดือน (ม.ค. – พ.ย.) ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 32 ล้านคน โดย 5 อันดับแรก คือ

  • จีน
  • มาเลเซีย
  • อินเดีย
  • เกาหลีใต้
  • รัสเซีย

ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายของปีมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นช่วงไฮซีซั่น ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 36.2 ล้านคน ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวน 39.8 ล้านคน “สร้างรายได้ให้ภาคท่องเที่ยวกว่า 1.7 ล้านล้านบาท”

และคาดว่าในปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติขยับเป็น 39.4 ล้านคน จากการกลับมาของกลุ่มทัวร์จีน และนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ อาทิ ตะวันออกกลาง รัสเซีย อิสราเอล และอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง “คาดสร้างรายได้ให้ไทย 2 ล้านล้านบาท”

ส่วนนักท่องเที่ยวไทย ยังเติบโตได้ดี จากการเที่ยวเมืองรอง ตามมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ อาทิ ลดหย่อนภาษี โครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง ส่งผลให้ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยมีจำนวน 270.2 ล้านคน เติบโต 9% (YoY)

อย่างไรก็ดี ปี 2568 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวไทยราว ๆ 275.6 ล้านคน เติบโตแบบชะลอตัว 2% (YoY) จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการวางแผนใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว

รวมไปถึงการขยายตัวของการท่องเที่ยวต่างประเทศในคนไทย จากมาตรการฟรีวีซ่าและแพ็กเกจท่องเที่ยวต่างประเทศราคาถูกที่เจาะคนไทยต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงแรมในไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 72% ขณะที่ราคาห้องพักเติบโต 31% เมื่อเทียบกับปี 2566 (YoY) และเติบโต 8% เมื่อเทียบกับปี 2562 ช่วงก่อนเกิดโควิด

ในปี 2568 คาดว่าธุรกิจโรงแรมจะมีมีแนวโน้มเติบโตเล็กน้อย จากสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยที่กลับสู่ภาวะปกติ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ยของทั้งประเทศอยู่ที่ 74% และราคาห้องพักเพิ่มขึ้น 5% (YoY) ซึ่งเหนือกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด ที่มีอัตราการเข้าพักประมาณ 70% และมีอัตราเติบโตของราคาห้องพักเฉลี่ย 4%

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันสูง จากซัพพลายห้องพักที่ทยอยเปิดให้บริการ สะท้อนจากตัวเลขใบอนุญาตการก่อสร้างโรงแรม ระหว่างปี 2564 – 2566 มีจำนวนกว่า 5,600 อาคารทั่วประเทศ

ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้โซนท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี รวมไปถึงจังหวัดท่องเที่ยวเจาะกลุ่มคนไทย เช่น น่าน เชียงราย จันทบุรี เป็นต้น

เบื้องต้น ตัวเลขการขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมทั่วประเทศ ช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค. – ก.ค.) ปี 2567 เพิ่มสูงถึง 1,200 อาคาร คิดเป็นการขยายตัว 38% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

ทำให้การแข่งขันเพิ่มขึ้น และอาจเกิดภาวะซัพพลายล้นของห้องพักโรงแรมในบางพื้นที่ ซึ่งจะกดดันอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในอนาคต

และอาจทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้กลยุทธ์ด้านราคา ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาเฉลี่ยห้องพักตามไปด้วย

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ทำเลที่ตั้งและความสามารถในการปรับตัว โดยธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่

  1. กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตระดับบน และระดับลักชัวรี่ที่รองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ที่มีแนวโน้มเดินทางมาไทยมากขึ้น
  2. กลุ่มโรงแรมที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ตและกรุงเทพฯ รวมถึงกลุ่มโรงแรมและที่พักที่ตั้งในเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ที่ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
  3. กลุ่มโรงแรมที่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เช่น นักท่องเที่ยวกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซียและ อิสราเอลที่มีโอกาสเดินทางมากขึ้นจากผลกระทบของภาวะสงคราม, กระแสการใส่ใจสุขภาพ ผ่านเทรนด์ Wellness tourism และการท่องเที่ยวแบบ Workation จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่ม Digital nomad เป็นต้น
]]>
1502212
2 “อาคารโบราณ” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะถูกเนรมิตใหม่เป็น “โรงแรม” สุดหรู https://positioningmag.com/1492020 Fri, 27 Sep 2024 06:46:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492020
โปรเจ็กต์ที่น่าสนใจอีก 2 แห่งกำลังจะเกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านเจริญกรุง จากอาคารโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาตร์ จะถูกรีโนเวตกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เป็น “โรงแรม” สุดหรู

แห่งแรกคือ “อาคารอีสต์เอเชียติก” อาคารอายุ 124 ปีที่เคยเป็นที่ทำการบริษัทเดินเรือขนส่งจากยุโรป ปัจจุบันเจ้าของโครงการคือ AWC ตระกูลสิริวัฒนภักดี กำลังจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นโรงแรม “เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก”

อีกแห่งหนึ่งคือ “โรงภาษีร้อยชักสาม” อาคารอายุ 140 ปี อดีตศุลกสถานเก็บภาษีนำเข้าส่งออกสินค้า ปัจจุบันเจ้าของโครงการที่ได้สัมปทานคือ “แรบบิท​ โฮลดิ้งส์” (เครือบีทีเอส กรุ๊ป) จะเปลี่ยนอาคารมาเป็นโรงแรม “เดอะ แลงแฮม แบงคอก”

ทั้งสองอาคารจะมีการเก็บอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งถือเป็นงานที่ยากและต้องใช้เวลา ความประณีตในการทำงานสูงมาก

คาดว่าเราจะได้เห็นทั้ง 2 อาคารกลับมาให้บริการได้ในปี 2569

#อาคารโบราณ #รีโนเวต #ปรุงปรุงอาคาร #โบราณสถาน #อาคารเก่า #เจริญกรุง #ริมน้ำ #PositioningOnline

]]>
1492020
โรงแรม “แกรนด์ ฟอร์จูนฯ” รีแบรนด์เป็น “อวานี รัชดา” เพิ่มน้ำหนักลูกค้า “จองตรง” – ดันรายได้โต 25-30% https://positioningmag.com/1491521 Tue, 24 Sep 2024 10:37:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491521 แผนรีแบรนด์โรงแรม “แกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ” หัวมุมแยกรัชดาพระราม 9 เปลี่ยนเชนบริหารเป็น “อวานี รัชดา กรุงเทพฯ” เตรียมรีโนเวตส่วนล็อบบี้ ห้องพัก และห้องประชุม อัปเกรดเรตห้องพักให้สูงขึ้น พร้อมเพิ่มน้ำหนักดึงลูกค้า “จองตรง” หวังรายได้โต 25-30% ภายใน 3 ปีหลังรีแบรนด์เสร็จ

ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 โรงแรม “แกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ” หัวมุมแยกรัชดา-พระราม 9 ได้เปลี่ยนชื่อและเชนบริหารอย่างเป็นทางการเป็น “อวานี รัชดา กรุงเทพฯ” เริ่มต้นบทใหม่ของโรงแรมที่อยู่มานานกว่า 30 ปีจนเป็นภาพจำของแยกนี้

แม้ว่าจะเปลี่ยนเชนบริหารเป็นอวานีในเครือ “ไมเนอร์ โฮเทลส์” แต่เจ้าของโรงแรมไม่ได้เปลี่ยนมือ ยังคงเป็นอสังหาริมทรัพย์ในมือ “CP LAND” เช่นเดิม เพียงแต่ได้ทีมบริหารใหม่ที่จะใช้ความเชี่ยวชาญมาอัปเกรดโรงแรมให้ทำรายได้ได้ดีขึ้น

“ชิดชนก พศินพงศ์” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอวานี รัชดา กรุงเทพฯ

“ชิดชนก พศินพงศ์” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอวานี รัชดา กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า โรงแรมนี้ถือเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีห้องพักรวม 402 ห้อง และมีจุดเด่นคือทำเลยุทธศาสตร์ ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT พระราม 9 ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เช่น จ๊อดแฟร์, RCA และอยู่ท่ามกลางแหล่งสำนักงาน ‘นิวซีบีดี’ ของกรุงเทพฯ

รวมถึงเจ้าของคือ CP LAND มีการบำรุงรักษาตึกเป็นอย่างดี รีโนเวตใหญ่รอบล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้ภาพรวมเชื่อว่าการเข้ามาบริหารของไมเนอร์จะช่วยดันศักยภาพโรงแรมได้ไม่ยาก

อวานี รัชดา กรุงเทพฯ
ห้องพักในโรงแรม อวานี รัชดา กรุงเทพฯ

 

รีโนเวตให้เข้าธีม “อวานี” สนุกสดใสมากขึ้น

ชิดชนกกล่าวต่อว่า ขณะนี้ไมเนอร์ร่วมกับ CP LAND กำลังเคาะแผนการรีโนเวตโรงแรมเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะมี 4 ส่วนสำคัญที่จะมีการลงทุน ได้แก่

1.ล็อบบี้ – ปรับให้สนุกสดใส ลุคแอนด์ฟีลเป็นสไตล์แบบ “อวานี” สามารถมานั่งเล่น จิบกาแฟ คุยงานกันได้

2.ห้องพัก – เฉพาะกลุ่มห้องพัก Deluxe Room (ห้องขนาดเริ่มต้น) จำนวน 231 ห้อง จะมีการปรับใหม่เป็นสไตล์อวานี

3.ห้องประชุม – มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องประชุมแบบยืดหยุ่น สามารถเปิดปิดกำแพงเพื่อเปลี่ยนขนาดห้องได้ง่าย

4.IT Systems – ปรับเปลี่ยนระบบหลังบ้าน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในห้องพัก

ล็อบบี้โรงแรม อวานี รัชดา กรุงเทพฯ จะมีการรีโนเวตใหม่ให้เป็นสไตล์สนุกสดใสแบบอวานีมากขึ้น

ทั้งหมดนี้ยังไม่สรุปงบประมาณการลงทุน แต่จะเริ่มที่การปรับล็อบบี้ก่อนในช่วงปลายปี 2567 ตามด้วยการทยอยรีโนเวตห้องพักช่วงไตรมาส 2-3 / 2568 แผนการรีโนเวตทั้งหมดจะเสร็จเรียบร้อยภายในปลายปี 2568 โดยไม่มีการปิดโรงแรม จะใช้วิธีแบ่งโซนปรับปรุงเป็นส่วนๆ

 

เพิ่มน้ำหนักลูกค้า “จองตรง” แต่ไม่ทิ้ง “กรุ๊ปทัวร์”

ด้านกลุ่มลูกค้าของโรงแรมแห่งนี้ ชิดชนกอธิบายว่าแต่เดิมลูกค้า 30% เป็นกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ท่องเที่ยว 20% เป็นกรุ๊ปสัมมนา ประชุม ธุรกิจ (Corporate) 10% เป็นกลุ่มลูกเรือสายการบิน และมี 40% ที่เป็นลูกค้า “จองตรง” ผ่านเว็บไซต์โรงแรมหรือ OTA (Online Travel Agency)

ชิดชนกวางเป้าหมายว่า หลังรีแบรนด์เสร็จเรียบร้อยต้องการจะพลิกให้ลูกค้า 55% เป็นกลุ่มจองตรงด้วยตนเอง 10% กลุ่มลูกเรือสายการบินจะยังคงไว้ ส่วนที่เหลือ 35% เป็นลูกค้ากรุ๊ปทัวร์และกรุ๊ปสัมมนา แต่ถ้าเป็นไปได้ต้องการให้กรุ๊ปสัมมนามีมากกว่า เพราะปกติกรุ๊ปสัมมนาจะมีการใช้จ่ายอื่นๆ ครบวงจรกับโรงแรมด้วย เช่น ห้องประชุม จัดเลี้ยงอาหาร ซึ่งทำให้โรงแรมได้ยอดใช้จ่ายที่ดีกว่ากรุ๊ปท่องเที่ยว

อวานี รัชดา
ห้องประชุมสัมมนา

“กรุ๊ปทัวร์ยังสำคัญและต้องมี เพราะโรงแรมเราใหญ่ถึง 402 ห้อง ยังต้องรับคณะทัวร์ และต้องดึงลูกค้าสายการบินไว้ให้ได้” ชิดชนกกล่าว “แต่ที่ต้องเพิ่มลูกค้าจองตรงเพราะทำรายได้ค่าห้องได้ดีกว่า และเป็นเทรนด์คนยุคใหม่จะหันมาเที่ยวเองมากขึ้น ถ้าเราไม่ทำตลาดไว้ก่อนก็จะไม่ได้ลูกค้าส่วนนี้”

 

กระจายสัญชาติลูกค้า ขอดึง “ยุโรป” เข้าพักเพิ่ม

นอกจากช่องทางการจองแล้ว โรงแรมยังต้องการจะดึงสัญชาติลูกค้าให้หลากหลาย เนื่องจากปัจจุบันลูกค้า 15% เป็นคนไทย 85% เป็นต่างชาติ ซึ่งชาติหลักที่มาเกิน 60% ของลูกค้าทั้งหมดคือคนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน

บรรยากาศสระว่ายน้ำ

หลังจากนี้เชื่อว่าแบรนด์ “อวานี” จะเป็นจุดดึงดูดทำให้ลูกค้ากลุ่ม “ยุโรป” เข้ามามากขึ้น เพราะแบรนด์เป็นที่รู้จักและเครือข่ายไมเนอร์มีสมาชิกจากทั่วโลก จากเดิมกลุ่มยุโรปมีเพียง 10% น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ได้

รวมถึงอีกกลุ่มลูกค้าที่เล็งตลาดไว้คือการเจาะเข้าไปในกลุ่ม “ตะวันออกกลาง” ซึ่งจะเป็นการทำตลาดใหม่ในโซนรัชดาฯ ดึงลูกค้าออกจากโซนสุขุมวิท-นานา

ชิดชนกกล่าวสรุปว่า เป้าระยะสั้นในช่วงไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ อวานี รัชดา กรุงเทพฯ จะเพิ่มอัตราเข้าพักเป็น 85% ขึ้นไป ส่วนเป้าระยะยาวหลังรีแบรนด์เสร็จแล้ว 3 ปี หวังเพิ่มรายได้รวมของโรงแรมขึ้น 25-30% จากการเพิ่มอัตราราคาเฉลี่ยรายวัน (ADR) และการเพิ่มรายได้จากบริการจัดเลี้ยง-ห้องประชุมดังกล่าว

“ตอนนี้ที่อยากให้เกิดขึ้นคือ ทำให้คนจดจำได้ว่าโรงแรมตรงนี้ แยกนี้ เปลี่ยนเป็น อวานี รัชดา กรุงเทพฯแล้ว” ชิดชนกกล่าว

]]>
1491521
“Hilton” คว้าโอกาส “ออฟฟิศ” ในจีนล้นตลาด แปลงโฉมตึกร้างเป็น “โรงแรม” สนองดีมานด์ “จีนเที่ยวจีน” https://positioningmag.com/1488742 Wed, 04 Sep 2024 08:45:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488742 สำนักข่าว Bloomberg รายงาน ตลาดอาคารสำนักงานในประเทศ “จีน” ล้นตลาดจนแลนด์ลอร์ดกุมขมับ แต่ล่าสุด “Hilton” เสนอทางออกแบบใหม่ให้เจ้าของตึกรีโนเวตเปลี่ยนการใช้งานเป็น “โรงแรม” ตอบรับดีมานด์คนจีนนิยมเที่ยวในประเทศสูงขึ้น

“แคลเรนซ์ แทน” รองประธานอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการเอเชียแปซิฟิกของเครือโรงแรม “Hilton Worldwide Holdings” เจ้าของแบรนด์ดัง เช่น Conrad, Waldorf Astoria, Double Tree ฯลฯ  กล่าวว่า บริษัทกำลังขยายการทำตลาดใน “จีน” อย่างต่อเนื่อง โดยเครือมีโรงแรมเปิดในประเทศจีนครบ 700 แห่งเป็นที่เรียบร้อย พร้อมตั้งเป้าที่จะเพิ่มโรงแรมในประเทศจีนอีกประมาณ 100 แห่งภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

ไฮไลต์ของแผนการเติบโตนี้คือ โรงแรมในเครือ Hilton ที่จะเปิดตัวในจีนภายใน 18 เดือนต่อจากนี้มีถึง 25% ที่พัฒนาโดยการแปลงโฉมตึก “ออฟฟิศ” ที่ยังว่างเปล่ามาใช้เป็น “โรงแรม”

ทาง Hilton ระบุว่าวิธีการ “ดัดแปลงเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่” แบบนี้เติบโตสูงขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19

แทนกล่าวว่า เหตุผลเพราะพื้นที่อาคารสำนักงานในจีนมีสภาวะล้นตลาด และฝั่งรีเทลก็ไม่ต่างกันมากนัก ทำให้เกิดโอกาสสำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมขึ้น

ภาพจาก Unsplash

“แลนด์ลอร์ดจะบอกว่า ‘ถ้าฉันให้เช่าออฟฟิศไม่ได้ จะเอาที่ไปทำอะไรได้บ้าง?’ เจ้าของตึกส่วนใหญ่จึงให้ผู้ประกอบการเช่า และพวกเขาเลือกติดต่อ Hilton เพื่อไปแปลงตึกเป็นโรงแรม” แทนกล่าว

อัตราการเช่าออฟฟิศในจีนขณะนี้ถือว่าตกต่ำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ และทำให้ราคาค่าเช่าตกต่ำลงไปด้วย ข้อมูลจาก Colliers International Group ชี้ให้เห็นตัวอย่างจากเมืองเซี่ยงไฮ้ พบว่าอัตราการเช่าออฟฟิศระดับ  ไพรม์อยู่ที่ 85% เท่านั้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 ส่วนข้อมูลจาก Cushman & Wakefield ก็คาดการณ์ไว้ว่าอัตราการเช่าคงยังต่ำในระดับนี้ไปอีกอย่างน้อยจนถึงเดือนมีนาคม 2025

 

“จีนเที่ยวจีน” บูมสุดขีด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่ภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมของจีนกลับ ‘บูม’ ต่อเนื่องในช่วงหลังโควิด-19 เพราะคนจีนเลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่าออกต่างประเทศอย่างเคย

Lodging Econometrics เปิดเผยข้อมูลว่าปัจจุบันจีนยังมีโรงแรมอีก 3,815 แห่งอยู่ในไปป์ไลน์ บางส่วนอยู่ระหว่างก่อสร้างและบางส่วนอยู่ในแผนพัฒนา ด้วยจำนวนเท่านี้ทำให้โรงแรมที่จะเปิดใหม่ 1 ใน 4 ของโลกจะมา กระจุกตัวอยู่ในประเทศจีน เป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทั้งนี้เมืองยอดฮิตที่จะมีการเปิดโรงแรมใหม่มากที่สุดคือ “เฉิงตู” และ “เซี่ยงไฮ้” เป็น 2 ใน 5 เมืองของโลกนี้ที่จะมีโรงแรมใหม่เปิดมากที่สุด

แทนแห่ง Hilton กล่าวว่า “ออฟฟิศ” บางส่วนที่ถูกเปลี่ยนการใช้งานจากสำนักงานเป็น “โรงแรม” นั้นมักจะเป็นออฟฟิศเกรด A- หรือเกรด B แปลว่าปกติพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ค่าเช่าได้เท่ากับตึกระดับพรีเมียมอยู่แล้ว จึงทำให้การเจรจาต่อรองเพื่อมาเปลี่ยนเป็นโรงแรมง่ายขึ้น ส่วนใหญ่จะทำสัญญาเช่านาน 15 ปี พร้อมมีช่วงเวลาฟรีค่าเช่าระหว่างตกแต่งสถานที่ด้วย

ห้องพักที่ใช้ผนังน็อกดาวน์กั้นห้องใน Hilton Garden Inn Shanghai Lujiazui

ตัวอย่างโรงแรมที่เปลี่ยนมาจากอาคารสำนักงานและเปิดให้บริการแล้ว เช่น “Hilton Garden Inn Shanghai Lujiazui” ตั้งอยู่ในตึกความสูง 38 ชั้น ย่านผู่ตง เมืองเซี่ยงไฮ้ แต่เดิมเคยเป็นออฟฟิศมาก่อน ก่อนที่เจ้าของจะตัดสินใจเปลี่ยนบางส่วนของตึกเป็นโรงแรม หลังจากใช้เวลาดีไซน์และปรับปรุงใหม่ 6 เดือน โรงแรมขนาด 150 ห้องก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายน 2023

แทนกล่าวว่า การเปลี่ยนการใช้งานทำเวลาก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วคืออีกข้อดีหนึ่ง เพราะการเปลี่ยนออฟฟิศมาเป็นโรงแรมจะใช้เพียงผนังน็อกดาวน์เพื่อกั้นห้อง ทำให้การก่อสร้างใช้เวลาไม่เกิน 18 เดือนก็พร้อมให้บริการได้ ต่างจากการสร้างตึกโรงแรมขึ้นมาใหม่ในจีนที่ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี

 

ความเสี่ยงคือ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ยังไม่มา

แม้ว่าการเปลี่ยนออฟฟิศเป็นโรงแรมดูจะทำให้เจ้าของตึกได้เข้าสู่ตลาดที่มีอนาคตกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยงเสียทีเดียว

สภาการท่องเที่ยวและการเดินทางโลกประเมินว่า “จีนเที่ยวจีน” คนจีนเที่ยวในประเทศปี 2024 นี้จะเติบโตขึ้น 11% เทียบกับปี 2019 แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าจีนยังไม่กลับมาเติบโตมากนัก

Photo : Shutterstock

Hilton เองก็เผชิญสถานการณ์เดียวกัน เพราะแม้ว่าอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) โดยรวมของเครือในเอเชียแปซิฟิกจะโตขึ้น 11% เมื่อช่วงไตรมาส 2/2024 แต่เฉพาะตลาดจีนกลับตกลงไป -5%

“การเดินทางของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าจีนยังไม่มากพอ” คริสโตเฟอร์ นาสเซ็ตตา ซีอีโอ Hilton กล่าว “ยังมีไฟลท์บินจากยุโรป สหรัฐฯ และส่วนต่างๆ ของโลกเข้ามาประเทศจีนไม่เพียงพอ คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก”

กระนั้นก็ตาม ปัจจุบันจำนวนห้องพักโรงแรมต่อจำนวนประชากรของจีนก็ยังน้อยกว่าในสหรัฐฯ ถึง 10 เท่า

“โอกาสลุ้นของจีนและเอเชียแปซิฟิกคือ การเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มที่เรายังเข้าไม่ถึงในการดึงเงินออกมาใช้จ่าย” แทนกล่าว “การแข่งขันตอนนี้คือการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากลูกค้ากลุ่มชนชั้นกลางมาให้ได้ ไม่ว่าจะในแง่การเป็นแบรนด์ในใจและการดึงเม็ดเงิน การเติบโตของกลุ่มนี้ในเอเชียถือว่ามหาศาลและซับซ้อน และเราต้องชนะการแข่งขันเท่านั้น” แทนกล่าวปิดท้าย

Source

]]>
1488742
แบรนด์ใหม่ “Garner” โรงแรมระดับกลางจาก “IHG” เจาะกลุ่มโรงแรมอิสระเปลี่ยนมาใช้เชนนอกบริหาร https://positioningmag.com/1487980 Thu, 29 Aug 2024 08:05:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487980 “IHG” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Garner” ในราคาต่ำกว่า “Holiday Inn Express” หวังอุดช่องว่างตลาดโรงแรมระดับกลาง ตอบโจทย์กลุ่มโรงแรมอิสระไม่มีแบรนด์เปลี่ยนใจใช้เชนนอกบริหาร ด้วยเงื่อนไขการปรับปรุงโรงแรมที่น้อยกว่า ชี้เทรนด์ตลาดปัจจุบันมีโรงแรมอิสระที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนมากกว่าที่เคย

“วิเวก บัลลา” กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเริ่มทำตลาดแบรนด์ “Garner” ในประเทศไทย โดยแบรนด์ดังกล่าวเป็นแบรนด์ใหม่ของ IHG ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ปัจจุบันมีให้บริการแล้ว 4 แห่งในสหรัฐฯ และอยู่ในไปป์ไลน์การเปิดตัวอีก 79 แห่งทั่วโลก เฉพาะในเอเชียจะมีการเปิดโรงแรม Garner 3 แห่งแรกภายในสิ้นปีนี้ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

ลักษณะเด่นของแบรนด์ Garner คือการเข้ามาอุดช่องว่างในตลาดให้กับ IHG เพราะเป็นแบรนด์โรงแรมระดับกลางซึ่งช่วยตอบโจทย์ลูกค้าผู้เข้าพักที่ต้องการเฉพาะห้องพักในระดับมาตรฐาน นอนพักสบาย ไวไฟแรง และสามารถเลือกรับหรือไม่รับประทานอาหารเช้าได้

Garner
โรงแรม Garner Oklahoma สหรัฐฯ

รวมถึงจะตอบโจทย์กลุ่มเจ้าของโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมอิสระไม่มีแบรนด์ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนมืออาชีพช่วยบริหาร เพราะมาตรฐานและเงื่อนไขด้านโครงสร้างพื้นฐานของ Garner จะยืดหยุ่นกว่า ช่วยให้โรงแรมอิสระสามารถปรับปรุงห้องพักเพื่อมาอยู่ในเชนของ IHG ได้ง่ายขึ้น เช่น ห้องพักขนาดขั้นต่ำเพียง 15 ตารางเมตร, มีห้องพักขั้นต่ำเพียง 150 ห้อง, ไม่จำเป็นต้องมีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และร้านอาหารที่เปิดครบทุกมื้อ

ในแง่งานบริการใน Garner มีการลดทอนลงมาเช่นกัน เช่น Welcome Drink ในลักษณะบริการตนเอง, มื้อเช้าแบบ Grab & Go, เปลี่ยนจากบริหารรูมเซอร์วิสเป็น ‘Garner Shop’ ซึ่งอาจจะตั้งเป็นเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติแทนการใช้พนักงาน

Garner
ตัวอย่างการจัด Welcome Drink แบบบริการตัวเองของ Garner

ทั้งหมดจะทำให้ Garner บีบราคาลงมาได้ต่ำกว่า Holiday Inn Express ซึ่งปัจจุบันเป็นเทียร์ต่ำสุดของ IHG ในโรงแรมระดับกลาง ตัวอย่างราคาของ Holiday Inn Express Central Pattaya จะอยู่ที่ 1,500-2,500 บาทต่อคืน แบรนด์ใหม่นี้จะมาช่วยอุดช่องว่างในระดับราคาที่ต่ำกว่านั้น แต่ยังอยู่เหนือกว่ากลุ่มบัดเจ็ทโฮเทล

 

เทรนด์โรงแรมอิสระเปลี่ยนมาใช้เชนบริหารสูงขึ้น

วิเวกกล่าวถึงเทรนด์การเปลี่ยนจากโรงแรมอิสระที่ไม่ใช้เชนมาเป็นเชนบริหาร (Conversion) ด้วยว่า มีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลกเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 โดยข้อมูลจาก Horwath และ Lodging Economics พบว่า ย้อนไปในปี 2562 อัตราโรงแรมที่เป็นสัญญา Conversion อยู่ที่ 15% จากสัญญาจ้างเชนบริหารทั้งหมด แต่ในปี 2566 อัตราส่วนเพิ่มเป็น 33% และปี 2567 ปัจจุบันเพิ่มเป็น 40%

หากเจาะลึกเฉพาะตลาดประเทศไทย ในปี 2562 อัตราโรงแรมที่เป็นสัญญา Conversion อยู่ที่ 21% แต่ในปี 2566 อัตราส่วนเพิ่มเป็น 58% เห็นได้ว่าเทรนด์ของโรงแรมอิสระที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้เชนบริหารเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยนับว่าเกินครึ่งของตลาด สูงกว่าการทำสัญญากับกลุ่มโรงแรมเปิดใหม่

IHG
สินธร มิดทาวน์ กรุงเทพฯ, วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น หนึ่งในโรงแรมที่เปลี่ยนจากการเป็นโรงแรมอิสระมาใช้เชน IHG ในการบริหาร

วิเวกอธิบายว่า สาเหตุที่โรงแรมอิสระเริ่มสนใจเปลี่ยนมาใช้เชนบริหาร เพราะการเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มบริษัทมักจะควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า เช่น การเจรจาต่อรองค่าคอมมิชชันกับ OTA (Online Travel Agency) และการเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างกว่า รวมถึงเทรนด์ของลูกค้าต้องการเข้าพักกับโรงแรมที่ใช้เชนบริหารมากขึ้น

ทั้งนี้ การทำสัญญา Conversion เกิดขึ้นในทุกๆ เซ็กเมนต์โรงแรม เพียงแต่ IHG มีพอร์ตบริหารเกินครึ่งหนึ่งเป็นโรงแรมระดับกลาง ได้แก่ Holiday Inn และ Holiday Inn Express ทำให้เห็นโอกาสว่ายังมีช่องว่างตลาดอีก เพราะโรงแรมอิสระในประเทศไทยมีมากกว่า 1,400 แห่ง ตามข้อมูลจาก STR

 

เชื่อธุรกิจโรงแรมยังขาขึ้นอีกอย่างน้อย 2-3 ปี

ด้านเทรนด์ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย วิเวกระบุว่า ครึ่งปีแรก 2567 อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ทั้งหมดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อน เป็นผลจากเกิดเปิด Visa-Free ให้กับหลายประเทศ จึงคาดการณ์ว่าตลอดปีนี้อัตราการเติบโตของ RevPAR จะยังคงเป็นตัวเลขสองหลักได้

IHG
“วิเวก บัลลา” กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG

โดยจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็น ภูเก็ต เกาะสมุย และกรุงเทพฯ และมีค่าเฉลี่ยการเข้าพักทริปละ 3 คืนขึ้นไป ส่วนจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทยจะเป็นเมืองหัวหิน พัทยา ระยอง และเขาใหญ่ และมีค่าเฉลี่ยเข้าพักทริปละ 2 คืน

แนวโน้มในอนาคต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามายังประเทศไทยคาดจะเติบโตสะสม 14.8% ภายในปี 2571 ทำให้การเติบโตด้านการท่องเที่ยวน่าจะยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2-3 ปีจากนี้

สำหรับ IHG ปัจจุบันมีแบรนด์โรงแรมที่เปิดบริการแล้วในไทยทั้งหมด 9 แบรนด์ รวมทั้งหมด 39 แห่ง และยังมีโรงแรมในไปป์ไลน์ระหว่างก่อสร้างหรือปรับปรุงอยู่อีก 35 แห่งที่จะเปิดบริการในอนาคต

]]>
1487980
“Airbnb” เตรียมออกบริการเสริมให้เหมือนอยู่ “โรงแรม” แก้เกมลูกค้าหดเพราะรู้สึกไม่สะดวก https://positioningmag.com/1485367 Tue, 06 Aug 2024 11:58:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485367 ระยะหลังโมเมนตัมการเลือกที่พักระหว่างท่องเที่ยวเหวี่ยงกลับมาหา “โรงแรม” มากขึ้น เพราะลูกค้าชื่นชอบความสะดวกสบายที่มากกว่า ทำให้ “Airbnb” แย้มว่าปีหน้าอาจจะเริ่มแก้เกมข้อเสียเปรียบตรงนี้ด้วยการออก “บริการเสริม” ให้เหมือนอยู่โรงแรม เช่น มีพนักงานทำความสะอาดประจำวัน เติมของในตู้เย็น หมอนวดส่วนตัว เป็นต้น

“เดฟ สตีเวนสัน” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ Airbnb ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า บริษัทกำลังหากลยุทธ์เพื่อชิงนักท่องเที่ยวกลับมาจากธุรกิจโรงแรม ด้วยการให้ “บริการเสริม” เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการเข้าพักที่ Airbnb

ตัวอย่างบริการเสริมดังกล่าว เช่น เครื่องใช้ส่วนตัวจากแบรนด์ลักชัวรี, พนักงานทำความสะอาดประจำวัน, เติมของในตู้เย็น, หมอนวดส่วนตัว, บริการสปา, เชฟส่วนตัว, บริการเช็กอิน-เช็กเอาต์ที่เรียบง่าย

พูดง่ายๆ คือบริการเสริมที่ Airbnb กำลังพิจารณาคือบริการที่การพักใน “โรงแรม” มักจะมีให้อยู่แล้วนั่นเอง

ช่วงที่ผ่านมา Airbnb มีกระแสเชิงลบจากลูกค้าที่เข้าพักมากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นหลักที่ถูกโจมตีก็คือ “ค่าทำความสะอาด” (Cleaning Fee) ที่ซ่อนอยู่และจะมาปรากฏในช่วงสุดท้ายของการจองที่พัก และหลายครั้งที่ค่าทำความสะอาดกลับสูงกว่าราคาที่พักเสียอีกเพราะโฮสต์ Airbnb สามารถตั้งราคาเองได้ตามอำเภอใจ ทำให้ลูกค้าต้องเสียอารมณ์ที่ราคา ‘ไม่ตรงปก’ กับที่เห็นในหน้าแรก

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ระยะหลังโฮสต์ Airbnb มีข้อเรียกร้องมากขึ้นกับแขกที่มาพัก ด้วยการระบุ “รายการงานบ้านที่ต้องปฏิบัติก่อนเช็กเอาต์” งานบ้านที่ว่านี้ เช่น ล้างแก้วล้างจาน ทิ้งขยะ เก็บของในตู้เย็นออกมาทิ้ง กวาดพื้น ทั้งที่โฮสต์มีการเก็บค่าทำความสะอาดไปแล้ว แต่แขกกลับถูกบังคับให้ทำความสะอาดที่พักเป็นบางส่วนด้วย

เมื่อลูกค้าหลายคนเผชิญประสบการณ์เหมือนถูกเอาเปรียบจาก Airbnb จึงกลับไปใช้บริการโรงแรมเหมือนเดิม เพราะไม่ต้องจ่ายค่าทำความสะอาดเพิ่ม และไม่ต้องเก็บห้องให้เรียบร้อยก่อนกลับ

ข้อได้เปรียบของ Airbnb ที่มีเหนือโรงแรมนั้นปกติจะเป็นประเด็นเรื่องลักษณะที่พัก หลายคนเลือกใช้ Airbnb เพราะต้องการพักใน “บ้าน” ที่มีห้องนอนหลายห้องสำหรับการเดินทางเป็นครอบครัว มีครัวให้ทำอาหารได้เพราะจะพักระยะเวลานาน มีความเป็นส่วนตัวกว่าเพราะไม่มีรีเซปชันหรือพนักงานโรงแรมสอดส่อง หรือบางคนก็เลือกเพื่อจะได้พักในบ้านแบบท้องถิ่น (local) ได้ประสบการณ์มากกว่าอยู่ในโรงแรม

จึงน่าสนใจว่าการเพิ่มบริการเสริมของ Airbnb ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อกำจัดความรู้สึกไม่สะดวกเหล่านี้ออกไป จะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและแก้เกมได้จริงๆ หรือไม่

Source

]]>
1485367