Pfizer -BioNTech – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 10 Feb 2022 12:13:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ไฟเซอร์” คาดปีนี้ฟัน 54,000 ล้านเหรียญ จากขายวัคซีน-ยาต้านไวรัส COVID-19 https://positioningmag.com/1373542 Thu, 10 Feb 2022 08:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373542 ไฟเซอร์คาดการณ์ ยอดขายวัคซีน COVID-19 และยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดของบริษัทน่าจะสูงถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะ WHO กระตุ้นประเทศรวยเร่งอัดฉีดช่วยเหลือโครงการแจกจ่ายวัคซีน เพื่อปิดฉาก COVID-19 ในฐานะสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพทั่วโลกภายในปี 2022 

บริษัทไฟเซอร์ แถลงคาดการณ์เมื่อวันอังคารที่ 8 .. ว่า ยอดขายวัคซีน COVID-19 และยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดของบริษัทในปีนี้อาจสูงถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นไฟเซอร์ยังแจกแจงว่า บริษัทกำลังเจรจากับกว่า 100 ประเทศเกี่ยวกับแพ็กซ์โลวิด และสามารถผลิตยาตัวนี้ได้ถึง 120 ล้านคอร์ส หากจำเป็น

ไฟเซอร์บอกว่า ในปีนี้รายรับจากยาแพ็กซ์โลวิดน่าจะได้สูงเป็นกอบเป็นกำ ถึงแม้วัคซีนที่บริษัทพัฒนาร่วมกับไบโอเอ็นเทคของเยอรมนีนั้น อาจมียอดขายสุดท้ายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 32,000 ล้านดอลลาร์ หรือลดลงจากยอดขายปีที่ผ่านมา 13% โดยปีที่แล้วไฟเซอร์ต้องปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนหลายรอบเนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากทั่วโลก

ในอีกด้านหนึ่ง อับดิ มาฮาหมูด ผู้จัดการฝ่ายอุบัติการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงเมื่อวันอังคารที่ 8 .. ว่า นับจากที่โอมิครอนได้รับการประกาศว่า เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จนถึงขณะนี้ ทั่วโลกมีเคสผู้ติดเชื้อ 130 ล้านคน และเสียชีวิต 500,000 คน ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานี้โลกมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพแล้วก็ตาม

เขาสำทับว่า ขณะที่ทุกคนพูดกันว่า โอมิครอนไม่ร้ายแรง แต่คนเหล่านั้นมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า มีคนตายถึงครึ่งล้านแล้วนับจากตัวกลายพันธุ์นี้ถูกตรวจพบครั้งแรก

Photo : Shutterstock

ทางด้าน มาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคเกี่ยวกับ COVID-19 ของ WHO สำทับว่า เพียงแค่จำนวนผู้ติดโอมิครอนที่ทราบแน่ชัดก็ยังน่าตกตะลึง โดยตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้มาก และเสริมว่า ขณะนี้โลกยังอยู่ในระยะกลางๆ ของการระบาดใหญ่ โดยสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนในหลายประเทศยังไม่ถึงจุดสูงสุด และเป็นไปได้ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกหลายสัปดาห์

ในข้อมูลทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์ซึ่งปรับปรุงแก้ไขล่าสุด ที่เผยแพร่ในเวลาต่อมาของวันอังคาร WHO ระบุว่า สัปดาห์ที่แล้วพบผู้เสียชีวิตเกือบ 68,000 คน เพิ่มขึ้น 7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง 17% อยู่ที่เกือบ 19.3 ล้านคน

หากแยกตามภูมิภาค เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยุโรปมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 53% ของยอดรวมทั่วโลก ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับ 35% รองลงมาคือทวีปอเมริกา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 23% ของทั่วโลก และเสียชีวิตคิดเป็น 44%

รายงานยังบอกอีกว่า ลักษณะสำคัญของโรคระบาดใหญ่ในขณะนี้ก็คือ เกิดระบาดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในทั่วโลกของสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเวลานี้ตรวจพบในเกือบทุกประเทศแล้ว

ทั้งนี้ โอมิครอนคิดเป็น 96.7% ของตัวอย่างที่รวบรวมในช่วง 30 วันหลังสุด ที่ได้ทำการลำดับพันธุกรรมและอัพโหลดลงบนฐานข้อมูลกลางโควิด-19 โลก หรือ GISAID ขณะที่เวลานี้เดลตา มีสัดส่วนแค่ 3.3% เท่านั้น

ปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากโควิดรวมกว่า 5.7 ล้านคน และผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 392 ล้านคนนับจากที่ไวรัสนี้อุบัติขึ้นในจีนเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ขณะเดียวกันมีการฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 10,250 ล้านโดส

Source

]]>
1373542
สิงคโปร์ อนุมัติฉีดวัคซีนโควิดของ Pfizer ให้เด็กอายุ 5-11 ปี ภายในสิ้นปีนี้ https://positioningmag.com/1366382 Sat, 11 Dec 2021 08:29:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366382 สิงคโปร์ อนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech กับเด็กอายุ 5-11 ปี โดยจะเริ่มฉีด ภายในสิ้นปีนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเเพร่ระบาดในเด็ก เเละความเสี่ยงของไวรัสกลายพันธุ์ นอกจากนี้ยังขยายเวลา ‘ฉีดบูสเตอร์’ ให้กับประชาชนอายุระหว่าง 18-29 ปีด้วย

สำหรับวัคซีนของ Pfizer-BioNTech ที่จะฉีดให้เด็กในวัยดังกล่าว จะใช้ปริมาณโดสเพียง 1 ใน 3 ของวัคซีนที่ฉีดให้แก่ผู้ใหญ่เท่านั้น (เข็มละ 10 ไมโครกรัม น้อยกว่าปริมาณปกติ 3 เท่า) โดยจะฉีดทั้งหมดสองเข็ม เเละเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 21 วัน

ทั้งนี้ วัคซีนของ Pfizer-BioNTech เป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิดเเรกที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินให้ใช้งานกับเด็กเล็กได้

ปัจจุบัน สิงคโปร์ เร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปเเล้วกว่า 87% จากทั้งหมด 5.5 ล้านคนทั่วประเทศ นับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการกระจายวัคซีนสูงสุดในโลก

โดยรัฐบาลสิงคโปร์เพิ่งประกาศมาตรการเข้มงวด เก็บค่ารักษาพยาบาลกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีน
หลังยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาพุ่งสูง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน เเละยังกำหนดให้พนักงานในองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องฉีดวัคซีนโควิดครบโดส นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้าเป็นต้นไป ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้องมีผลตรวจเป็นลบเท่านั้น ถึงจะเข้าออฟฟิศได้ เเละต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

 

ที่มา : CNA

]]>
1366382
สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติใช้วัคซีนของ ‘ไฟเซอร์’ ในเด็กอายุ 5-11 ปี คาดเร็วสุดในสิ้นเดือนต.ค.นี้ https://positioningmag.com/1351395 Sun, 12 Sep 2021 12:07:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351395 สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิดของไฟเซอร์ไบออนเทคในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี คาดเร็วสุดในสิ้นเดือนต..นี้

สำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างเเหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูง บอกว่า วัคซีนของไฟเซอร์ไบออนเทค’ (Pfizer-BioNTech) จะมีข้อมูลการทดลองทางคลินิกเพียงพอ ที่จะขออนุมัติการใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน (EUA) เพื่อใช้สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปีในช่วงปลายเดือนนี้

โดยหากไทม์ไลน์การยื่นขออนุมัติวัคซีนดังกล่าวตรงกำหนดประเมินว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการตัดสินใจ ว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งหากผ่านการตรวจสอบจะสามารถนำไปฉีดให้เเก่เด็กวัยดังกล่าวได้เร็วที่สุดในช่วงสิ้นเดือนต.ค.

ทั้งนี้ ไฟเซอร์ ผ่านการอนุมัติให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปแล้ว

ชาวอเมริกันหลายล้านคน ตั้งตารอการอนุมัติใช้วัคซีนสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองที่บุตรหลาน เริ่มเปิดเทอมในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางโรคระบาดที่ยังรุนแรง จากตัวแปรสำคัญคือสายพันธุ์เดลตาซึ่งทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งกระฉูด โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

ด้าน ไบออนเทค ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์กับไฟเซอร์ เปิดเผยกับ Der Spiegel สื่อเยอรมนี คาดว่า บริษัทจะยื่นคำร้องถึงคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบทั่วโลก เพื่อขอใช้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุตั้งเเต่ 5 ขวบขึ้นไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นขออนุมัติ

 

 

ที่มา : Reuters , CNBC 

 

 

]]>
1351395
ซีอีโอ ‘ไฟเซอร์’ รับประสิทธิภาพลดเหลือ 84% หลังฉีด 6 เดือน มั่นใจฉีดเข็ม 3 สู้เดลตาได้ https://positioningmag.com/1344752 Sun, 01 Aug 2021 03:53:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344752 ในหลายประเทศเริ่มมีการพิจารณาที่จะฉีดวัคซีน เข็ม 3 อาทิ อิสราเอลชาติแรกที่จะเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค เข็มที่ 3 ให้บุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หลังจากพบว่าวัคซีนเหลือประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการเพียง 41% อย่างไรก็ตาม ซีอีโอของไฟเซอร์ก็ออกมายอมรับว่าสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนประมาณ 4-6 เดือนหลังจากได้รับยาครั้งที่สองประสิทธิภาพการป้องกันลดลงเหลือประมาณ 84%

การศึกษาจากผู้ลงทะเบียนมากกว่า 44,000 คนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนแข็งแกร่งที่สุดที่ 96.2% โดยประสิทธิภาพดังกล่าวจะอยู่ระหว่างช่วง 1 สัปดาห์ถึงสองเดือนหลังจากได้รับเข็มที่สอง และจากผลการศึกษาดังกล่าวพบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลงโดยเฉลี่ย 6% ทุกสองเดือน โดยหลังจากฉีดเข็มที่สองไปแล้ว 4-6 เดือน ประสิทธิภาพจะอยู่ที่ประมาณ 84%

“เราได้เห็นข้อมูลจากอิสราเอลด้วยว่าภูมิคุ้มกันเสื่อมลง ตอนนี้หลังจากช่วงหกเดือนประสิทธิภาพอยู่ระหว่าง 80-90%” Albert Bourla CEO Pfizer กล่าว

อย่างไรก็ตาม การฉีดเข็มที่ 3 จะเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันในระดับที่จะเพียงพอที่จะป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารกล่าวเสริมโดยอ้างถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่เกิดจาการกลายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) และ องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่แนะนำให้ใช้ยากระตุ้นโควิดในขณะนี้ โดย ดร.เคท โอไบรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างภูมิคุ้มกัน วัคซีน และชีววิทยาของ WHO กล่าวว่า องค์กรยังคงทำการวิจัยว่าจำเป็นต้องฉีดบูสเตอร์เพื่อเพิ่มการป้องกันหรือไม่

Albert Bourla CEO Pfizer

“เราชัดเจนมากในเรื่องนี้ เรายังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะให้คำแนะนำ ณ จุดนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวกำลังมีการพูดถึงอย่างมาก และมีงานวิจัยจำนวนมากที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อให้สามารถให้คำแนะนำได้”

แม้ WHO จะยังไม่แนะนำ แต่ก็มีข้อมูลสนับสนุนจาก CDC ที่เริ่มให้คำแนะนำให้ชาวอเมริกันที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อโควิดสูงเริ่มสวมหน้ากากอนามัยในบ้านอีกครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของสายพันธุ์เดลตา

จำนวนผู้ติดเชื้อในอเมริกาเพิ่มขึ้นทั่วประเทศในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากตัวแปรเดลตา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กล่าวว่าการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโควิดส่วนใหญ่อยู่ในคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

Source

]]>
1344752
วัคซีน ‘ไฟเซอร์’ ขายดีเกินคาด ปรับเป้าปีนี้โกยเงิน 1.1 ล้านล้านบาท เเนะฉีดกระตุ้น ‘เข็ม3’ ต่อ เร่งขยายฐานผลิต https://positioningmag.com/1344545 Thu, 29 Jul 2021 13:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344545 วัคซีน ‘ไฟเซอร์’ ขายดีเกินคาด ปรับเป้าปีนี้โกยเงินทะลุ 33,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.1ล้านล้านบาท) เเนะฉีด ’เข็ม3’ กระตุ้นภูมิฯ ต่อเนื่อง เร่งขยายฐานการผลิต หาซัพพลายเออร์รายใหม่ 

ไฟเซอร์ อิงค์ (Pfizer Inc.) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ประกาศปรับเป้ายอดขายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัทที่พัฒนาร่วมกับ BioNTech ทั้งหมดในปี 2021 โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้มากถึง 33,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เดิม 29%

การปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายของไฟเซอร์ครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อตกลงสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มเติม ที่มีจำนวนถึง 2,100 ล้านโดส เเละทางบริษัทอาจมีการปรับตัวเลขอีกครั้ง ถ้ามีการลงนามข้อตกลงใหม่ๆ หลังจากนี้

นับตั้งแต่เดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ‘ไฟเซอร์’ ได้จัดส่งวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 1,000 ล้านโดส ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าการผลิตไว้ที่ราว 3,000 ล้านโดส โดยเร่ง ‘ขยายฐานการผลิต’ และเพิ่มซัพพลายเออร์รายใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตได้ตามเป้าหมาย

ไฟเซอร์ กำลังพัฒนาวีคซีนป้องกันโควิด ‘เข็มที่ 3’ หรือ Booster Shot กระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับ ‘สายพันธุ์เดลตา’ โดยเฉพาะ เตรียมขออนุมัติใช้งานกับทางการสหรัฐฯ ภายในเดือนส.ค.นี้

โดยระบุว่า วัคซีนเข็ม 3 จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ ติดเชื้ออาการเล็กน้อย และลดการแพร่กระจายเชื้อของไวรัส พร้อมเผยข้อมูลว่าวัคซีนเข็มที่ 3 ของไฟเซอร์ ช่วยสร้างแอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไวรัสหมดฤทธิ์ ในผู้ฉีดวัคซีนวัยผู้ใหญ่ได้มากถึง 11 เท่า และในผู้รับวัคซีนวัยเด็กได้กว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับการรับวัคซีน 2 โดส

ด้านหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ออกความเห็นว่า ยังมีข้อมูลไม่มากพอที่แสดงให้เห็นว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้น มีความจำเป็นมากพอหรือไม่ เเละกำลังอยู่ในช่วงหารือกันถึงความเป็นไปได้ที่จะฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

การพิจารณาฉีดวัคซีน Booster Shot ในสหรัฐฯ มีขึ้น ท่ามกลางประชากรหลายพันล้านคนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยังคงรอ ‘วัคซีนเข็มแรก’ อยู่

ที่ผ่านมา ไฟเซอร์ ผลิตวัคซีนโควิดที่ได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ ยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ชิงนำตลาดด้วยคำสั่งซื้อใหม่ๆ เอาชนะคู่เเข่งที่ผลิตวัคซีนรูปแบบอื่น อย่าง แอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่กำลังเผชิญปัญหาการผลิตและความปลอดภัย รวมไปถึง ‘โมเดอร์นา ผู้ผลิตวัคซีนด้วยเทคโนโลยี mRNA อีกราย ที่ยังไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้เร็วเท่าเจ้าอื่น

ทั้งนี้ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เผยคาดการณ์ยอดขายวัคซีนโควิด-19 ตลอดปีนี้ อยู่ที่ 2,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 82,000 ล้านบาท) ส่วนโมเดอร์นา ประมาณการไว้ที่ 19,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 630,000 ล้านบาท)

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1344545
ดีลสำเร็จ! บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ TSMC – Foxconn ต่อรองซื้อวัคซีน 10 ล้านโดสให้ไต้หวัน เเก้เกมจีน https://positioningmag.com/1342005 Tue, 13 Jul 2021 10:40:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1342005 ต่อรองสำเร็จ! ‘TSMC’ และ ‘Foxconn’ บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ของไต้หวัน ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ป้อนวงการเทคโนโลยีโลก บรรลุข้อตกลงกับ BioNTech จัดซื้อวัคซีนโควิดเเบบ mRNA ที่พัฒนาร่วมกับ Pfizer เพื่อนำมาฉีดฟรีให้ประชาชนชาวไต้หวัน 10 ล้านโดส ‘เเก้เกม’ ข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทเปและปักกิ่ง

สำหรับค่าใช้จ่ายการจัดซื้อวัคซีนของ BioNTech รวมไปถึงค่าบริการระบบการขนส่งและค่าประกันภัย จะอยู่ที่ไม่เกิน 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.7 พันล้านบาท) ซึ่งทั้งสองบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เเละจะนำไปบริจาคให้กระทรวงสาธารณสุขของไต้หวัน

ปกติเเล้ว BioNTech จากเยอรมนี ร่วมมือกับ Shanghai Fosun Pharmaceutical ให้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายวัคซีนชนิด mRNA ที่ได้พัฒนากับ Pfizer ในประเทศจีน

โดยรัฐบาลไต้หวัน อ้างว่าทางการจีนพยายามขัดขวางไม่ให้ไต้หวันจัดหาวัคซีนจาก BioNTech ซึ่งจีนยื่นข้อเสนอว่าจะบริจาควัคซีนป้องกันโควิดให้เอง เเต่ไต้หวันยืนยันปฏิเสธ

ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง ไต้หวัน ต้องหาทางออกใหม่ โดยจับมือกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่มี ‘อำนาจการต่อรองทางธุรกิจสูง’ อย่าง Foxconn และ TSMC ให้ไปติดต่อกับ BioNTech และ Shanghai Fosun Pharmaceutical โดยตรงเพื่อจัดหาวัคซีนเเทนรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อตกลงใหม่ที่ว่า BioNTech และ Fosun ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายวัคซีนให้กับบริษัทเอกชน (มากกว่ารัฐบาลไต้หวัน) นั้น ทางรัฐบาลจีนก็คงยังมองว่า เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

Terry Gou มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Foxconn โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการแทรกแซงจากทางการจีน เเละขอบคุณที่การเจรจาทางธุรกิจครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี

อย่างที่ทราบกันว่า ‘Foxconn’ เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเเบรนด์ดังต่างๆ ทั้ง HP, Dell , Lenovo เเละ Apple ส่วน TSMC เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตชิปให้ AMD, Apple และ Nvidia รวมถึงชิ้นส่วนสำคัญของของสมาร์ทโฟนทั่วโลก

โดยฐานการผลิตของ Foxconn ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีนเเละประเทศอื่นๆ แต่ฐานการผลิตของ TSMC ส่วนใหญ่ยังอยู่ในไต้หวัน

ที่ผ่านมา ไต้หวันได้รับการยกย่องว่ามีการควบคุมการระบาดใหญ่ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาระลอกใหม่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 700 ราย ซึ่งปัจจุบันไต้หวันกระจายวัคซีนโควิด-19 โดสเเรกไปแล้ว 3.3 ล้านคน คิดเป็น 14% ของประชากรทั้งหมด

โดยทาง TSMC และ Foxconn ระบุว่า วัคซีนจาก ‘BioNTech’ จะถูกจัดส่งมาจากรงงานในเยอรมนี และจะนำเข้าไต้หวันได้เร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

 

ที่มา : The Verge , Financial Times

 

 

 

 

]]>
1342005
ไฟเซอร์ กำลังพัฒนาวัคซีน ‘เข็ม 3’ สู้สายพันธุ์ ‘เดลตา’ โดยเฉพาะ เตรียมขออนุมัติใช้ในสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1341530 Fri, 09 Jul 2021 07:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341530 ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกอย่างไฟเซอร์’ (Pfizer) กำลังพัฒนาวีคซีนป้องกันโควิดเข็มที่ 3’ หรือ Booster Shot กระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับ ‘สายพันธุ์เดลตาโดยเฉพาะ เตรียมขออนุมัติใช้งานกับทางการสหรัฐฯ ภายในเดือนหน้า

เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา (Delta) หรือ B.1.617.2 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย ตอนนี้กำลังแพร่ระบาดหนักในกว่า 98 ประเทศ รวมถึงไทย

ก่อนหน้านี้ไฟเซอร์’ ได้ร่วมมือกับ ‘ไบโอเอ็นเทค’ ของเยอรมนี พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพป้องกันอาการป่วยหนักได้ประมาณ 95% เเต่ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล เปิดเผยเมื่อ 5 .. ว่าประสิทธิภาพการป้องกันของวัคซีนไฟเซอร์นั้นลดลงมาเหลือเพียง 64% เมื่อเจอเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา

Mikael Dolsten หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ อ้างอิงข้อมูลหลักฐานจากทางการอิสราเอล ระบุว่า ผู้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็มเเล้วนานเกิน 6 เดือน ยังมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ 

โดยยืนยันว่า เเม้การฉีด ‘Booster Shot’ ด้วยวัคซีนสูตรเดิมนั้น จะยังสามารถต้านทานโควิดทุกสายพันธุ์ที่รู้จักในตอนนี้ เเละมีการป้องกันสูงกว่าการฉีด 2 เข็ม ราว 5-10 เท่า เเต่ทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีน Booster Shot สูตรใหม่เพื่อจัดการสายพันธุ์เดลตา

จากค้นพบเหล่านี้ สอดคล้องกับการวิเคราะห์การทดลองเฟส 3 ของบริษัท นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราถึงพูดและเชื่อมาตลอดว่ามีความเป็นไปได้ที่จำเป็นต้องฉีดเข็ม 3 ภายใน 6-12 เดือนหลังจากฉีดครบ 2 เข็มแล้ว

โดยหากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแล ทางไฟเซอร์ไบโอเอ็น เทคจะเริ่มทดลองทางคลินิกให้เร็วที่สุดภายในเดือน ส..นี้ เพื่อเตรียมขออนุมัติใช้งานต่อทางคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ

Photo : Shutterstock

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางคน ยังตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการฉีด Booster Shot

Eric Topol ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลและผู้อำนวยการสถาบัน Scripps Research Translational ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มองว่าการลดลงของภูมิคุ้มกัน จะส่งผลให้เกิดการเพิกเฉยต่อส่วนประกอบอื่นๆ ที่สำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงเซลล์หน่วยความจำ B ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ เมื่อต้องเผชิญกับไวรัส โดยเขาเน้นว่าเรื่องนี้จะต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันให้ได้

ทั้งนี้ ไฟเซอร์คาดการณ์ยอดขายวัคซีนของบริษัทในปีนี้ทะลุ 2.6 หมื่นล้านเหรียญ เเละกำลังมองหาวิธีที่จะเพิ่มการผลิต โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 3 พันล้านโดสภายในปีนี้ และ 4 พันล้านโดสในปีหน้า

จากข้อมูลของ IQVIA Holdings ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก และวัคซีนเข็มต่อไปเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.57 เเสนล้านเหรียญในปี 2025

 

ที่มา : CNBC , CNA , Reuters 

]]>
1341530
ผลวิเคราะห์ชี้ 5 ใน 6 ประเทศที่มีการ ‘ติดเชื้อโควิดสูง’ ได้รับ ‘วัคซีนจีน’ https://positioningmag.com/1341457 Fri, 09 Jul 2021 06:33:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341457 การวิเคราะห์ของเว็บไซต์ CNBC ระบุว่า ในบรรดาประเทศที่มี ‘อัตราการฉีดวัคซีนสูง’ และ ‘อัตราการติดเชื้อ COVID-19 สูง’ ส่วนใหญ่พึ่งพา ‘วัคซีนที่ผลิตในประเทศจีน’ โดยการหาข้อมูลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีการตรวจสอบถึงประสิทธิภาพวัคซีนจากจีน เนื่องจากการมาของตัวแปรเดลต้าที่แพร่เชื้อได้ดีกว่า

CNBC ระบุ 36 ประเทศที่มีผู้ป่วยยืนยันรายใหม่มากกว่า 1,000 รายต่อล้านคน ณ วันที่ 6 กรกฎาคม โดยใช้ตัวเลขจาก Our World in Data ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงองค์การอนามัยโลก รัฐบาล และนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด จากนั้น CNBC ระบุประเทศในกลุ่ม 36 ที่มีประชากรมากกว่า 60% ได้รับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 โดส

จากข้อมูลพบว่าผู้ป่วยโควิดรายสัปดาห์ซึ่งปรับตามจำนวนประชากรยังคง เพิ่มสูงขึ้น ในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนมากที่สุดในโลกอย่างน้อย 6 ประเทศ และ 5 ประเทศ ในนั้นต้อง พึ่งพาวัคซีนจากประเทศจีน ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เซเชลส์, มองโกเลีย, อุรุกวัย และชิลี ส่วนอีกหนึ่งประเทศหนึ่งที่เหลือคือ สหราชอาณาจักรที่ไม่ได้รับวัคซีนจากจีนเป็นหลัก

  • มองโกเลีย เปิดเผยว่าประเทศได้รับวัคซีน 2.3 ล้านโดส เป็น Sinopharm ตามด้วย สปุตนิก วี ของรัสเซีย 80,000 โดส และ Pfizer-BioNTech ประมาณ 255,000 โดส
  • ชิลี ฉีดวัคซีน 16.8 ล้านโดสจาก Sinovac Biotech ได้ Pfizer-BioNTech 3.9 ล้านโดส และวัคซีนอีก 2 ชนิดในปริมาณที่น้อยกว่า 2 รายแรก
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ เซเชลส์ พึ่งพาวัคซีน Sinoarm อย่างมากในช่วงเริ่มต้น แต่แต่ละแห่งเพิ่งเปิดตัววัคซีนอื่น ๆ
  • อุรุกวัย มีวัคซีนของ Sinovac เป็นหนึ่งในสองวัคซีนที่ใช้กันมากที่สุด ร่วมกับ Pfizer-BioNTech
  • สหราชอาณาจักร ได้วัคซีน Moderna, AstraZeneca-Oxford, Pfizer-BioNTech และ Janssen ผู้ติดเชื้อในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการแพร่กระจายของโรคเดลต้าที่แพร่ระบาดมากขึ้น

ทั้งนี้ มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้จำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง เพราะ วัคซีนไม่ได้ให้การป้องกัน 100% ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังสามารถติดเชื้อได้ ในเวลาเดียวกัน ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถเจาะภูมิคุ้มกันของวัคซีนได้ดีขึ้น

(Photo by Andressa Anholete/Getty Images)

อย่างไรก็ตาม นักระบาดวิทยามองว่า ประเทศต่าง ๆ ไม่ควรหยุดใช้วัคซีน จากประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่จำนวนของวัคซีนมีจำกัดในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง โดยหลายประเทศที่อนุมัติวัคซีนโดย Sinopharm และ Sinovac ส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่ร่ำรวยกว่าสำหรับวัคซีนที่พัฒนาในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

แม้จะบอกว่าไม่ควรหยุดใช้วัคซีนจากจีน แต่เมื่อเดือนที่ผ่านมา คอสตาริกาปฏิเสธการส่งมอบวัคซีนที่พัฒนาโดยซิโนแวค หลังจากสรุปว่าไม่ได้ผลเพียงพอ แม้องค์การอนามัยโลกอนุมัติวัคซีนจาก Sinopharm และ Sinovac เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินก็ตาม

ทั้งนี้ ประสิทธิผลของวัคซีนจีนทั้งสองชนิดนั้นมีผลออกมาว่าต่ำกว่าของ Pfizer – BioNTech และ Moderna ซึ่งทั้งสองวัคซีนมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% โดยวัคซีนของ Sinopharm มีประสิทธิภาพ 79% ในการต่อต้านการติดเชื้อโควิดตามอาการ WHO กล่าว แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนในบางกลุ่ม เช่น คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังไม่ชัดเจน ประสิทธิภาพของการยิง Sinovac นั้นอยู่ระหว่างประมาณ 50-80% ขึ้นอยู่กับประเทศที่ถูกจัดขึ้นในการทดลอง

Source

]]>
1341457
“อิตาลี” ยอดติดเชื้อลดฮวบ 80% หลังฉีดวัคซีนแอสตราฯ/ไฟเซอร์/โมเดอร์นา https://positioningmag.com/1332384 Sun, 16 May 2021 15:53:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332384 สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สถาบันสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขของอิตาลี รายงานว่าหลังดำเนินโครงการฉีดวัคซีนในระยะแรก 5 สัปดาห์ พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อ COVID-19 ในประชากรทุกกลุ่มอายุของอิตาลีลดลงถึง 80%

รายงานระดับชาติว่าด้วยประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ที่ถูกนำมาใช้งานจริง บันทึกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่อิตาลีเริ่มโครงการฉีดวัคซีนในประเทศจนถึงวันที่ 3 พ.ค.

รายงานระบุว่าความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับโรค COVID-19 เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังการฉีดวัคซีนครั้งแรก ทั้งยังรายงานสถิติ “การติดเชื้อลดลง 80% การรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง 90% และการเสียชีวิตลดลง 95%” หลังการฉีดวัคซีนโดสแรก 35 วัน โดยแนวโน้มรูปแบบดังกล่าวพบได้ในกลุ่มคนทุกเพศ และช่วงอายุ

“ข้อมูลข้างต้นยืนยันถึงประสิทธิภาพของโครงการฉีดวัคซีน และความจำเป็นในการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรจำนวนมากโดยเร็วเพื่อยุติภาวะฉุกเฉิน” ซิลวิโอ บรูซาเฟอร์โร ประธานสถาบันฯ กล่าว

Photo : Shutterstock

ผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech) หรือโมเดอร์นา (Moderna) โดสแรกนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตวัคซีนระบุว่าจำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนโดสที่สองตามหลัง 3-12 สัปดาห์ (ระยะห่างขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน) เพื่อให้วัคซีนสามารถป้องกันการเกิดโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ถูกกำหนดให้ฉีดเพียง 1 โดสก็มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ อิตาลีดำเนินการฉีดวัคซีน COVID-19ให้ประชาชนทั่วประเทศกว่า 26.6 ล้านโดสแล้ว โดยมีประชาชน 8.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 14.1% ที่ได้รับวัคซีนครบโดส เมื่อนับถึงวันเสาร์ที่ 15 พ.ค.

]]>
1332384
อเมริกัน ‘วัยผู้ใหญ่’ ครึ่งประเทศ ฉีดวัคซีนโควิดเเล้ว ท่ามกลางยอดติดเชื้อพุ่งทั่วโลก https://positioningmag.com/1328304 Mon, 19 Apr 2021 14:54:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328304 ภายในระยะเวลา 4 เดือนกว่าๆ สหรัฐฯ สามารถฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้ประชาชนไปเเล้ว 209 ล้านโดส โดยกว่า 50% ของกลุ่มวัยผู้ใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดทั่วโลกที่ยังเลวร้าย พบผู้ติดเชื้อใหม่รายสัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่การระบาด ยอดเสียชีวิตสะสมทะลุ 3 ล้านคน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) รายงานว่า ชาวอเมริกันที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 130 ล้านคน หรือราว 50.4% ของประชากรกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งหมด ได้รับการได้ฉีดวัคซีนอย่างน้อยคนละหนึ่งโดส เเละอีกประมาณ 84 ล้านคน หรือมากกว่า 25% ของประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดสแล้ว 

การเร่งฉีดวัคซีนเป็นความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกในช่วง 7 วันที่ผ่านมา พุ่งสูงสุดถึง 5.2 ล้านคน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วโลกพุ่งเกิน 3 ล้านคน

Photo : Shutterstock

สหรัฐฯ มียอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 สะสมมากกว่า 5.67 เเสนราย นับเป็นประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยข้อมูล ณ วันที่ 19 เม.. 2020 ระบุว่า สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 4 หมื่นราย ส่งผลให้ยอดติดเชื้อสะสมในประเทศรวม 32 ล้านราย จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 332 ล้านราย

ทั้งนี้ วัคซีนที่ฉีดไปเเล้วในสหรัฐฯ กว่า 209 ล้านโดสนั้น ตามข้อมูลของ CDC เเบ่งเป็นวัคซีนของบริษัท Pfizer-BioNTech อย่างน้อย 109 ล้านโดส เป็นของ Moderna อีก 92 ล้านโดส และ Johnson & Johnson อีก 7.9 ล้านโดส

อย่างไรก็ตาม กรณีที่พบเคสลิ่มเลือดอุดตัน ในประชาชนที่ฉีดวัคซีนของ Johnson & Johnson และ AstraZeneca ได้สร้างความสงสัยในประสิทธิภาพของวัคซีน โดยวัคซีนแบบฉีดเข็มเดียวของ Johnson & Johnson ถูกทางการสหรัฐฯ ระงับใช้ชั่วคราวไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว

แม้อัตราการติดเชื้อในสหรัฐฯ เเละสหราชอาณาจักรจะชะลอลง เเต่เหล่าประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอินเดียและบราซิล กลับกำลังเผชิญจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องเจอกับไวรัสโคโรนากลายพันธุ์

ตอนนี้ อินเดียและบราซิล มีอัตราการกระจายวัคซีนคิดเป็น 4.5% และ 8.3% ของจำนวนประชากร ตามลำดับ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ 33% และสหราชอาณาจักร 32%

Photo : Shutterstock

ด้านอิสราเอลเพิ่งประกาศยกเลิกมาตรการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากในที่สาธารณะเเล้วแต่ยังคงกำหนดให้สวมหน้ากากเวลาอยู่ในอาคารหรือพื้นที่ปิดหลังประสบความสำเร็จอย่างมากในการกระจายวัคซีน

ประชาชนอิสราเอลเกือบ 60% ได้รับวัคซีน COVID-19 ไปเเล้วอย่างน้อยหนึ่งโดสทำให้รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมการระบาดได้ เเละเตรียมตัวจะเป็นประเทศเเรกที่กำลังเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ หลังฉีดวัคซีนคิดตามอัตราประชากรได้เร็วที่สุดในโลก โดยเลือกใช้วัคซีนของ Pfizer-BioNTech

 

 

ที่มา : CBS , ABCnews , Bloomberg

]]>
1328304