ไทยพาณิชย์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 10 Nov 2023 04:12:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ดาวเหนือ” ดวงใหม่ของ “SCB” กับทฤษฎี “เก้าอี้ 3 ขา” ภายใต้ยุคซีอีโอ “กฤษณ์​ จันทโนทก” https://positioningmag.com/1451316 Thu, 09 Nov 2023 13:57:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451316
  • กลยุทธ์ใหม่ภายใต้ยุคซีอีโอ “กฤษณ์ จันทโนทก” ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มุ่งสร้างชื่อเป็นเบอร์ 1 เรื่องการจัดการ “ความมั่งคั่ง” (Wealth Management) และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก “ดิจิทัล” (Digital Revenue) เป็น 25% ของรายได้รวม
  • “Digital Bank with Human Touch” สโลแกนใหม่ในการให้บริการ เมื่อ “คน” ยังเป็นจุดแข็งของธนาคาร แต่ปรับการบริหารภายในด้วยทฤษฎี “เก้าอี้ 3 ขา” พร้อมยกเครื่อง “เทคโนโลยี” ใหม่หมดให้ทุกอย่างสะดวกขึ้น
  • “เราประชุมกันแล้วพบว่าคู่แข่งแบงก์อื่นเขามีภาพที่ชัดมากว่าเขาจับกลุ่มเป้าหมายแบบไหน แล้วเราล่ะ? พอถามไปในที่ประชุมก็พบว่า SCB เราไม่ชัดเจนว่าเป้าหมายเราคือใคร” กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวย้อนถึงช่วงแรกหลังเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2565 อยู่ในช่วงวางกลยุทธ์-เป้าหมายของธนาคาร และพบว่า SCB ต้องการเป้าหมายที่ชัดว่าจะมุ่งไปทางไหน

    ภาพที่เห็นนี้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าธนาคารไทยพาณิชย์ไม่เข้มแข็ง แต่เป็นเพราะธนาคารมีผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมากจนไม่ได้มีภาพชัดเจนในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ

    “แต่ระหว่างประชุม เราพบว่าเรามีลูกค้า wealth (กลุ่มบริหารจัดการความมั่งคั่ง) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของไทย และเรามีการลงทุน offshore (การลงทุนในต่างประเทศ) เยอะมาก เราจึงมองเรื่องนี้ว่าสามารถเป็น ‘ดาวเหนือ’ ดวงใหม่ของธนาคารได้” กฤษณ์กล่าว

    SCB กฤษณ์ จันทโนทก
    กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

    ปัจจุบัน SCB จึงมีกลยุทธ์สำคัญ 2 กลยุทธ์ที่วางไว้เป็นเป้าหมายในปี 2568 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ได้แก่

    1) ขึ้นสู่ “เบอร์ 1” ด้านการจัดการ “ความมั่งคั่ง” (Wealth Management)

    การเป็นเบอร์ 1 วัดจากหลายด้านทั้งด้านสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM), การเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า และสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับพอร์ตลูกค้าได้

    แนวโน้มความเป็นไปได้นั้นมีสูง เพราะ SCB หันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจจัดการความมั่งคั่งมาตั้งแต่ 5 ปีก่อน โดยแยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่มีสินทรัพย์ 2-100 ล้านบาท และ กลุ่มที่มีสินทรัพย์มากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มหลังจะบริหารด้วยบริษัทร่วมทุน “SCB Julius Baer”

    ทิศทางการเติบโตจากปี 2560 กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่งทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 7% ของรายได้รวม แต่ในปีนี้พุ่งขึ้นมาเป็น 20% ของรายได้รวม จึงเป็นธุรกิจที่กลายเป็นคีย์สำคัญของแบงก์

    เราพบว่าเรามีลูกค้า wealth สูงเป็นอันดับต้นๆ ของไทย และเรามีการลงทุน offshore เยอะมาก เราจึงมองเรื่องนี้ว่าสามารถเป็น ‘ดาวเหนือ’ ดวงใหม่ของธนาคารได้

    2) เพิ่มสัดส่วนรายได้จากดิจิทัล (Digital Revenue) ขึ้นเป็น 25%

    เนื่องจากผู้บริหารและพนักงาน SCB ทุกคนเห็นตรงกันว่า “ดิจิทัล” คือโจทย์ใหม่ทางธุรกิจในอนาคต และต้องทำเพื่อให้ธนาคารออกตัวนำหน้าดิจิทัลแบงก์รายใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดอย่างน้อย 5-10 ปี

    เป้าสร้างรายได้จากดิจิทัลที่จะเพิ่มให้เป็น 1 ใน 4 ของรายได้รวมนี้ถือเป็นเป้าที่ท้าทายมาก เพราะเมื่อปีก่อนในช่วงซีอีโอกฤษณ์รับตำแหน่ง รายได้จากดิจิทัลยังมีสัดส่วนเพียง 3-4% ของรายได้รวมเท่านั้น

    กฤษณ์ระบุว่า รายได้ดิจิทัลของธนาคารนิยามแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ “กลุ่มรายได้ทางตรง” เป็นการนำโปรดักส์ที่เคยต้องขายผ่านสาขาหรือผ่านพนักงาน เช่น กองทุน ประกัน ไปขายผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น SCB Easy ได้สำเร็จ และอีกกลุ่มคือ “กลุ่มรายได้ทางอ้อม” หมายถึงรายได้นั้นเกิดจากการที่พนักงานใช้เครื่องมือ AI ของธนาคารช่วยในการเปิดการขายและขายได้สำเร็จ ถือว่าดิจิทัลมีส่วนช่วยให้พนักงานทราบความต้องการของลูกค้า

     

    เรื่อง “คน” ยังเป็นจุดแข็ง…แต่ต้องยกเครื่อง “เทคโนโลยี”

    เป้าหมายวางไว้เรียบร้อย แต่การจะไปให้ถึง ‘ดาวเหนือ’ ต้องมาดูสิ่งที่มีในองค์กร และจะปรับอย่างไรให้ร่วมสมัยโดยไม่ต้องละทิ้งสิ่งเดิม

    กฤษณ์มองว่า จุดแข็งของธนาคารไทยพาณิชย์คือเรื่อง “คน”

    “พนักงานที่นี่มีมากกว่า 20,000 คน และผมพบว่าคนไทยพาณิชย์รักองค์กรมาก บางคนอยู่ที่นี่มานานกว่า 20 ปี” กฤษณ์กล่าว

    SCB กฤษณ์ จันทโนทก

    ขณะที่สิ่งใหม่ที่จะต้องนำมาผสมผสานคือ “เทคโนโลยี” ให้การบริการเป็นเนื้อเดียวกัน จึงเกิดเป็นสโลแกน “Digital Bank with Human Touch” คือ การบริการที่ SCB จะยังมี “คน” ทำหน้าที่สร้างความเชื่อใจกับลูกค้า แต่มี “เทคโนโลยี” มาเสริมทัพเพื่อสร้างความสะดวกสบาย และทำให้คนรู้ใจลูกค้าได้ดีขึ้น

    แนวทางการบริหารของกฤษณ์จึงวางไว้ด้วยทฤษฎี “เก้าอี้ 3 ขา” คือ

    ขาแรก“ลูกค้า” ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการทำงาน ลูกค้าต้องมีความสุขในการใช้บริการ

    ขาที่สอง“พนักงาน” พนักงานจะต้อง ‘สนุก สามัคคี สำเร็จ’ สร้างความเชื่อมั่นว่าแบงก์จะยังคงอยู่และไปต่อ ให้ทุกคนสนุกและสามัคคีกันในการทำงาน เพื่อสร้างความสำเร็จ

    ขาที่สาม“ผู้ถือหุ้น” เมื่อพนักงานมีความสุข และลูกค้ามีความสุข ผู้ถือหุ้นจะได้กำไรคืนกลับไปอย่างแน่นอน

    ในส่วน “เทคโนโลยี” เป็นอีกกุญแจสำคัญที่ SCB จะยกเครื่องครั้งใหญ่ โดยวางงบไว้ปีละ 8,000 ล้านบาทในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2567-70) เพื่อปรับระบบภายในให้สอดรับกับการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ธนาคารจะต้องใช้ดาต้าและ AI ได้เต็มประสิทธิภาพ

     

    3Q แรกกำไรพุ่ง 21% จากการคุมต้นทุน

    หลังเข้ามาคุมทัพ SCB ได้ 1 ปีกว่า กฤษณ์ประกาศผลประกอบการล่าสุดของธนาคารไทยพาณิชย์ช่วง 3 ไตรมาสแรก ปี 2566 ทำกำไรสุทธิ 3.66 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

    แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่เติบโตขึ้นทั้งตลาด หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

    แต่อีกส่วนหนึ่งมาจาก “การควบคุมค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income)” ได้สำเร็จ ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 41% ปีนี้เหลือ 37.4% ซึ่งทำได้เพราะมีการปรับการทำงานให้เป็นดิจิทัล (digitize) ในองค์กร ตามปรัชญา ‘ทำงาน 20% แต่ได้ผลลัพธ์ 80%’ รวมถึงมีการลดลำดับชั้นบริหารในองค์กร เพื่อให้การทำงานเข้าใจเป้าหมายเดียวกันได้ดีขึ้น และคล่องตัวกว่าในการทำงาน

    การปรับเปลี่ยนของไทยพาณิชย์จะยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นในปี 2567 เมื่อกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อนั้นเราน่าจะได้เห็นเส้นทางที่ชัดขึ้นว่า SCB จะไปสู่ดาวเหนืออย่างไร!

    ]]>
    1451316
    “ไทยพาณิชย์” ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 5.2 หมื่นล้านใน 9 เดือนแรก เร่งเครื่องธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero https://positioningmag.com/1450827 Wed, 08 Nov 2023 03:40:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450827

    ในยุคปัจจุบันภาคธุรกิจได้ให้ความสำคัญถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เลยทำให้ได้ยินคำว่า ESG หรือ Net Zero กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แค่เทรนด์ หรือกระแสที่ทำแค่ชั่วครู่ชั่วคราว แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่องค์กรได้วางกันในระยะยาว เราจึงได้เห็นหลายบริษัทกำหนดเป้าเส้นทางสู่ Net Zero ภายในกี่ปีกันมากขึ้น

    ทั้งนี้ในเป้าหมายที่จะไปสู่ Net Zero นั้นจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งองค์กร ลูกค้า รวมถึงภาคสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อในการลงทุนต่างๆ ด้วยเช่นกัน

    “ธนาคารไทยพาณิชย์” เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยให้เส้นทาง Net Zero ประสบความสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น ล่าสุดได้ประกาศความสำเร็จให้การสนับสนุนการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) ตลอด 3 ไตรมาสแรก ทะลุ 52,000 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของเป้าหมาย 3 ปี ที่ตั้งไว้ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2025 เดินหน้าปรับการดำเนินงานภายในธนาคารสู่ Net Zero ในปี 2030 พร้อมผลักดันการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมโดยรวมสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน

    นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ดำเนินธุรกิจอยู่คู่กับคนไทยมากว่า 116 ปี เรายึดมั่นในการดำเนินองค์กรเพื่อความยั่งยืนบนหลักการธรรมาภิบาลโดยตระหนักถึงการสร้างคุณค่าให้แก่องค์กร ลูกค้า และสังคมโดยรวม เมื่อทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับการนำนโยบาย ESG เข้ามาผสานไว้ในแผนธุรกิจเพื่อรักษาขีดความสามารถและการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการปฏิบัติงานเพื่อมุ่งสู่ Net Zero จากการดำเนินงานภายในของธนาคารภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อ และการลงทุนภายในปี 2050 โดยมุ่งเน้นการนำพาองค์กร ลูกค้า และสังคม ให้ก้าวไปข้างหน้า สร้างการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”

    สำหรับเป้าหมายเส้นทาง Net Zero ของไทยพาณิชย์นั้น มีแนวทางปฏิบัติใน 3 ส่วน ได้แก่

    1. ปรับภายในองค์กรสู่ Net Zero ภายในปี 2030

    ธนาคารได้เริ่มทยอยปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานในอาคารสำนักงานใหญ่เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ ลดการใช้พลังงานในอาคาร 10-15% ด้วยการเพิ่มแสงสว่างในอาคาร การเปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED และระบบถ่ายเทความร้อนในอาคารเตรียมการติดตั้ง Solar Cell ที่สำนักงานใหญ่ เปลี่ยนเป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R32 ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า 3,000 เครื่องรวมถึงเปลี่ยนการใช้รถยนต์เป็นรถ EV100% โดยคาดว่าการดำเนินการทั้งหมดจะสำเร็จ 100% ภายในปี 2028

    1. สนับสนุนสินเชื่อยั่งยืนให้ลูกค้าสู่ Net Zero ภายในปี 2050

    ธนาคารต้องการมีส่วนในการผลักดันให้ลูกค้าทุกกลุ่มเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ Low Carbon Economy เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เส้นทางของ Net Zero ร่วมกัน ผ่านการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ในรูปแบบต่างๆ ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมีเป้าหมายการให้สินเชื่อและการลงทุนจำนวน 100,000 ล้านบาทภายในปี 2025 พร้อมด้วยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับองค์กรให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถปรับตัวรองรับกับโลกใหม่ที่ยั่งยืนไปด้วยกันได้

    1. สร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมตระหนักรู้

    ให้ความรู้แก่ลูกค้าธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ และ SME เพื่อปรับตัวสู่ความยั่งยืน โดยปีนี้มีลูกค้าสนใจเข้าร่วมกว่า 500 บริษัท ดำเนินโครงการการช่วยเหลือสังคมเพื่อความยั่งยืนของสังคม และสิ่งแวดล้อม รวมกว่า 14 โครงการหลัก อาทิ โครงการปลูก และอนุรักษ์ป่าโครงการจัดหาแหล่งน้ำการพัฒนาชีวิตเยาวชน และชุมชนที่ดำเนินการมามากกว่า 30 ปี มุ่งเน้นผลักดันให้ภาคธุรกิจ และประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เพื่อให้คนไทยเห็นภาพตรงกันว่าเราต้องเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกัน

    สำหรับสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 52,000 ล้านบาทในระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2023 ครอบคลุมการสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคาร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในกว่า 11 อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ อาทิ การท่องเที่ยว พลังงาน และภาคการผลิต เป็นต้น โดยมุ่งเน้นโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ไฟฟ้าพลังงานทางเลือกจำนวน 12,600 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 10,000 ล้านบาท การสนับสนุนการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า 26,100 ล้านบาท รวมทั้งธุรกิจ SME SSME และลูกค้าบุคคลอีกกว่า 3,000 ล้านบาท

    ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมจะเป็นกำลังสำคัญ ผ่านการทำหน้าที่ของสถาบันการเงินหลักของประเทศด้วยความมุ่งมั่น และจะเป็นผู้นำในการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อความยั่งยืนแก่ลูกค้าทุกระดับ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศและโลกไปสู่เป้าหมาย Net Zero และการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนร่วมสนับสนุนในการให้ความรู้แก่องค์กรต่างๆ ในการบูรณาการแนวทางความยั่งยืนให้เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อให้ทุกคนสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

    #SCB #SCBSustainability

    ]]>
    1450827
    แบงก์นี้ใจใหญ่! รับโฆษณาร้านให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย “ฟรี” ช่วยเหลือกันช่วงเศรษฐกิจซบเซา https://positioningmag.com/1449300 Thu, 26 Oct 2023 06:50:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449300

    SCB เปิดแคมเปญ “โฆษณาร้านค้าให้ฟรี จากสินเชื่อมณีทันใจ” อัดงบ 10 ล้านบาท ทำการตลาดให้กับผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) ที่ได้รับคัดเลือก 52 ร้าน หวังช่วยแบ่งเบาภาระค่าการตลาดให้กับพ่อค้าแม่ค้า ผลักดันร้านค้าที่มีสินค้าดี ไอเดียดี ในยุคแข่งขันสูง

    ในยุคเศรษฐกิจแข่งขันสูง กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) หรือพ่อค้าแม่ค้า คือกลุ่มที่ต้องต่อสู้อย่างยากลำบากมากที่สุด ด้วยภาระต้นทุนการผลิตที่ต้องแบกรับท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันการทำการตลาดก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น แต่นั่นคือภาระต้นทุนที่จะทับถมมากขึ้นไปอีกสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย

    ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เล็งเห็นถึงภาระและข้อจำกัดด้านเงินทุนของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า จึงจัดตั้งแคมเปญ “โฆษณาร้านค้าให้ฟรี จากสินเชื่อมณีทันใจ” ขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แคมเปญนี้มุ่งหวังแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยการทำการตลาด โฆษณาร้านค้าให้กับผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับคัดเลือกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย


    บูสต์โพสต์ฟรี-ฝากร้านให้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยโฆษณา

    “ดร.ชาลี อัศวธีระธรรม” รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Digital Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารไม่ได้เพียงแต่นำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ผ่านการสร้างเครือข่ายที่จุนเจือ เกื้อกูล และแบ่งปันกัน

    นั่นจึงเป็นที่มาของแคมเปญ “โฆษณาร้านค้าให้ฟรี จากสินเชื่อมณีทันใจ” ที่ธนาคารใช้งบลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือด้านการตลาดให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ดำเนินธุรกิจต่อได้อย่างราบรื่น

    ภายใต้แคมเปญนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดรับสมัครร้านค้าเข้าร่วมแคมเปญ มาฝากร้านเพื่อรับการโปรโมตฟรีกับทางธนาคารระหว่างวันที่ 8-12 กันยายน 2566 โดยมีร้านค้าที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมด 52 ร้าน กระจายไปในหมวดหมู่ต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านเสื้อผ้า ร้านสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ร้านอุปกรณ์การเกษตร เป็นต้น

    หลังจากนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ได้นำภาพและข้อมูลของร้านที่ได้รับคัดเลือก ทยอยลงโปรโมตในลักษณะอัลบัมรูปโพสต์ผ่านทาง Facebook Page: SCB Thailand พร้อมลงงบโฆษณาบูสต์โพสต์ให้ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566

    นอกจากนี้ ยังมีการคัดเลือก 15 ร้านค้าเพื่อรับการโปรโมตโดยอินฟลูเอนเซอร์พันธมิตรของธนาคารผ่านช่องทาง TikTok โดยมีครีเอเตอร์ที่มาร่วมแคมเปญ เช่น สูตรลับหลังร้าน (@smecookingsecrets), Gluta Story (@glutastory), ThomasTom และสยาโม (@tangmomovoice) เป็นต้น


    ดึง “พลอย-ชิดจันทร์” – “โต้ง-ทูพี” ช่วยโปรโมตแคมเปญ

    ในช่วงเปิดตัวแคมเปญ “โฆษณาร้านค้าให้ฟรี จากสินเชื่อมณีทันใจ” ธนาคารไทยพาณิชย์ยังลงทุนโปรโมตแคมเปญนี้ด้วยซีรีส์หนังโฆษณาทั้งหมด 5 ชิ้น ซึ่งได้นักแสดงและนักร้องดังอย่าง “พลอย-ชิดจันทร์” และ “โต้ง-ทูพี” มาร่วมถ่ายทำ

    ในโฆษณาชุดนี้มีการโปรโมต SSME ไปทั้งหมด 4 ร้าน ได้แก่

    • ร้านเตี๋ยวกะตํา By’Pond ครบทุกรสที่เดียว มีมากกว่า 120 เมนู ราคาเริ่มต้นเพียง 35 บาท
    • ร้าน Destiny Nail & Spa เล็บบรรเจิดเลิศทุกลาย มีทั้งแวกซ์และสปาสูตรพิเศษ
    • ร้าน Star Award and Trophy เล็ก ใหญ่ ไทย อินเตอร์ เหรียญ ถ้วย โล่ มีครบทุกรางวัล ที่ซอยจุฬาฯ 6
    • ร้านโชคทรัพย์อนันต์ฟิชชิ่ง จำหน่ายอุปกรณ์ตกปลา & เหยื่อตกปลาทุกชนิด อยู่บางขุนเทียนชายทะเล

    โฆษณาชุด “โฆษณาร้านค้าให้ฟรี จากสินเชื่อมณีทันใจ” มีผู้เข้าชมผ่านทาง YouTube มากกว่า 7.6 แสนครั้ง และธนาคารไทยพาณิชย์ยังส่งโฆษณาประชาสัมพันธ์แคมเปญขึ้นป้ายบิลบอร์ดดิจิทัลนอกบ้าน (DOOH) รวมถึงป้าย ณ จุดขายใน 7-Eleven ทั่วประเทศด้วย

    จากการประชาสัมพันธ์แคมเปญทั้งหมด ทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดี มีร้านค้าฝากร้านเข้ามาสมัครรับสิทธิโปรโมตฟรีกับทางธนาคารฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางธนาคารไทยพาณิชย์หวังว่าจะได้เป็นกำลังใจ ส่งแรงสนับสนุนให้กับพ่อค้าแม่ค้าทุกคน

    ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ยังมีโซลูชันด้านการเงินที่สามารถช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยได้ คือ ผลิตภัณฑ์ “สินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ” ตอบโจทย์เรื่องการเป็นผู้ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย เพียงมีบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ และรับชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารอย่างน้อย 1 ช่องทาง เช่น รับเงินโอนจากลูกค้าผ่านพร้อมเพย์ หรือโอนเข้าบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเดือนละ 25,000 บาท ต่อเนื่องทุกเดือนในรอบ 3 เดือนล่าสุด ไม่ต้องส่งเอกสาร ไม่ต้องใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็สามารถกดขอสินเชื่อมณีทันใจ ผ่านแอป SCB EASY รู้ผลอนุมัติไวสุดใน 5 นาที ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่ 10,000 – 500,000 บาท ผ่อนสบายนานสูงสุด 60 เดือน

    สมัครผ่านแอป SCB EASY คลิก https://link.scb/2G5PRAr
    ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://link.scb/33FQ2hK
    **เงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด**

    ]]>
    1449300
    ไทยพาณิชย์ ห่วงใยสังคมไทย ส่งแคมเปญ “แก้ เกม กล โกง” สร้างความตระหนักให้ประชาชนรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงมิจฉาชีพยุคใหม่ https://positioningmag.com/1441427 Fri, 18 Aug 2023 10:00:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441427

    ธนาคารไทยพาณิชย์ มีความห่วงใยสังคมไทยและตระหนักถึงผลกระทบจากภัยทุจริตทางการเงินของมิจฉาชีพที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอดเวลา โดยจากสถิติยอดแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 พฤษภาคม 2566 พบว่ามีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 38,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 74 ล้านบาท/วัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารได้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางป้องกันภัยทางการเงิน ควบคู่กับการยกระดับความปลอดภัยของระบบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด พร้อมทั้งมีการสื่อสารไปยังลูกค้าเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ด้านภัยทุจริตทางการเงิน รวมถึงภัยจากไซเบอร์ อย่างต่อเนื่อง จากมูลค่าความเสียหายที่มหาศาลที่ประชาชนต้องสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการทำธุรกรรมทางการเงินในระยะต่อไป ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงเล็งเห็นว่าลูกค้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยของมิจฉาชีพได้อย่างเท่าทันและมีประสิทธิภาพ ธนาคารจึงจัดทำโครงการ “แก้ เกม กล โกง” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้คนไทย ตื่นตัว รับรู้ เข้าใจ และรู้ทันวิธีป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน และภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยตนเอง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. อัปเดตกลโกง 2. วิธีป้องกันโกง 3. ถ้าโดนโกงแล้วต้องทำอย่างไร พร้อมทั้ง การแจ้งข่าวสาร ประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับภัยมิจฉาชีพ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับ The Standard สำนักข่าวออนไลน์ชั้นนำของเมืองไทย พัฒนาโครงการ พร้อมร่วมจัดทำคอนเทนต์เตือนภัยมิจฉาชีพสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เป็นประโยชน์ สร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้างผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย อีกด้วย

    โดยการจัดทำโครงการ “แก้ เกม กล โกง” ครั้งนี้ ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถสร้างความตระหนักแก่ภาคธุรกิจและประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ พร้อมยืนหยัดเดินหน้ายกระดับความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยมาตรการการป้องกัน ติดตามและให้ความช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อลูกค้ามีความเสี่ยงจากภัยทุจริตทางการเงิน ควบคู่กับการสื่อสารและเตือนภัยให้แก่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยทางการเงินที่อาจสร้างความเสียหายในวงกว้างและอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินและองค์กรต่างๆ โดยรวม

    สามารถติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคจากโครงการ “แก้ เกม กล โกง” ได้ที่ Social media ของธนาคารไทยพาณิชย์ และ The Standard ทุกช่องทาง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    ]]>
    1441427
    “ไทยพาณิชย์” ส่ง “สินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ” พร้อมทัชใจแม่ค้าทั่วไทยด้วย Music Marketing https://positioningmag.com/1433308 Thu, 08 Jun 2023 04:00:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433308

    ประเทศไทยขึ้นชื่อว่ามีผู้ประกอบการ sSME จำนวนมากอยู่ทั่วประเทศ ผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำธุรกิจส่วนตัวทั่วไป แต่ยังรวมเหล่าพ่อค้าแม่ค้าร้านอาหารต่างๆ อีกด้วย ซึ่งข้อจำกัดของพ่อค้าแม่ค้าอยู่ที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ช่วยต่อยอดธุรกิจได้ ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลงได้

    ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นอีกหนึ่งธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของไทย ที่ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อยมาโดยตลอด เรียกว่าไม่ทิ้งให้พ่อค้าแม่ขายต้องเดินอย่างเดียวดาย แต่เดินเคียงข้างไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้ไทยพาณิชย์ได้ออกผลิตภัณฑ์ และบริการที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายย่อย

    ล่าสุดได้ต่อยอดโซลูชันทางการเงิน ส่ง “สินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ” เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ และบริการทางการเงินให้กับผู้ประกอบการธุรกิจทั่วประเทศ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าทั้งออนไลน์ และมีหน้าร้าน ภายใต้แนวคิด “กู้…เพื่อสู้” สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สำหรับคนค้าขายยุคใหม่ ที่รับเงินผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยจุดเด่น “สมัครง่ายผ่านแอปฯ SCB EASY รู้ผลอนุมัติไวสุดใน 5 นาที ไม่ต้องใช้เอกสารไม่มีบุคคลค้ำประกัน วงเงินสูงสุด 500,000 บาท”

    นอกจากตัวบริการจะปังแล้ว ไทยพาณิชย์ยังเลือกกลยุทธ์ในการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง โดยใช้ Music Marketing เป็นตัวขับเคลื่อน ดึง “สิงโต นำโชค” ศิลปินหนุ่มอารมณ์ดีมากความสามารถ และ “SEEDAA THEVILLAIN” ส่งเพลงสุดเอ็กซ์คลูกซีฟ “ทันทีทันใจ (SOS)” ซิงเกิ้ลที่ช่วยชาร์จพลังบวกในวันอ่อนล้า เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พ่อค้าแม่ค้าทั่วประเทศให้พร้อมสู้ต่อได้ทันทีกับสินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ

    ดร.ชาลี อัศวธีระธรรม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Digital Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

    “ดนตรีเป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน รองลงมาจากอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ สะท้อนให้เห็นว่าการฟังเพลงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงานที่มีพฤติกรรมฟังเพลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ ทำให้เรามองเห็นโอกาสในการทำการตลาดผ่านดนตรี (Music Marketing) ที่สามารถเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายผ่านอารมณ์ความรู้สึกพร้อมสร้างการรับรู้ และการจดจำของโซลูชันทางการเงิน “สินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ” ที่เราได้ต่อยอดภายใต้แนวคิด “กู้…เพื่อสู้” สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สำหรับคนค้าขายยุคใหม่ ที่รับเงินผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์”

    ผู้ประกอบการหลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการยื่นขอสินเชื่อต่างๆ ใช้เอกสารเยอะบ้าง ใช้เวลาพิจารณานานบ้าง มีขั้นตอนยุ่งยากบ้าง แต่ “สินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ” เข้ามาทลายความยุ่งยากที่เคยมีอยู่ให้หมดไป เรียกได้ว่ามีเวลาเหลือไปทำธุรกิจได้อย่างเต็มที่

    สำหรับจุดเด่นของสินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจ ได้แก่

    1. รู้ผลอนุมัติไวสุดใน 5 นาที
    2. วงเงินสูงสุด 500,000 บาท
    3. ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน
    4. สมัครง่ายผ่านแอปฯ SCB EASY
    5. ไม่ต้องใช้เอกสาร
    6. ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน

    สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายการเงินเข้าบัญชีขั้นต่ำเดือนละ 25,000 บาท ต่อเนื่องทุกเดือนในรอบ 3 เดือนล่าสุดสมัครสินเชื่อมณีทันใจเพื่อธุรกิจ 3 ขั้นตอนง่ายๆ

    1. เปิดแอป SCB EASY เข้าไปที่แถบเมนูสมัครสินเชื่อ และบัตรเครดิต
    2. กรอกข้อมูลบนแอป SCB EASY
    3. กดสมัครเพื่อรู้ผลอนุมัติภายใน 5 นาที

    ในการทำ Music Marketing ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ตรงใจแล้ว ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Digital Bank with Human Touch” ในการนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาบริการทางการเงินที่รู้จักลูกค้าผ่านข้อมูลและรู้ใจลูกค้าผ่านความรู้สึกอย่างแท้จริง ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2566 สินเชื่อมณีทันใจ เพื่อธุรกิจจะเติบโตกว่า 30% และมีลูกค้ากว่า120,000 ราย

    สามารถติดตามรับชม “ทันทีทันใจ (SOS)” ได้แล้ววันนี้


    ผ่านทาง Youtube ช่อง SCB Thailand https://www.youtube.com/watch?v=WzkNsf038nQ

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-722-2222 และสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.scb.co.th/th/sme-banking/business-loan/manee-tanjai/tunjai-loan.html

     

    ]]>
    1433308
    เบื้องหลัง SCBX เท “บิทคับ” คริปโตดิ่งเหว-โดนโทษบ่อย-ปั่นเหรียญ KUB-บัญชีม้า-สองมาตรฐาน-การตลาดยุเยาวชน-ธรรมาภิบาลมีปัญหา https://positioningmag.com/1392049 Mon, 11 Jul 2022 05:35:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392049 บทความโดย ibit ผู้จัดการออนไลน์
    เบื้องหลังไทยพาณิชย์เทบิทคับตลาดคริปโตฯดิ่งเหว และ ด้วยวีรกรรมของยูนิคอร์นรายนี้เอง ทั้งจากการถูก ...ลงโทษและถูกปรับกว่า 11 ครั้ง ผู้บริหารขาดธรรมาภิบาลระบบงานมีปัญหา ตรวจพบบัญชีม้า นอมินี สร้างดีมานด์เทียม ปั่นราคา ให้คะแนนเหรียญ KUB ตัวเองเวอร์ สองมาตรฐาน อุ้มแต่รายใหญ่ ทิ้งรายย่อย เก็บค่าต๋งแพงลิบค่าธรรมเนียมเอาเปรียบ การตลาดที่ปลุกปั่นต้อนเยาวชน

    ดูท่าฝันจะค้างเสียแล้วสำหรับกลุ่มบิทคับเมื่อยานแม่กลุ่มไทยพาณิชย์ในนาม บริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX เริ่มลังเลเปิดตู้เซฟควักเงิน 1.78 หมื่นล้านบาทจ่ายแลกหุ้น 51% ใน บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ Bitkub กระดานเทรดคริปโตเคอร์เรนซี อันดับหนึ่งของไทย จนแวดวงตลาดทุนต่างพากันเชื่อว่า งานนี้ก็คือการบอกเทแบบสุภาพนั่นเอง

    ขณะที่แวดวงรายย่อยทั้งสายหุ้นและสายเหรียญต่างก็บ่นอุบเพราะโดนแกงโดย ณ ช่วงเวลานี้หลายฝ่ายมีความเชื่อว่าดีลดังกล่าวมีโอกาสล่มที่สูงมาก เพราะหากพิจารณาจากสำนวนตัวอักษรที่ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาให้ข้อมูลแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา (8 ..65) พอจะจับประเด็นได้ว่า กำหนดการเดิมที่หมายมั่นจะสู่ขอ Bitkub ขึ้นมาอยู่ในยานแม่ SCBX ไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในไตรมาสแรกปีนี้ นั่นเพราะดีลดิลิเจนท์ที่เข้าไปส่องดูบิทคับมานานกว่า 6 เดือนข้อมูลในการตรวจสอบที่ได้รับ น่าจะเป็นที่ไม่น่าพึงพอใจของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะในส่วนสาระสำคัญที่น่าจะเกิดปัญหา หรือไม่เป็นไปตามที่ต่างฝ่ายต่างคาดหวังไว้ระหว่างกัน

    อีกประเด็นที่น่าสนใจคือคำยืนยันจากไทยพาณิชย์ว่ายานแม่ของกลุ่มอย่าง SCBX จะดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามกฏเกณฑ์และข้อกำหนดของ Regulator ที่เกี่ยวข้อง หรือพูดง่ายๆ ว่าออกมาย้ำจุดยืนของตนเองว่าจะไม่มีการแหกคอกเกิดขึ้น เพียงเพื่อหวังจะคว้าดีลๆ เดียว แต่อาจสร้างผลกระทบให้กับการดำเนินธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่ม โดยเน้นย้ำในข้อความชี้แจงว่า ….. “ดีลดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจของบิทคับ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจและคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน

    ก่อนจะปิดท้ายอย่างสุภาพว่าปัจจุบันยังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบทางธุรกิจ และระหว่างการหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยมีการขยายเวลาการเข้าทำธุรกรรมออกไปจากกำหนดการเดิม แบบไม่ขอระบุช่วงเวลาที่ชัดเจนจนอาจรัดคอตนเอง นั่นทำให้โอกาสรับทรัพย์ก้อนโตของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในบิทคับเป็นอันต้องฝันค้างเอาไว้ต่อไป รวมศิริอายุของดีลผ่านพ้นมาแล้ว 8 เดือน จากวันที่เขย่าวงการตลาดทุน หรือตลาดคริปโตฯไทยเมื่อเมื่อวันที่ 2 .. 64 

    ผู้ถือหุ้นโล่งไม่ต้องจ่ายโอเวอร์?

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พบว่า นักลงทุนต่างมีความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยในกลุ่มที่ลงทุนในหุ้นของ SCB ณ ช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่พอใจกับข้อมูลที่ชี้แจงออกมา เนื่องจากเชื่อว่าการเข้าลงทุนในบิทคับในช่วงเวลานี้มีความเสี่ยงทั้งจากสภาวะตลาดเหรียญคริปโตฯ ที่อยู่ในช่วงขาลงในทุกตลาดทั่วโลกนั่นย่อมส่งผลให้มูลค่าของเหรียญ KUB Coin ลดลงไปในทิศทางเดียวกับเหรียญอื่นๆ และนั่นย่อมส่งผลให้จำนวนผู้เข้ามาลงทุนผ่านกระดานเทรดบิทคับ ออลนไลน์อ่อนตัวลงไปด้วย ซึ่งน่าจะมีผลให้มูลค่าในการเข้าซื้อหุ้น 51% ด้วยเม็ดเงิน 1.78 หมื่นล้านบาทไม่สมเหตุสมผล

    ขณะเดียวกันบางส่วนยังเชื่อว่า เหตุผลที่ SCB เลื่อนการเข้าลงทุนเป็นเจ้าของกระดานเทรดเหรียญ น่าจะมาจากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เป็นไปตามที่ทั้งสองฝ่ายคาดการณ์ไว้ หรือไม่ตรงปกอาทิเรื่องของอัตราการเติบโตของธุรกิจ หรือกรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของดีลที่เจรจาร่วมกันไว้ 

    เพราะที่ผ่านมานอกเหนือจากข่าวดีในด้านการขยายตลาดและการเติบโตธุรกิจ Bitkub ข่าวด้านลบออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการถูกกล่าวโทษ หรือถูกปรับจาก regulator อย่างคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) ตลอดจนแผนการตลาดซึ่งเป็นที่ค้านสายตาหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะการเชิญชวนเข้ามาลงทุนในเหรียญ KUB ด้วยเม็ดเงินเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับโอกาสของผลตอบแทนในอนาคต “10บาทก็ลงทุนได้จนถูกใครต่อใครมองว่าเป็นบ่อนพนัน หนำซ้ำยังแทรกซึมเข้าไปในสถานศึกษาต่างๆ เข้ามาลงทุน

    มูลค่าการเข้าลงทุนรอบนี้สูงมาก ช่วงประกาศข่าวออกมาถือว่าเป็นปรากฏการณ์แก่ตลาดทุนและตลาดเหรียญคริปโตฯ เลยก็ว่าได้ แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อเทียบกับ Binance รายใหญ่ระดับโลกที่จับมือกับ Gulf บริษัทจดทะเบียนใหญ่ในตลาดหุ้นร่วมกันจัดตั้งธุรกิจหลายคนเริ่มมองว่าลงทุนได้ฉลาดกว่า และใช้ต้นทุนได้ต่ำกว่ามาก

    ตลาดคริปโตดิ่งเหวมูลค่าลดฮวบ

    นอกจากนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า หากดีลดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จริงราคาที่ใช้ในการซื้อขายหุ้น 51% ไม่ควรจะเป็น 1.78 หมื่นล้านบาทเหมือนตอนแรก เมื่อเทียบกับสภาวะตลาดคริปโตฯในปัจจุบันที่ดิ่งเหว ดังนั้นหากดันทุรังตัวเลขเดิมในการดีลอาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ซื้อ

    อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่ประเมินกันในตอนแรกที่ 1.78 หมื่นล้าน ว่ากันว่า เป็นตัวเลขที่สูงเกินจริงไปมากอยู่แล้ว ขณะนั้นบิทคับได้โชว์ตัวเลขผลประกอบการที่ระบุว่า สามารถทำกำไรได้ปีละกว่า 2 พันล้าน โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 1,000% ตลอดสามปีที่ผ่านมา ทว่า นับแต่ค้นปี65 จนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่า ภาวะตลาดคริปโตฯผันผวนตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้มูลค่า และโอกาสทำรายได้ของบิทคับก็ลดลงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    Photo : Shutterstock

    แม้ว่าตลาดจะตกต่ำ และแม้ว่า บิทคับ จะมีปัญหาอย่างไร 7-8 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารไทยพาณิชย์ กลับไม่แสดงท่าทีจะบอกให้ชัดเจนว่า จะไปต่อ หรือ พอกันทีกับดีล บิทคับ ไม่ยอมตอบกระทั่งข้อซักถามของผู้ถือหุ้นในการการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนปล่อยให้มีข้อสังสัยกันเรื่อยมาว่า เพราะอะไร?

    ว่ากันว่า ที่ SCBX ยื้อเวลามานานไม่ปล่อยมือจากบิทคับ มีคำถามว่า นั่นเพราะ นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กับ นายจิรายุส หรือ ท๊อป ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง บิทคับ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันดี ใช่หรือไม่? ซึ่งที่ผ่านมา ทราบกันดีว่า นายอาทิตย์ เป็นผู้ผลักดันดีลนี้มาตั้งแต่ต้น ออกตัวแรงว่าต้องการจะให้ธนาคารซื้อหุ้นของบิทคับ โดยพยายามโน้มน้าวผู้บริหารไทยพาณิชย์คนอื่นๆ ให้เห็นด้วย ทั้งๆ ที่หลายคนก็ฝืนใจโดยไม่เห็นด้วยนัก

    ส่วนฝั่งท๊อป จิรายุส ผู้ขาย หากดีลนี้ไม่เกิดขึ้น นอกจากจะฝันค้างถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้ากระเป๋าส่วนตัวหลายพันล้าน ย่อมต้องมีผลกระทบเกิดขึ้นกับพาร์ตเนอร์ธุรกิจรายอื่นๆ ที่เข้ามาแล้ว และกำลังจะเข้ามาร่วมมือในอนาคต

    การได้อยู่ใต้ร่มเงาของ SCBX ย่อมช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การเรียกร้องราคาความร่วมมือย่อมโก่งราคาได้มากกว่า แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในส่วนหนึ่งของแผนยานแม่ มูลค่าที่พันธมิตรรายอื่นๆ ที่ควักจ่ายไว้อาจต้องมีเงินทอนคืน หรือความน่าสนใจเข้าร่วมมือที่ลดลง นอกจากนี้ ด้วยเงื่อนไขสัญญาที่พันธมิตรจะต้องมีการลงทุนในเหรียญ KUB แม้จะเคยออกมาการันตีรับซื้อคืนในราคาเดิม แต่ระยะเวลาที่ต่างกัน และสถานการณ์ที่ต่างกัน บางทีเงินที่ประกาศรับซื้อคืนในราคาเดิมก็อาจสร้างปัญหาในอนาคตได้เช่นกัน

    วีรกรรมบิทคับทำพิษ

    จริงๆ มีหลายฝ่ายเห็นว่า ไทยพาณิชย์ ไม่ควรจะซื้อบิทคับตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถ้าไม่นับตลาดคริปโตฯที่ดิ่งนรก ด้วยการกระทำของตัวเองของบิทคับในช่วงที่ผ่านมา และจากการเข้าไปตรวจสอบของธนาคารเองก็น่าจะได้เห็น ว่า ภาพที่สร้าง ไม่เหมือน ภาพจริงที่ปรากฏ ใช่หรือไม่ ป้ายโฆษณาชวนเชื่อมต่อโลกอนาคตของนายท็อปที่ติดอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างสวยหรู ภาพจริง Bitkub ถูกตรวจสอบ หรือถูกติดตามการกระทำในหลายด้าน ดังที่ “ibit” เคยวิเคราะห์และไล่เรียงให้ฟังดังนี้

    สร้างวอลุ่มเทียมเรียกแขกเข้าวง

    โดยสามารถสรุปได้ อาทิ 1.ปั่นวอลุ่มเทียมหลอกนักเทรด จากกรณี ก...ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 3 ราย กรณีสร้างปริมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub (ศูนย์ซื้อขาย Bitkub) ของบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินรวม 24.16 ล้านบาท พร้อมกับกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร

    เนื่องจาก ก..ต พบเหตุสงสัยว่า อาจมีการสร้างปริมาณเทียมในศูนย์ซื้อขาย Bitkub จึงได้ตรวจสอบโดยพบการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดของบุคคล 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท บิทคับ (2) นายอนุรักษ์ เชื้อชัย (Market Maker) ร่วมกันในการส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขาย (3) นายสกลกรย์ สระกวี ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัท สั่งการ หรือกระทำการหรือไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้บริษัท บิทคับ กระทำความผิดดังกล่าวในช่วงก..2562

    ระบบงานและบริการที่ยังมีปัญหา

    ประเด็นถัดมาที่หลายฝ่ายเชื่อว่ามีผลต่อการตัดสินใจดีล SCBX ถูกให้น้ำหนักไปที่ระบบสารสนเทศ และรับงานให้บริการลูกค้าที่เคยมีปัญหาจนถูก ก...สั่งให้ดำเนินการแก้ไข อาทิ ในช่วงเดือนมกราคม 2564 “บิทคับ ออนไลน์ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รายงานเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบสารสนเทศที่มีความสำคัญ ประเภทระบบหยุดชะงัก (system disruption) ต่อสำนักงานล่าช้ากว่าระยะเวลาที่ประกาศกำหนด เป็นจำนวน 6 ครั้ง

    ถัดมาวันที่ 8 .. – 7 มี.. 2564 “บิทคับมีระบบงานในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (compliance) “ไม่รัดกุมเพียงพอ” ที่จะทำให้บริษัท บิทคับ สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก่อนหน้านั้นวันที่ 28 .. 2563 – 20 .. 2564 “บิทคับ ออนไลน์มีระบบงานที่เกี่ยวกับการรับและจัดการข้อร้องเรียน และการจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า รวมทั้งจำนวนและความรู้ความสามารถของบุคลากรไม่เหมาะสมและเพียงพอให้บิทคับประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (trading rules) ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก...

    หรือเหตุการณ์ในช่วง วันที่ 2 -21 .. “บิทคับ ออนไลน์มีระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย ระบบรับฝากและถอนทรัพย์สิน และระบบการแสดงยอดทรัพย์สินของลูกค้า ไม่เหมาะสมและเพียงพอให้บิทคับประกอบธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เป็นต้น จนทำให้ถูก ก...กล่าวโทษ หรือมีคำสั่งปรับเงิน และคำสั่งอื่น ๆ เข้ามาควบคุมอีกมากมาย

    ป้ายโฆษณาชวนเชื่อเชื่อมต่อโลกอนาคต ที่ติดตามตอม่อ บนทางด่วน และท้องถนน ยังคงมีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง ขณะที่ “SCBX” ประกาศเลื่อนดีลซื้อหุ้นบิทคับออกไปอย่างไม่มีกำหนด

    ตรวจพบ บัญชีม้านอมินี

    จากการตรวจสอบของ ก... ยังพบว่า บิทคับเคยมีปัญหาปรากฏเหตุระบบการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทขัดข้องในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2563 ต่อเนื่องถึงต้นเดือนมกราคม 2564 อันส่งผลกระทบก่อให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าของบริษัทเป็นวงกว้าง

    คณะกรรมการ ก... ในการประชุมครั้งที่ 3/2564 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 สั่งการให้บริษัทระงับการเปิดรับลูกค้าใหม่ รวมถึงลูกค้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการยืนยันหรือเพื่อพิสูจน์ตัวตนเพื่อเปิดบัญชี หรือ KYC

    มีข้อสังเกตว่า บิทคับตอนนั้นปล่อยผี การเปิดบัญชีไม่เป็นไปตาม ก... กำหนดโดยเฉพาะกรณีลูกค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มประเภทที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณารับลูกค้าของบริษัทก่อน

    ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และหากที่ก่อนนี้ ผู้ก่อตั้งบิทคับ ระบุว่า บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่าจำนวนมากหลัง BX ปิดตัวไปหลายแสนบัญชีที่เข้ามาในช่วงระหว่างนั้น ผ่านระบบ KYC เข้ามาได้อย่างไร? และใครเลยจะรู้ได้ว่า บัญชีกว่า 3 ล้านบัญชีที่บิทคับกวาดมาจะมีบัญชีตัวแทน หรือนอมินีหรือบัญชีม้า อยู่มากน้อยแค่ไหนหลุดลอดมา

    Photo : Shutterstock

    ...ยังระบุว่า การพิสูจน์ตัวตนของลูกค้า และผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงของลูกค้าบิทคับ (“enhanced KYC/CDD”) ของกลุ่มลูกค้าที่เป็น “market maker” จำนวน 17 ราย พบว่า  มีจำนวน 4 รายที่ไม่รัดกุม โดยบริษัทยังไม่ได้ enhanced KYC/CDD ซึ่งลูกค้า 4 รายดังกล่าวมียอดทรัพย์สินเป็นเงินสดและเหรียญเป็นจำนวนมากไม่สอดคล้องกับเอกสารหลักฐานที่แสดงศักยภาพทางการเงินของลูกค้าที่นำมา

    ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก การพิสูจน์ตัวตนไม่ได้ว่าลูกค้าเป็นใคร หรือมีบัญชีม้า หรือนอมินีจำนวนมากในตลาด ย่อมทำให้เปิดช่องในการฟอกเงิน เลี่ยงภาษี ทำราคาซื้อขาย หรือปั่นเหรียญ ทำรายการที่ไม่เหมาะสม หรือธุรกรรมที่กระทำการผิดกฎหมาย

    เรื่องนี้มีตัวอย่าง ของ อีลอน มัสก์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทเทสลา และสเปซเอ็กซ์ ที่เพิ่งประกาศ ตัดสินใจยุติการยื่นข้อเสนอมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง เมื่อวันศุกร์ (8 ..) เพราะพบว่ามีการละเมิดข้อตกลงหลายอย่าง

    โดยมัสก์ระบุว่า สาเหตุที่ไม่ไปต่อกับข้อตกลงซื้อกิจการนี้ก็เพราะทวิตเตอร์ล้มเหลวในการให้ข้อมูลที่เพียงพอเรื่องการ สแปม และบัญชีผู้ใช้ปลอม หรือ บัญชีม้า นั่นเอง

    KUB Coin ไม่มีมาตรฐาน

    เงื่อนงำของบิทคับยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะเพียงแค่เมื่อ ก...ประกาศมาตรการลงโทษผู้บริหารของบิทคับกับ Market Maker ได้ไม่เท่าไรก็มีคำสั่งออกมาอีกฉบับบิทคับ ออนไลน์แก้ไขการคัดเลือกและอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โดยให้ Bitkub ประสานกับบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด (BBT) ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ KUB ดำเนินการแก้ไขมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ของเหรียญ KUB ให้เป็นไปตามคะแนนที่ Bitkub ได้พิจารณาไว้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และให้ Bitkub แสดงหลักฐานอย่างชัดเจนต่อ ก... ว่า มาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจคของเหรียญ KUB เป็นไปตามคะแนนที่ Bitkub ได้พิจารณาไว้

    เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เมื่อ Bitkub ได้พิจารณาอนุมัติเหรียญ KUB เข้ามาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายฯ ของ Bitkub โดยที่เหรียญ KUB มีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้รับอนุมัติเข้ามาซื้อขายตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัล (Listing Rule) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก...

    Photo : Shutterstock

    นั่นทำให้ ก... ได้ตรวจสอบการคัดเลือกเหรียญ KUB แล้ว พบว่า Bitkub มีการให้คะแนนการคัดเลือกเหรียญ KUB เพื่ออนุมัติให้เข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายฯ ของ Bitkub ไม่เป็นไปตาม Listing Rule ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก... ขณะเดียวกัน Bitkub ได้ให้คะแนนในเรื่องมาตรฐานเทคโนโลยีของโปรเจกต์ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานและไม่เคยมีมาก่อนแต่ไม่ปรากฏหลักฐานและเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า เหรียญ KUB มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่จริง

    ให้คะแนนเหรียญตัวเองเวอร์

    นอกจากนี้ Bitkub ยังให้คะแนนในหัวข้อการระดมทุนและหัวข้อส่วนลด Pre-ICO Sale ที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะของเหรียญ KUB ด้วย จึงทำให้ ก... เห็นว่า คะแนนการคัดเลือกเหรียญ KUB โดยรวมไม่ถึงเกณฑ์ที่จะอนุมัติเข้ามาซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเมื่อราคาเหรียญ KUB จะดิ่งลงมาต่ำกว่า 100 บาท/เหรียญ หลังจาก ก...มีคำสั่งดังกล่าวออกมา เรียกได้ว่าผลกรรมของบิทคับกำลังทยอยถูกเปิดเผยออกมาตามกรรมที่ได้กระทำไว้อย่างต่อเนื่อง

    แต่สิ่งที่ชวนให้น่าติดตามต่อสำหรับประเด็นดังกล่าว คือ การแก้ไขคะแนนของเหรียญ KUB Coin ให้ต้องกับเงื่อนไขของ ก...จะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันได้หรือไม่ และเมื่อแก้ไขได้จะมีผลต่อราคาเหรียญในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด

    ขณะเดียวกันหากไม่สามารถแก้ไขได้ เหรียญ KUB จะสามารถซื้อขายบนกระดานเทรดต่อไปได้หรือไม่ รวมไปถึงนักลงทุนที่ถือเหรียญอยู่จะได้รับความยุติธรรมจากผลที่เสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า?

    ลาก Kub Coin ขึ้นไปถึง 1,833%

    Kub Coin เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 ..2564 แต่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่นักเทรดคิด โดยการซื้อขายเปิดด้วยตัวแดงจากการเทขายอย่างหนัก ราคาร่วงจาก 30 บาทไหลรูดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 12 บาท นักวิเคราะห์มองว่า นั่นคือภาพสะท้อนความเชื่อมั่นและปัจจัยพื้นฐานที่มีต่อ Kub Coin และเจ้ามือถือโอกาสทำกำไรตั้งแต่แรกเลย

    แต่ราคา Kub Coin ที่เปิดตัวไม่สวยด้วยแดงเลือดสาดทำให้บรรดานักลงทุนเรียกร้องผ่านโซเชียลทวีตข้อความเรียกร้องให้ท๊อป จิรายุส ที่สร้างตัวตนให้แฟนคลับบนโลกออนไลน์รับรู้ถึงคนที่จะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิตนักเทรด ให้เชื่อมั่นในเหรียญ Kub ออกมาช่วยเหรียญหน่อย ซึ่ง ท๊อป ก็ขานรับได้โพสต์ลงทวิตเตอร์ว่าเดี๋ยวคอยดูกัน

    ว่ากันว่า ใน 2 วันแรกที่ KUB Coin สามารถขายได้ 50 ล้านเหรียญ จากนั้นราคาก็ร่วงลงมาเหลือ 13-14 บาท เนื่องจาก ก... มองเห็นสัญญาณอันตราย จึงตั้งกฎว่า ห้ามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขายออกเหรียญเองเทรดเอง เพราะขัดแย้งผลประโยชน์ แม้จะไม่มีผลย้อนหลัง แต่ทำให้ศูนย์ซื้อขายอื่นๆ ทำไม่ได้จนเกิดเป็นดราม่ากัน

    หลังจากนั้น ปรากฏในเวลาต่อมาเพียง 1 เดือน บิทคับต้องออกประกาศไวท์เปเปอร์ V2 ออกมา ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญ คือ การเผาเหรียญทิ้ง 89% หรือ จาก 1,000 ล้านเหรียญให้เหลือเพียง 110 ล้านเหรียญ เพื่อดึงราคา และสภาพคล่องให้ Kub Coin

    ทว่า จุดเปลี่ยนของ Kub Coin ก่อนที่ราคาถูกปั่นทะลุเมฆต้องบอกว่า มาจากข่าวการเข้ามาซื้อหุ้นของผู้เล่นรายใหญ่ SCBX ค่ำคืนวันที่ 2 .. 2564 ราคาเหรียญขยับจากเดิมที่ระดับ 30-33 บาทต่อ 1 เหรียญ พุ่งสูงขึ้นถึง 98 บาทต่อเหรียญ หรือกว่า 196%

    แต่หลังจากราคา KUB Coin ขึ้นไปทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันที่ 28 .. 64 ที่ราคา 580 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าราคาตั้งต้นกว่า 1,833% ได้ไม่นาน ก็มีแรงเทขายอย่างหนักในช่วงเช้าวันที่ 30 ..2564 ส่งผลให้ราคาเหรียญดิ่งเหวลงไปอยู่ต่ำสุดของวันที่ 150 บาท หรือ ร่วงไป 70%

    สองมาตรฐาน รายย่อยตาย อุ้มรายใหญ่

    ขณะเดียวกันยังมีข่าวประเภทบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่ไหลออกมาต่อเนื่อง อย่างเช่น ล่าสุด ในกรณีของ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN และ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ลงทุนเหรียญ KUB Coin เข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับบิทคับเพื่อวัตถุประสงค์การเป็นพาร์ตเนอร์ในการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Validator Node) ในระบบการตรวจสอบธุรกรรมบล็อกเชน (Block chain)

    โดย บมจ.โปรเอ็น คอร์ป ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 2.5 แสนเหรียญ ในราคาลงทุนเฉลี่ยเหรียญละ 291 บาท (ประมาณ 72.9 ล้านบาท) เมื่อราคาเหรียญปรับตัวลงมา ล่าสุด ( 31 ..) ราคาเหรียญเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 112 บาทต่อ 1 เหรียญ นั่นทำให้มูลค่าลงทุนของ PROEN ลดลงไปประมาณ 179 บาท หรือกว่า 159%

    ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือหุ้น PROEN ตัดสินใจเทขายหุ้นออกมา เนื่องจากกังวลว่าบริษัทจะได้รบผลกระทบจากการลงทุนในเหรียญ KUB ทำให้ผู้บริหารบริษัทต้องออกมาชี้แจง (31 ..) ว่า การร่วมลงทุนกับ Bitkub นั้นมีข้อตกลงในการยืนยันการรับประกันราคาซื้อคืนขั้นต่ำเมื่อครบกำหนดภายในวันที่ 31 .. 2566 ที่ไม่ต่ำกว่าราคาต้นทุน แต่หากราคาซื้อขายสูงกว่าบริษัทจะได้รับส่วนต่างกำไรทั้งหมด

    Closeup – Woman is checking Bitcoin price chart on digital exchange on smartphone, cryptocurrency future price action prediction.

    ขณะที่ บมจ.ทีวี ไดเร็ค หรือ TVD ทำสัญญาซื้อเหรียญ KUB Coin ที่ราคา 104.26 บาท/เหรียญ จำนวน 125,000 เหรียญ ใช้เงินทุนราว 13 ล้านบาท โดยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงรองรับในระดับ 12% หรือจำนวน 15,000 เหรียญ ราคาซื้อคืนที่ 90 บาท ระยะเวลาสัญญา 1 ปี

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 กรณี ทำให้เริ่มมีหลายฝ่ายมองว่า เป็นการเอาเปรียบนักลงทุนทั่วไปหรือไม่? เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องยอมรับความเสี่ยงต่อการขึ้นลง หรือความผันผวนของราคาเหรียญด้วยตนเอง และบิทคับก็ไม่มีมาตรการอะไรออกมารับรอง

    คำถามก็คือ พฤติการณ์ช่วงโปรโมชัน KUB ราคาดิ่งเหว ช่วยเหลือพันธมิตรด้วยการอุ้มสมประกันราคา โดยที่มีมาตรฐานไม่เท่ากันกับรายย่อยที่อยู่บนดอยสูงของเจ้าของเหรียญ KUB เพื่อดันราคาของ KUB ให้สูงขึ้น เพื่อมิให้มูลค่าของตลาดซื้อขายคริปโตของบิทคับดูราคาต่ำไปด้วย เพียงเพื่อให้ SCBX ไม่ทิ้งดีล

    ค่าต๋งแพง โขกค่าธรรมเนียมสูง

    บิทคับ เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตสูงเป็นที่ต้องตาของ SCBX นั้น ถูกพบว่า บิทคับ คิดค่าธรรมเนียมในการเทรด 0.25% ไปกลับซื้อขาย เก็บค่าต๋ง 0.50% ถือว่าแพงกว่า กระดานเทรดคริปโตรายอื่นๆ หรือ อย่างไบแนนซ์กว่าเท่าตัว และเมื่อมีการทำรายการถอนบิทคับ จะคิดค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อรายการกับนักลงทุน ซึ่งว่ากันว่าเป็นค่าธรรมเนียมที่มหาโหดที่คนในวงการการเงินมองว่า บิทคับเอากำไรเกินควร ทั้งๆ ที่แบงก์คิดค่าธรรมเนียมค่าบริการกับบิทคับเพียง 3 บาทต่อรายการ แต่บิทคับเอามาเรียกเก็บจากลูกค้าเพิ่มถึง 17 บาท

    ปั่นเยาวชน มอมเมาด้วยการตลาด

    สิ่งที่สังคมรับไม่ได้ และ เห็นว่า ไทยพาณิชย์ต้องคิดให้รอบคอบในการเข้าลงทุนเทกโอเวอร์บิทคับ ก็คือ การทำการตลาดของยูนิคอร์นรายนี้ที่ทำทุกวิถีทางที่จะได้ลูกค้ามาเปิดบัญชีเทรดกับตลาดตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนที่อ่อนด้อยประสบการณ์ ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ไทยพาณิชย์จะได้รับคือ การซื้อบ่อนพนัน

    จากทั้งหมด บทสรุปของบิทคับ จากสตาร์ทอัป อัปเกรดขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยการขี่กระแสขาขึ้นของบิตคอยน์พร้อมกับความพยายามในการสร้างลัทธิหรือการสร้างภาพให้ธุรกิจและตัวของท๊อปจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ให้เป็นดั่งเจ้าลัทธิที่ปลุกเร้าเจ้าของธุรกิจ ชนชั้นอีลิท และ คนดัง ด้วยการตั้งโปรแกรม “ Chosen1” ทุ่มงบประมาณการตลาดมากมายมหาศาล ชวนเชื่อให้เชื่อไปในแนวทางเดียวกันกับบิทคับ ว่า บิทคับคือผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกการเงิน และเชื่อมต่ออนาคตด้วยนวัตกรรมใหม่ พร้อมกับการปูพรมกวาดต้อนนักลงทุนหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ นักเรียนมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองด้วยแคมเปญเช่น 10 บาทก็ลงทุนได้ สะท้อนให้เห็นว่า บิทคับนั้นเอาการตลาดนำหน้าเพื่อรายได้ เพื่อผลกำไรทางธุรกิจ มากกว่าผลลัพธ์การพัฒนาตลาดคริปโตฯ

    ธรรมาภิบาลแบบนี้ ไทยพาณิชย์ ไม่เทไหวหรือ?

    อ่านเพิ่มเติม

    ]]>
    1392049
    ดีล SCBX-Bitkub ส่อแวว ล่ม-เลื่อน-หลุดราคาคุย ขัดกับมายาภาพที่ “ท๊อป จิรายุส” พยายามสร้าง https://positioningmag.com/1381242 Mon, 11 Apr 2022 09:48:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381242 บทความโดย iBit ผู้จัดการออนไลน์

    ผู้ถือหุ้น “ไทยพาณิชย์” ยังคาใจ ผู้บริหารไม่เคลียร์ประเด็นเข้าซื้อ “บิทคับ” 51% ขณะที่ ธปท. ยังไม่ได้รับแผน “ซุปเปอร์ดีล” อย่างเป็นทางการ แค่เข้ามาหารือรายละเอียด เตรียมคลอดเกณฑ์คุมเข้มแบงก์พาณิชย์ลงทุนธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุนภายในกลางปีนี้ ด้านโบรกเกอร์ ประเมินดีลต้องเลือนออกไปหลังไตรมาส 2 คาดต่อรองราคาใหม่ต่ำกว่า 1.78 หมื่นล้านบาท หลังวอลุ่มเทรดลดฮวบกว่า 60%

    แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจของ “ไทยพาณิชย์” (SCB) สู่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ถือเป็นโปรเจกต์ที่น่าจะได้รับการตอบรับจากทุกฝ่าย โดย SCBX ได้กำหนดระยะเวลาการแลกหุ้นไว้ 30 วันทำการ ตั้งแต่ 2 มี.ค. 65 จนถึง 18 เม.ย. 65 ซึ่งจะเป็นวันที่ครบกำหนดเป็นวันสุดท้าย

    bitkub

    แต่ประเด็นที่ถูกจับตามองและสร้างความกังวลให้แก่ผู้ถือหุ้น คือ แผนการเข้าซื้อหุ้นบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ Bitkub ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 1.78 หมื่นล้านบาท จากบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดยมีผู้ก่อตั้งคือ “ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ “ซุปเปอร์ดีล” ที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายหรือคำตอบที่ชัดเจนของผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์

    โดยในที่ประชุมสามัญประจำปีของธนาคารพาณิชย์ที่จะจัดขึ้น วันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยวิธีประชุมอี-มีตติ้ง ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นหลายคนได้ถามคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในบิทคับของ SCBX แต่ฝ่ายบริหารได้ตัดและปิดกั้นคำถามเหล่านี้โดยไม่ได้ตอบคำถามเลยแม้แต่คำถามเดียว ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยแก่ผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก

    “ไทยพาณิชย์” ยังไม่ยื่นขออนุมัติจาก ธปท.

    ขณะที่ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ยังไม่ได้ยื่นแผนการลงทุนในบิทคับอย่างเป็นทางการ มีเพียงการเข้ามาคุยเรื่องในรายละเอียดเท่านั้น ดังนั้น ธปท.จึงยังไม่ได้มีการพิจารณากรณีดังกล่าว ส่วนหนึ่งทาง SCBX อาจรอดูความชัดเจนของเกณฑ์การกำกับดูแลของธปท.ด้วย

    “เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 บริษัท ยังอยู่ระหว่างการสอบทานธุรกิจ (Due diligence) อยู่ โดยยังไม่รู้ว่าในท้ายสุดราคาตกลงซื้อขายจริงจะอยู่ที่เท่าไร และภายใต้การจัดโครงสร้างของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน (โฮลดิ้ง) ภายใต้บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCBX) หากเกินเพดาน 3% ของเงินกองทุน ก็สามารถทำได้ แต่จะคิดในกองทุนที่แพงขึ้น หรือเงินกองทุนจะย่อมลง”

    แบงก์ชาติคุมเข้มธนาคารลงทุน DA

    ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์ควบคุมธนาคารพาณิชย์ลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปี 65 นี้ ประกอบด้วย

    1. ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset : DA) ที่ได้รับการอนุญาตและมีหน่วยงานการกำกับดูแล เช่น DA exchange, Broker, dealer ธนาคารพาณิชย์ลงทุนได้ไม่เกิน 3% ของเงินกองทุน กรณีที่เป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน (โฮลดิ้ง) ลงทุนได้เกิน 3% ของเงินกองทุน แต่จะนำส่วนเกินไปหักเงินกองทุน ทำให้เงินกองทุนลดลงได้

    2. ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset : DA) ที่ไม่มีการกำกับดูแล เช่น Metaverse และ Defi ธปท.กำหนดให้ทำอยู่ในขอบเขต (Sandbox) โดยจะมีการพิจารณา 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการรับเข้าทดสอบ จะพิจารณาถึงประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ และต้นทุนลดลง และ ขั้นตอนหลังการทดสอบก่อนจะให้บริการวงกว้าง จะพิจารณาประโยชน์ต่อภาพรวมหรือไม่ โดยการทดสอบดังกล่าวยังคงอยู่ในเพดาน 3%

    bitkub

    นอกจากนี้ ธปท.ยังกำหนดให้แยกคณะกรรมการระหว่างธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจโฮลดิ้งที่ทำเรื่องของธุรกิจ DA โดยเฉพาะอย่างชัดเจน รวมถึงระบบไอที ระบบคอร์แบงกิ้งออกจากกันอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดต่อระบบของธนาคารพาณิชย์ ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์จะต้องไม่ส่งเสริมหรือเชิญชวนประชาชนทั่วไปลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านสาขาธนาคารและเว็บไซต์ เพราะการลงทุน DA ไม่เหมาะกับลูกค้าทุกคน ยกเว้นกับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง (HNW) ตามเกณฑ์ของก.ล.ต. ที่มีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน แต่ธนาคารจะเป็นการให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น

    โบรก ฯ คาดมูลค่าดีลต่ำกว่า 1.78 หมื่นล้าน

    ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ประเมินว่า แผนการเข้าซื้อบิทคับของกลุ่มไทยพาณิชย์ จะยังคงเดินหน้าต่อไป แต่อาจจะต้องเลื่อนสรุปแผนออกไปเป็นหลังไตรมาส 2 จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ไตรมาสแรกปีนี้ เพื่อรอความชัดเจนหลักเกณฑ์ของ ธปท. ที่จะประกาศมีผลบังคับใช้ภายในกลางปีนี้ ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์เองก็เตรียมแผนปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้งส์ เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ของธปท.

    ส่วนทางเลือกของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เองมี 3 ทางเลือก คือ 1. ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ขอผ่อนผันหลักเกณฑ์การลงทุนเกินเพดานได้หรือไม่ 2.ต่อรองราคาซื้อขายให้ต่ำลง หรือ 3.ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบิทคับ เพื่อให้สอดคล้องกับเพดานข้อกำหนดของ ธปท.

    ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า มูลค่าการซื้อขายบิทคับ มีโอกาสต่ำกว่าที่ไทยพาณิชย์เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.78 หมื่นล้านบาท เมื่อพิจารณามูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายเดือน ของก.ล.ต. ในเดือน ก.พ. 65 อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ลดลงกว่า 60% เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายในเดือน พ.ย. 64

    ขณะที่จำนวนบัญชีที่มีการ Active เดือนก.พ. 65 อยู่ที่ 4.95 แสนบัญชี ลดลงจากเดือนพ.ย.ปี 64 ถึง 29% จึงอาจเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ใช้เป็นอำนาจต่อรองราคาการซื้อบิทคับได้

    จากการนำเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์ “Bitkub ยูนิคอร์นสายพันธุ์อันตราย” ความยาว 5 ตอน และตอนพิเศษ ที่ผ่านมา ได้สะท้อนภาพปัญหาต่างๆ อาทิ ความเสี่ยงได้คุ้มเสียหรือไม่? เพราะข้อมูลตัวเลขของบิทคับหลายตัวนำเสนอยังค้านสายตาหลายคน รวมถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ไบแนนซ์” ยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ประกาศจับมือกับบมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลล็อปเม้นท์ ท่ามกลางกระแสตลาดคริปโตเคอร์เรนซีช่วงขาลง

    ขณะที่ ก.ล.ต.และ ธปท.ประกาศควบคุมการทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น ด้วยการห้ามไม่ให้ใช้เงินดิจิทัลชำระค่าสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ห้ามไม่ให้มีการโฆษณา ชักชวน หรือแสดงตนว่าพร้อมเป็นผู้ให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการ และไม่ให้บริการอื่นใดที่มีลักษณะเป็นการสนับสนุนการรับชำระค่าสินค้าและบริการ

    ส่วน “บิทคับ” เองก็โหมทำการตลาดอย่างบ้าคลัง จนดันราคา “Kub Coin” พุ่งทะยานกว่า 1,800% จากราคา 30 บาท ไปสูงสุดที่ 500 บาท ไม่ว่าจะให้ตัว “ท๊อป จิรายุส” เป็นไลฟ์โค้ช การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง หรือมีอิทธิพล (Influencer) ดึงภาคธุรกิจระดมทุนด้วยการออก ICO หรือ NFT แม้กระทั่งการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเจาะตลาดกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อกระตุ้นความสนใจตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ขณะที่ระบบของ “บิทคับ” เองยังไม่มีความพร้อมและประสิทธิภาพรัดกุมเพียงพอ จน ก.ล.ต. ต้องเข้าไปตรวจสอบ และเปรียบเทียบปรับ มาหลายครั้งตลอดปี 64 ดังรายละเอียดดังนี้

    และเป็นที่น่าสังเกตว่า ดีล “SCBX-บิทคับ” ยังจบไม่ลง เป็นไปได้หรือไม่ว่า จากการเข้าไปทำดีลดิลิเจนท์แล้วพบว่า ป้ายโฆษณาไม่ตรงปก เสมือน … ข้างนอกสุกใส ข้างใน …!? หรือไม่

    อ่านต่อ

    Source

    ]]>
    1381242
    มาแล้ว! Robinhood Travel เริ่มรับโรงแรมขึ้นแพลตฟอร์ม ชูจุดแข็งเดิม ‘ไม่เก็บค่าคอมฯ’ https://positioningmag.com/1363200 Mon, 22 Nov 2021 11:37:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363200
  • กุมภา’65 เจอกัน! “Robinhood Travel” บุกภาคท่องเที่ยว จองโรงแรม เครื่องบิน ทัวร์/กิจกรรม รถเช่า ชูจุดแข็งเดิม “ไม่เก็บค่าคอมมิชชั่น” และโอนเงินให้พาร์ตเนอร์ไวเป็นรายชั่วโมง ช่วยหมุนกระแสเงินสด
  • อนาคตต่อยอดนักท่องเที่ยวไทยฝั่ง outbound จองโรงแรม 5 ประเทศยอดฮิตผ่านแอปฯ ได้
  • ปีหน้าเตรียมเพิ่มฟังก์ชัน Mart Express, ภาษาอังกฤษ, เชื่อมต่อ mobile payment ธนาคารอื่น เพื่อขึ้นเป็น “ซูเปอร์แอปฯ”
  • กลางปีคาดได้เห็นการระดมทุน Series A ของ Robinhood เล็งเป้าพาร์ตเนอร์เชิงกลยุทธ์ที่ต้องการลงทุนกับกิจการเพื่อสังคม (SE)
  • หลังจากปล่อยทีเซอร์แย้มๆ มาสักพักว่ากำลังปั้นธุรกิจ Online Travel Agency (OTA) วันนี้ Robinhood ประกาศเปิด “Robinhood Travel” อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเริ่มรับสมัคร “โรงแรม” มาเป็นพาร์ตเนอร์บนแพลตฟอร์ม พร้อมให้บริการลูกค้าจองจริงเดือนกุมภาพันธ์ 2565

    รวมถึงจะมีการขยายต่อไปยังการขายตั๋วเครื่องบิน ทัวร์และกิจกรรม และรถเช่าผ่านแอปฯ ได้ด้วย โดยสามส่วนหลังนี้จะเริ่มเปิดให้จองได้เดือนเมษายน 2565

    “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า จุดแข็งของ Robinhood Travel จะเหมือนกับจุดเริ่มต้นจากฟู้ดเดลิเวอรี่ คือการ “ไม่เก็บค่าคอมมิชชั่น” ธุรกิจโรงแรม เนื่องจากมีปัญหาเดียวกับธุรกิจร้านอาหารที่ถูกเก็บค่าคอมมิชชั่นจาก OTA ต่างประเทศสูงมาก

    และเช่นเดียวกันคือโรงแรมขนาดเล็กหรือขนาดกลางจะยิ่งถูกเก็บในอัตราสูงกว่าโรงแรมเชนใหญ่ เพราะมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า ทำให้ Robinhood ต้องการเข้ามา ‘ดิสรัปต์’ ตลาดนี้เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วในตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่

    (ซ้าย) “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด และ (ขวา) “สีหนาท ล่ำซำ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด

    “ทางรอดของเราคือเราพบโมเดลของเราเองที่เป็นความไทยมาก นั่นคือ ‘Kindness’ เราเข้าไปด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ไม่เก็บ GP ร้านอาหาร ซึ่งตอนแรกคนก็ไม่เชื่อว่าเราจะอยู่รอดได้อย่างไร แต่เราก็รอดมาได้เพราะร้านค้าพอไม่ถูกเก็บค่า GP เขาก็ไม่ขึ้นราคาจากหน้าร้านหรือไม่ลดปริมาณอาหาร วงจรก็จะเกื้อหนุนกัน เพราะกำไรของร้านค้าไม่ได้ลดลง เขาก็เชียร์ลูกค้าให้ซื้อผ่านเรามากขึ้น” ธนากล่าว

     

    ไม่เก็บค่าคอมฯ – โอนไวเป็นรายชั่วโมง

    “สีหนาท ล่ำซำ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมก่อนเกิด COVID-19 โรงแรมในไทยมี 50,000 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 788,000 ห้อง และ 50% ของลูกค้าจะจองผ่าน OTA

    การจองผ่าน OTA ที่เป็นลูกค้าคนไทย มูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท แต่โรงแรมไม่ได้รายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะ OTA มีการหักค่าคอมมิชชั่น กรณีเชนโรงแรมใหญ่จะอยู่ที่ 10-15% แต่โรงแรมเล็กจะอยู่ที่ 10-25% แถมถ้าหากโรงแรมต้องการให้ตนเองขึ้นเป็น Top Search บนแอปฯ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก 3-5% ทำให้โรงแรมเล็กอยู่ได้ยากมาก

    ที่มา: Robinhood

    ดังนั้น Robinhood Travel จะมาแก้ปัญหาสำหรับโรงแรม 5 ข้อหลัก คือ

    1. “ไม่คิดค่าคอมมิชชั่น” ได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย
    2. “โอนเงินคืนทุกชั่วโมง” จากปกติ OTA มักจะโอนคืนใช้เวลา 3-7 วัน ซึ่งเป็นปัญหามากในกรณีโรงแรมเล็กที่ต้องหมุนกระแสเงินสด
    3. “ระบบ add-on ปรับแต่งเองได้” เช่น ต้องการทำโปรโมชัน flash deal สามารถปรับแต่งเองเลยก็ได้ หรือจะทำแพ็กเกจห้องพัก+ดินเนอร์ก็ได้
    4. “สนับสนุนสื่อโฆษณา” ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อขึ้น Top Search แต่แพลตฟอร์มจะสนับสนุนด้วย Robinhood Stories ฟังก์ชันรีวิวการท่องเที่ยว ช่วยให้ลูกค้าสนใจจอง และทำการตลาดดิจิทัลให้ด้วย
    5. “เก็บดาต้า” เพื่อนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ตรงใจ

    ส่วนฟังก์ชันท่องเที่ยวที่จะตามเข้ามาคือตั๋วเครื่องบิน ทัวร์/กิจกรรม รถเช่า ส่วนนี้ธนาระบุว่าจะมีการเก็บค่าคอมมิชชั่น 5-10% แล้วแต่การเจรจา

    Robinhood Travel
    หน้าอินเตอร์เฟซของ Robinhood Travel

    ขณะนี้ธุรกิจสายการบินจบดีลแล้ว 2 ราย คือ ไทยสมายล์ และ นกแอร์ ส่วนอีก 1 รายอยู่ระหว่างพูดคุยคือ แอร์เอเชีย

    ทัวร์ กิจกรรม และรถเช่า ส่วนนี้ไม่ได้เน้นเฉพาะธุรกิจรายใหญ่ แต่ต้องการให้ธุรกิจรายเล็กเข้ามาสมัครด้วยเพื่อช่วยท้องถิ่น เช่น ไกด์ ชุมชนที่เปิดทำกิจกรรม กลุ่มรถเช่าในจังหวัดต่างๆ

     

    ตั้งเป้าปีแรกจอง 3 แสนครั้ง

    ปัจจุบันแอปฯ Robinhood มีฐานลูกค้าเกือบ 2.4 ล้านราย ซึ่งจะต่อยอดมาใช้ OTA ได้ และมีฐานลูกค้าของไทยพาณิชย์อีก 16 ล้านรายที่เป็นเป้าหมาย รวมถึงชื่อเสียงของ Robinhood ที่เป็นที่รู้จักแล้ว ทำให้ฟังก์ชันนี้น่าจะโตได้เร็ว

    ผู้ใช้แอปฯ Robinhood ขณะนี้ส่วนใหญ่ต่อยอดมาจากฐานลูกค้าแบงก์ เป็นคนเมืองวัย 20-39 ปี และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
    เป้าหมายปีแรกของ Robinhood Travel
    • โรงแรมเข้าระบบ 30,000 แห่ง
    • นักท่องเที่ยวจองผ่านแอปฯ 200,000 คน
    • จำนวนการจองต่อปี 300,000 ครั้ง
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายให้โรงแรม 200 ล้านบาท
    • ช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียน 1,000 ล้านบาท
    • รายได้จากค่าคอมมิชชั่นสูงสุด 50 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ธนากล่าวว่า รายได้รวมของ Robinhood ปี 2565 น่าจะอยู่ที่ราว 700-800 ล้านบาท ทำให้รายได้ส่วนท่องเที่ยวจะยังเป็นสัดส่วนน้อยในธุรกิจ แต่การขาดทุนจะน้อยกว่ามากเพราะบริษัทไม่ต้องออกเงินชดเชยค่าส่งให้กับไรเดอร์เหมือนกับฟู้ดเดลิเวอรี่

     

    เจาะตลาดคนไทย outbound ไปต่างประเทศ

    สเต็ปต่อไปของ Robinhood Travel ธนาเปิดเผยว่ากำลังศึกษาการจับตลาด outbound คนไทยออกเที่ยวต่างประเทศ โดยกำลังเจรจาพาร์ตเนอร์ 5-10 รายเพื่อลิสต์โรงแรมขึ้นแพลตฟอร์ม สำหรับคนไทยจองผ่านแอปฯ Robinhood (กรณีโรงแรมต่างประเทศ บริษัทจะคิดค่าคอมมิชชันตามราคาตลาด)

    สำหรับประเทศที่กำลังเจรจาคือ กลุ่มประเทศยอดฮิตของคนไทย 5-6 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐฯ คาดว่ากลางปี 2565 น่าจะเริ่มเห็นการทดลองตลาด

    ญี่ปุ่น หนึ่งในประเทศท่องเที่ยวยอดฮิตของคนไทย (Photo by Tomohiro Ohsumi/Getty Images)

    ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทสนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ inbound ด้วย แต่กรณีนี้จะดำเนินการยากกว่า เนื่องจาก Robinhood ไม่ได้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ดังนั้น อาจต้องเลือกจับมือกับพาร์ตเนอร์เพื่อเข้าไปเปิดหน้าร้านในซูเปอร์แอปฯ ของประเทศอื่น โดยต้องหามุมที่น่าสนใจให้ชาวต่างชาติจองผ่าน Robinhood

    ขณะนี้ประเทศที่กำลังพูดคุยคือ “จีน” เพราะเป็นตลาดใหญ่ของท่องเที่ยวไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าจีนจะไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินทางออกมาจนถึงปี 2566 ดังนั้น ยังมีเวลาในการเจรจา

     

    ปีหน้าเดินหน้า “ซูเปอร์แอปฯ” เปิดระดมทุน Series A

    แผนการปีหน้าของ Robinhood ไม่ได้มีเฉพาะการเปิด Travel แต่จะมี Mart Express มาในช่วงไตรมาส 2 โดยจะเน้นการขายและเดลิเวอรีสินค้ากลุ่มพรีเมียมที่เหมาะกับลักษณะฐานลูกค้าของแพลตฟอร์ม เพื่อให้แตกต่างจากเจ้าอื่นที่ทำอยู่

    นอกจากนี้ ไตรมาส 3 จะเริ่มมีเวอร์ชันภาษาอังกฤษเพื่อเจาะ expat ในไทย และมีการเชื่อมให้ชำระเงินผ่าน mobile payment ธนาคารอื่นได้แล้ว

    ภาพรวมปีหน้า Robinhood จะกลายเป็น ‘ซูเปอร์แอปฯ’ คาดหวังฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านราย และจะทำให้แอปฯ มีหลายธุรกิจสำหรับจัดแพ็กเกจร่วมกันได้ เช่น จองโรงแรมผ่าน Travel พ่วงแพ็กเกจอาหารระหว่างท่องเที่ยว เป็นต้น

    เมื่อเป็นซูเปอร์แอปฯ ที่มีฐานลูกค้าและมี Gross Merchandise Value (GMV) มากพอ จะทำให้แอปฯ เปิดระดมทุนรอบ Series A ได้เป็นก้าวถัดไป ซึ่งอาจจะได้เห็นช่วงกลางปี 2565 และทำให้บริษัทยืนด้วยตนเองหลังจากที่ผ่านมารับเงินลงทุนตั้งต้นจาก ‘ยานแม่’

    ส่วนตั้งเป้าระดมทุนเท่าไหร่และจากใคร ยังเปิดเผยไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ Robinhood ต้องการพาร์ตเนอร์เชิงกลยุทธ์ที่จะมาช่วยต่อยอดด้านอื่นนอกจากเรื่องเงินทุน และเป็นคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการทำกิจการเพื่อสังคม (SE) อย่างที่เคยเป็นมา!

    ]]>
    1363200
    รู้จัก FINNIX เเอปเงินกู้ เเก้ปมผู้มีรายได้น้อย เข้าไม่ถึงแบงก์ หวังดึงคนออกจากหนี้นอกระบบ https://positioningmag.com/1349907 Fri, 03 Sep 2021 04:00:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349907 Finnix (ฟินนิกซ์) นาโนไฟเเนนซ์น้องใหม่ในไทย ที่เปิดตัวมาด้วยสโลเเกนแอปเงินกู้คู่คนทำมาหากินเจาะใจคนรายได้น้อย กับความมุ่งหมายเเก้ปัญหาหนี้นอกระบบ 

    ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ คนดิ้นรนหาเงินกู้เงินด่วนมาใช้ต่อลมหายใจธุรกิจ ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ตลาดนาโนไฟแนนซ์ในไทยมูลค่า 2 เเสนล้านบาท (ผู้เล่นที่ลงทะเบียนถูกกฎหมายราว 7 หมื่นล้านบาท) เเข่งขันกันดุเดือดขึ้น

    สอดคล้องกับหนี้ครัวเรือนของคนไทยที่สูงขึ้นมากในช่วงโควิด-19 ไตรมาสปีนี้พุ่งสูงกว่า 90% ต่อ GDP สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย หรือไม่มีเอกสารยืนยันบัญชีการเงิน ไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของสถาบันการเงินได้ เป็นโอกาสของธุรกิจนาโนไฟเเนนซ์ที่จะเข้ามาอุดช่องโหว่นี้

    หลังเปิดตัวมาได้ 14 เดือน Finnix มียอดดาวน์โหลดถึง 3.5 ล้านครั้ง ในส่วนนี้ได้กลายมาเป็นลูกค้าปัจจุบัน 2.5 เเสนราย เเละปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาท ตั้งเป้าปิดยอดได้ 5 พันล้าน พร้อมปั๊มยอดลูกค้าเพิ่มเป็น 3 เเสนราย ภายในสิ้นปี 2564

    Finnix เป็นแอปฯ เงินกู้ดิจิทัลของมันนิกซ์’ (MONIX) บริษัทฟินเทคสตาร์ทอัพร่วมทุนระหว่างประเทศของ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ AbakusGroup ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน

    โดยรีแบรนด์จากเเอปฯ ห้าให้มันนี่ มาเป็นชื่อ Finnix เมื่อช่วงเดือนเม..ที่ผ่านมา ยังคงกลุ่มเป้าหมายเดิม คือผู้มีรายได้น้อย ต่ำกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน

    คนไทย 36 ล้านคน มีปัญหาการขอสินเชื่อ

    ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด เล่าว่า ปัจจุบัน มีคนไทยกว่า 36 ล้านคนที่ประสบปัญหาการขอสินเชื่อ เเบ่งเป็น ผู้มีรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท ราว 8 ล้านคน และไม่มีสลิปเงินเดือนให้ยื่นกู้กับสถาบันการเงินทั่วไปได้อีก 28 ล้านคน

    เหล่านี้ เป็นโอกาสที่มันนิกซ์จะเข้ามาในตลาดนี้ และตัดสินใจว่าจะทำผลิตภัณฑ์แรกในรูปแบบสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยตั้งเป้าช่วยเหลือคนทำมาหากินให้ได้ อย่างน้อยราว 20% หรือ 7.2 ล้านคน ในช่วงเริ่มต้น

    โดยจับจุด ‘Pain Point’  ของคนที่มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงการกู้เงิน คือ โอกาสได้รับอนุมัติน้อย , รอผลอนุมัตินาน , ใช้เอกสารเยอะ , วิธีการสมัครยาก เเละอัตราดอกเบี้ยสูง

    Finnix จึงเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ภายในเเอปฯ อย่างการกำหนดวงเงินกู้ตั้งแต่ 2,000 – 100,000 บาทเพื่อตอบโจทย์คนหลายกลุ่ม ทั้งคนที่เเค่อยากหมุนเงินเล็กๆ น้อยๆ หลักพัน ไปจนถึงพยุงธุรกิจด้วยเงินหลักเเสน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 33% ต่อปี หรือ 2.75% ต่อเดือน  

    ชำระเฉพาะดอกเบี้ย เพื่อรักษาเครดิตได้ เเต่หากผิดนัดชำระเกิน 30 วัน บริษัทจำเป็นต้องรายงานต่อบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เเละหากผิดนัดชำระเกิน 180 วัน ต้องบอกเลิกสัญญาและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

    พิจารณาให้สินเชื่อด้วย ‘Alternative Data’

    สำหรับการสมัครของสินเชื่อ หลังโหลดเเอปพลิเคชัน หากเป็น ลูกค้าเดิมของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือมีแอปพลิเคชัน SCB Easy ก็สามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียว ในการยืนยันตัวตนได้เลย โดยไม่ต้องเเนบ statement ย้อนหลัง

    เเต่ถ้าหากไม่ได้เป็นลูกค้า SCB Easy มาก่อน จำเป็นต้องส่งไฟล์ statement ของธนาคารอื่นๆมาให้ทางแอปฯพิจารณา

    เมื่อถามว่าหากมีการใช้เเค่บัตรประชาชนใบเดียวในการกู้เงินทางเเอปฯ มีการประเมินความเสี่ยงอย่างไร ?

    ถิรนันท์ ตอบว่า Finnix จะเน้นไปที่การดู Alternative Data ข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงินอื่นๆ อย่างการขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลรายชื่อในโทรศัพท์มือถือของผู้กู้ 

    เราจะนำเอา Alternative Data ตรงนี้ ไปใช้ในการประมวลผล การพิจารณาสินเชื่อ ไม่ได้เอาข้อมูลไปการันตี หรือทำอันตรายใด ๆ เป็นทางเเก้กรณีที่ลูกค้าไม่ได้มีการเดินบัญชีในธนาคาร หรือใช้ชีวิตด้วยเงินสด

    โดยจุดเด่นของ Finnix ที่จะทำให้เเข่งในตลาดนี้ได้ เธอบอกว่า คืออนุมัติสินเชื่อภายใน 5 นาที เเละรูปแบบการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับลูกค้า เช่น เปิดให้ชำระชั้นต่ำ หรือชำระดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวได้ เพื่อรักษาประวัติทางการเงิน หรือเเบ่งชำระตามกระแสเงินสดของลูกค้า เช่น เลือกชำระแบบงวด 3, 6 และ 12 เดือน

    ถ้ามีวินัยทางการเงิน จ่ายค่างวดตรงเวลา จะมีเกมล่าดาวให้ร่วมสนุก เพื่อรักษาเครดิตตามเงื่อนไข ถ้าชำระสินเชื่อภายใน 3 วันก่อนถึงครบกำหนดชำระหรือในวันครบกำหนดชำระ ก็จะได้รับดาว 1 ดวง เมื่อสะสมดาวครบ 3 ดวง จะได้รับกล่องสมบัติไปเปิดลุ้นรับรางวัลได้ทันที (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

    การใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ทำให้ประเมินความเสี่ยงของลูกค้าได้รวดเร็วแม่นยำ และเราเป็นแพลตฟอร์มสินเชื่อในรูปแบบออนไลน์ 100% เข้าถึงได้ทุกพื้นที่ แค่ลูกค้ามีสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    ดึงคนออกจาก ‘หนี้นอกระบบ’ 

    ปัจจุบัน รายได้เฉลี่ยของผู้กู้อยู่ที่ 7,000 – 12,000 บาทต่อเดือน เเละ Finnix มีวงเงินที่อนุมัติเฉลี่ย อยู่ระหว่าง 10,000 – 15,000 บาท เรตในการอนุมัติสินเชื่อ (Approval Rate) อยู่ที่ 25%

    ส่วนแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) พบว่าในช่วงโควิด-19 ระลอก 3 ลูกค้ามีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง โดยบริษัทพยายามจะคุม NPLให้อยู่ในกรอบ 1 ดิจิต

    ผู้บริหาร Finnix ประเมินตลาดนาโนไฟแนนซ์ในไทย ยังมีโอกาสขยายตัวได้ดี เเม้จะมีคู่เเข่งขึ้นมาหลายเจ้า เเต่ยังไม่มากเท่าตลาดอื่นนัก ส่วนตลาดเพื่อนบ้านในอาเซียนก็มีความน่าสนใจมาก อย่างอินโดนีเซีย ที่มีพฤติกรรมใช้เงินไม่มาก แต่ใช้บ่อยมีการใช้จ่ายก้อนใหญ่ในเเต่ละปี ซึ่งจะมีการขยายสู่ระดับภูมิภาคต่อไป

    เป้าหมายของเราคือการดึงคนรายได้น้อย ออกจากปัญหาหนี้นอกระบบที่เสี่ยงอันตราย ด้วยแอปฯ กู้เงินที่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นการให้โอกาสคนมีวินัย เเต่รายได้น้อย ให้มีการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ให้ความรู้ในการจัดการการเงินในระยะยาว

     

    ]]>
    1349907
    SCB บุกเพื่อนบ้าน! เปิด “ไทยพาณิชย์ เมียนมา” เจาะตลาดการเงินอาเซียน https://positioningmag.com/1314428 Fri, 15 Jan 2021 05:35:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314428 ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดบริการ “ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา” เจาะตลาดการเงินเมียนมาเต็มรูปแบบ เป็นธนาคารไทยที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งธุรกิจธนาคารลูก (Subsidiary License) ในเมียนมา โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้น 100%

    สะพานเชื่อมกลุ่มอาเซียน

    ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา ตั้งอยู่ที่ Sule Square Office Tower ซึ่งเป็นเขตธุรกิจสำคัญย่านใจกลางกรุงย่างกุ้ง โดยมี Mr. Rajesh Ahuja ดำรงตำแหน่งผู้จัดการ (General Manager) ทั้งนี้ ธนาคารเริ่มเข้ามาให้บริการในเมียนมาตั้งแต่ปี 2555 ในรูปแบบสำนักงานตัวแทน (Representative Office) จึงมีความเข้าใจตลาด วัฒนธรรม ตลอดจนกฎระเบียบในเมียนมาเป็นอย่างดี พร้อมเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกธุรกิจที่ต้องการเข้าไปขยายกิจการในเมียนมา และพร้อมเป็นสะพานเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างภูมิภาคให้กับนักลงทุนจากทุกชาติที่ต้องการขยายการค้าการลงทุนมายังประเทศในกลุ่ม CLMV+2 ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน และสิงคโปร์

    สารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

    “ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับใบอนุญาตการจัดตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา จากธนาคารกลางเมียนมา และพร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มกราคม 2564 ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ประกอบให้ยุทธศาสตร์การขยายเครือข่ายต่างประเทศในกลุ่มประเทศ CLMV+2 ที่ธนาคารมุ่งมั่นมาตลอดหลายปีประสบความสำเร็จ”

    HyperFocal: 0

    โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในฐานะประเทศกลยุทธ์ (Strategic Country) ด้วยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเวทีเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก อีกทั้งเมียนมายังมีภูมิศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงระหว่าง 2 ภูมิภาคยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ในขณะที่รัฐบาลเมียนมามีนโยบายสนับสนุนการเข้ามาลงทุนของต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

    และถึงแม้ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลก ตลอดจนเมียนมา รวมถึงประเทศไทยเองต่างกำลังเผชิญและต่อสู้กับมหาวิกฤตการแพร่ระบาดโรค COVID-19 แต่ธนาคารยังเชื่อมั่นว่าทิศทางการลงทุนในเมียนมาจะไม่เปลี่ยนภาพไปจากเดิม เศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง จึงเดินหน้าตามแผนเปิดสำนักงาน ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา เพื่อเป็นฟันเฟืองด้านการเงินร่วมสนับสนุนการฟื้นฟูของการค้า-การลงทุนให้กับภาคธุรกิจ ตลอดจนการเงินภาคประชาชนในเมียนมา และเป็นสะพานเชื่อมโยงการลงทุนในระดับภูมิภาคต่อไป

    ให้คนเมียนมาเข้าถึงการเงินมากขึ้น

    โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเมียนมาจะกลับมาขยายตัวที่ 6% ในปี 2564 เติบโตจากที่คาดว่าจะขยายตัว 1.5% ในปี 2563 เพราะผลกระทบจาก COVID-19

    ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา เป็นธนาคารไทยเพียงแห่งเดียวที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบธนาคารลูก (Subsidiary License) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้น 100% สามารถประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้เต็มรูปแบบเสมือนธนาคารท้องถิ่นในเมียนมา

    ซึ่งในขณะนี้อัตราประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินมีถึง 74% รวมทั้งสินเชื่อในภาคธุรกิจที่มีเพียง 20% ของ GDP (Domestic credit to private as % of GDP) ดังนั้นธนาคารจึงมุ่งเน้นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาผ่านการนำเสนอบริการ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับกลุ่มเป้าหมายของธนาคารให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ ลูกค้าเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย

    นอกจากนี้ ธนาคารยังมีเป้าหมายจะสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน และระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถตอบโจทย์โลกธุรกิจและการเงินดิจิทัลให้กับเมียนมา สอดคล้องกับทิศทางการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลในเมียนมาที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    ซึ่งธนาคารอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อพัฒนาบริการให้สามารถสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่ดีให้กับชาวเมียนมา โดยจะเริ่มต้นพัฒนาด้านระบบการชําระเงินดิจิทัล ทั้ง Corporate portal สำหรับลูกค้าธุรกิจ และ Mobile Banking สำหรับลูกค้ารายย่อย ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้บริการได้ภายในปี 2565 เพื่อตอบโจทย์การชำระสินค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยลดภาระในการใช้และบริหารเงินสดในประเทศ

    สารัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมียนมาเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างสูง ถึงแม้ปัจจุบันสินเชื่อลูกค้าธุรกิจจะเทียบเท่า 87% ของสินเชื่อทั้งหมดที่มีมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านเหรียญ ในส่วนลูกค้ารายย่อยจะมีเพียงประมาณ 10% ซึ่งธนาคารกลางเมียนมาคาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อลูกค้ารายย่อยจะเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ นวัตกรรมในรูปแบบสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ จากอัตราเพิ่มการใช้งานของ smartphone จาก 80% เป็น 90% ของประชากร ในปี 2561 ถึง 2562 นอกจากนั้น ยังมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นกว่า 1 ล้าน ผู้ใช้งาน ระหว่างปี 2562 ถึง 2563 จึงเป็นกลุ่มศักยภาพสำคัญต่อการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล

    ]]>
    1314428