พัทยา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 23 Nov 2023 11:25:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา” ยอดจองแน่นทั้งปี! LHMH ผุดโรงแรมเพิ่ม ต่อยอดคอนเซ็ปต์ “Themed Hotel” https://positioningmag.com/1453116 Thu, 23 Nov 2023 11:02:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453116
  • LHMH เปิดผลดำเนินงาน “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” 6 สาขา ปี 2566 อัตราเข้าพักเฉลี่ยแตะ 90% ทุกสาขา รายได้เฉลี่ยห้องพักต่อห้องเพิ่มกว่า 20% สูงกว่าก่อนโควิด-19
  • เปิดบริการโรงแรมใหม่แห่งที่ 7 แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์” จับกลุ่มลูกค้ายุโรป เอเชีย และงานฟังก์ชันจัดเลี้ยงประชุมของคนไทย
  • แผนลงทุนเดินหน้า 3 โรงแรมใหม่ 3 ทำเล ได้แก่ ลุมพินี, ราชดำริ และ พัทยา โดยจะเป็นโรงแรมแห่งที่ 3 ของเครือในพัทยา หลังแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา ประสบความสำเร็จ อัตราเข้าพัก 80-90% สม่ำเสมอตั้งแต่เปิดตัว
  • “สุวรรณา พุทธประสาท” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด เปิดเผยว่า รายได้ 10 เดือนแรกปี 2566 ของแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ทำได้รวม 3,955 ล้านบาท และประมาณการว่าปี 2566 จะสามารถทำรายได้รวมทั้งปีประมาณ 4,800 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้รวมในส่วนธุรกิจโรงแรมของเครือเพิ่มขึ้นกว่า “เท่าตัว”

    การเติบโตนี้เกิดขึ้นในทุกสาขาของแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ โดย 4 สาขาในกรุงเทพฯ​ เติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 85% ขณะที่อีก 2 สาขาในพัทยาก็เติบโตได้ต่อเนื่อง

    สำหรับ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” เป็นเครือโรงแรมไทยที่ลงทุนเองและใช้เชนของตนเองบริหาร ปัจจุบันมีโรงแรมทั้งหมด 6 แห่งที่เปิดบริการแล้ว ได้แก่ โรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพลินจิต, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55, โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา

    แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์
    (จากซ้าย) “กิตติ วรบรรพต” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด, “ภาคิน เอียงผาสุข” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ และ “สุวรรณา พุทธประสาท” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด

    “กิตติ วรบรรพต” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด กล่าวต่อว่า อัตราเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทุกสาขาในปีนี้แตะ 90% ทั้งหมด และรายได้เฉลี่ยห้องพักต่อห้องเพิ่มขึ้น 20% เทียบกับก่อนโควิด-19 ถือว่าฟื้นตัวได้ดีกว่าก่อนเกิดโรคระบาด

    ด้านการขยายธุรกิจโรงแรมของ LHMH ในปี 2566 พร้อมแล้วที่จะเปิดบริการโรงแรมแห่งที่ 7 คือ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์” เป็นโรงแรมระดับอัปสเกล จำนวนห้องพัก 399 ห้อง ตั้งอยู่บนถนนสุรวงศ์ มูลค่าการลงทุน 2,300 ล้านบาท เปิดแกรนด์โอเพนนนิ่ง 25 พฤศจิกายนนี้

    “ภาคิน เอียงผาสุข” ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงแรมนี้จะจับฐานลูกค้าทั้งกลุ่มยุโรปที่ชื่นชอบที่พักริมน้ำ และกลุ่มเอเชียซึ่งเป็นฐานหลักของแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์​ รวมถึงได้คนไทยจัดงานฟังก์ชัน จัดเลี้ยง สัมมนา ประชุม อีกด้วย

    โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ

     

    ต่อยอดความปัง “สเปซ พัทยา” เปิดโรงแรมเพิ่ม 1-2 แห่ง

    ส่วนการลงทุนต่อเนื่องในอนาคต กิตติกล่าวว่าบริษัทมีโครงการในไปป์ไลน์แล้ว 3 แห่ง ได้แก่

    • แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี – ทำเลบนถนนพระราม 4 ตรงข้ามวัน แบงค็อก โดยจะเป็นมิกซ์ยูสโรงแรม 512 ห้องและอาคารสำนักงาน ใช้เงินลงทุน 4,500 ล้านบาท เปิดบริการปี 2568
    • แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ 2 – ทำเลแปลงที่ดินเดิมของศูนย์การค้าเพนนินซูล่า เป็นโรงแรมจำนวน 509 ห้อง ใช้เงินลงทุน 5,100 ล้านบาท เปิดบริการปี 2569
    • แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา 3 – ทำเลติดกับโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา จำนวนห้องพัก 494 ห้อง ใช้เงินลงทุน 4,400 ล้านบาท เปิดบริการปี 2570
    แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา
    โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา โรงแรมที่มาในธีมอวกาศ

    โดยการลงทุนต่อเนื่องในพัทยานั้น กิตติกล่าวว่าเกิดจากผลตอบรับของโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา ที่เพิ่งเปิดบริการเมื่อปีก่อน แต่อัตราเข้าพักสูง 80-90% มาตลอดตั้งแต่เปิดบริการ และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 โรงแรมแห่งนี้ทำรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยผู้บริโภคชื่นชอบโรงแรมที่เป็น Themed Hotel ที่ให้ประสบการณ์แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใครแก่แขกผู้เข้าพัก

    “เชื่อไหมว่าลูกค้าที่สเปซ พัทยาเรามีเกิน 1,000 รายแล้วที่มาพักกับเรา 3 ครั้งขึ้นไปในรอบปีเดียว” กิตติกล่าว “คนจะมาพักซ้ำที่เดิมแปลว่าต้องชื่นชอบมาก และเรามีฟาซิลิตี้ที่ใหญ่ บางคนมาพักแค่คืนเดียวก็รู้สึกว่าไม่พอ ต้องมาอีก”

    นอกจากนี้ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา ยังเป็นโรงแรมที่ได้ราคาห้องพักสูงที่สุดในเครือขณะนี้คือ 7,000 บาทต่อคืน ขณะที่โรงแรมอื่นจะอยู่ในช่วง 4,500-6,000 บาทต่อคืน

    Themed Hotel เป็นโรงแรมแบบที่ถูกใจแขกผู้มาพัก เพราะได้ประสบการณ์ใหม่ ไม่ซ้ำใคร

    จากผลตอบรับที่ดีของ Themed Hotel และโอกาสเจริญเติบโตที่จะสูงขึ้นอีกของพัทยา ทำให้ LHMH มีการลงทุนเพิ่มในโครงการพัทยา 3 ซึ่งจะเป็น Themed Hotel เช่นกัน แต่จะใช้ธีมที่ต่างออกไปเพื่อสร้างความหลากหลายให้ลูกค้า และขนาดโรงแรมจะใหญ่กว่าเดิม คาดเริ่มก่อสร้างปี 2567 พร้อมเปิดบริการปี 2570

    กิตติแย้มด้วยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังดีลเจรจาเช่าที่ดินเพื่อขึ้นโครงการพัทยา 4 ในบริเวณเดียวกัน สร้างเป็น Themed Hotel แห่งต่อไป

    ปัจจุบันฐานลูกค้าเฉพาะในพัทยาของแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เป็นชาวไทย 40% และต่างชาติ 60% เช่น จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นต้น

    สำหรับภาพรวมบริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด นอกจากกลุ่มโรงแรมแล้วยังมีธุรกิจศูนย์การค้าด้วย โดยที่อยู่ในพอร์ตคือศูนย์การค้า Terminal21 ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ อโศก, พระราม 3 และ พัทยา สุวรรณาระบุว่ารายได้รวมทั้งบริษัทของปี 2566 น่าจะปิดรวมที่ 7,500 ล้านบาท

    ส่วนแนวโน้มปี 2567 สุวรรณาคาดว่ารายได้จากการดำเนินธุรกิจน่าจะโตประมาณ 15% โดยธุรกิจหลักที่จะโตมาจากกลุ่มโรงแรมเป็นหลัก เพราะฟื้นตัวได้ดีมากหลังโควิด-19 ขณะที่ศูนย์การค้าถือว่าร้านค้ายังเพิ่งพ้นวิกฤต อยู่ในช่วงประคับประคองท่ามกลางเศรษฐกิจไทย

    ]]>
    1453116
    “ฮาบิแทท” ปั้นคอนโดฯ “Branded Residence” จากเชนโรงแรม “วินแดม” เจาะตลาดหรู “พัทยา” https://positioningmag.com/1445603 Tue, 26 Sep 2023 08:42:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1445603
  • “ฮาบิแทท” เปิดตัวโครงการที่ 10 ของบริษัทใน “พัทยา” กับโครงการใหม่ “วินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา” ภายใต้เชนโรงแรม “วินแดม” (Wyndham)
  • มองศักยภาพพัทยาพร้อมรับกระแส “Branded Residence” ที่กำลังมีดีมานด์สูง โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิกของการลงทุนลักษณะนี้
  • กลุ่มผู้ซื้อในพัทยายังมีชาวไทยเป็นกลุ่มหลัก ส่วนต่างชาติได้กำลังซื้อจากรัสเซีย อินเดีย ยุโรป ขณะที่ชาวจีนยังไม่กลับมามากนักจากเศรษฐกิจจีนเองอยู่ในช่วงซบเซา
  • “ฮาบิแทท กรุ๊ป” เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนเป็นหลัก ที่ผ่านมาบริษัทเน้นขายคอนโดมิเนียมหรือพูลวิลล่าพ่วง Investment Program (IP) เพื่อนำห้องชุดหรือวิลล่าทั้งหมดในโครงการมาบริหารเป็นโรงแรม มีโครงการที่สร้างชื่อ เช่น ครอส พัทยา โอเชียนเฟียร์, ครอส ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์, เบย์เฟียร์ พัทยา เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม โครงการล่าสุดที่บริษัทเปิดตัวนั้นหันมาพัฒนาคอนโดฯ “Branded Residence” โดยไม่พ่วงโปรแกรม IP ในชื่อโครงการ “วินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา” คอนโดฯ ทำเล 250 เมตรจากหาดวงศ์อมาตย์ สูง 36 ชั้น จำนวนห้องชุด 385 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท โครงการนี้เป็นการร่วมทุนกับ “อีซีจี เวนเจอร์ แคปิตอล” ไพรเวทอิควิตี้สัญชาติไทย

    ฮาบิแทท พัทยา
    ส่วนกลางโครงการ วินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา

    “ชนินทร์ วานิชวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทออกแบบโครงการนี้เป็น Branded Residence เพราะเล็งเห็นว่าดีมานด์ในตลาดมีกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่พักตากอากาศส่วนตัวในพัทยาแต่มีบริการแบบโรงแรม จึงเลือกพัฒนาเป็นโปรดักส์ที่แตกต่างจากเดิม

    Branded Residence เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในภาคอสังหาฯ ทั่วโลก โดยมีความต่างจากโรงแรมและคอนโดฯ ปกติคือ ตัวโครงการเป็นคอนโดฯ ที่ไม่ได้ปล่อยเช่ารายวันเหมือนโรงแรม แต่ลูกบ้านสามารถใช้บริการในมาตรฐานของแบรนด์โรงแรมนั้นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น โครงการวินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา บริการพื้นฐานจากวินแดมจะมีคอนเซียจประจำอาคารและผ้าเช็ดตัวที่สระว่ายน้ำ ส่วนบริการที่เรียกใช้พิเศษได้ก็จะมีบริการอย่างรับซักรีด แม่บ้าน รูมเซอร์วิส เช่ารถ จัดเลี้ยง ทำสปา เทรนเนอร์ฟิตเนส เป็นต้น

     

    Branded Residence โปรดักส์สุดฮิตในไทย

    Savills บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาฯ ประเมินว่า ในตลาดเอเชียแปซิฟิกมีโครงการ Branded Residence เปิดตัวเพิ่มขึ้น 216% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นดีมานด์ที่เติบโตต่อเนื่อง

    ถ้าหากเจาะเป็นรายประเทศ C9Hotelworks ประเมินว่าในจำนวน Branded Residence ที่กำลังจะเปิดตัวใหม่รวม 79 โครงการ 16,130 ยูนิตในเอเชียแปซิฟิก มีถึง 29% ที่เป็นการเปิดตัวในประเทศไทย ไทยจึงเป็นแหล่งลงทุนโปรดักส์ลักษณะนี้อันดับ 1 ของภูมิภาค ตามมาอันดับ 2 คือฟิลิปปินส์ และอันดับ 3 คือเวียดนาม

    Branded Residence

    ในไทยนั้น Branded Residence เปิดตัวมากที่สุด 2 เมืองคือ ภูเก็ต กับ กรุงเทพฯ

    จากการสำรวจ “พัทยา” ยังไม่ติดโผเมืองยอดฮิตของการเปิดโครงการลักษณะนี้ แต่ชนินทร์เชื่อว่าพัทยามีศักยภาพมากพอที่จะลงทุน Branded Residence เช่นกัน เพราะพัทยากำลังเติบโตจากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา และเห็นได้ว่าบริษัทใหญ่กำลังก่อสร้างเมกะโปรเจ็กต์หรือโครงการพาณิชย์ระดับบนหลายแห่ง เช่น โครงการอควอทิค พัทยา ของกลุ่ม AWC ซึ่งจะมีทั้งโรงแรมและสวนน้ำขนาดใหญ่ หรือโครงการวงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ ของเครือเซ็นทรัล ซึ่งจะสร้างศูนย์การค้าชายหาดระดับลักชัวรีให้กับพัทยา

     

    เหมาตลาดทั้งอยู่เองและปล่อยเช่า

    สำหรับโครงการวินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา ชนินทร์กล่าวว่ามีเป้าหมายตลาดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม 60% คือกลุ่มครอบครัวที่มองหาบ้านพักตากอากาศ และ 40% กลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่า

    ฮาบิแทท พัทยา
    ภาพตัวอย่างห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 75 ตร.ม. ห้องชุดที่โครงการนี้เป็นวิวทะเล (Sea View) ทุกยูนิต

    ทำให้การออกแบบห้องชุดจะมีหลายไทป์ให้เลือกเพื่อให้เหมาะกับทุกคน มีตั้งแต่ห้องชุด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 27-66 ตร.ม. แพ็กเกจราคาเริ่ม 4.79 ล้านบาท ซึ่งจะเหมาะกับกลุ่มนักลงทุน

    ไปจนถึงห้องแบบ 2-4 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 70-217 ตร.ม. ราคาตั้งแต่ 13-60 ล้านบาท ซึ่งห้องใหญ่แบบนี้จะเหมาะกับกลุ่มครอบครัวที่ต้องการหาห้องพักขนาดใหญ่ อยู่อาศัยได้หลายคนเมื่อมาพักผ่อน

    ชนินทร์ตั้งเป้ายอดขาย 50% ภายใน 1 ปี เชื่อว่าทำเลนี้น่าจะเป็นที่ต้องการ เพราะหาดวงศ์อมาตย์นี้เปรียบได้กับ ‘ถนนหลังสวนแห่งเมืองพัทยา’ ด้วยที่ดินฟรีโฮลด์ค่อนข้างหายาก จึงมีโครงการใหม่เปิดน้อย และวงศ์อมาตย์ยังเป็น 1 ใน 2 หาดของพัทยาที่ไม่มีถนนกั้นระหว่างชายหาดกับโครงการหรือโรงแรม (อีกหาดหนึ่งที่ไม่มีถนนกั้นคือหาดนาจอมเทียน) ทั้งหมดทำให้อัตราดูดซับของทำเลวงศ์อมาตย์สูงถึง 99% เหลือห้องชุดขายประมาณ 100 ยูนิตเท่านั้น

     

    “รัสเซีย” เป็นผู้ซื้อหลัก – “จีน” ยังซึมๆ

    ชนินทร์ระบุว่า ตลาดพัทยา 70% ยังอาศัยกำลังซื้อชาวไทยเป็นหลัก ส่วน 30% ที่เหลือเป็นตลาดต่างชาติ

    ปัจจุบันลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่ในพัทยาจะเป็นชาว “รัสเซีย” ตามด้วย อินเดีย ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะรัสเซียที่ดีมานด์สูงขึ้นมากเนื่องจากมีแรงบีบจากภายในประเทศ ต้องการย้ายออกเพื่อลี้ภัยสงคราม และประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายอันดับ 3 ของคนรัสเซียรองจากดูไบและตุรกี

    “ชนินทร์ วานิชวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด และ “ปีเตอร์ ลูคัส” กรรมการผู้จัดการ ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้

    ส่วนตลาด “จีน” ที่เคยเข้ามาช้อปอสังหาฯ ในพัทยาช่วงก่อนโควิด-19 ขณะนี้ยังซบเซา เพราะเศรษฐกิจภายในประเทศจีนไม่ดีนัก และภาคอสังหาฯ ในจีนเองก็เกิดปัญหา ทำให้ขณะนี้กลุ่มลูกค้าจีนที่เข้ามาจะมีเฉพาะระดับเศรษฐีที่พร้อมซื้อโปรดักส์ระดับลักชัวรี

    ด้านผลการดำเนินงานของทั้งบริษัท ปี 2566 ฮาบิแทท กรุ๊ป ตั้งเป้ารายได้ที่ 1,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท ปีนี้มีเปิดตัวโครงการเดียวคือ วินแดม แกรนด์ เรสซิเดนซ์ วงศ์อมาตย์ พัทยา

    ส่วนปี 2567 มีแผนจะเปิดโครงการแรกของบริษัทที่ จ.ภูเก็ต และจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ 3 โครงการ คือ วาลเด้น สุขุมวิท 39, วาลเด้น ทองหล่อ 8 และ รามาดา มิรา นอร์ธ พัทยา

    ]]>
    1445603
    กลุ่ม “เจียอาภา” เปิดโรงแรม “แอนดาซ” แห่งแรกในไทย ที่พักหรูแพงสุดคืนละ 5 แสนบาท! https://positioningmag.com/1408328 Tue, 15 Nov 2022 08:49:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408328 ตระกูล “เจียอาภา” ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทอาหารทะเลส่งออก “ซีเฟรช” เปิดธุรกิจส่วนตัวบนที่ดินสะสม “แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช” โดยแบรนด์แอนดาซเป็นแบรนด์ในเครือไฮแอท เปิดตัวที่นี่เป็นแห่งแรกในไทย หวังปั้นเป็นแม่เหล็กดึงกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์เข้าสู่พัทยา ไฮไลต์โรงแรมเป็นเรือนไทย 6 ห้องนอน รีโนเวตรับแขกเข้าพักสนนราคาคืนละ 5 แสนบาท

    ธุรกิจหลักคืออาหารทะเลส่งออก บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) แต่ธุรกิจส่วนตัวที่เป็น ‘แพสชัน’ ของตระกูล “เจียอาภา” คืออสังหาริมทรัพย์ โดยทั้งเจน 1 “ณฤทธิ์ เจียอาภา” และเจน 2 “ชินทัต เจียอาภา” ร่วมกันปั้นผ่าน บริษัท ชาร์เตอร์ สแควร์ โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทที่เริ่มจากการลงทุนอาคารสำนักงาน ชาร์เตอร์ สแควร์ บนถ.สาทรเหนือ เมื่อกว่า 20 ปีก่อน

    “ณฤทธิ์” เริ่มเล่าถึงที่มาของการเข้าลงทุนในพัทยาว่า เกิดจากครอบครัวสะสมที่ดินไว้ในพัทยามานาน รวมแล้วมีมากกว่า 1,000 ไร่ และเมื่อพัทยาเจริญขึ้นจากเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ทำให้ต้องการจะพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่เป็น ‘แลนด์มาร์ก’ ขึ้น

    เจียอาภา
    เจน 1 “ณฤทธิ์ เจียอาภา” และเจน 2 “ชินทัต เจียอาภา”

    เริ่มจากเมื่อปี 2561 เจียอาภาเปิดบริการ “สนามกอล์ฟ ชีจรรย์ กอล์ฟ รีสอร์ท”  ทำเลบริเวณเขาชีจรรย์ ใช้พื้นที่ 500 ไร่ ปัจจุบันเป็นสนามกอล์ฟที่ดีในระดับแถวหน้าของเมืองไทย

    ตามด้วยการพัฒนาที่ดินอีกแปลงหนึ่งติดหน้าหาดนาจอมเทียน-บางเสร่ โดยใช้ที่ดิน 38 ไร่ พัฒนาเป็นโรงแรม “แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช” จำนวนห้องพัก 204 ห้อง มูลค่าการลงทุน 5,300 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดแกรนด์โอเพนนิ่งวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566

     

    แพงสุดที่ “เรือนไทย” สนนราคาคืนละ 5 แสนบาท

    รายละเอียดของโรงแรม “แอนดาซ” เป็นแบรนด์ในเครือไฮแอทที่เปิดมาแล้ว 25 แห่งใน 16 ประเทศทั่วโลก คอนเซ็ปต์แบรนด์เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวลักชัวรีที่มีสไตล์ มีความเป็นตัวของตัวเอง และเน้นดีไซน์ที่เข้ากับท้องถิ่น เช่นที่แอนดาซ พัทยาฯ จะเน้นสถาปัตยกรรมสไตล์ไทย ตกแต่งด้วยเครื่องหัตถกรรมไทย และยังใช้สถาปนิกไทยในการออกแบบคือ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49)

    แอนดาซ พัทยา
    แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช หน้ากว้างติดหาด 170 เมตร

    โรงแรมแอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช จะเปิดที่เมืองไทยเป็นที่แรกที่นี่ ใช้คอนเซ็ปต์ทรอปิคอล เนื่องจากต้องการจะเก็บบรรยากาศความร่มรื่นเดิมของที่ดินที่มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก บางต้นมีอายุร่วมร้อยปี และยังเก็บเรือนไทยโบราณในที่ดินไว้เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมด้วย แต่นำมารีโนเวตให้ทันสมัยและบางหลังต่อเติมให้ใหญ่ขึ้น ได้แก่

    • President Heritage House ขนาด 1,000 ตร.ม. 6 ห้องนอน พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว
    • Manor House 4 ห้องนอน พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว
    • เรือนน้ำชา คาเฟ่บนเรือนไทยไม้สักแบบดั้งเดิม
    เรือนไทย 6 ห้องนอน President Heritage House สนนราคาคืนละ 5 แสนบาท

    President Heritage House นี้จะเปิดจองในราคาคืนละ 500,000 บาท นับว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดในพัทยา ส่วนห้องพักปกติราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 8,000 บาทต่อคืน แต่ในช่วงไฮซีซันเชื่อว่าจะทำราคาขึ้นไปได้ถึง 10,000-15,000 บาทต่อคืน

    เป้าหมายของเรือนไทยราคาระยับขนาดนี้ไม่ได้มองเฉพาะแขกผู้เข้าพัก แต่สามารถดัดแปลงเป็นสถานที่จัดอีเวนต์ ถ่ายทำภาพยนตร์/โฆษณาได้เช่นกัน

     

    เปลี่ยนพัทยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว “ไฮเอนด์”

    ด้วยทำเลของแอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช นั้นขยับออกมาจากกลางเมืองพัทยาที่เป็นแหล่งไนต์ไลฟ์ ทำให้เป้าหมายของที่นี่ต้องการจะดึงนักท่องเที่ยวด้วยมุมใหม่ เป็นพัทยาในโซนที่ยังคงเงียบสงบ

    บริเวณทางเข้าล็อบบี้

    “แพสชันของเราในการสร้างทั้งสนามกอล์ฟและโรงแรม เราต้องการจะสร้างตำนานมากกว่าธุรกิจ เพราะสนามกอล์ฟและโรงแรมแบบนี้ ถ้าคิดเรื่องเงินเป็นที่ตั้งจะไม่มีใครอยากทำ เพราะจริงๆ เนื้อที่ 38 ไร่เราทำ 3,000 ห้องก็ได้ แต่เราทำแค่ 204 ห้องเพราะเราต้องการความงาม ความสงบ เป็นสิ่งที่ยกระดับพัทยาได้ในทางอ้อมว่าพัทยาเรามีโรงแรมระดับโลก และดึงดูดคนระดับไฮเอนด์เข้ามา” ณฤทธิ์กล่าว

    ในเชิงความเป็นไปได้นั้น เครือไฮแอทให้ข้อมูลว่า โรงแรมระดับลักชัวรีในพัทยาทั้งที่เปิดแล้วและกำลังก่อสร้างมีราว 10 แห่ง ที่เปิดบริการแล้วปัจจุบันมีอัตราเข้าพักอยู่ที่ 72% จะเห็นได้ว่าเทรนด์โรงแรมหรูราคา 10,000 บาทต่อคืนขึ้นไปนั้นกำลังมาแรง

    Positioning สำรวจตลาดโรงแรมหรูพัทยา พบว่าแบรนด์ใหญ่ๆ ที่มาปักหมุดทำเลแล้ว เช่น ฮิลตัน พัทยา, อินเตอร์คอนติเนนตัล พัทยา, เรเนซองส์ พัทยา, ยู พัทยา เป็นต้น

    ตัวอย่างห้องพักแบบ Deluxe

    ณฤทธิ์กล่าวว่า โรงแรมหรูกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นเพราะเจ้าของธุรกิจ/ซีอีโอบริษัทที่มีโรงงานในพื้นที่อีอีซี กลุ่มนี้จะต้องการที่พักระดับลักชัวรี แต่โรงแรมหรูในพัทยาไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก รวมถึงนักท่องเที่ยวที่จะบินเข้ามาจากทั่วโลก ทำให้เชื่อว่าปี 2566 อัตราเข้าพักโรงแรมแอนดาซ พัทยาฯ น่าจะแตะ 70%

     

    ที่ดินเหลือรอบสนามกอล์ฟ รอจังหวะปลูกบ้านเดี่ยว

    ด้านชินทัตกล่าวต่อว่า โครงการอสังหาฯ แห่งต่อไปยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัด แต่ที่เล็งเห็นศักยภาพคือ ที่ดินรอบสนามกอล์ฟชีจรรย์ ปัจจุบันคุณพ่อนำไปลงทุนสวนทุเรียนอีก 100 ไร่ แต่ก็ยังเหลืออยู่ถึง 400 ไร่ที่มองว่าสามารถพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรรอบสนามกอล์ฟได้

    เป้าหมายคล้ายกับโรงแรมแอนดาซ พัทยาฯ คือเห็นว่ามีนักธุรกิจ ผู้บริหารระดับสูง ต้องการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ในพัทยามากขึ้น

    เจียอาภา
    สนามกอล์ฟชีจรรย์

    สำหรับสนามกอล์ฟชีจรรย์ ชินทัตกล่าวว่าช่วงโควิด-19 ถือเป็นช่วงที่ท้าทายมากเพราะจะมีระยะที่ถูกรัฐสั่งปิดเพื่อป้องกันโรคระบาด แต่ปัจจุบันลูกค้ากลับมาเป็นปกติแล้ว จากช่วงปี 2562 มีนักกอล์ฟเข้าสนาม 20,000 กว่าคน ปี 2565 นี้เชื่อว่าจะมีนักกอล์ฟแตะ 30,000 คน โดย 70% เป็นชาวต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น โดยเป้าหมายสูงสุดต้องการให้มีนักกอล์ฟเข้าสนามปีละ 35,000 คน ทำให้ใกล้จะถึงเป้าหมายแล้ว

    ที่ดินของตระกูลเจียอาภายังมีอีกหลายแปลง รวมถึงในกรุงเทพฯ ด้วย แปลงหนึ่งในซอยคอนแวนต์เพิ่งตัดขายให้กับกลุ่มพราวด์หลังครอบครัวตัดสินใจพับโครงการโรงแรมไป อย่างไรก็ตาม ชินทัตเล็งทำเลที่ดิน 4 ไร่ของตระกูลบน ถ.เชื้อเพลิง ที่อนาคตอาจจะพัฒนาเป็นโครงการอสังหาฯ ได้เช่นกัน

    ]]>
    1408328
    “ฮาบิแทท” จับมือทุนท้องถิ่น “เฮงตระกูล” ขึ้นโครงการพูลวิลล่า “พัทยา” ตอบรับท่องเที่ยวฟื้น https://positioningmag.com/1404578 Tue, 18 Oct 2022 10:12:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1404578 “ฮาบิแทท” ร่วมทุน “เฮงตระกูล” ทุนท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี ขึ้นโครงการ “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา” วิลล่าระดับกลางบนราคา 8-15 ล้านบาท ตั้งเป้าขายทั้งกลุ่มซื้ออยู่เองและนักลงทุน ตอบรับธุรกิจท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ฝากความหวังรัฐปลดล็อกต่างชาติซื้อที่ดินได้ ช่วยเร่งยอดขายได้ทันที

    “ชนินทร์ วานิชวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ “รัฐกิจ เฮงตระกูล” เจ้าของที่ดินที่จะนำมาพัฒนา เปิดเผยถึงความร่วมมือการเปิดโครงการใหม่ “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา” มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท บนเนื้อที่ดิน 51 ไร่ (รวมสองเฟส) ถือเป็นโครงการพูลวิลล่าขนาดใหญ่ในทำเลห้วยใหญ่ เมืองพัทยา

    โครงการนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายจับมือกันผ่านการตั้ง บริษัท ฮาบิแทท วิลล่า จำกัด โดยฮาบิแทท กรุ๊ป ลงทุน 70% และฝั่งเฮงตระกูลลงทุน 30% จากนั้นใช้บริษัทนี้จัดซื้อที่ดินของตระกูลเข้ามาในบริษัทเพื่อพัฒนาโครงการ

    ฮาบิแทท เฮงตระกูล พัทยา
    ชนินทร์ วานิชวงศ์ และ รัฐกิจ เฮงตระกูล

    ชนินทร์กล่าวว่า เฟสแรกของโครงการจะเปิดพรีเซลก่อน 65 หลัง เริ่มขายเดือนพฤศจิกายนนี้ ราคาพรีเซล 8-15 ล้านบาท ส่วนเฟสสองคาดว่าจะมีอีกมากกว่า 100 หลัง น่าจะเริ่มเปิดขายได้ไตรมาส 3 ปี 2566 และน่าจะปรับราคาขึ้นได้อีก 5-7% จากเฟสแรก

    ฮาบิแทท กรุ๊ป นั้นถือเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ลงทุน ‘Vacation Home’ มามาก โดยใน 12 โครงการที่บริษัทเคยพัฒนา มี 8 โครงการที่เป็นลักษณะคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักตากอากาศ หลายโครงการจะเป็น Branded Residences ใช้แบรนด์โรงแรมในการบริหาร ทำให้ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนได้ดี

    ก่อนหน้าที่จะมีโครงการนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ปเคยพัฒนาพูลวิลล่ามาแล้ว 2 แห่ง คือ The Ville จอมเทียน เป็นพูลวิลล่า 80 หลัง ราคา 8-13 ล้านบาท และ ครอสทู (X2) พัทยา โอเชียนเฟียร์ พูลวิลล่า 59 หลัง ราคา 10-15 ล้านบาท โครงการนี้เองที่นับว่าสร้างชื่อเสียงให้ฮาบิแทท กรุ๊ป เพราะเมื่อสร้างเสร็จเปิดบริการเป็นโรงแรมในปี 2561 โรงแรมได้รับความนิยมมากในแง่การออกแบบที่มีรสนิยม ทำให้ได้อัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 70% ต่อปี (ก่อนโควิด-19)

     

    พูลวิลล่าโครงการใหญ่ เจาะตลาดกลางบน

    ชนินทร์กล่าวต่อไปว่า จากทั้งสองโครงการก่อนหน้าที่ประสบความสำเร็จ ขายหมดภายใน 2 ปี และการวิจัยตลาดพัทยาพบว่า โครงการรูปแบบพูลวิลล่ามีไม่มากนัก คือมีเพียง 541 ยูนิต และทำยอดขายได้ 73% ถือว่าเป็นตลาดที่มีดีมานด์

    ส่วนกลางโครงการไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา

    ทำให้ปีนี้บริษัทกลับมาลงทุนพูลวิลล่าอีกครั้ง และครั้งนี้มาด้วยโครงการที่ใหญ่กว่าเดิม สามารถเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ 3 ไร่ไว้รองรับลูกบ้านได้ โดยจะมีทั้งคลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ และจ็อกกิ้ง แทร็ค เชื่อว่าจะเป็นจุดขายสำคัญให้กับโครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา เพราะโครงการพูลวิลล่าอื่นๆ ในพัทยาส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กเพียง 5-15 หลัง ทำให้มักจะไม่มีส่วนกลางหรือมีน้อย

    ส่วนรูปแบบบ้านเป็นพูลวิลล่าทุกหลัง ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ทุกหลังเช่นกัน เพราะจากการบริหาร The Ville จอมเทียน ทำให้ทราบว่ากลุ่มลูกค้าผู้เช่ามักจะต้องการบ้านหลังใหญ่ บ้านที่มี 4 ห้องนอนขึ้นไปมีโอกาสปล่อยเช่าดีกว่าบ้านขนาด 3 ห้องนอน เพราะผู้เช่ามักจะเดินทางมาเป็นครอบครัวใหญ่ หรือเป็นเพื่อนฝูงมาเที่ยวร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่

    ฮาบิแทท พัทยา
    (บน) แบบบ้านโรสวู้ด (ล่าง) แบบบ้านแคสเซีย

    ส่วนระดับราคา 8-15 ล้านบาทก็เชื่อว่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายในพัทยา เป็นราคาระดับกลางบนที่ทำยอดขายได้ดีในพื้นที่

    ชนินทร์กล่าวว่า เป้าหมายลูกค้าน่าจะมีทั้งกลุ่มที่ซื้ออยู่เองเพื่อเป็นบ้านตากอากาศหรือบ้านหลังเกษียณ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่า คาดผู้ซื้อจะเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย 70% และต่างชาติ 30%

    ทั้งนี้ โครงการนี้ฮาบิแทท กรุ๊ปไม่ได้มีการทำสัญญารับบริหารเหมือนเคย เพราะไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงแรม ลูกค้าที่ต้องการซื้อปล่อยเช่าสามารถดำเนินการเองได้

     

    ปี’66 ผู้เช่าระยะยาวจากต่างประเทศจะกลับมา

    ในด้านการปล่อยเช่าพูลวิลล่าในพัทยา ชนินทร์กล่าวว่าขณะนี้ผู้เช่าส่วนใหญ่ 70% จะเป็นคนไทยซึ่งนิยมมาเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ และ 30% เป็นชาวต่างชาติที่นิยมพักระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปี 2566 จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน ผู้เช่าพูลวิลล่าน่าจะเป็นคนไทยกับต่างชาติฝั่งละ 50:50 และต่อไปก็น่าจะมีชาวต่างชาติเช่ามากกว่า เพราะสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

    ก่อนหน้าโควิด-19 เมืองพัทยาเป็นจุดหมายสำคัญของผู้เช่าต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน, ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียจะนิยมเช่าบ้าน เพราะต้องการพักระยะยาวหนีหนาว 3-4 เดือนต่อปี

    สำหรับราคาค่าเช่าพูลวิลล่าระดับกลางบนในพัทยาจะอยู่ที่คืนละ 7,000-10,000 บาท ทำให้ถ้าหากลงทุนซื้อบ้านราคา 12 ล้านบาท และสามารถปล่อยเช่าได้อย่างน้อย 60% หรือเฉลี่ยประมาณ 18 คืนต่อเดือน คาดว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนการเช่า (yield) ราว 7% ต่อปี

    ชนินทร์ยังกล่าวถึงมาตรการรัฐที่มีแนวทางจะปลดล็อกให้ต่างชาติซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยในไทยได้ไม่เกิน 1 ไร่ว่า หากมาตรการนี้เกิดขึ้นจริง เชื่อว่าจะทำให้ยอดขายโครงการบ้านพักตากอากาศดีขึ้นทันที เพราะดีมานด์ต่างชาติมีอยู่เสมอ เฉพาะชาวจีนที่ทำงานในประเทศไทยก็พร้อมที่จะเข้าซื้อจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มยุโรปที่ต้องการซื้อบ้านเพื่อเกษียณอายุด้วย

    ฝั่งเฮงตระกูลนั้นยังมีที่ดินเปล่าอยู่ในจ.ชลบุรีอีกราว 20-30 แปลง รวม 300-400 ไร่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมีการลงทุนร่วมกันต่อหรือไม่และจะเป็นที่ไหน ขอรอดูผลตอบรับของโครงการนี้ก่อน

    ]]>
    1404578
    “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” มอลล์หรูติดหาด ยกระดับรีเทลรูปแบบพิเศษของ “เซ็นทรัล” https://positioningmag.com/1384365 Mon, 09 May 2022 07:43:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1384365 “แหงนหน้าเห็นท้องฟ้า ระดับสายตาเห็นต้นไม้ ก้าวเท้าเหยียบผืนทราย” คือแนวคิดการออกแบบโปรเจ็กต์รีเทลใหม่ของ “เซ็นทรัล” ที่ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” เห็นภาพการสร้างศูนย์การค้าที่แตกต่าง โดยจะเป็นมอลล์แห่งแรกในไทยที่มีพื้นที่ติดหน้าหาดแบบไม่มีถนนกั้น พร้อมถมทรายในโครงการ เป็น ‘บีช ปาร์ค’ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่

    โปรเจ็กต์พิเศษนี้อยู่ภายใต้การนำของ “พงศ์ ศกุนตนาค” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล หน่วยธุรกิจที่ดูแลโครงการรีเทลพิเศษของเซ็นทรัลซึ่งไม่อยู่ภายใต้เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือเซ็นทรัลพัฒนา ปัจจุบันมีโครงการในมือ 10 แห่ง เช่น ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, ตลาดจริงใจ เชียงใหม่, ไชน่าเวิลด์ วังบูรพา, หัวหมาก ทาวน์เซ็นเตอร์, มาร์เก็ต เพลส วงศ์สว่าง รวมแล้วทำรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี

    ทำให้โครงการ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” จะเป็นโครงการที่ 11 และพลิกโฉมการพัฒนารีเทลแบบดั้งเดิม เพราะคอนเซ็ปต์โครงการออกแบบเป็น Unique Natural Beach Park and Lifestyle Mall แห่งแรกของประเทศไทย ใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท

    ทำเลที่ตั้ง วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ ติดหน้าหาด (ภาพจาก: Google Maps)

    ทำเลของโครงการนี้เป็นที่ดินเก่าของ “เซ็นทรัล” ตั้งอยู่ติดหาดวงศ์อมาตย์ ห่างจากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช พัทยา 200 เมตร เดินทางเข้าได้ทั้งทางซอยนาเกลือ 16 และซอยนาเกลือ 18 พื้นที่โครงการแบ่งเป็น 3 เฟส บริเวณติดหาดเฟส 1-2 พื้นที่ 13 ไร่ และเฟส 3 มีพื้นที่ 55 ไร่

    ด้วยความที่ทำเลติดหน้าหาดกว้าง 90 เมตรโดยไม่มีถนนกั้น ทำให้เป็นมอลล์แห่งแรกที่สามารถออกแบบเป็น บีช ปาร์ค ได้ การออกแบบโครงการจะกลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด ร้านค้าทั้งหมดจะเป็นอาคารชั้นเดียว ถมทรายภายในโครงการให้เหมือนกับเดินบนชายหาด เก็บต้นไม้ใหญ่ไว้ และมีพื้นที่สีเขียวถึง 75% นักท่องเที่ยวจะได้บรรยากาศความสงบ ไม่แออัด

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

    ด้านการวางคอนเซ็ปต์ไลฟ์สไตล์ จะแบ่งพื้นที่ 70% ให้กับร้านอาหาร คาเฟ่ และ 30% เป็นร้านค้าปลีก เน้นการเป็น Central of Life คือสามารถเข้ามาใช้ชีวิตได้ทุกกลุ่ม ทุกวัย อยู่ได้ทั้งวัน ตั้งแต่มื้อเช้า จิบกาแฟ ทานอาหารกลางวัน ช้อปปิ้ง ชมพระอาทิตย์ตกดิน ทานอาหารเย็น และปาร์ตี้ยามค่ำคืน

    ไฮไลต์อีกส่วนคือ “กิจกรรม” ที่จะใช้ประโยชน์เต็มที่จากพื้นที่ติดหาดของศูนย์ฯ เช่น กิจกรรมโยคะ วาดภาพ วอลเลย์บอลชายหาด ชมภาพยนตร์ริมหาด จนถึงงานดนตรี

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

     

    เจาะกลุ่มเป้าหมาย “ตลาดบน”

    พงศ์กล่าวต่อว่า เซ็กเมนต์ที่มุ่งเป้าของ “วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ” จะเป็นกลุ่มระดับบน ให้สอดคล้องกับพื้นที่รอบข้าง เพราะบริเวณหาดวงศ์อมาตย์เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ แวดล้อมด้วยโรงแรม 5 ดาว ทำให้ร้านค้า-ร้านอาหารจะเป็นระดับพรีเมียม ขณะนี้มีจองพื้นที่แล้ว 50% จากร้านค้า 29 ร้าน ค่าเช่าที่เฉลี่ย 5,000 บาทต่อตร.ม.

    แผนผังร้านค้าในโครงการ เฟส 1 และ 2 ส่วนเฟส 1 นั้นจะมีสนามเด็กเล่นไว้รองรับกลุ่มครอบครัว และเฟส 2 จะมีฟาร์มออร์แกนิกส์ด้วย

    ร้านที่เปิดเผยได้แล้วว่าจะมีการเปิดสาขาคือ Siwilai City Club ขยายออกจาก เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และจากภาพเพอร์สเปคทีฟ เราอาจจะได้เห็น % Arabica สาขาใหม่ที่นี่

    กลุ่มเป้าหมายของโครงการ พงศ์คาดว่าจะเป็นชาวไทย 60-70% และชาวต่างชาติ 30-40% และหากมองในระยะยาว เมื่อเฟส 3 สร้างเสร็จ คาดว่าจะมีทราฟฟิกเข้ามาถึงปีละ 1 ล้านคน เพราะอนาคตพัทยาจะมีรถไฟความเร็วสูงตัดผ่าน และจะทำให้การมาพัทยาสะดวกยิ่งขึ้น

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

    เฟสแรกของโครงการคาดสร้างเสร็จธันวาคม 2565 และเฟส 2 จะสร้างต่อเนื่องในปี 2566 ส่วนเฟส 3 นั้นยังต้องรอรายละเอียดต่อไปว่า “เซ็นทรัล” จะออกแบบพัฒนาอย่างไร

    สำหรับโปรเจ็กต์พิเศษลักษณะนี้ที่อยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล พงศ์ระบุว่า ปกติจะใช้เวลา 2-3 ปีในการเปิดตัว 1 โครงการ โครงการก่อนหน้านี้ที่เปิดไปคือ ปอร์โต เดอ ภูเก็ต ศูนย์การค้าแบบ open air ย่านหาดบางเทา ซึ่งในช่วงเปิดตัวใหม่ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี แต่โชคร้ายที่หลังเปิดตัวเพียง 4 เดือนก็เผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 แต่เชื่อว่าหลังจากเปิดประเทศแล้วจะกลับมาคึกคัก ทำให้บริษัทเตรียมขยายเฟส 2 ต่อช่วงปี 2566

    พื้นที่พัทยานั้นกำลังเนื้อหอมรับการเปิดประเทศ นอกจากกลุ่มเซ็นทรัลแล้ว ก่อนหน้านี้ AWC ของตระกูลสิริวัฒนภักดีก็เพิ่งแย้มรายละเอียดโครงการ อควอทิค พัทยา บริเวณพัทยากลาง ติดตามอ่านได้ที่นี่

    ]]>
    1384365
    AWC ควง IHG เปิดโรงแรมหรูแบรนด์ใหม่ “Vignette” ในโครงการมิกซ์ยูส “อควอทิค” พัทยา https://positioningmag.com/1348712 Thu, 26 Aug 2021 08:29:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1348712 อสังหาฯ กลุ่มเจ้าสัวเจริญ “AWC” เซ็นสัญญาแบรนด์ใหม่ “Vignette” (วีนแยทท์) ของเครือโรงแรม IHG เปิดในโครงการมิกซ์ยูสหมื่นล้าน “อควอทิค” (Aquatique) ติดหน้าหาดพัทยา คาดเปิดบริการปี 2567

    บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมด้วย IHG Hotels & Resort แถลงข่าวร่วมกันเปิดโครงการโรงแรมแบรนด์ใหม่ “Vignette” (เดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น) ในโครงการมิกซ์ยูส “อควอทิค” (Aquatique) ติดหน้าหาดพัทยา

    โดย “วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เปิดเผยว่า โครงการอควอทิค จะเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่พลิกโฉมพื้นที่พัทยากลาง ใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท พัฒนาบนพื้นที่ทำเลเดิมที่เคยเป็นโรงแรมแกรนด์ โซเล่ พัทยา ใกล้กับโรงแรมฮาร์ดร็อค

    ภาพโดยสังเขปจาก Google Maps

    ภายในโครงการจะมีโรงแรมทั้งหมด 5 แบรนด์ โดย 2 ใน 5 แบรนด์นี้ร่วมกับเชนของ IHG ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ จะมีทั้งโซนความสนุกและความบันเทิง เน้นไลฟ์สไตล์ริมชายหาด โซนค้าปลีก เวลเนส ที่อยู่อาศัย และกีฬา

    สำหรับ โรงแรมเดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น จะเป็นส่วนแรกของโครงการที่เปิดบริการก่อน โดยเป็นโรงแรมไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2565 แล้วเสร็จปี 2567 ใช้งบลงทุนเฉพาะส่วนนี้ 1,900 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบพัฒนา จะมีจำนวนห้องพักราว 240 ห้อง

     

    เปิดแบรนด์ใหม่รับโรงแรมเล็ก

    ด้าน “เซเรน่า ลิม” รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG อธิบายถึง Vignette Collection ว่าเป็นแบรนด์ใหม่ภายใต้เครือ IHG คอนเซ็ปต์คือ “ช่วงเวลารื่นรมย์บันดาลใจ” โดยเป็นโรงแรมที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละทำเล เหมาะกับโรงแรมขนาดเล็กที่ต้องการเก็บกลิ่นอายความเป็นตัวของตัวเองในพื้นที่ แต่จะมีทิศทางการบริหารแบบเดียวกันคือเน้นด้านความยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน

    Hotel X บริสเบน ออสเตรเลีย โรงแรมอีกแห่งหนึ่งที่จะเข้าใช้แบรนด์วีนแยทท์ (Photo : IHG)

    “เราพบว่าทั่วโลกมีโรงแรมขนาดเล็กถึง 1.5 ล้านห้อง ซึ่งสร้างมูลค่าการตลาด 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แบรนด์ใหม่อย่างวีนแยทท์จะช่วยคงเอกลักษณ์เฉพาะของโรงแรมเล็กไว้ได้ แต่เครือ IHG จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการตลาดและเครือข่ายฐานลูกค้าให้” เซเรน่ากล่าวถึงที่มาการเปิดแบรนด์ใหม่ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเผชิญความท้าทาย

    โรงแรมเดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น พัทยาถือเป็นหนึ่งใน 2 แห่งแรกของโลกที่ IHG ได้เซ็นสัญญาแล้ว อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริสเบน ออสเตรเลีย และมีอีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างเจรจา เซเรน่าตั้งเป้าว่าวีนแยทท์จะได้เซ็นสัญญาครบ 100 แห่งภายใน 10 ปีข้างหน้า

     

    ระยะยาวธุรกิจโรงแรมจะกลับมา

    IHG ยังคงมั่นใจในตลาดโรงแรม โดย “ราจิต สุขุมารัน” กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี IHG ระบุว่าขณะนี้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญความท้าทาย เพราะส่วนใหญ่ยังปิดพรมแดนและการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับนโยบายวัคซีน แต่บริษัทมองตลาดที่เริ่มเปิดการท่องเที่ยวแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา จีน บางโรงแรมกลับมาทำรายได้ได้มากกว่าปี 2561-62 ดังนั้น ช่วงนี้โรงแรมในภูมิภาคนี้ต้องปรับตัวเพื่อฝ่าวิกฤตไปให้ได้ก่อน

    “ประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจะกลับมาได้อย่างแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นหลังเผชิญวิกฤต 9/11 โรคซาร์ส หรือวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์” ราจิตกล่าว โดยรายงานเพิ่มเติมว่าช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ IHG เซ็นสัญญาโรงแรมใหม่ไปกว่า 200 แห่งทั่วโลก สะท้อนว่าเจ้าของโรงแรมบางส่วนยังมั่นใจในศักยภาพระยะยาวของธุรกิจ

    รวมถึงวัลลภาแห่ง AWC ด้วย เธอมองสถานการณ์ในระยะยาวมากกว่า โดยเชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีคุณค่าการท่องเที่ยว การลงทุนใหม่ของ AWC ที่พัทยาจะมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นจังหวะที่การท่องเที่ยวน่าจะกลับมาแล้วอย่างเต็มที่ รวมถึงพัทยายังเป็นทำเลที่ดีเพราะเป็นชายหาดที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด

    ]]>
    1348712
    “ฮาบิแทท” ประเมินปี’64 โรงแรมบูทีคใน “พัทยา” ยังไปต่อได้ รอจังหวะเปิดเพิ่ม 2 โครงการ https://positioningmag.com/1310196 Mon, 14 Dec 2020 09:58:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310196 “ฮาบิแทท” บริษัทพัฒนาอสังหาฯ เพื่อการลงทุน มองสถานการณ์โรงแรมใน “พัทยา” ฟื้นกลับมาได้ในกลุ่มโรงแรมบูทีคซึ่งเป็นเป้าหมายท่องเที่ยวของคนไทย ประเมินปี 2564 ยังเป็นตลาดไทยต่อเนื่อง ครึ่งปีหลังลุ้นเปิดประเทศรับต่างชาติ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 2 แห่งในพัทยาหากตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคัก ส่วนตลาดกรุงเทพฯ ขอรอดูดซับอีก 1-2 ปี เบนเข็มศึกษาโครงการแนวราบ

    ในวิกฤตเป็นโอกาสของบางกลุ่มเสมอ “ชนินทร์ วานิชวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมในเมืองพัทยาช่วงหลังคลายล็อกดาวน์ พบว่า โรงแรมครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ เรสซิเดนซ์ และ โรงแรม ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ ของบริษัท มีผลประกอบการที่ดีขึ้นยิ่งกว่าช่วงก่อนล็อกดาวน์ โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 70-80% เทียบกับช่วงก่อนล็อกดาวน์มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 60%

    ที่เป็นเช่นนั้น ชนินทร์มองว่าเป็นเพราะกระแสการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย โดยพัทยาเป็นตัวเลือกอันดับ 1 เพราะใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเพียง 2-3 ชั่วโมง และคนไทยปัจจุบันนิยมโรงแรมแบบบูทีค มีเอกลักษณ์ มีมุมสวยๆ และกิจกรรมให้ถ่ายรูป รวมถึงขนาดโรงแรมไม่ใหญ่ จำนวนไม่เกิน 300 ห้อง ทำให้การเข้าพักไม่แออัด ลดความเสี่ยงการติดเชื้อและเป็นส่วนตัวกว่า

    โรงแรมครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ เรสซิเดนซ์ พูลวิลล่าหรูราคา 7,000 บาทต่อคืนขึ้นไป

    ไม่ใช่เฉพาะโรงแรมในกลุ่มฮาบิแทท ชนินทร์กล่าวว่า โรงแรมบูทีคอื่นก็มีผลประกอบการที่ดีเช่นเดียวกัน ขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่ เจาะตลาดกรุ๊ปทัวร์ด้วยราคาห้องพักประมาณ 1,000 บาทต่อคืน จะประสบปัญหามากกว่าเพราะขาดกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศ ปัจจุบันยังมีอัตราเข้าพักต่ำ บางโรงแรมลงไปอยู่ที่ 20% เท่านั้น

    ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ เรสซิเดนซ์ นั้นเป็นโรงแรมแบบพูลวิลล่าจำนวนเพียง 59 หลัง ราคาเฉลี่ย 7,000 บาทต่อคืนขึ้นไป ส่วนครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ เป็นโรงแรมขนาดเล็ก 65 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 2,500-3,000 บาทต่อคืน

    สำหรับปี 2564 แม้จะมีข่าววัคซีนวิจัยสำเร็จและเริ่มใช้แล้วในต่างประเทศ แต่มองว่ากว่าที่ประเทศไทยจะเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาได้เต็มที่ อย่างเร็วที่สุดคือช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น จะยังคงเน้นตลาดคนไทยอย่างต่อเนื่อง

     

    สะดุด 2 เดือนกลางปี ก่อนกลับมาเป็นปกติ

    ฮาบิแทท กรุ๊ป นั้นเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่พัฒนาโครงการเน้นการลงทุนแบบ Lifestyle Investment กล่าวคือ บริษัทพัฒนาโครงการเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อขาย แต่จะทำสัญญาเช่าเพื่อนำมาบริหารเป็นโรงแรมทั้งโครงการ โดยให้แพ็กเกจการันตีผลตอบแทน (yield) 6% คงที่ช่วง 3 ปีแรก ส่วนปีที่ 4 เป็นต้นไป แบ่งกำไรตามจริงให้เจ้าของห้องชุด 70% และของบริษัท 30% โดยเจ้าของห้องมีสิทธิเข้าพักในห้องชุดของตน 14 วันต่อปี ขณะนี้มีโครงการที่ใช้โมเดลธุรกิจนี้ในพัทยาสะสม 6 โครงการ

    โครงการเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา ก่อสร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 100% เตรียมเปิดบริการเป็นโรงแรมภายใน Q1/64

    ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดบริการเป็นโรงแรมแล้วภายใต้เชนครอสทู 2 แห่ง ขณะที่ปี 2564 จะมีอีก 3 โครงการสร้างเสร็จเปิดใหม่ภายใต้เชนโรงแรมเบสท์ เวสเทิร์นกับโรงแรมวินด์ดัม ส่วนอีก 1 โครงการยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง

    ด้วยโมเดลธุรกิจที่การันตียีลด์ให้ลูกค้าช่วง 3 ปีแรก ทำให้บริษัทต้องบริหารความเสี่ยงและทำกำไรให้ได้ โดยชนินทร์กล่าวว่า ปีนี้มีโรคระบาด COVID-19 ทำให้โรงแรมต้องปิดไป 2 เดือนช่วงเมษายน-พฤษภาคม’63 แต่เมื่อเปิดบริการอีกครั้ง จุดเด่นของโรงแรมที่ตรงกับความต้องการคนไทย ประกอบกับการตลาดแบบ Influencer Marketing ช่วยให้มีอัตราเข้าพักสูงยิ่งขึ้น เมื่อเฉลี่ยรวมทั้งปีแล้ว บริษัทยังมีกำไรตามปกติ สามารถจ่ายผลตอบแทนให้ลูกค้าได้

    ขณะเดียวกัน ฝั่งนักลงทุนแม้จะหดตัวไปช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม’63 เช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ โดยบริษัทเน้นนำเสนอการลงทุนที่ได้กำไรแน่นอน แทนที่การลงทุนในตลาดหุ้นที่ช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนสูง
    ทำให้ตลอดปี 2563 คาดว่าจะปิดยอดขายได้ที่ 1,800 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 20-30%

     

    รอจังหวะเปิดอีก 2 โครงการพัทยา

    จากการบริหารโรงแรมในพัทยาที่สามารถโชว์ผลงานสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ทำให้บริษัทคาดหวังว่าปี 2564 จะได้เปิด 2 โครงการใหม่ในพัทยาที่เลื่อนมาจากปีนี้ โดยจะเป็นคอนโดฯ ไฮไรส์ทั้ง 2 โครงการ ที่ดินแห่งละ 5-10 ไร่ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทำเลและมูลค่าโครงการ

    “ชนินทร์ วานิชวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด

    ในแง่แพ็กเกจการันตียีลด์ ชนินทร์กล่าวว่า จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะปรับลดการการันตีสำหรับโครงการใหม่ลงหรือไม่ท่ามกลางสภาวะตลาดท่องเที่ยวที่ยังมีความเสี่ยง

    “ทั้งสองแห่งพร้อมแล้ว แต่อาจจะเปิดแบบ soft launch เงียบๆ ก่อน รอจังหวะตลาดที่เหมาะสมแล้วค่อย grand opening ความเป็นไปได้คือน่าจะเป็นช่วงครึ่งปีหลัง” ชนินทร์กล่าว

     

    คอนโดฯ กรุงเทพฯ ยังขายช้า เตรียมฉีกไปทำแนวราบ

    สำหรับทำเลกรุงเทพฯ ฮาบิแททก็มีโครงการพัฒนาเช่นกัน แต่ไม่มีแพ็กเกจการันตียีลด์ จะปรับเป็นดีลพาร์ทเนอร์ JALUX จากญี่ปุ่นเข้ามาช่วยบริหารโครงการและจัดหาผู้เช่า ทำให้โครงการยังเน้นลูกค้านักลงทุน แต่จะอยู่อาศัยเองก็ได้เช่นกัน โดยบริษัทพัฒนาโครงการในตลาดกลางบนเป็นหลัก ราคาขายอยู่ในช่วง 5-10 ล้านบาท หรือเฉลี่ยไม่เกิน 2 แสนบาทต่อตร.ม.

    อย่างไรก็ตาม ชนินทร์ฉายภาพว่าตลาดคอนโดฯ ระดับกลางบนในกรุงเทพฯ เคยขึ้นไปพีคสุดคือช่วงปี 2561 ก่อนจะเริ่มผ่อนแรงลงในปี 2562 เมื่อภาครัฐบังคับใช้มาตรการเข้มงวดเกณฑ์ LTV มีผลกับลูกค้าไทย และเศรษฐกิจโลกผันผวนจากสงครามการค้าซึ่งมีผลกับลูกค้าต่างประเทศ มาถึงปี 2563 มีปัญหา COVID-19 ซ้ำเติมทำให้การขายยิ่งช้าลง ยกตัวอย่างโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 ของบริษัทซึ่งเปิดตัวปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบันยังมียอดขายเพียง 30%

    โครงการวาลเด้น ทองหล่อ 8

    สถานการณ์ที่พลิกผันทำให้ฮาบิแททตัดสินใจขายที่ดินกลางกรุงเทพฯ ที่เก็บไว้ไปแล้ว 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินซอยสุขุมวิท 31 เนื้อที่ราว 300 ตร.ว. และที่ดินซอยสุขุมวิท 8 เนื้อที่ราว 1 ไร่ เพื่อเบนเข็มไปลงทุนโครงการแนวราบแทน

    “กำลังศึกษาโครงการแนวราบทั้งในพัทยาและกรุงเทพฯ มองว่าในกลุ่มราคา 5-15 ล้านบาทยังขายได้ แต่จะเป็นโครงการรูปแบบไหน เป็นโครงการเพื่อการลงทุนหรือไม่ คิดว่าจะสรุปได้ภายในครึ่งปีแรก 2564” ชนินทร์กล่าว

    ส่วนคอนโดฯ กรุงเทพฯ ที่เปิดไปแล้วคงยังไม่เปิดตัวเพิ่มเร็วๆ นี้ เพราะตลาดน่าจะใช้เวลาดูดซับอีก 1-2 ปี น่าจะกลับมาบูมได้อย่างเร็วที่สุดต้องรอปี 2565

    ]]>
    1310196
    AWC ตีตลาดไมซ์พัทยา-ภูเก็ต เปิดมิกซ์ยูสรีเทล-โรงแรม ดึงเชน “แมริออท” บริหาร https://positioningmag.com/1253669 Thu, 14 Nov 2019 08:11:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1253669 AWC เปิดโครงการ AWC Center Pattaya รับตลาดไมซ์ประเทศไทยเติบโต พัฒนาโรงแรม 2 แห่ง พ่วงอีก 1 แห่งใจกลางเมืองภูเก็ต เซ็นสัญญาแมริออทเชนโรงแรมระดับโลกเข้าบริหาร

    บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ประกาศการลงทุนโครงการมิกซ์ยูส AWC Center Pattaya จำลองกลิ่นอายบรรยากาศแบบเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่เมืองพัทยา พื้นที่ประกอบด้วยรีเทล ส่วนพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงโรงแรมอีก 2 แห่ง คือ เจดับบลิว แมริออท เดอะ พัทยา บีช รีสอร์ท จำนวนห้องพัก 1,298 ห้อง และ พัทยา แมริออท มาร์คีส์ ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์

    ขณะที่ในภูเก็ต บริษัทเตรียมลงทุนโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ใจกลางตัวเมือง จำนวน 248 ห้อง โดยเป็นการปรับโฉมจากโรงแรมเก่าคือเมโทรโพล ภูเก็ต ซึ่งแวดล้อมด้วยตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส สัญลักษณ์ของเมือง

    วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวถึงการลงทุนและความร่วมมือกับเครือแมริออท ว่า บริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ไทยที่เติบโต 47.6% ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงความคืบหน้าของโครงการ EEC ในภาคตะวันออก ที่ทำให้บริษัทเข้าลงทุนที่พัทยา ส่วนภูเก็ตนั้นเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวระดับโลกของประเทศ และโรงแรมแห่งใหม่ของบริษัทร่วมกับเชนแมริออทจะเข้าไปพลิกโฉมการท่องเที่ยวของเมืองภูเก็ต

    ด้าน เครก เอส สมิธ ประธานบริหาร กลุ่มแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่มีอย่างต่อเนื่องยาวนานกับแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น และการเติบโตต่อเนื่องไปด้วยกัน และต้องการสร้างมาตรฐานสูงสุดให้กับธุรกิจโรงแรม

    ทั้งนี้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น คือหนึ่งในเจ้าของโรงแรมแบรนด์ในเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แปซิฟิค (ยกเว้นประเทศจีน) ด้วยจำนวนห้องพักรวม 4,252 ห้องทั่วประเทศไทย (จากโรงแรมที่เปิดบริการอยู่ 9 แห่ง ห้องพักรวม 3,452 ห้อง และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 1 แห่ง ห้องพักรวม 800 ห้อง) การลงนามสัญญาครั้งนี้จะส่งผลให้มีโรงแรมเพิ่ม 3 แห่ง (ในพัทยาและภูเก็ต มีห้องพักรวม 1,546 ห้อง) และส่งผลให้จำนวนห้องพักรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,820 ห้อง (ซึ่งหากรวมกับโรงแรมในเครือของบริษัททั้งหมด 6,826 ห้อง)

    ]]>
    1253669
    ฟู้ด เดลิเวอรี่เดือด! LINE MAN บุกพัทยาแล้ว อัดโปรค่าส่งเริ่มต้น 10 บาท https://positioningmag.com/1249163 Tue, 08 Oct 2019 10:09:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249163 ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Line man

    LINE MAN จะไม่ใช่แค่ผู้ช่วยเบอร์หนึ่งของคนกรุงเทพฯ อีกต่อไป แต่ตอนนี้ได้ขยายบริการฟู้ด เดลิเวอรี่บุกพื้นที่พัทยาแล้ว มีร้านอาหารกว่า 4,000 ร้าน อัดโปรค่าส่งเริ่มต้น 10 บาท

    ขยายจากกรุงเทพฯ สู่เมืองพัทยา

    เมื่อปี 2559 LINE MAN ได้เคยสร้างปรากฏการณ์บริการฟู้ด เดลิเวอรี่มาแล้ว ได้กลายเป็นผู้เปิดตลาดไปโดยปริยาย อีกทั้งยังได้ขยายสู่บริการอื่นๆ ทั้งแมสเซ็นเจอร์, แท็กซี่ และส่งพัสดุ เป็นต้น

    แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าสถานการณ์ของตลาดฟู้ด เดลิเวอรี่มีการแข่งขันกันดุเดือดมาก มีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Grab ลงมาบุกตลาดอย่างจริงจังในนาม Grab Food พร้อมกับผู้เล่นใหม่อย่าง Get ก็เข้ามาบุกตลาดเช่นกัน แถมยังอัดโปรโมชั่นอย่างถล่มทลาย มีค่าส่งเริ่มต้นเพียง 10 บาท

    ทำให้ LINE MAN ที่เคยเป็นผู้บุกเบิกตลาด แถมยังเป็นเบอร์หนึง่ในตลาดก็เริ่มสั่นคลอน จนต้องมีการปรับกลยุทธ์กันอย่างต่อเนื่อง 

    ล่าสุด LINE MAN ได้ขยายพื้นที่บริการจากกรุงเทพฯ สู่เมืองพัทยาแล้วเรียบร้อย ต้องการยกระดับไลฟ์สไตล์การกินของคนพัทยา และเอาใจนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ สามารถเสิร์ฟเมนูเด็ดถึงที่พักได้อย่างสะดวกสบาย ถือเป็นก้าวแรกของการประเดิมเป้าขยายพื้นที่บริการครอบคลุม 25% ของพื้นที่ทั้งประเทศ 

    พร้อมนำจุดแข็งและความสำเร็จของ LINE MAN มาผลักดันร้านอาหารท้องถิ่นในพัทยาเข้าสู่ตลาด O2O ไปอีกขั้น สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองพัทยาที่เพิ่มขึ้นทุกปีและความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค 

    มร.เจเดน คัง รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท LINE ประเทศไทย และหัวหน้าธุรกิจ LINE MAN กล่าวว่า

    “เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ถือเป็นหนึ่งในเมืองแห่งศักยภาพที่วิถีชีวิต และวัฒนธรรมการกินเติบโตอย่างน่าสนใจ เป็นการนำร่องภารกิจขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุม 25% ของพื้นที่ทั้งประเทศของ LINE MAN ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ LIFE on LINE ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์บริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนของ LINE”  

    ครอบคลุมเชนร้านอาหารใหญ่ๆ ไปจนร้านเด็ดประจำถิ่น

    ทางด้าน วรานันท์ ช่วงฉ่ำ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาธุรกิจและการตลาด LINE MAN กล่าวว่า 

    “LINE MAN ในพัทยามาพร้อมกับจุดเด่นคือจำนวนร้านอาหารที่มากที่สุดกว่า 4,000 ร้านทั่วพัทยา หลากหลายและครอบคลุมทุกความต้องการตั้งแต่ร้าน Chain Restaurant ไปจนถึงร้านดังและร้านเด็ดของเมืองพัทยา ได้แก่ แก้วกะเพราปู, ตำแซ่บ by Zine, ไข่หวานบ้านซูชิ, Aunya Daily Fresh, คุณบีขนมจีนสด, กะบับไก่ชีสพัทยาในตำนาน, ข้าวต้มปลาแสมสาร, ผัดไทยสุโขทัย, เลือดหมูบ้านแม่ศรี, เตี๋ยวกะเพรา พัทยาใต้, ส้มตำหน้าเมือง, ครัวหน้าบาน, โจ้กะเพราเป็ด, ก๋วยเตี๋ยวต้มยำนายปุ้ม และอีกมากมาย” 

    ต้องบอกว่าไลฟ์สไตล์ของชาวพัทยาก็ไม่ต่างจากชาวกรุงเทพฯ เท่าไหร่นัก LINE MAN หวังเป็นตัวช่วยในเรื่องการสั่งอาหารในชีวิตประจำวัน ส่วนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติดในตัวเมืองเช่นเดียวกับกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันสำหรับนักท่องเที่ยวก็สามารถใช้ LINE MAN ในการสั่งอาหารจากร้านเด็ดมาทานที่โรงแรมได้เช่นกัน

    โดยในช่วงแรกมาพร้อมโปรโมชั่นค่าส่งเริ่มต้น 10 บาท และโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 จาก Sizzler, Tom N Toms, Dunkin Donut, Burger King, Au Bon Pain ถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้.

    ]]>
    1249163
    ตามดู “เซเว่น อีเลฟเว่น” Flagship Store สาขา 2 สร้างแลนด์มาร์กที่พัทยา https://positioningmag.com/1205592 Thu, 27 Dec 2018 11:58:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1205592 เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต ไม่อาจการันตีสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทำให้ธุรกิจจำต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสร้างแรงดึงดูดและประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาเติมอยู่เสมอ เพื่อรับมือกับผู้บริโภคในวันที่จะเลือกแบรนด์ จากประสบการณ์ที่ได้รับเป็นอันดับแรก 

    จากคำกล่าวที่ว่า จึงได้เห็นหลายๆ แบรนด์พยายามหาโมเดลใหม่ๆ เพื่อสร้างความสดใหม่และแตกต่างจากรายอื่นๆ ซึ่งแม้แต่เจ้าตลาดร้านสะดวกซื้ออย่าง “เซเว่น อีเลฟเว่น ก็ยังหาโมเดลทดลองใหม่ๆ จึงเป็นที่มาของ Flagship Store สาขาแรกที่โรงเรียนสาธิตแห่งสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ มีการยกเครื่องใหม่ทั้งดีไซน์ และเติมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสร้างความตื่นเต้น ไปเมื่อปลายปีก่อน 

    ผ่านมาเกือบ 1 ปี เซเว่น อีเลฟเว่น เพิ่มจะเปิด Flagship Store สาขา 2 ซึ่งบุกไปแลนด์มาร์กที่พัทยา แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของคนไทยและต่างชาติ โดยสาขาใหม่นี้ตั้งชื่อว่า ธาราพัทยา ตั้งอยู่  พัทยาใต้ 

    ตัวดีไซน์ถูกออกแบบให้มีเพดานที่สูง ตกแต่งด้วยไม้ สร้างแรงสะดุดตาด้วย เรือยอร์ช” บนชั้นสอง ที่ทำมาจากวัสดุไฟเบอร์กลาสซึ่งมีความแข็งแรง และเป็นวัสดุจริงที่ใช้ในการทำเรือยอร์ช ด้านนอกเป็นระเบียงและลานพลาซ่า สำหรับไว้ทำกิจกรรมต่างๆ  

    เมื่อเข้ามาก็จะเจอ “Digital Aquarium” หน้าจอ LED ขนาด 3 x 6 ที่แสดงภาพของบรรดาสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอ่าวไทย ซึ่งวิดีโอตัวนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง CP ALL และมหาวิทยาลัยบูรพา ที่ได้ลงไปถ่ายทำวิดีโอชิ้นนี้ถึงใต้ทะเลกันจริงๆ 

    ที่ขาดไม่ได้คือ มี ‘SEVY-BOT’ ซึ่งสาขานี้น้องเซวี่จะมีชื่อไทยว่า ‘สินสุมทร’ โดยจะคอยวิ่งตามรางที่อยู่รอบร้านเพื่อไปทักทายลูกค้า และให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ เซเว่น อีเลฟเว่น ผ่านทางหน้าจอบนตัวตลอด 24 ชั่วโมง  

    ไม่ต้องรอต่อคิว นำอาหารสำเร็จรูปไปต่อคิวเมื่ออุ่นอีกต่อไป สาขานี้ได้มีการติดตั้ง Smart Wave ไมโครเวฟที่ใช้บริการได้ด้วยตัวเอง โดยนำอาหารมาสแกน barcode ที่หน้าตู้เพื่อให้เตาตั้งเวลาโดยอัตโนมัติ  

    บริการใหม่ที่มีในเซเว่น อีเลฟเว่น สาขานี้อย่าง self checkout นำสินค้ามาสแกนที่เครื่องและชำระค่าสินค้าผ่านบัตร Smart Purse หรือ True Money Wallet ได้เลย 

    ที่นี่ยังมีห้องน้ำ และชั้นสองร้านเป็นโซนนั่งพัก โดยแตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในเรือยอร์ชตามการดีไซน์ด้านนอกร้าน โดยสามารถสั่งเครื่องดื่มและขนมจาก Kudsan Bakery & Coffee ที่อยู่ในโซนเดียวกันมานั่งทานได้ 

    ที่มาของข้อมูลและรูปภาพ : Facebook CPALL

    ]]>
    1205592