ไวรัสโคโรนา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 08 Jun 2021 05:43:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รายงานเบื้องต้นจากสหรัฐฯ : COVID-19 “อาจ” มาจากห้องแล็บในอู่ฮั่น https://positioningmag.com/1335846 Tue, 08 Jun 2021 05:09:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335846 หลังคำสั่งสืบต้นตอที่มาของไวรัสโคโรนาโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แหล่งข่าววงในระบุกับสำนักข่าว The Wall Street Journal ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีรายงานภายในยืนยันสมมติฐานที่เชื้อไวรัสอาจหลุดรอดออกมาจากห้องแล็บในอู่ฮั่นนั้น “เป็นไปได้” และควรสืบสวนต่อไป

การสืบสวนครั้งนี้มีการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 โดยห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Livermore ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และพบข้อมูลว่ากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มีรายงานอ้างถึงการสอบสวนที่ห้องแล็บแห่งนี้ในช่วงก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะลงจากตำแหน่งไม่กี่เดือนสุดท้าย

Lawrence Livermore ตั้งสมมติฐานผ่านการวิเคราะห์จีโนมของเชื้อไวรัสโรค COVID-19 อย่างไรก็ตาม ห้องแล็บดังกล่าวปฏิเสธให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับ The Wall Street Journal

โครงการสืบหาต้นตอไวรัสดำเนินต่อไปในยุคของ โจ ไบเดน โดยเขาเพิ่งประกาศเดินหน้าหาคำตอบในประเด็นนี้เมื่อเดือนก่อน

หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ตั้งสมมติฐานความเป็นไปได้ไว้ 2 กรณีสำหรับการเกิดขึ้นของไวรัสโคโรนา หนึ่ง คือเชื้อไวรัสหลุดออกจากการทดลองในห้องแล็บโดยอุบัติเหตุ หรือ สอง คือ เกิดขึ้นในสัตว์และมนุษย์ไปสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อ แต่ไบเดนกล่าวว่า จนถึงบัดนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้

china Coronavirus Pneumonia Outbreaks In China
(Photo by Getty Images)

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปในช่วงที่ทรัมป์ยังเป็นประธานาธิบดี มีเอกสารลับจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุถึงนักวิจัย 3 คนในสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่นเกิดป่วยหนักในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2019 ถึงขั้นที่ต้องเข้าโรงพยาบาล หลังจากนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวโจมตีจีนที่ไม่มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลที่มาของไวรัส

 

จีนโต้ การหาต้นตอไวรัสเป็นประเด็น “การเมือง”

รัฐบาลจีนมีท่าทีตรงข้ามกับสหรัฐฯ เสมอมา โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าจีนไม่โปร่งใสในการให้ข้อมูล ปฏิเสธว่าห้องแล็บในอู่ฮั่นมีส่วนรับผิดชอบในฐานะที่มาของไวรัส รวมถึงกล่าวโจมตีกลับว่า ข้อกล่าวหานี้เป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ เพราะประเทศตนเองไม่สามารถควบคุมการระบาดได้

ล่าสุดเมื่อไบเดนสั่งให้มีการสืบสวนต่อเนื่องถึงต้นตอไวรัส ทำให้สถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ ออกมาตอบโต้ทันทีว่า “เป็นการชักจูงทางการเมือง”

จีนยังคงชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ COVID-19 จะถือกำเนิดขึ้นในส่วนอื่นของโลก และเข้าสู่ประเทศจีนผ่านทางอาหารแช่แข็ง หรือเครือข่ายค้าสัตว์ป่าที่นิยมกันในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน

นอกจากรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็กำลังสืบหาต้นตอของไวรัสเช่นกัน อย่างไรก็ตาม “ไมค์ ไรอัน” ผู้บริหารระดับสูงของ WHO กล่าวเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2021 ว่า WHO ไม่สามารถบังคับให้จีนเปิดเผยความลับเกี่ยวกับต้นตอของ COVID-19 ไปมากกว่านี้ได้ แต่กล่าวเพิ่มเติมว่าองค์กรจะยกระดับการศึกษาต้นตอของไวรัสต่อไป

Source: Reuters, Aljazeera

]]>
1335846
Travel Bubble ความหวังใหม่กระตุ้นท่องเที่ยว “ฮ่องกง-สิงคโปร์” สะดุด ต้องเลื่อนยาวไป “ปีหน้า” https://positioningmag.com/1308536 Tue, 01 Dec 2020 13:31:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308536 ไวรัสโคโรนา “คัมเเบ็ก” ระบาดรอบใหม่ ทำให้โครงการ Travel Bubble ที่เป็นเหมือนความหวังใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องโดนชะลอเเผนไปด้วย

ล่าสุดทางสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์ CAAS เเถลงว่า โครงการ Travel Bubble ระหว่างสิงคโปร์เเละฮ่องกงนั้น ต้องเลื่อนออกไปล่าช้ากว่าเดือนธันวาคมซึ่งหมายความว่า เหล่านักเดินทางต้องรอคอยถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย

โดยทั้งสองประเทศจะมีการประเมินสถานการณ์ความรุนเเรงของ COVID-19 อีกครั้งในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อประกาศกำหนดการใหม่

Travel Bubble ของฮ่องกงสิงคโปร์ มีอันต้องสะดุด เมื่อ COVID-19 กลับมาเเพร่ระบาดรุนเเรงอีกครั้ง หลังมีกำหนดเดิมที่จะเปิดตัวในวันที่ 22 ..ที่ผ่านมา จากนั้นตกลงเลื่อนกำหนดการออกไปอย่างน้อย 14 วันเเละประกาศเลื่อนไปถึงปีหน้าในครั้งนี้

หนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญ คือหากฮ่องกงหรือสิงคโปร์ มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลในช่วง 7 วัน ทั้งสองฝ่ายสามารถ “ยกเลิก” โครงการ Travel Bubble ระหว่างกันได้ทันที โดยผู้เดินทางจะต้องมีผลตรวจ COVID-19 เป็นลบ ก่อนเดินทางทั้งขาไปเเละกลับ ผ่านเที่ยวบินโดยสารที่จำกัดจำนวนต่อวันของสายการบินเเห่งชาติอย่าง Singapore Airlines และ Cathay Pacific

โดยก่อนหน้านี้ ยอดจองตั๋วของ Cathay Pacific ไฟลท์ระหว่างฮ่องกงสิงคโปร์ เกือบเต็มทุกที่นั่งไปอีก 2-3 สัปดาห์ เเต่ต้องเผชิญข่าวร้ายเมื่อภาครัฐตัดสินใจเลื่อนใช้มาตรการ เนื่องจากผู้ติดเชื้อในฮ่องกงพุ่งสูงขึ้น

Bloomberg Intelligence ระบุในรายงานวิจัยว่า เส้นทาง Travel Bubble สองประเทศจะสร้างรายได้ให้ Cathay ประมาณ 93 ล้านเหรียญฮ่องกง (ประมาณ 364 ล้านบาท) และจะช่วยลดการขาดทุนลงได้สูงสุดราว 6% เมื่อมาตรการต้องเลื่อนออกไปเช่นนี้ ทำให้สายการบินน่าจะยังขาดทุนอย่างรุนแรงต่อไป

ส่วนสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ในฮ่องกง ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายในเร็วๆ นี้ โดยในช่วง 7 วันที่ผ่านมา พบผู้ป่วยใหม่มากกว่า 500 คน ส่งผลให้สถิติผู้ป่วยสะสมเเล้วอย่างน้อย 6 พันราย เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 109 คน

รัฐบาลสิงคโปร์กำลังศึกษาเกี่ยวกับการให้นักท่องเที่ยวฮ่องกงและอีกหลายประเทศ ให้สามารถเดินทางเข้าสู่สิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ฮ่องกงมีการเจรจา Travel Bubble กับอีก 10 ประเทศในขณะนี้ ซึ่งอาจจะเริ่มใช้มาตรการได้ปีหน้า

ต้องจับตาว่าโครงการ Travel Bubble ครั้งนี้จะลุล่วงเเละเป็นความหวังของธุรกิจท่องเที่ยวระหว่างประเทศ หลังวิกฤต COVID-19 ได้จริงหรือไม่

 

ที่มา : traveldailymedia , SCMP 

 

]]>
1308536
เศรษฐกิจจีน “ฟื้นเร็ว” หลังวิกฤตไวรัส ประกาศ GDP ไตรมาส 3 เติบโต 4.9% https://positioningmag.com/1302064 Mon, 19 Oct 2020 07:27:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302064 เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวได้ดี รอดพ้นภาวะถดถอย ขณะที่หลายประเทศทั่วโลก ยังคงต้องหาทางออกจากความวุ่นวายของผลกระทบจาก COVID-19

ล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 3/2020 ระบุว่า เศรษฐกิจประเทศจีนเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย GDP ในไตรมาส 3 เติบโต 4.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากไตรมาส 2/2020 ขยายตัว 3.2% เเต่ในไตรมาสแรกของปีนี้ติดลบ 6.8% ทำให้ GDP โดยรวมงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวอยู่ที่ 0.7%

อย่างไรก็ตาม การขยายตัว 4.9% ของ GDP จีน ก็เป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของเหล่านักวิเคราะห์ที่ประเมินไว้ว่าจะขยายตัว 5.2% ในไตรมาสสะท้อนว่าจีนยังต้องจัดการกับปัญหาที่ท้าทายเเละมีปัจจัยไม่แน่นอนจำนวนมาก

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจีนจะเป็นเศรษฐกิจใหญ่ของโลกเพียงแห่งเดียวที่ GDP เป็นบวกได้ในปีนี้ โดยประเมินว่าจะขยายตัวที่ 1.9% ก่อนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 26.8% ในปี 2021”

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวเป็นบวกนั้น เป็นผลมาจากเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ผ่านพ้นวิกฤตโระระบาด โดยภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนกันยายนและปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ในไตรมาส 3 ด้านภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 6.9% ส่งผลให้การผลิตภาคอุตฯ 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 1.2% ส่วนภาคบริการ เพิ่มขึ้น 4.3% อัตราว่างงานลดลงเหลือ 5.4% 

จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ หลังจากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มขึ้นในจีนเมื่อช่วงปลายปี 2019 ตอนนี้หลายประเทศก็ยังคงต้องต่อสู้กับวิกฤตไวรัส เเละได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างเเสนสาหัส

เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวค่อนข้างรวดเร็ว หลังรัฐบาลปักกิ่งบังคับใช้นโยบายการล็อกดาวน์และการติดตามประชากรที่เข้มงวด โดยปัจจุบันสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศมียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดในโลกเเละกำลังเผชิญกับวิกฤตเเรงงาน ขณะที่ยุโรปก็มีการเเพร่ระบาดระลอกสอง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งทรุดลงไปอีก

 

ที่มา : CNN , Bloomberg

]]>
1302064
สกัดระบาดซ้ำ! “อิตาลี” สั่งปิดผับบาร์หลังผู้ติดเชื้อพุ่ง ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาววัยต่ำกว่า 40 ปี https://positioningmag.com/1292868 Mon, 17 Aug 2020 06:21:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292868 อิตาลีสั่งปิดคลับและดิสโก้ทั่วประเทศ รวมถึงบังคับประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่กลางแจ้งบางพื้นที่ช่วงกลางคืน นับเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมไวรัสโคโรนารอบใหม่เป็นครั้งแรก เนื่องจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 40 ปี

จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับ 3 สัปดาห์ก่อน และค่าเฉลี่ยอายุของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาลดลงมาอยู่ในกลุ่มอายุต่ำกว่า 40 ปี ทำให้รัฐบาลอิตาลีตัดสินใจออกนโยบายสั่งปิดคลับและดิสโก้ เริ่มวันแรกวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคมนี้ เพียงสองวันหลังจากผ่านพ้นเทศกาลวันหยุดของอิตาลี และคำสั่งนี้จะบังคับใช้ยาวจนถึงต้นเดือนกันยายน

นอกจากสั่งปิดผับแล้ว อิตาลียังออกกฎให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยระหว่างเวลา 18.00 น. จนถึง 06.00 น. ด้วย เฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกับแหล่งที่ตั้งผับบาร์ซึ่งการรวมกลุ่มของประชาชนมักจะเกิดขึ้น

“เราไม่สามารถปล่อยให้ความเสียสละในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของเราเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือการเปิดภาคเรียนในเดือนกันยายนนี้จะต้องมีความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์” โรเบิร์ตโต สเปเรนซ่า รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอิตาลี ประกาศบนโพสต์ Facebook

Photo : Shutterstock

ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม สเปเรนซ่าออกโรงเตือนกลุ่มวัยรุ่นให้ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง โดยให้คิดเสมอว่า “หากพวกเขาทำให้พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายติดเชื้อ พวกเขาจะเสี่ยงต่อการสร้างความเสียหายที่แท้จริง”

ที่ผ่านมารัฐบาลอิตาลีอนุญาตให้ผับบาร์ดำเนินธุรกิจต่อได้ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าสถานที่เหล่านี้ดึงดูดคนจำนวนมาก และการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือแม้แต่การสวมหน้ากากอนามัยไม่ได้รับการปฏิบัติตาม

สาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ อุตสาหกรรมนี้สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละ 4,000 ล้านยูโร (ประมาณ 1.48 แสนล้านบาท) ตามข้อมูลจาก Silb กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ที่เรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมผับบาร์ก่อนหน้านี้

ต่อประเด็นนี้ สเตฟาโน ปาตูอาเนลลี รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ยอมรับว่าการสั่งปิดจะทำร้ายเศรษฐกิจประเทศ แต่ก็ไม่มีหนทางไหนที่จะหลีกเลี่ยงการสั่งปิดได้

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 479 คน แต่เป็นสัญญาณดีที่จำนวนนี้ลดลงจากวันเสาร์ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 629 คน ด้านจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาของอิตาลีอยู่ที่มากกว่า 35,000 ราย นับตั้งแต่โรคติดเชื้อ COVID-19 เริ่มระบาดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 63 และส่งให้อิตาลีเป็นประเทศศูนย์กลางการระบาดที่หนักที่สุดของยุโรป

การควบคุมการระบาดยังคงดำเนินต่อไปในอิตาลี แม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันของประชาชนไปแล้วหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเทศกาลวันหยุดของอิตาลีที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศโครเอเชีย กรีซ มอลต้า สเปน ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยม แต่เมื่อเดินทางกลับอิตาลีจะต้องผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา

Source

]]>
1292868
การศึกษาชิ้นใหม่พบ “สายพันธุ์โคโรนา” กลุ่มแรกสุดในอิตาลี ไม่ได้แพร่มาจากจีน https://positioningmag.com/1289588 Sat, 25 Jul 2020 06:55:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289588 รายงานการศึกษาฉบับใหม่ระบุว่าสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนากลุ่มแรกสุดที่แพร่ระบาดในแคว้นลอมบาร์ดีของอิตาลี ไม่ได้มาจากจีนโดยตรง

วารสารวิชาการที่ไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิกลั่นกรอง (non-peer-reviewed paper) ฉบับหนึ่งซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (20 ก.ค.) ในเว็บไซต์ medRxiv.org เซิร์ฟเวอร์เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านสาธารณสุขศาสตร์ก่อนตีพิมพ์ ระบุว่าหลังจากวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดผู้ป่วยโรค COVID-19 จากลอมบาร์ดี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน มากกว่า 300 รายการ

คณะนักวิจัยพบว่าไวรัสกลุ่มนี้พบได้บ่อยในประเทศแถบยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส แต่แทบไม่พบในจีน

คณะผู้วิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์การ์โล เฟเดริโก เปร์โน จากมหาวิทยาลัยมิลาน ระบุในบทความว่าอิตาลีเป็นประเทศแรกในโลกที่ระงับทุกเที่ยวบินจากจีน หลังเกิดการระบาดของโรค COVID-19 เมื่อเดือนธันวาคม 2019 แต่การจัดลำดับจีโนมบ่งชี้ว่า “ห่วงโซ่การแพร่เชื้อไม่ได้เกี่ยวข้องกับจีนโดยตรง”

นักวิจัยได้วิเคราะห์ลำดับจีโนมทั้งหมดจากตัวอย่าง 371 รายการ ที่รวบรวมจากผู้ป่วยที่มีอาการของโรคที่แตกต่างกันตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงรุนแรง 371 ราย โดยพวกเขาอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทั้ง 12 แห่งของลอมบาร์ดี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีรายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรค COVID-19 มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมดในอิตาลี

นักวิจัยพบว่าสายพันธุ์ของเชื้อที่ตรวจพบนั้นแบ่งได้เป็น 2 สาย (lineage) ซึ่งแต่ละสายมีการแพร่กระจายในบางจังหวัด แต่สายพันธุ์เหล่านี้ “ไม่ได้มีสายพันธุ์ของไวรัส (viral strain) ที่แยกเชื้อเจอในช่วงเดือนแรกของการระบาดในจีน”

คณะนักวิจัยอธิบายว่าการเข้ามาสู่ลอมบาร์ดีของเชื้อไวรัสอาจมี ‘หลากหลายทาง’ พร้อมเสริมว่าสายพันธุ์เหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนกระจุกที่กระจายแยกกันออกไปตามแต่ละพื้นที่ โดยไวรัสเหล่านี้อาจจะมาจากภูมิภาคยุโรปกลาง ซึ่งเป็นที่ที่พบสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์คล้ายคลึงกัน

(Photo by Antonio Masiello/Getty Images)

บทความการศึกษาระบุว่าสายพันธุ์เหล่านี้อาจเข้าสู่อิตาลีช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคม หรือหนึ่งเดือนก่อนอิตาลีพบผู้ป่วยโรค COVID-19 รายแรกในเมืองโกโดญโญของแคว้นลอมบาร์ดี เมื่อวันที่ 20 ก.พ.

นอกจากนี้รายงานจากสำนักข่าวสปุตนิก (Sputnik) ของรัสเซีย ที่มีการเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ระบุว่าสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสโกโกโว (Skoltech) พบว่ามีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายในเมืองต่างๆ ของรัสเซียระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนมีนาคม อย่างน้อย 67 สายพันธุ์

สถาบันให้ข้อมูลกับสำนักข่าวว่า หลังวิเคราะห์ลำดับจีโนมของตัวอย่างที่รวบรวมได้ นักวิจัยพบว่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรค COVID-19 ระบาดในรัสเซีย ส่วนใหญ่มาจากยุโรปมากกว่าที่จะมาจากจีน

]]>
1289588
ปลอดภัยไว้ก่อน! “เพอร์เฟค” เปิดโครงการใหม่น้อยที่สุดในรอบกว่าสิบปี ลดต้นทุนประคองตัว https://positioningmag.com/1283699 Tue, 16 Jun 2020 07:20:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1283699 โจทย์ใหญ่ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคปีนี้คือการเสริมสภาพคล่องอยู่แล้ว เมื่อเผชิญภาวะวิกฤตจาก COVID-19 ทำให้บริษัทเลือกประคองตัว เลื่อนโครงการเปิดใหม่รวดเดียว 9 โครงการ ทำให้ปี 2563 นี้จะเปิดตัวเพียง 3 โครงการ มูลค่ารวม 5,650 ล้านบาท ลดลงจากเดิมถึง 70% และเป็นการเปิดตัวที่น้อยที่สุดในรอบมากกว่าสิบปีของบริษัท

“วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจปรับแผนดำเนินงานของบริษัทปี 2563 ใหม่ จะเปิดใหม่เพียง 3 โครงการ มูลค่ารวม 5,650 ล้านบาท ลดลงเกือบ 70% จากแผนเดิมที่จะเปิดตัวใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 18,560 ล้านบาท

การเปิดโครงการใหม่จำนวนน้อยขนาดนี้ของเพอร์เฟค ไม่ได้เห็นมานานมากกว่าสิบปี สะท้อนภาพตลาดที่ค่อนข้างวิกฤต บวกกับสภาวะของบริษัทเองที่มีเป้าหมายต้องการลดอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลงมาจาก 1.7 เหลือ 1.2 จึงไม่ต้องการก่อต้นทุนเพิ่ม

สำหรับโครงการที่ยังคงเปิดตัวในปี 2563 ได้แก่

  1. เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77 – สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท บ้านเดี่ยวหรูราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท (เปิดตัวแล้วช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา)
  2. เลค ฟอเรสต์ เพอร์เฟค พาร์ค ราชพฤกษ์ตัดใหม่ โครงการร่วมทุนกับ Sumitomo Forestry มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท
  3. เลค ฟอเรสต์ เพอร์เฟค เพลส ราชพฤกษ์ตัดใหม่ โครงการร่วมทุนกับ Sumitomo Forestry มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 8 ล้านบาท
เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77

ส่วนโครงการที่เลื่อนไปเป็นโครงการที่เพอร์เฟคลงทุนเอง 7 โครงการ และที่จะร่วมทุนกับ Hongkong Land จากฮ่องกงอีก 2 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท

วงศกรณ์กล่าวว่า ปกติการเปิดโครงการใหม่ต้องใช้เงินลงทุนสำหรับปรับที่ดิน สร้างสำนักงานขาย ซุ้มประตู บ้านตัวอย่าง และสต็อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่บางส่วน คิดเป็นต้นทุนอย่างน้อยแห่งละ 200 ล้านบาท ยิ่งเป็นโครงการระดับไฮเอนด์ ที่จะร่วมกับ Hongkong Land อาจต้องใช้เงินทุนถึง 1,000 ล้านบาท เนื่องจากในแปลนก่อสร้างจะมีการขุดทะเลสาบขนาดใหญ่ รวมถึงบ้านระดับไฮเอนด์ต้องเก็บงานให้สมบูรณ์แบบจึงจะเปิดให้เข้าชมได้

ดังนั้น จึงมองว่าควรเลื่อนโครงการใหม่เหล่านี้ออกไปก่อนเพื่อประหยัดต้นทุน โดยบริษัทหยุดการก่อสร้างหน้างานไปเรียบร้อยแล้ว

โครงการเลค ฟอเรสต์ ร่วมทุนกับบริษัท Sumitomo Forestry จากญี่ปุ่น

หลังปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ เป้ายอดขายปี 2563 จึงถูกปรับไปด้วย โดยปรับลง 20% จากเดิม 18,000 ล้านบาท เหลือ 14,500 ล้านบาท และยังคงเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ 13,000 ล้านบาท

สาเหตุที่เป้ายอดขายลดลงไม่มากเทียบกับจำนวนโครงการใหม่ที่ปรับลดลงมาก วงศกรณ์กล่าวว่าเป็นเพราะเพอร์เฟคยังมีโครงการแนวราบเดิมที่สามารถก่อสร้างยูนิตขายเพิ่มได้อีกมาก รวมถึงสต็อกคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่อีกกว่า 7,000 ล้านบาท

 

พฤษภายอดขายดีขึ้น แต่ระยะยาวไม่มั่นใจ

การตัดสินใจของเพอร์เฟคเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว แม้แต่เพอร์เฟคเองก็กล่าวถึงการฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคมซึ่งบริษัทกลับมาสร้างยอดขายได้มากกว่าช่วงมีนาคมที่วิกฤตหนัก และมากขึ้นกว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์’63 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 ถึง 20-30% แต่บริษัทยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ระยะยาว

“คิดว่าพฤษภาขายดีขึ้นเพราะถนนโล่ง เดินทางง่าย การ Work from Home ก็ทำให้อยากได้บ้านใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และโปรโมชันก็เยอะจริงๆ ราคาดี ปิดการขายง่าย แต่ดูแล้วยอดขายก็อาจจะเหมือน ‘อั้น’ มาจากเดือนมีนาคม ต้องดูไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ว่าจะยังขายดีหรือเปล่า” วงศกรณ์กล่าว

เพอร์เฟคประเมินครึ่งปีหลังปีนี้ยังต้องระวัง เพราะพื้นฐานเดิมก่อนเกิด COVID-19 เศรษฐกิจมีแนวโน้มซึมลงอยู่แล้ว รวมถึงปัญหาธนาคารเข้มงวดการคำนวณอัตรา LTV สินเชื่อบ้านที่เรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2562 เมื่อมาเจอวิกฤตโรคระบาด ทั้งสองปัจจัยนี้ยิ่งหนักข้อขึ้น

โดยเฉพาะปัญหา อัตราปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) แต่เดิมอยู่ที่ 15-20% ตั้งแต่ธนาคารปรับเกณฑ์ LTV เมื่อปีก่อน ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 20-25% เพราะมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกแบล็กลิสต์กู้ไม่ผ่านเพิ่มขึ้นคือ อาชีพที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น นักบิน และกลุ่มที่ถูกพิจารณาเข้มงวดขึ้นไปอีก เช่น พนักงานร้านอาหาร

เรียกว่าปัญหาเดิมยังไม่ได้แก้ไข โรคระบาด COVID-19 กลับมาเพิ่มปัญหาใหม่ให้อีก ประเมินแล้วจึงมองว่ายอดขายเดือนพฤษภาอาจจะเพิ่มขึ้นมาเพียงชั่วคราว และเชื่อว่ากว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาเติบโตได้ดีต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี

]]>
1283699
ลดราคาหนัก คนอยากซื้อบ้าน “เอพี” ชี้ยอดขายไตรมาส 2/63 ไม่แย่อย่างที่คาด https://positioningmag.com/1282934 Wed, 10 Jun 2020 10:57:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282934 “เอพี” เปิดสถานการณ์ขายบ้าน-คอนโดฯ หลังสะดุดไป 1 เดือนช่วงโรค COVID-19 เริ่มระบาด ขณะนี้กลับมาฟื้นตัวแรง เฉพาะเดือนเมษายน-พฤษภาคม ทำยอดขายสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 43% ผลจากการจัดโปรโมชันของผู้ประกอบการทั้งตลาด หนุนความต้องการผู้บริโภค ด้านศุภาลัย-ออริจิ้น-แสนสิริ รายงานยอดขายตรงกันคือ เทรนด์การเติบโตในตลาดอสังหาฯ กลับมาแล้ว

วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) สรุปภาพรวมสถานการณ์บริษัทหลังวิกฤต COVID-19 เริ่มคลี่คลายว่า มองย้อนไปถึงช่วงเริ่มมีข่าวการระบาดและการล็อกดาวน์ในเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ผู้บริโภคอยู่ในอาการ “ช็อก” บริษัทพบว่า ยอดเยี่ยมชมโครงการกับยอดขายลดลงจริง โดยผู้เยี่ยมชมโครงการช่วงนั้นตกลงเหลือเฉลี่ย 700 คนต่อสัปดาห์ต่อโครงการ

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เยี่ยมชมโครงการและยอดขายต่อสัปดาห์ ฟื้นตัวดีขึ้น ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ปีนี้ไม่เป็นวันหยุด ปัจจุบันมีคนเข้าชมโครงการเฉลี่ย 1,270 คนต่อสัปดาห์ต่อโครงการ โดยเฉพาะเข้าเดือนพฤษภาคม หลังมีแคมเปญโปรโมชัน ยอดชมโครงการขึ้นเป็น 1,858 คนต่อสัปดาห์ต่อโครงการ ซึ่งสูงกว่าก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19

จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการและยอดขาย บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ช่วงโรค COVID-19 ระบาดจนถึงปัจจุบันที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

ด้านยอดขายปรับขึ้นตามจำนวนผู้ชมโครงการเช่นกัน วิทการรายงานว่า ยอดขายเฉพาะเดือนเมษายน-พฤษภาคมทำได้ 6,255 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนถึง 43% และสูงกว่าไตรมาส 1 ด้วย ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าตลอดไตรมาส 2/63 ตัวเลขยอดขายจะดี กลับกันกับที่เคยคาดไว้ว่าจะเป็นไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดของปี

สรุปรวม 5 เดือนแรก เอพีทำยอดขายไปแล้ว 12,300 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของเป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาทในปี 2563

 

โปรโมชันช่วยพลิกสถานการณ์

“ปีนี้เป็นปีที่ยากอยู่แล้ว แล้วเจอ COVID-19 ซ้ำเติมอีก ทำให้พอถึงเดือนมีนาคมสถานการณ์แย่มากๆ เพราะความรู้สึกคนไม่แน่ใจว่าประเทศจะเดินไปทางไหน” วิทการกล่าว “แต่พอเข้าสงกรานต์ กลายเป็นว่าเริ่มดีขึ้นแล้ว เพราะผู้ประกอบการทุกคนอัดโปรโมชันในช่วงนี้ เข้าเดือนพฤษภาคมกลับกลายเป็นดีมากๆ เพราะเราเปิดโครงการแนวราบไปเยอะ และ sentiment ของตลาดกลับมาดีมาก”

ตัวอย่างแคมเปญลดราคาของเอพีในช่วงนี้

ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างจัดโปรโมชันแรง ส่วนใหญ่เป็นแคมเปญผ่อนให้/อยู่ฟรีนานถึง 2-3 ปี ซึ่งคิดแล้วเทียบเท่ากับได้ส่วนลดราว 10-20% หรือบางรายมีการลดราคากระหน่ำถึง 50% ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว การลดราคาบ้าน-คอนโดฯ ที่หนักที่สุดในรอบหลายปีมานี้ทำให้ผู้บริโภคหลายรายยอมตัดสินใจซื้อบ้าน จากเดิมที่อาจจะชะลอการตัดสินใจไปก่อนเพราะไม่มั่นใจรายได้ในอนาคต

วิทการกล่าวว่า โปรโมชันลักษณะนี้น่าจะยังมีต่อ เพราะสถานการณ์ยังดูไม่แน่นอน แต่มองว่าการจัดโปรฯ ถือว่า ‘แรง’ ที่สุดที่จะให้ได้แล้ว

 

ศุภาลัย-ออริจิ้น-แสนสิริ โตแรงเช่นกัน

นอกจากเอพีแล้ว ผู้ประกอบการค่ายอสังหาฯ อื่นอีกหลายแห่งกล่าวตรงกันว่ายอดขายที่อยู่อาศัยกลับมาเติบโตแล้วในเดือนพฤษภาคม เช่น บมจ.ศุภาลัย ที่ทำยอดขายแนวราบเฉพาะเดือนพฤษภาคมไป 2,300 ล้านบาท เติบโต 100% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

หรือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายรวมเฉพาะเดือนพฤษภาคมไป 2,400 ล้านบาท เติบโต 90% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และหากรวม 5 เดือนแรกของปี ทำยอดขายไป 9,000 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

รวมถึง บมจ.แสนสิริ ที่รายงานยอดขาย 5 เดือนแรก ทำได้ 22,000 ล้านบาท เติบโตถึง 168% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จนมีการปรับเป้ายอดขายทั้งปีจากเดิม 29,000 ล้านบาทเป็น 35,000 ล้านบาท

ดูเหมือนว่า ผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อบ้านจะตัดสินใจ ‘เสี่ยง’ แม้เศรษฐกิจไม่อำนวย ถ้าหากได้ราคาดีๆ จากผู้ประกอบการ!

]]>
1282934
กักตัวจนไซส์เปลี่ยน! Levi’s ประเมินลูกค้าเข้าร้านเพียบหลัง COVID-19 เพราะ “ยีนส์คับ” https://positioningmag.com/1282768 Tue, 09 Jun 2020 07:07:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282768 ร้านค้าในสหรัฐฯ เริ่มทยอยกลับมาเปิดทำการแล้วหลังการระบาดของโรค COVID-19 โดยแบรนด์กางเกงยีนส์ชื่อดัง Levi Strauss ระบุว่าลูกค้ากลับมาช้อปที่ร้านจำนวนมาก บางร้านมีคิวต่อแถวรอหน้าร้าน เพราะการกักตัวอยู่บ้านทำให้หลายคน “ไซส์ใหญ่ขึ้น”

“Quarantine 15” กลายเป็นวลีตลกในสหรัฐฯ สื่อถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 15 ปอนด์ระหว่างช่วงกักตัวอยู่กับบ้าน (เป็นวลีที่ล้อเลียนจาก Freshman 15 มุกตลกที่หมายถึงคนเริ่มเข้าเรียนปี 1 ในมหาวิทยาลัยมักจะน้ำหนักขึ้น) ด้วยชีวิตช่วงล็อกดาวน์ไม่ได้ไปไหน มีโอกาสออกกำลังกายน้อยลง แต่โอกาสกินขนมเยอะขึ้น และหลายคนก็หัดทำเบเกอรี่ที่บ้านจนน้ำหนักขึ้นไปตามๆ กัน

มาร์ค โรเซน รองประธานกรรมการบริหารและประธานกรรมการ Levi Strauss สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า หลังจากร้านค้าทยอยเปิดทำการอีกครั้ง นักช้อปหลายคนกลับมาที่ร้าน “พร้อมกับไซส์เสื้อผ้าไซส์ใหม่” และยินดีอย่างยิ่งที่ร้านเปิดแล้ว เนื่องจากต้องการเข้าห้องลองเสื้อผ้า

สัปดาห์ก่อนนี้ Levi’s เริ่มเปิดทำการร้านไป 35% ของสาขาที่มีในสหรัฐฯ และบางสาขาพบลูกค้ามาต่อคิวหน้าร้านอีกด้วย (ทั้งนี้ จากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้ภายในร้านรับลูกค้าได้จำกัด) ทำให้ราคาหุ้นของ Levi’s ไต่ระดับกลับขึ้นมา 8%

สินค้าของ Levi’s

“ลูกค้าที่กลับมาทันทีแบบนี้ แสดงว่ามีความต้องการซื้อจริง” โรเซนอธิบาย “พวกเขารู้ว่าตนเองต้องการซื้ออะไร และเมื่อมาที่ร้านก็จะซื้ออย่างอื่นเพิ่มไปด้วย”

Levi’s ตัดสินใจต่างกับร้านเสื้อผ้าอื่นๆ ที่ยังปิดห้องลองเสื้อผ้าอยู่ แบรนด์กางเกงยีนส์รายนี้เปิดห้องลองเสื้อผ้าครบทุกห้อง แต่มีการทำความสะอาดห้องลองทุกครั้งหลังมีลูกค้าเข้าใช้ รวมถึงมีมาตรการทิ้งสินค้าที่ลองแล้วแต่ไม่ซื้อไว้ก่อน 24 ชั่วโมงก่อนจะนำกลับขึ้นชั้น และสำหรับสินค้าที่ลูกค้าขอคืนสินค้าจะเก็บไว้ก่อน 72 ชั่วโมง

ไม่ว่าลูกค้าจะเปลี่ยนไซส์ขึ้นหรือลง ต่างเป็นข่าวดีสำหรับบริษัทเสื้อผ้าในช่วงหลังวิกฤตโรคระบาดทั้งนั้น เพราะลูกค้าจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเซตใหม่

นอกจาก Levi’s แล้ว ร้านเสื้อผ้าอย่าง American Eagle Outfitters และ Abercrombie & Fitch ต่างบอกว่ายอดขายหลังเปิดร้านขึ้นมาถึง 95% และ 80% ของยอดขายปกติ

American Eagle อีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าที่กลับมาขายดีหลัง COVID-19 โดยยอดขายกลับมาถึง 95% ของยอดขายปกติก่อนเกิดโรคระบาด

ขณะที่บริษัทสำรวจตลาด Cowen & Co. พบว่า จำนวนลูกค้าเข้าร้านเสื้อผ้าในสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ลดต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 80.6% ถือว่าเป็นสัญญาณดีขึ้น เพราะสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤษภาคม จำนวนลูกค้าลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 88.5%

“ฤดูร้อนที่แผ่ขยายไปทั่วประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าจำนวนมากต้องการอยู่นอกบ้านมากขึ้น และต้องการเสื้อผ้าที่เสริมภาพลักษณ์ มากกว่าเสื้อผ้าที่ใส่สบายสำหรับอยู่บ้านหรือเสื้อผ้าท่อนบนสำหรับใช้เปิดกล้องทำงาน” มาเรีย รูโกโล นักวิเคราะห์ธุรกิจเสื้อผ้าจาก NPD Group กล่าว

“ความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ตามระยะคลายล็อกดาวน์และการฟื้นตัวหลังวิกฤต เป็นเรื่องที่ทำให้ธุรกิจมีกำลังใจ เมื่อได้เห็นผู้บริโภคต้องการสินค้าใหม่ๆ เข้าตู้เสื้อผ้าของพวกเขา” รูโกโลกล่าว พร้อมระบุว่ายอดขายของธุรกิจนี้ตลอดเดือนพฤษภาคมถือว่าดีกว่าที่คาดไว้

Source

]]>
1282768
สัญญาณบวก! Didi บริการร่วมขับขี่ในจีน “ฟื้นตัว” เท่ากับช่วงก่อน COVID-19 ระบาดแล้ว https://positioningmag.com/1282589 Mon, 08 Jun 2020 09:48:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282589 Didi Chuxing บริการร่วมขับขี่ (ride-sharing) รายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เปิดเผยว่าจำนวนเที่ยวเรียกรถต่อวันของเดือนมิถุนายนกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว สะท้อนสัญญาณบวกของสภาพเศรษฐกิจแดนมังกร

เฉิง เว่ย ซีอีโอบริษัท Didi Chuxing บริการร่วมขับขี่แบบเดียวกับ Grab และ Uber และเป็นผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดจีน เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2020 ว่า ขณะนี้จำนวนเที่ยวเรียกรถต่อวันของ Didi กลับมาเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว โดยมีจำนวนเที่ยวเรียกรถมากกว่าวันละ 30 ล้านเที่ยว ส่วนบริการเช่าจักรยาน Didi Bike มีจำนวนเที่ยวการใช้งานแตะ 10 ล้านเที่ยวต่อวัน

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวทางธุรกิจและเศรษฐกิจจีน หลังเผชิญสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ก่อนใครตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม และเข้าสู่จุดวิกฤตหนักในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และค่อยๆ ฟื้นตัวหลังจากนั้น

นอกจากในประเทศจีน Didi ยังมีบริการในอีก 8 ประเทศทั่วโลก คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอีก 6 ประเทศกลุ่มละตินอเมริกา Didi ประกาศเมื่อสองเดือนก่อนว่า ภาพรวมธุรกิจบริษัททั่วโลกกำลังฟื้นตัวขึ้นจากช่วงที่หนักที่สุดคือกลางเดือนมีนาคม และแม้ว่าจะเพิ่งผ่านวิกฤตมา แต่บริษัทยังคงตั้งเป้าผลักดันเที่ยวเดินทางไปสู่ 100 ล้านเที่ยวต่อวัน มีผู้ใช้งาน 800 ล้านคนทั่วโลก ภายในปี 2022

บริการร่วมขับขี่เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เผชิญวิกฤตหนักจากการระบาดของไวรัสโคโรนา เนื่องจากผู้บริโภคลดการเดินทางลง แม้ว่าบริการเดลิเวอรี่อาหารจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถครอบคลุมส่วนที่หายไปของการเรียกรถได้

ตัวอย่างเช่น บริษัท Uber จากสหรัฐฯ จำเป็นต้องปลดพนักงาน 3,700 คน คิดเป็น 14% ของพนักงานทั่วโลก เพื่อพยุงธุรกิจให้อยู่รอด เนื่องจากเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จำนวนเที่ยวเดินทางลดลง 80% ด้าน Grab ซึ่งเป็นผู้เล่นที่อยู่ในประเทศไทยด้วย เคยประกาศเมื่อเดือนเมษยนว่าบริษัทยังมีกระแสเงินสดสู้วิกฤตไปได้อีก 3 ปี แต่ในแง่ของพาร์ตเนอร์ผู้ร่วมขับขี่ประเภท GrabCar ต่างพบว่าลูกค้าน้อยลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

Source

]]>
1282589
สถานการณ์เปลี่ยน ดีลเปลี่ยน! LVMH กลับลำ ขอลดราคาสัญญาเข้าซื้อกิจการ Tiffany & Co. https://positioningmag.com/1282149 Fri, 05 Jun 2020 05:58:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282149 สัญญาเข้าซื้อกิจการระหว่างสองบริษัทเคยบรรลุข้อตกลงไปแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 โดยทาง LVMH จะเข้าซื้อ Tiffany & Co. ในราคา 135 เหรียญต่อหุ้น รวมเป็นมูลค่าสัญญา 16,200 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสจึงขอกลับลำเจรจาต่อรองราคาใหม่อีกครั้ง

แหล่งข่าวใกล้ชิดการเจรจาต่อรองเปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters ว่า เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ซีอีโอเครือ LVMH กำลังต่อรองกับบริษัท Tiffany & Co. ให้ยอมลดราคาต่อหุ้นลงมาจากเดิม

สาเหตุมาจากบอร์ดบริหารประเมินความเสี่ยงการเทกโอเวอร์ครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นหลังเกิดวิกฤตโรคระบาด COVID-19 และการชุมนุมประท้วงในสหรัฐฯ น่าจะทำให้สภาพเศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่และส่งผลต่อดีมานด์กลุ่มสินค้าลักชัวรี โดยที่ Tiffany ยังมีหนี้สินที่ต้องชำระ ปัจจัยเหล่านี้จึงอาจมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ได้

สำหรับแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากซีอีโออาร์โนลต์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2020 ว่า “สืบเนื่องจากข่าวลือในตลาดเมื่อเร็วๆ นี้ LVMH ยืนยันว่าบริษัทไม่มีการพิจารณาซื้อหุ้นของ Tiffany ณ ขณะนี้”

ก่อนหน้านี้ข่าวลือเกี่ยวกับดีลระหว่างสองบริษัทเกิดขึ้นตั้งแต่หลังประกาศซื้อหุ้นราคา 135 เหรียญสหรัฐ เมื่อปลายปีก่อน โดยมีการรายงานว่าทาง LVMH ใช้เวลาหลายสัปดาห์พยายามต่อรองราคาใหม่เป็น 120 เหรียญสหรัฐฯ จนกระทั่ง WWD รายงานว่า LVMH จะ กลับลำไม่เข้าเทกโอเวอร์กิจการในวันที่ 2 มิ.ย. 2020 และทำให้ราคาหุ้นของ Tiffany ร่วงลง 9% ในวันดังกล่าว

เดิมที ความต้องการซื้อ Tiffany & Co. เกิดจากวิสัยทัศน์การขยายกิจการของ LVMH ที่ต้องการบุกตลาดสหรัฐฯ อย่างเต็มที่และเพิ่มแบรนด์เครื่องประดับเข้าพอร์ต มีการคาดการณ์ว่าจะปิดดีลได้เรียบร้อยภายในกลางปี 2020 แต่กลับมาเกิดวิกฤต COVID-19 เสียก่อน ทำให้บริษัทต้องหันมาบริหารความเสี่ยงและทำให้บริษัทอยู่รอดให้ได้

สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับดีลของ LVMH-Tiffany แต่ดีลซื้อกิจการอีกหลายบริษัทต่างชะลอตัวหรือม้วนเสื่อไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น Xerox ที่กำลังพยายามเข้าซื้อ HP ด้วยวิธีครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร ก็เป็นอันต้องล้มเลิก ทั้งนี้ เฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้ Dealogic วิเคราะห์ว่ามีดีลที่สำเร็จลุล่วงลดลง 35% ทั่วโลกเทียบกับปีก่อน

]]>
1282149