น้ำอัดลม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 15 Sep 2023 06:18:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Coca-Cola” ทดลองใช้ “AI” สร้างสรรค์ “น้ำอัดลม” รสชาติใหม่ “Y3000” จากโลกอนาคต https://positioningmag.com/1444365 Fri, 15 Sep 2023 01:42:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444365 ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังถูกนำไปใช้ในทุกๆ ด้าน ล่าสุด “Coca-Cola” สร้างแคมเปญทดลองใช้ AI พัฒนารสชาติ “น้ำอัดลม” จาก “โลกอนาคต” ออกมาเป็นรสชาติใหม่ “Y3000” ซึ่งหมายถึงน้ำอัดลมที่มาจากปี ค.ศ.3000

วิธีการพัฒนา Y3000 เริ่มต้นจากนักวิจัยที่ Coca-Cola เป็นผู้หาข้อมูลเกี่ยวกับรสชาติที่ผู้บริโภคชื่นชอบ และเทรนด์ของรสชาติในอนาคตที่ผู้บริโภคจินตนาการไว้

จากนั้นนักวิจัยจึงป้อนข้อมูลทั้งหมดให้ AI นำไปประมวลจับคู่รสชาติที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นรสชาติแห่งอนาคต

Coca-Cola ไม่ได้อธิบายว่ารสชาติ Y3000 เป็นแบบไหน หรือใกล้เคียงกับรสชาติใดที่มีอยู่แล้วหรือไม่ แต่จะให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสเองว่ารสชาติอนาคตเป็นอย่างไร โดยมี 2 ชนิดให้เลือก คือ ใส่น้ำตาลปกติ กับ ไม่มีน้ำตาล

AI ยังออกแบบลักษณะกระป๋องน้ำอัดลมแห่งอนาคตด้วย โดยเป็นกระป๋องแบบสลิม แปะโลโก้ Coca-Cola ที่แตกเป็นพิกเซล พื้นหลังเป็นสีเงินสะอาดตา ระบายด้วยสีผสมของสีฟ้า ม่วง และชมพู

“จากแรงบันดาลใจของแบรนด์เหนือกาลเวลาอย่าง Coca-Cola เราต้องการจะเฉลิมฉลองไอเดียจินตนาการของทุกคนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” Oana Vlad ผู้อำนวยการอาวุโสด้านกลยุทธ์สากลของ Coca-Cola กล่าวถึงรสชาติ Y3000 “ด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้เราสามารถจินตนาการถึงรสชาติในอนาคตของ Coca-Cola ได้ และได้สร้างประสบการณ์สัมผัสนวัตกรรมเพื่อสำรวจอนาคตไปด้วยกัน”

แคมเปญ Y3000 ยังไม่จบเท่านี้ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ รสชาติแห่งอนาคตของ Coca-Cola จะคอลแลปกับแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทแวร์อย่าง “Ambush” เพื่อออกคอลเล็กชันพิเศษด้วย

เท่าที่ประกาศออกมาขณะนี้ Coca-Cola Y3000 มีจำหน่ายแล้วในสหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย โดยจำหน่ายในราคาเท่ากับโค้กปกติ และขายในจำนวนจำกัด

ที่มา: CNBC

#CocaCola #Coke #AI #ปัญญาประดิษฐ์ #น้ำอัดลม #Positioningmag

]]>
1444365
ถนนทุกสายมุ่งสู่ “No Sugar” น้ำอัดลม “ไม่มีน้ำตาล” สุดฮิต! เติบโตปีละ 30% https://positioningmag.com/1431772 Thu, 25 May 2023 06:29:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431772 มองไปบนเชลฟ์วางจำหน่ายวันนี้ น้ำอัดลมประเภท “ไม่มีน้ำตาล” ถูกวางประกบคู่กับสูตรปกติชนิดที่ว่าขาดจากกันไม่ได้ ด้วยปัจจัยที่ทั้งผลักทั้งดึง เริ่มจาก “ภาษีความหวาน” เป็นแรงกดดัน ต่อด้วยเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเองใส่ใจ “สุขภาพ” มากขึ้นในช่วงโควิด-19 ยิ่งส่งกระแสเครื่องดื่มอัดลม “No Sugar” ให้โต 30% เมื่อปีก่อน และน่าจะโตต่อเนื่องอีกในปีนี้

“ริชา ซิงห์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว ให้ข้อมูลตลาด “น้ำอัดลม” อ้างอิงจากนีลเส็น พบว่าเมื่อปี 2565 ตลาดน้ำอัดลมไทยมูลค่า 56,000 ล้านบาทนั้นเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 7% แต่ที่มาแรงมากคือน้ำอัดลม “ไม่มีน้ำตาล” ซึ่งเติบโตแรงถึง 30% หรือมากกว่าการเติบโตของตลาดถึง 4 เท่า

ขณะที่ “อนวัช สังขะทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลนั้นมีสัดส่วนประมาณ 10% ของตลาดรวม แม้ตลาดยังเล็กอยู่แต่เติบโตเร็วมาก ปีนี้คาดว่าจะโตต่อเนื่องอีก 30%

อนวัชคาดการณ์ไว้ด้วยว่า หากกลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลยังโตแรงต่อเนื่อง 30% ทุกปี เป็นไปได้ว่าภายใน 5 ปี น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลจะกินส่วนแบ่งเกือบ “ครึ่งหนึ่ง” ของตลาดน้ำอัดลม ดังนั้น น้ำอัดลม ‘No Sugar’ จึงเป็นสินค้ากลยุทธ์ที่สำคัญมาก

 

เริ่มจาก “ภาษีความหวาน” สู่เทรนด์ “รักสุขภาพ”

กระแสเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลเริ่มต้นมาจากการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่เมื่อปี 2560 เรียกเก็บ “ภาษีความหวาน” จากเครื่องดื่มทุกชนิด ยิ่งใส่น้ำตาลมากยิ่งถูกเรียกเก็บภาษีมาก และปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดมาเรื่อยๆ รอบล่าสุดที่ปรับขึ้นคือรอบ 1 เมษายน 2566

Photo by Suzy Hazelwood / Pexels

ภาษีความหวานนี้กลายเป็นต้นทุนสำคัญ ทำให้บรรดาผู้ผลิตเครื่องดื่มโดยเฉพาะกลุ่มน้ำอัดลมต้องหาทางปรับสูตรลดน้ำตาลสำหรับรสชาติออริจินอล และเริ่มเข็นผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาลออกสู่ตลาดให้มากขึ้น เพื่อแก้เกมการเก็บภาษีความหวาน

ตั้งแต่ปี 2562 เราจึงเริ่มเห็นกระแสการตลาดผลักดันน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลชัดเจนขึ้น ประจวบเหมาะที่ปี 2563 เกิดโรคระบาดโควิด-19 ขึ้นทั่วโลก และกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้พฤติกรรมผู้บริโภคใส่ใจเรื่อง “สุขภาพ” สูงขึ้น โดยมีเรื่องโภชนาการ “อาหาร-เครื่องดื่ม” เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้บริโภคระมัดระวัง ลงล็อกกับการผลักดันตลาด “No Sugar” ว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า

 

ตะลุมบอนสมรภูมิ “ไม่มีน้ำตาล”

ปี 2565-66 ยิ่งชัดเจนว่าถนนทุกสายกำลังไปสู่สมรภูมิน้ำอัดลม “ไม่มีน้ำตาล” โดยบริษัทที่ประกาศกลยุทธ์ชัดเจนคือ “PepsiCo” โดย รามอน ลากัวร์ตา ซีอีโอของยักษ์เครื่องดื่มรายนี้ประกาศเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า ผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาลจะเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์ธุรกิจต่อจากนี้ เริ่มจากตลาดสหรัฐฯ ก่อน ต่อด้วยยุโรป และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งความตั้งใจของ PepsiCo สะท้อนมาในโลโก้และการออกแบบกระป๋องใหม่ที่เน้นโปรโมตกระป๋องเครื่องดื่มประเภท “Zero Sugar”

Pepsi เปลี่ยนโลโก้ใหม่
โลโก้ใหม่ Pepsi ที่จะเริ่มใช้ปี 2023

ส่วนในตลาดไทยเอง เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลก็เป็นความหวังของเป๊ปซี่ในการ ‘พลิกเกม’ ตีตื้นชิงมาร์เก็ตแชร์ เพราะปัจจุบันเป๊ปซี่ยังเป็นอันดับ 2 ในตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 37% ห่างค่อนข้างมากจากโคคา-โคล่าที่ยึดตำแหน่งอันดับ 1 มีมาร์เก็ตแชร์ 51% ทำให้ปัจจุบันเป๊ปซี่โคมีสินค้าสูตรไม่มีน้ำตาลให้เลือกทั้ง “เป๊ปซี่” และ “เซเว่นอัพ”

ขณะที่เจ้าใหญ่ โคคา-โคล่า ประเทศไทย แม้ไม่ได้ประกาศตรงๆ ว่ากลยุทธ์ธุรกิจจะมุ่งตลาด ‘No Sugar’ แต่สะท้อนออกมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อปี 2565 จำนวน 15 รายการ ปรากฏว่าเกือบทั้งหมดเป็นสินค้าประเภทไม่มีน้ำตาล

เครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ “อู-ฮ่า” (OOHA) โซดากลิ่นผลไม้ ไม่มีน้ำตาล ในเครือโคคา-โคล่า

ตัวเลือกสูตรไม่มีน้ำตาลของโคคา-โคล่าขณะนี้จึงมีครบหมดทุกยี่ห้อน้ำอัดลมในเครือ ไม่ว่าจะเป็น “โค้ก” “สไปรท์” “แฟนต้า” “ชเวปส์” แถมบางยี่ห้อหรือไลน์ผลิตภัณฑ์ยังพลิกมาผลิตเฉพาะสูตรไม่มีน้ำตาลด้วย เช่น แบรนด์โซดากลิ่นผลไม้ “อู-ฮ่า” หรือไลน์สินค้า “โค้ก ลิมิเต็ด อิดิชั่น”

ไม่ใช่แค่ ‘ช้างชนช้าง’ เท่านั้น แต่ผู้ท้าชิงรายอื่นก็โดดร่วมวงในศึกน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเหมือนกัน เช่น ค่ายน้ำอัดลมเบอร์ 3 ในไทย “เอส” มี “เอส โคล่า ชูการ์ฟรี” มาให้ผู้บริโภคเลือก

แม้แต่ในกลุ่มที่ไม่ได้ผลิตน้ำอัดลมมาแต่แรกก็เห็นโอกาสเมื่อตลาดเปลี่ยน เช่น ค่ายสิงห์ ส่ง “สิงห์ เลมอน โซดา” น้ำตาล 0% เข้าตลาดมาตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่ปี 2566 สองบิ๊กเครื่องดื่มชูกำลังก็เดินทัพไม่มีน้ำตาลบ้าง โดย โอสถสภา เปิดตัว “ชาร์ค อุเมะ โซดา” ไปเมื่อเดือนเมษายน ส่วนค่าย TCP มีแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์คือ “FarmZaa มะปี๊ดโซดา” และ “Planett โซดากลิ่นดอกไม้และผลไม้” ซึ่งน่าจะลงขายในโมเดิร์นเทรดได้เร็วๆ นี้

 

วัดพลังกันที่ “รสชาติ”

เห็นได้ว่าตลาดน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลกำลังสุกงอมเต็มที่ แต่ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้อาจต้องวัดกันที่ “รสชาติ” เพราะที่ผ่านมากำแพงขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นทำให้ลูกค้าไม่เลือกสินค้า No Sugar ก็เพราะภาพจำว่าสินค้าประเภทนี้ “ไม่อร่อย”

ดังนั้น แบรนด์ไหนก็ตามที่สามารถพัฒนารสชาติให้อร่อยโดดเด่นกว่ายี่ห้ออื่นในตลาดได้ จึงน่าจะเป็นผู้ชนะไปในศึกน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล

ปี 2566 จึงเป็นปีที่น่าสนใจว่าใครที่จะเข้าไปนั่งแท่นอันดับ 1 ยึดหัวหาดได้ยาวๆ สำหรับกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลม “ไม่มีน้ำตาล” !!

]]>
1431772
“โคคา-โคล่า” ส่งแบรนด์น้องใหม่ “อู-ฮ่า” เจาะตลาดคน Gen Z ด้วย “โซดากลิ่นผลไม้” https://positioningmag.com/1431208 Mon, 22 May 2023 09:23:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431208
  • “โคคาโคล่า” เจ้าตลาด “น้ำอัดลม” เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ในเครือ “อูฮ่า” (OOHA) โซดากลิ่นผลไม้ที่วางตำแหน่งทางการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมาย Gen Z โดยเฉพาะ
  • หลังโควิด-19 โคคาโคล่ากระหน่ำออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะสูตร “ไม่มีน้ำตาล” ตอบรับเทรนด์รักสุขภาพ
  • “Gen Z” กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ “น้ำอัดลม” ต่างจับจ้องที่จะชิงตลาดไว้ให้ได้ แม้แต่เจ้าตลาดที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดอย่าง “โคคา-โคล่า” ก็ต้องไม่พลาดที่จะจับกลุ่มลูกค้า

    “ริชา ซิงห์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวถึงลูกค้า Gen Z หรือคนวัย 16-25 ปีในขณะนี้ว่าทวีความสำคัญขึ้นเพราะมีสัดส่วนถึง 29% ของประชากรไทย

    เมื่อบริษัทลงมือศึกษาความต้องการของคน Gen Z พบว่าคนวัยนี้มากกว่า 70% “ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ” และเทรนด์รักสุขภาพยังแข็งแรงมากในกลุ่มนี้ด้วย ทำให้เกิดความต้องการน้ำอัดลมแบบ “ไม่มีน้ำตาล” (Zero Sugar)

    ความต้องการประสบการณ์ “ใหม่” จึงทำให้น้ำอัดลมต้องมีรสชาติหลากหลาย และน้ำอัดลมที่เป็นตลาดรองอย่างกลุ่ม “โซดากลิ่นผลไม้” ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 4% ในตลาดน้ำอัดลมทั้งหมด กลับเติบโตดีมากมาตั้งแต่ปี 2563 และในปีที่ผ่านมาก็ยังแรงดีไม่มีตก โตได้ดับเบิลดิจิต

    เครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ “อู-ฮ่า” (OOHA) โซดากลิ่นผลไม้ ไม่มีน้ำตาล

    หันมาดูในพอร์ตของโคคา-โคล่า แบรนด์ที่ตรงเป้ากับตลาดโซดากลิ่นผลไม้ คือ “ชเวปส์” กับ “แฟนต้า” ทำให้ปีที่ผ่านมา บริษัทนำแบรนด์เหล่านี้มาปั้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้โดนใจ Gen Z เช่น ชเวปส์ 2 รสชาติใหม่ รสไพน์แอปเปิ้ล โมฮีโต้ และ รสซิตรัส ราสพ์เบอร์รี่ หรือ แฟนต้า WTF (What The Fanta) ทั้งหมดผลิตเป็นสูตรไม่มีน้ำตาล

    แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือน Gen Z จะยังต้องการมากกว่านั้น เพราะ “ชเวปส์” ก็ยังติดภาพเป็นแบรนด์ดั้งเดิมของคน Gen Y วัย 25-39 ปี ที่มักจะซื้อชเวปส์สำหรับดื่มในงานเลี้ยงหรือผ่อนคลายส่วนตัว ส่วนแบรนด์ “แฟนต้า” ก็ยังมีความแมส แม้จะดูเด็ก แต่ยังไม่เจาะเฉพาะกับ Gen Z ได้

    ในที่สุดปีนี้โคคา-โคล่าจึงขยับครั้งใหญ่ เปิดตัวโซดากลิ่นผลไม้แบรนด์ “อู-ฮ่า” (OOHA) ในประเทศไทย โดยมาในรูปลักษณ์กระป๋องสีสดใส ดีไซน์ทันสมัย และยังดึงพรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น “นนกุล-ชานน สันตินธรกุล” มาช่วยโปรโมต

    อู-ฮ่าริชากล่าวว่า แบรนด์อู-ฮ่าไม่ได้เปิดตัวที่ไทยเป็นที่แรก แต่เคยมีมาแล้วในจีนและฮ่องกง เพียงแต่ในไทยมีการคิดค้นรสชาติใหม่ให้เหมาะกับท้องถิ่น จึงออกมาเป็น 2 รสชาติ กลิ่นลิ้นจี่และโยเกิร์ต และ กลิ่นเลมอนผสมซีซอล์ท (เกลือสมุทร) ซึ่งเป็นการจับคู่รสชาติแบบ 1+1 ในกระป๋องเดียว เชื่อว่าจะทำให้กลุ่มลูกค้าตื่นเต้น ต้องการทดลองรสชาติแบบใหม่ ประสบการณ์ใหม่ รวมถึงเป็นเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ตอบเทรนด์รักสุขภาพ เป็นเครื่องดื่มที่พัฒนาเพื่อ Gen Z โดยตรง จึงน่าจะดึงลูกค้าได้ดี

     

    ปี 2565 เข็นผลิตภัณฑ์ใหม่รวดเดียว 15 รายการ “ไม่มีน้ำตาล” มาแรง

    ด้านภาพรวมตลาดหลังโควิด-19 ริชาอ้างอิงข้อมูลจาก “นีลเส็น” พบว่า ตลาดน้ำอัดลมในประเทศไทยปี 2565 มีมูลค่า 56,000 ล้านบาท และเติบโต 7% จากปีก่อนหน้า นับว่าตลาดฟื้นตัวแล้วจากช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาด

    โคคา-โคล่าเองเมื่อปีก่อนก็มีส่วนในการขับเคลื่อนตลาดสูง เพราะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือปรับสูตรใหม่ถึง 15 รายการ เช่น โค้ก ไม่มีน้ำตาล ลิมิเต็ด อิดิชั่น มาร์ชเมลโล่ และ สตาร์ชายน์, แฟนต้า WTF ไม่มีน้ำตาล, สไปรท์ สูตรใหม่ ไม่มีน้ำตาล เป็นต้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปีที่บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวนสูงมาก

    โคคา-โคล่า
    โค้ก ลิมิเต็ด อิดิชั่น มาร์ชเมลโล่ ไม่มีน้ำตาล หนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่หรือสูตรใหม่ที่ออกเมื่อปี 2565

    สำหรับปี 2566 บริษัทยังมีนวัตกรรมออกสู่ตลาดอีก โดยต้นปีที่ผ่านมาบริษัทเริ่มปรับสูตร “สไปรท์” และ “แฟนต้า” ให้ซ่ายิ่งขึ้นและน้ำตาลน้อยลง ตามด้วยการออก “โค้ก มูฟ โรซาเลีย ไม่มีน้ำตาล” อีกหนึ่งรสชาติในกลุ่มลิมิเต็ด อิดิชั่น และล่าสุดคือการเปิดแบรนด์ใหม่ “อู-ฮ่า” 2 รสชาติ และภายในปีนี้ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่รอในแผนงานอีก

    เห็นได้ว่าสินค้าใหม่ๆ ของโคคา-โคล่าส่วนใหญ่ “ไม่มีน้ำตาล” ทำให้ปัจจุบันกลุ่มสินค้าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 5% ของปริมาณขายของโคคา-โคล่าเรียบร้อยแล้ว

    ความเป็นไปได้ที่จะเห็นผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาลเพิ่มขึ้นอีกก็มีสูง เพราะเทรนด์นี้มาแรงจริงๆ ในปี 2565 กลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเติบโตถึง 30% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดถึง 4 เท่า ดังนั้น น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลจึงเป็นสมรภูมิใหม่ของธุรกิจนี้อย่างแน่นอน

    ]]>
    1431208
    “Pepsi” เปลี่ยนโลโก้ใหม่! กลับไปใช้สไตล์ยุค 90s เพราะเป็นโลโก้แบบที่คนจดจำได้มากที่สุด https://positioningmag.com/1425218 Wed, 29 Mar 2023 08:26:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425218 น้ำอัดลม “Pepsi” (เป๊ปซี่) เปลี่ยนโลโก้ใหม่ในรอบ 15 ปี กลับไปใช้สไตล์ยุค 90s ที่มีชื่อแบรนด์อยู่ตรงกลางวงกลม เพราะเป็นแบบโลโก้ที่คนจดจำได้มากที่สุด โดยจะเริ่มเปลี่ยนในตลาดทวีปอเมริกาเหนือก่อน และเปลี่ยนครบทุกตลาดในโลกภายในปี 2024

    ถ้ามีใครสักคนขอให้คุณวาดภาพโลโก้ Pepsi ขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพโลโก้แบบไหนที่คุณจะวาด? น่าจะมีวงกลมสีแดงทับด้วยสีน้ำเงิน และมีชื่อแบรนด์ติดอยู่ตรงกลางหรือเปล่า?

    เมื่อบริษัท PepsiCo ทดลองกิจกรรมนี้ พวกเขาพบว่าคนส่วนใหญ่นึกเป็นภาพที่กล่าวไปข้างต้น แต่โลโก้ปัจจุบันของ Pepsi ไม่ใช่แบบนั้นเลย โลโก้ปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2008 เป็นรูปวงกลมสีแดง-น้ำเงิน แต่ชื่อแบรนด์ออกไปอยู่ด้านนอกวงกลมแทน

    “เราละเลยอินไซต์แบบนี้ไม่ได้หรอกครับ” เมาโร ปอร์ชินี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการออกแบบ PepsiCo กล่าวกับ CNN “แทนที่เราจะปฏิเสธอินไซต์ลูกค้า เราตัดสินใจว่าจะโอบรับสิ่งนี้เข้ามาแทน”

    โลโก้ Pepsi ตลอด 125 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2023 บริษัท PepsiCo จึงได้ฤกษ์เปิดตัวโลโก้ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในตลาดทวีปอเมริกาเหนือช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ก่อนจะเริ่มใช้งานในตลาดทั่วโลกปีหน้า

    โลโก้ใหม่หน้าตาคล้ายกับโลโก้ที่ใช้ในยุค 1990s มาก ซึ่งเป็นโลโก้แบบที่ดูจะติดอยู่ในความทรงจำของคนทั่วไปมากที่สุด แต่โลโก้ใหม่จะมีการปรับองค์ประกอบบางอย่างให้ดูทันสมัยขึ้น เช่น เปลี่ยนแบบอักษร เปลี่ยนสีอักษร และขอบขาวของโลโก้ที่ดูแคบลง

    โลโก้แบบใหม่จะทำให้ไปในทิศทางเดียวกับความจำของคนที่มีต่อแบรนด์ แต่มีกลเม็ดที่จะดึงสายตาคนให้ลงมาอ่านบรรทัดด้านล่างโลโก้ที่เขียนว่า “zero sugar” หรือไม่มีน้ำตาล เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นกุญแจการเติบโตหลักของ Pepsi ในระยะถัดไป

    Pepsi เปลี่ยนโลโก้ใหม่
    โลโก้ใหม่ที่จะเริ่มใช้ปี 2023

     

    สัญลักษณ์ของ “ความกล้าและมั่นใจ”

    Pepsi อยู่ในตลาดมานานถึง 125 ปีแล้ว และโลโก้แบรนด์ก็ถูกเปลี่ยนใหม่มาเป็นระยะๆ โดยโลโก้ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนมาใช้งานตั้งแต่ปี 2008 แต่ตั้งแต่เริ่มมีโลโก้ใหม่ ดูเหมือนการตอบรับจะไม่ค่อยดี เพราะโลโก้ดู ‘น่าเบื่อ’

    ท็อดด์ แคปแลน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ PepsiCo กล่าวว่า แบรนด์ Pepsi เป็นแบรนด์ของ “ความกล้าและมั่นใจ” เป็นแบรนด์ของความสนุกสนานแบบไม่ต้องหวั่นเกรงอะไร แต่โลโก้ที่มีวันนี้ ด้วยฟอนต์ที่ใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด และอยู่ด้านนอกวงกลม ทำให้ดูไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไหร่

    การออกแบบใหม่จึงเลือกฟอนต์ที่กลับมาเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด ใช้สีดำตัวหนาเขียนว่า PEPSI อยู่ตรงกลางวงกลมอย่างชัดเจนเพื่อสะท้อนความมั่นใจอีกครั้ง

    ทิม คาลกินส์ ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่ Northwestern University’s Kellogg School of Management ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทจะเปลี่ยนโลโก้หรือดีไซน์บ้างเพื่อให้ทันสมัย แต่ก็ต้องระวังไม่ให้เปลี่ยนมากเกินไปจนเสี่ยงทำให้ลูกค้าสับสน อย่างเมื่อปี 2009 แบรนด์ Tropicana (อยู่ในเครือ PepsiCo เช่นกัน) เคยเปลี่ยนดีไซน์กล่องน้ำส้มทั้งรูปหน้ากล่องและโลโก้ไปโดยสิ้นเชิง แต่ลูกค้าไม่ตอบรับ จนบริษัทต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบเดิมในเวลาไม่กี่เดือน

    “แบรนด์ที่มีประวัติมายาวนาน สามารถมองย้อนกลับไปยังความสำเร็จเดิมได้เสมอ” คาลกินส์กล่าว โดยภาพจำนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก เพียงแต่บริษัทต้องระวังในการนำมรดกความรุ่งเรืองมาใช้งานให้ยังดูสดใหม่เสมอ

     

    เน้นตลาด “ไม่มีน้ำตาล”

    ก่อนหน้านี้ รามอน ลากัวร์ตา ซีอีโอ PepsiCo เคยแถลงในงานพบปะนักวิเคราะห์ช่วงต้นปี 2023 ว่า ในตลาดสหรัฐฯ จะมีผลิตภัณฑ์ “ไม่มีน้ำตาล” เป็นศูนย์กลางในกลยุทธ์ธุรกิจต่อจากนี้ และยังประกาศการปรับสูตรน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล พร้อมทุ่มทุนโฆษณาประเด็นนี้กลางงาน Super Bowl

    ลากัวร์ตามองว่า ตลาดน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลจะเติบโตเร็วมากในสหรัฐฯ และยังวางตัวให้น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเป็นกลยุทธ์หลักในยุโรป และตลาดอื่นๆ ในโลกด้วย

    ในประเทศไทยก็เช่นกัน บริษัทผู้ผลิตและจำหน่าย Pepsi ในไทยอย่าง บจก.ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค (ประเทศไทย) ก็เพิ่งแถลงแผนรอบ 5 ปีต่อไป (2566-2570) และมีน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่จะผลักดัน เพราะเห็นว่าตลาดนี้เติบโตเร็วถึง 30% ต่อปี (อ่านรายละเอียดต่อที่นี่)

    Source

    ]]>
    1425218
    “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” วางเป้า 5 ปีต่อไปชิงแชร์ “น้ำอัดลม” เพิ่มปีละ 1% บุกหนักกลุ่ม “No Sugar” https://positioningmag.com/1425031 Mon, 27 Mar 2023 13:57:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1425031 ครบรอบ 5 ปีการจับมือร่วมทุน “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค” พร้อมไปต่ออีก 5 ปีข้างหน้า (2566-2570) วางเป้าชิงมาร์เก็ตแชร์ในตลาด “น้ำอัดลม” ปีละ 1% โดยจะบุกหนักในกลุ่ม “ไม่มีน้ำตาล” (No Sugar) ซึ่งเป็นเทรนด์แรงของตลาด พร้อมผลักดันเครื่องดื่มชูกำลัง “Rockstar” สร้างดีมานด์ใหม่เป็นเครื่องดื่มไลฟ์สไตล์

    “อชิต โจชิ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมผู้บริหารแถลงครบรอบ 5 ปีการเป็นพันธมิตรร่วมทุนของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค และก้าวต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้าของบริษัท

    หลังจากมีการร่วมทุนกันของสองบริษัท ทำให้พอร์ตโฟลิโอของซันโทรี่ เป๊ปซี่โคครบเครื่องยิ่งขึ้นด้วยเครื่องดื่มรวม 9 แบรนด์ในมือ

    ปัจจุบันพอร์ต 75% ของบริษัททำรายได้จากกลุ่มน้ำอัดลม ได้แก่ เป๊ปซี่, มิรินด้า, เซเว่นอัพ และ 25% มาจากกลุ่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม ได้แก่ ชาลิปตัน, ชา TEA+, กาแฟ BOSS, น้ำดื่มอะควาฟินา, เครื่องดื่มเกลือแร่เกเตอเรด และน้องใหม่ล่าสุด เครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียม Rockstar

    ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค
    เครื่องดื่มในพอร์ตของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค

    รวมถึงการผนึกกำลังทำให้ในรอบ 5 ปีบริษัทมีเครือข่ายร้านค้าจำหน่ายเพิ่มเป็น 2 เท่า และมีกำลังผลิตจากโรงงาน 2 แห่งรวม 600 ล้านลิตรต่อปี

    อชิตกล่าวต่อว่า สำหรับระยะ 5 ปีต่อไป (2566-2570) ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค วางกลยุทธ์ใหญ่ไว้ 5 ข้อ ดังนี้

    1. เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจ “น้ำอัดลม” ปีละ 1% point
    2. เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้านวัตกรรม value-added
    3. ส่งสินค้าที่เหมาะสมไปถึงลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่เหมาะสม
    4. สานต่อเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยปีนี้จะเริ่มเปิดตัวขวดที่ทำจาก rPET (ขวดที่ทำจากพลาสติกที่ผ่านการรีไซเคิลมาแล้ว)
    5. พัฒนาองค์กรต่อเนื่อง โดยเน้นประเด็นความหลากหลายและความเท่าเทียมในองค์กร

    เป้าหมายปลายทางคือ ต้องการทำให้รายได้ต่อปีเติบโต “ดับเบิ้ล” ค่าเฉลี่ยของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น ปี 2566 นี้บริษัทตั้งเป้าโต 4-6% จากคาดการณ์ตลาดน่าจะโต 2-3% ส่วนในอนาคตหวังว่าบริษัทจะสามารถโตได้ปีละ 8-10% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละปีด้วย

    ทีมงาน บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด: (จากซ้าย) เพียงจิต ศรีประสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลและบรรษัทสัมพันธ์, อชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ อนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด

     

    ศึก “น้ำอัดลม” ปักเป้าชิงมาร์เก็ตแชร์เพิ่มปีละ 1%

    ในรอบ 5 ปีก่อน ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคสามารถขยับสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ในตลาดน้ำอัดลมขึ้นมาได้อีก 2.6% point ซึ่งทำให้เมื่อปี 2565 บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 37% เป็นรองจากอันดับ 1 คือ โคคา-โคล่า ที่ยังยึดหัวหาดไว้ถึง 51%

    อย่างไรก็ตาม เป้าหมายจากนี้ของซันโทรี่ เป๊ปซี่โคต้องการจะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ปีละ 1% point นั่นแปลว่าถ้าทำสำเร็จ ในปี 2570 เราอาจได้เห็นเป๊ปซี่ขึ้นไปมีส่วนแบ่งแตะ 42% ของตลาด และลดช่องว่างความห่างกับโคคา-โคล่าได้มากขึ้นอีก

    น้ำอัดลม No Sugar ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค
    น้ำอัดลม No Sugar ของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค

    หนทางเจาะตลาดที่ทางซันโทรี่ เป๊ปซี่โคเล็งอยู่นั้น คือการยึดฐานเดิมของน้ำอัดลมสูตรปกติไว้ให้มั่น พร้อมกับการบุกหนักกลุ่มน้ำอัดลม “No Sugar”

    “อนวัช สังขะทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทรนด์รักสุขภาพของชาวไทยที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 นั้นยังคงเป็นเทรนด์ต่อเนื่องแม้โรคระบาดจะคลายความรุนแรง ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลอย่างมาก

    “ปัจจุบันสินค้ากลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของตลาดน้ำอัดลมโดยรวม ปีนี้คาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 30% และหากเทรนด์การเติบโตยังเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง 5 ปี จะทำให้สัดส่วนกลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลขึ้นไปใกล้เคียงครึ่งหนึ่งของตลาดรวม” อนวัชกล่าว

    น้ำอัดลม No Sugar จึงเป็นตลาดที่สำคัญมากในการต่อสู้ชิงส่วนแบ่งตลาด “ความท้าทายปัจจุบันนี้คือคนยังมองว่าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลไม่ค่อยอร่อย เราจึงต้องทลายความคิดเรื่องนี้ให้ได้” อนวัชกล่าว

     

    “Rockstar” สร้างดีมานด์ใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง

    อีกส่วนที่จะส่งให้รายได้โตคือการเจาะตลาด “เครื่องดื่มชูกำลัง” ซึ่งซันโทรี่ เป๊ปซี่โคเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มาเมื่อปีที่แล้วในชื่อ “Rockstar” เป็นเครื่องดื่มชูกำลังแบบกระป๋อง ด้วยรูปลักษณ์ระดับพรีเมียม เน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

    อนวัชกล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมูลค่า 20,000 ล้านบาท จะเป็นหนึ่งในประเภทเครื่องดื่มที่เติบโตดีที่สุดในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคแบบเดิมและกลุ่มใหม่ที่บริษัทกำลังสร้างดีมานด์ขึ้น

    Rockstar เครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียม เริ่มออกจำหน่ายปี 2565

    “เรากำลังพยายามส่ง Energy Drink ไปในทิศทางใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ นอกจากดื่มเพื่อชูกำลังแล้ว ยังเป็นไลฟ์สไตล์ได้ ถือแล้วดูดี ซึ่งปกติกลุ่มที่ดื่มในลักษณะนี้ยังมีเพียง 6-7% ของตลาด แต่เราคิดว่าสามารถสร้างเพิ่มได้” อนวัชกล่าว

    ส่วนตลาดเครื่องดื่มประเภทอื่น เช่น ชาพร้อมดื่ม กาแฟพร้อมดื่ม บริษัทจะยึดตำแหน่งในตลาดไว้ให้ได้เช่นกัน พร้อมกับการสร้างสินค้าใหม่ๆ ในลักษณะที่เป็นฟังก์ชันนอลดริงก์เพิ่ม เพื่อตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคที่นิยมสินค้าเติมฟังก์ชันเพื่อสุขภาพ

    “ปีนี้งบประมาณการตลาดรวมทั้งบริษัทเราตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท มีแผนการตลาดแล้ว 22 แคมเปญซึ่งมากกว่าปีก่อน และจะเน้นเรื่องอีเวนต์ on-ground เตรียมแจกชิม 10 ล้านขวด พร้อมกลยุทธ์ราคาและโปรโมชันโดนๆ เพื่อดึงให้ผู้บริโภคที่ชิมแล้วชอบ เข้ามาซื้อสินค้าจริง” อนวัชกล่าวปิดท้าย

    ]]>
    1425031
    ส่องตลาด “น้ำอัดลม” ประเทศไทย ปี 2565 https://positioningmag.com/1424257 Tue, 21 Mar 2023 07:53:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424257 มูลค่าตลาด 3 ปีย้อนหลัง

    2563 – 55,000 ล้านบาท
    2564 – 53,000 ล้านบาท
    2565 – 57,000 ล้านบาท

    ส่วนแบ่งตลาด แยกรายบริษัท
    • 51% บจก.โคคา-โคล่า (ประเทศไทย)– โค้ก, แฟนต้า, สไปรท์
    • 37% บจก.เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย)– เป๊ปซี่, มิรินด้า, เซเว่นอัพ
    • 8% บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ– เอส (est)
    • 3% บจก.อาเจ กรุ๊ป– บิ๊ก โคล่า
    • 1% อื่นๆ
    “น้ำอัดลม” ประเภทไหนขายดี?
    • น้ำดำ 70% , น้ำสี 30%
    • เติมน้ำตาลปกติ 90% , ไม่ใส่น้ำตาล (no sugar) 10%
    • ขวด PET 78%, ขวดแก้ว 12%, กระป๋อง 10%

    รู้หรือไม่? คนไทยดื่มน้ำอัดลมเฉลี่ยคนละ 1 ลิตรต่อเดือน โดยกลุ่มคน Gen Z (ปัจจุบันอายุ 12-26 ปี) เป็นช่วงวัยที่ดื่มน้ำอัดลมมากที่สุด

    ที่มา: บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ผู้ผลิตเอส โคล่า โดยอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก นีลเส็น

    ]]>
    1424257
    ยกเครื่อง! “เอส โคล่า” ปรับรสชาติให้ “ซ่าขึ้น” ใช้ความต่างเป็น “Cola of Asia” เจาะคน Gen Z https://positioningmag.com/1423011 Mon, 13 Mar 2023 10:25:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1423011 ย่างเข้าปีที่ 11 ในตลาดน้ำอัดลม “เอส โคล่า” ยกเครื่องทุกด้าน ปรับสูตร “รสชาติ” ครั้งใหญ่ให้ “ซ่าขึ้น” และน้ำตาลน้อยลง ตามความเห็นผู้บริโภคที่สะท้อนกลับมา พร้อมกับการปรับโลโก้และแพ็กเกจจิ้งให้มินิมอล ทันสมัย โดนใจ Gen Z วางกลยุทธ์ใหม่สร้างจุดยืนที่แตกต่างในตลาดด้วยการเป็น “Cola of Asia” ทุ่มงบการตลาด 150 ล้านบาท เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์รวดเดียว 10 คน!

    “เอส โคล่า” น้ำอัดลมในพอร์ตของไทยเบฟเวอเรจเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2555 ทำให้ปีนี้ย่างเข้าปีที่ 11 ของแบรนด์ และยังคงไล่ล่าการชิงมาร์เก็ตแชร์ให้ได้มากกว่าเดิมจากปัจจุบันเป็นอันดับ 3 ในตลาด

    “สุภรณ์ เด่นไพศาล” ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เกริ่นถึง ‘จุดอ่อน’ ของเอส โคล่า ที่มีมาตลอดทศวรรษ มีเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่องที่ต้องแก้คือ “รสชาติ” ซึ่งผู้บริโภคมีฟี้ดแบ็กตลอดว่าไม่อร่อย หายซ่าเร็ว และอีกเรื่องคือ “จุดขายไม่ชัดเจน” เพราะการวางตัวเองทางการตลาดเปลี่ยนบ่อยเกินไป

    นั่นทำให้ปีนี้เอส โคล่าจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ภายใต้แคมเปญ “Born to be Awesome เกิดมาซ่า..กล้าเป็นตัวเอง” ยกเครื่องอัพเลเวลแบรนด์ในทุกมิติ

    “สุภรณ์ เด่นไพศาล” ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด

     

    ฟังเสียงลูกค้า รสชาติต้อง “ซ่าขึ้น”

    มิติแรกที่เอส โคล่าปรับคือ “รสชาติ” ปรับสูตรใหม่ให้ “ซ่าขึ้น” และ “น้ำตาลน้อยลง” ตามความเห็นผู้บริโภค และยังปรับสูตรให้ได้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคแยกความต่างได้จากแบรนด์อื่นๆ

    หลังปรับสูตรแล้ว บริษัทร่วมกับ Ipsos บริษัทที่ปรึกษา ทดสอบชิมรสชาติกับผู้บริโภค พบว่าผู้ทดลองชื่นชอบรสเอสโคล่าสูตรใหม่เพิ่มเป็น 98% จากสูตรเดิมมีคนที่ชื่นชอบ 91%

    เอส โคล่า
    เอส (est) โฉมใหม่ ปรับทั้งรสชาติและแพ็กเกจจิ้ง

    โลโก้-แพ็กเกจ แบบมินิมอล

    มิติต่อไปคือการออกแบบโลโก้และแพ็กเกจจิ้งใหม่ โดยใช้การออกแบบที่มินิมอล ทันสมัย สะท้อนความเท่ ซ่า สดชื่น

    โลโก้ใหม่จะใช้ร่วมกันหมดทั้งน้ำดำและน้ำสี (ปัจจุบันตัดคำว่า ‘เพลย์’ ออกจากชื่อแบรนด์น้ำสีแล้ว) ในส่วนกระป๋องน้ำสีก็จะปรับสีใหม่ด้วย ทำให้เมื่อทั้ง 10 รสชาติวางบนชั้นวาง จะโดดเด่นสะดุดตาลูกค้า

     

    วางความต่างเป็น Cola of Asia เจาะกลุ่ม Gen Z

    สุดท้ายคือการวางการตลาดให้แตกต่าง ส่วนนี้สุภรณ์ชี้ให้เห็นว่าในตลาด เอส โคล่า เป็นเจ้าเดียวที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย จึงหยิบยกเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพลักษณ์แบรนด์ “Cola of Asia”

    ประกอบกับเอส โคล่าจากนี้จะเน้นกลุ่มเป้าหมาย Gen Z เป็นหลัก ทำให้การสื่อสารจะพูดเรื่องเอกลักษณ์ของคนเจนนี้ซึ่งเอสพบว่า Gen Z จะมีความกล้าที่จะต่าง และมีความเจ๋งในแบบของตัวเอง ทำให้ปีนี้แบรนด์เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ที่มีคาแรกเตอร์ความ ‘Awesome’ และเป็นตัวแทนของเอเชียน รวมทั้งหมด 4 กลุ่ม 10 คน ได้แก่

    • “ชาอึนอู” ไอดอล ศิลปิน นักแสดงมากความสามารถจากเกาหลีใต้
    • “โบกี้ไลอ้อน” นักร้องสาวเสียงดี ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่วิ่งไล่ล่าฝัน
    • “3 นักวอลเลย์บอลหญิงคลื่นลูกใหม่” แป้น-ปิยะนุช, ชมพู่-พรพรรณ และ ออมสิน-ศศิภาพร ผู้สร้างประวัติศาสตร์พาทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยไปโอลิมปิกเป็นครั้งแรก
    • “Yes Indeed” วงดนตรีมัธยมที่สร้างปรากฏการณ์ “สยามแตก” สะท้อนพลังคน Gen Z
    เอส โคล่า
    พรีเซ็นเตอร์ทั้งหมดของแคมเปญ “Born to be Awesome”

    การเปลี่ยนแปลงทุกมิติในปีนี้ เอส โคล่าวางงบการตลาด 150 ล้านบาทที่จะใช้จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2566 ทำแคมเปญครบลูป ตั้งแต่โฆษณาในทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็น Out of Home, TVC หรือ Online Media จนถึงเตรียมแจกชิมเอส โคล่าสูตรรสชาติใหม่ 1 ล้านกระป๋องทั่วประเทศ

    ในแง่อีเวนต์จะเริ่มจาก Fan Meeting กับชาอึนอู วันที่ 5 เมษายนนี้ และตามด้วย Awesome Stage ที่จะเปิดเวทีให้คน Gen Z ได้แสดงความสามารถ

    การวางตัวเองเป็น Cola of Asia นั้น สุภรณ์กล่าวว่าเป็นการวางภาพแบรนด์ในระยะยาว ปัจจุบันเอส โคล่ามีจำหน่ายในต่างประเทศแห่งเดียวคือที่มาเลเซีย และยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่มาก แต่ต่อไปแบรนด์จะศึกษาการลุยตลาดต่างประเทศมากขึ้น

     

    หวังปี’66 “น้ำอัดลม” โตจากการใช้ชีวิตนอกบ้าน

    ด้านภาพรวมตลาดน้ำอัดลม สุภรณ์อ้างอิงข้อมูลจาก “นีลเส็น” ตลาดน้ำอัดลมไทยปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 57,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 8% ขณะที่เอส โคล่าปีก่อนเติบโต 9.4% สูงกว่าตลาดรวม อย่างไรก็ตาม ถ้าหากวัดเชิงปริมาณตลาดน้ำอัดลมปีก่อนโตเพียง 2% เพราะยังมีปัจจัยลบจากโควิด-19

    ในแง่ส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลม สำรวจ ณ เดือนมกราคม 2566 พบว่ามีมาร์เก็ตแชร์ตามลำดับ ดังนี้

    • 51% บจก.โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) – โค้ก, แฟนต้า, สไปรท์
    • 37% บจก.เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) – เป๊ปซี่, มิรินด้า, เซเว่นอัพ
    • 8% บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ – เอส (est)
    • 3% บจก.อาเจ กรุ๊ป – บิ๊ก โคล่า
    • 1% อื่นๆ

    สุภรณ์กล่าวว่า เอส โคล่าเคยมีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด 11% เมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นปีเปิดตัวสินค้า ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 10% ในปี 2562 ก่อนเกิดโรคระบาด

    สาเหตุที่หลังผ่านโควิด-19 แล้วเอส โคล่ายิ่งมีส่วนแบ่งลดลง เพราะแบรนด์นี้แข็งแรงในช่องทางการขายผ่าน “ร้านอาหาร” ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 12% ของตลาดน้ำอัดลม เมื่อเผชิญโรคระบาดทำให้ร้านอาหารเปิดขายได้ไม่เต็มที่ และคนทานอาหารในร้าน (dine-in) ก็ลดน้อยลง เอส โคล่าที่เป็นอันดับ 1 ในการขายผ่านช่องทางร้านอาหารจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด

    ขณะที่ปี 2566 สุภรณ์หวังว่าตลาดจะโตได้ดีกว่าปีก่อน เพราะคนไทยกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ตามปกติแล้ว และเอส โคล่าน่าจะได้ปัจจัยบวกที่ดียิ่งขึ้น เพราะคนไทยเริ่มกลับมาทานอาหารในร้าน ยอดขายน้ำอัดลมผ่านร้านอาหารในช่วงต้นปีนี้จึงดีขึ้นอย่างชัดเจน

    ]]>
    1423011
    ‘ทิปโก้’ ขอร่วมวง ‘น้ำโซดากลิ่นผลไม้’ ชูจุดเด่น ‘ฟังก์ชันนอล’ เหนือคู่แข่ง มัดใจสายรักสุขภาพ https://positioningmag.com/1398520 Thu, 01 Sep 2022 08:59:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398520 หากพูดถึงตลาด น้ำผลไม้ ที่ปี 2561 เคยมีมูลค่าสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากนั้นตลาดก็หดตัวลงกว่า 10% มาอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2563 มูลค่าก็เหลืออยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดไม่เติบโตมาจากการมาของ COVID-19 ที่ทำให้เกิด เทรนด์รักสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้เพราะกังวลถึง ปริมาณน้ำตาล แต่ก็มีตลาดเกิดใหม่คือ เครื่องดื่มผสมวิตามิน 0 cal ที่กำลังมาแรง

    หาตลาดใหม่แทนที่น้ำผลไม้

    ดูเหมือนว่าจากทิศทางของตลาดน้ำผลไม้ที่มีแต่ทรงกับทรุด ทำให้หลายแบรนด์เบนเข็มไปหาตลาดอื่น ๆ ที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาด สมุนไพร ไม่ว่าจะเป็น กัญชา กัญชง ต่าง ๆ และที่กำลังมาแรงสุดในตอนนี้คือ ตลาด 0 cal หรือ เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ที่เติบโตสูงถึง 30-40% มาต่อเนื่องหลายปี

    โดยเฉพาะตลาด น้ำโซดากลิ่นผลไม้ 0 Cal หรือ น้ำใส ซึ่งถือเป็นอีกกลุ่มตลาดที่กำลังเป็นที่จับตาในตลาดน้ำอัดลม เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็น โคล่า หรือ ตลาด น้ำดำ และตลาด น้ำสี แต่ตลาดน้ำใสกลับมาแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ใช่แค่ไม่มีน้ำตาล แต่ยังได้ใจของผู้บริโภคในยุคที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะมี ฟังก์ชันนอล อย่าง วิตามินซี

    ทิปโก้ร่วมวงน้ำอัดลม

    หากนับเฉพาะ ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมแบบกระป๋อง คาดว่ามีมูลค่า 13,000 ล้านบาท บวกกับเทรนด์รักสุขภาพทำให้กลุ่มน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาลเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาเล่นในตลาดนี้ รวมไปถึง ทิปโก้ (Tipco) ที่ถือเป็น 1 ใน 3 ของผู้เล่นใหญ่ในตลาดน้ำผลไม้ในไทยที่ทำตลาดมานานถึง 46 ปี ที่ขอร่วมวงในตลาดนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของทิปโก้ ที่ขยาย Portfolio สินค้าในการเข้าตลาดเครื่องดื่มโซดา

    สิ่งแรกที่ทิปโก้ใช้สร้างความแตกต่างคือ รสชาติ ที่ส่วนใหญ่ตลาดจะเน้นหนักไปทางรส เลม่อน หรือ ส้ม แต่ ทิปโก้ อิซซี่ ก็คลอดออกมาถึง 4 รสชาติ ได้แก่ พีช, ส้มยูสุ, มิกซ์เบอร์รี่ และ มะม่วง ปริมาณ 330 มล. ราคา 16 บาท แม้จะหันมาทำน้ำโซดากลิ่นผลไม้ แต่ทิปโก้ก็ไม่ทิ้งจุดแข็งของน้ำผลไม้ โดยเพิ่ม ทิปโก้ โซซ่า น้ำผลไม้แท้สปาร์คกลิ้งให้เป็นทางเลือก มี 2 รสชาติ ได้แก่ สับปะรดหอมสุวรรณ และ องุ่นแดง ราคา 35 บาท โดยทุกรสชาติที่เลือกทำตลาด จะเป็นรสชาติที่ขายดีของทิปโก้

    “ตลาดน้ำโซดากลิ่นผลไม้ตอนนี้ยังใหม่ แต่ก็เริ่มเห็นแบรนด์ใหญ่แบรนด์ย่อย ซึ่งเราเชื่อว่ายังมีผู้บริโภคกลุ่มที่เอาเรื่องรสชาติน้ำผลไม้เป็นตัวตั้ง และเรามั่นใจว่าเราเชี่ยวชาญ” จักรภพ ฉิมอำพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ในกลุ่ม บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

    ชูฟังก์ชันนอลที่มากกว่า

    นอกจากเรื่องรสชาติที่จะสร้างความแตกต่างแล้ว อีกกลยุทธ์ที่ทิปโก้ได้นำจากการทำตลาดน้ำผลไม้ก็คือเรื่องของ ฟังก์ชันนอล ที่ไม่ใช่แค่วิตามิน แต่ยังมี คอลลาเจน หรือ ไฟเบอร์ เพราะในตลาดน้ำผลไม้ปัจจุบันไม่ได้แข่งที่การออกรสชาติใหม่ ๆ แล้ว แต่เป็นการแข่งด้วยฟังก์ชันนอล ซึ่ง จักรภพ ระบุว่า ยังมีผู้บริโภคที่ตัดสินใจเลือกจากฟังก์ชันนอล ใครเบเนฟิตมีมากกว่าก็เลือกอันนั้น

    “เรามองว่าการมีคู่แข่งใหม่ ๆ เข้ามาก็ยิ่งเพิ่มทางเลือกให้ตลาด ซึ่งเราก็ศึกษาตลาดแล้วว่ามีผู้บริโภคที่ต้องการฟังก์ชันนอลอื่น ๆ ซึ่งถ้ามีสินค้าเหมือนกัน ราคาใกล้กัน เขาก็จะดูว่าใครมีคุณประโยชน์มากกว่า”

    เน้นสร้างการรับรู้ก่อนยอดขาย

    สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ ทิปโก้ อิซซี่ และ ทิปโก้ โซซ่าจะเน้นไปที่ คนรุ่นใหม่ และ ผู้ที่ดูแลสุขภาพ โดยในช่วง 2-3 เดือนแรก ทิปโก้จะพยายามสร้างการรับรู้ ทั้งจากสื่อโซเชียลมีเดีย การใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงสื่อ Out of Home ต่าง ๆ รวมถึงระจายจุดชิม ในส่วนของตัวสินค้ากำลังทยอยเข้าไปขายในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ส่วนการเข้าเซเว่น อีเลฟเว่นกำลังอยู่ในช่วงการประชุมและนำเสนอ

    “เราเป็นน้องใหม่ในตลาด มาเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค ดังนั้น ในช่วงต้นเรายังไม่โฟกัสเรื่องยอดขาย แต่เน้นสร้างการรับรู้ก่อน”

    ]]>
    1398520
    Coca-Cola ปรับใช้ ‘ขวดเเก้วรีฟิล’ รับมือเงินเฟ้อ เริ่มในตลาดละตินอเมริกา-แอฟริกา https://positioningmag.com/1382975 Tue, 26 Apr 2022 09:51:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382975 Coca-Cola ผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลก มองว่าความต้องการของผู้บริโภคอาจชะลอตัวลง จากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและยังไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น พร้อมมุ่งเน้นไปที่ขวดแก้วรีฟิล’ ที่ใช้ซ้ำได้เเละราคาไม่แพง ท่ามกลางตลาดที่มีการปรับขึ้นของราคาสินค้าครั้งใหญ่

    ความต้องการน้ำอัดลมและอาหารบรรจุหีบห่ออื่นๆ ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีการปรับราคาสูงขึ้น จากการเเบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียม น้ำตาล แรงงาน และการขนส่ง

    James Quincey ซีอีโอของ Coca-Cola ระบุว่า ความยืดหยุ่นของดีมานด์จะไม่คงอยู่ตลอดไปเเต่อาจจะเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลาในอนาคตซึ่งอาจจะเป็นไตรมาสหน้าหรือปีหน้า

    ทั้งนี้ P&G บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์ดูแลผู้หญิงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านในสหรัฐฯ มีเเนวโน้มจะอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาช่วงฤดูร้อนได้ปรับเพิ่มขึ้น

    เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะลดลง ทาง Coca-Cola กำลังขยายการจัดจำหน่ายขวดแก้วที่ส่งคืนหรือรีฟิลได้ที่ราคาถูกกว่า ในตลาดเกิดใหม่อย่างละตินอเมริกาและแอฟริกา โดยกำลังทดลองใช้ขวดที่ส่งคืนได้ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ

    ตามข้อมูลของ Refinitiv พบว่า รายรับสุทธิของ Coca-Cola เพิ่มขึ้น 16% เป็น 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังการที่บริษัทประกาศระงับการดำเนินงานในรัสเซีย คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรประจำปี ราว 4 เซนต์ต่อหุ้นและรายรับสุทธิประจำปีประมาณ 1-2%

     

    ที่มา : Reuters 

    ]]>
    1382975
    Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเงินเฟ้อ หากต้นทุนพุ่งสูง อาจปรับขึ้นราคา https://positioningmag.com/1373780 Sat, 12 Feb 2022 06:28:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373780 สองผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลกอย่าง Coca-Cola และ PepsiCo ส่งสัญญาณเตือนถึงแรงกดดันต่อผลกำไรในปีนี้ หลังตุ้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจมีการปรับขึ้นราคา 

    ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียมไปจนถึงค่าแรงและค่าขนส่ง ท่ามกลางการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกในวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารบรรจุหีบห่อ (packaged food) ต้องรับมือกับการขึ้นราคา

    ด้วยต้นทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นบวกกับปัญหาคอขวดของอุปทาน ที่มีสัญญาณผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อยนั้น นักวิเคราะห์เตือนว่า การขึ้นราคาอาจจะไม่เพียงพอที่จะรองรับกับอัตรากำไรของอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่

    Hugh Johnston บอกกับสำนักข่าว Reuters ว่าบริษัทอาจปรับขึ้นราคาได้อีกในปลายปีนี้ หากต้นทุนสูงขึ้นเกินคาด และไม่ได้ตัดขาดสินค้าบางรายการออกอย่างไรก็ตาม จะมีการควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อประคับประคองสถานการณ์

    ด้านคู่เเข่งรายสำคัญอย่าง Coca-Cola ก็เริ่มส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างเต็มรูปแบบ

    ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วในไตรมาสที่ 4 ของ Coca-Cola ลดลงเหลือ 22.1% จาก 27.3% ในปีก่อนหน้า ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วของ PepsiCo ลดลง 183 basis points 

    PepsiCo รายงานรายรับสุทธิในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 12.4% เป็น 2.525 หมื่นล้านดอลลาร์ เเละคาดการณ์กำไรหลักของปีงบประมาณ 2022 ที่ 6.67 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 6.73 ดอลลาร์ ตามข้อมูลของ IBES จาก Refinitiv

    Coca-Cola คาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วทั้งปีจะเพิ่มขึ้น 5% เป็น 6% จาก 2.32 ดอลลาร์ในปี 2021 เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 6%

    ก่อนหน้านี้ เชนร้านกาเเฟรายใหญ่ของโลกอย่าง Starbucks ก็วางเเผนจะปรับขึ้นราคาในปีนี้ เพื่อชดเชยเงินเฟ้อ ต้นทุนที่สูงขึ้น เเถมเจอปัญหาซัพพลายเชนเเละการขาดแคลนแรงงาน

    หลังจากที่เคยปรับขึ้นราคาเมนูมาเเล้วเมื่อเดือนต..ปีที่เเล้ว และเดือนม..ปีนี้ ทาง Starbucks ก็เตรียมปรับขึ้นราคาเมนูอีกครั้งในช่วงปี 2022 พร้อมลดใช้จ่ายบางส่วน อย่างด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อชดเชยต้นทุนแรงงานและวัตถุดิบต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ะบาดของโควิด-19

    โดยปัจจัยต่างๆ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ การระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เเละปัญหาขาดแคลนแรงงาน ได้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

     

    ที่มา : Reuters 

    ]]>
    1373780