โดยการระดมทุนในรอบ Series B ครั้งนี้ Ula มีผู้ลงทุนรายใหญ่ให้การสนับสนุนอย่าง Prosus Ventures, Tencent และ B Capital เเละ ‘เจฟฟ์ เบโซส’
Ula เปิดตัวในปี 2020 เป็นเเพลตฟอร์มที่นำเสนอโซลูชันให้กับ ‘ผู้ค้าปลีกรายย่อย’ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพิ่มรายได้ ขยายธุรกิจเเละบริการไปในอินโดนีเซีย เเละประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน
พร้อมให้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy-now-pay-later ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ เสนอสินเชื่อ–เงินทุนหมุนเวียนให้โดยใช้ดาต้า รวมถึงการช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทาน จัดการสินค้าคงคลัง และโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ปัจจุบันมีผู้ค้าในเเพลตฟอร์มกว่า 70,000 ราย และจำหน่ายผลิตภัณฑ์กว่า 6,000 รายการ
ที่ผ่านมา Ula สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซของอินโดนีเซีย ระดมทุนได้กว่า 30 ล้านดอลลาร์ และดึงดูดนักลงทุนที่มีชื่อเสียงได้จำนวนมากนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว เเละตอนนี้ได้รับเงินทุนจากบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ที่เพิ่งประกาศหลังลงจากตำแหน่งแม่ทัพ Amazon เพื่อหันไปทุ่มในธุรกิจอวกาศ Blue Origin
ความสนใจของเบโซส ใน Ula ซึ่งดำเนินการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบ B2B นั้น มีความเชื่อมโยงกับการที่ Amazon ยังเข้าเจาะตลาดประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ไม่มากนัก
ขณะที่ Ula ยังมีผู้บริหารมือดี เป็นผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Nipun Mehra ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารของ Flipkart ในอินเดียและอดีตหุ้นส่วนที่ Sequoia Capital India พร้อมด้วย Alan Wong ที่เคยทำงานกับ Amazon เเละ Derry Sakti อดีตผู้บริหารของ P&G ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคในอินโดนีเซีย และ Riky Tenggara ที่เคยทำงานกับ Lazada และ aCommerce
นับเป็นอีกสตาร์ทอัพด้านอีคอมเมิร์ซที่กำลังจะเป็นดาวรุ่งในอาเซียน…
ที่มา : techcrunch , dealstreetasia
]]>ยานอวกาศของ Blue Origin จะประเดิมเที่ยวบินแรกในเดือนหน้านี้ โดย “เจฟฟ์ เบโซส” เจ้าของ Amazon และ Blue Origin จะร่วมเดินทางไปด้วย ทำให้ “ที่นั่ง” ในเที่ยวบินเดียวกับเบโซสถูกนำออกประมูลแบบสดผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันเสาร์ที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา
ราคาไต่ระดับขึ้นไปมากกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 622 ล้านบาท) ในเวลาเพียง 4 นาที และในที่สุดเคาะปิดประมูลที่ราคา 28 ล้านเหรียญ (ประมาณ 870 ล้านบาท) ในเวลา 7 นาที โดยผู้ซื้อคือมหาเศรษฐีที่คลั่งไคล้ด้านอวกาศรายหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ
ก่อนหน้าที่จะถึงวันประมูลสด ทางบริษัท Blue Origin เปิดให้ผู้ที่สนใจส่งราคาประมูลต่อเนื่องมานานนับเดือน ราคาที่นั่งนี้ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปถึง 4.8 ล้านเหรียญ (ประมาณ 149 ล้านบาท) ในวันสุดท้ายคือวันที่ 10 มิถุนายน 2021 โดยบริษัทระบุว่าผู้ที่สนใจจะร่วมประมูลรอบสุดท้ายแบบสดในวันที่ 12 มิถุนายน 2021 จะต้องเข้าร่วมประมูลในช่วงแรกนี้ก่อน
Blue Origin ประกาศว่า ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2021 มีคนเข้าร่วมประมูลกว่า 6,000 คน จาก 143 ประเทศทั่วโลก ดังที่เห็นว่าผลสุดท้ายราคาดีดขึ้นไปเกือบ 6 เท่า
ยานอวกาศ New Shepard ของ Blue Origin จะออกเดินทางจาก West Texas เป็นครั้งแรกในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ และจะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญ เปิดประวัติศาสตร์ยุคของการท่องเที่ยวอวกาศเชิงพาณิชย์
เจฟฟ์ เบโซส นั้นถือเป็นหนึ่งในเศรษฐีที่คลั่งไคล้อวกาศมาตลอดชีวิต เขาแข่งขันกับอีกสองมหาเศรษฐีที่สนใจด้านอวกาศพอๆ กันและพยายามจะทำทัวร์อวกาศเช่นกันคือ ริชาร์ด แบรนสัน และ อีลอน มัสก์ โดยทั้งสามคนต้องการจะเป็นคนแรกที่ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ
“การมองเห็นโลกจากอวกาศจะเปลี่ยนแปลงคุณ มันจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณกับโลกใบนี้และกับมนุษยชาติ” เบโซสกล่าวในวิดีโอต้อนรับก่อนเริ่มงานประมูล รวมถึงกล่าวด้วยว่าเขาและ มาร์ค เบโซส น้องชายของเขา จะร่วมทริปนี้ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ริชาร์ด แบรนสันซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Virgin Galactic อาจจะตัดหน้าเบโซสขึ้นสู่อวกาศก่อนก็ได้ เพราะเป็นไปได้ว่าเขาจะร่วมไฟลท์ทดลองของยาน VSS Unity ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้
การแข่งขันของเศรษฐีทั้ง 3 คน และผลการประมูลของ Blue Origin เป็นอีกหนึ่งข่าวเชิงบวกว่าการท่องเที่ยวอวกาศจะกลายเป็นธุรกิจกระแสหลักได้จริง หากเทคโนโลยีที่ยังใหม่อยู่นี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นไปได้และต้นทุนลดลง
ทั้งนี้ Blue Origin ยังไม่ระบุราคาจริงของเที่ยวบินในอนาคต แต่สำนักข่าว Reuters เคยรายงานไว้เมื่อปี 2018 ว่า บริษัทคำนวณคร่าวๆ เตรียมเก็บค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวอยู่ที่ 200,000 เหรียญต่อคน (ประมาณ 6.2 ล้านบาท) แต่การคำนวณนี้ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับตลาด ณ ขณะนั้น
]]>นิตยสาร Forbes ซึ่งจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 35 เปิดเผย ลิสต์รายชื่อเศรษฐีปีล่าสุด 2021 (คำนวณเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2021) แม้จะผ่านโรคระบาดกันแบบเต็มปี แต่มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีทั้งลิสต์ 2,755 คนรวมกันกลับเพิ่มขึ้นสูง โดยปีนี้มหาเศรษฐีโลกมีสินทรัพย์รวมมูลค่า 13.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีก่อนที่มีรวมกัน 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ประเทศที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 724 คน แต่ตามมาติดๆ คือ จีน (รวมฮ่องกงและมาเก๊า) จำนวน 698 คน
10 อันดับ “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลกปี 2021 จัดอันดับโดย Forbes
1) Jeff Bezos – Amazon – 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
2) Elon Musk – Tesla, SpaceX – 1.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
3) Bernard Arnault และครอบครัว – LVMH – 1.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
4) Bill Gates – Microsoft – 1.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
5) Mark Zuckerberg – Facebook – 9.70 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
6) Warren Buffet – Berkshire Hathaway – 9.60 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
7) Larry Allison – ซอฟต์แวร์หลากหลาย (บริษัทหลักคือ Oracle) – 9.30 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
8) Larry Page – Google – 9.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
9) Sergey Brin – Google – 8.90 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
10) Mukesh Ambani – ธุรกิจหลากหลาย (บริษัทหลักคือ Reliance Industries) – 8.80 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
Jeff Bezos แห่ง Amazon ยังคงเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยสถานการณ์โรคระบาดยิ่งเป็นผลบวกต่อเขา เพราะการล็อกดาวน์อยู่กับบ้านทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตแรง จนช่วงเดือนแรกของการล็อกดาวน์ (มีนาคม-เมษายน 2020) Amazon ประกาศการจ้างงานพนักงานเพิ่มถึง 1.75 แสนตำแหน่ง เพื่อให้ทันกับความต้องการ
ด้าน Elon Musk แห่ง Tesla และ SpaceX อันดับเศรษฐีพุ่งจาก 31 เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ หลังจากหุ้น Tesla ทะยานไกลจากความสำเร็จในการส่งมอบรถยนต์ และยอดขายที่เติบโตดีในประเทศจีน นอกจากนี้ SpaceX บริษัทท่องอวกาศของเขาเพิ่งระดมทุนรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และถูกตีมูลค่าบริษัทเพิ่มเป็น 7.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ Elon Musk เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 1 มหาเศรษฐีโลกมาแล้วในช่วงเดือนมกราคม 2021 แต่ต่อมาราคาหุ้น Tesla กลับลดลงจากหลายๆ ปัจจัย จน Musk กลับมาที่อันดับ 2 อีกครั้ง (อ่านเพิ่มเติม : เปิด 4 สาเหตุฉุดหุ้น ‘Tesla’ ร่วง ทำ ‘Elon Musk’ เสียตำแหน่งเศรษฐีเบอร์ 1 โลก)
สำหรับ Warren Buffet ปีนี้สินทรัพย์เขากลับมาเพิ่มขึ้น แต่บอกได้ว่ายังเพิ่มไม่ทันบรรดาเจ้าพ่อเทคคอมปะนี ทำให้อันดับหย่อนลงมาอยู่ที่อันดับ 6
เศรษฐีจีนที่รวยที่สุดปีนี้ตกเป็นของ Zhong Shanshan เจ้าของน้ำแร่ Nongfu Spring อยู่ในอันดับ 13 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 6.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เขาพุ่งทะยานขึ้นมาแซงหน้า Jack Ma จากการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนกันยายน 2020 (อ่านเพิ่มเติม : เปิดอินไซต์ “Nongfu Spring” แบรนด์น้ำแร่ที่พา “จง สานส่าน” รวยกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์)
ส่วน “เศรษฐินี” ที่รวยที่สุดของโลกอยู่ในอันดับ 12 เธอคือ Francoise Bettencourt Meyers และครอบครัว เจ้าของธุรกิจเครื่องสำอาง L’Oréal มูลค่าสินทรัพย์ของเธออยู่ที่ 7.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่เศรษฐีไทยที่ติดท็อประดับโลกยังเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา รวมทั้งหมด 15 คน ได้แก่ ธนินท์ เจียรวนนท์ (อันดับ 103) เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับ 156) สารัชถ์ รัตนาวะดี (อันดับ 264) สุเมธ เจียรวนนท์ (อันดับ 502) จรัญ เจียรวนนท์ (อันดับ 520) มนตรี เจียรวนนท์ (อันดับ 520)
ชูชาติ เพ็ชรอำไพ และดาวนภา เพชรอำไพ (อันดับ 859) สมโภชน์ อาหุนัย (อันดับ 925) ฮาราลด์ ลิงก์ (อันดับ 986) ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (อันดับ 986) อาลก โลเฮีย (อันดับ 1205) วานิช ไชยวรรณ (อันดับ 1362) กฤตย์ รัตนรักษ์ (อันดับ 1362) คีรี กาญจนพาสน์ (อันดับ 1517) และ ประยุทธ มหากิจศิริ (อันดับ 1517)
]]>ในปี 2020 ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีระดับ ‘พันล้านดอลลาร์สหรัฐ-Billionaire’ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 259 คน ด้วยอานิสงส์ธุรกิจดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ เเละเกมออนไลน์ที่ความนิยมพุ่งกระฉูด รวมถึงตลาดหุ้นที่เฟื่องฟูเเละการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของหลายบริษัท ช่วยชดเชยหายนะจาก COVID-19
จากรายงานของ Hurun Global Rich List พบว่า จำนวนของเศรษฐีของจีนในปี 2020 รวมกันเเล้ว ‘มากกว่า’ ของทั้งโลกรวมกัน โดยจีนมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านกว่า 1,058 คน นับเป็นประเทศแรกในโลกที่มีตัวเลขเกิน 1,000 คน ทั้งห่างอันดับ 2 อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นอีก 70 คน รวมเป็น 696 คน
โดยผู้ครองเเชมป์มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนตามรายงานนี้ คือ ‘จง สานส่าน’ เจ้าของกิจการน้ำดื่ม ‘หนงฟู สปริง’ (Nongfu Spring) ที่เพิ่งโค่น ‘มูเกช อัมบานี’ นักธุรกิจอินเดียไปหมาดๆ ด้วยทรัพย์สินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีรวยที่สุดในเอเชีย เเละติด 1 ใน 10 ของโลกไปหมาดๆ
เขาได้รับว่าฉายาว่า ‘หมาป่าเดียวดาย’ เนื่องจากเป็นคนชอบเก็บตัว ต่างจากผู้นำธุรกิจรายใหญ่อื่นๆ ของจีน และเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในจีน ที่สามารถสร้างบริษัทมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ถึง 2 บริษัท
ความรุ่งเรืองของ ‘จง สานส่าน’ ในปีที่ผ่านมา สวนทางกับเศรษฐีจีนชื่อก้องโลกอย่าง ‘แจ็ค หม่า’ ที่อันดับความรวยลดลง หลังมีข้อขัดเเย้งกับ ‘รัฐบาลจีน’ ในประเด็นผูกขาดทางการค้า อีกทั้งยังโดนสกัดการเสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชน (IPO) ของบริษัทฟินเทคในเครืออย่าง Ant Group ซึ่งเคยถูกประเมินว่าจะเป็นหุ้น IPO ที่ระดมทุนได้สูงสุดในโลก
ในการสำรวจนี้ ยังพบว่า มหาเศรษฐี Elon Musk ซีอีโอของ Tesla , Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งของ Amazon และ Colin Huang จาก Pinduoduo หนึ่งในอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดของจีน มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ‘ภายในปีเดียว’
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เเซงหน้าหลายประเทศ อีกทั้งในปีที่ผ่านมาก็สกัดความเสียหายจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้รวดเร็วทำให้มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ด้านรายงานขององค์การ Oxfam ระบุว่า เกือบทุกประเทศในโลก มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
เมื่อนำสินทรัพย์ของเหล่ามหาเศรษฐีรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มระบาด พบว่ามีมูลค่าสูงกว่าประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีระบบเศรษฐกิจเอื้อให้กลุ่มคนร่ำรวย สามารถรักษาความร่ำรวยไว้ได้ ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางอันเลวร้าย
ที่มา : AFP
]]>สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ CEO คนใหม่มีไม่กี่เรื่อง แต่ทุกเรื่องย้ำว่า Jassy เป็นผู้บริหารที่ไม่ธรรมดา การโปรโมตให้ Jassy เป็น CEO คนที่สองในประวัติศาสตร์ 27 ปีของบริษัท ชี้ให้เห็นชัดว่าบริการ Web Services จะเป็นศูนย์กลางของอนาคต Amazon ที่จะขยายจากวงการอีคอมเมิร์ซไปปักหลักที่ยุคของการประมวลผลแบบคลาวด์อย่างเต็มตัว
ตามประวัติ Jassy อายุ 53 ปีเข้าร่วมทำงานกับ Amazon ในปี 2540 หลังจากสำเร็จการศึกษา MBA จาก Harvard Business School เวลานั้น Jassy เล่าอย่างออกรสในพอดคาสต์ของ Harvard Business School ว่าทันทีที่สอบครั้งสุดท้ายกับ HBS เสร็จในวันศุกร์แรกของเดือนพฤษภาคมปี 40 ก็ได้เริ่มงานกับ Amazon ในวันจันทร์ถัดไปพอดี
Jassy ยอมรับว่าไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อนถึงเนื้องานที่ต้องรับผิดชอบ หรือแม้แต่ชื่อตำแหน่งที่จะได้รับ ดังนั้นการไปทำงานวันแรก จึงเป็นวันที่สำคัญสุดยอดสำหรับชาว Amazon ทุกคน
9 ปีหลังจากผ่านวันแรกของการทำงาน ในปี 2549 หนุ่ม Jassy ก่อตั้ง AWS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการคลาวด์ของ Amazon ที่ธุรกิจหลายล้านแห่งทั่วโลกเลือกใช้งาน บริการนี้แข่งขันกับ Google Cloud ของ Alphabet Inc. และ Azure ของ Microsoft Corp. ได้อย่างถึงพริกถึงขิง
Andy Jassy ใช้เวลา 15 ปีที่ผ่านมาในการเปลี่ยน Amazon จากยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซ ให้เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทำกำไรได้สูง สร้างและครองตลาดอินฟราสตรัคเจอร์พื้นฐานระบบคลาวด์ได้อย่างสวยงาม มีส่วนสำคัญที่ทำให้ AMazon เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดอันดับ 3 ของสหรัฐฯ เป็นรองก็เพียง Apple และ Microsoft
สิ่งหนึ่งที่อธิบายความไม่ธรรมดาของ Jassy ได้ คือการเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของ Bezos ที่เรียกว่าทีม S (S-team) ในฐานะที่เป็นหัวหน้า AWS ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง Jeff Bezos ได้ยกระดับ Jassy ด้วยการมอบตำแหน่งซีอีโอบริษัท AWS ให้ Jassy ในปี 2559 แถมยังกล่าวถึง Jassy ในคอลัมน์ที่ตีพิมพ์ใน Washington Post ว่า “ทายาทที่ชัดเจน” หรือ clear heir apparent ของเขาเอง
มีบันทึกว่า Amazon จ่ายเงินให้ Jassy รวม 348,809 ดอลลาร์ในปี 62 ลดลงจาก 19.7 ล้านดอลลาร์ในปี 61 ซึ่งเป็นปีที่ Jassy ได้รับโบนัสเป็นหุ้นมูลค่ากว่า 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามเอกสารรายงานครั้งล่าสุด Jassy เป็นเจ้าของหุ้นประมาณ 85,000 หุ้น มูลค่ารวม 287.3 ล้านดอลลาร์ แม้จะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงจากกว่า 100,000 หุ้นในปีที่แล้ว
เหตุผลที่ทำให้ Amazon จ่ายเงินให้ Jassy อย่างงาม คือความสำเร็จจากความสามารถในการดึงดูดธุรกิจและองค์กรทุกประเภทให้มาใช้ผลิตภัณฑ์ของ AWS โดยนำเสนอบริการสำหรับทั้งสตาร์ทอัปที่เล็กที่สุด และองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่น Apple ระหว่างที่บริหาร AWS ดาวรุ่งอย่าง Jassy ได้รับรางวัลทางธุรกิจจากหลายสำนักทั้ง Central Intelligence Agency และ Democratic National Committee และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AWS ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าเป็นบริการที่คว้าดีลจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทชื่อดังมากมายเช่น Pinterest, Slack, Lyft และ Snowflake ที่ต้องการขาย IPO ล้วนเปิดเผยยอดเงินการใช้จ่ายบนระบบคลาวด์ที่สูงลิ่ว
ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่ Jassy วางหมากให้ AWS โฟกัสไปที่การให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ และความสามารถในการประมวลผลที่ปรับแต่งได้ ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ในระยะแรกมักเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กและทีมนักพัฒนารายย่อย ธุรกิจเหล่านี้เติบโตขึ้นได้โดยที่หลายคนไม่ต้องซื้อเซิร์ฟเวอร์หรืออาร์เรย์จัดเก็บข้อมูลของตัวเอง และเลือกที่จะพึ่งพา Amazon เพื่อตอบโจทย์การทำงานกับดาต้าเซ็นเตอร์หรือศูนย์ข้อมูลทั้งหมด การเริ่มต้นก่อนทำให้ AWS ได้เปรียบเมื่อคู่แข่งอย่าง Microsoft เริ่มลงทุนจริงจังกับ Azure รวมถึง Google ที่เริ่มลงทุนอย่างหนักในแพลตฟอร์มคลาวด์เช่นกัน
Jassy จึงเป็นผู้ที่สร้างสิ่งที่มีค่ามากให้ Amazon ในระดับที่ไม่มีใครมองข้ามไปได้ ในช่วงกลางปี 63 ที่ผ่านมา Amazon สามารถควบคุมตลาดบริการโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ทั่วโลก 33% มากกว่า Microsoft ที่ทำได้ 18% และ Google ที่มีอยู่ 9% ตามข้อมูลจาก Synergy Research
ล่าสุด Amazon เผยว่ารายรับของ AWS ในไตรมาสที่ 4 ปี 63 ยังเพิ่มขึ้นอีก 28% เป็น 12,700 ล้านดอลลาร์ รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีก 37% เป็น 3,560 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 52% ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดของ Amazon พาให้ผลกำไร Amazon เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 และยอดขายรวมรายไตรมาสเพิ่มสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก เป็นตัวเลขสวยงามที่เหมาะสำหรับการประกาศว่า Jassy จะเข้ามาแทนที่ Bezos
ในเชิงสังคม Jassy เคยออกมาพูดในประเด็นทางสังคมเป็นครั้งคราว ที่เห็นชัดเจนคือทวีตเกี่ยวกับความจำเป็นในการรับผิดชอบของตำรวจหลังจากที่ Breonna Taylor หญิงผิวดำรายหนึ่งถูกตำรวจผิวขาวสังหารในบ้านของเธอเอง ในระหว่างการจู่โจมที่ไม่สมเหตุสมผลซึ่งเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนสิทธิ LGBTQ
สำหรับชีวิตส่วนตัว Jassy แต่งงานกับ Elana Rochelle Caplan และเป็นพ่อของลูก 2 คน ขณะเดียวกันก็ประกาศตัวเป็นแฟนกีฬาและดนตรีตัวยง ครั้งหนึ่ง Jassy เคยให้สัมภาษณ์ว่าได้คุยกับภรรยาตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มการทำงานที่ Amazon และตกลงกันว่าจะย้ายไปอยู่ชายฝั่งตะวันตกเพื่อใกล้ชิดกับครอบครัวของเธอสัก 2-3 ปีแล้วจึงจะย้ายกลับไปที่นิวยอร์ก แต่ข้อตกลงนี้ผ่านมา 23 ปีแล้วที่ Jassy ไม่เคยได้ย้ายกลับไปและไม่ได้ออกห่างจาก Amazon เลย
Jassy เล่าอย่างติดตลกตามประสาผู้บริหารที่ไม่ธรรมดาว่า ดีลนั้น “อาจจะหมดอายุลงแล้ว”.
ที่มา :
]]>Jeff Bezos ได้ก่อตั้ง Amazon ในปี 1994 โดยมีจุดเริ่มต้นจาการเป็นร้านหนังสือออนไลน์ และได้กลายเป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ไปจนถึงสตรีมมิ่งที่มีการเข้าถึงทั่วโลก โดย Amazon ทะลุมูลค่าตลาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายใต้การนำของ Bezos ในเดือนมกราคมปีที่แล้ว ขณะที่ปัจจุบัน Amazon มีมูลค่ามากกว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์
บริษัทได้เตรียมแผนการสืบทอดตำแหน่งไว้อย่างเงียบ ๆ แม้ว่าผู้สังเกตการณ์คาดการณ์ว่า Jassy หรือ Jeff Wilke ซีอีโอของธุรกิจผู้บริโภคทั่วโลกของ Amazon จะเป็นผู้สืบทอดของ Bezos แต่ในเดือนสิงหาคม Amazon ประกาศว่า Wilke จะเกษียณอายุในปี 2564 ส่วน Jassy วัย 53 ปีจะเป็นซีอีโอแทนในไตรมาส 3 ปีนี้ โดย Jassy เข้าร่วมกับ Amazon ในปี 1997 และเป็นผู้นำทีมระบบคลาวด์ของ Amazon Web Services ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง AWS และคงสร้างผลกำไรของ Amazon อย่างต่อเนื่อง
“ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศว่าไตรมาสที่ 3 นี้ ผมจะเปลี่ยนไปเป็นประธานบริหารของคณะกรรมการ Amazon และ Andy Jassy จะเป็นซีอีโอ ในบทบาทประธานบริหาร ผมตั้งใจที่จะมุ่งเน้นพลังและความสนใจไปที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และการริเริ่มในช่วงแรก ๆ และ Andy เป็นที่รู้จักกันดีในบริษัทและอยู่ที่ Amazon มานานที่สุด เขาจะเป็นผู้นำที่โดดเด่นและเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และ Andy Jassy จะรับช่วงต่อในไตรมาสที่ 3” Jeff Bezos กล่าวในจดหมายถึงพนักงาน
ข่าวดังกล่าวมาพร้อมกับรายงานผลประกอบการที่ Amazon ประกาศ โดยรายได้อยู่ที่ระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ โดย AWS ภายใต้ Jassy รายงานการเติบโตของรายได้ 28% ในไตรมาสที่สี่ รายได้จากการดำเนินงานของ Amazon ประมาณ 52% มาจาก AWS ณ เดือนตุลาคม 2020 หุ้นของ Amazon เพิ่มขึ้นประมาณ 1% ในการซื้อขายระยะยาว
Brian Olsavsky ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Amazon กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารได้รับการตัดสินใจโดยปรึกษาหารือกับคณะกรรมการบริหารของ Amazon เขากล่าวว่า Bezos จะยังคงมีส่วนร่วมอย่างมากในส่วนต่าง ๆ ของบริษัท Olsavsky กล่าวว่า Jassy เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ซึ่งจะนำชุดทักษะของตัวเองมาใช้
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในภารกิจที่ Jassy จะต้องชี้นำบริษัทให้ผ่านปัญหาการผูกขาดในช่วงเดือนตุลาคมหลังจากการสอบสวนเป็นเวลา 16 เดือนเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการแข่งขันที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่รวมถึง Amazon คณะอนุกรรมการฝ่ายตุลาการของสภาต่อต้านการผูกขาดได้สรุปว่า Amazon, Apple, Facebook และ Google มีอำนาจผูกขาด Amazon ยังเผชิญกับข้อร้องเรียนต่อต้านการผูกขาดในสหภาพยุโรป
ทั้งนี้ Bezos กล่าวว่า เขาจะยังคงมีส่วนร่วมในโครงการสำคัญของ Amazon แต่จะมีเวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่ Bezos Earth Fund บริษัทยานอวกาศ Blue Origin ของเขา รวมถึงกองทุน Amazon Day 1
“ผมตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงนี้ ลูกค้าหลายล้านคนพึ่งพาเราสำหรับบริการของเรา และพนักงานมากกว่าหนึ่งล้านคนต้องพึ่งพาเราในการดำรงชีวิตของพวกเขา การเป็นซีอีโอของ Amazon ถือเป็นความรับผิดชอบที่ลึกซึ้งและต้องใช้เวลามาก เมื่อคุณมีความรับผิดชอบเช่นนั้นก็ยากที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นใด” Bezos กล่าวทิ้งท้าย
]]>ราคาหุ้นของ Tesla ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่กระฉุด หลังเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 เพิ่มพูนความมั่งคั่งไม่หยุด ล่าสุดหลังมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยรวม พบว่า อีลอน มัสก์ มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.56 ล้านล้านบาท) เเซงเจ้าพ่อ Amazon ที่มีมูลค่าทรัพย์สินของปัจจุบันที่ 184,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.53 ล้านล้านบาท)
การก้าวสู่ตำเเหน่งมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของอีลอน มัสก์ ในครั้งนี้ ได้รับอานิสงส์มาจากราคาหุ้นของ Tesla ที่ขยับขึ้นอย่าง ‘ก้าวกระโดด’ เพิ่มขึ้นจากปีที่เเล้วถึง 900% เเละเพิ่มขึ้นถึง 23,900% จากปี 2010 ที่เข้า IPO ครั้งแรก โดยมัสก์เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Tesla ในสัดส่วนราว 20%
หลังทราบกระเเสข่าวนี้ อีลอน มัสก์ ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์เพียงสั้นๆ ว่า “แปลกจัง… อืม กลับไปทำงานดีกว่า“
Well, back to work …
— Elon Musk (@elonmusk) January 7, 2021
โดยเส้นทางความร่ำรวยของชายผู้มุ่งสร้างเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกคนนี้ น่าสนใจไม่น้อย เพราะถือว่าเป็นการก้าวขึ้นอันดับบุคคลร่ำรวยเเบบ “รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์” เพราะเมื่อต้นปีที่เเล้ว เขาเพิ่งจะได้เข้ามาอยู่ในลิสต์ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนจะพุ่งเเรงขยับมาอยู่ในอันดับที่ 7 เมื่อเดือนกรกฎาคม เเละรวยเเซงเศรษฐีโซเชียลมีเดียอย่าง
‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ได้ในเดือนกันยายน พร้อมส่งท้ายปี 2020 ด้วยการแซงหน้า ‘บิล เกตส์’ ผู้ก่อตั้ง
ไมโครซอฟท์ ขึ้นเป็นมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ก่อนขึ้นเเท่นเบอร์ 1 เเทนเจฟฟ์ เบโซส ได้ในต้นปี 2021
อย่างไรก็ตาม การจัดลำดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสาร Forbes ยังใช้วิธีการคำนวณที่เเตกต่างกัน โดยมัสก์ยังคงเป็นรองเจฟฟ์ เบโซส อยู่ราว 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ต่อไปนี้…ก็ต้องจับตาว่าหุ้น Tesla จะเติบโตไปในทิศทางใด
]]>
โดยการขายหุ้นครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนเทรดหุ้นที่กำหนดขึ้นโดย SEC ซึ่งอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สามารถขายหุ้นล่วงหน้า เพื่อป้องกันการเกิดข่าวลือจากพวกวงใน
ก่อนหน้านี้ Bezos ได้ขายหุ้น Amazon ไปแล้วเป็นมูลค่า 4.1 พันล้านเหรียญ ทำให้ตั้งเเต่ต้นปีนี้ เขาขายหุ้นไปแล้วเป็นเงินสูงถึง 7.2 พันล้านเหรียญ
เเต่ก็ถือเป็นเเค่ “เสี้ยวหนึ่ง” ของทั้งหมดเท่านั้น เพราะผู้ก่อตั้ง Amazon ยังคงถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอยู่กว่า 54 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 1.7 แสนล้านเหรียญ ทำให้เขายังเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกต่อไป เเละยิ่งรวยขึ้นไปอีกจากอานิสงส์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่บูมขึ้นในช่วงวิกฤต COVID-19
โดย Amazon เผยประกอบการในไตรมาสที่ 2/2020 เมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากในไตรมาส 1/2020 ซึ่งอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านเหรียญ เเละหุ้นของ Amazon มีราคาเพิ่มขึ้นมากถึง 73% ในปีนี้ ตามรายงานของ Bloomberg
มหาเศรษฐีรวยที่สุดในโลก เคยบอกว่า เขามีแผนจะขายหุ้นทุกปี เป็นมูลค่าปีละ 1 พันล้านเหรียญ เพื่อนำเงินไปลงทุนใน Blue Origin บริษัทด้านการพัฒนาจรวดและการขนส่งอวกาศที่เขาก่อตั้งขึ้น
สำหรับความเคลื่อนไหวในการเทขายหุ้นครั้งล่าสุดนี้ เกิดขึ้นหลัง Bezos ในฐานะผู้บริหาร Amazon พร้อมด้วยผู้บริหารของ 3 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง Facebook , Apple เเละ Alphabet ได้ขึ้นให้การกับคณะอนุกรรมาธิการด้านการต่อต้านการผูกขาดทางธุรกิจแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Bezos ถูกกล่าวหาว่า ผูกขาดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ ด้วยการครองสัดส่วนทางธุรกิจสูงถึง 75%
ในช่วงการะบาดใหญ่ มีมหาเศรษฐีระดับโลกหลายคน “รวยขึ้น” โดยทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึง Jeff Bezos เเละ Mark Zuckerberg ซีอีโอ Facebook รวมกันพุ่งทะยานกว่า 19% นับตั้งแต่ COVID-19 เข้าโจมตีอเมริกา โดยมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 5.65 เเสนล้านเหรียญ สวนทางกับคนธรรมดาทั่วไปที่เคยมียอดยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานสูงสุดกว่า 42.6 ล้านคน
]]>
รายงานฉบับหนึ่งซึ่งเผยแพร่โดยสถาบันนโยบายศึกษา (IPS) ระบุว่า ในช่วง 11 สัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐฯ เริ่มล็อกดาวน์สกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19
ความมั่งคั่งของเหล่าอภิมหาเศรษฐีอเมริกา เพิ่มขึ้นถึง 565,000 ล้านดอลลาร์ สวนทางกับคนธรรมดาทั่วไปซึ่งมีผู้ยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานกว่า 42.6 ล้านคน
“ข้อมูลเหล่านี้เตือนสติเราว่า เรากำลังเผชิญความแตกต่างทางเศรษฐกิจ และความแตกแยกทางผิวสีมากกว่าครั้งไหนๆ ในรอบหลายทษวรรษ” ชัค คอลลินส์ หนึ่งในคณะผู้จัดทำรายงานระบุ
ในช่วง 11 สัปดาห์ดังกล่าว เบซอส พบเห็นทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 36,200 ล้นดอลลาร์ ส่วนซักเคอร์เบิร์ก มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นราว 30,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา ก็มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นเช่นกัน ที่ 14,100 ล้านดอลลาร์
รายงานระบุว่า หากนับเฉพาะแค่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ พุ่งทะยานถึง 79,000 ล้านดอลลาร์
Jeff Bezos ซีอีโอของบริษัทค้าปลีก Amazon และเจ้าของสื่อใหญ่อย่าง Washington Post เปิดเผยผ่าน
อินสตาเเกรมว่า “การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อโลกใบนี้”
โดยเขาพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน บริษัทขนาดใหญ่หรือเล็ก หรือหน่วยงานระดับสากลเพื่อศึกษาหนทางที่มีอยู่และหาหนทางใหม่เพื่อต่อสู้กับผลกระทบอันรุนแรงของปัญหานี้
สำหรับเงินทุนกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ก้อนนี้ จะนำไปใช้เพื่อช่วยสนับสนุนงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์
นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และกลุ่ม NGO ซึ่งจะเริ่มอนุมัติเงินได้ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปีนี้เป็นต้นไป
ปัจจุบัน Jeff Bezos มีทรัพย์สินรวมกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 4.06 ล้านล้านบาท) การบริจาคครั้งนี้ นับเป็นเงินราว 7.7% ของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีที่ติดอันดับโลกหลายคนอย่าง Warren Buffett , Bill Gate เเละ Michael Bloomberg การบริจาคของ Bezos ที่ผ่านมายังถือว่าน้อย โดยการบริจาคครั้งที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้คือการช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้เเละโรงเรียน ราว 2 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือน ก.ย. ปี 2018
Bezos ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังเขาปฎิเสธไม่เข้าร่วมโครงการ The Giving Pledge หรือพันธสัญญาที่จะมอบเงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
เมื่อปีที่เเล้ว Bezos ประกาศว่าบริษัท Amazon พร้อมจะสนับสนุนเป้าหมายของข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ให้เร็วขึ้นกว่าแผนที่วางไว้ 10 ปี รวมทั้งเพื่อบรรลุแผนทำให้โลกปลอดคาร์บอนภายในปี 2040 ใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% ภายในปี 2030 และใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขนส่งสินค้า 100,000 คันภายในปี 2030
อ่านเพิ่มเติม : Amazon เริ่มใช้ “รถสามล้อไฟฟ้า” ส่งสินค้าในอินเดีย ตั้งเป้าถึงหมื่นคันในปี 2025
ก่อนหน้านี้ พนักงานของ Amazon หลายคนเรียกร้องให้บริษัทมีส่วนร่วมเชิงรุกมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ พร้อมขู่จะประท้วงหยุดงานเเละจะให้ความเห็นต่อสื่อสาธารณะด้วย
ที่มา : BBC , businessinsider
]]>