เนสท์เล่ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 22 Jul 2022 15:27:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เนสท์เล่” รู้ว่าลูกค้าอยากดูโฆษณาแบบไหน จากการก่อตั้งฝ่าย “อีบิสซิเนส” มาแล้ว 4 ปี https://positioningmag.com/1393565 Fri, 22 Jul 2022 12:58:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1393565 เบื้องหลังการตลาดออนไลน์ของ FMCG ยักษ์ใหญ่อย่าง “เนสท์เล่” คือฝ่ายใหม่ในบริษัทที่ก่อตั้งเมื่อปี 2018 อย่าง “อีบิสซิเนส” ที่ช่วยให้แบรนด์ในเครือเนสท์เล่เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคบนโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แปลงเป็นยอดขายได้มากขึ้นไม่ว่าจะบนออนไลน์หรือออฟไลน์ โดยมีการลงทุนเทคโนโลยีเองทั้ง AI, บิ๊กดาต้า, แชทบอท

อาวุธลับของ “เนสท์เล่” คือการตั้งฝ่าย “อีบิสซิเนส” ขึ้นมาตอบรับกระแสการใช้สื่อดิจิทัลโดยเฉพาะตั้งแต่ 4 ปีก่อน ฝ่ายนี้มีอยู่ในประเทศไทยเช่นกัน โดยมีบุคลากรทั้งหมด 20 คน คอยดูแลกิจกรรมบนดิจิทัลใดๆ ก็ตามที่สามารถสร้างผลลัพธ์ต่อยอดขายของบริษัท ไม่ว่าจะบนอีคอมเมิร์ซหรือช่องทางออฟไลน์

ฝ่ายนี้สำคัญอย่างไร? “ชาร์เน่ มอร์ริส” ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายอีบิสซิเนส เนสท์เล่ อินโดไชน่า ระบุว่า ประชากรไทยมีอัตราการเข้าถึงสมาร์ทโฟนของประชากรถึง 90% แล้ว และคนไทยมีการซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน

“การเชื่อมสัมพันธ์กับผู้บริโภคอยู่เสมอเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ” มอร์ริสกล่าว โดยปัจจุบันเนสท์เล่เทงบ 50% ของงบสำหรับสื่อลงในช่องทางดิจิทัล สะท้อนให้เห็นว่าเป็นช่องทางที่บริษัทต้องการจับให้อยู่หมัด

เนสท์เล่ อีบิสซิเนส
“ชาร์เน่ มอร์ริส” ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายอีบิสซิเนส เนสท์เล่ อินโดไชน่า

อีบิสซิเนสวางกลยุทธ์ 3T ที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมฝ่าย ได้แก่ “Trend” เข้าใจแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค, “Technology” พัฒนาและเข้าถึงเครื่องมือใหม่ๆ ที่ทันสมัย และ “Team” รวบรวมและพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลเข้ามาเป็นหัวใจในการทำงาน

ทั้งหมดนี้เกิดผลลัพธ์เป็นแนวทางและเครื่องมือการตลาดที่น่าสนใจของ “เนสท์เล่” ดังที่เราเก็บมาไฮไลต์ให้ในบทความนี้

 

Shoppertainment เพราะคนไทยชอบความสนุก

เทรนด์การตลาดแรกที่สำคัญมากคือ Shoppertainment จากการสำรวจพบว่า คนไทย 1 ใน 3 ต้องการความสนุกระหว่างช้อปปิ้ง

ทำให้เนสท์เล่จัดความสำคัญให้การ “ไลฟ์สตรีม” ผ่าน KOLs ที่เป็นพันธมิตร ถือเป็นกุญแจหลักในการทำแคมเปญการตลาดเกือบทั้งหมด เพราะคนไทยชื่นชอบ และมักจะช่วยสร้างกระแสต่อให้ในช่องทางอื่นๆ เช่น ติดแฮชแท็กเพิ่มกระแสบน Twitter

เนสกาแฟ กับการไลฟ์สตรีมผ่านแพลตฟอร์ม Shopee

รวมถึงการทำ Gamification ที่โดนใจคนไทย เนสท์เล่มีการทำแคมเปญเทกโอเวอร์ใช้งานฟังก์ชันเกม Shopee Candy เพื่อมาดันยอดการซื้อสินค้าและ engage กับแบรนด์ในเครือ ซึ่งประสบความสำเร็จมาก มีผู้เล่นเฉลี่ยกว่า 400,000 คนต่อวันตลอดแคมเปญ และสามารถเพิ่มยอดขายได้จริง

เนสท์เล่
Shopee Candy Game ในช่วงที่เนสกาแฟเข้าไปเทกโอเวอร์เพื่อนำมาทำกิจกรรมการตลาด

 

Social Commerce พัฒนาแชทบอทขายของ

เนสท์เล่รู้ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีถึง 40% ที่ซื้อขายกันบนโซเชียลมีเดีย แต่นี่เป็นกำแพงที่สินค้า FMCG จากบริษัทใหญ่เข้าไปได้ยาก เพราะต้องใช้ ‘มนุษย์’ ตัวจริงในการถามตอบกับลูกค้า เท่ากับต้องลงทุนบุคลากรจำนวนมาก

บริษัทจึงมีการลงทุนพัฒนา “แชทบอท” และเป็นเจ้าแรกในกลุ่ม FMCG ที่เริ่มนำร่องใช้แชทบอทขายของบน Messenger โดยเริ่มที่หน่วยธุรกิจ Nestle Health Science ก่อน (เป็นสินค้ากลุ่มอาหารเสริม) หากทำได้สำเร็จก็จะขยายไปสู่สินค้าเนสท์เล่กลุ่มอื่นต่อไป

มอร์ริสอธิบายว่าโครงการนี้มีความท้าทาย เพราะแชทบอทต้องใช้แมชชีน เลิร์นนิ่ง เรียนรู้การถามตอบซ้ำๆ และหลากหลาย แต่ผู้บริโภคมักจะไม่ชอบคุยกับบอท (เมื่อยังไม่สมบูรณ์แบบ) ทำให้บอทต้องค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้ รวมถึงยังมีกำแพงเรื่องเชื่อมต่อการจัดการออร์เดอร์หลังบ้าน ที่จะต้องพัฒนาให้รองรับคำสั่งซื้อผ่านแชทจำนวนมากได้ด้วย

 

Personalization ทดลองตัดวิดีโอโฆษณา 120 แบบ!

เทรนด์การสร้างคอนเทนต์เฉพาะบุคคลนั้น เนสท์เล่เคยลองทำมาแล้วกับแคมเปญ MILO Pack to School โดยร่วมมือกับ Google ใช้เครื่องมือ YouTube Director Mix ทำให้สร้างวิดีโอโฆษณาได้ถึง 120 เวอร์ชัน สำหรับส่งให้ผู้ชมที่มีโปรไฟล์แตกต่างกัน

ตัวอย่างการแยกเวอร์ชันโฆษณาด้วย YouTube Director Mix กับโฆษณา MILO Pack to School (ภาพจาก: Think with Google)

มอร์ริสบอกว่า แต่ละชิ้นงานนั้นจะมีความต่างกันแค่ราวๆ 5% แต่ผลสำเร็จทำให้อัตราดูจนจบคลิปของผู้ชมมีมากถึง 53% มากที่สุดที่เคยมีมา และทำให้ผู้ชมจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น 5.8%

 

บิ๊กดาต้าและ AI ใช้คาดการณ์ “โฆษณา” แบบที่ลูกค้าน่าจะชอบ

รู้เขารู้เราได้แบบไม่ต้องเดา เพราะเนสท์เล่ลงทุนพัฒนา โซลูชันวิเคราะห์เนื้อหาโฆษณา ทำให้การทำโฆษณาครั้งถัดไปจะมีไกด์ไลน์ที่ชัดเจนให้กับเอเจนซี

โซลูชันนี้ของเนสท์เล่มีการรวบรวมโฆษณาในอดีตทั้งหมดมาเป็นถังบิ๊กดาต้า จากนั้นนำ AI เข้าไปวิเคราะห์แยกชิ้นส่วนโฆษณาในแต่ละแง่มุม เช่น ฉากถ่ายทำอยู่ในบ้าน/นอกบ้าน, ความรู้สึกจากการรับชมเป็นแบบไหน, เห็นใบหน้านายแบบ/นางแบบมากแค่ไหน, เห็นแบรนด์/สินค้าชัดและบ่อยแค่ไหน

ทั้งหมดจะประมวลจับคู่กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแต่ละแคมเปญว่า ลูกค้าแบรนด์นั้นมักจะชอบโฆษณาที่มีองค์ประกอบแบบไหนบ้าง เช่น ถ้าลูกค้าเห็นแบรนด์ชัดเจน ลูกค้าจะรับชมต่อ

นอกจากนี้ยังแยกย่อยกลุ่มผู้ชมออนไลน์ได้ตามภูมิศาสตร์ เพศ ช่วงเวลาที่รับชม แต่ละไมโครเซ็กเมนต์อาจได้เห็นโฆษณาที่ไม่เหมือนกัน

จากเครื่องมือนี้ของเนสท์เล่ ล่าสุดแคมเปญ “เนสกาแฟ อเมริกาโน” มีการนำมาใช้งาน และพบผลสำเร็จ สร้างความคุ้มค่าในการลงโฆษณาเพิ่มขึ้นถึง 17%

 

สรุป

มอร์ริสกล่าวว่า การเติบโตของอีคอมเมิร์ซนั้นโตแบบ ‘exponential’ คือยิ่งเร่งเร็วขึ้นๆ ทุกปี ปีนี้เชื่อว่าจะโตแบบ ‘ดับเบิลดิจิต’ อีก

สินค้าขายดีของเนสท์เล่บนอีคอมเมิร์ซ

โดยสินค้าดาวรุ่งที่ขายดีบนอีคอมเมิร์ซของเนสท์เล่ ได้แก่ กลุ่มกาแฟ เช่น เนสกาแฟ, กลุ่มผลิตภัณฑ์นม เช่น ไมโล เนสวิต้า นมตราหมี และ กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น เพียวริน่า วัน

“ความท้าทายของฝ่าย ‘อีบิสซิเนส’ คือเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เราต้องปรับตัวให้เร็วในการนำมาใช้งาน และเทรนนิ่งคนของเรา พัฒนาตนเองตลอดเวลา” มอร์ริสกล่าวปิดท้าย

]]>
1393565
เงินเฟ้อทำต้นทุนพุ่ง ‘เนสท์เล่’ ขึ้นราคาสินค้าทั่วโลก 5% เเละมีเเนวโน้มจะปรับขึ้นอีก https://positioningmag.com/1382465 Fri, 22 Apr 2022 09:21:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382465 เนสท์เล่ (Nestlé) บริษัทอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก มีการปรับขึ้นราคาสินค้ามากกว่า 5% ในช่วง 3 เดือนเเรกของปีนี้หลังต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น จากปัญหาเงินเฟ้อส่งผลต่อภาระผู้บริโภค

ในรายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ระบุว่ากลุ่มผู้บริโภคในอเมริกาเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีราคาสินค้าของเนสท์เล่เพิ่มขึ้น 8.5% ตามมาด้วยผู้บริโภคโซนลาตินอเมริกาที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น 7.7%”

Mark Schneider ซีอีโอของเนสท์เล่ ส่งสัญญาณว่าบริษัทมีแนวโน้มจะปรับขึ้นราคาสินค้าอีก ตามอัตราเงินเฟ้อโลกที่พุ่งสูงขึ้น

โดยระบุในเเถลงการณ์ว่า การปรับขึ้นราคาสินค้าจะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค โดยอัตราเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีการปรับราคาเพิ่มเติม รวมออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบตลอดทั้งปีนี้

อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก โดยเงินเฟ้อสหรัฐฯ แตะ 8.5% ในเดือนมีนาคม สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ส่วนในยุโรปอยู่ที่ 7.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สหภาพยุโรปเริ่มรวบรวมข้อมูลเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว

ราคาของสินค้าที่ผลิตจากโรงงานในเยอรมนีเมื่อเข้าสู่ราคาขายปลีกได้ปรับเพิ่มขึ้น 30% ในเดือนมีนาคมเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 73 ปี

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลักๆ มาจากราคาพลังงานขณะเดียวกัน ราคาอาหารที่เเพงขึ้นก็กดดันเงินเฟ้อเช่นเดียวกัน

เนสท์เล่รายงานยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 5.4% ในไตรมาสนี้และคาดว่ายอดขายจะเติบโต 5% ตลอดทั้งปี โดยได้เเบรนด์ต่างๆ อย่าง Purina PetCare, Nescafé และ KitKat เป็นตัวหนุนการเติบโต

อย่างไรก็ตาม การเเบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น อาจทำให้ผลกำไรของบริษัทลดลง โดยคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ระหว่าง 17% ถึง 17.5% เทียบกับ 17.4% ในปี 2021

ราคาอาหารโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปีนี้ จากวิกฤตโรคระบาด สภาพอากาศที่ย่ำแย่ การรุกรานยูเครนของรัสเซียที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก โดยเฉพาะสินค้าหลักอย่างข้าวสาลี และ น้ำมันพืช

David Malpass ประธานธนาคารโลก เตือนว่าการพุ่งขึ้นของราคาอาหาร มีความเสี่ยงจะเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ของของมนุษยชาติ เเละราคาอาจเพิ่มขึ้นมากถึง 37% อันเป็นผลมาจากสงครามในยูเครน

 

ที่มา : CNN

]]>
1382465
เนสท์เล่ ลุย Plant-based ต่อเนื่อง เปิดตัว ‘ไข่’ และ ‘กุ้ง’ จากพืช เริ่มวางขายในตลาดยุโรปก่อน https://positioningmag.com/1355478 Thu, 07 Oct 2021 11:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1355478 ยักษ์ใหญ่วงการอาหาร พัฒนาสูตรเเข่งตลาด Plant-based กันต่อเนื่อง ล่าสุดเนสท์เล่ ออกเมนูกุ้งเเละไข่ที่ทำจากพืช ประเดิมวางขายในโซนยุโรปก่อน

อาหารทดแทนเนื้อสัตว์ที่ทำมาจากพืช หรือ ‘Plant-based’ ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เเละมีส่วนเเบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้จำกัดเเค่ผู้บริโภคสายวีเเกนหรือสายรักษ์โลกเหมือนสมัยก่อน เเต่ขยายถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไปด้วย

เนสท์เล่ (Nestlé) จะเริ่มวางขายผลิตภัณฑ์ไข่จากพืชภายใต้แบรนด์ Garden Gourmet vEGGie โดยมีส่วนประกอบสำคัญเป็นโปรตีนถั่วเหลือง และกรดไขมันโอเมก้า 3 ใช้ทำอาหารเมนูต่างๆ หรือใช้ผสมในเค้กเเละคุกกี้ได้เหมือนกับไข่ปกติ

ส่วนกุ้งจากพืชจะวางขายภายใต้แบรนด์ Vrimp หลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อทูน่าจากพืชไปเมื่อปีที่แล้ว เเละมีเสียงตอบรับที่ดี

โดยจะเริ่มจะวางจำหน่ายทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ในบางประเทศในยุโรป รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะขยายไปยังตลาดอื่นๆ ต่อไป

Mark Schneider ซีอีโอของเนสท์เล่ บอกว่า ผลิตภัณฑ์วีแกน อย่างเบอร์เกอร์และไส้กรอกจากพืช มียอดขายเติบโตเเบบ ‘double-digit’

“Plant-based ไม่ได้จำกัดเเค่เฉพาะกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป เเต่กำลังจะเป็นเทรนด์กระเเสหลักที่เข้าถึงในวงกว้าง ทุกเพศทุกวัย

เขาเชื่อว่าตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เเม้ในปีที่แล้ว ยอดขายของผลิตภัณฑ์จากพืชเเบรนด์ต่างๆ ของเนสท์เล่ จะมีมูลค่าเพียง 216 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.3 พันล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยจากยอดขายทั้งหมดในเครือกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3 ล้านล้านบาท)

วัตถุดิบอาหาร 5 แบบแรกที่วางตลาดของ Harvest Gourmet นำไปทำอาหารได้หลายอย่าง

ด้าน Stefan Palzer ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของเนสท์เล่ ระบุว่า บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-based เมนูใหม่ๆ ได้ภายในเวลาไม่ถึงปี อย่างเช่น การสร้างโปรตีนถั่วที่ไม่ได้มีรสชาติเหมือนพืชตระกูลถั่วเลย

เราจะพยายามพัฒนาให้อาหาร Plant-based เหล่านี้ มีรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะจะช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนมาทานวีเเกนกันได้ง่ายยิ่งขึ้น

สะท้อนให้เห็นทิศทางของเเบรนด์อุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลกที่จะบุกตลาด Plant-based อย่างจริงจัง หลังเปิดตัวเบอร์เกอร์จากพืชเป็นครั้งแรกในปี 2019 ซึ่งช้ากว่าผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมอย่าง Beyond Meat และ Impossible Foods ของสหรัฐฯ ไปประมาณ 3 ปี

อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกผ่านเเบรนด์ในเครือที่มีอยู่จำนวนมาก เป็นข้อได้เปรียบของเนสท์เล่ที่มีอยู่เหนือคู่แข่งรายสำคัญที่ทำตลาดนี้มาก่อน

เรามีแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอยู่มากมาย เเต่บริษัทเหล่านั้นไม่มี” Palzer กล่าว

ที่ผ่านมา เนสท์เล่ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์วีแกนร่วมกับสินค้าหมวดหมู่อื่นๆ อย่าง KitKat V ซึ่งเราคงจะได้เห็นการทำตลาดเเบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับผู้บริโภค

ส่วนในไทยนั้น เนสท์เล่ จับตลาด Plant-based ผ่านแบรนด์ Harvest Gourmet จำหน่ายวัตถุดิบอาหารแบบ B2B เข้าร้านโดยตรง มีพันธมิตรเชนร้านอาหารรายใหญ่หลักร้อยสาขา มี 5 ชนิดให้เลือก ได้แก่ เนื้อเบอร์เกอร์ เนื้อบดละเอียด ไก่ย่างรมควัน ไก่ชุบเกล็ดขนมปัง และ มีทบอล

โดยประเมินมูลค่าตลาดในไทยราว 900 ล้านบาท โอกาสโตปีละ 20% พบคนไทย 1 ใน 4 เป็นกลุ่ม Flexitarian ลดทานเนื้อสัตว์อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์

อ่านต่อ : Plant-based ฮิตจัด! “เนสท์เล่” เปิดแบรนด์ Harvest Gourmet ส่งวัตถุดิบเข้าร้านอาหาร

 

]]>
1355478
Plant-based ฮิตจัด! “เนสท์เล่” เปิดแบรนด์ Harvest Gourmet ส่งวัตถุดิบเข้าร้านอาหาร https://positioningmag.com/1320525 Tue, 23 Feb 2021 09:20:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320525 “เนสท์เล่” ลุยตลาด Plant-based แล้ว! ใช้แบรนด์ “Harvest Gourmet” จำหน่ายวัตถุดิบอาหารแบบ B2B เข้าร้านโดยตรง แย้มมีพันธมิตรเชนร้านอาหารรายใหญ่หลักร้อยสาขา ประเมินมูลค่าตลาด 900 ล้านบาท โอกาสโตปีละ 20% พบคนไทย 1 ใน 4 เป็นกลุ่ม “Flexitarian” ลดทานเนื้อสัตว์อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์

“เครือวัลย์ วรุณไพจิตร” ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร และ เนส์เล่ โพรเฟสชันนัล ประจำภูมิภาคอินโดไชน่า แถลงข่าวเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในเครือ “Harvest Gourmet” (ฮาร์เวสต์ กูร์เมต์) แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนื้อทำจากพืชหรือ Plant-based ในรูปแบบวัตถุดิบสำหรับนำไปประกอบอาหาร จะเริ่มจำหน่ายในไทยเดือนมีนาคม 2564

Plant-based ของ Harvest Gourmet เป็นผลิตภัณฑ์จากโปรตีนถั่วเหลือง แต่งสีด้วยบีทรูทและแครอทสกัดเข้มข้น เสริมความมันด้วยน้ำมันมะพร้าว และไม่ใส่ผงชูรส มีเนื้อทั้งหมด 5 ชนิดให้เลือก ได้แก่ เนื้อเบอร์เกอร์ เนื้อบดละเอียด ไก่ย่างรมควัน ไก่ชุบเกล็ดขนมปัง และ มีทบอล โดยเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นวัตถุดิบหลักที่มีความหลากหลายพอให้ร้านอาหารนำไปสร้างสรรค์เมนูได้

วัตถุดิบอาหาร 5 แบบแรกที่วางตลาดของ Harvest Gourmet นำไปทำอาหารได้หลายอย่าง

แหล่งผลิต Harvest Gourmet ของไทย นำเข้าจากโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสำหรับขายในทวีปเอเชีย ทำให้ผลิตภัณฑ์จะแต่งรสให้เหมาะกับลิ้นคนเอเชียมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่มาจากตะวันตก ปัจจุบันแบรนด์นี้มีขายแล้วในจีนกับออสเตรเลีย และกำลังจะมีขายในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนแบรนด์ Plant-based อื่นๆ ของเนสท์เล่มีจำหน่ายในยุโรปกับสหรัฐอเมริกาอยู่ก่อนแล้ว

 

แย้มพันธมิตรรายใหญ่ใช้ Harvest Gourmet

เครือวัลย์ระบุว่า กลยุทธ์ในประเทศไทยจะจำหน่ายแบบ B2B กับพันธมิตรร้านอาหารก่อน ยังไม่มีจำหน่ายให้ผู้บริโภครายย่อยในซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนจะขยับไปวางขายให้รายย่อยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกระแสในตลาดต่อจากนี้มีความต้องการหาซื้อเพื่อนำไปประกอบอาหารเองที่บ้านมากน้อยแค่ไหน

พันธมิตรร้านอาหารดังกล่าว เนสท์เล่ยังไม่ระบุจำนวนรายหรือเผยชื่อ แต่แย้มว่ามีพันธมิตรที่เป็นเชนร้านอาหารขนาดใหญ่มีสาขาหลักร้อยสาขาในเมืองไทย เตรียมจะเปิดตัวเมนูเนื้อทำจากพืชเร็วๆ นี้

ตัวอย่างเมนู “สะเต๊ะหมู” จากเนื้อบดละเอียด สื่อสารว่า Plant-based สามารถนำมาทำอาหารสไตล์เอเชียนได้

ความคาดหวังในแง่รายได้นั้น เครือวัลย์ยังไม่ระบุ เนื่องจากปีแรกๆ จะเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยคุ้นเคยและไว้ใจเนื้อประเภท Plant-based ก่อน เพราะขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังมองว่าเนื้อจำพวกนี้รสชาติไม่อร่อย ทำให้ Harvest Gourmet จะเน้นชูจุดขายเรื่องความอร่อยเป็นหลักในการทำตลาด หากติดตลาดแล้วในระยะยาวจะกลายเป็นพอร์ตสินค้าใหม่ของเนสท์เล่ได้

 

ตลาด Plant-based โตปีละ 20%

ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค เครือวัลย์กล่าวว่าคนไทยราว 1 ใน 4 ของประชากรเป็นกลุ่มที่เรียกว่า ‘Flexitarian’ หมายถึงคนที่ไม่ได้ทานมังสวิรัติประจำ แต่กำลังลดการบริโภคเนื้อสัตว์เป็นบางมื้อ เช่น คนที่ตั้งใจไม่ทานเนื้อสัตว์ในวันจันทร์เพราะเป็นวันเกิดของตนเอง โดยคนกลุ่มนี้ 65% ลดทานเนื้อสัตว์เพราะรักสุขภาพ อีก 20% ทำเพื่อควบคุมรูปร่าง

ขณะที่ขนาดตลาด เนสท์เล่อ้างอิงข้อมูล Euromonitor ว่าตลาด Plant-based ในไทยมีมูลค่า 900 ล้านบาทเมื่อปี 2563 ตัวเลขอาจจะยังน้อยเพราะเป็นตลาดใหม่ แต่อัตราเติบโตปีละ 20%

“เครือวัลย์ วรุณไพจิตร” ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร และ เนส์เล่ โพรเฟสชันนัล ประจำภูมิภาคอินโดไชน่า

เนสท์เล่เชื่อว่าจะผลักดันตลาดให้เติบโตขึ้นได้สูงกว่านั้น เพราะปัจจัยที่ทำให้คนไทยยังไม่ทาน Plant-based มากนักไม่ใช่แค่เรื่องความอร่อย แต่ยังมีเรื่องตัวเลือกในตลาดมีน้อย หาทานยาก เมื่อใดที่มีตัวเลือกรับประทานมากขึ้น จะทำให้ตลาดโตได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันร้านอาหารหลายแห่งเริ่มสนใจสร้างเมนู Plant-based เพราะเริ่มมีดีมานด์ และช่วยเรื่องภาพลักษณ์ร้านรักสุขภาพ รักสิ่งแวดล้อม และทันสมัย

ความฮิตของ Plant-based ในเอเชียนั้นเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตา โดย วันเดอร์แมน ธอมสัน ระบุให้ประเด็นนี้เป็น 1 ใน 100 เทรนด์ของปี 2021 จากการสำรวจวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นรวม 9 ประเทศทวีปเอเชียเมื่อปี 2019 พบว่า 56% ของผู้ถูกสำรวจตั้งใจที่จะทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง (อ่านเพิ่มเติม : The Future 100 เปิดเทรนด์อนาคตปี 2021 อะไรที่ ‘กำลังมา’ จนแบรนด์ต้องจับให้ทัน)

ในตลาดไทยนั้นมีผู้เล่นลงสนามแล้วหลายราย เริ่มมีจำหน่ายราวปี 2561 แยกเป็น 3 กลุ่มหลักได้ ดังนี้
– กลุ่มร้านอาหาร เช่น Sizzler, ฌานา, สตาร์บัคส์
– กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบใช้ประกอบอาหาร เช่น Meat Avatar, More Meat, NRF, ไทยยูเนี่ยน, เนสท์เล่
– กลุ่มผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เช่น ซีพีแรม

หลังจากนี้คนไทยน่าจะได้ลองชิมเมนูเนื้อทำจากพืชกันมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้บริโภคจะเป็นผู้ตัดสินว่าเทรนด์นี้จะอยู่หรือจะไป รวมถึงใครจะได้เป็นเจ้าตลาดตัวจริง!

]]>
1320525
สายวีแกนเฮ! “เนสท์เล่” เปิดตัว KitKat V ใช้นมข้าว แทนนมวัว ลดการพึ่งพิงสัตว์ https://positioningmag.com/1320247 Fri, 19 Feb 2021 14:17:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320247 “Plant Based Food” หรือ ความต้องการอาหารจากพืชเป็นหลักมีมากขึ้น และเป็นเทรนด์โลกที่กำลังมาแรง ไม่กี่ปีมานี้ แบรนด์อาหารต่างๆ หันมาสนใจ และผลิตอาหารทดแทนจากพืชมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการลดการพึ่งพาสัตว์ เพื่อสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อสุขภาพของมนุษย์เราเอง

ล่าสุด เนสท์เล่ (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัว คิทแค็ท วี (KitKat V) ที่ใช้นมข้าว ทดแทนนมวัว และใช้โกโก้จากแหล่งปลูกที่ยั่งยืน พร้อมยืนยันถึงรสชาติความอร่อยว่า ยังคงผสมผสานความกรอบของเนื้อสัมผัส และความนุ่มนวลของช็อกโกแลตเช่นเดิม

โดยมีแผนจะวางจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลกในปีนี้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และร้านค้าบางแห่ง เริ่มจากสหราชอาณาจักร เพื่อเป็นการทดลองตลาดก่อน

นอกจาก “KitKat Vegan” ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืชที่หลากหลายมากขึ้น โดยมีพืชต่างๆ ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง มะพร้าว และถั่วแอลมอนด์ เป็นส่วนผสมในหลายผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนจากพืช เช่น ทูน่าจากพืช สเต๊กจากพืช นักเก็ตจากพืช ไส้กรอกจากพืช หมูสามชั้นจากพืช ไอศกรีมและกาแฟจากพืช และไอศกรีมที่ไม่ใช่นม ฯลฯ และเมื่อปีที่แล้ว เนสท์เล่เพียวริน่าได้เปิดตัวอาหารสัตว์เลี้ยงแบบผสมผสาน โดยเพิ่มแมลงและโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วฟาวา และลูกเดือย

Source

]]>
1320247
ทำไม “เนสท์เล่” ต้องลงทุนใหญ่ 4,500 ล้าน ขยาย 3 โรงงานในไทย เร่งเสริมพอร์ต “อาหารสัตว์เลี้ยง” https://positioningmag.com/1307826 Thu, 26 Nov 2020 17:18:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307826 เเม้วิกฤต COVID-19 จะทำให้ผู้คนซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคมากขึ้น เเต่ภาพรวมของธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

วันนี้เนสท์เล่” (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ฉายภาพธุรกิจในไทย เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโต กลยุทธ์รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ พร้อมประกาศเเผนลงทุนปีนี้และปีหน้า ด้วยการขยาย 3 โรงงานในไทย เป็นเม็ดเงินถึง 4,500 ล้านบาท เสริมพอร์ตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อะไรเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีกับสินค้าเหล่านี้เราจะมาหาคำตอบกัน

เนสท์เล่เข้ามาทำตลาดไทยได้ 126 ปีเเล้ว ปัจจุบันมีโรงงานในไทยทั้งสิ้น 7 เเห่ง มีพนักงานราว 3,300 คน (จากทั่วโลก 3 เเสนคน) โดยเเผนขยายโรงงาน 3 เเห่งดังกล่าวจะเป็นการสร้างใหม่ 2 เเห่ง เเละขยายจากโรงงานเดิม 1 เเห่ง

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า เนสท์เล่ ก็เป็นเหมือนหลายบริษัททั่วโลกที่ต้องปรับตัวเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ สินค้ากลุ่มบริโภคนอกบ้าน อย่างเช่น น้ำดื่ม ไอศกรีมเเละขนม

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี เเละช่วยพยุงรายได้ของบริษัทไว้ได้ คือกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เช่น กาแฟ นม ซอสปรุงรส เพราะผู้คนต้องใช้เวลาอยู่บ้านเเละทำอาหารกินเองมากขึ้นนั่นเอง

ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ภาพรวมยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะเหมือนเป็นการปรับพอร์ตสินค้าในการเติบโต โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้ จะเติบโตราว 1 digit”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

แม้ว่าการทำธุรกิจในช่วงนี้ จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน แต่ผู้บริหารเนสท์เล่บอกว่ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย เเละมองว่างบลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีไปยังธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย

ประกอบกับเนสท์เล่มีการทำสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ได้แก่

  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เเน่นอน
  • ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก
  • นิยมใช้บริการอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารเเละซื้อสินค้าเเบบเดลิเวอรี่ เพิ่มขึ้นมากหลังวิกฤต COVID-19

อินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้บริษัทต้องออกสินค้าใหม่ เเละขยายกำลังผลิตในสินค้าที่จะเติบโตได้ดี โดยเนสท์เล่เลือกที่จะขยายการลงทุนใน 3 โรงงาน กับ 3 กลุ่มสินค้าด้วยกันคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อาหารสัตว์เลี้ยงคนซื้อราคาพรีเมียม เเม้ต้องประหยัด

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากหันมาดูเเลสัตว์เลี้ยงเพื่อคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา

“เเม้ในช่วง COVID-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เเต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่มีตก” 

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเเบบ “พรีเมียม” ขยายตัวสูงเช่นกัน เเละมีประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเเมวเเละสุนัข โดยคนไทยนิยมดูเเลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เเต่งงานช้า มีลูกน้อยลงเเละใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้เติบโต

“ผู้คนยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เเต่ไม่ยอมตัดค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง เเถมยังยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่ออาหารพรีเมียมให้สัตว์เลี้ยง

จากเเนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง เนสท์เล่ จึงตัดสินใจทุ่มลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท “สร้างโรงงานแห่งใหม่” ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ซึ่งมีเเบรนด์ที่ติดตลาดอยู่ในมือเเล้ว อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น

ภาพจำลองโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเเห่งใหม่ของเนสท์เล่ จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021

ปั้นรสชาติใหม่ๆ ตีตลาดไอศกรีมไทย 

ไอศกรีมยังเป็นสินค้าที่ขายดี “เมื่อคนเครียด” อยากหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น

เเม้ไอศกรีมของเนสท์เล่จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ ยอดขายก็จะกลับมาเหมือนเดิม การทุ่มลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังผลิตไอศกรีม ณ โรงงานบางชันครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อตลาดระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด

ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ มียอดขายเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีการเจาะตลาดคนไทยด้วยการนำ “ไอศกรีมโมจิ” ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทย รวมถึง “ไอศกรีมคิทแคทและโอริโอ” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ได้มองหาเเค่ไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แต่ยังมองหาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เนสท์เล่ต้องขยับมาทำบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมที่ทำจากกระดาษ ไม่มีส่วนผสมของพลาสติก และสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ยูเอชที : ต้องดีต่อสุขภาพ พกพาสะดวก

จากผลวิจัยของ Nielson พบว่า เครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสที จะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพเเละพกพาสะดวก

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เนสท์เล่หันมาจับเทรนด์รักสุขภาพและต้องพกพาสะดวก โดยการออกผลิตใหม่อย่าง นมตราหมีในรูปแบบกล่อง (จากเดิมเป็นกระป๋อง) เเละออกไมโลรสชาติใหม่ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ตามเเนวโน้มผู้บริโภคคนไทยที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำตาล 0% มากขึ้นในอนาคต

โดยโรงงานแห่งสุดท้ายจะใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี

“การลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และจะช่วยสร้างการเติบโตในประเทศไทย”

ภาพโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีของเนสท์เล่ ที่นวนคร 7

ด้านการพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ของเนสท์เล่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิด COVID-19 ไทยมีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำมาสู่การทุ่มงบอีก 50 ล้านบาทในปีนี้

“เราเริ่มตั้งทีมอีบิสซิเนส มาตั้งเเต่ปี 2018 ตอนนี้มีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มีการลงทุนด้านระบบเเละบุคลากรต่อเนื่อง สร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า”

กำลังศึกษา “น้ำผสมวิตามิน” 

อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่กำลังมาเเรงในเมืองไทย ตอนนี้บริษัทใหญ่-เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาด “น้ำผสมวิตามิน” กันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียว มาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก 7-8 เจ้า ปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดคำถามว่า ยักษ์ใหญ่ FMCG อย่าง เนสท์เล่ จะลงมาเล่นสนามนี้หรือไม่ 

วิคเตอร์ เซียห์ ตอบว่า เนสท์เล่ยังอยู่ “ระหว่างการศึกษา” ตลาดของน้ำวิตามิน เพราะตลาดนี้ยังมีขนาดเล็กอยู่ไม่ถึง 5% ของตลาดเครื่องดื่ม “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกระแสที่คงอยู่ในระยะยาว หรือจะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วหายไป” เเต่มีเเผนจะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเเนวๆ นี้ อยู่ในช่วงปีหน้า เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่เเน่ชัดได้

ต้องจับตาดูว่า หลังทุ่มงบสร้างโรงงานในไทยเเล้ว “เนสท์เล่” จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ อะไรออกมาเขย่าตลาดอีก 

 

 

]]>
1307826
ท็อปคลิปยอดนิยมประจำสัปดาห์ (11-17 มี.ค.) เนสท์เล่ คว้าไป 18.3 ล้านวิว-เทพลีลา ได้ 7.3 ล้านวิว https://positioningmag.com/1221489 Mon, 25 Mar 2019 11:19:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1221489 ในแต่ละสัปดาห์ Socializta ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดในแบบอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง ได้แทร็กวิดีโอทั้งหมดที่อัพโหลดเป็นจำนวนหลักแสนตัวเฉพาะในประเทศไทย ที่ทำขึ้นโดยแบรนด์และInfluencer บนออนไลน์ แพลตฟอร์มทั้งใน Youtube, Facebook และ Instagram เพื่อให้เห็นว่า 3 อันดับที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากทางฝั่งแบรนด์และ Influencer นั้น เป็นใครกันบ้าง โดยวัดจากยอดวิวและไลค์ เพื่อเป็นข้อมูลให้นักการตลาดและผู้สนใจได้นำไปใช้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่งต่อไป

ในรอบสัปดาห์นี้ Socializta ได้ทำ Video Listening เพื่อดูความเป็นไปของวิดีโอกว่า 85,400 ตัว ในช่วง 7 วัน ระหว่างวันที่ 11-17 มีนาคม 2562

ท็อป 3 จากฝั่งแบรนด์ ได้แก่

1. Nestle Thailand – เนสท์เล่ ช็อกป๊อปกล้วย : ก็มาดิคร้าบบ! ศึกนี้กล้วย กล้วย ??

2. Lazada Thailand – ลาซาด้าปาร์ตี้ 7 ปีดีลดีต้องช้อป

3. BRANDS World Thailand – เหลือขวดเดียวแบบนี้ต้อง Battle

และท็อป 3 จากฝั่ง Influencer ได้แก่

1. เทพลีลา – ผู้ชายลองแต่งหน้า EVERYDAY LOOK

2. KaykaiSalaider – แข่งต่อ Lego Minecraft แพ้กินมาม่าเผ็ดใส่พริก 10 ซอง!!

3. Beam Copphone – น้องบีม | เล่นอาชีพในฝัน Kidzoona เมกาบางนา

วิดีโอของแบรนด์ที่ทำยอดวิวสูงสุด ได้แก่ Nestle Thailand มียอดวิว 18.3 ล้านวิว และ 714 ไลค์

นสท์เล่ ช็อกป๊อปกล้วย ดึงลิง สัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าชอบกินกล้วยที่สุดมาเป็นตัวเอก แม้อยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน โดนศัตรูสั่งให้ส่งของมีค่าทั้งหมดให้ น้องลิงใจป้ำถึงขั้นยอมสละกล้วยให้ศัตรู แต่สิ่งเดียวที่ยอมไม่ได้คือไอศกรีม ช็อกป๊อปกล้วย สุดที่รัก เป็นคอนเทนต์ที่น่ารักน่าชัง แม้จะดูหลายรอบก็ยังอดอมยิ้มตามไม่ได้ และคงถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนทำให้ยอดวิวพุ่งสูงลิบ

วิดีโอของ Influencer ที่ทำยอดวิวสูงสุดได้แก่ เทพลีลา มียอดวิว 7.3 ล้านวิว และ 112,494 ไลค์

เพราะความสงสัยว่าทำไมผู้หญิงใช้เวลาแต่งหน้าในแต่ละวันนานจัง เทพลีลาเลยขอพิสูจน์ว่าที่มันนานนั้นเพราะอะไร เพื่อจะได้เข้าใจหัวอกผู้หญิงมากขึ้น จึงขอลองตั้งแต่สเต็ปแรกจนสเต็ปสุดท้าย ความฮาเริ่มตั้งแต่หยิบชิ้นที่หนึ่ง โดยหนูทดลองทั้ง 3 คนต้องบอกว่าสิ่งที่ตัวเองถืออยู่นั้นคืออะไร และเอาไว้ทำอะไร ก่อนที่จะละเลงลงไปบนใบหน้าในแต่ละส่วนอย่างไม่ค่อยประสีประสา กว่าจะจบคลิปก็เล่นเอาคนดูฮาท้องคัดท้องแข็ง ไม่แปลกที่ยอดวิวและเอ็นเกจเมนต์จะเข้าวินมาเป็นที่หนึ่ง แต่อย่าถามว่าผลงานการแต่งหน้าของแต่ละคนเป็นยังไง #อยากรู้ต้องดู

(ข้อมูล ณ วันที่ 19 มีนาคม 2562)

ที่มา : www.socializta.com

]]>
1221489
ลดหวานแล้วโต “เนสท์เล่” โชว์พอร์ต “สินค้าสุขภาพ” พุ่งเหนือตลาด F&B https://positioningmag.com/1220894 Wed, 20 Mar 2019 12:28:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1220894 หลังจาก พ.ร.บ. สรรพสามิตฉบับใหม่ เรียกเก็บภาษีความหวาน จากผลิตภัณฑ์ทุกชนิดรอบแรกเดือนกันยายน 2560 ในเครื่องดื่มที่มีค่าความหวานเกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิมิตร ต้องเสียภาษี และเดือนตุลาคมนี้ ภาษีน้ำหวานรอบใหม่ จะจัดเก็บเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่เกิน 10 กรัมต่อ 100 มิลลิมิตร แบบขั้นบันได อัตราสูงสุดเพิ่มขึ้น 400% ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการจึงเดินหน้า “ลดหวาน” กันเต็มสตึม

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่าในจำนวนสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage หรือ F&B) 14 แคทิกอรี่ กว่า 500 เอสเคยู ในปี 2018 เติบโต 3.1% สูงกว่าภาพรวมตลาด F&B ที่ขยายตัว 1.9% หรือมีมูลค่า 104,000 ล้านบาท ปี 2019 เชื่อว่ายังเติบโตได้ในระดับ 3.5%

วิคเตอร์ เซียห์

ปัจจัยที่ทำให้ เนสท์เล่ เติบโตได้เหนือตลาด มาจากการขับเคลื่อนของกลุ่มสินค้ากาแฟ “เนสกาแฟ” ซึ่งมีสัดส่วน 50% ของพอร์ตโฟลิโอ ที่ยังเติบโตได้ 3% ในปีก่อน จากสินค้านวัตกรรมใหม่และ “เนสกาแฟ ฮับ” ร้านกาแฟเสิร์ฟผู้บริโภคนอกบ้าน เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ที่ยังมีเทรนด์ขยายตัว ทั้งเครื่องดื่มไมโล ซอสปรุงอาหารแม็กกี้ กลุ่มไอศกรีม

48 สินค้าทางเลือกสุขภาพลุยตลาด

ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มสินค้าที่ผลักดันการเติบโตมากจาก การพัฒนาสินค้าทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo หรือ HCL) ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ 48 ผลิตภัณฑ์มากที่สุดในประเทศไทยและจะมีเพิ่มเป็น 50 ผลิตภัณฑ์ในเร็วนี้ๆ การพัฒนาโปรดักต์ดังกล่าวมาจากเทรนด์ดูแลสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย และนโยบายรัฐบาลมุ่งส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จากภาษีความหวาน

ปัจจุบันเนสท์เล่มีสัดส่วนรายได้จากสินค้าทางเลือกสุขภาพ 30% วางเป้าหมายเพิ่มเป็น 50% ในอนาคต โดยจะมีการเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ในกลุ่มนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ชูน้ำตาลต่ำเสริมพอร์ต

สมฤดี บุญให้เจริญ ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและบริการทางการตลาด บริษัทเนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาสินค้าทางเลือกสุขภาพ จะเริ่มที่ลดน้ำตาลให้ต่ำกว่า 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เป็นลำดับแรก เพราะต้องยอมรับว่าผู้บริโภคยังติดเรื่อง “รสชาติ” ผลิตภัณฑ์

แต่หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรม “ไม่เติมน้ำตาลทราย” และยังคงรสชาติดี ก็จะพัฒนาสินค้ากลุ่มนี้ออกมาทำตลาดเช่นกัน ที่เปิดตัวไปแล้วคือ “ไมโล” สูตรไม่เติมน้ำตาลทราย เปิดตัวทำตลาดครั้งแรกของโลกช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและได้รับผลตอบรับดี ขณะที่ ไมโล สูตรน้ำตาลต่ำ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้าช่วยกระตุ้นการเติบโตไมโล เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก สูงกว่าภาพรวมเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ที่เติบโต 4-5% มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กาแฟดำ อเมริกาโน่ ของเนสกาแฟ ที่มีน้ำตาลต่ำ เป็นสินค้าที่เติบโตก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับร้านกาแฟ “เนสกาแฟ ฮับ” ได้เปิดตัวเครื่องดื่ม 3 สูตรใหม่ น้ำตาลต่ำ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค

ปีนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไม่เติมน้ำตาลอีก 2-3 นวัตกรรม รวมทั้งกลุ่ม “น้ำตาลต่ำ” เพื่อผลักดันพอร์ตโฟลิโอ กลุ่มสินค้าทางเลือกสุขภาพให้มีรายได้ตามเป้าหมายที่สัดส่วน 50% ในอนาคต

ปัจจุบันเนสท์เล่ให้งบประมาณ R&D ราว 2-3% ของยอดขายในการพัฒนานวัตกรรมโปรดักต์ใหม่ ประเทศไทยในงบประมาณในสัดส่วนดังกล่าว ซึ่งการพัฒนาสินค้าทางเลือกสุขภาพแต่ละผลิตภัณฑ์จะใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน บางตัวใช้เวลา 4 เดือน บางตัว 2 ปี แต่จะมีสินค้าออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องทุกปี

เปิดแคมเปญเนสท์เล่คนไทยแข็งแรง

เนสท์เล่ทำตลาดไทยมากว่า 126 ปี ภายใต้แนวคิด Good Food, Good Life ปัจจุบันคนไทยบริโภคสินค้าของเนสท์เล่วันละ 1 ล้านคน ล่าสุดได้เปิดตัวแคมเปญประจำปี 2562 เนสท์เล่คนไทยแข็งแรง ด้วย “3 อ” ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ เพื่อสนับสนุนนโยบายด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข

สำหรับแคมเปญ “เนสท์เล่คนไทยแข็งแรง” ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 85 ล้านบาทในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บฟิล์ม 3 ตอน ที่นำรูปแบบของรายการขายตรงแบบโฮมช้อปปิ้งทางทีวี โดยใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ที่หาง่ายๆ ภายในบ้าน มาทำให้เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยออกกำลังกาย ที่ทุกคนเริ่มต้นทำได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

รวมทั้งกิจกรรมสื่อดิจิทัลและสื่อโซเชียลมีเดีย โดยร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ โปรโมตแนวคิด “3 อ” ให้เข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ การเปิดตัว ซูเปอร์มัมแช็ตบอต เป็นสื่อกลางในการให้ความรู้ด้านโภชนาการด้วยกิจกรรมและช่องทางการสื่อสารต่างๆ คาดว่าแคมเปญนี้จะเข้าถึงผู้คนกว่า 10 ล้านคนทั่วประเทศไทย

]]>
1220894