อาหารเสริม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 15 Aug 2024 14:39:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สก๊อต” ดันสินค้า “รังนก” ระดับพรีเมียม คอลแลปร้านอาหาร – เปิดแฟลกชิปสโตร์ห้างหรู https://positioningmag.com/1486490 Thu, 15 Aug 2024 10:22:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486490 “สก๊อต” หาทางขยายตลาด “รังนก” เพิ่มด้วยการดันสินค้าระดับพรีเมียม ทำการตลาดผ่านแคมเปญ “คอลแลป” กับร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง รังสรรค์เมนูพิเศษเพื่อเจาะเป้าหมายคนรุ่นใหม่ พร้อมกับการเปิด “แฟลกชิปสโตร์” ในศูนย์การค้าเพื่อสื่อสารแนะนำสินค้ากับผู้บริโภคได้โดยตรงและเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว คาดตลาดรังนกปีนี้เติบโต  5%

“อรวดี สวัสดิ์พาณิชย์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยแผนการตลาดในปีนี้ของสินค้า “รังนก” สก๊อตว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทมุ่งดันสินค้ากลุ่ม “พรีเมียม” อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายรังนกได้มากขึ้น

โดยปัจจุบันยอดขายมากกว่า 90% ของสก๊อตรังนกยังมาจากเครื่องดื่มรังนกแท้สำเร็จรูปพร้อมดื่ม ซึ่งเป็นสินค้าระดับแมสราคาขวดละประมาณ 150 บาท

ส่วนอีก 10% เป็นสินค้า “พรีเมียม” ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ผลิตภัณฑ์หลัก คือ

  • เครื่องดื่มรังนกแท้เต็มรัง (สก๊อต รังนกแท้ รอเยล สุพรีม) ราคาขวดละประมาณ 2,000 บาท
  • เครื่องดื่มรังนกแท้เส้นยาว (สก๊อต รังนกแท้ โกลด์ ซีเลคชั่น) ราคาขวดละประมาณ 750 บาท
  • รังนกแท้อบแห้ง ราคาตั้งแต่แพ็กละ 4,800 – 42,000 บาท
รังนก สก๊อต
เครื่องดื่มรังนกแท้เส้นยาว (สก๊อต รังนกแท้ โกลด์ ซีเลคชั่น) และ เครื่องดื่มรังนกแท้เต็มรัง (สก๊อต รังนกแท้ รอเยล สุพรีม)

อรวดีกล่าวว่า สินค้ารังนกในกลุ่มพรีเมียมนั้น นอกจากจะเป็นเกรดรังนกคุณภาพสูงพิเศษแล้ว ยังเป็นกลุ่มที่สามารถนำไป “ปรุงอาหาร” ได้ด้วย จึงต้องการผลักดันคุณประโยชน์ส่วนนี้ให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการตุ๋นรังนกเองที่บ้าน และกลุ่มร้านอาหารต่างๆ ที่สนใจใช้รังนกในการประกอบอาหาร

ทางสก๊อตจึงออกแคมเปญพิเศษเพื่อชูจุดเด่นนี้ด้วยการ “คอลแลป” กับร้านอาหารระดับไฟน์ไดนิ่ง เริ่มร้านแรกไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมากับร้าน “Cross” ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นฝรั่งเศส-จีน สร้างสรรค์คอร์สอาหารพิเศษที่ใช้รังนกเป็นวัตถุดิบ

รังนก สก๊อต
ตัวอย่างเมนูอาหารร้าน Man Tables ที่รังสรรค์จากรังนกสก๊อต

ถัดมาในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ สก๊อตร่วมกับร้าน “Man Tables” ร้านอาหารจีนของเชฟแมน รังสรรค์คอร์สอาหารจากรังนกอีกเช่นกัน มีเมนูที่น่าสนใจ เช่น ฮะเก๋ารังนก ปลายัดไส้รังนก พุดดิ้งรังนก เป็นต้น

อรวดีกล่าวว่า การคอลแลปกับร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ “สก๊อต” ดูทันสมัยอยู่เสมอ อีกทั้งยังเข้าถึงคนรุ่นใหม่ในวัยไม่เกิน 30 ปีได้ดีขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ยุคนี้นิยมทานอาหารนอกบ้าน จึงเป็นจุดที่เข้าถึงได้ดีที่สุด โดยที่ผ่านมาคอร์สอาหารของทั้งสองร้านได้รับผลตอบรับที่ดี จึงคาดว่าอาจจะมีการขยายการคอลแลปอีกอย่างต่อเนื่อง

 

“แฟลกชิปสโตร์” เตรียมบุก “สยามพารากอน”

อรวดีกล่าวต่อว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะใช้ในการโปรโมตสินค้าพรีเมียมคือการเปิด “แฟลกชิปสโตร์” ของรังนกสก๊อต ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมเริ่มเปิดแห่งแรกแล้วในซูเปอร์มาร์เก็ต Dear Tummy ภายในศูนย์การค้าไอคอนสยาม และภายในเดือนตุลาคมนี้จะเปิดแห่งที่สองในซูเปอร์มาร์เก็ต Gourmet Market ที่สยามพารากอน

ร้านแฟลกชิปสโตร์ของสก๊อตใน Dear Tummy ไอคอนสยาม

เหตุผลที่สก๊อตเปิดแฟลกชิปสโตร์ในศูนย์การค้า เพราะต้องการให้มีจุดพบปะโดยตรงกับผู้บริโภคที่สนใจ สามารถสอบถามและแนะนำสินค้าได้ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มพรีเมียมที่ต้องการโปรโมตคุณสมบัติความเป็นรังนกแท้จากถ้ำธรรมชาติ 100% ให้มากขึ้น

รวมถึงเลือกเปิดในศูนย์การค้าที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะต้องการจะเปิดตลาดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยว “จีน” ให้สก๊อตรังนกเป็นตัวเลือกของฝากกลับบ้าน

 

คาดตลาดโต 5% “สก๊อต” ยังครองเบอร์ 1

ด้านภาพรวมตลาด “รังนก” ในเมืองไทย อรวดีให้ข้อมูลว่ามูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 2,800 ล้านบาท และสก๊อตเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ครองมาร์เก็ตแชร์ 37%

รังนก สก๊อต
“อรวดี สวัสดิ์พาณิชย์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด

ขณะที่การเติบโตปีนี้ตลาดน่าจะโตได้ 5% และสก๊อตน่าจะเติบโตสอดคล้องกับตลาด จากความพยายามผลักดันสินค้าระดับพรีเมียม และทำแคมเปญต่างๆ ในปีนี้

ในแง่พฤติกรรมผู้บริโภค อรวดีกล่าวว่า 50% ของยอดขายมาจากการซื้อเป็นของฝากตามเทศกาลต่างๆ เช่น ตรุษจีน สงกรานต์ ปีใหม่ วันพ่อ วันแม่ เกษียณอายุ เยี่ยมไข้ และ 50% เป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่อรับประทานเป็นประจำ และกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องการเพิ่มดีมานด์ให้มากขึ้น

สำหรับ บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด มีรายได้หลัก 50% มาจากผลิตภัณฑ์​ “รังนก” ส่วนอีก 50% เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่น ได้แก่ สก๊อตซุปไก่สกัด, สก๊อตซุปไก่เด็ก, สก๊อต เพียวเร่ ผลไม้สกัดเข้มข้น และสก๊อต คอลลาเจน

]]>
1486490
อินไซต์ตลาด “อาหารเสริม” ขายดีที่สุดใน “กรุงเทพฯ” กลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่วัย 50 ปี+ เติบโตสูง! https://positioningmag.com/1431268 Mon, 22 May 2023 15:14:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431268 Kantar เผยข้อมูลอินไซต์ตลาด “อาหารเสริม” สินค้าประเภทไหนขายดี? ตลาดภาคไหนขายดีที่สุด? และกลุ่มวัยที่ซื้ออาหารเสริมมากคือกลุ่มไหน? ติดตามได้ในรายงานชิ้นนี้

บริษัทวิจัยการตลาด Kantar จัดทำรายงาน Kantar: Health is Wealth: Thailand’s Supplement Market in 2023 ศึกษาตลาดสินค้า “อาหารเสริม” ซึ่งเติบโตดีในช่วงหลังโควิด-19 เพราะคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น บวกกับสภาวะสังคมผู้สูงอายุในไทย ทำให้กลายเป็นสินค้าขายดี

สำหรับประเภท “อาหารเสริม” ที่มีสัดส่วนในตลาดมากที่สุด มีดังนี้

  • 29% ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพแบบองค์รวม (general wellbeing) เช่น วิตามินรวม, สารสกัดจากโสม, สารสกัดจากพืช
  • 21% อาหารเสริมเพื่อผิวพรรณและความงาม (skin & beauty) เช่น คอลลาเจน, แอล-กลูตาไธโอน
  • 19% อาหารเสริมโปรตีน (protein) เช่น เวย์โปรตีน
  • 8% อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน (immunity) เช่น วิตามินซี, สังกะสี
  • 7% อาหารเสริมเพื่อควบคุมน้ำหนัก (body care) เช่น ไฟเบอร์, ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหาร
  • 6% อาหารเสริมบำรุงสายตา (eyes) เช่น สารสกัดจากพืช
  • 4% อาหารเสริมบำรุงกระดูกและข้อ (bone & joint care) เช่น แคลเซียม
  • 4% อาหารเสริมบำรุงสมอง บำรุงกำลัง และผ่อนคลายความเครียด (brain, energy & stress) เช่น สารสกัดจากถั่วเหลือง, วิตามินบี
  • 2% อื่นๆ เช่น อาหารเสริมด้านการนอนหลับ
อาหารเสริม
ตลาดอาหารเสริมแบ่งสัดส่วนตามประเภทผลิตภัณฑ์

 

กลุ่ม “โปรตีน-คุมน้ำหนัก” กลับมาฮิต

รายงานของ Kantar พบว่า อาหารเสริมประเภทที่เติบโตดีในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาคือ กลุ่ม “โปรตีน” และ “ควบคุมน้ำหนัก” ซึ่งน่าจะเกิดจากการหมดช่วงล็อกดาวน์ ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำกิจกรรมนอกบ้าน จึงหันมาออกกำลังกายและดูแลรูปร่างสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องสุขภาพก็ยังสำคัญกับผู้บริโภค ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด และมักจะเป็นอาหารเสริมประเภทแรกที่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่เลือกซื้อ

ส่วนอาหารเสริมที่พบว่าลดความนิยมลงไปคือ อาหารเสริม “บำรุงสายตา” ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคนไทยเริ่มใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น อยู่หน้าจอน้อยลง จึงกังวลเรื่องสุขภาพตาน้อยลงด้วย

 

“กรุงเทพฯ” ตลาดใหญ่ที่สุด กลุ่มวัย “50+” มาแรง

ด้านตลาดที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของอาหารเสริมคือ “กรุงเทพฯ และปริมณฑล” ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 33% ของตลาดรวม รองลงมาจะเป็น ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือ Kantar ยังรายงานด้วยว่า ยอดขายอาหารเสริมเติบโตขึ้นในทุกภาคของไทย ยกเว้น “ภาคใต้” ที่หดตัวลง

Photo by RDNE Stock project / Pexels

ส่วนกลุ่มผู้ซื้อในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลุ่มใหญ่ที่สุดของอาหารเสริมคือ วัย 35 ปีขึ้นไป มีการซื้อครอบคลุมทุกระดับรายได้ และมักจะเป็นครัวเรือนที่ไม่มีทารก (สมาชิกในครอบครัวมีอายุ 13 ปีขึ้นไป) ที่น่าสนใจคือ กลุ่มผู้ซื้อวัย 50 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่เติบโตแรงที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยเติบโตถึง 60%

ในแง่รูปแบบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ขายดีที่สุด จะเป็น “แบบผง” ยังคงมีสัดส่วนในตลาดสูงสุด ซึ่งเกิดจากอาหารเสริมทุกคุณสมบัติสามารถผลิตเป็นรูปแบบผงได้ และยังทำให้ผลิตเป็นขนาดบรรจุภัณฑ์แบบซองเล็ก (sachet) เพื่อบริโภคครั้งเดียวได้ เมื่อนำไปทำการตลาดจึงสามารถขายได้ง่ายขึ้นด้วยราคาต่อแพ็กเกจที่ถูกกว่า ดึงดูดผู้บริโภคหน้าใหม่ให้เข้ามาทดลอง ส่วนรูปแบบรองลงมาที่นิยมก็คือ “แบบเม็ด/แคปซูล” ซึ่งพกพาสะดวกไม่แพ้กัน ขณะที่ “แบบน้ำ” จะไม่นิยมในไทย เพราะพกพายาก

ตลาด “อาหารเสริม” นั้นเติบโตได้ดีมาก ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health & Wellness บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เคยประเมินไว้เมื่อปี 2565 ว่า ตลาดอาหารเสริมและวิตามินในไทยมีมูลค่ากว่า 64,000 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ซึ่งทำให้ CRC เข้ามาลุยธุรกิจร้านขายยาและร้านขายวิตามิน-อาหารเสริมมากขึ้น (อ่านต่อได้ที่นี่)

]]>
1431268
ครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่ “บู๊ทส์” จัดโปรฯ “ซิกเนเจอร์ แคมเปญ” ซื้อ 1 แถม 1 สู้ศึกเศรษฐกิจฝืด https://positioningmag.com/1426010 Mon, 03 Apr 2023 10:46:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426010
  • ตลอด 25 ปีของ “บู๊ทส์” ในประเทศไทย นี่เป็นครั้งแรกที่มี “ซิกเนเจอร์ แคมเปญ” จัดโปรโมชันต่อเนื่องทุกปี โดยเลือกจัดแบบ “1 แถม 1” คละได้ เพื่อตอบโจทย์คนไทยในยุคเศรษฐกิจฝืด ต้องการโปรฯ แรงช่วยกระตุ้น
  • ผลจากการจัดแคมเปญ ทำให้บู๊ทส์มียอดขายเพิ่มแบบ “ดับเบิลดิจิต” ทุกครั้งที่มีโปรโมชัน
  • อัปเดตพฤติกรรมลูกค้าหลังโควิด-19 กลุ่มสินค้า “วิตามิน-อาหารเสริม” ขายดีต่อเนื่อง คนไทยหันมาป้องกันก่อนเจ็บป่วย และทานอาหารเสริมความงาม
  • “บู๊ทส์” (Boots) เป็นดรักสโตร์จากอังกฤษที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยนานถึง 25 ปี ปัจจุบันมี 240 สาขาทั่วประเทศ ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดรีเทลที่ขายสินค้าประเภทสุขภาพและความงาม และภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ทำให้บู๊ทส์ต้องหันมาทำการตลาดชัดเจนยิ่งขึ้น

    “อรพรรณ พงศ์พานิช” Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย เปิดเผยความเคลื่อนไหวทางการตลาดของบู๊ทส์ เริ่มมีการจัด “ซิกเนเจอร์ แคมเปญ” ด้วยกลยุทธ์ “บู๊ทส์ มิกซ์แอนด์แมทช์ 1 แถม 1 คละได้” เริ่มครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2564 จนถึงรอบล่าสุดนี้มีการจัดเป็นครั้งที่ 5

    แคมเปญนี้ถือเป็นการจัดซิกเนเจอร์ แคมเปญที่มีการโฆษณาทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทุกปีเป็นครั้งแรกของบู๊ทส์ นับตั้งแต่เริ่มบุกตลาดประเทศไทย

    บู๊ทส์
    “อรพรรณ พงศ์พานิช” Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย

    เหตุที่ต้องเริ่มมีซิกเนเจอร์ แคมเปญ มากกว่าแคมเปญลดราคาทั่วไปที่มักจะมีเกือบทุกเดือน เพราะช่วงโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจฝืด และลูกค้าต้องการโปรโมชันมากขึ้น ถือเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ ขณะที่ตลาดก็แข่งกันแรง ทุกร้านต่างอัดโปรโมชันในระยะนี้

    บู๊ทส์จึงศึกษาตลาดและตัดสินใจเลือกโปรฯ “1 แถม 1” แต่ให้มากกว่าโปรฯ ทั่วไปคือลูกค้าสามารถ “คละสินค้า” ได้อย่างอิสระในกลุ่มสินค้ากว่า 1,200 รายการที่นำมาจัดโปรฯ ครอบคลุมทุกหมวดไม่ว่าจะเป็นวิตามิน อาหารเสริม สกินแคร์ ของใช้ส่วนตัว ฯลฯ

     

    ยอดขายโต “ดับเบิลดิจิต” ในช่วงโปรฯ

    อรพรรณกล่าวต่อว่า หลังจัดโปรฯ 1 แถม 1 ไปพบว่าแคมเปญประสบผลสำเร็จ เพราะในครั้งแรกที่จัดทำให้บู๊ทส์มียอดขายและทราฟฟิกลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติ 2 เท่า หลังจากนั้นในครั้งต่อๆ มา ยอดขายในช่วงมีโปรฯ จะเพิ่มขึ้นแบบ “ดับเบิลดิจิต” เทียบกับช่วงปกติ

    บู๊ทส์
    โปรโมชัน 1 แถม 1 มิกซ์แอนด์แมทช์

    เมื่อรวมทั้งปี 2565 แล้ว บู๊ทส์ทำยอดขายได้สูงกว่าตลาดรวม โดยข้อมูลจากนีลเส็นระบุว่า ตลาดรีเทลที่มีมูลค่ากว่า 1.21 แสนล้านบาทนั้นเมื่อปีก่อนเติบโต 10%

    สำหรับปี 2566 บู๊ทส์จะจัดซิกเนเจอร์ แคมเปญ 1 แถม 1 ต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยจะจัดทุกไตรมาส และเลือกจัดในช่วงสิ้นเดือนต่อต้นเดือนต่อไป เพื่อให้ตรงกับรอบการช้อปปิ้งช่วงเงินเดือนออกของผู้บริโภค

    อรพรรณเชื่อว่าด้วยแคมเปญนี้จะยังดันให้บู๊ทส์โตได้มากกว่าตลาดอีกครั้ง โดยข้อมูลจาก SCB EIC คาดการณ์ว่าตลาดรีเทลปีนี้จะเติบโต 9% และเฉพาะตลาดรีเทลกลุ่มสุขภาพและบิวตี้จะโต 13%

     

    “วิตามิน-อาหารเสริม” ฮิตสุดขีด

    แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่สู้ดีนัก แต่เทรนด์ที่ช่วยผลักดันให้รีเทลสายสุขภาพและบิวตี้ขายดี คือเทรนด์การบริโภควิตามินและอาหารเสริมของคนไทย

    “ตั้งแต่เกิดโควิด-19 ทำให้คนไทยหันมาทานวิตามินเพื่อป้องกันก่อนเจ็บป่วยกันมากขึ้น และสนใจการทานอาหารเสริมเพื่อผลด้านความงาม ขณะเดียวกันบริษัทผู้ผลิตก็จับเทรนด์เหล่านี้ พัฒนาสินค้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น จึงทำให้ตลาดเติบโตรวดเร็ว” อรพรรณกล่าว

    บู๊ทส์

    ข้อมูลจากนีลเส็นสอดคล้องตรงกัน โดยสำรวจเมื่อปี 2565 พบว่า 84% ของคนไทยมีการซื้อสินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 229%

    ในร้านบู๊ทส์นั้น จะมีสินค้า 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม, กลุ่มบิวตี้ เช่น สกินแคร์ เวชสำอาง และกลุ่มของใช้ส่วนตัว เช่น ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับช่องปาก

    เมื่อเทรนด์สุขภาพมาแรงจึงทำให้บู๊ทส์ได้อานิสงส์ จนปัจจุบันสินค้ากลุ่มสุขภาพขึ้นมาทำยอดขายอันดับ 1 ของร้าน มีสินค้าสำคัญที่เป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าได้ดี เช่น วิตามินซี บู๊ทส์ ซึ่งเป็นเฮาส์แบรนด์ของร้านเอง

     

    สู้ด้วย “ความน่าเชื่อถือ” ผู้บริโภคไว้ใจ

    ตลาดดรักสโตร์นั้นแข่งขันสูงขึ้นมากในระยะหลังเพราะมีเจ้าใหม่ๆ เข้ามาลุยตลาด โดยเฉพาะเจ้าที่มาพร้อมกับพื้นที่ขายของตนเอง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งทำให้ได้เปรียบมากในแง่ทำเลการขาย สะดวกต่อผู้ซื้อ

    อย่างไรก็ตาม อรพรรณมองว่าบู๊ทส์ยังมี “แต้มต่อ” ในหลายๆ ด้าน เช่น การเป็นแบรนด์ที่ “น่าเชื่อถือ” ในสายตาผู้บริโภค, มีเภสัชกรที่เป็นมิตร สามารถให้คำปรึกษาได้ดีทั้งหน้าร้านและออนไลน์, เป็นร้านที่มีเวชสำอางให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ, มีเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์จากอังกฤษที่ลูกค้าเลือกใช้ เช่น No 7, Soap & Glory, Ted Baker

    เหล่านี้น่าจะเป็นจุดแข็งที่ส่งให้ลูกค้าเลือกบู๊ทส์มากกว่าร้านใหม่ๆ ที่เข้ามา!

     

    ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “บู๊ทส์ ประเทศไทย”

    • บู๊ทส์มี 5 สาขาแฟลกชิปสโตร์ ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, เอ็มโพเรียม และสามย่านมิตรทาวน์
    • ร้านแต่ละสาขาจะจัดส่วนผสมประเภทสินค้าในร้านไม่เหมือนกัน โดยแบ่งคร่าวๆ เป็น 2 แบบ คือ “Healthcare Lead” สาขาที่เน้นสินค้าสุขภาพ และ “Beauty Care Lead” สาขาที่เน้นสินค้าบิวตี้
    • กลุ่มเป้าหมายหลักของร้านคือ กลุ่มผู้หญิงเจนเอ็กซ์จนถึงเจนวาย แต่มีสินค้าสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะผู้หญิงกลุ่มนี้มักจะเป็นผู้ซื้อของใช้ให้กับทั้งครอบครัว
    • ปัจจุบัน บู๊ทส์ ประเทศไทย เป็นประเทศที่ทำยอดขายอันดับ 1 ของบู๊ทส์ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ ในเอเชียมีร้านบู๊ทส์อยู่ในไทย อินโดนีเซีย และกลุ่มตะวันออกกลางอย่าง คูเวต UAE กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน โอมาน
    ]]>
    1426010
    “เซ็นทรัล รีเทล” ร่วมวงตลาด “ธุรกิจสุขภาพ” เปิดร้านขายยา อาหารเสริม สินค้าสัตว์เลี้ยง https://positioningmag.com/1401156 Wed, 21 Sep 2022 09:44:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401156 “เซ็นทรัล รีเทล” (CRC) มองหาธุรกิจใหม่ใน “ธุรกิจสุขภาพ” วางแผนปูพรมทั้งร้านขายยา “Tops Care” ร้านขายวิตามิน-อาหารเสริม “Tops Vita” พ่วงด้วยร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง “PET’N ME” โดยเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดกลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนสที่สูงถึง 2 แสนล้านบาท เติบโตปีละ 8% และยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้นเพราะคนไทยหันมาดูแลสุขภาพ

    ธุรกิจสุขภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเนื้อหอมในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมถึงยักษ์ใหญ่รีเทลอย่าง บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยตั้งเป็น Business Unit ใหม่ภายในเครือเมื่อปีก่อน

    ดร.มลฤดี เลิศอุทัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่าย New Business, Health&Wellness CRC ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสของเครือ มีแบรนด์ร้านค้าแล้ว 3 แบรนด์ ได้แก่

    • Tops Vita (ท็อปส์วีต้า)ร้านขายวิตามินและอาหารเสริม ปัจจุบันเปิดแล้ว 21 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 40 สาขา
    • Tops Care (ท็อปส์แคร์) ร้านขายยา เวชภัณฑ์ และเวชสำอาง ปัจจุบันเปิดแล้ว 4 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 16 สาขา
    • PET’N ME (เพ็ท แอนด์ มี)ร้านขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขา เป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 4 สาขา
    เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
    Tops Care สาขาแอท เอกมัย

    โดยเฉพาะร้าน Tops Vita และ Tops Care นั้นจะปูพรมทั่วประเทศในระยะยาว ภายใน 5 ปีข้างหน้า Tops Vita มีเป้าหมายจะเปิดบริการ 700 สาขา และ Tops Care จะเปิดบริการ 300 สาขา

    ที่สามารถเปิดได้มากและเร็วเพราะโมเดลธุรกิจจะเน้นพ่วงไปกับซูเปอร์มาร์เก็ตของเครือ CRC ไม่ว่าจะเป็น Tops Market หรือ Central Food Hall ก็ตาม ลักษณะเป็น Shop-in-shop ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก

    เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
    Tops Vita แบบ Shop-in-shop ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ Central Food Hall สาขาเซ็นทรัลเวิลด์

    เรียกได้ว่าในอนาคต Tops Vita ซึ่งเป็นร้านขายอาหารเสริมและวิตามินจะเข้าไปอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตเครือ CRC ทุกแห่ง รวมถึงพ่วงเข้าไปอยู่ในร้านขายยา Tops Care ที่อาจจะเปิดได้ทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ต, โซนอื่นๆ ของศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล และมีกลยุทธ์อนาคตจะไปเปิดในศูนย์ฯ ของเครืออื่นด้วย

     

    คนไทยใส่ใจสุขภาพ ยอดขายพุ่ง

    การค้นหาน่านน้ำใหม่เพิ่มเติมของเซ็นทรัล รีเทล มาลงตัวที่ธุรกิจสุขภาพ ดร.มลฤดีกล่าวว่าเป็นเพราะตลาดนี้เติบโตได้ดี ถ้ามองภาพรวมธุรกิจเฮลธ์แอนด์เวลเนสทั้งหมดมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท (รวมกลุ่มโรงพยาบาล ร้านขายยา สปา ฯลฯ) ทั้งตลาดนี้โตปีละ 8%

    แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจขายอาหารเสริมและวิตามิน มูลค่าจะอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท โตปีละ 10% คือโตมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรม

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและวิตามินมาแรงมากในช่วงหลังเกิดโรคระบาด

    จุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้คนไทยหันมาสนใจเวชศาสตร์เชิงป้องกัน (Preventive Care) มีการทานอาหารเสริม วิตามินกันมากขึ้น เพราะโรคระบาด COVID-19 ทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ

    จากแต่เดิมคนที่ทานอาหารเสริมมักจะเป็นคนวัย 40 ปีขึ้นไป เน้นการป้องกันโรคไขข้อและกระดูก ปัจจุบันคนวัย 25-40 ปีซึ่งยังเป็นคนวัยหนุ่มสาว ก็เริ่มหันมาทานวิตามิน-อาหารเสริม คนในวัยนี้จะเน้นทานเพื่อหาตัวช่วยเรื่องการผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้นอนหลับดีขึ้น และทานเพื่อความงาม โดยเฉพาะอาหารเสริมที่ทำให้ผิวพรรณดี ผ่องใสขึ้น

     

    เน้นจุดขาย “สะดวกที่สุด” และ “มีครบที่สุด”

    สำหรับแบรนด์ที่จะเป็นหัวหอกให้ BU นี้อย่าง Tops Vita ดร.มลฤดีบอกว่า ร้านแบรนด์ใหม่นี้จะใช้จุดขาย คือ

    1.เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก เพราะจะใช้กลยุทธ์ Omnichannel หน้าสาขาออฟไลน์ตั้งอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้ลูกค้าหาซื้อง่าย ขณะที่บนออนไลน์ก็มีเช่นกัน สามารถซื้อหาได้ทุกช่องทาง

    2.มีสินค้าครบที่สุด ปัจจุบัน Tops Vita มีสินค้ามากกว่า 1,000 SKUs เชื่อว่าเป็นร้านขายอาหารเสริมที่มีสินค้ามากชนิดที่สุดในประเทศ ลูกค้าซื้อครบจบในที่เดียว

    3.มองหา Exclusive Brand เติมพอร์ต ขณะนี้ร้านมีสินค้าที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทยอยู่ราว 5% ของพอร์ต เช่น แบรนด์ Nature’s Truth จากสหรัฐฯ แต่อนาคตจะเติมสินค้า Exclusive Brand ให้มากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยแข่งขันสำคัญในอนาคต ทุกร้านจะแข่งกันมี Exclusive Brand ให้มากที่สุด

    เซ็นทรัล รีเทล ร้านขายยา
    แบบสอบถามของ Tops Vita ที่จะวัดผลความต้องการอาหารเสริมของแต่ละบุคคล

    ในส่วนของการขายออนไลน์ ขณะนี้จะมีทางหน้าเว็บไซต์ www.topsvita.com และ LINE Official ด้านการขายผ่านมาร์เก็ตเพลสต่างๆ จะทยอยเปิดจนครบภายในปี 2566

    ไฮไลต์ที่จะชวนคนให้เข้าสู่เว็บไซต์คือจะมี “แบบประเมินสุขภาพอัจฉริยะ” ที่ออกแบบโดยแพทย์ ลูกค้าเพียงตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายตนเอง ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ และเป้าหมายสุขภาพ ใช้เวลา 2-3 นาทีในการตอบแล้วระบบจะแนะนำวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลให้

    ดร.มลฤดีระบุว่า บริษัทตั้งเป้าทำยอดขายในกลุ่มร้านขายวิตามินและอาหารเสริมที่ 1,500 ล้านบาทในปี 2570 ส่วนกลุ่มร้านยาและสินค้าสัตว์เลี้ยงยังไม่สามารถเปิดเผยเป้าหมายได้

    ]]>
    1401156
    Powershot คว้ารางวัล Best Product of the year 2022 และ Icon Brand ASEAN 2022 ตอกย้ำตัวจริงเรื่องสุขภาพ และความงาม https://positioningmag.com/1386951 Wed, 08 Jun 2022 04:00:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1386951

    ตลาดสุขภาพ และความงามยังคงมีการเติบโต และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้เห็นทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์เล็ก แบรนด์ SME รวมไปถึงเหล่าบรรดา Influencer ดารา นักแสดง เน็ตไอดอลหลายคนก็หันมาจับธุรกิจนี้กันถ้วนหน้า ความท้าทายอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ผู้บริโภคไว้วางใจในแบรนด์

    เพราะตลาดนี้มีสินค้ามากมายหลายแบรนด์ แต่ละแบรนด์ก็ล้วนโฆษณาถึงจุดแข็ง และคุณประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะเชื่อมั่นแบรนด์ไหนได้ ว่าให้คุณประโยชน์ หรือทานแล้วได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจจริงๆ สิ่งที่จะช่วยตอบคำถามได้ดีก็คือ รางวัลจากเวทีต่างๆ ที่จะช่วยการันตีความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้


    คว้า 2 รางวัล การันตีด้วยคุณภาพ

    หลายคนคงเคยได้ยินชื่อแบรนด์ “พาวเวอร์ชอต (Powershot)” กันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นธุรกิจของ “กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ” พิธีกรสาวผู้มากความสามารถ คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมาหลาย 10 ปี ได้ผันตัวในมาดนักธุรกิจเต็มตัว

    Powershot ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2562 จากความตั้งใจของกาละแมร์ ที่อยากจะมีสุขภาพดีขึ้น จึงหันมาสนใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ตั้งแต่การออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และการเลือกอาหารการกิน จนเกิดเป็นแบรนด์ Powershot ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ และเป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

    ปัจจุบัน Powershot เป็นแบรนด์อาหารและอาหารเสริมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นิยมในประเทศไทยอย่างกว้างขวางการันตีจากยอดขายมากกว่า 52 ล้านซอง ภายในเวลาเพียง 2 ปี พร้อมทีมส่งออกที่กำลังพาแบรนด์บุกตลาดต่างประเทศโดยนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ Powershot กลายเป็นแบรนด์มาแรงที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มคนรักสุขภาพและความงามอย่างรวดเร็ว

    ล่าสุด Powershot ได้คว้ารางวัลการันตีคุณภาพผลิตภัณฑ์เพิ่มอีก 2 รางวัล ได้แก่

    รางวัล Best Product of the year 2022 เป็นรางวัลความสำเร็จมาตรฐานธุรกิจ และรางวัลองค์กรธุรกิจที่มีผลงานยอดเยี่ยม จากสภาเครือข่ายสถาบันส่งเสริมพัฒนาธุรกิจ และเศรษฐกิจแห่งประเทศไทยในโครงการเสริมสร้างการพัฒนาธุรกิจ

    รางวัล Icon Brand ASEAN 2022 เป็นรางวัลสุดยอดธุรกิจ และผลิตภัณฑ์แห่งปี

    หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Powershot เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ได้กวาดรางวัลการันตีคุณภาพมาแล้วทั้งสิ้น 11 รางวัล ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความงามอย่างแท้จริง

    1. รางวัล Product of the year award 2020 จาก Business+ (CMMU) รางวัลประเภท “กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินเพื่อสุขภาพ”
    2. Product innovation award 2020 จาก Business+ (CMMU) รางวัลประเภท “สินค้าไลฟ์สไตล์ ประเภทสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม”
    3. รางวัล “มาตรฐาน SME Start Up 2020” จาก SME Start up Awards ครั้งที่ 4 จัดโดย สสว.
    4. รางวัล Best product of the year 2021 จากโครงการเสริมสร้างการพัฒนาธุรกิจรางวัลประเภท ”ความสำเร็จมาตรฐานธุรกิจ”
    5. รางวัลธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมแห่งปี Best Awards Asean Brand 2021 จากงานนวัตกรรมธุรกิจอุตสาหกรรมและการบริการจัดการที่ยอดเยี่ยม จัดโดยสภาสื่อมวลชนไทย
    6. รางวัลคุณภาพยอดเยี่ยมอาเซียน AEC Quality Awards 2021 จากโครงการส่งเสริมพัฒนายกระดับคุณภาพมาตรฐานยอดเยี่ยมสู่อาเซียน โดยสภาเครือข่ายอาเซียน-ประเทศไทย
    7. รางวัลเชิดชูเกียรติ นักบริหาร-นักธุรกิจหญิงไทย-อาเซียน 2564 (CEO Women Thai Asean Awards 2021)

    นอกจากนี้ยังมีรางวัลอันทรงเกียรติจากองค์กรระดับเอเชีย Asia Pacific Enterprise ถึง 2 รางวัลในปี 2564 ได้แก่ รางวัล Inspirational Brand Award และ รางวัล Master Entrepreneur Award – Ms. Patcharasri Benjamas จาก Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2021 ถือเป็นแบรนด์ที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับรางวัลนี้


    การันตีผลลัพธ์เชิงชีวภาพ

    จากวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในด้าน Innovative Health & Beauty Supplement เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดสู่ผู้บริโภค กาละแมร์จึงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางคิดค้นผลิตภัณฑ์ Powershot เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพ และความงามให้ครบทุกด้าน

    โดยมีผลิตภัณฑ์ยอดนิยม ที่ตอบโจทย์ครบทุกเซกเมนต์ ทุกความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ได้แก่

    • เซเลฟูส (Cele Foos) ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และเรื่องนอนไม่หลับ มีสารสกัดและส่วนผสมจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ 24 ชนิด, อะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตามินมากกว่าส้มถึง 80 เท่า, เอลเดอร์เบอร์รี่ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
    • เกิร์ลบอส (Girl Boss) ผสาน 3 คอลลาเจน เปปไทด์ ไดเปปไทด์ ไตรเปปไทด์ วิตามิน C และ E ที่ช่วยดูแลผิว ผม และข้อต่อ
    • บี เนอร์ จี (B Ner G) ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ความจำ มีวิตามินบีรวม ถั่งเช่า อิโนซิทอลและทอรีน
    • ไวต้า ฟิซ (Vita Fiz) กินกันไว้ก่อน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน มีสารสกัดและวัตถุดิบจากธรรมชาติ 39 ชนิด อุดมไปด้วยวิตามิน A, B, C, D, E, K และ Zinc
    • ไลอ้อน คิงส์ (LION KINGS) ช่วยเพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ดีด รับประทานได้ทั้งหญิงและชาย ประกอบด้วยสารสกัดและวัตถุดิบจากธรรมชาติ 25 ชนิด เช่น เห็ดหลินจือ ถั่งเช่า โสม ทอรีน
    • ไลอ้อน ควีน (Lion Queen) ตัวช่วยเพิ่มความสดชื่น รับประทานได้ทั้งหญิงและชาย มีสารสกัดและวัตถุดิบจากธรรมชาติ 15 ชนิด เช่น ถั่งเช่า, โสม, ชาเขียว, มะเขือเทศ, และโกจิเบอร์รี่
    • เซเล นูว์ (Cele Neu) เสริมสร้างสุขภาพและภูมิคุ้มกัน ในระดับลึกถึงระดับเซลล์มีสารสกัดและวัตถุดิบจากธรรมชาติ 42 ชนิด อะเซโรลาเชอร์รี่ และเอลเดอร์เบอร์รี่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันพร้อม วิตามินซี และวิตามินบี1 และบี2
    • พาวโปรตีน (Pow Protein) โปรตีนจากพืช 3 ชนิดช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และมีใยอาหารสูง ช่วยลดคลอเลสเตอรอล มีวิตามิน 11 ชนิด และสารสกัดจากธรรมชาติ สารสกัดจากชาเขียว
    • โบเทรา วี (Botera V) ตัวช่วยเรื่องใบหน้า ช่วยกระตุ้นผิวให้เต่งตึง และเสริมสร้างเส้นผมให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัยและเปล่งปลั่งมากขึ้น มีสารสกัดจากทับทิมสเปน เซราไมด์จากข้าว วิตามิน C และ E

    ผลิตภัณฑ์จากพาวเวอร์ชอตทุกตัวปราศจากน้ำตาล ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ แคลอรี่ต่ำ และมีผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ด้วยการวิจัยลงลึกถึงระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่ได้มาตรฐานระดับโลกอย่าง บริษัท เซลล์ดีเอ็กซ์ จำกัด (CellDX – Cellular Dynamics Exploration) เป็นห้องปฏิบัติการเภสัชวิทยาเชิงระบบของโรงพยาบาลศิริราช

    โดยผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ในเซลล์ตัวแทนอวัยวะในร่างกายทั้งเซลล์ปอด เซลล์ตับ เซลล์สมอง และเซลล์เต้านม นาน 6 เดือนพบว่า ผลิตภัณฑ์ Powershot ทุกตัวที่ส่งทดสอบมีฤทธิ์เชิงชีวภาพจริง และมีสรรพคุณในเชิงเภสัชวิทยาจริง Powershot เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยที่ส่งผลิตภัณฑ์ไปทำการวิจัยลงลึกถึงระดับเซลล์ สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคอีกขั้น

    แต่เดิมกาละแมร์เป็นพรีเซ็นเตอร์หลักของ Powershot แต่ในปีนี้ยิ่งตอกย้ำความปังขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ ได้แก่ แจ็ค-เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ (แจ๊ค แฟนฉัน) ด้วยตัวแทนของผู้ที่หันมาใส่ใจในสุขภาพจนดูดีในแบบของตัวเอง ด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้าถึงง่าย เป็นกันเอง, ครอบครัวเจ-เจตริน วรรธนะสิน ตัวแทนครอบครัวสุขภาพดีที่ใส่ใจสุขภาพและมีความมั่นใจในทุกผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ และดิว-อริสรา ทองบริสุทธิ์ ตัวแทนสาวผิวสวย พรีเซ็นเตอร์สินค้า Girl Boss พรีเมียมคอลลาเจน

    ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Powershot มีจำหน่ายที่ ร้าน 7-11, Makro, Lotus’s, Tops, CJ More – Nine Beauty, Jiffy, Watsons, EveandBoy, Beautrium รวมถึงช่องทางออนไลน์ Line: @Hipowershot, Facebook, IG, TikTok: Hipowershot, และแพลตฟอร์ม Shopee, Lazada, JD Central, และ Konvy

    นอกจากนี้พาวเวอร์ชอตยังมีกิจกรรมแจกทองครั้งใหญ่คืนกำไรให้ลูกค้า “ดื่มดีมีทอง แจกทอง 1 ล้าน” เพียงซื้อสินค้าพาวเวอร์ชอตสูตรใดก็ได้ ลุ้นรับทองคำมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ร่วมสนุกง่ายๆเพียงแค่เขียนชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ให้ชัดเจน ลงบนซองหรือฉลากพาวเวอร์ชอต ส่งมาที่ตู้ปณ. 98 ไปรษณีย์หลักสี่ กรุงเทพฯ ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. – 19 ส.ค. 65 จับรางวัลทุกๆสัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของเดือน งานนี้ไม่จำกัดยอดสั่งซื้อขั้นต่ำ ไม่จำกัดจำนวนซอง ยิ่งส่งมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก!

    ซื้อสินค้าได้ที่ Line @Hipowershot หรือร้านค้าและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ 7-11, Makro, Lotus’s, Tops, CJ More – Nine Beauty, Jiffy, Watsons, EveandBoy, Beautrium รวมไปถึงช่องทางออนไลน์ Shopee, Lazada, JD Central, และ Konvy

    ]]>
    1386951
    “ไทยยูเนี่ยน” ขอแหวก! เตรียมส่ง “Plant-based” อาหารทะเล ซุ่มพัฒนาเนื้อปูจากพืช https://positioningmag.com/1322576 Tue, 09 Mar 2021 10:11:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322576 “ไทยยูเนี่ยน” ย้ำทิศทางบริษัทก้าวสู่ปี 2025 ทำรายได้โตสม่ำเสมอปีละ 5% ที่สำคัญกว่านั้นคือ “อัตรากำไร” วางเป้าเพิ่มเป็น 10% ด้วยกลุ่มธุรกิจใหม่ “อาหารเสริม” และ “Plant-based” รวมถึงกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโตดี ยังคงเน้นการค้าแบบ B2B รับผลิตแบบ OEM พ่วงขายปลีกผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต

    2563 เป็นหนึ่งในปีที่ท้าทายของ “ไทยยูเนี่ยน” จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทต้องบริหารจัดการสายการผลิตให้ปลอดภัย โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีที่เกิดเหตุระบาดระลอกสองที่ จ.สมุทรสาคร แม้จะต้องลดกำลังผลิตบ้างเพื่อตรวจเชิงรุกทั้งโรงงาน แต่ยังคงเดินเครื่องได้และกลับมาโหมผลิตชดเชยได้ในภายหลัง

    ขณะเดียวกัน ผลเชิงบวกของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคซื้อปลากระป๋องเพื่อกักตุนไว้ในยามรัฐประกาศล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้ไทยยูเนี่ยนได้รับอานิสงส์จนมียอดขายที่ดีขึ้น สรุปถึงสิ้นปี 2563 บริษัทรายงานผลประกอบการมีรายได้ 1.32 แสนล้านบาท เติบโต 4.9% และทำกำไรสุทธิ 6.2 พันล้านบาท เติบโตแรง 63.7%

     

    5 ปีข้างหน้าขอเน้น “บรรทัดสุดท้าย”

    ปี 2563 เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของการก้าวสู่ยุคใหม่ของไทยยูเนี่ยนเช่นกัน โดย “ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กางแผนวิสัยทัศน์ “ไทยยูเนี่ยน 2025” หรืออีก 5 ปีข้างหน้านี้ ต้องการให้บริษัททำรายได้เติบโตสม่ำเสมอปีละ 5% ซึ่งจะทำให้รายได้ขึ้นไปแตะ 1.6 แสนล้านบาท

    ที่สำคัญกว่านั้นคือเป้าหมาย “อัตรากำไร” วางเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจากปัจจุบัน 17.5% เป็น 20% และ อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มจากปัจจุบัน 7% เป็น 10%

    การหันมาเน้น “บรรทัดสุดท้าย” ของงบผลประกอบการ เกิดจากทัศนคติที่เปลี่ยนไปในการบริหาร จากมองเรื่องการขยายขนาดบริษัท มาเป็นการทำกำไรที่ยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้ว่าไทยยูเนี่ยนมีการปรับตัวมาแล้วก่อนหน้านี้ 3 ปี โดยมุ่งเน้นลดต้นทุน ยุบสายผลิตที่ไม่ทำกำไร และรวมแผนกที่สามารถรวมได้ เป็นรากฐานที่แข็งแรงไปสู่อนาคต

     

    ธุรกิจใหม่เป็นหัวหอกดันกำไร

    จากวิสัยทัศน์ทำกำไรสูง ธีรพงศ์กล่าวว่า ธุรกิจดั้งเดิมคือ อาหารทะเลแช่เย็น-แช่แข็งและอาหารแปรรูป น่าจะทำรายได้เติบโตราวๆ 3% ต่อปี และปกติอัตรากำไรจะไม่สูงมาก เน้นขายปริมาณ ดังนั้น กลุ่มธุรกิจที่จะเติบโตสูงทั้งรายได้และกำไรจะเป็นธุรกิจอื่น ที่มีจำหน่ายในตลาดมานานคือ “อาหารสัตว์เลี้ยง” และมี “กลุ่มธุรกิจใหม่” เข้ามาเสริมทัพ ได้แก่

    1. กลุ่มอาหารเสริม – ปัจจุบันกลุ่มอาหารเสริมของบริษัทที่มีจำหน่ายจะเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่เป็น by-products จากปลาทะเล เช่น น้ำมันทูน่าสกัด, คอลลาเจน, แคลเซียม, โปรตีนไฮโดรไลเซต ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสารอาหารที่สามารถจำหน่ายเป็นอาหารเสริม หรือใช้เติมคุณค่าในผลิตภัณฑ์อื่นได้ เช่น นมผงทารก เครื่องดื่มเวย์โปรตีน ผลิตภัณฑ์ยา วางเป้าทำรายได้แตะ 1,500 ล้านบาท ภายใน 5 ปี

    ผลิตภัณฑ์อินกรีเดียนท์ของไทยยูเนี่ยน : น้ำมันปลาทูน่า และ แคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า

    2.กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Plant-based Food) – เนื้อทำจากพืชของไทยยูเนี่ยนจะผลิตจากถั่วลันเตาและถั่วเหลืองเป็นหลัก มีทั้งเนื้อเลียนแบบอาหารทะเล และเนื้อเลียนแบบเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ เน้นการขายแบบ OEM รับผลิตให้แบรนด์ต่างๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยแบรนด์ของบริษัทเอง วางเป้ารายได้กลุ่มนี้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี

    ไทยยูเนี่ยนเปิดแบรนด์เนื้อทำจากพืช (Plant-based) แบรนด์ OMG

     

    ส่ง Plant-based อาหารทะเลลงสนาม

    ธีรพงศ์กล่าวว่า สินค้าแบบ Plant-based ของบริษัท ที่ผ่านมาเคยจำหน่ายแบบ B2B ให้กับซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารมาแล้ว แต่ปีนี้เป็นปีที่จะเปิดตลาดรายย่อยด้วย โดยมีแบรนด์ของตนเองเตรียมวางจำหน่ายครั้งแรก 15 มีนาคม 2564 ใช้ชื่อแบรนด์ “OMG” เริ่มจำหน่ายในกูร์เมต์ มาร์เก็ตก่อนจะขยายไปยังห้างค้าปลีกอื่นๆ หลังประเมินผลตอบรับในไทยแล้วจะขยายไปต่างประเทศในเขตทวีปเอเชียต่อไป

    “การแข่งขันของธุรกิจนี้คือ ทำออกมาแล้วต้องเหมือนจริง ไม่เหมือนเนื้อเจสมัยก่อนที่ทานแล้วรู้ว่าไม่ใช่ หรือเหมือนทานเต้าหู้ธรรมดา” ธีรพงศ์กล่าว โดยมองว่าจุดแข็งของบริษัทคือ มีเนื้อทำจากพืชที่เลียนแบบ “อาหารทะเล” เช่น เนื้อปู ทำให้แตกต่างจากตลาด รวมถึงซุ่มวิจัยมานาน 6 ปีให้สินค้ามีรสชาติดี เชื่อว่าสินค้าจะแข่งขันได้ในตลาด

    ตัวอย่างอาหาร Plant-based จากแบรนด์ OMG

    ดร.ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรมของไทยยูเนี่ยน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตลาด Plant-based ทั่วโลกมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในมูลค่าดังกล่าวมีเนื้อที่ทำเลียนแบบอาหารทะเลเพียง 0.1% แต่ในตลาดเนื้อสัตว์ปกติจะมีสัดส่วนอาหารทะเลอยู่ 10% จึงมองว่า Plant-based ที่เทียบเคียงกับอาหารทะเล อนาคตน่าจะมีดีมานด์ใกล้เคียงกันซึ่งเป็นโอกาสของไทยยูเนี่ยน แต่บริษัทยังพัฒนาเนื้อ Plant-based เลียนแบบเนื้อหมูและเนื้อไก่ด้วย เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า

    หลังปักหลักในธุรกิจใหม่ ธีรพงศ์มองว่ารายได้กลุ่มนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ของรายได้รวม แต่จะมีสัดส่วนเป็น 15% ของกำไรทั้งบริษัท และยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพซึ่งคนทั่วโลกให้ความสำคัญสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

    ]]>
    1322576
    “เดนทิสเต้” เตรียมดึง “ลิซ่า Blackpink” เป็นพรีเซ็นเตอร์ “สมูธไลฟ์” ชิมลางตลาด “อาหารเสริม” https://positioningmag.com/1318634 Tue, 09 Feb 2021 13:54:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318634 “เดนทิสเต้” เจอพิษ COVID-19 ยอดขายในไทยตกเพราะขาดนักท่องเที่ยว ปีนี้วางแผนใหม่ โหมสารพัดสินค้านวัตกรรม “ยาสีฟันแห้ง-ลูกอมดับกลิ่นปาก-ยาสีฟันกัญชง” ทุ่มงบการตลาด 400 ล้านบาท แย้มแผนดึง “ลิซ่า Blackpink” เป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังขยายกลุ่มลูกค้าสู่คนเจนวาย-ได้ภาพ Global Brand ด้านแบรนด์ “สมูธไลฟ์” ลุยกลุ่ม “อาหารเสริม” วางเป้า 500 ล้านบาท เกาะกระแสรักสุขภาพ

    เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยภาพรวมของบริษัทปี 2563 ยอดขายรวมในไทยอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ลดลง -5% เนื่องจากปกติบริษัทจะมียอดขายจากกลุ่มนักท่องเที่ยวราว 10% ของพอร์ต แต่เมื่อมีการปิดประเทศ ทำให้กำลังซื้อส่วนนี้หายไป

    ในทางกลับกัน ยอดขายในต่างประเทศรวม 25 ประเทศที่มีการส่งออก เติบโต 8% ทำให้ภาพรวมยอดขายทั้งบริษัทอยู่ที่เกือบ 4,000 ล้านบาท

    สำหรับปีนี้ ดร.แสงสุขวางเป้ายอดขายอย่างน้อย 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก (Oral Care) ประมาณ 45% กลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ประมาณ 45% และกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ประมาณ 10% ซึ่งกลุ่มหลังนี้เป็นสินค้าหมวดหมู่ใหม่ที่บริษัทเริ่มทดลองตลาดเมื่อปีก่อน

     

    “เดนทิสเต้” ทุ่มงบ 400 ล้าน ขยายขายสินค้าอื่นๆ

    ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากของสยามเฮลท์ กรุ๊ป แบรนด์ที่ใช้ทำตลาดก็คือ “เดนทิสเต้” ซึ่งครอบคลุมสินค้าสารพัดชนิดตั้งแต่ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สเปรย์ดับกลิ่นปาก ไหมขัดฟัน ฯลฯ

    แต่ดร.แสงสุขกล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเดนทิสเต้เฉพาะยาสีฟัน เพราะเป็นสินค้าชูโรง และจะรู้จักด้วยภาพจำว่าเป็น “ยาสีฟันก่อนนอน” เนื่องจากบริษัทสื่อสารแบรนด์มาตลอดว่าใช้แล้วปากหอมสดชื่นหลังตื่นนอน เหมาะกับคู่รัก เป็นภาพการตลาดที่แข็งแรง แต่ก็แข็งแรงเกินไปจนทำให้ผู้บริโภคอาจไม่เห็นในมุมอื่น หรือเห็นถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มี

    “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” กับ “น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์”

    ขณะที่การเพิ่มยอดขายหรือดึงมาร์เก็ตแชร์ การตีโจทย์นี้มีจุดหลักอยู่สองอย่างคือ เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ กับ ขยายกลุ่มลูกค้า

    ทำให้ปีนี้ต้องการจะสื่อสารให้กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่ยาสีฟันที่ใช้ใน Bed Moment แต่เป็น Best Moment คือใช้ได้ทุกๆ ช่วงเวลาของวัน โดยพรีเซ็นเตอร์ยังคงเป็น “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต” กับ “น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์” ซึ่งทำงานกับเดนทิสเต้มาแล้ว 3-4 ปี รวมถึงจะสื่อสารให้เห็นผลิตภัณฑ์อื่นของแบรนด์เพิ่มขึ้น ตามโจทย์การเพิ่มยอดขายด้วยสินค้าใหม่ๆ

    ตัวอย่างสินค้าใหม่ : ยาสีฟันแบบแปรงแห้ง ไม่ต้องบ้วนปาก ทำให้ฟลูออไรด์เคลือบฟันได้มากกว่า

    ดังนั้น ปีนี้จะเห็นเดนทิสเต้ออก “สินค้าใหม่” เพิ่มมากที่สุด เช่น ลูกอมดับกลิ่นปาก Mastic Mint, ยาสีฟันแปรงแห้ง ไม่ต้องบ้วนปาก, ยาสีฟันที่ช่วยเพิ่มเนื้อฟัน และปลายปียังมีลุ้น ยาสีฟันผสมสารสกัดจากกัญชง อาจได้วางจำหน่าย ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการผลิตและขออนุญาต

    เมื่อจะสื่อสารการตลาดสินค้าหลายตัว ทำให้งบโฆษณาของเดนทิสเต้ปีนี้จะทุ่มถึง 400 ล้านบาท จากปกติใช้งบเพียงปีละ 50-60 ล้านบาท

     

    แย้มดีล “ลิซ่า Blackpink” พลิกภาพแบรนด์

    ดร.แสงสุขยังบอกด้วยว่า ปีนี้แบรนด์เดนทิสเต้มีอีกโจทย์คือการขยายกลุ่มลูกค้าไปยัง กลุ่มเจนวาย จากปกติลูกค้าหลักเป็นเจนเอ็กซ์ ร่วมกับเป้าหมายเดิมตั้งแต่ปีก่อนของเดนทิสเต้ที่ต้องการจะเป็น Global Brand เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับโลกมีวางจำหน่ายทุกทวีป

    เมื่อเขย่าขวดสองเป้าหมายนี้เข้าด้วยกัน ทำให้เดนทิสเต้ทาบทาม “ลิซ่า Blackpink” นักร้องชื่อดังขวัญใจวัยรุ่น เป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ของแบรนด์ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาแพ็กเกจราคา โดยเบื้องต้นต้องการให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในไทยก่อน แต่ถึงแม้จะเป็นพรีเซ็นเตอร์ในประเทศ ภาพของ “ลิซ่า” ก็จะทำให้เดนทิสเต้ยกระดับเป็น Global Brand มากขึ้น

    ผลิตภัณฑ์ของเดนทิสเต้

    การขยายฐานลูกค้ามาจับกลุ่มเจนวายของเดนทิสเต้มีความน่าสนใจ เพราะเดนทิสเต้ถือเป็นแบรนด์พรีเมียม ลูกค้าจะเป็นคนชั้นกลางบนจนถึงระดับบน ซึ่งเจนวายปัจจุบันนี้คือคนช่วงอายุประมาณ 25-38 ปี เป็นกลุ่มที่มีการงานมั่นคงแล้วและมีกำลังซื้อมากขึ้น

    “คนระดับบนในประเทศนี้มีประมาณ 10 ใน 100 คน แต่ถามไปในตลาด คนที่ใช้เดนทิสเต้มีแค่ 3 ใน 100 คน ผมขอเพิ่มอีกแค่คนเดียวเป็น 4 ใน 100 คนก็พอแล้ว เท่านี้บริษัทผมก็โตได้ และยังมีโอกาสโตอีกมาก” ดร.แสงสุขกล่าว

     

    ไปเหมือนกัน! บุกตลาด “อาหารเสริม” เต็มตัว

    นอกจากเดนทิสเต้แล้ว สยามเฮลท์ กรุ๊ป ยังมีความเคลื่อนไหวในกลุ่มสินค้าอีกกลุ่มคือ “อาหารเสริม” โดยดร.แสงสุขกล่าวว่า บริษัทเริ่มชิมลางตลาดมาตั้งแต่ต้นปี 2563 เริ่มผลิตภัณฑ์แรกคือ วิตามินซี โดยเน้นขายในช่องทางร้านขายยาซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทอยู่แล้ว

    แบรนด์ที่ใช้บุกกลุ่มนี้จะเป็น “สมูธไลฟ์” (Smooth Life) โดยผู้สื่อข่าวพบว่า ปัจจุบันมีสินค้า เช่น Prolac 8 โปรไบโอติค ปรับสมดุลแบคทีเรียในทางเดินอาหาร, วิตามินซี, วิตามินบี, HSN วิตามินบำรุงผิว ผม เล็บ, ซุปเปอร์ฟู้ด 5 ชนิด

    ดร.แสงสุขกล่าวต่อว่า ปีนี้จะตามด้วย “คอลลาเจน” ส่วนต่อไปจะมีผลิตภัณฑ์อะไร จะดูตามความต้องการของตลาด ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่คนต้องการมากจะเป็นอาหารเสริมที่ตอบโจทย์เรื่องโรคยอดฮิต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ความเครียด นอนไม่หลับ โรคสมาธิสั้น อารมณ์ไม่เสถียร และอาการหลงลืม

    เป้าหมายของปี 2564 กลุ่มอาหารเสริมมีสิทธิไปแตะยอดขาย 500 ล้านบาท ด้วยกระแสรักสุขภาพที่เพิ่มขึ้นมากหลังเกิดวิกฤต COVID-19

    ]]>
    1318634
    กรณีศึกษา : อาหารเสริม “กาละแมร์” รีวิวเกินจริง กฎหมายไม่เข้ม คนขายไม่กลัว คนซื้อไม่แคร์? https://positioningmag.com/1314953 Tue, 19 Jan 2021 09:55:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314953 กรณีศึกษาอาหารเสริมของ “กาละแมร์-พัชรศรี” กับการโฆษณาเกินจริงจนถูก อย. ตรวจสอบและแจ้งดำเนินคดีเป็นคดีที่ 8 แล้ว “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ให้ความเห็น อย. ต้องเข้มงวดในการใช้กฎหมาย แนะถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์ สื่อสารกับประชาชนเป็นวงกว้าง ด้านผลเชิงปฏิบัติ ณ ขณะนี้ยัง ‘ไม่สะเทือน’ ยอดฟอลโลเวอร์ Instagram ของกาละแมร์แทบไม่ลดลง และลูกค้ายังรีวิวในหน้าเพจตามปกติ

    กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเมื่อ “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” (อย.) แจ้งดำเนินคดี กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาส และ บริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด ผู้จำหน่ายและโฆษณา ในข้อหาโฆษณาสรรพคุณอาหารอันเป็นเท็จ หลอกลวงให้หลงเชื่อโดยไม่สมควร มีโทษตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดย อย. แจ้งว่านี่เป็นคดีที่ 8 แล้วที่เอาผิดกับกาละแมร์-พัชรศรี ทั้งที่บริษัทเธอเพิ่งตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2562

    สรรพคุณของอาหารเสริมที่เธออวดอ้างจนถูกดำเนินคดีรอบนี้ มาจากคลิปที่เผยแพร่ทาง Facebook และ Instagram ของบริษัท ระบุว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชื่อ “โบเทรา ดริ้งค์” และ “โบเทรา ชอต” มีสรรพคุณช่วยกระชับผิวหน้า ลดไขมันส่วนเกิน เหนียงหาย ร่องแก้มตื้น จมูกดูโด่งขึ้น ตาขึ้นเป็นสองชั้น และดูเด็กขึ้นทั้งร่างกาย โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม

    รีวิวอาหารเสริมโบเทรา กาละแมร์อวดสรรพคุณดื่มแล้วหน้ายกกระชับ จมูกเข้ารูป ตาที่เคยตกยกเป็นสองชั้น

    ทาง อย. ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ยังไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารใดสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายได้ดังที่อวดอ้าง จึงดำเนินคดีกับกาละแมร์-พัชรศรีตามกฎหมาย

    หลังจากนั้น กาละแมร์-พัชรศรีทำจดหมายเปิดผนึกชี้แจงต่อสังคม ได้ระงับและลบคลิปดังกล่าวไปแล้ว พร้อมระบุว่าคลิปที่เผยแพร่เป็นการตัดออกมาจากวิดีโอถ่ายทอดสด ซึ่งเธอกำลังเล่าถึงประสบการณ์จริงของตนเองหลังจากทานอาหารเสริม แต่ได้น้อมรับความผิดพลาดและความคิดเห็นของทุกคน จะนำไปปรับปรุงต่อไป

    แถลงการณ์จากกาละแมร์-พัชรศรี ชี้แจงเรื่องโฆษณาอาหารเสริมโบเทรา

    อย่างไรก็ตาม โลกอินเทอร์เน็ตไม่ได้พบการโฆษณาอาหารเสริมพาวเวอร์ชอตเพียงคลิปเดียว แต่ยังมีคลิปที่สร้างความฮือฮาต่อมาอีกถึง 3 คลิป

    คลิปแรก กาละแมร์-พัชรศรีนั่งคู่กับ “ติช่า-กันติชา ชุมมะ” นางแบบสาวชื่อดัง เล่าถึงประสบการณ์จากลูกค้าของพาวเวอร์ชอตใน จ.สมุทรสาคร ที่ซื้ออาหารเสริมของแบรนด์ไปทานเฉพาะแม่กับลูก แต่คุณพ่อไม่ได้ทานด้วย ต่อมาพบว่าพ่อติดเชื้อโรค COVID-19 ขณะที่แม่และลูกไม่ติดเชื้อ และเมื่อคุณพ่อรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้ทานอาหารเสริมของพาวเวอร์ชอตควบคู่ไปด้วยเพียง 7 วันก็หายจากการติดเชื้อ COVID-19 ตบท้ายด้วยการโฆษณาว่าอาหารเสริมนี้สามารถเสริมภูมิคุ้มกันได้

    คลิปที่สอง กาละแมร์บรรยายสรรพคุณอาหารเสริมพร้อมกับ “ซานิ นิภาภรณ์” นักร้องจากเวที AF6 กาละแมร์เล่าถึงลูกค้ารายหนึ่งที่ได้ทานอาหารเสริมของพาวเวอร์ชอตติดต่อกัน 2 เดือนจนทำให้โรคมะเร็งหายขาด และย้ำอีกครั้งว่า อาหารเสริมนี้สามารถเสริมภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมเซลล์ที่อักเสบในร่างกายได้

    คลิปที่สาม ซึ่งเป็นอีกช่วงหนึ่งในคลิปเกี่ยวกับอาหารเสริมต้านมะเร็ง กาละแมร์กล่าวถึงสรรพคุณอีกด้านของอาหารเสริมจากประสบการณ์ของลูกค้ารายหนึ่งที่เป็นโรคซึมเศร้าและต้องทานยา หลังจากทานอาหารเสริมพาวเวอร์ชอตก็สามารถลดยารักษาโรคซึมเศร้าได้ และหายขาดในที่สุด เนื่องจากอาหารเสริมสามารถทำให้มีสติ สมองปลอดโปร่ง ไม่คิดอะไรวนไปวนมา

     

    อย.ต้องเข้มงวดให้ถึงที่สุด ใช้ยาแรงถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์

    คลิปที่ถูกชาวเน็ต ‘ขุด’ ออกมาเป็นระลอกๆ ทำให้ทาง “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” กระตุ้นไปทาง อย. ว่าควรจะต้องดำเนินคดีเพิ่ม เพราะเป็นโฆษณาต่างกรรมต่างวาระ สามารถแจ้งความได้รวม 4 ข้อหาต่อการรีวิวหนึ่งครั้ง และควรจะยกเลิกทะเบียนผลิตภัณฑ์เหล่านี้

    “สถาพร อารักษ์วทนะ” นักวิชาการด้านสื่อโฆษณา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์กับ Positioning ว่า กรณีของพาวเวอร์ชอต อย. สามารถแจ้งความได้ถึง 4 ข้อหา นอกจากการโฆษณาเกินจริงที่ผิดตาม มาตรา 40 ของ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ตามที่กล่าวข้างต้น ยังผิด มาตรา 41 ใน พ.ร.บ.เดียวกันด้วย โดยเป็นความผิดฐานไม่ขออนุญาตโฆษณาอาหาร ซึ่งจะต้องมีเลขใบอนุญาตโฆษณาอาหาร (ฆอ.) กำกับ มีโทษปรับสูงสุด 5,000 บาท

    นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นการโฆษณาในอินเทอร์เน็ต สามารถแจ้งความผิดตามมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และสุดท้ายคือการแจ้งความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 341-343 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    กาละแมร์กับซานิ AF6 ระหว่างการไลฟ์บรรยายสรรพคุณอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้หายจากโรคมะเร็ง

    ทั้งหมดนี้ แนะ อย. สามารถแจ้งต่างกรรมต่างวาระ เพราะพาวเวอร์ชอตมีการจัดทำโฆษณาหลายชุด หลายครั้ง ที่เผยแพร่คนละรอบกัน เมื่อรวมหลายคดีแล้วจะทำให้มีโทษที่แรงขึ้น จากเดิมแจ้งเฉพาะมาตรา 40 โทษอาจจะเบาเกินไปสำหรับบริษัทที่ทำรายได้หลักพันล้าน เนื่องจากพ.ร.บ.อาหารตราขึ้นตั้งแต่ปี 2522 ทำให้บทลงโทษ ‘ไม่น่ากลัว’ อีกแล้วเมื่อเทียบกับรายได้ที่จะได้รับ

    ด้านการใช้อำนาจในมือ อย. เอง คือการถอนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์อาหารของผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำไปอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ซึ่งจะเป็นการปกป้องประชาชนได้ดีที่สุด

    สถาพรยังกล่าวต่อว่า นอกจากการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด อย. ควรจะต้องปรับปรุงการสื่อสารให้ไปถึงประชาชนเป็นวงกว้างด้วย เพื่อให้ประชาชนรับทราบและตระหนักว่าผลิตภัณฑ์หรือบริษัทนั้นๆ เคยถูกลงโทษมาแล้ว พึงระมัดระวังในการรับข้อมูลโฆษณาและรับประทาน

     

    สังคมดราม่า…แต่อาจจะช้าเกินไปแล้ว

    การเปิดประเด็นโฆษณาเกินจริงโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นกระแสในสังคมตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 17 ม.ค. 64 ก่อนที่ อย. จะรับลูกแจ้งดำเนินคดีวันที่ 18 ม.ค. 64 แต่เรื่องนี้ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ กาละแมร์-พัชรศรี และพาวเวอร์ชอตแค่ไหน?

    Positioning ตรวจสอบบัญชี Instagram @kalamare ซึ่งเป็นบัญชีส่วนตัวของกาละแมร์ ผ่านทางเว็บไซต์ socialblade.com พบว่า ปัจจุบันเธอมีฟอลโลเวอร์ทั้งหมด 3,012,024 คน ในวันที่ 18 ม.ค. 64 จนถึงขณะนี้เธอมีฟอลโลเวอร์ลดลงเพียง 199 คนเท่านั้น! หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีผลอะไรต่อเธอเลย รวมถึงเพจ Facebook @kalamare ก็ยังมีไลก์เกิน 9.5 แสนคน เท่ากับเมื่อเดือนธันวาคม 2563

    ตัวอย่างคอมเมนต์ของแฟนๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจ หลังกาละแมร์ตกเป็นข่าวถูก อย. แจ้งดำเนินคดี

    นอกจากนี้ ช่องทางสื่อสารออนไลน์ของเธอและแบรนด์ ยังคงมีลูกค้าเข้ามาคอมเมนต์เชิงบวกตามปกติ เช่น “กินอยู่นะคะ เกือบทุกตัวเลย” “ทานทุกวันครับ” “ชงกินทุกวัน อร่อยมาก” “เป็นกำลังใจให้คุณกาละแมร์และทีมงานค่ะ” “ผลิตภัณฑ์ดีจริงค่ะ ใช้เองเลยกล้าพูด” ฯลฯ

    สะท้อนให้เห็นว่าการตลาดที่สร้างความเชื่อมั่นและน่าเชื่อถือซึ่งสั่งสมมาเป็นเวลานาน ยังไม่สามารถทลายลงได้ในกลุ่มลูกค้า ด้วยกลยุทธ์การตลาดของเธอที่สร้างความเป็น “คอมมูนิตี้” คนที่รับประทาน ซึ่งจะมารีวิวผลลัพธ์กันเป็นประจำ ดังนั้น การแจ้งความดำเนินคดีหรือการตกเป็นข่าวสังคมอาจจะ “ช้าเกินไปแล้ว” สำหรับคนที่ “เชื่อ” ไปเต็มทั้งใจว่าได้ผลจริง

    ปีที่ผ่านมา “อาหารเสริม” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีสวนกระแสเศรษฐกิจ โดย Euromonitor International คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดมีการเติบโตขึ้น 15% รวมถึงเม็ดเงินโฆษณาธุรกิจนี้ก็ลงทุนเพิ่มขึ้น 7.4% (ข้อมูลจาก มายด์แชร์) และยังมีแนวโน้มจะโตขึ้นอีกในปีนี้ตามเทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค

    ธุรกิจนี้กำลังโตวันโตคืน หันไปทางไหนก็เจอแต่โฆษณาอาหารเสริม ถั่งเช่า คอลลาเจน ดีท็อกซ์ ฯลฯ หากภาครัฐไม่เข้มงวดแต่เนิ่นๆ ก็มีแต่ผู้บริโภคที่ต้องดูแลกันเอง ท่ามกลางนักธุรกิจที่เห็นโอกาสและมุ่งกอบโกยก่อนจ่ายค่าปรับทีหลังเหล่านี้!

    ]]>
    1314953
    ถอดสูตร “พาวเวอร์ชอต” อาหารเสริมของ “กาละแมร์-พัชรศรี” ขอเดินตาม “คาราบาวโมเดล” https://positioningmag.com/1310686 Wed, 16 Dec 2020 10:49:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310686 ในเวลา 1 ปีครึ่ง บริษัทอาหารเสริม “พาวเวอร์ชอต” ของ กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ กำลังจะทำรายได้แตะ 1,500 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2564 จะโต 3 เท่าเป็น 6,000 ล้านบาท ทำให้ตัวเลข “หมื่นล้าน” อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม โดยเธอมองว่าจะทำได้ภายใน 3 ปี พร้อมเล็งโอกาสธุรกิจ แตกไลน์ไปทำงานด้านระบบชำระเงินเร็วๆ นี้

    ปีแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แต่ธุรกิจด้านสุขภาพกลับมาแรง เพราะปัญหาโรคระบาด COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องสุขภาพสูงขึ้น โดย Euromonitor International คาดการณ์ว่า ตลาดอาหารเสริมในไทยจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 20,876 ล้านบาทเมื่อปี 2562 เป็นมูลค่า 23,916 ล้านบาทในปี 2563 หรือเติบโตขึ้นเกือบ 15% สวนทางกับจีดีพีประเทศ

    เทรนด์ตลาดรวมดังกล่าวเป็นลมใต้ปีกให้ธุรกิจของ “กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ” พิธีกรคนดัง เติบโตสุดขีดในเวลา 1 ปีครึ่ง โดยเธอก่อตั้ง บริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 เพื่อจำหน่ายสินค้าอาหารเสริมบำรุงสุขภาพและความงาม ปัจจุบันมีจำหน่าย 13 รายการ และคาดว่าจะปิดยอดขายปี 2563 ที่ 1,500 ล้านบาท โดยเป็นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ล้วนๆ และไม่มีตัวแทนจำหน่าย ใช้ระบบขายตรงจากบริษัท

    Lion Queen ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของพาวเวอร์ชอต

    สำหรับ ปี 2564 พัชรศรีกล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายโตถึง 3 เท่าเป็น 6,000 ล้านบาท เนื่องจากเดือนธันวาคมปี 2563 บริษัทออกสินค้าใหม่ชื่อ Lion Queen เน้นสรรพคุณบำรุงสมอง บำรุงกำลัง และผิวพรรณ ซึ่งจะเป็นเรือธงทำตลาดปีหน้า ด้วยราคาถูกลงที่ 490 บาทต่อกล่อง 10 ซอง ทำให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น

    นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มเจาะตลาดโมเดิร์นเทรดเป็นครั้งแรก ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร้านค้า ประกอบกับการอัดงบการตลาด 600 ล้านบาท มีพรีเซ็นเตอร์เพิ่มจากตัวกาละแมร์เอง และจะออกสินค้าเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 รายการ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้า

    กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ ประธานกรรมการ บริษัท พาวเวอร์ชอต จำกัด

    เมื่อถามว่าภายใน 3 ปี เธอมองเห็นบริษัทจะแตะ “หมื่นล้าน” เลยหรือไม่ พัชรศรีตอบอย่างมั่นใจว่า “ถึงแน่นอน” โดยวางวิสัยทัศน์จะขยายไปจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งส่วนนี้อยู่ระหว่างหาพาร์ตเนอร์เพื่อเข้าไปทำตลาด รวมถึงมองว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนขยายตัวต่อเนื่อง

    นับว่าเป็นการพลิกสู่เส้นทางนักธุรกิจเต็มตัวของพัชรศรี โดยเธอมอง “โมเดลต้นแบบ” คือ แอ๊ด คาราบาว ซึ่งวันนี้มีธุรกิจคาราบาว กรุ๊ปมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาทแล้ว จากจุดเริ่มต้นที่คล้ายกันคือการนำชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตนมาเป็นรากฐานการพัฒนาสินค้า

    วิธีทำงานและพัฒนาสินค้าของพาวเวอร์ชอตเป็นอย่างไร เราจะพาไปถอดสูตรจากกาละแมร์-พัชรศรีกัน!

     

    พัฒนาสินค้าที่ “แก้ปัญหา”

    จุดตั้งต้นของการพัฒนาพาวเวอร์ชอตคือ “ตนเอง” โดยเธอเล่าย้อนไปว่าเธอเริ่มประสบปัญหาสมองเบลอ ความจำแย่ลง จึงต้องการอาหารบำรุงสมองและทำให้มีพลัง แต่มองไปในตลาดแล้วไม่มีสินค้าที่ใช่ทั้งในแง่ผลลัพธ์และแพ็กเกจเหมาะกับไลฟ์สไตล์ สุดท้ายจึงลงทุนพัฒนาสินค้าเอง นอกจากได้ทานเองแล้วยังมีโอกาสการขายด้วย

    สินค้าแรกที่ออกขายจึงเป็น Power Shot Brain เป็นอาหารเสริมชนิดผงสำหรับชงดื่มหรือฉีกซองทานได้ทันที เน้นเรื่องการบำรุงสมอง หลังจากนั้นมีสินค้าอื่นออกตามมาอีกหลายรายการ แต่ละผลิตภัณฑ์จะเน้นประโยชน์ต่างกันไป เช่น บำรุงผิว ช่วยการขับถ่าย ช่วยให้พลังงานสูง ยกกระชับใบหน้า เสริมภูมิคุ้มกัน ให้โปรตีนสูง แต่ภาพรวมจะมีสินค้าที่เน้นด้านสุขภาพ 70% และสินค้าที่เน้นความงาม 30%

    พอร์ตสินค้าแบ่งเป็นกลุ่มที่เน้นสุขภาพ 70% และกลุ่มที่เน้นความงาม 30%

    จากจุดเริ่มต้นที่ออกสินค้ามาแก้ปัญหาให้ตนเอง พัชรศรีกล่าวว่า เมื่อมีฐานลูกค้าแล้วจะมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าว่าต้องการแก้ปัญหาอะไร ทำให้เป็นโจทย์ให้บริษัทมาวิจัยและพัฒนา ยกตัวอย่างเช่น Cele Fooz ซึ่งเป็นอาหารเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ก็มาจากการพูดคุยกับลูกค้า และปัจจุบันเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด

    ปีหน้าก็จะมีสินค้าใหม่ๆ ที่ออกมาจากโจทย์ที่ลูกค้าเรียกร้อง เช่น ต้องการรูปร่างที่ดีขึ้น ต้องการบำรุงสายตา บำรุงกระดูกและข้อ เป็นต้น

     

    ใช้ภาพลักษณ์และแฟนคลับของตนเป็นฐาน

    Instagram ของกาละแมร์-พัชรศรี มีผู้ติดตาม 3 ล้านคน เป็นฐานลูกค้าได้ทันที

    ด้วยความเป็นคนดังของกาละแมร์-พัชรศรี ทำให้เธอมีแฟนคลับติดตามอยู่แล้ว และมีการสื่อสารไลฟ์สไตล์ของตัวเองมาตลอด โดยมีภาพลักษณ์เป็นสาวแกร่ง รักการทำงาน วิถีชีวิตรักสุขภาพ ออกกำลังกาย ทำให้ตัวเธอเองคือพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาทั้งคุณสมบัติสินค้าจนถึงแพ็กเกจผลิตภัณฑ์ รวมถึงเป็นแกนในการทำการตลาด

    ฐานแฟนคลับที่ติดตามอยู่ 3 ล้านรายใน Instagram และอีก 9.5 แสนรายใน Facebook Page คือการตลาดที่ทรงพลังมาก เธอจะลงรูปผลิตภัณฑ์และไลฟ์ขายสินค้าสลับไปกับการโพสต์ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ทำให้มียอดขายทะยานเร็ว

     

    แพ็กเกจต้องสวยและตรงกับไลฟ์สไตล์

    แพ็กเกจแบบผู้หญิงๆ เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

    ดังที่กล่าวว่าเธอพัฒนาสินค้าจากตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เธอพบในตลาดอาหาร/เครื่องดื่มบำรุงกำลังคือ “แพ็กเกจ” มักจะไม่สวยงาม ทำให้ตนเองหรือลูกค้าไม่กล้าบอกใครว่าทานอยู่ ไม่กล้าพกไปทานนอกบ้าน ซึ่งทำให้เธอเลือกดีไซน์แพ็กเกจให้มีความเป็นผู้หญิง ดูแฟชั่น พรีเมียม ตรงกับไลฟ์สไตล์ตนเอง

    “ไม่ใช่แค่ได้ผลจริง ผลิตภัณฑ์ต้องดูแล้วน่าพึงพอใจด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต้องมาหมด ต้องเป็นสิ่งที่เขาถือแล้วภาคภูมิใจ” พัชรศรีกล่าว

     

    สร้าง “คอมมูนิตี้” ของลูกค้า

    พัชรศรีกล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ 90% คือกลุ่ม “ผู้หญิง” และส่วนมากเป็น คนวัยทำงานอายุ 30-60 ปี รองลงมาคือกลุ่มนักศึกษา เธอวิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เป็นฐานที่ดีมาก เพราะผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ชอบการบอกต่อ แนะนำต่อให้คนรอบตัว ซึ่งทำให้ติดสปีดยอดขายขึ้นไปอีก

    จากพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้การตลาดของพาวเวอร์ชอตจะมีการสร้างคอมมูนิตี้ของลูกค้าบนโลกออนไลน์ด้วย กระตุ้นให้ลูกค้าที่รับประทานแล้วมาแชร์ผล รีวิวกัน สร้างความแข็งแรงของการตลาดมากขึ้นไปอีก

     

    สั่งง่าย ชำระเงินสะดวก

    หลังลูกค้าตัดสินใจซื้อแล้ว จุดนี้เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการปิดการขาย คือต้องมีทุกช่องทางให้ซื้อและชำระเงิน โดยปัจจุบันมีขายผ่านเว็บไซต์, Line@, Line My Shop, Facebook, Shopee, Call Center และล่าสุดมี
    แอปพลิเคชันของตนเอง ส่วนการชำระเงินทำได้ทั้งตัดบัตรเครดิต สแกนจ่ายด้วย QR Code ชำระที่ 7-Eleven
    และชำระเงินปลายทาง (COD)

    จุดนี้เองที่ทำให้พัชรศรีเล็งจะเปิดธุรกิจใหม่ บริการช่วยจัดการระบบชำระเงิน (payment) ให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่างๆ เพราะเห็นช่องว่างว่าการจัดการระบบชำระเงินค่อนข้างยุ่งยาก เป็นโอกาสที่จะแตกไลน์ออกไป

    นอกจากพาวเวอร์ชอตซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ใหญ่ที่สุด กาละแมร์-พัชรศรี มีธุรกิจที่ร่วมหุ้นกับพาร์ตเนอร์อื่นอีก 3 บริษัทคือ พาวเวอร์บอล (อาหารคลีน), ร้านชา-น้ำผลไม้ Zer0Kcal และนมอัลมอนด์ Better Milk รวมเป็นพอร์ตโฟลิโอสายสุขภาพของพิธีกรคนดังคนนี้

    ]]>
    1310686
    “ไทยยูเนี่ยน” แตกไลน์สร้างโรงงาน “คอลลาเจน” จากทะเล ตามแนวทางมุ่งสินค้ากำไรสูง https://positioningmag.com/1306833 Thu, 19 Nov 2020 10:50:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306833
  • ไทยยูเนี่ยน (TU) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบหลายปี เติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 49.7% YoY หลังตลาดอาหารแช่แข็งฟื้นตัว และผลจากการรีดไขมันองค์กรต่อเนื่อง 2 ปี
  • ปี 2564 เดินหน้าลงทุน 6,000 ล้านบาท โดยงบลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐในจำนวนนี้จะลงทุนโรงงานคอลลาเจนเปปไทด์และโปรตีนไฮโดรไลเซต ที่จังหวัดสมุทรสาคร
  • ผลิตภัณฑ์กลุ่ม “อินกรีเดียนท์” เพื่อเป็นอาหารเสริมมีมูลค่าสูงและกำไรสูง เป็นทิศทางใหม่ของไทยยูเนี่ยน รวมถึงบริษัทมีการลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีโอกาสโตได้แบบก้าวกระโดด
  • หนึ่งในบริษัทยักษ์ที่รอดพ้นช่วงสถานการณ์วิกฤตมาได้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/63 เป็นหนึ่งในไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา วัดจากผลกำไรสุทธิ โดยไตรมาสล่าสุดนี้ TU มียอดขาย 3.48 หมื่นล้านบาท เติบโต 9.3% YoY และกำไรสุทธิ 2,056 ล้านบาท เติบโตถึง 49.7% YoY และนับเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ของบริษัทที่มีกำไรสุทธิมากกว่า 2 พันล้านในไตรมาสเดียว

    เมื่อรวมผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรก TU มียอดขายสะสม 9.89 หมื่นล้านบาท เติบโต 5.9% YoY และกำไรสุทธิ 4,789 ล้านบาท เติบโต 74% YoY

    ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนมีธุรกิจหลักวัดตามรายได้มาจาก ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป เช่น ทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีนกระป๋อง แมคเคอเรลกระป๋อง สัดส่วน 45-50% ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง แช่เย็น เช่น กุ้ง แซลมอน ล็อบสเตอร์ สัดส่วน 35-40% และส่วนที่เหลือเป็น ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่มอื่นๆ อีกประมาณ 15%

    ช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ขึ้นในไตรมาส 2/63 ไทยยูเนี่ยนได้รับผลบวกในกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปเติบโต 16.8% เนื่องจากมีการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ คนอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้กลุ่มอาหารกระป๋องเติบโต ขณะที่ยอดขายกลุ่มอาหารแช่แข็ง แช่เย็น กลับติดลบ 14% กลุ่มนี้ได้รับผลลบเพราะปกติเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งตามร้านอาหาร ภัตตาคาร ซึ่งต้องปิดชั่วคราวในช่วงล็อกดาวน์

    เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3/63 ไทยยูเนี่ยนพบว่ายอดขายอาหารกระป๋องยังเติบโตสม่ำเสมอ ส่วนยอดขายกลุ่มอาหารแช่แข็งเปลี่ยนจากติดลบมาเป็นการเติบโต 4.7% เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่กลับมาให้บริการแล้ว ทำให้ยอดขายโดยรวมสูงขึ้น

    ตัวอย่างแบรนด์ปลากระป๋องในเครือไทยยูเนี่ยน

    “ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาสนี้ว่า COVID-19 ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ส่งผลบวกต่อกำไรบริษัท แต่การที่บริษัทมีกำไร เกิดจากการลดต้นทุน-รีดไขมันองค์กรที่บริษัทได้ทำมาตลอด 2 ปีทำให้จากเดิมที่เคยมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) สูง 1.35-1.40 เท่า ขณะนี้ลดเหลือ 0.97 เท่า

    สิ่งที่บริษัทดำเนินการคือการเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร เช่น การปิดโรงงานแซลมอนที่สกอตแลนด์ตั้งแต่ปี 2561 มีการยุบรวมออฟฟิศหลายแห่งให้เล็กลง เช่น ปิดออฟฟิศในเมืองซานดิเอโก สหรัฐฯ และปรับมาใช้ระบบ Shared Office แทนสำหรับแผนกไอที การเงิน กฎหมาย เพื่อใช้พื้นที่เช่่าให้น้อยลง ลดการเดินทางของบุคลากร เน้นใช้เทคโนโลยีสื่อสาร เป็นต้น

    ธีรพงศ์ประเมินว่าปี 2563 ยอดขายบริษัทน่าจะเติบโตราว 5% และเชื่อว่าปี 2564 น่าจะเติบโต 5% เช่นกัน เนื่องจากบริษัทตั้งสมมติฐานว่าตลอดปี 2564 ภาวะ COVID-19 น่าจะคงตัวเช่นนี้ตลอดทั้งปี

     

    ปี 2564 เดินหน้าลงทุน 6,000 ล้านบาท

    สำหรับการลงทุนปี 2563 ธีรพงศ์กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทลดงบการลงทุนลงจาก 4.9 พันล้านบาทเหลือ 3.7 พันล้านบาท แต่ในปี 2564 บริษัทจะกลับมาลงทุนอย่างเต็มที่ โดยตั้งงบลงทุนรวมกว่า 6 พันล้านบาท

    สัดส่วนหลักของการลงทุนราว 4.5 พันล้านบาทจะใช้สำหรับการซ่อมแซมบำรุงสายการผลิตที่มีการลงทุนอยู่ 13 ประเทศทั่วโลก ส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนสายการผลิตใหม่ ดังนี้

    1) โรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเซตและคอลลาเจนเปปไทด์ จ.สมุทรสาคร มูลค่าลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ
    2) โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป จ.สมุทรสาคร มูลค่าลงทุน 1,000 ล้านบาท
    3) ห้องเย็นในประเทศกานา มูลค่าลงทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ

    ทั้งนี้ บริษัทยังไม่เปิดเผยกำลังการผลิตหรือข้อมูลเชิงลึกในการผลิต แต่โปรตีนไฮโดรไลเซตและคอลลาเจนเปปไทด์เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเสริมที่มีราคาสูง และสามารถสกัดได้จากปลาทะเล สินค้าหลักของ TU

     

    มุ่งสู่กลุ่ม “อาหารฟังก์ชัน-อาหารอนาคต”

    “เทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ดังนั้น ต่อไปสินค้าอาหารจะต้องเจาะเรื่องอาหารฟังก์ชัน เช่น Medical Food อาหารที่เหมาะกับช่วงวัยหรือผู้ป่วยโรคต่างๆ Beauty Food อาหารที่เน้นเพื่อความงาม” ธีรพงศ์กล่าว

    ด้วยมุมมองนี้ทำให้ TU เริ่มลงทุนหน่วยธุรกิจ ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อนำ by-products จากซัพพลายเชนการผลิตผลิตภัณฑ์เดิมมาสร้างให้เป็นสินค้ามูลค่าสูง มีโรงงานและผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จพร้อมจำหน่ายแล้ว คือ น้ำมันปลาทูน่า และ แคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า ทั้งสองผลิตภัณฑ์เน้นหนักการขายแบบ B2B ให้กับผู้ผลิตนมและนมผงนำไปผสมกับอาหารสำหรับทารกและเด็ก เพื่อเสริมคุณค่าทางโภชนาการ

    ผลิตภัณฑ์อินกรีเดียนท์ของไทยยูเนี่ยน : น้ำมันปลาทูน่า และ แคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า

    อย่างไรก็ตาม หน่วยธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นแม้จะมีมูลค่าสูงแต่ยังมีสัดส่วนน้อยมากในยอดขายรวมของไทยยูเนี่ยน แต่ธีรพงศ์มองว่า ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะเป็นอนาคตให้กับบริษัท เพราะเป็นสินค้ากำไรสูง ต้องมีกำไรขั้นต้นอย่างน้อย 20% จึงจะลงทุนพัฒนา ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่บริษัทผลิตอยู่ขณะนี้จะมีกำไรขั้นต้น 16-17% เท่านั้น

    นอกจากการผลิตสินค้ามูลค่าสูงจาก by-products ของผลิตภัณฑ์เดิมคือสัตว์ทะเล ไทยยูเนี่ยนยังลงทุนในสตาร์ทอัพด้วย โดยจัดตั้งกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล มูลค่ารวม 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2562 กรอบการลงทุนระยะ 3-5 ปี ซึ่งธีรพงศ์บอกว่า ปัจจุบันเริ่มลงทุนไปไม่ถึง 10 ล้านเหรียญ เนื่องจากมีนโยบายกระจายความเสี่ยง จะลงทุนให้กับสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งๆ ไม่เกิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินลงทุนจาก TU แล้วมี 4 บริษัท ได้แก่

    1) บริษัท อัลเคมีฟู้ดเทค บริษัทสิงคโปร์ที่ทำธุรกิจนวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
    2) บริษัท มันนา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัทโปรตีนจากแมลงและอีคอมเมิร์ซ จากสหรัฐอเมริกา
    3) บริษัท ไฮโดรนีโอ บริษัทเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและเยอรมัน
    4) บริษัท วิสไวร์ส นิวโปรตีน บริษัทเงินทุนสัญชาติสิงคโปร์ที่ทำธุรกิจบริหารกองทุนที่มองหาโอกาสความร่วมมือและร่วมลงทุนในเทคโนโลยีอาหาร

    จะเห็นได้ว่าบริษัทไม่ได้ลงทุนสตาร์ทอัพเฉพาะที่เกี่ยวกับสินค้าเดิมของบริษัท แต่มีการลงทุนในบริษัทโปรตีนจากแมลงด้วย เพราะพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ดีมานด์อาหารอื่นของโลก ซึ่งอาจจะสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้

    “เราต้องเปลี่ยน mindset ตามโลกให้ได้ เมื่อก่อนเราเคยมีมุมมองว่าเราต้องมี economy of scale ผลิตให้ได้ปริมาณมาก แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว เรามองว่า Less is more ทำน้อยแต่ต้องได้กำไรเยอะ ไม่ต้องเน้นการเติบโตที่บรรทัดแรก แต่เน้นที่บรรทัดสุดท้าย ซึ่งเราเริ่มปรับมุมมองใหม่เหล่านี้ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา” ธีรพงศ์กล่าว

    ]]>
    1306833