Pattarat – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Oct 2024 04:29:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “อิมแพ็ค” แย้มสนใจเปิดโรงแรมเพิ่ม 1,000 ห้อง เทรนด์อีเวนต์กลับมา – คิวคอนเสิร์ตเต็มเอี้ยดทั้งปี’68! https://positioningmag.com/1496548 Wed, 30 Oct 2024 12:25:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496548
  • “พอลล์ กาญจนพาสน์” เผยปีหน้าลุ้นขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองรีท หมุนเงินลงทุนโรงแรมแห่งที่ 3 เพิ่ม 1,000 ห้องใน อิมแพ็ค เมืองทองธานี เน้นระดับ 5 ดาวตอบโจทย์แขกวีไอพี
  • ปี 2567 เทรนด์อีเวนต์กลุ่มคอนเสิร์ตและอินเซนทีฟพุ่งทะยาน เหลือกลุ่มจัดประชุมและนิทรรศการยังรอฟื้น ภาพรวมรายได้กลับมาใกล้เคียงก่อนโควิด-19
  • ปี 2568 สัญญาณบวกงานคอนเสิร์ตจองคิว อิมแพ็ค อารีน่าเต็มยาวถึงสิ้นปีแล้ว
  • การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขั้นต่อไปภายใต้วิสัยทัศน์ของ “พอลล์ กาญจนพาสน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ไม่ใช่การสร้างฮอลล์จัดงานเพิ่ม แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการมาจัดงานอีเวนต์นั่นคือ “โรงแรม”

    ปัจจุบันในเมืองทองธานีบริเวณใกล้สถานที่แสดงสินค้าของอิมแพ็คมีโรงแรม 2 แห่งหลัก คือ ไอบิส กรุงเทพ อิมแพ็ค กับ โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค พอลล์ระบุว่าทั้ง 2 แห่งรวมกันมีจำนวนห้องพักประมาณ 1,000 ห้อง ซึ่งปรากฏว่าไม่เพียงพอแล้วในวันนี้

    “exhibitor พูดมาเยอะมากว่าอยากให้เรามีโรงแรม 5 ดาวในบริเวณ เพราะแขกผู้ที่จะมาร่วมงานของเขามีเงื่อนไขว่าจะต้องพัก 5 ดาว” พอลล์กล่าวถึงช่องว่างที่ต้องการจะอุดให้อิมแพ็คเป็นสถานที่จัดงานที่สมบูรณ์แบบ “รวมถึงจำนวนห้องพักก็ไม่พอ exhibitor หลายรายบอกว่า ขอห้องพักรอบๆ ขั้นต่ำ 2,000 ห้อง ถ้าเรามีให้ไม่พอ เขาก็ตัดเราออกจากตัวเลือกเลย”

    โนโวเทล กรุงเทพ อิมแพ็ค (Photo: Facebook@NovotelIMPACT)

    ทำให้ปี 2568 นี้อิมแพ็คมีแนวทางว่าอาจจะมีการขายโรงแรมทั้งไอบิสและโนโวเทลเข้ากองทรัสต์ IMPACT GROWTH REIT เพื่อนำเงินมาใช้ในการลงทุนโรงแรมแห่งใหม่ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องใช้เงินลงทุนราว 4,000 ล้านบาทขึ้นไป หากต้องการมีโรงแรม 5 ดาวเพิ่ม 1,000 ห้องในเมืองทองธานี

    “จริงๆ การมีโรงแรมเพิ่มจะดีกับทั้งเมืองทองธานี เพราะอิมแพ็คก็มีโอกาสได้รายได้ค่าเช่าเพิ่มจากจำนวนงานที่เพิ่มมากขึ้น และแขกที่พักโรงแรมก็มีโอกาสจะมาใช้จ่ายกับร้านค้าต่างๆ แถวอิมแพ็ค” พอลล์กล่าว

    ทั้งนี้ หากมีนักลงทุนรายใดสนใจที่จะร่วมพาร์ทเนอร์กับอิมแพ็คเพื่อก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ดังกล่าวก็ไม่ขัดข้อง เปิดรับเจรจาทุกดีล

     

    ปี’67 ธุรกิจอีเวนต์กลับมาใกล้เคียงก่อนโควิด-19

    ด้านภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ปี 2567 สำหรับอิมแพ็คแล้วพอลล์กล่าวว่ากลับมาฟื้นตัวใกล้เคียงกับก่อนโควิด-19 โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มที่มีทั้งเติบโตมากกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ได้แก่

    • กลุ่มคอนเสิร์ตคาดการณ์รายได้ปีนี้ 380 ล้านบาท เติบโตเกือบ 70% จากปี 2562 ถือเป็นปีที่การจัดแสดงทางดนตรีเฟื่องฟูอย่างมาก
    • กลุ่มอินเซนทีฟ (เลี้ยงลูกค้าหรือพนักงาน) – คาดการณ์รายได้ปีนี้ 250 ล้านบาท เติบโต 103% จากปี 2562 เป็นธุรกิจที่เติบโตดีมากในปีนี้ สามารถดึงลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามาได้มาก
    • กลุ่มจัดประชุมสัมมนา รายได้ยังเติบโตได้ไม่เท่ากับปี 2562 อยู่ระหว่างร่วมมือกับภาครัฐเพื่อดึงงานประชุมสัมมนาจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น
    • กลุ่มจัดนิทรรศการและแสดงสินค้าถือเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะต้องรออีกราว 18 เดือนจึงจะฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจร่วมกับค่าเงินบาททำให้การดึงการจัดงานเข้าสู่เมืองไทยทำได้ยากขึ้น ประกอบกับ exhibitor หลายรายปิดตัวไปตั้งแต่เกิดโควิด-19

    อิมแพ็ค

    หากวัดตามฐานลูกค้ามาจากแหล่งใดนั้น อิมแพ็คให้ข้อมูลไว้ว่าเมื่อรอบปีบัญชีก่อน (1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2567) อิมแพ็คมีสัดส่วนงานจากภาคเอกชน 57% จากรัฐบาล 21% และจากผู้จัดต่างประเทศ 22%

     

    สัญญาณดีคอนเสิร์ตจองเต็มทั้งปี’68

    ขณะที่สัญญาณธุรกิจอีเวนต์ปีหน้า พอลล์กล่าวว่าในกลุ่มคอนเสิร์ตเป็นไปในเชิงบวกมาก ปัจจุบันอิมแพ็ค อารีน่ามีคิวจองเต็มตลอดทั้งปี 2568 เรียบร้อยแล้ว

    อิมแพ็ค

    ส่วนกลุ่มอื่นๆ นั้นอิมแพ็คมีกลยุทธ์ “หากลุ่มเป้าหมายใหม่” 2 กลุ่มที่จะช่วยดึงการจัดงานเข้ามาได้มากขึ้น คือ

    1.กลุ่มตลาด “จีน”

    เนื่องจากจีนถือเป็นตลาดใหญ่ มีโอกาสที่จะดึงทั้งกลุ่มจัดแสดงสินค้าและอินเซนทีฟเข้ามาไทยได้จำนวนมาก และประเทศจีนเริ่มเปิดให้คนเดินทางออกนอกประเทศได้มากขึ้น จากปี 2567 มีกลุ่มอีเวนต์จากประเทศจีนเข้ามาเช่าจัดแสดงคิดเป็นรายได้กว่า 100 ล้านบาท คาดว่าปี 2568 น่าจะดันขึ้นไปถึง 200-250 ล้านบาทได้ โดยอิมแพ็คมีการจัดทีมเซลส์สำหรับเจาะตลาดจีนโดยเฉพาะ เพื่อสร้างโปรไฟล์ให้ exhibitor ชาวจีนรู้จักอิมแพ็คมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มต่างประเทศอื่นๆ ที่ถือว่าน่าสนใจสำหรับอิมแพ็คและมีการจัดเซลส์เข้าไปเจาะตลาดด้วยเช่นกัน เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ เวียดนาม เป็นต้น

    2.กลุ่มลูกค้าใหม่ – อินฟลูเอนเซอร์และสื่อ

    สมัยก่อนนี้การจัดงานอีเวนต์ต่างๆ มักจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย exhibitor มืออาชีพเป็นหลัก แต่ระยะหลังมีเทรนด์ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่หันมาเป็นผู้จัดกันมากขึ้น คือ “อินฟลูเอนเซอร์และสื่อ” โดยมักจะจัดงานที่สอดคล้องกับสิ่งที่สื่อของตนสื่อสารและมีกลุ่มลูกค้าของตนเองอยู่แล้ว เช่น ปีนี้มีการจัดงาน Restech 2024 ที่จัดโดย TORPENGUIN ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ทำให้อิมแพ็คมองเห็นว่าลูกค้าจัดงานในกลุ่มนี้จะเป็น ‘New S-Curve’ ได้ จึงมีแนวคิดจะจัดเป็นแพ็กเกจราคาเฉพาะกลุ่มที่ทำให้อินฟลูฯ สามารถขึ้นงานอีเวนต์ใหม่ได้ง่ายขึ้น มีโอกาสโตไปด้วยกันมากขึ้น

    บรรยากาศจากงาน Restech 2024 (Photo: Facebook@Restechthailand)

    พอลล์ยังมองด้วยว่าปี 2568 อิมแพ็ค เมืองทองธานี น่าจะได้แรงบวกหลักจาก “รถไฟฟ้าสายสีชมพู” ส่วนต่อขยาย 2 สถานีเข้าสู่เมืองทองธานี ซึ่งคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการภายในไตรมาส 2/2568 ขณะที่การก่อสร้างโครงการ Sky Entrance ทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสู่อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์นั้นคืบหน้าไป 62.6% คาดจะเสร็จรอการมาถึงของรถไฟฟ้าได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568

    อิมแพ็ค เมืองทองธานีนั้นถือเป็นสถานที่จัดแสดงสินค้าและการประชุมที่ใหญ่ที่สุดและมีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดหากวัดตามขนาดพื้นที่เช่า โดยคิดเป็น 50% ของตลาดพื้นที่จัดงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล แต่ถ้าเทียบกับสถานที่จัดงานแห่งอื่นอาจจะยังเสียเปรียบในเรื่องขนส่งมวลชน เพราะสถานที่ที่เป็น ‘คู่แข่ง’ อื่นๆ ได้แก่ ไบเทค บางนา, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และพารากอน ฮอลล์ ล้วนเข้าถึงได้ด้วยรถไฟฟ้าแล้วทั้งหมด ดังนั้น การมาถึงของส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่อิมแพ็คน่าจะเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับพื้นที่

    อิมแพ็คให้ข้อมูลด้วยว่าอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยรวมขณะนี้ (ณ เดือนเมษายนมิถุนายน 2567) อยู่ที่ 50% ซึ่งพอลล์มองว่าหากสามารถดันอัตราเช่าให้ขึ้นไปถึง 60% ได้จะถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

    ]]>
    1496548
    “สตาร์บัคส์” ยืนยันบริษัทแม่เปลี่ยนซีอีโอยังไม่กระทบนโยบายเมืองไทย โปรฯ “1 แถม 1” ยังจัดต่อ https://positioningmag.com/1496314 Tue, 29 Oct 2024 12:11:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496314
  • สตาร์บัคส์เมืองไทย ยังคงการจัดโปรฯ1 แถม 1 วิสัยทัศน์ซีอีโอบริษัทแม่ยังไม่กระทบถึงไทย
  • ปี 2567 จ่อเปิดครบ 522 สาขา โดย 3 สาขาใหม่ล่าสุดเปิดบริการใน “วัน แบงค็อก”
  • เปิดสาขาพิเศษ “Greener Store” ที่ใหญ่ที่สุดในไทย สาขาแรกที่สนับสนุนให้ลูกค้าทำความสะอาดและ “แยกขยะ” ณ จุดทิ้ง
  • “เนตรนภา ศรีสมัย” กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงประเด็นการเปลี่ยนซีอีโอคนใหม่ “ไบรอัน นิคโคล” ของบริษัทแม่ Starbucks ที่สหรัฐอเมริกา โดยนิคโคลมีการแสดงวิสัยทัศน์ถึงแนวทางบริหารในอนาคตจะทำให้ร้าน Starbucks กลับมาเป็นร้านกาแฟระดับพรีเมียม จะมีการยกเลิกหรือลดโปรโมชัน 1 แถม 1 ในสหรัฐฯ

    เนตรนภากล่าวตอบถึงเรื่องนี้ว่า นโยบายการบริหาร “สตาร์บัคส์” ที่เมืองไทยขณะนี้ยังคงเหมือนเดิม เพราะวิสัยทัศน์ในภาพกว้างของไบรอัน นิคโคลสอดคล้องกับที่สตาร์บัคส์ ประเทศไทยปฏิบัติมายาวนาน นั่นคือการให้ความสำคัญกับคุณภาพกาแฟ การเป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ และการบริการที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน (human connection)

    ส่วนโปรโมชัน 1 แถม 1 ซึ่งในเมืองไทยก็มีการจัดแคมเปญอยู่บ่อยครั้ง เนตรนภากล่าวว่ายังไม่มีนโยบายที่จะยกเลิก เพราะมองว่าที่ไทยไม่ได้มีการจัดบ่อยจนเกินไป จะจัดแคมเปญลักษณะนี้เมื่อต้องการดึงลูกค้าให้กลับมาคิดถึงแบรนด์เป็นระยะๆ เท่านั้น

    Positioning รายงานจากสื่อประชาสัมพันธ์ของสตาร์บัคส์ ล่าสุดเพิ่งจะเริ่มแคมเปญ 1 แถม 1 รอบใหม่ระหว่างวันที่ 28 ต.ค. 67 – 3 พ.ย. 67 และหากย้อนกลับไปในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่าสตาร์บัคส์ไทยมักจะจัดแคมเปญ 1 แถม 1 ทุกๆ ต้นเดือน แต่ระยะเวลาจำนวนวันที่จัดจะต่างกัน และจำนวนเมนูที่อยู่ในรายการแถมก็แตกต่างกันเช่นกัน

     

    เปิดรวดเดียว 3 สาขาที่ “วัน แบงค็อก”

    ด้านความเคลื่อนไหวในการเปิดสาขาใหม่ของสตาร์บัคส์ เนตรนภาระบุว่าปัจจุบันสตาร์บัคส์มีทั้งหมด 517 สาขาในไทย และคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 นี้จะได้เปิดเพิ่มอีก 5 สาขา รวมเป็น 522 สาขา

    สตาร์บัคส์
    สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ วัน แบงค็อก ชั้น G ฝั่ง The Storeys

    ในกลุ่มสาขาที่เปิดตัวหมาดๆ คือสตาร์บัคส์ 3 สาขาที่เปิดในอภิมหาโปรเจ็กต์ “วัน แบงค็อก” ได้แก่ สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ แฟลกชิป สโตร์ที่ชั้น G ฝั่ง The Storeys, สตาร์บัคส์ ชั้น 3 ฝั่ง The Parade และ สตาร์บัคส์ ชั้น B1 ฝั่ง The Parade

    ดังที่ทราบกันว่าสิทธิ์แฟรนไชส์ “สตาร์บัคส์” ในไทยเปลี่ยนมือมาสู่บริษัท “Coffee Concepts Thailand” บริษัทร่วมทุนระหว่างเครือของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี กับบริษัท Maxim’s Caterers จากฮ่องกง มาตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่โครงการ วัน แบงค็อก ก็คือโครงการมิกซ์ยูสของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ในเครือตระกูลสิริวัฒนภักดีอีกเช่นกัน ความร่วมมือระหว่างพอร์ตธุรกิจในมือจึงต้องจัดใหญ่และเต็มที่แน่นอน

     

    “สตาร์บัคส์” สายกรีนที่ใหญ่ที่สุดในไทย

    ไฮไลต์ของสตาร์บัคส์สาขาใหม่ในวัน แบงค็อก คือ สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ ในโซนศูนย์การค้าฝั่ง The Storeys เพราะถือเป็นสาขาระดับ “แฟลกชิป สโตร์” แห่งที่ 4 ในไทยของสตาร์บัคส์ ต่อจากสาขาไอคอนสยาม, เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามสแควร์วัน รวมถึงสาขานี้ยังเป็น “Greener Store” ที่ใหญ่ที่สุดของสตาร์บัคส์ไทยด้วยพื้นที่กว้าง 860 ตารางเมตร เป็นสตาร์บัคส์ 2 ชั้นที่จุลูกค้าได้มากกว่า 230 ที่นั่ง พร้อมห้องประชุมในตัว 2 ห้อง

    Greener Store ที่มีการใช้ระบบ Smart Lighting

    “ธนาศักดิ์ กุลรัตนรักษ์” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ระบุว่าข้อกำหนด Greener Store ของสตาร์บัคส์จะเกี่ยวข้องกับหลายด้าน เช่น ลดการใช้น้ำ ลดการใช้ไฟฟ้า ลดขยะ ยกตัวอย่างในสาขานี้มีการนำระบบ Smart Lighting เข้ามาใช้งาน เป็นการปรับแสงไฟในร้านอัตโนมัติให้สอดคล้องกับปริมาณแสงธรรมชาติจากภายนอกกระจก ทำให้ประหยัดไฟเพราะไม่ต้องเปิดไฟสว่าง 100% ตลอดทั้งวัน

    ด้าน “จุฑาทิพย์ เก่งมานะ” ผู้จัดการด้านผลกระทบทางสังคมและความยั่งยืน สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า สาขานี้คือสาขาแรกในไทยที่มีการลงระบบ “ล้างแก้ว-แยกขยะ” ในคอนดิเมนต์ บาร์ รณรงค์ให้ลูกค้าเทน้ำทิ้ง ล้างแก้วและฝาพลาสติกของเครื่องดื่มเย็นให้สะอาด ก่อนจะทิ้งลงถังรีไซเคิล เพราะปกติแล้วแก้วพลาสติกที่จะนำไปรีไซเคิลได้จะต้องผ่านการล้างทำความสะอาดมาก่อน

    สตาร์บัคส์
    ระบบ “ล้างแก้ว-แยกขยะ” ในคอนดิเมนต์ บาร์ รณรงค์ให้ลูกค้าเทน้ำทิ้ง ล้างแก้วและฝาพลาสติกของเครื่องดื่มเย็นให้สะอาด ก่อนจะทิ้งลงถังรีไซเคิล

    จุฑาทิพย์กล่าวด้วยว่า ในปีนี้หลังจากความกังวลด้านสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง สตาร์บัคส์ไทยจึงมีการกลับมาสนับสนุนให้ลูกค้านำแก้วส่วนตัว (Personal Cup) มารับเครื่องดื่มพร้อมส่วนลด 10 บาทต่อแก้ว ทำให้ปีนี้สัดส่วนการใช้แก้วของลูกค้า 20% จะเลือกใช้แก้วส่วนตัว 40% เลือกแก้วสำหรับทานในร้าน (for here) และ 40% เลือกแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง (to-go) ซึ่งกลุ่มหลังนี้เองที่ต้องการสนับสนุนให้มีการรีไซเคิลเต็มรูปแบบ

    สำหรับ Greener Store ของสตาร์บัคส์ในไทยคาดว่าจะมีครบ 20 สาขาภายในสิ้นปี 2567 และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสตาร์บัคส์ทั่วโลกที่ต้องการจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้น้ำ และขยะฝังกลบให้ได้ 50% ภายในปี 2573

    ]]>
    1496314
    CEA เปิดตลาดกลาง “Content Project Market” จับคู่นายทุนช้อปคอนเทนต์จากคนสร้างหนัง https://positioningmag.com/1495293 Thu, 24 Oct 2024 09:21:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495293 CEA ผุดตลาดกลาง “Content Project Market” เปิดโอกาสจับคู่ระหว่างนายทุนกับนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน เพื่อดีลลงทุนพัฒนาเชิงพาณิชย์ส่งคอนเทนต์เข้าโรงภาพยนตร์-สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ปีนี้มีคอนเทนต์ผ่านการคัดเลือก 59 เรื่อง ดึงนักลงทุนเข้าร่วมได้ 64 บริษัททั้งจากในไทย เวียดนาม สิงคโปร์ และเกาหลีใต้

    2567 เป็นปีที่ 2 ที่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เปิดโครงการ “Content Lab” ขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ชาวไทย จัดแคมป์บ่มเพาะบุคลากรในสายวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์ ซีรีส์ และแอนิเมชัน เช่น ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ นักเขียนบท

    แคมป์ Content Lab จะแบ่งตามระดับความเชี่ยวชาญของนักสร้างสรรค์ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น (Newcomers), ระดับกลาง (Mid-Career) และขั้นสูง (Advanced) โดยแคมป์เหล่านี้มีการจัดอบรมกันมาตลอดทั้งปี 2567 จนมาถึงโค้งสุดท้ายคือขั้นตอนการนำเสนอไอเดีย เนื้อหา และคอนเซ็ปต์ของคอนเทนต์เพื่อการซื้อขาย (Pitch Deck)

    Content Project Market

    “ดร.ชาคริต พิชญางกูร” ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) กล่าวว่า CEA มีการจัดงาน “Content Project Market” ขึ้นเพื่อต่อยอดผลักดันให้คอนเทนต์ของไทยมีโอกาสได้รับการลงทุนสร้างเป็นสื่อเชิงพาณิชย์ได้จริง เป็นพื้นที่การพบปะพูดคุยและนำเสนอระหว่างนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ (sellers) และกลุ่มนักลงทุน (buyers)

    ในปีนี้กลุ่มนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการให้เข้าสู่ตลาดกลาง Content Project Market มีทั้งหมด 59 โปรเจ็กต์ โดยแบ่งเป็นโปรเจ็กต์ที่เกิดจากบ่มเพาะใน Content Lab 2024 ทั้งหมด 37 โปรเจ็กต์ และมาจากการเปิดรับสมัครเพิ่ม (Open Call) อีก 22 โปรเจ็กต์

    ฟากฝั่งนักลงทุนที่ตอบรับคำเชิญมารับฟังเวที Pitch Deck และการจับคู่ทางธุรกิจแบบตัวต่อตัวมีทั้งหมด 64 บริษัท มีทั้งค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์/ซีรีส์และกลุ่มสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มที่ต้องการลงทุนออริจินอลคอนเทนต์ เช่น บริษัท เนรมิตหนัง ฟิล์ม จำกัด, บริษัท ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ จำกัด, บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด, บริษัท ไอ-ฉีอี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ฯลฯ ในจำนวนนี้มี 3 บริษัทที่เป็นนักลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาร่วมงานด้วย ได้แก่ Skyline Media Group จากเวียดนาม, Mocha Chai Laboratories จากสิงคโปร์ และ Barunson E&A จากเกาหลีใต้

    ดร.ชาคริตกล่าวต่อว่า งานครั้งนี้มีการจัดนัดจับคู่ทางธุรกิจล่วงหน้า (Pre-matching) มาแล้วกว่า 300 คู่ ซึ่งทาง CEA คาดหวังว่าจะมีคู่ที่สามารถตกลงทางธุรกิจได้สำเร็จไม่ต่ำกว่า 10-20% ของทั้งหมด นำไปสู่การสร้างคอนเทนต์จริงเพื่อจัดฉายต่อไปไม่ว่าจะในโรงภาพยนตร์หรือสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม

    ด้าน “หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล” ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ กล่าวว่า การจัด Content Project Market จับคู่ระหว่างนักลงทุนคอนเทนต์กับนักสร้างสรรค์ในลักษณะนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีในอุตสาหกรรมคอนเทนต์เมืองไทย จากที่ผ่านมานักสร้างสรรค์คอนเทนต์จะต้องหาทางเข้าหานักลงทุนด้วยตนเองหากต้องการ Pitch ไอเดีย

    “Content Project Market จะเป็นต้นน้ำในการเชื่อมโปรเจ็กต์เข้ากับเงินทุนที่มีในตลาด และวางเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมากขึ้น” หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรีกล่าว “ต่อไปเราควรจะผลักดันให้เป็นตลาดประจำปีที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกบินเข้ามาช้อปคอนเทนต์ เหมือนอย่างงาน FILMART ของฮ่องกง หรืองาน ATF สิงคโปร์”

    หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี กล่าวด้วยว่า โครงการ Content Project Market มองอนาคตจะต่อยอดเป็นตัวกลางในการสร้างดาต้าเบสเก็บข้อมูลคอนเทนต์ทุกเรื่องที่เข้ามาในตลาดไว้ เพราะถึงแม้โปรเจ็กต์นั้นๆ อาจจะยังไม่ได้นักลงทุนในปีแรกที่เข้าสู่ตลาด แต่ในปีต่อๆ ไปอาจจะมีนักลงทุนมาเลือกช้อปและนำไปผลิตได้

     

    อุตฯ คอนเทนต์ไทยยังติดเรื่องการ “Pitch” ให้ถึงเครื่อง

    ในแง่ความต้องการคอนเทนต์ไทยในตลาดนั้น หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรีมองว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมาคอนเทนต์ไทยถือว่ากำลังเข้าสู่ยุคทอง เพราะพิสูจน์แล้วว่าได้รับเสียงตอบรับในตลาดสากลสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพยนตร์มีโอกาสได้ฉายโรงต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น “หลานม่า” ที่ได้ฉายในหลายประเทศจนกวาดรายได้รวมไปมากกว่า 1,500 ล้านบาท หรือ “สัปเหร่อ” ที่ได้จัดจำหน่ายฉายในประเทศญี่ปุ่นสำเร็จ บนสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มเองคอนเทนต์ไทยก็ได้รับการยอมรับ เช่น “สืบสันดาน” ขึ้นสู่ Top 10 ซีรีส์ภาษาต่างประเทศที่มียอดเข้าชมบน Netflix สูงที่สุดทั่วโลก

    บรรยากาศอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในประเทศไทยเองก็มีการปรับตัวจากเดิมที่เดินในแนวทางของตนเอง มาเป็นการร่วมมือกันทำงานและพัฒนาด้วยกันมากขึ้น ส่งเสริมให้มีการพัฒนาบุคลากรร่วมกันในวงการ

    หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรีกล่าวว่า ในแง่บุคลากรในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยยังมีหลายตำแหน่งที่ขาดแคลนมาก เช่น โปรดิวเซอร์ ผู้ช่วยผู้กำกับ ทีมอาร์ต และหนึ่งในบุคลากรที่ขาดรุนแรงในอุตสาหกรรมนี้คือ “Pitch Team” ในประเทศไทยมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ไม่เกิน 40 คน ซึ่งทำให้เกิดคอขวดในการนำเสนอไอเดียเรียกความสนใจจากนายทุน ยิ่งเป็นนายทุนจากต่างประเทศยิ่งยากลำบากมากขึ้นเพราะเพิ่มอุปสรรคด้านภาษาทับซ้อนเข้าไปอีก

    งาน Content Project Market จึงน่าจะช่วยยกระดับทักษะการ Pitching ของคนทำคอนเทนต์ไทยไปอีกระดับ สร้างบุคลากรกลุ่มที่จะเปิดโอกาสให้นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ดึงเม็ดเงินทุนสร้างเข้ามาได้มากขึ้น

    ]]>
    1495293
    ยักษ์ใหญ่พลาดเป้า! “Nestle” คาดปีนี้โตเพียง 2% กดราคาสู้คู่แข่งไม่ไหว-ดีมานด์ผู้บริโภคอ่อนแอ https://positioningmag.com/1494883 Thu, 17 Oct 2024 12:10:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494883 “Nestle” ปรับเป้าคาดการณ์การเติบโตของยอดขายปี 2024 ลงอีกครั้งเหลือเพียง 2% หลังผลประกอบการ 9 เดือนแรกไม่โตเท่าที่คิด คาดเป็นเพราะถูกคู่แข่งตีตลาดหลังบริษัทไม่สามารถกดราคาลงมาสู้ได้ ขณะที่ดีมานด์ผู้บริโภคอ่อนแอลง

    สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Nestle ประกาศเมื่อวันพฤหัสดีที่ผ่านมาว่าบริษัทกำลังปรับโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงและโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัท พร้อมทั้ง “ลดการคาดการณ์ยอดขายทั้งปี” หลังจากยอดขายในช่วงเก้าเดือนแรกของปีต่ำกว่าคาด

    ช่วงหลายปีที่ผ่านมา วงการอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปต่างประสบปัญหาเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งจากต้นทุนราคาน้ำมันดอกทานตะวัน ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ราคาธัญพืช และราคาพลังงานที่แพงขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และหลังจากการบุกโจมตีของรัสเซียในยูเครน

    ในปีนี้เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง คู่แข่งหลายรายของ Nestle เลือกที่จะชะลอการปรับราคาเพราะหวังที่จะดึงดูดลูกค้าให้หันไปหาผลิตภัณฑ์ราคาถูกกว่าของตน แต่บริษัท Nestle กลับเลือกที่จะไม่ปรับลดราคาอย่างรวดเร็ว และนักวิเคราะห์ยังมองว่า Nestle ตัดงบประมาณด้านการตลาดและนวัตกรรมมากเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    KitKat ขนมเวเฟอร์ที่ถือเป็นสินค้าชูโรงของ Nestle

    สภาวะยอดขายอ่อนแอต่อเนื่องหลายไตรมาสของ Nestle ยังทำให้เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 “มาร์ค ชไนเดอร์” ซีอีโอคนก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่ง

    Nestle กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทคาดการณ์อัตราการเติบโตของยอดขายในปี 2024 จะอยู่ที่ประมาณ 2% และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (UTOP) จะอยู่ที่ประมาณ 17%

    การคาดการณ์นี้ถือเป็นการปรับลดลงต่อเนื่อง เพราะเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 บริษัทก็เพิ่งจะปรับลดคาดการณ์การเติบโตของยอดขายลงเหลืออย่างน้อย 3% แต่ครั้งนั้นบริษัทคาดว่าจะเห็นอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (UTOP) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากที่เคยทำได้ 17.3% ในปี 2023

    “นี่เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่และเจ็บปวดสำหรับ Nestle ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของบริษัท” เจฟฟ์-ฟิลิปป์ เบิร์ตชี่ นักวิเคราะห์จาก Vontobel กล่าว “มันยากที่จะเข้าใจว่าทำไมบริษัทถึงคาดการณ์การเติบโตของยอดขายที่ประมาณ 4% จนถึงเดือนกรกฎาคมจึงค่อยยอมปรับลงมา สำหรับยักษ์ใหญ่ระดับ Nestle ความผิดพลาดแค่ไม่กี่เดือนนั้นถือว่าใหญ่มาก”

    Maggi หนึ่งในผู้เล่นหมวดเครื่องปรุงอาหารรายใหญ่ (Photo: Facebook@Nestle)

    ซีอีโอคนใหม่ “ลอเรนต์ เฟร็กซ์” กล่าวว่า เขามีแผนที่จะลดขนาดของคณะกรรมการบริหารของ Nestle รวมถึงการรวมหน่วยธุรกิจของบริษัทในละตินอเมริกาและอเมริกาเหนือเข้าด้วยกัน การรวมธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่และเอเชีย รวมหน่วยธุรกิจในโอเชียเนียและแอฟริกา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่จะตามมา

    ความท้าทายของเฟร็กซ์ไม่ใช่แค่จัดองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูนวัตกรรมและการตลาด และการเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในแบรนด์หลักๆ ของบริษัท เช่น กาแฟ Nescafe และขนมเวเฟอร์ KitKat

     

    ผู้บริโภคอ่อนแอลง

    ยอดขายของ Nestle ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2024 (ไม่รวมผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนและการเข้าซื้อกิจการ) เพิ่มขึ้นเพียง 2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 2.5%

    “ความต้องการของผู้บริโภคอ่อนแอลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเราคาดว่าภาวะความต้องการจะยังคงอ่อนแอต่อไป” เฟร็กซ์กล่าว

    การปรับราคาในช่วงเก้าเดือนของ Nestle เพิ่มขึ้น 1.6% ต่ำกว่าการประมาณการเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ 1.7%

    หากเทียบกับคู่แข่งอย่าง Unilever นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทนี้จะรายงานการปรับราคาพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1% ในไตรมาสที่สาม และยอดขายน่าจะเติบโตที่ 3.2% โดยคาดว่าบริษัทจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า

    “ต้นทุนของคู่แข่งของเรานั้นแตกต่างอย่างมาก” แอนนา แมนซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Nestle กล่าวกับนักข่าวในการพูดคุยทางโทรศัพท์ “สภาพแวดล้อมการตั้งราคาสำหรับคู่แข่งนั้นง่ายกว่ามาก”

    แมนซ์ชี้ให้เห็นถึงราคากาแฟและโกโก้ที่ที่ทำสถิติขึ้นไปแตะระดับสูงสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา

    Nestle กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายลดการสต็อกสินค้าลง เพราะผู้บริโภคปลายทางไม่ค่อยซื้อสินค้ามากเท่าเดิม โดยเฉพาะในประเทศที่เศรษฐกิจอ่อนแอเช่นในละตินอเมริกา

    Source

    ]]>
    1494883
    แม้แต่ “LVMH” ยังกระทบ! ยอดขายตกลง 3% หลังลูกค้าจีน-ญี่ปุ่นหดตัวต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1494697 Wed, 16 Oct 2024 10:44:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494697 ยักษ์ใหญ่แบรนด์เนม “LVMH” รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2024 ยอดขายหดตัว 3% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยทำรายได้ไป 1.9 หมื่นล้านยูโร

    Reuters รายงานว่าผลประกอบการครั้งนี้ถือเป็นสภาวะยอดขายหดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2020 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า LVMH จะยังคงแข็งแรงต่อต้านสภาพเศรษฐกิจหดตัวได้ และน่าจะยังเติบโตได้อีก 2% ในไตรมาสที่ผ่านมา

    Jean-Jacques Guiony ซีเอฟโอ LVMH กล่าวว่าเหตุที่ผลประกอบการบริษัทสินค้าลักชัวรีตกต่ำลงหลักๆ เป็นเพราะกลุ่มลูกค้า “จีน” ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากช่วงเกิดโรคระบาด โดยยอดขายกลุ่มประเทศในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) นั้นยอดตกถึง 16% หนักขึ้นจากไตรมาส 2/2024 ที่ยอดตก 14%

    ส่วนตลาดญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ดีเช่นกัน LVMH เปิดผลประกอบการว่ายอดขายตลาดญี่ปุ่นตกลง 20% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพราะค่าเงินเย็นแข็งขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนที่ปกติจะช้อปสินค้าแบรนด์เนมที่ญี่ปุ่น เลือกที่จะลดหรือไม่ซื้อกันมากขึ้น

    เมื่อเจาะตามหมวดสินค้าแล้วจะเห็นว่าแผนกสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง ซึ่งมีแบรนด์หลักคือ Louis Vuitton และ Dior คือหมวดที่ยอดขายตกหนักกว่าค่าเฉลี่ยบริษัท โดยยอดขายลดลง 5% และหมวดนี้คือหมวดสำคัญของ LVMH เพราะคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายรวม และมีสัดส่วนเกือบ 3 ใน 4 ของผลกำไรบริษัท

    ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่บริษัทสินค้าลักชัวรีสามารถโกยรายได้ได้สูงมาก เพราะลูกค้าเน้นซื้อสินค้าแบบ ‘ช้อปล้างแค้น’ หลังจากโรคระบาดทำให้คนต้องติดอยู่กับบ้าน ไม่ได้ใช้เงินมานาน แต่เมื่อปี 2023 ตลาดเริ่มเห็นสัญญาณว่าการช้อปล้างแค้นเริ่มจะเสื่อมความนิยมไป โดยเฉพาะในตลาดใหญ่อย่างจีนที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบหนัก ปัจจุบันต้องหวังพึ่งว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนจะสามารถหมุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และดีจนทำให้ลูกค้ากลับมาต้องการสินค้าไฮเอนด์อีกครั้ง

    เฉพาะในตลาดจีนนั้นเห็นได้ชัดว่ากลุ่มลักชัวรีกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก การขายบนอีคอมเมิร์ซมีอัตราการยกเลิกสินค้าและขอคืนสินค้าสูงขึ้น เริ่มมีการแข่งขันลดราคา และมีการแข่งขันจากแบรนด์ท้องถิ่นที่ทำราคาถูกกว่า

    สำนักข่าว Bloomberg ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า สาวจีนวัย 35 ปีคนหนึ่งที่ทำงานด้านการเงินในเมืองกวางโจว ที่ผ่านมาเคยมีงบช้อปปิ้งกระเป๋ารองเท้าหรูขั้นต่ำ 300,000 บาทต่อปี แต่เมื่อปีที่แล้วบริษัทของเธอตัดโบนัสลง 50% ทำให้เธอต้องลดงบช้อปปิ้งลง และไม่ซื้ออะไรที่ราคาเกินกว่า 25,000 บาทมานานแล้ว แต่เธอจะหันไปให้รางวัลตัวเองด้วยการท่องเที่ยวแทน

    ที่มา: Reuters, Bloomberg

    ]]>
    1494697
    RML เปิดขาย “คฤหาสน์ 880 ล้านบาท” กลางสุขุมวิท จับมือ “Baccarat” แบรนด์คริสตัลหรูฝรั่งเศสตกแต่งทั้งหลัง https://positioningmag.com/1494619 Wed, 16 Oct 2024 08:28:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494619 ร้อยล้านยังเล็กไป คฤหาสน์ใหม่ต้องเฉียดพันล้าน! RML เปิดโครงการ THE 528 ESTATE” คฤหาสน์ใจกลางสุขุมวิทราคาเริ่ม 880 ล้านบาท มีเพียง 4 หลัง จับมือ “Baccarat” แบรนด์คริสตัลหรูจากฝรั่งเศสเข้าตกแต่งภายใน และแต่งตั้ง “List Sotheby’s เป็นเอเย่นต์ขายโครงการให้มหาเศรษฐีทั่วโลก

    บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดตัวโครงการใหม่ “THE 528 ESTATE” มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวเพียง 4 หลัง สนนราคาเริ่มต้นหลังละ 880 ล้านบาท

    ทำเลโครงการตั้งอยู่ในย่านพร้อมพงษ์ เป็นที่ดิน 2 ไร่ วางแปลนบ้าน 2 หลังจะหันหน้าเข้าออกทาง ซ.สุขุมวิท 28 และอีก 2 หลังจะหันหน้าเข้าออกทาง ซ.สุขุมวิท 30 ซึ่งทั้งสองซอยเป็นซอยตัน ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ไม่พลุกพล่าน แต่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม และสวนเบญจสิริ เหมาะกับการใช้ชีวิตใจกลางเมือง

    “กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานคณะกรรมการ RML เปิดเผยถึงรายละเอียดโครงการว่า สถาปัตยกรรมของบ้านโครงการนี้จะใช้สไตล์ผสมผสานระหว่างอาคารยุคศตวรรษที่ 18 ในกรุงปารีสกับอาคารหรูยุคศตวรรษที่ 19 บนนถนน Fifth Avenue เมืองนิวยอร์ก ทำให้ได้อาคารที่มีความคลาสสิก เหนือกาลเวลา

    ขณะที่ชื่อ “528” นั้น กฤษณ์อธิบายว่าเป็นตัวเลขมงคลจากการคำนวณทางโหราศาสตร์โดยอาจารย์ชื่อดังจากฮ่องกง มีความหมายว่า “ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง” อาจารย์ทางโหราศาสตร์ท่านนี้ยังเป็นผู้คำนวณฮวงจุ้ยทั้งหมดของบ้านทุกหลังในโครงการไว้แล้ว

    (จากซ้าย) “กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานคณะกรรมการ RML, “เรย์มอนด์ เฉิน” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับภูมิภาค บาคาร่าต์ ฟาร์อีส ลิมิเต็ด, “กรณ์ ณรงค์เดช” กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML และ “ควอง มินห์ โด” กรรมการ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) ถ่ายภาพร่วมกันในห้องตัวอย่าง THE 528 ESTATE บนชั้น 54 อาคาร OCC

    สำหรับรายละเอียดตัวบ้านแต่ละหลัง “กรณ์​ ณรงค์เดช” กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML กล่าวว่า บ้านแต่ละหลังจะก่อสร้างบนที่ดินขนาดกว่า 200 ตารางวา เป็นอาคาร 7 ชั้น (6 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน) พื้นที่ใช้สอย 2,300-2,700 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 8 ห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว และที่จอดรถ 11 คัน

    ชั้นใต้ดินดังกล่าวจะเป็นที่จอดรถ โดยออกแบบความสูง กว้าง ยาว และมุมสโลปให้พอดีกับ “ซูเปอร์คาร์” ขึ้นลงลานจอดได้สะดวก และกว้างขวางพอที่จะจอด “Rolls-Royce Phantom” รถหรูสุดฮิตของกลุ่มเศรษฐีได้

    ขณะที่ชั้น 1-2 เป็นโซนรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ถัดไปชั้น 3-5 เป็นห้องนอนทั้งหมด มีลิฟต์ในตัว ทำให้สามารถอยู่รวมกันได้หลายเจนเนอเรชัน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวในแต่ละชั้นของบ้าน

    ส่วนชั้นบนสุดของบ้านจะเป็นชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัว ได้แก่ สระว่ายน้ำยาว 11 เมตร ฟิตเนส และสปา

    กรณ์กล่าวว่า โครงการนี้ทาง RML ยังจับมือกับ “Baccarat” แบรนด์เครื่องแก้วเจียระไนคริสตัลจากฝรั่งเศส เปิดแพ็กเกจในการตกแต่งภายในให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นแพ็กเกจเสริมที่แล้วแต่ลูกค้าเลือกชิ้นงานเข้ามาตกแต่งบ้าน จึงทำให้ราคาบ้านรวมตกแต่งแล้วในโครงการนี้อาจจะทะลุ 1,000 ล้านบาทได้

    บรรยากาศจาก Baccarat Hotel New York อสังหาริมทรัพย์เพื่อโชว์เคสแบรนด์ (Facebook@BaccaratHotelNewYork)

    “เรย์มอนด์ เฉิน” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับภูมิภาค บาคาร่าต์ ฟาร์อีส ลิมิเต็ด กล่าวถึงแบรนด์ Baccarat ของบริษัทว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องแก้วทำมือมานาน 260 ปี มีชิ้นงานกลุ่มแชนเดอเลียร์ โคมกิ่ง โคมตั้งโต๊ะ เครื่องแก้วบนโต๊ะอาหาร ที่ผ่านมา Baccarat มีลูกค้าทั้งกลุ่มราชวงศ์ยุโรป สุลต่าน และเซเลปดาราชื่อดัง และใช้แบรนด์ในการเข้าสู่ธุรกิจฮอสพิทาลิตี้มาแล้วหลายแห่ง เช่น Baccarat Hotel New York หรือ Baccarat Miami Residence ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์แล้วเชื่อว่าจะช่วยเติมเต็มโครงการ THE 528 ESTATE ได้

    กรณ์กล่าวต่อว่าโครงการ THE 528 ESTATE นี้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีความมั่งคั่งสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงมีการแต่งตั้งให้ “List Sotheby’s International Realty” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี เป็นผู้ทำตลาดในต่างประเทศ

    กฤษณ์เสริมว่า การเชิญ List Sotheby’s มาช่วยในการขายเพราะมองว่าโครงการนี้ไม่ใช่เพียงอสังหาฯ ธรรมดา แต่อยู่ในระดับที่เป็น “ของสะสม” ที่มีคุณค่า และมองกรุงเทพฯ ในวันนี้ถือเป็นเมืองที่อยู่อาศัยระดับโลกที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ ทั้งนี้ หากมีต่างชาติสนใจซื้อ กรณ์กล่าวว่าบริษัทจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้คำปรึกษาเพื่อครอบครองกรรมสิทธิ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

    ไทม์ไลน์โครงการ THE 528 ESTATE เริ่มเปิดขายตั้งแต่วันนี้ จะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2568 และสร้างเสร็จปลายปี 2570 แต่กฤษณ์วางเป้าว่าจะปิดยอดขายให้ได้ภายในปีหน้า

    สำหรับย่านสุขุมวิทช่วงทองหล่อ-พร้อมพงษ์นั้นเป็นย่านที่ ‘ฮอต’ ขึ้นเรื่อยๆ ในการปั้นเป็นทำเลอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรี โดยก่อนหน้านี้ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เพิ่งจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก” ราคา 525 – 1,400 ล้านบาท ทั้งตึกมีเพียง 22 ยูนิต และวางเป้าหมายลูกค้าจากทั่วโลกเช่นเดียวกัน

    โครงการหรูในมือของ RML นั้นยังมีอีกหลายแห่ง ที่กำลังเป็นที่จับตามองคือโปรเจ็กต์ “คฤหาสน์ริมน้ำ 1,000 ล้านบาท” ซึ่งจะมีหลังเดียว โดยเป็นการรีโนเวตมาจากเซลส์แกลลอรีเดิมของโครงการ The River ทำเลบนถนนเจริญนครช่วงสะพานตากสิน ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างออกแบบและอาจจะเปิดขายได้ในปี 2568

    ]]>
    1494619
    น้องใหม่มาแรง! กูลิโกะดัน “อัลมอนด์ โคกะ” ขึ้นเบอร์ 5 ในตลาด ลั่นขอท้าชิงเบอร์ 1 “นมอัลมอนด์” https://positioningmag.com/1494429 Tue, 15 Oct 2024 09:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494429 เปิดตัวมาได้ปีครึ่งแต่กูลิโกะสามารถผลักดันแบรนด์ “อัลมอนด์ โคกะ” ขึ้นสู่อันดับ 5 ในตลาด “นมอัลมอนด์” ได้สำเร็จ ลั่นขอท้าชิงเป็นเบอร์ 1 ในตลาด ลุยเข็นสูตรใหม่ “มิกซ์ 3 นัท” ลงสนาม พร้อมต่อสัญญาพรีเซ็นเตอร์ “ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่” ช่วยสร้าง Brand Awareness กระตุ้นให้คนไทยหันมาดื่มนมอัลมอนด์

    “เฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด เปิดเผยความสำเร็จแบรนด์ “อัลมอนด์ โคกะ” (Almond Koka) ของบริษัทหลังเปิดตัวช่วงต้นปี 2566 จนถึงปัจจุบันสามารถดันแบรนด์ขึ้นเป็นอันดับ 5 ในตลาดนมทางเลือกจากถั่วและธัญพืชเมืองไทยที่มีมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาทได้ โดยตลาดนมทางเลือกจากถั่วและธัญพืชกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มสินค้านมอัลมอนด์

    เอ็มดีไทยกูลิโกะบอกด้วยว่า บริษัทมีเป้าหมายจะดันอัลมอนด์ โคกะขึ้นเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มนมอัลมอนด์ให้ได้ โดยยังไม่ได้ระบุไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแต่ต้องการจะขึ้น ‘ให้เร็วที่สุดที่ทำได้’

    อัลมอนด์ โคกะ
    ทีมผู้บริหาร บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด: (ซ้าย) “ทิฆัมพร เพียรวิจารณ์พงศ์” ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Health & Wellness และ (ขวา) “เฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ” กรรมการผู้จัดการ

     

    ออกรสชาติใหม่ – พรีเซ็นเตอร์คนเดิม

    ด้าน “ทิฆัมพร เพียรวิจารณ์พงศ์” ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Health & Wellness บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด กล่าวว่า หลังจาก อัลมอนด์ โคกะ เปิดตลาดด้วยนม 3 สูตร คือ สูตรดั้งเดิม, สูตรไม่เติมน้ำตาล และสูตรรสช็อกโกแลต ล่าสุดบริษัทเปิดตัวสูตรใหม่เป็นสูตรที่ 4 คือ “มิกซ์ 3 นัท” ผสมถั่วซูเปอร์ฟู้ด 3 ชนิด คือ อัลมอนด์ วอลนัท และเฮเซลนัท เข้ามาลุยตลาดเพิ่ม โดยยังมีขนาดกล่องบรรจุ 2 ขนาดเหมือนเดิม คือ กล่องเล็ก 180 มล. กับ กล่องใหญ่ 1 ลิตร

    ในด้านการตลาดแบรนด์ยังคงต่อสัญญากับพรีเซ็นเตอร์คนเดิมคือ “ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่” ดาราสาวสายสุขภาพดี หุ่นดี เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่สามารถสื่อสารแบรนด์ได้ชัดเจน โดยแบรนด์ “อัลมอนด์ โคกะ” จะเน้นย้ำเรื่องตำแหน่งแบรนด์นมอัลมอนด์อันดับ 1 ในญี่ปุ่น 7 ปีซ้อน และเน้นเรื่องคุณประโยชน์ของสินค้าที่จะทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกดื่มนมอัลมอนด์กันมากขึ้น

    “ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่” ยึดตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ “อัลมอนด์ โคกะ” ต่อเป็นปีที่สอง

    ฑิฆัมพรกล่าวด้วยว่า กลยุทธ์การตลาดหลังเปิดตัวสินค้าสูตรใหม่จะปูพรมโฆษณาทั้งรูปแบบ TVC และออนไลน์ มีการใช้ KOLs เพื่อสื่อสารประโยชน์ของนมอัลมอนด์ให้ชัดเจน ระดมแจก Sampling แจกชิมสินค้าตามจุดที่มีผู้คนพลุกพล่านและหน้าเชลฟ์ขายเพื่อให้ลูกค้าได้ลองรสชาติ โดยเฉพาะตามย่านออฟฟิศซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าที่เน้นสื่อสารกับ “หนุ่มสาวออฟฟิศ” เป็นหลัก

    รวมถึงจะมีเพิ่ม “การคอลแลป” กับแบรนด์อื่นๆ ให้มากขึ้นเพื่อขยายการรับรู้และสร้างประสบการณ์ใหม่ ยกตัวอย่างที่ผ่านมาปีนี้มีการคอลแลปกับ “Shokupan” ร้านขนมปังชื่อดังย่านทองหล่อ นำนมอัลมอนด์ไปใช้ผลิตขนมปังสูตรพิเศษ และคอลแลปกับ “O-li-no Crepe & Tea” นำนมอัลมอนด์ไปเป็นทางเลือกในการผสมเครื่องดื่มเฉพาะช่วงเทศกาลเจ

    อัลมอนด์ โคกะ
    แคมเปญคอลแลปของ “อัลมอนด์ โคกะ” กับร้านขนม-คาเฟ่อย่าง “Shokupan” และ “O-li-no”

     

    ตลาด “นมอัลมอนด์” โตพุ่งทะยาน

    ด้านตลาดนมและนมทางเลือกในภาพรวม เฉลิมพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดนมวัวยังคงใหญ่ที่สุดในสินค้าจำพวกนี้โดยมีมูลค่าตลาดปีละกว่า 35,000 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มนมจากพืช (Plant-Based Milk) ซึ่งมีมูลค่าตลาดปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท

    ในกลุ่มนมจากพืช (Plant-Based Milk) แน่นอนว่าตลาดใหญ่ที่สุดคือ “นมถั่วเหลือง” ซึ่งทำตลาดกันมาเนิ่นนาน มีมูลค่าตลาดประมาณ 18,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนที่เหลือราว 1,800 ล้านบาทเป็นของนมทางเลือกจากถั่วและธัญพืช ซึ่ง “นมอัลมอนด์” อยู่ในกลุ่มนี้และเป็นกลุ่มสินค้าที่ใหญ่ที่สุด รองๆ ลงไปจะเป็นนมธัญพืชชนิดอื่น เช่น นมโอ๊ต นมถั่วพิสตาชิโอ

    เฉลิมพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดนมอัลมอนด์ยังเล็กอยู่มาก ขนาดตลาดห่างจากนมถั่วเหลือง 10 เท่า แต่การเติบโตสูงกว่ามาก โดยนมอัลมอนด์ปีที่ผ่านมาโตถึง 40% แต่นมถั่วเหลืองโตเพียง 6% นั่นทำให้ตลาดนมอัลมอนด์มีผู้เล่นเข้ามากว่า 20 แบรนด์

    ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ “137 ดีกรี” ภายใต้ บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด ได้ให้ข้อมูลไว้ว่าปัจจุบัน 137 ดีกรีเป็นเบอร์ 1 ของตลาดนมทางเลือกจากถั่วและธัญพืช โดยครองมาร์เก็ตแชร์ที่ 42% และมุ่งมั่นจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ให้ได้

    นมอัลมอนด์จึงถือเป็นตลาดที่แข่งขันกันดุเดือดเพื่อหวังจะเป็นผู้นำในช่วงที่กระแสความต้องการกำลังเติบโตได้ดี โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ เช่น “137 ดีกรี แบรนด์ที่ก่อตั้งโดยคนไทยและเป็นรายแรกๆ ในตลาดนี้, “อัลมอนด์ บรีซ” จากบลู ไดมอนด์ รายใหญ่สหรัฐฯ หรือ “อัลมอนด์ โคกะ” ของกูลิโกะ ยักษ์ธุรกิจขนมขบเคี้ยวและไอศกรีมจากญี่ปุ่น เข้ามาชิงกัน รวมถึงแบรนด์จากต่างประเทศอีกมาก

    ]]>
    1494429
    เจ็บกันมาเท่าไหร่แล้วกับการลงทุน “หวังรวยเร็ว” นึกว่าทำธุรกิจแต่สุดท้ายกลายเป็น “แชร์ลูกโซ่” https://positioningmag.com/1494175 Fri, 11 Oct 2024 15:25:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494175 ข่าวคดี “แชร์ลูกโซ่” วงแตกในประเทศไทยมีมาให้เห็นเป็นระยะๆ ตั้งแต่วงแรกที่เป็นคดีดังระดับตำนานอย่าง “แชร์แม่ชม้อย” เมื่อปี 2528 กลายเป็นต้นแบบให้มิจฉาชีพคิดไอเดียตั้งวงสารพัดรูปแบบเพื่อดึงดูดใจผู้คนที่ “หวังรวยเร็ว” รูปแบบมีการพัฒนาเปลี่ยนไปให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาตั้งแต่ลงทุนทำธุรกิจ ออมเงิน เทรดเดอร์ ขายตรง ฯลฯ แต่ใจกลางของการหลอกลวงเหล่านี้ยังคงเหมือนเดิมคือ “ลุกช้าเสียรอบวง”

    ต้นตำรับ “แชร์ลูกโซ่” วงใหญ่แตกเป็นครั้งแรกในเมืองไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2528 ในนาม “แชร์แม่ชม้อย” เพราะต้นคิดคนแรกชื่อ “ชม้อย ทิพย์โส” ผู้ทำงานอยู่ในวงการธุรกิจเชื้อเพลิง

    แม่ชม้อยใช้ภาพลักษณ์จากการทำงานตั้งบริษัทค้าน้ำมันขึ้นมา และเริ่มชักชวนให้คนมาลงทุนเพื่อ “ซื้อรถน้ำมัน” มาใช้ในธุรกิจ และจะให้ผลตอบแทนการลงทุน 6.5% ต่อเดือน เท่ากับผลตอบแทนสูงถึง 78% ต่อปี!

    เมื่อคนกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาลงทุนได้ผลตอบแทนกลับคืนจริง ข่าวก็แพร่สะพัดออกไปว่ามีบริษัทที่ให้ผลตอบแทนร่วมลงทุนดีเลิศ จนมีคนมากมายตามเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับแม่ชม้อยมีการให้ผลตอบแทนพิเศษถ้าสามารถชวนนักลงทุนรายใหม่เข้ามาได้ จึงทำให้วงแชร์ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ

    จนกระทั่งถึงจุดที่นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มน้อยลง ความจึงแตกออกมาว่าที่ผ่านมาแม่ชม้อยไม่ได้ทำธุรกิจอันใด เพียงแต่นำเงินของนักลงทุนหน้าใหม่มาวนจ่ายให้คนที่เข้ามาลงทุนก่อน เมื่อไม่มีหน้าใหม่เข้ามาเพิ่มมากพอ แชร์ลูกโซ่วงนี้จึงขาดสะบั้น ไม่มีผลตอบแทนกลับคืนให้ได้ตามสัญญา รวมแล้ววงแชร์แม่ชม้อยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 4,000 ล้านบาท และแม่ชม้อยก็ถูกจับไปตามระเบียบ

    เห็นได้ว่านี่คือแพทเทิร์นตั้งต้นของการสร้างแชร์ลูกโซ่ ใจกลางของการทำธุรกิจฉ้อโกงเช่นนี้คือ

    1. สร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือว่ามีการทำธุรกิจจริงหรือลงทุนจริง
    2. ขายความฝันว่าจะรวยเร็ว เพราะให้ผลตอบแทนสูงมากและเร็วกว่าปกติ
    3. มีการนำเงินมาต่อเงิน จากผู้เข้ามาใหม่จ่ายให้กับผู้ที่เข้ามาก่อน
    4. ให้ผลตอบแทนในการชักชวนคนเข้ามาร่วมในวงสำเร็จ

    ที่เหลือก็คือฉากหน้าว่าจะใช้สินค้า บริการ รูปแบบการชักจูงแบบใดที่จะทำให้เหยื่อหลงเชื่อ ซึ่งขอรวบรวมกลเม็ดแชร์ลูกโซ่ที่เคยเกิดขึ้นในไทยเท่าที่ค้นได้ ดังนี้

    1. ร่วมลงทุนในธุรกิจเฉพาะทาง
      – แชร์แม่ชม้อย หลอกลงทุนธุรกิจค้าน้ำมัน
      – แชร์เสมาฟ้าคราม หลอกลงทุนพัฒนาหมู่บ้านจัดสรร
    2. เทรดหุ้น เทรดเงิน เทรดคริปโต ออมเงินรับปันผล
      – แชร์ชาร์เตอร์ หลอกลงทุนเก็งกำไรเงินตราต่างประเทศ
      – FOREX 3D หลอกลงทุนเทรดเงินตราต่างประเทศ
      – แชร์แม่มณี ออมเงินรับปันผลสูง
    3. ซื้อสินค้า/บริการล่วงหน้า
      – แชร์บลิสเซอร์ หลอกซื้อบัตรสมาชิกเข้าพักโรงแรมในเครือ​ (ไม่ใช่โรงแรมของบริษัท แต่เช่ามาเพื่อหลอกลวงโดยเฉพาะ)
      – แชร์ฌาปนกิจ หลอกสมัครสมาชิกรับเงินค่าทำศพเมื่อเสียชีวิต (แต่ไม่ได้เงินจริง)
    4. ปลอมเป็นธุรกิจขายตรง
      – แชร์ยูฟัน สร้างเครือข่ายคล้ายขายตรง แต่ไม่เน้นการขาย
      – แชร์เวลธ์เอฟเวอร์ รับสมัครสมาชิกขายตรงแลกผลตอบแทนทัวร์ญี่ปุ่น (ถูกทิ้งคาสนามบิน)

     

    “แชร์ลูกโซ่” หรือ “ขายตรง”

    ด่านแรกที่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่จะต้องทำให้ได้คือการสร้าง “ภาพลักษณ์” ที่น่าเชื่อถือว่าเป็นธุรกิจของจริง มาร่วมลงทุนหรือทำธุรกิจด้วยกันแล้วจะรวยไปด้วยกันแน่นอน

    ทำให้กลเม็ดการปลอมธุรกิจที่มีความซับซ้อนและเส้นแบ่งเลือนลางที่สุดมักจะเป็นการปลอมเป็นธุรกิจ “ขายตรง” เนื่องจากมีต้นแบบเป็นธุรกิจขายตรงตัวจริงที่แชร์ลูกโซ่จะพยายามลอกเลียนให้เหมือนมากที่สุด เช่น สั่งผลิตสินค้าจริงมาเพื่อส่งให้ตัวแทนขาย มีระบบอัพไลน์ดาวน์ไลน์ในองค์กร

    อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจาก “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” เคยออกแจ้งเตือนประชาชนไว้แล้วว่า วิธีการจับสังเกตว่าบริษัทนั้นน่าจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่มากกว่าขายตรง ให้สังเกตดังนี้

    • คิดค่าสมัครสมาชิกในราคาสูง
    • บังคับ กดดัน หรือกระตุ้นให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากเกินควรที่จะนำไปขายต่อได้จริง
    • โฆษณาสรรพคุณสินค้าของบริษัทเกินจริง แต่สินค้าจริงกลับไม่ได้มาตรฐานตามอ้าง
    • โฆษณาผลตอบแทนที่จะได้รับสูงผิดปกติ
    • ขายความฝันว่าจะรวยไว ไม่ต้องทำงานหนัก
    • เน้นให้หาสมาชิกตัวแทนขาย (ดาวน์ไลน์) มากกว่าการขายสินค้าให้ได้ โดยเมื่อหาดาวน์ไลน์มาได้แล้วจะได้รับผลตอบแทนทันที
    • ไม่สามารถคืนสินค้าได้หากสมาชิกต้องการลาออก

    เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำธุรกิจขายตรงตัวจริงแล้ว มักจะมีข้อห้ามที่เข้มงวดไม่ให้มีการซื้อสินค้าไปกักตุนเกินความจำเป็นเพราะเกรงจะถูกตรวจสอบว่าหมิ่นเหม่เป็นธุรกิจแบบปิรามิดหรือแชร์ลูกโซ่ รวมถึงการชักชวนดาวน์ไลน์มาร่วมเป็นตัวแทนขาย หากไม่สามารถฝึกอบรมให้ดาวน์ไลน์สามารถขายสินค้าเพิ่มได้ อัพไลน์ก็จะไม่ได้ยอดขายและเพิ่มเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งได้แต่อย่างใด

    ทั้งนี้ วิธีการเบื้องต้นหากต้องการตรวจสอบว่าเป็นธุรกิจขายตรงตัวจริงหรือไม่ ให้ตรวจสอบว่าบริษัทนั้นได้รับ “ใบอนุญาต” จาก “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” (สคบ.) หรือยัง อย่างไรก็ตาม บริษัทแชร์ลูกโซ่ก็มักจะโฆษณาว่าตนเองไม่ใช่ธุรกิจขายตรงเพื่อหลบเลี่ยงว่าตนไม่ได้หลอกลวงประชาชน

    “ขายตรง” กับค่านิยม Passive Income

    ประเทศไทยอยู่คู่กับธุรกิจเครือข่าย (MLM) มาช้านาน หรือเราเรียกกันง่ายๆ ว่าธุรกิจขายตรง แต่เดิมมักจะมีภาพลักษณ์ไม่ค่อยดีเหมือนธุรกิจประกัน เพราะอะไรที่เป็นการชวนเสียเงินไม่ว่าจะขายตรง, ขายประกัน หรือแม้กระทั่งซองกฐิน ซองผ้าป่า คนไทยล้วนแต่โบกมือบ๊ายบายทั้งสิ้น

    แต่ในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนไทยเปิดใจให้กับธุรกิจขายตรงมากขึ้น เพราะต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเงินเดือน หรือรายได้ประจำ หรือต้องการ Passive Income นั่นเอง ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ได้คอมมิชชันตามขั้นบันได ยิ่งมีลูกทีมมาก ย่อมได้รับผลตอบแทนมาก พร้อมกับการตลาดที่จูงใจด้วยทริปเที่ยวต่างประเทศสุดหรู มีรายได้ สามารถใช้ชีวิตดีๆ หลายคนถึงกับทำเป็นอาชีพประจำเลยก็มี

    ธุรกิจขายตรงในไทยมีแบรนด์ใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จัก 3 แบรนด์ ได้แก่ แอมเวย์, กิฟฟารีน และซูเลียน เห็นทีว่าแอมเวย์จะเป็นแบรนด์ใหญ่ในตลาดมากที่สุด ยุคหนึ่งที่ใครไม่รู้จักเครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศถือว่าเชย

    แต่ก่อนแอมเวย์ก็เน้นทำการตลาดด้วยฮีโร่โปรดักส์อย่างเครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศ น้ำยาทำความสะอาด และยาสีฟัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้จับจุดคนไทยได้อย่างดีด้วยโซลูชัน “ลดน้ำหนัก” อย่าง “บอดี้คีย์” หรือเรียกว่าเป็นอาหารเสริมแทนมื้ออาหาร เพราะคนไทยมีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก อยากได้ตัวช่วยในการดูแลรูปร่าง

    บอดี้คีย์ประสบความสำเร็จมากถึงขนาดที่ว่า ประเทศไทยมียอดขายอันดับ 1 ของโลก แอมเวย์ ประเทศอื่นยังต้องมาขอดูงานว่าทำได้อย่างไร ซึ่งนักธุรกิจแอมเวย์ได้เปลี่ยนตัวเองเป็น Content Creator ด้วยการแทนตัวเองว่าเป็น “นักโภชนาการ” “นักปั้นหุ่น” “นักลีนหุ่น” ใช้สื่อโซเชียลมีเดียของตัวเองเป็นช่องทางการขายเพื่อหาลูกค้าใหม่ๆ ด้วยการลงคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพ หรือการลดน้ำหนัก ลงภาพการลดน้ำหนักของตัวเองเป็นภาพ Before และ After พร้อมบอกว่ามีเคล็ดลับการลดน้ำหนักแบบไม่ต้องออกกำลังกาย (ซึ่งคนไทยไม่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว) จึงถูกจริตเข้าไปใหญ่

    กลายเป็นว่ากลยุทธ์นี้ได้ผล เพราะเป็นการขายแบบเนียนๆ ใช้ในเรื่องของการเห็นผลจริงในการจูงใจ เป็นกลยุทธ์สไตล์ Thailand Only จนแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแสอย่าง “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ก็ต้องเลียนแบบ ในการให้บอสต่างๆ ลีนร่างกายกลายเป็น “ร่างทอง” พร้อมกับขายสินค้าทดแทนมื้ออาหารเช่นเดียวกัน

     

    มาใหม่ล้ำสุดๆ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป”

    ธุรกิจล่าสุดที่กำลังเป็นที่โจษจันว่าจะกลายร่างเป็น “แชร์ลูกโซ่” หรือไม่นั้นคือ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ซึ่งเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 มีการรายงานข่าวว่า พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน รองโฆษก ตร. แจ้งว่ามีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความแล้ว 161 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 62 ล้านบาท และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเร่งออกหมายจับผู้บริหารภายใน 48 ชั่วโมงในความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงและการฟอกเงิน

    ลักษณะของ “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” นั้นมีหลายประการที่หมิ่นเหม่จะเข้าข่ายการเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่มีการวิวัฒนาการไปอีกขั้นในการสร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือ ถือเป็นจุดที่แตกต่างจนทำให้มีสมาชิกกว่า 3 แสนรายเข้าร่วมลงทุน

    เริ่มจาก “บอสพอล-วรัทย์พล วรัตน์วรกุล” ผู้ก่อตั้ง ดิ ไอคอน กรุ๊ป สร้างโปรไฟล์ของตนเองจากการไปให้สัมภาษณ์ในรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง จนทำให้มีชื่อเป็นนักธุรกิจพันล้านที่รวยได้จากการขายของออนไลน์ และตั้งธุรกิจดิ ไอคอน กรุ๊ปมาเพื่อเป็นธุรกิจขายออนไลน์

    ดาราเซเลบที่เข้ามาร่วมงานกับดิ ไอคอน กรุ๊ป ในระดับมีชื่อตำแหน่งให้

    ตามด้วยการเปิดตัว “ดารา” ระดับแถวหน้าวงการว่าไม่ใช่แค่พรีเซ็นเตอร์แต่เป็นถึงระดับผู้บริหาร ได้แก่ “บอสกันต์-กันต์ กันตถาวร” พิธีกรชื่อดัง “บอสแซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี” นักแสดงรุ่นใหญ่ และ “บอสมิน-พีชญา วัฒนามนตรี” นักแสดงสาว ซึ่งทำให้ดิ ไอคอน กรุ๊ปได้รับความสนใจ และประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นเพราะมองว่าดาราเซเลบเหล่านี้มาเป็นผู้บริหารในบริษัท มีหน้าตาขึ้นบิลบอร์ดขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ ขึ้นเวทีกล่าวสนับสนุนองค์กรเป็นมั่นเหมาะ

    ในด้านกลยุทธ์การดึงผู้เข้าร่วม จากการสืบค้นในอินเทอร์เน็ตพบว่า ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะเน้นโฆษณา “เปิดคอร์สสอนขายของออนไลน์” ในราคาที่ถูกมาก เช่น 59 บาท หรือ 97 บาท ในส่วนนี้มีการเรียนการสอนจริง ทั้งการสร้างเว็บไซต์ เปิดเพจ ปักตะกร้าใน TikTok ยิงแอดโฆษณาใน Facebook

    แต่ในที่สุดเมื่อใกล้จบคอร์สจะเริ่มแนะนำให้สมัครสมาชิกและสั่งสต็อกสินค้าของดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งหลักๆ จะมีสินค้าประเภทกาแฟ คอลลาเจน ครีม เซรั่ม วิตามินซี ยาสีฟัน เป็นต้น

    ป้ายโฆษณาของดิ ไอคอน กรุ๊ป

    ราคาการสมัครสมาชิกและซื้อสินค้าเพื่อนำไปขายต่อจะมีตั้งแต่ราคา 2,500 บาท ไปจนถึง 250,000 บาท แต่ผู้เสียหายส่วนใหญ่กล่าวตรงกันว่า แม่ทีมจะหว่านล้อมให้สมัครและซื้อสินค้าในราคา 250,000 บาท เพื่อจะได้ของแถมต่างๆ เช่น ทริปเที่ยวต่างประเทศ และการลงทุนสูงก็จะเติบโตได้เร็วกว่า จากนั้นให้หาดาวน์ไลน์มาเข้าคอร์สอบรมเพิ่ม หากมีดาวน์ไลน์เปิดบิลเพิ่มก็จะได้ค่านายหน้า

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายฝันก็ค่อยๆ สลายไป เมื่อสินค้าที่สั่งสต็อกมาในราคาหลักแสนนั้น ผู้เสียหายเล่าว่าแม้จะใช้วิชาความรู้การขายออนไลน์ที่ได้มาก็ยังขายไม่ได้ เพราะสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้มีดีมานด์สูงอย่างที่โฆษณากล่าวอ้างไว้ว่าสามารถขายได้หลักล้านชิ้น เมื่อขายไม่ออกก็จะต้องยอมรับสภาพขาดทุน กรณีคนที่กู้หนี้ยืมสินมาหรือใช้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตลงทุนก็จะตกอยู่ในสถานการณ์สาหัสจนกระทำอัตวินิบาตกรรมดังที่เห็นกันในหน้าสื่อต่างๆ

    กรณีของดิ ไอคอน กรุ๊ปนั้นยังอยู่ระหว่างตำรวจพิจารณาการออกหมายจับ แต่จะเห็นได้ว่าธุรกิจมีความหมิ่นเหม่ในการหว่านล้อมให้สต็อกสินค้าเป็นมูลค่าสูงเกินกว่าที่จะขายได้จริงซึ่งอาจจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ได้ ที่น่าสนใจมากคือการว่าจ้างเซเลบดาราแถวหน้ามาแสดงตนเป็นผู้บริหารจนทำให้ประชาชนเชื่อถือสูง รวมถึงการวางจุดขายเป็นธุรกิจที่สอนการขายของออนไลน์ในราคาถูกเพื่อดึงให้คนสมัครเข้ามาได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดเป็นเทรนด์วิวัฒนาการใหม่ของธุรกิจประเภทนี้ที่ต้องจับตามอง

     

    ที่มา: สารนิพนธ์ จอมพล ลี้ภัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์, เดลินิวส์, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ไทยพีบีเอส, ประชาชาติธุรกิจ, ลงทุนแมน, ไทยรัฐ, WorkpointToday, Giffarine, Facebook @Theiconprince

    ]]>
    1494175
    “ศุภาลัย” เปิดคอนโดฯ รวด 4 โครงการ วางหมาก “ราคาถูกกว่า” ปั๊มยอดขายปลายปี’67 https://positioningmag.com/1493980 Thu, 10 Oct 2024 14:04:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493980 หลังจากที่อั้นมาทั้งปียังไม่มีคอนโดฯ เปิดใหม่ ปลายปี’67 “ศุภาลัย” ใส่เต็ม เปิดรวดเดียว 4 คอนโดฯ ทำเลบางหว้าเจริญนครภูเก็ตเขาเต่า ทุกคอนโดฯ วางกลยุทธ์ทำ “ราคาถูกกว่า” ขอโกยยอดช่วงปลายปี 2567 ชี้สัญญาณตลาดคอนโดฯ ดีขึ้น ปี 2568 บริษัทเตรียมเปิดใหม่เป็นเท่าตัว

    “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แถลงเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการที่จะเริ่มจองในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ของบริษัท มูลค่ารวมกว่า 5,800 ล้านบาท ได้แก่

    1. Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์ จำนวน 771 ยูนิต ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท
    2. Supalai Tyme เจริญนคร จำนวน 461 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.59 ล้านบาท
    3. Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต จำนวน 221 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.69 ล้านบาท
    4. Supalai Kram เขาเต่า จำนวน 84 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.59 ล้านบาท

    โดยเลือกเปิดตัวในช่วงปลายปีเพราะเริ่มเห็นสัญญาณตลาดคอนโดฯ ว่าเริ่มดีขึ้น วัดจากยอดเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีไม่ถึง 50% ของที่เคยมีการเปิดช่วงครึ่งปีแรก 2566 แต่ยอดขายกลับตกลงไม่มาก โดยยอดขายช่วงครึ่งปีแรก 2567 คิดเป็น 60% ของครึ่งปีแรกปี 2566

    ศุภาลัย
    จำนวนยูนิตคอนโดฯ เปิดตัวใหม่เปรียบเทียบกับจำนวนยูนิตที่ขายได้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

    ช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ถือเป็นช่วงที่ยอดขายคอนโดฯ ขึ้นไปสูงกว่าจำนวนคอนโดฯ เปิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีความต้องการซื้อคอนโดฯ แต่ซัพพลายมีน้อยลง เป็นจังหวะที่ดีที่ศุภาลัยจะเติมซัพพลายลงไปในตลาดได้

    มองถึงอนาคตปี 2568 ไตรเตชะชี้ว่าซัพพลายคอนโดฯ เปิดใหม่ก็น่าจะยังไม่สูงมากเช่นกัน เพราะวัดจากการได้รับอนุมัติ EIA ของคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันลดเหลือ 5 โครงการต่อเดือน เทียบกับก่อนโควิด-19 เคยได้รับอนุมัติประมาณ 15 โครงการต่อเดือน ทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ก็น่าจะยังมีไม่มาก

    ปี 2568 ศุภาลัยจึงตั้งเป้าว่าจะเปิดคอนโดฯ ใหม่คิดเป็นมูลค่า 2 เท่าของปีนี้ โดยจะมีทั้งคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และเปิดในต่างจังหวัดเพิ่มอีก

     

    ไม่วัดใจลูกค้า ขอเปิด​ “ราคาถูกกว่า” โกยยอดชัวร์ๆ

    ไตรเตชะกล่าวต่อถึงกลยุทธ์ในการเปิดขายคอนโดฯ ปี 2567 ว่า แม้ตลาดจะดีขึ้นแต่เทรนด์ลูกค้ายังอ่อนไหวเรื่องราคาในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ และยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่อยู่ในตลาดด้วย ทำให้ศุภาลัยเลือกจะใช้การทำ “ราคาถูกกว่า” คู่แข่งในทำเลเพื่อมัดใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วสำหรับโครงการที่ยังต้องรอการก่อสร้าง

    ยกตัวอย่างโครงการที่มั่นใจว่าราคาจะเป็นปัจจัยดึงดูดคือ Supalai Tyme เจริญนคร เปิดราคาเฉลี่ยทั้งตึก 85,000 บาทต่อตร.ม. ในทำเลเจริญนครช่วงกลาง (ด้านใต้ของสะพานตากสิน-ก่อนถึงสะพานพระราม 3) ซึ่งคอนโดฯ อื่นๆ ในย่านนี้ที่อยู่ติดถนนเจริญนครจะทำราคาพุ่งไปที่ 121,000-136,000 บาทต่อตร.ม. แล้วทั้งหมด ทำให้คอนโดฯ ใหม่ของศุภาลัยจะถูกกว่าทำเลถึง 30%

    ทำเลเจริญนครและช่วงราคาที่แตกต่างกันทั้งบริเวณที่ตั้ง ติดถนนใหญ่หรือเข้าซอย และอยู่ฝั่งติดแม่น้ำหรือไม่ติด

    หรืออีกโครงการอย่าง Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์ ระยะทางประมาณ 500 เมตรจากสถานีบางหว้า ราคาเฉลี่ยโครงการนี้อยู่ที่ 75,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ก็จะถูกกว่าคู่แข่งในทำเลซึ่งทำราคาอยู่ราว 90,000 บาทต่อตร.ม. ด้วยช่องว่างราคาที่ต่ำกว่าเกิน 10% ก็เชื่อว่าจะดึงดูดลูกค้าได้มาก

    “บอกตามตรงแบบไม่เขินเลยคือเราไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาดในไตรมาส 4 ปีนี้ ถ้าเปิดตึกมาจะต้องได้ยอดขายเท่านั้น ทำให้ต้องทำราคาถูกสุดเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจทันที” ไตรเตชะกล่าว

    ทีมงานบมจ.ศุภาลัย: (จากซ้าย) “ชัยจักร วทัญญู” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์, “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร และ “ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ

    ในแง่บริหารจัดการต้นทุน เอ็มดีศุภาลัยยืนยันว่าโครงการจะยังได้กำไรเพราะต้นทุนที่บริหารได้ดีในปีนี้คือ “ค่าวัสดุและก่อสร้าง” เนื่องจากราคาวัสดุต่ำลงมาแล้วเทียบกับช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับผู้รับเหมาและซัพพลายเออร์มีการแข่งขันประมูลราคากันสูงในปีนี้ จึงทำให้ศุภาลัยได้ราคาต่ำลง

     

    ไฮไลต์จุดเด่น 4 โครงการ

    ด้านรายละเอียดโครงการแต่ละแห่งว่ามีจุดเด่นน่าสนใจอย่างไร “ชัยจักร วทัญญู” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แจกแจงดังนี้

    “Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต” เป็นอาคารเล่นระดับบนเชิงเขาเขารัง แม้ตัวอาคารจะสูง 8 และ 9 ชั้น แต่ด้วยความสูงของเขาจะทำให้ได้วิวเหมือนคอนโดฯ 20 ชั้น และเป็นคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้อย่างเป็นทางการตึกแรกใน จ.ภูเก็ต และของศุภาลัยด้วย

    “Supalai Sense เขารัง ภูเก็ต”

    “Supalai Kram เขาเต่า” จำนวนยูนิตน้อยเพียง 84 ยูนิต ยูนิตส่วนใหญ่เป็นแบบ “2 ห้องนอน” ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการที่พักตากอากาศสำหรับครอบครัว ทำเลรับวิวอ่างเก็บน้ำเขาเต่า และระยะเดิน 400 เมตรจากชายหาดเขาเต่าซึ่งลงเล่นได้จริง

    Supalai Kram เขาเต่า

    “Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์” คอนโดฯ คอนเซ็ปต์ออกแบบใหม่มาในธีม “สีน้ำเงิน” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกจัดเต็มกว่าปกติ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ตัวห้องชุดให้เพดานสูง 2.7 เมตร

    “Supalai Blu สาทร-ราชพฤกษ์”

    “Supalai Tyme เจริญนคร” ทำเลตรงข้ามเอเชียทีค ดันชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ 2 ชั้นบนสุดที่ชั้น 27-28 เห็นวิวแม่น้ำ 180 องศา

    “Supalai Tyme เจริญนคร”
    ]]>
    1493980
    คุยกับ “แวว-วาศิณี” เบื้องหลัง 18 ปี “White Story” กว่าจะมาเป็นธุรกิจ “ข้าวกล่อง” ขวัญใจคนเมือง https://positioningmag.com/1493748 Thu, 10 Oct 2024 05:00:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493748 ร้านขายข้าวกล่องและเบเกอรี “White Story” รุกคืบไปทั่วทุกศูนย์การค้าและออฟฟิศใจกลางเมืองอย่างเงียบๆ จนปัจจุบันมีถึงกว่า 80 สาขา และกลายเป็นที่พึ่งฝากท้องของคนเมืองยามต้องการอาหารทำสดใหม่ ราคาไม่แรง และมั่นใจได้ในเรื่องรสชาติ คุณภาพ และความสะอาด

    อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ White Story มีการปรับตัวและผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญๆ มาตลอด 18 ปี จากฝีมือของ “แวว-วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์” ซีอีโอ บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด ผู้ปลุกปั้นจนบริษัทเดินหน้าสู่รายได้ 600 ล้านบาทในปีนี้

    วาศิณีเล่าย้อนประวัติการสร้างธุรกิจให้ Positioning ฟังก่อนว่า แต่เดิมเธอเป็นพนักงานด้านการตลาดในบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่แห่งหนึ่ง แต่หลังทำงานไปสักระยะก็เข้าสู่จุดอิ่มตัว และอยากจะสร้างธุรกิจของตัวเองมากกว่า ทำให้เธอเลือกที่จะเปิดร้านอาหาร เพราะการทำอาหารเป็นงานอดิเรกที่ตนเองชอบอยู่แล้ว

    เริ่มแรกเลือกที่จะเปิดร้านในย่านวงเวียนพระราม 5 ซึ่งสมัยนั้นเป็นโซนที่อยู่อาศัยใหม่และยังไม่มีร้านอาหารบริการมากนัก จึงเป็นช่องว่างตลาดให้ร้านอาหารหน้าใหม่ “White Story”

    White Story
    “แวว-วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์” ซีอีโอ บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด

    “เราเลือกเช่าบ้านเก่ามาหลังหนึ่ง รีโนเวตเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ขนาด 10 โต๊ะ ขายแค่เค้กกับกาแฟ แต่ทำไป 3 เดือนก็เริ่มสังเกตได้ว่าไม่ตอบโจทย์เพราะกาแฟกับขนมจะขายได้แค่ช่วงเช้า เราเลยเพิ่มเมนูข้าวเข้ามาด้วยเพื่อให้ลูกค้ามาทานช่วงกลางวันจนถึงเย็น” วาศิณีกล่าว “ตอนเปิดร้านใหม่ๆ อายุ 27 ปี ต้องเริ่มทำทุกอย่างเองจากศูนย์ แต่เป็นพื้นฐานที่ดีที่ทำให้เรารู้ทุกอย่างในงานร้านอาหาร”

     

    ขึ้นห้างฯ ครั้งแรก

    หลังจากนั้น White Story เติบโตจนเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของย่านพร้อมๆ กับความเจริญของพื้นที่ จ.นนทบุรี ทำให้ศูนย์การค้าใหม่ที่จะเข้ามาเปิดในบริเวณคือ The Walk ราชพฤกษ์” ชักชวนให้ร้านย้ายมา “ขึ้นห้างฯ” เป็นครั้งแรกในปี 2555 โดยให้พื้นที่เช่ามาถึง 160 ตารางเมตร

    “พื้นที่มันใหญ่มาก ถ้าทำเป็นร้านนั่งทานทั้งหมดคงไม่ไหว เราเลยคิดแบ่งครึ่งหนึ่งของร้านเป็น Dine-in อีกครึ่งหนึ่งเป็นแผนก Grab & Go” วาศิณีกล่าว “ส่วนหนึ่งคือเราเห็นแล้วว่า Lazy Economy กำลังเกิดขึ้นในไทย คนเริ่มไม่มีเวลาทำอาหาร การขายแบบซื้อกลับบ้านน่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้”

    ตัวอย่างเมนูอาหาร White Story

    นั่นคือจุดเริ่มต้นการสร้างธุรกิจ Grab & Go ครั้งแรกของ White Story โดยเริ่มจากการขายเฉพาะกลุ่มเบเกอรีก่อน แต่เมื่อลูกค้าแนะนำว่าต้องการจะซื้ออาหารกลับบ้านบ้าง ร้านจึงเริ่มผลิตอาหารกล่องออกจำหน่ายด้วย

    “เราฟังลูกค้าเยอะว่าเขาอยากได้อะไร ก็จะได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำธุรกิจตลอด” วาศิณีกล่าว “วันนั้นเรารับฟังลูกค้าเยอะแบบไหน วันนี้เราก็ยังทำแบบนั้น ถ้าลูกค้าส่งข้อความมาในเพจว่าต้องการให้ปรับปรุงอะไร เราจะรับฟังและหาทางแก้ไขให้เสมอ”

     

    สู่ใจกลางเมือง

    จุดเปลี่ยนครั้งต่อมาของ White Story เกิดขึ้นในอีก 3 ปี และเป็นอีกครั้งที่การสร้างพื้นฐานให้ดีทำให้มีโอกาสขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น

    “มีวันหนึ่งที่เราพบว่ามีลูกค้าซื้อของบิลเดียวทะลุ 1,000 บาทซึ่งแปลว่าเขาซื้อไปเยอะมากๆ เราตกใจก็เลยลองสอบถามดู สรุปลูกค้าบอกว่าจริงๆ เขาอาศัยอยู่ในเมือง แต่ชอบสินค้าร้านเรามากจนแวะมาทีก็จะซื้อไปตุนที แล้วเขาก็แนะนำว่าให้เราไปเปิดสาขาในเมืองดู บังเอิญที่ลูกค้าเขารู้จักกับผู้บริหารเอ็มควอเทียร์ ห้างฯ ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว และช่วยติดต่อให้ได้คุยกัน กลายเป็นการเปิดประตูบานใหม่ให้เราได้โอกาสเข้าเมืองเป็นครั้งแรก” วาศิณีกล่าว

    White Story
    บรรยากาศร้านแบบ Grab & Go

    เมื่อจะเข้าไปขายกลางเมือง วาศิณีจึงออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ว่าจะเป็นการขยายเฉพาะส่วน Grab & Go เข้าไป เพราะมองว่าชีวิตคนเมืองเป็นชีวิตที่เร่งรีบและค่าเช่าที่จะสูงกว่านอกเมือง ทำให้การขายเฉพาะกลุ่มซื้อกลับบ้านน่าจะได้ผลตอบแทนทางธุรกิจดีกว่า และยังขยายได้ง่ายกว่าหาก White Story จะมีโอกาสขยายตัวในเมืองเพิ่มอีกในระยะยาว

     

    โอกาสเป็นของคนที่พร้อม

    ความสำเร็จจากสาขาที่มีเฉพาะ Grab & Go แห่งแรกที่เอ็มควอเทียร์ ทำให้ประตูบานต่อๆ มาเปิดออก มีศูนย์การค้าแห่งอื่นเชิญ White Story เข้าไปเปิดสาขาเพิ่มอีกจนขยายไปได้ 6-7 สาขา ถึงจุดนี้วาศิณีบอกว่าเธอเริ่มมีความฝันถึงการขยายไปให้ทั่วกรุงเทพฯ แล้ว

    “ปี 2561 ช่วงนั้นเราไปต่อคิวขอเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าทุกที่ที่ดังๆ ใจกลางเมืองเราไปต่อคิวหมดทุกแห่ง แต่ก็ไม่ค่อยมีที่เช่าหลุดมาเลยเพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจดี” วาศิณีกล่าว “แต่ถึงแม้จะยังไม่มีที่ไหนคอนเฟิร์ม แต่เราก็เริ่มสร้างครัวกลางรอแล้ว เพราะเราเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะต้องได้ที่แน่”

    White Story

    ครัวกลางของ White Story สร้างเสร็จก่อนโควิด-19 ระบาดพอดี และกลายเป็นความพร้อมส่วนนี้ที่ทำให้ร้านคว้าโอกาสมาได้เต็มมือ เพราะโรคระบาดและการปิดร้านอาหารแบบนั่งทานทำให้มีล็อกว่างบนศูนย์การค้า ร้าน Grab & Go แบบ White Story จึง ‘เนื้อหอม’ ได้รับคำเชิญให้เปิดสาขาจำนวนมาก

    ตั้งแต่ปี 2562 ร้านจึงบุกเปิดสาขาใหม่เฉลี่ยปีละ 10-20 สาขา ทะยานสู่ 80 สาขาได้ในปี 2567 ใช้เวลาเพียงไม่นานมีสาขาร้านอยู่ทั่วกรุงเทพฯ

     

    สินค้าคุณภาพดีและมี ‘กิมมิก’ การตลาด

    นอกจากความพร้อมที่จะขยายสาขาแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้ White Story ประสบความสำเร็จคือ “ตัวสินค้า” และ “แบรนดิ้ง” ที่ชัดเจนของร้าน

    โดยวาศิณีเล่าว่า เธอมีการวางพื้นฐานของแบรนด์ไว้ตั้งแต่แรกว่า White Story ไม่ได้เป็นแค่การขายอาหารหรือขนมปัง แต่สิ่งที่ขายคือ “ความไว้ใจ” ไม่ว่าตัวสินค้าจะเป็นอะไร สิ่งที่ร้านยึดถือว่าจะขายให้ลูกค้าคือการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด ดีต่อสุขภาพที่สุด สินค้าจึงใช้วัตถุดิบเกษตรอินทรีย์คุณภาพดีที่ใช้สารเคมีที่น้อยที่สุด

    พนักงานร้านในยูนิฟอร์มผูกผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผม ช่วยสร้างแบรนด์ให้กับ White Story

    “เราเชื่อว่าการที่เราสร้างสินค้าที่ดีและภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีมาตั้งแต่วันแรกหรือสาขาแรก มันคือการส่งต่อให้เกิดสาขาที่สองและสาขาต่อๆ มาได้” วาศิณีกล่าว

    เห็นได้ว่าภายใต้โมเดลธุรกิจที่ดูเหมือนเรียบง่ายเพียงขายข้าวกล่องและเบเกอรีซื้อกลับบ้าน แต่มีกลยุทธ์การตลาดที่วาศิณีซ่อนไว้อยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมีสินค้าที่ดี ทำเลร้านดีแล้ว สิ่งที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านหรือมัดใจให้อยู่กันไปนานๆ ได้อีกอย่างหนึ่งคือต้องมี Engagement’ ร่วมกันกับลูกค้า

    White Story
    สติ๊กเกอร์เขียนคำอธิบายอาหารแบบน่ารักๆ เป็นกิมมิกที่ทำให้คนจดจำร้านได้

    กลยุทธ์ที่ White Story คิดขึ้นคือ “สติ๊กเกอร์” แปะบนหน้ากล่องอาหารและเบเกอรี ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าคำอธิบายเมนูสินค้าจะมี “กิมมิก” ที่น่ารักและผ่านการคิดมาอย่างเฉียบคม เช่น สปาเก็ตตี้แซลมอนเทอริยากิ ว่ายทวนน้ำมาจากนอร์เวย์ ว่ายจนเซ ใจโลเลไปหาเธอ, ถั่วเขียวต้มหวานน้อยมาก กินอาหารถูกหลัก ถึงอกหักก็แข็งแรง, ขนมปังไดฟูกุ ชาเขียว ถั่วแดงญี่ปุ่น หวานน้อย คาร์บเชิง (ซ้ำ) ซ้อน

    คำอธิบายเมนูที่แปลกไม่เหมือนใครแบบนี้ทำให้ White Story เป็นที่จดจำของลูกค้า และสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันว่าเป็นร้านที่ “ใส่ใจลูกค้า” และ “มีอารมณ์ขัน” อีกด้วย

     

    ปี 2568 ทะลุ 100 สาขาแน่นอน!

    มาจนถึงวันนี้ White Story มีสินค้าขายถึง 300 SKUs รวมทั้งอาหารกล่อง เบเกอรี และของแห้ง-เครื่องปรุงในหมวด “White Story Selected” ที่บริษัทคัดเลือกสินค้าจากแหล่งที่ดีมาจำหน่าย เช่น น้ำผึ้ง, เต้าเจี้ยว, Vinegar และยังคงคิดเมนูใหม่ๆ หรือคัดเลือกสินค้าใหม่เข้าร้านเสมอ

    เราต้องวาดฝันไว้ว่าถ้าโอกาสมาถึงเราจะต้องพร้อมอย่างไร จัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเมื่อโอกาสมาแล้วเราต้องคว้าให้ได้ อย่านั่งรอเฉยๆ ให้โอกาสมาถึง

    วาศิณีกล่าวว่า ความฝันต่อไปของบริษัทคือการขยายร้านอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2568 เชื่อว่าจะครบ 100 สาขาอย่างแน่นอน และระบบการบริหารภายในขณะนี้กำลังขยายเพื่อให้รองรับได้มากกว่า 150 สาขา!

    อย่างไรก็ตาม ทำเลการขายน่าจะยังเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลก่อน (ปัจจุบันสาขาที่ไกลเมืองที่สุดคือ เซ็นทรัล นครปฐม) เพราะมองว่ายังมีทำเลที่ร้านเปิดได้อีกมากในกลุ่มอาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาล

    “เราต้องวาดฝันไว้ว่าถ้าโอกาสมาถึงเราจะต้องพร้อมอย่างไร จัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเมื่อโอกาสมาแล้วเราต้องคว้าให้ได้ อย่านั่งรอเฉยๆ ให้โอกาสมาถึง” วาศิณีกล่าวปิดท้าย

     

    อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ]]>
    1493748