ชาไข่มุก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 09 Jan 2024 05:17:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก ‘Mixue’ แบรนด์สุดร้อนแรงของจีนที่เริ่มจาก ‘น้ำแข็งไส’ สู่แบรนด์ ‘ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ’ 3 แสนล้าน https://positioningmag.com/1457984 Tue, 09 Jan 2024 04:02:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457984 เชื่อว่าในช่วงปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะต้องเห็นแบรนด์ที่ขายไอศกรีมและเครื่องดื่มแสนสะดุดตาอย่าง Mixue (มี่เสวี่ย) เพราะด้วยโลโก้ลายตุ๊กตาหิมะสีขาวกับพื้นหลังสีแดงสดแสนสะดุดตา  และชื่อแบรนด์ที่แอบอ่านยาก ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ Mixue จะเป็นแบรนด์ที่คนไทยค้นหาเป็นอันดับต้น ๆ บน Google ซึ่ง Positioning จะพาไปรู้จักกับ Mixue ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

หากวัดจากแบรนด์ที่มีการค้นหาผ่าน Google ในไทย Mixue เป็นรองแค่สุกี้ตี๋น้อยและชาตรามือเท่านั้น โดยหนึ่งในสาเหตุคนไทยให้ความสนใจแบรนด์ Mixue คงหนีไม่พ้น สาขา ที่ขยายอย่างรวดเร็ว และ ราคา ที่เข้าถึงได้ โดยเพียงระยะเวลาแค่ 1 ปี ก็สามารถขยายสาขามากกว่า 200 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คำถามคือ Mixue เป็นใคร ทำไมถึงขยายสาขาได้เร็วขนาดนี้?

จุดเริ่มต้นของ Mixue นั้นต้องย้อนไปเมื่อ 26 ปีก่อน ในปี 1997 นักศึกษาชายปี 4 นามว่า จาง หงเซา (Zhang Hongcho) เป็นผู้ให้กำเนิด ในตอนแรก จางไม่ได้มีไอเดียเปิดร้านไอศกรีม แต่เริ่มต้นจาก ร้านขายน้ำแข็งไส เนื่องจากจากเคยมีประสบการณ์เป็นพนักงานพาร์ตไทม์ในร้านน้ำแข็งไสมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่เวิร์ก

จากนั้นจางก็ปรับจากน้ำแข็งไสแบบเดิมมาเป็น บิงซู พร้อมเปิดร้านร้านใหม่ชื่อ Mixue Bingcheng (แปลว่า ปราสาทหิมะรสน้ำผึ้ง) แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากกระแส ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ จากญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในจีน ทำให้ Mixue ลองบ้าง แต่จุดสำคัญที่ทำให้แบรนด์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็คือ ราคา โดย Mixue ขายเพียง 2 หยวน หรือประมาณ 10 บาท เท่านั้น จากที่ตลาดขายกันอยู่ประมาณ 10 หยวน หรือประมาณ 50 บาท จากนั้น Mixue ก็เพิ่มสินค้าอื่น ๆ เข้ามา อาทิ ชานมไข่มุก, น้ำผลไม้ และสมูทตี้

โดยสาเหตุที่ทำให้ Mixue สามารถทำราคาได้ดีกว่าคู่แข่งก็คือ การพัฒนาระบบการบริหาร Supply Chain เป็นของตัวเอง ทำให้ Mixue มีต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่งถึง 20% แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ราคาที่ทำให้ Mixue มาได้ไกลขนาดนี้ แต่การตลาดของแบรนด์ก็เป็นจุดสำคัญ ด้วยโลโก้ ตุ๊กตาหิมะสีขาว ตัดกับพื้นหลังสีแดง และยังมีเพลงโฆษณาฮิตติดหู

จนมาปี 2007 จางก็ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ Mixue Ice Cream & Tea ทำให้สามารถขยายสาขาในจีนได้อย่างรวดเร็ว และในปี 2008 ก็ได้ขยับออกจากจีนโดยเปิดสาขาแรกที่ เวียดนาม จนปัจจุบัน Mixue ได้ขยายไปใน 11 ประเทศ มีสาขามากกว่า 30,000 สาขา มากสุดเป็น อันดับ 5 ของโลก เป็นรองเพียงแมคโดนัลด์, ซับเวย์, สตาร์บัคส์ และ เคเอฟซี

ทั้งนี้ รายได้ของ Mixue ปี 2021 อยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านหยวน (ราว 6.6 หมื่นล้านบาท) พิ่มขึ้น 31.15% เมื่อเทียบเป็นรายปี กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3% และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านหยวน (7.4 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมีกำไรสุทธิ 51%

และเพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ ขยายกำลังการผลิต และปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ Mixue มีแผนจะทำ IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าจะระดมทุนให้ได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ Mixue เคยระดมทุนได้รวม 8.5 พันล้านหยวน หรือราว 4.25 หมื่นล้านบาท และหากการ IPO ครั้งนี้สำเร็จ มีการประเมินว่า Mixue จะมีมูลค่าบริษัทกว่า 3.3 แสนล้านบาท

สำหรับประเทศไทย Mixue ตั้งเป้าไว้ว่าจะเปิดแฟรนไชส์ให้ได้ 2,000 สาขา ภายใน 3 ปี สำหรับใครที่สนใจจะซื้อแฟรนไชส์ Mixue ก็อาจจะต้องมีทุนหนาสักหน่อย เพราะต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 30 ตร.ม. และต้องจ่าย

  • ค่าแฟรนไชส์ 50,000 บาทต่อปี

  • ค่าการจัดการ 25,000 บาทต่อปี

  • ค่าฝึกอบรม 10,000 บาทต่อปี

  • ประกัน 100,000 บาท

  • อุปกรณ์ 450,000 บาท

  • วัตถุดิบ 250,000 บาท

  • ค่าตรวจสอบรายปี ในกรุงเทพฯ 2,500 บาท และ ต่างจังหวัด 5,000 บาท

คงต้องรอดูกันว่าปราสาทน้ำแข็งรสน้ำผึ้งของ King Snowman จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะด้วยความที่ตลาดส่วนใหญ่มีสินค้าคล้าย ๆ กัน ทำให้การแข่งขันค่อนข้างรุนแรง และหากจะใช้แค่กลยุทธ์ด้านราคาจะยั่งยืนเพียงพอหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป

]]>
1457984
กางแผน GAGA หลังอยู่ใต้ชายคา “ไมเนอร์” ขอเป็นชาไข่มุกที่เฟียสที่สุดในตลาด https://positioningmag.com/1449652 Mon, 30 Oct 2023 03:33:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449652 ชานมไข่มุกยังคงเป็นธุรกิจสุดหอมหวานไม่แพ้หมาล่า ที่แบรนด์ใหญ่ต่างขอร่วมขบวน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงได้เห็นข่าวการซื้อกิจการของเชนใหญ่ๆ เพื่อขยายพอร์ตกันทั้งสิ้น

“ไมเนอร์ ฟู้ด” เอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเชนร้านอาหารรายใหญ่ในไทย ก็ไม่พลาดที่จะตกขบวน ได้เข้าซื้อกิจการชาไข่มุก GAGA (กาก้า) เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50.1% ในบริษัท กาก้า เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย)

จนถึงวันนี้ GAGA มีอายุแบรนด์ครบรอบ 5 ปีพอดิบพอดี และได้เข้ามาอยู่ใต้ชายคาไมเนอร์ครบ 1 ปีเช่นกัน ทางไมเนอร์ได้ดึง “อนุพนธ์ นิธิยานันท์” นั่งแท่น ผู้จัดการทั่วไป บริษัท กาก้า เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด ควบกับการเป็นผู้จัดการทั่วไปแบรนด์สเวนเซ่นส์ด้วย

GAGA

ไมเนอร์ต้องการอะไรจากการลงทุนใน GAGA?

แน่นอนว่าต้องการขยายพอร์ตร้านอาหารในกลุ่ม “เครื่องดื่ม” เพราะไมเนอร์เองยังไม่มีในกลุ่มนี้ มีเพียงแค่กลุ่มขนมหวานที่มีอยู่ 2 แบรนด์ ก็คือ สเวนเซ่นส์ และแดรี่ควีนส์ ในตลาดชาไข่มุกก็เป็นตลาดที่ร้อนแรง ประเทศไทยติดอันดับท็อปๆ ของโลกที่มีการดื่มชาไข่มุก

แต่การจะปั้นแบรนด์เองต้องใช้เวลานาน ทางลัดที่ประสบความสำเร็จทที่สุดก็คือ การเข้าซื้อกิจการนั่นเอง

อนุพนธ์ เริ่มเล่าว่า “การจะเข้าตลาดนี้มีอยู่ 2 อย่าง Built หรือ Buy ถ้า Built หรือสร้างแบรนด์เองต้องใช้เวลานาน แล้วตอนนี้ตลาดชาไข่มุกก็มีทุกเซ็กเมนต์ ราคาตั้งแต่ 20-150 บาท แต่ตอนนี้จากตลาดแมสได้อัพสเกลเป็นพรีเมียมแล้ว เลยตัดสินใจซื้อกิจการดีกว่า มีแบรนด์ที่เขาสร้างมาอยู่แล้ว ต่อยอดไปต่างประเทศได้ เราได้เห็นโอกาสของแบรนด์ GAGA เอามาเสริมพอร์ตขนมหวานได้ จากตอนแรกมีกลุ่มไอศกรีมแค่ 2 แบรนด์ ซึ่งนักลงทุนก็ถามมาตลอดว่าทำไมไมเนอร์ไม่มีกลุ่มเครื่องดื่มสักที แบรนด์นี้เลยมาเป็นตัวต่อยอดธุรกิจได้” 

GAGA

ขออัพสเกล ขยายต่างจังหวัด

แบรนด์ GAGA ได้ก่อตั้งเมื่อปี 2561 วางจุดยืนเป็นแบรนด์เครื่องดื่มระดับพรีเมียม และขอเป็นแบรนด์เฟียสๆ ที่เวลาลูกค้าถือแก้วจะรู้สึกเท่ๆ คูลๆ พร้อมกับแท็กไลน์ของแบรนด์ที่ว่า Attitude In A Cup เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด และมีเฉดสีส้ม ดำ ขาว อีกทั้งพนักงานก็มีชุดยูนิฟอร์มแบบเท่ๆ ด้วย มีเมนูเด่นก็คือชานมไข่มุกโอเวอร์โหลด รวมท็อปปิ้งทั้งไข่มุกดำ ไข่มุกฮันนี่ดรอป เฉาก๋วย และพุดดิ้ง ไว้ด้วยกัน

ปัจจุบัน GAGA มีสาขารวม 37 แห่ง ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาไมเนอร์ขยายสาขาทั้งหมด 15 แห่ง ซึ่งอีก 2 เดือนสุดท้ายของปีเตรียมเปิดอีก 4 แห่ง ทำให้ในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งหมด 41 แห่ง ได้เปิดสาขาต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกที่เซ็นทรัลพัทยา และแพชชั่นระยอง

ในปีหน้า GAGA เตรียมขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัวราวๆ 20 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 10 สาขา และต่างจังหวัด 10 สาขา กระจายตามศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งโอกาสสำคัญอยู่ที่การขยายไปต่างจังหวัด พบว่าคนต่างจังหวัดพร้อมที่จะให้การตอบรับกับชาไข่มุกพรีเมียมแล้ว แต่อาจจะทดลองไปจังหวัดใกล้ๆ หรือหัวเมืองใหญ่ก่อน

GAGA

นอกจากในเรื่องการขยายสาขาแล้ว ไมเนอร์ยังใช้ประสบการณ์ของเชนร้านอาหารรายใหญ่ เข้ามาช่วยในเรื่องการปรับโครงสร้าง และปรับเรื่องระบบโลจิสติกส์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเมื่อขยายไปต่างจังหวัดไปสมบูรณ์ ก็เตรียมพร้อมที่จะขยายไปต่างประเทศ

GAGA ไม่ได้จำกัดเป็นแค่แบรนด์ชาไข่มุก แต่เป็นแบรนด์เครื่องดื่ม ปัจจุบันมีเมนูรวมทั้งหมด 54 เมนู ราคาเริ่มต้น 65-145 บาท

ในช่วงเดือนพ.ย. แบรนด์จะจัดแคมเปญครบรอบ 5 ปี เตรียมออกแพ็กไซส์ใหม่ แก้ว XL หรือแก้วยีราฟ 28 ออนซ์ ราคา 135 บาท เป็นเมนูชานมไข่มุกโอเวอร์โหลด เหตุผลที่ทำเมนูนี้เพราะตอนช่วงวัน April Fool Day ได้ทำคอนเทนต์แก้วยีราฟออกมา แล้วลูกค้าอยากให้ทำจริงๆ จึงเอามาทำช่วงเดือนครบรอบพอดี

ต้องเฟียสที่สุด ต้องโต 2 หลัก

ตลาดชาไข่มุกเป็นตลาดเดียวที่เติบโตในช่วงวิกฤต COVID-19 เพราะยังสามารถสั่งเดลิเวอรี่ได้ หลายคนทานแล้วมีความสุข แต่ตลาดเรดโอเชียนนี้ก็การแข่งขันสูงมาก ทำให้แบรนด์ที่อยู่รอดได้ในตอนนี้เป็นเซ็กเมนต์พรีเมียมไปเลย หรือไม่ก็แบรนด์แมสที่เน้นเรื่องราคาถูกไปเลย

ไมเนอร์จึงวางเป้าหมายให้ GAGA เป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่มีคาแรกเตอร์ที่สุด ต้องเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในแง่ของการขยายสาขาทั่วประเทศ และมีมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งให้ได้ โดยมีโจทย์ที่ว่าต้องเติบโตให้ได้ในอัตรา 2 หลักทุกๆ ปี

GAGA

ในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะเติบโต 25% หรือมีรายได้ 200 ล้านบาท

สัดส่วนรายได้ของ GAGA แบ่งเป็น ชานม 60% ชาไทย 10% ชาเขียว 10% ชาผลไม้ และอื่นๆ 10%

ลูกค้าของ GAGA ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง 80% เป็นคนทำงาน นักศึกษา ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ย 200 บาท/บิล

อนุพนธ์ยังเปิดใจอีกว่า GAGA มีกลุ่มลูกค้าที่เด็กสุดของเครือไมเนอร์ เป็นวัยรุ่น นักศึกษา จะต่างจากกลุ่มลูกค้าของสเวนเซ่นส์ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัว พอได้มาทำแบรนด์วัยรุ่นก็สนุกดี ซึ่งสเวนเซ่นส์เองก็เคยทำแบรนด์เครื่องดื่ม SIP มาแล้ว ออกเป็นป๊อปอัพสโตร์

สำหรับร้าน GAGA ยังมีการขยายร้านในโมเดลเดียวอยู่ตามศูนย์การค้า พื้นที่เฉลี่ย 25 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 2 ล้านบาท จะต้องมียอดขายเฉลี่ย 4-5 แสนบาท/สาขา ยังไม่มีแผนในการทำโมเดลใหม่ๆ และยังเป็นการลงทุนของบริษัทเอง ยังไม่เปิดขายแฟรนไชส์

สาขาที่ขายดีที่สุด ก็คือ เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล ลาดพร้าว

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1449652
BEARHOUSE ชาไข่มุก 100 ล้าน ผุดไซรัป “ชูการ์ฟรี” รายแรก เตรียมเข้าตลาดใน 5 ปี https://positioningmag.com/1387646 Thu, 02 Jun 2022 15:09:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387646 แม้ตลาดชานมไข่มุกในไทยจะแข่งขันกันดุเดือด แต่ก็ไม่วายจะมีแบรนด์ใหม่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีโอกาส และช่องว่างในตลาดเสมอ BEARHOUSE แบรนด์ชานมไข่มุกจาก 2 ยูทูบเบอร์ชื่อดังที่ผันตัวมาทำธุรกิจส่วนตัวที่สร้างแบรนด์ได้ 3 ปี กางแผนพาบริษัทเข้าตลาดฯ ภายใน 5 ปีข้างหน้าให้ได้ ผุดไซรัปสูตร “ชูการ์ฟรี” ตอบรับเทรนด์ดูแลสุขภาพ

อุดเพนพอยท์ ดื่มชาไข่มุกแล้วรู้สึกผิด

ใครที่เป็นสาย YouTube ต้องคุ้นเคยกับช่อง Bearhug กันมาบ้าง ปัจจุบันมีผู้ติดตาม 3.77 ล้านราย ก่อตั้งโดย ซารต์-ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช และกานต์-อรรถกร รัตนารมย์ แต่ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นสายท่องเที่ยว สายกิน ชื่อชอบชานมไข่มุกเป็นชีวิตจิตใจ จึงเริ่มต้นสนใจทำธุรกิจชานมไข่มุกเป็นของตัวเอง

แรกเริ่มได้ติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์จากประเทศไต้หวัน แต่สุดท้ายดีลไม่ประสบความสำเร็จ จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ขึ้นมาเอง ในปี 2562 ได้เปิดตัวแบรนด์ BEARHOUSE สาขาแรกที่สยามสแควร์ ใช้ชื่อบริษัท 21 ซันแพสชั่น จำกัด ในการบริหาร มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

ในช่วงที่เปิดตัวต้องยอมรับว่า BEARHOUSE ค่อนข้างได้รับความสนใจเยอะ ที่ร้านมีคนต่อคิวอย่างเนืองแน่น อย่างแรกคือได้ฐานแฟนคลับ คนที่รู้จักชารต์กับกานต์จาก Bearhug เป็นทุนเดิม แต่อีกประการหนึ่งก็คือ ในตอนนั้นคนไทยคลั่งชานมไข่มุกอย่างมาก แบรนด์ไหนเปิดตัวใหม่ก็พ้รอมที่จะพุ่งตัวไปลอง

ซึ่ง BEARHOUSE ได้ใช้จุดเด่นด้วยการใช้ “ไข่มุกโมจิ” สีขาว ที่จะแตกต่างจากท้องตลาดที่เป็นไข่มุกสีดำ หรือสีทอง เป็นอะไรที่แปลกใหม่ ทำให้หลายคนอยากลองมากขึ้น

กานต์เริ่มเล่าว่า “ย้อนกลับไป 3 ปีก่อนที่เริ่มสร้างแบรนด์ ใช้เวลาพัฒนาแบรนด์ไม่นานมาก จะใช้เวลาเยอะไปกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการไปไต้หวัน ดูตลาดต่างๆ มากกว่า ที่เลือกใช้ไข่มุกโมจิ เพราะส่วนตัวพบ Pain Point ของไข่มุกปกติ ทานเรื่อยๆ แล้วฟันผุเพราะน้ำตาลเยอะ จึงอยากทำไข่มุกที่ไม่ใส่สารกันบูด ไม่ใส่น้ำตาลเยอะ เอาข้าวไทยมาผสม ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากไข่มุกอื่นๆ”

แต่ต้องยอมรับว่าชานมไข่มุกย่อมมาคู่กับ “ความอ้วน” เพราะส่วนผสมมีทั้งน้ำตาล แป้ง ครีมเทียม ทำให้หลายคนกังวลในเรื่องสุขภาพ และรูปร่าง โดยเฉพาะสาวๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก พอทานแล้วจะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที จะเห็นได้ว่าหลายแบรนด์พยายามทำสูตร หรือเมนูใหม่เพื่อลดน้ำตาลกันมากขึ้น

BEARHOUSE จึงพัฒนา “ไซรัป ชูการ์ฟรี” หรือน้ำเชื่อมแบบไม่มีน้ำตาล ใช้สารให้ความหวานอื่นๆ แทน ทำให้มีแคลอรี 0% อธิบายง่ายๆ คือตัวน้ำเชื่อมจะให้แคลอรี 0% แต่ถ้าใส่ในเครื่องดื่มก็ยังมีแคลอรีจากส่วนผสมอื่นๆ อยู่นะ ถือว่าเป็นการเปิดตลาดชูการ์ฟรีเต็มตัว

ทั้งกานต์ และชารต์ ร่วมกันเล่าว่า พอคนที่ทานชานมไข่มุกจะมีความรู้สึกผิดเสมอ เลยอยากได้สูตรอะไรที่รู้สึกผิดน้อยลง แต่ยังต้องการความอร่อย ไม่ได้ถึงขนาดอยากกินอาหารคลีน เลยพัฒนาสูตรไซรัปชูการ์ฟรี ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง ทำให้ต้องรื้อสูตรทั้งร้านใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับไซรัปตัวนี้

bearhouse

ใช้เวลาพัฒนา 6 เดือน ความยากคือ ส่วนใหญ่สารชูการ์ฟรีจะมีรสชาติเฝื่อนๆ ติดลิ้น จึงใช้เวลานานในการทดลอง ทีม R&D ได้สั่งสารให้ความหวานทดแทนมาลองทั้งหมด มาลองปรุงกับเมนูต่างๆ สุดท้ายมาจบที่ “หล่อฮังก๊วย” พบว่ารสชาติดี เข้ากับได้กับทุกเมนู อีกทั้งยังไม่กระตุ้นเบาหวาน แต่ต้นทุนก็สูงกว่าสารอื่นๆ

นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว “เมนูปั่น” 2 เมนูใหม่ “ชานมปั่น Sugar Free syrup” และ “ชาดำยูซุปั่น Sugar Free syrup” โดยใช้ไซรัปใหม่เป็นหลัก ได้ลงทุนเครื่องปั่น เปลี่ยนน้ำแข็ง รื้อสูตรใหม่ให้เข้ากับไซรัปตัวนี้ หวังตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น

ไซรัป ชูการ์ฟรีจะเป็นทางเลือกแก่ลูกค้า หากสั่งเมนูใดๆ แล้วต้องการไซรัปตัวนี้จะเพิ่มเงิน 10 บาท มีการตั้งเป้าว่าลูกค้าในสัดส่วน 20-30% จะเลือกไซรัป ชูการ์ฟรี

ชาไข่มุก 100 ล้าน รายได้แซง YouTuber

BEARHOUSE ได้ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ชานมไข่มุก 100 ล้านบาท ทำให้กานต์ และซารต์ก็พ่วงตำแหน่ง “อายุน้อยร้อยล้าน” เต็มตัวด้วยเช่นกัน เพราะทั้งคู่อายุ 30 และ 29 ปี

โดยในปี 2562 มียอดขาย 17 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 82 ล้านบาท ในปี 2563 ส่วนปี 2564 มีรายได้ 117 ล้านบาท มีกำไรเฉลี่ยปีละ 15% โดยในปี 2565 คาดการณ์มีรายได้ 180 ล้านบาท 

bearhouse

ทำให้ในตอนนี้รายได้จากการขายชาไข่มุกแซงหน้ารายได้จากการเป็น YouTuber ได้แล้ว ปัจจุบันช่อง Bearhug มีรายได้เฉลี่ย 13-14 ล้านบาท เคยมีรายได้สูงสุดอยู่ที่ 30 ล้านบาท แม้รายได้จะต่างกันมหาศาล แต่ทั้งคู่ก็ยังยืนยันว่าจะทำคอนเทนต์ใน YouTube ต่อ

ซารต์ บอกว่า “ทุกวันนี้อยู่ในช่วงปรับตัว วางแผนทุกอย่างใหม่ มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ลงคลิปเลย ไม่ได้โฟกัสเต็มที่ ตอนนี้ต้องมาจัดเวลาใหม่ เพราะสื่อก็ยังมีความสำคัญ ตอนนี้ให้เวลาธุรกิจ 80% ช่อง Bearhug 20% ต้องกลับมาให้ความสำคัญของ YouTube มากขึ้น เรามองว่ามันเป็นความสุข เป็นวิตามินให้รู้สึกดีต่อร่างกาย แต่ก็ต้องพัฒนาการเป็นผู้บริหาร ทำธุรกิจให้มั่นคงคู่กันไป”

ถ้าถามว่าในอนาคตจะมีธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ ชารต์บอกว่า ตอนนี้มีความลงตัวแล้วธุรกิจชานมไข่มุก เยลลี่ และช่อง YouTube อยากทำให้กระบวนการหลังบ้านแน่นก่อน ยังไม่คิดถึงธุรกิจใหม่

ปัจจุบันสาขาสยามสแควร์เป็นสาขาที่ขายดีที่สุด เมนูยอดนิยมก็คือ ชานมไข่มุก ลูกค้าส่วนใหญ่ทานความหวานระดับ 50% มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 150-170 บาท/บิล

อยากเข้าตลาดใน 5 ปี ระดมทุนไปต่างประเทศ

ปัจจุบัน BEARHOUSE มีสาขาทั้งหมด12 สาขา เพิ่งเปิดสาขาเดอะมอลล์ งามวงศ์วานเป็นสาขาล่าสุด ในปีนี้เตรียมขยายเพิ่มเป็น 20 สาขา จะกระจายออกนอกตัวเมืองมากขึ้น เช่น โซนราชพฤกษ์ และสายไหม ส่วนในช่วงไตรมาส 4 จะเริ่มบุกต่างจังหวัดแห่งแรก คาดว่าใช้งบลงทุนทั้งหมด 40 ล้านบาท เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 2.5-4.5 ล้านบาท ใช้ขนาดพื้นที่สาขาละไม่ต่ำกว่า 50 ตารางเมตร

bearhouse

ส่วนแผนระยะยาวในอีก 4-5 ปี ทั้งคู่อยากพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนและบุกตลาดต่างประเทศ ในตอนนี้จึงเป็นช่วงวางระบบต่างๆ ให้พร้อม มีเมนูหลากหลาย เปิดเซ็กเมนต์ใหม่ๆ

“คาดว่าจะเข้าตลาดฯ ในอีก 4-5 ปี แต่ตอนนั้นระบบหลังบ้านต้องแน่น อยากได้เงินลงทุนเพื่อไปเปิดตลาดต่างประเทศ มองไว้ทั้งที่เอเชีย และยุโรป ตอนนี้อยู่ในช่วงวางไทม์ไลน์ต่างๆ ต้องมีออดิท ค่อยๆ ทำระบบ เริ่มโฟกัสที่ระบบบัญชีก่อน มองว่าถ้าจะเข้าตลาดฯ รายได้ตอนนั้นต้องเกิน 500 ล้านบาท”

bearhouse

สำหรับความยากในการทำธุรกิจของทั้งคู่ในตอนนี้ มีทั้งเรื่องระบบภายใน และการพัฒนาสินค้าต่างๆ มีบทเรียนต่างๆ จากการทำ “ชานมกระป๋อง” ทำให้ขาดประสบการณ์ด้านการวางแผนสต็อก แต่ก็เป็นข้อผิดพลาดที่เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ประกอบกับการหาบุคลากรที่เก่ง และเข้ากับองค์กรได้ ให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน

ส่วนความท้าทายคือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าไม่เบื่อ และเลือกแบรนด์ต่อไปในทุกๆ วัน ต้องมีเมนูใหม่ๆ โดยที่ทำให้น้องๆ หน้าร้านทำงานไม่โอเวอร์โหลดด้วย ต้องดีไซน์ให้ชงอร่อย แต่ต้องไม่ใช้พลังงานเยอะเกินไป ถือว่าท้าทายในการทำโอเปอเรชั่น

bearhouse

ส่วนประเด็นที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ แบรนด์ชานมไข่มุกหลายเจ้าได้ถูก “ปลาใหญ่” เทกโอเวอร์ไปมากมาย ทั้ง KAMU KAMU และ Brown ต่างอยู่ภายใต้ชายคาของเครือยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น เพราะเป็นธุรกิจดาวรุ่ง แต่ละเจ้าต้องเสริมพอร์ตตัวเองให้สมบูรณ์

ทั้งคู่ได้ให้ความเห็นว่า ถ้าแบรนด์ใหญ่ติดต่อมา และสามารถทำให้แบรนด์เราเติบโตขึ้นจริงก็ยอมรับได้ เพราะอยากให้แบรนด์เติบโตไปต่างประเทศ แต่ถ้าเป็นการเข้ามาเทกโอเวอร์ แล้วทั้งคู่ต้อง Exit คงไม่เกิดขึ้น เพราะอยากบริหารอยู่

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1387646
“โลตัส” ส่ง 2 แบรนด์ Jungle Café และ Arabitia ลงสาขาทั่วประเทศ ชูกาแฟและเครื่องดื่มคุณภาพ ราคาเอื้อมถึงได้ https://positioningmag.com/1367796 Wed, 22 Dec 2021 04:00:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367796

ตลาดคาเฟ่ที่นับวันยิ่งเติบโตมากขึ้นทุกปี อีกทั้งร้านกาแฟ ร้านขนมยังผุดขึ้นมากมาย เนื่องจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคนิยมดื่มกาแฟนอกบ้านมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มสินค้าชาไข่มุกด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าแก้วน้ำได้กลายเป็นอีกหนึ่งไอเท็มคู่กายในยุคนี้ไปแล้ว

แน่นอนว่า “โลตัส” ที่ต้องการตอบโจทย์ลูกค้าอย่างเต็มที่ และสร้างประสบการณ์ดีๆ ทุกครั้งที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในสาขา จึงได้ปั้นแบรนด์คาเฟ่ของโลตัสขึ้นมา 2 แบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และเทรนด์การดื่มชากาแฟ

โลตัส เปิดตัว 2 แบรนด์คาเฟ่ Jungle Café และ Arabitia รับเทรนด์ดื่มชากาแฟที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 2 แบรนด์จะมีคาแร็คเตอร์ และจุดยืนที่แตกต่างกันออกไปร้าน Jungle Café (จัลเกิ้ล คาเฟ่) จำหน่ายในโลตัส โก เฟรช ส่วน Arabitia (อราบิเทีย) จำหน่ายในโลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต

ถึงแม้ทั้ง 2 แบรนด์จะมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน แต่จุดเด่นที่เหมือนกันก็คือเมนูเครื่องดื่ม และอาหารที่อินเทรนด์มีหลากหลายเมนูทั้งกาแฟ ชา ช็อคโกแลต ใช้วัตถุดิบพรีเมียมจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมกับเบเกอรี่ที่อบสดทุกวัน และเมนูข้าวกล่องปรุงใหม่วันต่อวัน อีกทั้งยังจำหน่ายในราคาที่เอื้อมถึงได้  เรียกว่าทั้งอร่อยถูกปากแบบสบายกระเป๋า

ดร. นริศ ธรรมเกื้อกูล ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มโลตัสส์ เอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นประเทศจีน กล่าวว่า

“ความมุ่งมั่นของเราคือการดูแลลูกค้าให้ ‘รู้สึกดีดี ทุกวันที่โลตัส’ ผ่านการจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง พร้อมความสะดวกสบายในการช้อปปิ้ง ด้วยเทรนด์การบริโภคชาและกาแฟยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาธุรกิจคาเฟ่ของโลตัส เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ และยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทั้งที่มาจับจ่ายใช้สอยในสาขา และบริการจัดส่งอีกด้วย

Jungle Café ร้านกาแฟรูปแบบ Convenience Store ปัจจุบันให้บริการแล้วในโลตัส โก เฟรช กว่า 1,500 สาขาทั่วประเทศ มุ่งเน้นความสะอาด สะดวก ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคใหม่ มีให้เลือกหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น Coffee & Non-coffee มีพระเอกอย่างกาแฟสดสุดพรีเมียม ผสมความกลมกล่อมจากอาราบิก้าและโรบัสต้าอย่างลงตัว และเมนูสุดฮิตอย่างบุกแบล็คชูการ์ชานมไต้หวันแท้

นอกจากนี้ Jungle Café เดินหน้าตอบแทนสังคม เพื่อต่อยอดจากคอนเซ็ปต์ Drink More for Forest โดยร่วมมือกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อมต่อไป

Arabitia คาเฟ่สไตล์โมเดิร์น คลาสสิก ปัจจุบันตั้งอยู่ในไฮเปอร์มาร์เก็ตโลตัสกว่า 70 สาขา ทั้งในรูปแบบคาเฟ่เต็มรูปแบบ ไปจนถึงเป็นร้านขนาดเล็กที่มีอุปกรณ์เต็มรูปแบบ และ Cloud Kitchen สำหรับสั่งสินค้าออนไลน์ เสิร์ฟเมนูจากวัตถุดิบระดับซูเปอร์พรีเมียม ทั้งเครื่องดื่ม รวมไปถึงเบเกอรี่และอาหารพร้อมรับประทานด้วย

Arabitia Café สนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในหลายพื้นที่ให้มีรายได้อย่างยั่งยืน ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟคัดสรรคุณภาพจากหลายแหล่ง อาทิ น่าน เชียงราย กาญจนบุรี

 

นอกเหนือจากบริการเครื่องดื่มและอาหารที่ร้าน บริการจัดส่งถึงที่แล้ว Arabitia ยังมีบริการจัดเลี้ยงสำหรับโอกาสต่างๆ อาทิ ชุดอาหารว่างสำหรับการประชุม ชุดอาหารกลางวัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและหน่วยงานต่างๆ อีกด้วย

เห็นได้ชัดว่านอกจากการพัฒนาด้านสินค้า และบริการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงราคาคุ้มค่ามากที่สุดแล้ว โลตัสยังไม่หยุดพัฒนาประสบการณ์ที่จะมาเติมเต็มการช้อปปิ้งของลูกค้าให้สมบูรณ์มากที่สุด

สำหรับใครที่ต้องการลิ้มรสเครื่องดื่มคุณภาพระดับพรีเมียมในราคาเอื้อมถึงได้สบายกระเป๋า สามารถไปที่โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต และโลตัส โก เฟรช ได้แล้ววันนี้

]]>
1367796
เสือเป็ดมาแล้ว! MK x Fire Tiger คัมแบ็ก จับชาไข่มุกลงหม้อสุกี้อีกครั้ง https://positioningmag.com/1306331 Mon, 16 Nov 2020 17:05:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306331 ปรากฏการณ์ Featuring ระหว่างแบรนด์ MK x Fire Tiger ได้กลับมาอีกครั้งในปีนี้ หลังจากที่ในปีที่แล้วได้จับโปรโมชันร่วมกันไป จนได้รับการตอบรับอย่างดี เรียกว่าเป็นการขยายฐานลูกค้า และ Win-Win กันทั้ง 2 แบรนด์

ชาไข่มุกยังฟีเวอร์!

เมื่อช่วงเดือนพ.ย. ในปี 2019 แบรนด์ MK ได้ประกาศเปิดตัวพาร์ตเนอร์ Fire Tiger by Seoulcial Club หรือชานมเสือพ่นไฟ เป็นอีกหนึ่งร้านชาไข่มุกสัญชาติไทยที่กำลังมาแรงในตอนนั้น เรียกว่าเป็นการจับมือในช่วงจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลา

ความร่วมมือนี้ทำให้เราจะได้เห็นร้าน MK ขายชานมไข่มุก โดยนำ 2 เมนูพ่นไฟยอดฮิต อย่างนมสดพี่เสือพ่นไฟ และชานมพี่เสือพ่นไฟ จำหน่ายในร้าน MK ทั่วประเทศ (ยกเว้น MK Gold MK LIVE และ MK EXPRESS) มีการปรับขนาด และราคา จำหน่ายแก้วละ 79 บาท จากปกติ 150 บาท

ในตอนนั้นเองเสือพ่นไฟก็กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเข้ามาอยูใน MK ยิ่งเป็นการติดสปีดเร็วขึ้น คนรู้จักมากขึ้น สามารถเข้าไปอยู่ในทุกสาขาของ MK รวมถึงต่างจังหวัด ซึ่งทาง MK เองก็ได้ฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่อยากทานเสือพ่นไฟในราคาย่อมเยา ได้กลุ่มลูกค้าเด็กลงด้วย

ในปีนี้ MK ก็ได้คัมแบ็กแคมเปญนี้อีกครั้ง ยังคงจับมือกับเสือพ่นไฟเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเมนูใหม่ “ช็อกโกพี่เสือ” โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ 16 พ.ย. – 15 ม.ค. 64 ในราคาแก้วละ 79 บาทเช่นเคย แต่อีก 2 เมนูก็ยังมีจำหน่ายด้วยเช่นกัน

เรียกว่าเป็นการต่อยอดความสำเร็จ และกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีได้อย่างดี ต้องบอกว่าตอนนี้ชานมไข่มุกยังเป็นอะไรที่ฮอตฮิตอยู่ การร่วมมือกันอีกครั้งน่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้อีกอย่างแน่นอน

]]>
1306331
ขายแบบ Big Size เอาใจชาวกักตัว! ไอเดียทางรอดของร้านเครื่องดื่ม-ของหวานยุคไวรัส https://positioningmag.com/1272534 Thu, 09 Apr 2020 13:54:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1272534 ชาไข่มุก กาแฟ ไอศกรีม บรรดาเครื่องดื่มและของหวานที่ปกติมีลูกค้าไปต่อคิวกันทุกวัน แต่เมื่อลูกค้าต้องทำงานอยู่บ้านอาจทำให้ร้านเริ่มขาดรายได้ เพราะลูกค้าไม่สู้ค่าจัดส่ง เลือกที่จะอดทนไม่ทาน หรือหันไปหัดทำเอง หลายร้านจึงต้องคิดเมนูแบบ Big Size มาดึงดูดลูกค้าที่ใจยังโหยหา สั่งไปเก็บไว้กินยาวๆ ทั้งสัปดาห์หรือทั้งเดือนได้เลย!

อีกหนึ่งกลยุทธ์สู้ COVID-19 ของธุรกิจร้านอาหารคือการหันมาขายแบบ Big Size แพ็กเกจใหญ่พิเศษแบบเก็บไว้ทานได้เป็นสัปดาห์หรือนานนับเดือน สั่งมาทีเดียวจะได้ไม่ต้องเปลืองค่าส่งหลายๆ รอบเท่ากับการซื้อทีละแก้ว ดึงดูดลูกค้าให้สนใจซื้อกักตุนเพราะเห็นว่าคุ้ม!

ชาไข่มุกแบบซื้อยกถัง

เริ่มจากเมนูเครื่องดื่มยอดฮิต “ชาไข่มุก” ที่ปกติชาวออฟฟิศจะไปต่อคิวกันช่วงบ่ายๆ หลายเจ้าปรับแพ็กเกจใหม่ หันมาทำแบบถุงหรือแบบถังขายเป็นลิตรให้กินกันได้ทั้งบ้าน

ชาไข่มุกร้าน bo.baa.bar

ยกตัวอย่างเช่น ร้าน bo.baa.bar จัดแพ็กเกจชานมลงกล่อง Party Box มีทั้งไซส์ 3 ลิตรราคา 899 บาท (ทานได้ 15-20 แก้ว) และไซส์ 5 ลิตร ราคา 1,399 บาท (ทานได้ 25-30 แก้ว) พร้อมแถมไข่มุกหรือท็อปปิ้ง มีแก้วมีหลอดให้เสร็จ เหลือแค่น้ำแข็งที่ไม่ได้แถมมา ตัวกล่องมีหัวก๊อกกดชานมลงแก้วได้เลย เฉลี่ยแล้วตกแก้วละ 45-60 บาทเท่านั้น

ชาไข่มุกร้าน BEA

อีกร้านที่ปรับมาขายชานมในถุงยักษ์คือร้าน BEA มีขนาดเดียวคือ 5 ลิตร (ทานได้ 20-25 แก้ว) บรรจุชานมใส่มาในถุงพร้อมเท ราคา 990 บาท หรือเฉลี่ยแก้วละ 40-50 บาท ร้านให้ท็อปปิ้งมาด้วยคือบุกวุ้นบราวน์ชูการ์ที่เก็บไว้ได้ราว 1 เดือน และไข่มุกลาวา (ไข่มุกจะเก็บได้เพียง 1 วัน) และให้แก้วกับหลอดมาพร้อม

Milk Tea A Tank จาก ATM Tea Bar

ส่วนร้านดังอย่าง ATM Tea Bar เปิดขายชานม Milk Tea แบบแท็งก์ 3 ลิตร มาพร้อมหัวก๊อกเปิดลงแก้วได้ทันที ราคา 1,190 บาท เก็บได้นาน 3-5 วัน ร้านนี้ใช้กลยุทธ์แพ็กเกจสวยน่ารักช่วยสร้างกำไร เพราะถังขนาด 3 ลิตรสามารถแบ่งทานเท่ากับชาไข่มุกขนาดปกติประมาณ 15-20 แก้ว เฉลี่ยแก้วละ 60-80 บาท ทำให้การซื้อชาแบบถังอาจจะคุ้มน้อยกว่าซื้อเป็นแก้วหรือเป็นขวดของทางร้าน แต่ว่าแพ็กเกจแบบถังนั้นน่ารักเกินห้ามใจจริงๆ!

 

กาแฟสดพร้อมดื่ม เหลือแค่เติมนม

ร้านกาแฟคืออีกหนึ่งธุรกิจที่เผชิญอุปสรรค แต่เพราะคนติดกาแฟก็ยังจำเป็นต้องดื่มทุกวัน ทำให้ยังพอมีทางออกในการขายอยู่

กาแฟสกัดเย็น Brave Roasters

Brave Roasters หันมาขายกาแฟสดแบบ Cold Brew Concentrate กาแฟสดสกัดเย็นเข้มข้นบรรจุถุงพร้อมจุกฝาเกลียวเทง่าย ขนาดถุง 3 ลิตร ราคา 690 บาท โดยแนะนำการชงดื่มเพียงเทใส่นมสดก็จะได้ลาเต้เย็นชื่นใจ กาแฟยังสามารถเก็บได้ประมาณ 4-6 สัปดาห์ จึงเป็นขนาดที่พอเหมาะสำหรับ 1 คนทานก่อนหมดอายุ

ทางร้านคำนวณให้ว่า 1 ถุงสามารถแบ่งดื่มได้ 50 แก้ว เฉลี่ยเพียงแก้วละ 13.8 บาท! เป็นราคาที่นับได้ว่าลดครั้งมโหฬาร เพราะปกติร้านขายกาแฟสกัดเย็นในราคาขวดละ 100 บาท และถุงพลาสติกยังทำให้ร้านสามารถจัดส่งได้ทั่วประเทศผ่าน Kerry การปรับสินค้าใหม่จึงทำให้ร้านขยายฐานลูกค้าออกไปได้กว้างขึ้นด้วย

 

‘ไผ่ทอง’ ไม่ต้องรอคนขายตัก ซื้อเหมากิโลฯ ไปเลย

ทั้ง ไผ่ทองไอศครีม (โลโก้ต้นไผ่) และ ไผ่ทองไอศครีม (โลโก้มินิมอล) ต่างออกโปรโมชันแพ็กเกจพิเศษสำหรับคนกักตัวหนี COVID-19 อยู่ในบ้าน สั่งไอศกรีมแกร้อนไปเก็บไว้บ้านกันได้เป็นเดือน

ไอศกรีมขายยกถุง 2.2 กิโลกรัม (photo: ไอศครีมไผ่ทอง จรัญ 46)

เริ่มจาก ไผ่ทองไอศครีม (โลโก้ต้นไผ่) เปิดขายไอศกรีมแบบแพ็กถุงละ 2.2 กิโลกรัม ตักทานได้ 25-30 ถ้วย ในราคาเพียง 250 บาท แต่ราคานี้ยังไม่รวมท็อปปิ้ง โคน หรือขนมปัง แต่สามารถซื้อเพิ่มได้ ตัวอย่างราคาเช่น ขนมปัง 15 ชิ้น 35 บาท, ถั่วลิสงขีดละ 10 บาท, ลูกชิดกิโลกรัมละ 70 บาท

นอกจากนี้ยังมีแพ็กเกจแบบเล็กลงมาหน่อย เป็นไอศกรีมถังควอท 450 กรัม ทานได้ประมาณ 5 ถ้วย ราคา 100 บาท พร้อมแถมโคนกรอบมาด้วย 20 ชิ้น ปรากฏว่าขนาดนี้ดูจะถูกใจคนกักตัวเพราะเพจไผ่ทองไอศครีมแจ้งขายหมดชั่วคราวไปแล้วเรียบร้อย

ไอสกรีม 1 แถม 1 แบบกล่อง 1 กิโลกรัม (photo: ไผ่ทองไอสครีม)

ส่วนฝั่ง ไผ่ทองไอศครีม (โลโก้มินิมอล) มีแพ็กเกจกักตัวเหมือนกัน จัดไอศกรีมแบบกล่อง กล่องละ 1 กิโลกรัม ตักทานได้ประมาณ 12 ถ้วย ในราคา 390 บาท พร้อมโปรฯ 1 แถม 1 รวมเป็น 2 กิโลกรัม! หรือ 24 ถ้วย แถมท็อปปิ้ง 4 อย่างคือข้าวเหนียวมูน ลูกชิด ถั่วลิงสง และซอสช็อกโกแลต พร้อมที่ตักไอศกรีมพลาสติกน่ารักๆ ด้วย ทุกอย่างมาครบแค่หาถ้วยกับช้อนเตรียมไว้ โปรฯ นี้ขายดีเช่นกันเพราะเพจแจ้งจัดส่งล่าช้าแล้ว แต่ยังสั่งกันได้อยู่

โดยสรุป ไอเดียขายของกินแบบ Big Size เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ หากของที่ขายเป็นอาหารที่เก็บได้นานโดยไม่เสื่อมรสชาติ และปกติเป็นสินค้าที่ลูกค้าประจำมักจะซื้อกินบ่อยๆ ต่อสัปดาห์ การขาย Big Size จะน่าสนใจมากขึ้นถ้ามีกิมมิกแพ็กเกจหรืออุปกรณ์การกินน่ารักๆ จะยิ่งได้รับความสนใจขึ้นไปอีกด้วยนะ!!

]]>
1272534
เตรียมจิ้มกันได้เลย! อีโมจิใหม่ปี 2020 จะมีรูป “ชาไข่มุก” อยู่ในเซ็ต!! https://positioningmag.com/1262537 Thu, 30 Jan 2020 11:13:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1262537 อีโมจิประจำปี 2020 จะออกใหม่ 117 ตัว โดยภาพอีโมจิส่วนใหญ่สะท้อนแนวคิดเปิดกว้างด้านสีผิว เชื้อชาติ และเพศสภาพ เช่น อีโมจิรูปคนให้นมลูกที่มีทั้งเพศชายและเพศหญิง ส่วนสายกินเตรียมจิ้มอีโมจิรูป “ชาไข่มุก” กันได้เลย

Emoji 13.0 เซ็ตใหม่ของรูปอีโมจิบนสมาร์ทโฟนประจำปี 2020 จะมีออกมาทั้งหมด 117 ตัวครอบคลุมทุกหมวดภาพ โดยปีนี้ดูเหมือนว่าธีมหลักของการสร้างสรรค์คือความเท่าเทียมทางเพศและเชื้อชาติ เช่น รูปอีโมจิคนให้นมลูกด้วยขวดนมที่มีทั้งเพศชายและเพศหญิง อีโมจิคนใส่ผ้าคลุมผมแต่งงาน อีโมจิคนใส่สูททักซิโด อีโมจิรูปธงของกลุ่มบุคคลข้ามเพศ หรืออีโมจินินจาที่มีให้เลือกสีผิวถึง 5 เฉดสี จนถึงอีโมจิ “มืออิตาเลียน” เป็นรูปมือจีบแบบที่คนอิตาเลียนชอบทำเวลาคุยกัน

เจนนิเฟอร์ แดเนียล ผู้อำนวยการด้านการออกแบบโปรแกรม Android Emoji ของ Google กล่าวว่า ผลงานเหล่านี้เป็นการสะท้อนถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม

“เราให้การสนับสนุนเพศสภาพและเพศวิถีที่หลากหลาย” แดเนียลกล่าว “ก่อนหน้านี้ อีโมจิที่เกี่ยวกับการดูแลลูกมีอยู่แค่ตัวเดียวคืออีโมจิรูปแม่ให้นมลูก” แต่เมื่อทุกวันนี้ การไม่มีเต้านมไม่ได้แปลว่าคุณจะให้นมลูกหรือดูแลลูกไม่ได้ ดังนั้น Google จึงสร้างอีโมจิที่ทำให้ทุกคนสามารถใช้ได้

นอกจากเรื่องความเท่าเทียมทางเพศและสีผิวแล้ว อีโมจิเซ็ตใหม่ยังมีธีมเรื่อง “ความเห็นอกเห็นใจ” ด้วย โดยสะท้อนผ่านอีโมจิรูป “คนกอดกัน” และรูป “ใบหน้ายิ้มที่มีน้ำตาซึมเล็กน้อย” ที่ต้องการสื่อถึงอารมณ์ของความซาบซึ้งและโล่งใจในเวลาเดียวกัน สามารถนำไปใช้ได้หลายสถานการณ์ เช่น เมื่อคุณนึกถึงเรื่องราวในอดีตอันซาบซึ้งใจ หรือเมื่อคุณคาดหวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและรอคอยอย่างมีความหวัง

Emoji 2020

ถัดมาในหมวดอาหาร สัตว์ อวัยวะ และสิ่งของ กลุ่มอาหารมีอีโมจิที่น่าสนใจเติมเข้ามา เช่น “ชาไข่มุก” อีโมจิที่แฟนชานมรอบโลกรอคอย ส่วนกลุ่มสัตว์ มีสัตว์น่ารักๆ เติมเข้ามา เช่น “แมวน้ำ” “หมีขั้วโลก” รวมถึงสัตว์ที่บางคนอาจไม่กล้าจิ้มมาใช้งานอย่าง “แมลงสาบ” ด้วย

สำหรับกลุ่มอวัยวะ มีอีโมจิรูป “ปอด” และ “หัวใจ” ที่เป็นหัวใจจริงๆ ไม่ใช่รูปวาด ส่วนกลุ่มสิ่งของ มีที่น่าสนใจเช่น “รองเท้าแตะ” “รองเท้าสเก๊ตช์” “แปรงสีฟัน” “กระจก” และ “ป้ายหลุมศพ”

ทั้งนี้ อีโมจิที่จะลงในแต่ละแพลตฟอร์มอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยเบื้องต้นคาดการณ์ว่า Android จะเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ปล่อยอีโมจิใหม่ออกมาก่อนช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ตามด้วย iOS จะออกช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน

Source

Source

]]>
1262537
บทสรุป 11 ปรากฎการณ์ร้อนฉ่าแห่งปี 2019 https://positioningmag.com/1258693 Sun, 29 Dec 2019 16:06:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258693 เดินทางมาจนถึงโค้งสุดท้ายของปี 2019 ในปีที่ผ่านมาในแวดวงการตลาดมีทั้งแคมเปญดังๆ ที่เรียกเสียงว้าว รวมถึงดราม่าที่เรียกเสียงฮือฮาได้ระยะหนึ่ง ซึ่งทาง Positioning ขอสรุป 11 ปรากฎการณ์เด่นๆ ประจำปีนี้

“น้ำดื่มสิงห์” เปลี่ยนฉลากเป็นตามหาเด็กหาย

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอป้ายตามหาเด็กหายของมูลนิธิกระจกเงากันมาบ้าง แต่เด็กบางคนที่ตามหาหลายปีก็ยังไม่พบก็มีมากมาย จึงเกิดเป็นแคมเปญต้อนรับวันแม่ที่ไอเดียดีพอสมควร โดยที่ น้ำดื่มสิงห์ จับมือกับ “มูลนิธิกระจกเงา” ทำโครงการ “น้ำดื่มสิงห์ คืนดวงใจให้แม่ return heart to home” 

โครงการนี้เป็นการพลิกโฉมวงการน้ำดื่มครั้งใหม่ โดยการเปลี่ยนฉลากข้างขวดผลิต เป็นประกาศตามหาเด็กหาย ได้เลือกเด็กสูญหายจำนวน 5 คนมาอยู่บนฉลาก ซึ่งถือว่า 5 คนนี้เป็นกรณีที่ยากที่สุดของมูลนิธิกระจกเงา ที่ใช้เวลาติดตามมานานตั้งแต่ 6 ปีถึง 17 ปี

ฉลากนี้มีการผลิตกว่า 20 ล้านขวดเป็น Limited Edition ให้ขวดน้ำเป็นเหมือนอีกสื่อหนึ่งเพื่อเป็นส่วนช่วยในการตามหาเด็กที่หายไปอย่างยาวนาน 5 คน รวมถึงทำให้สังคมได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาเด็กหายในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตอบแทนสังคมอีกทางหนึ่งด้วย

“นันยาง” คงความเก๋า ผลิตรองเท้า KHYA (ขยะ) พ่วง NanyangRED

ในปีนี้นันยางมีแคมเปญที่เรียกเสียงว้าวได้ถึง 2 แคมเปญ เป็นสินค้าใหม่ที่สามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่าความเป็น “รองเท้านักเรียนซึ่งนันยางได้ร่วมมือกับ “ทะเลจร” แบรนด์ Upcycling วัสดุจากทะเลซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรในการผลิต “รองเท้า KHYA (ขยะ)”

รองเท้า KHYA (ขยะ) เป็นลูกผสมระหว่างรองเท้าแตะช้างดาว และขยะรีไซเคิล ซึ่งรองเท้า 1 คู่ทำจากขยะทะเลประมาณ 5 กิโลกรัม ความพิเศษคือมีลวดลายจะไม่มีซ้ำกัน เพราะขยะที่ได้มาไม่เหมือนกัน วางจำหน่ายในราคา 399 บาท แพงกว่ารองเท้าแตะช้างดาวปกติที่มีราคา 99 บาท เพราะต้องใช้กระบวนการในการผลิตมากกว่าปกติ 3 เท่า

เหตุผลที่นันยางออกรองเท้าขยะนี้ เนื่องจากเห็นว่า 80% ของขยะในทะเลเป็นพลาสติก ในจำนวนนี้ 10% กว่าๆ เป็นรองเท้าที่ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ จึงขอมีส่วนในการนำขยะมารีไซเคิล

รวมไปถึง NanyangRED รองเท้าผ้าใบสีแดง รุ่นพิเศษ ของนันยาง เป็นการทำตามสัญญาที่นันยางได้โพสท์ในเพจว่า ถ้าลิเวอร์พูลได้แชมป์ จะผลิตรองเท้าผ้าใบสีแดงเมื่อลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 มาครอง นันยางก็ผลิตรองเท้าสีแดงตามสัญญา พร้อมกับสร้างเสียงฮือฮา พร้อมกับยอดขายถึง 10 ล้านบาท!

เปิดศึก “เซ็นทรัลวิลเลจ” ปะทะ “ทอท.”

มาถึงดราม่าร้อนๆ แห่งปีคงหนีไม่พ้นศึกยักษ์ชนยักษ์ระหว่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN ที่เปิดศึกปะทะกับ “ท่าอากาศยานไทย” หรือ ทอท. กรณีพื้นที่ของโครงการเซ็นทรัลวิลเลจ

“เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village)” เป็นลักชูรี่ เอาท์เล็ตล่าสุดของ CPN ใกล้เคียงกับสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่ 100 ไร่ พื้นที่โครงการ 40,000 ตร.ม. เปิดให้บริการในเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2562

แต่เรื่องราวได้เกิดขึ้นเมื่อบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้ส่งหนังสือไปยังสำนักงานการบินพลเรือน (กพท.) เพื่อสอบถามความเหมาะสมของการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของเซ็นทรัล วิลเลจ ที่เห็นว่าอาจจะขัดกับเงื่อนไขกฎเกณฑ์การบินขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตามเงื่อนไขพัฒนาพื้นที่รอบสนามบิน รวมทั้งกรณีการใช้พื้นที่โดยพลการในการก่อสร้างแนววางท่อประปาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

จากนั้นวันที่ 22 ส.ค. 2562 ทอท. ได้นำเตนท์มาปิดกั้นทางเข้าออก หน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ทำให้ผู้ค้าไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้อย่างสะดวก ทำให้ทาง CPN ได้ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองคุ้มครองชั่วคราวจนได้เปิดโครงการในที่สุด

ปรากฎการณ์ IKEA x Virgil Abloh

เป็นอีกหนึ่งปรากฎการณ์ที่ให้เห็นว่าคนไทยตอบรับกับกระแสดังระดับโลกอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ IKEA เปิดคอลเลกชั่น “MARKERAD/มาร์เคียรัด” เป็นความร่วมมือกับ Virgil Abloh ดีไซเนอร์ชื่อดังแบรนด์ OFF-WHITE

เพียงแค่วางจำหน่ายที่ไทยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาใน 2 สาขาทั้ง IKEA บางนา และ IKEA บางใหญ่ ปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยงภายใน 3 ชั่วโมง

ซึ่งตอนซื้อว่ายากแล้ว มีการต่อแถวกันยาวเหยียดก่อนที่ห้างฯ จะเปิด แต่พบว่ามีการมาอัพราคา Resell บนโลกออนไลน์สูงถึง 15 เท่า รูปโมนาลิซ่าพุ่ง 33,000 บาท ทำเอาเป็นกระแสแรร์ไอเท็มบนโลกออนไลน์

Shopee กับการคว้า “โรนัลโด้” เป็นพรีเซ็นเตอร์

“โรนัลโด้” ถือว่าเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนังที่มีทั้งธุรกิจส่วนตัว และงานพรีเซ็นเตอร์มากมาย แต่การที่โรนัลโด้ปรากฎตัวในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ถือว่าเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย

สิ่งที่ทุกคนฮือฮาก็คือการที่โรนัลโด้ลงทุนเต้นเพลงของ Shopee ในโฆษณา หลายคนจึงเกิดคำถามขึ้นมาเลยว่า Shopee ได้ทุ่มเงินแค่ไหนถึงให้โรนัลโด้ยอมเต้นได้ขนาดนี้

แต่ก็ถือว่าได้ผลมากเลยทีเดียว สามารถสร้างการรับรู้ และกระตุ้นยอดขายของ Shopee ได้ อีกทั้งยังเป็นการอัพภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูอินเตอร์ขึ้น และเข้าถึงกลุ่มผู้ชายที่เป็นแฟนคลับของโรนัลโด้มากขึ้นด้วย

“บาบีคิ้วพาซ่า” กับแคมเปญเรื่องการศึกษา

บาร์บีคิวพลาซ่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความครีเอทีฟในการออกแคมเปญใดๆ อยู่แล้ว แต่ในปีนี้เล่นใหญ่กว่าที่เคย ได้เปลี่ยนป้ายหน้าร้านเป็น “บาบีคิ้วพาซ่า” เพื่อเป็นแคมเปญเรื่องการศึกษา งานนี้มีทั้งเสียงดราม่า และเสียงชื่นชม

บาร์บีคิวพลาซ่า ร่วมกับแคมเปญ  Limited Education เปิดประเด็นให้คนสนใจปัญหาเรื่องการเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทย ที่พบว่ายังมีหลายคนที่ยังอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ จึงเกิดเป็นไอเดียผ่านลูกเล่นของการสะกดผิดและฟ้อนท์ที่น่ารักแทนการเขียนของเด็กๆ โดยเปลี่ยนป้ายหน้าร้านใหม่ในรูปแบบของการเขียนเป็นคำไทยที่สะกดผิด เป็น “บาบีคิ้วพาซ่า” ที่ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า สาขาเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1-8 กันยายน 2562 และยังมีเมนูพิเศษที่ใช้คอนเซ็ปต์การสะกดผิดเพื่อให้สอดรับกับตัวโครงการ

การลงทุนเปลี่ยนป้ายหน้าร้านในครั้งนี้เป็นการสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ Limited Education ได้เคยร่วมงานกับร้าน After You มาแล้ว พร้อมกับมีเมนู “ขนมปังเนยโสด” ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์สะกดผิดด้วยเช่นกัน

เทรนด์รักษ์โลกมาแรง แบนถุงพลาสติก-หลอดพลาสติก

การรักษ์โลกเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่เห็นได้ชัดในปีนี้ และทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ หลายแบรนด์เริ่มหันมาใช้วัสดุ หรือแพ็คเกจจิ้งที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือเหล่าบรรดาห้างค้าปลีก และร้านกาแฟต่างๆ ก็มีการตื่นตัวต่อการกระแสนี้ มีการยกเลิกการใช้หลอดพลาสติก และถุงพลาสติกกันอย่างจริงจัง

จะเห็นว่าเชนร้านกาแฟใหญ่ๆ ระดับโลกมีการแบนการใช้หลอดพลาสติกมากขึ้น มีการหาวัสดุอื่นมาทดแทน หรือกระตุ้นให้ลูกค้านำแก้วมาเอง เพื่อที่ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว

ส่วนห้างค้าปลีกก็มีการงดให้บริการถุงพลาสติก ยิ่งในวันที่ 1 มกราคม 2563 จะเริ่มงดแจกถุงพลาสติกอย่างจริงจังแล้ว เชื่อว่าคนไทยจะเริ่มตื่นตัวกับกระแสสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปอีก

Plant-based Food เนื้อไร้เนื้อ อาหารแห่งอนาคต

ปรากฎการณ์ในเรื่องของอาหารที่มาแรงที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “Plant-based Food” หรือเนื้อไร้เนื้อ กลายเป็นธุรกิจยอดนิยมแห่งปี และคาดการณ์กนัว่าจะเป็นอาหารแห่งอนาคตด้วย

Plant-based Food เป็นการพัฒนาเนื้อที่ทำมาจากพืช แถมให้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของมังสวิรัติ หรือ Vegan เพราะไม่มีประเด็นเรื่องการไม่ทรมาณสัตว์

ในต่างประเทศโดยเฉพาะโซนอเมริกามีการฮิต Plant-based Food กันอย่างมาก ส่งผลให้เกิดสตาร์ทอัปหลายบริษัทลุยพัฒนาธุรกิจเนื้อ plant-based meat อย่างจริงจัง บริษัทที่โดดเด่นในตลาดคือ Impossible Foods และ Beyond Meat ทั้งคู่สามารถดึงผู้บริโภคหลายรายให้อยากลิ้มลองรสชาติของเนื้อสัตว์เลียนแบบได้ จนมีแนวโน้มที่ตลาดนี้จะบูมต่อเนื่องไปอีกนาน

ในประเทศไทยก็เริ่มมีความเข้าใจ Plant-based Food กันพอสมควร เริม่มีหลายแบรนด์ที่พัฒนาเมนูเพื่อรองรับตลาดด้วยเช่นกัน อย่าง Sizzler จับมือ Green Monday ออกเมนู Plant-Based Meat ในราคาเริ่มต้น 379 บาท

ศึก Food Delivery เอาใจผู้บริโภคขยับตัวน้อย

ตลาด Food Delivery เป็นตลาดที่บูมมากในช่วงหลายปีที่ผานมา และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในตอนแรกมีเพียงแค่ LINE MAN ที่จับจริตคนไทยได้อยู่หมัด ออกบริการรับซื้ออาหารจนยอดขายถล่มทลาย

แต่ในปีนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในสังเวียนทั้ง Grab Food และ GET ล้วนอัดโปรโมชั่นค่าส่งเพียงแค่ 10 บาท ทำเอา LINE MAN ถึงกับต้องตั้งหลักใหม่ เสียส่วนแบ่งการตลาดไปพอสมควร

ปีหน้าก็ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะมีการแข่งขันที่นวัตกรรม หรือบริการใหม่ๆ เพราะทุกแบรนด์ต่างก็อยากเติบโตด้วยความยั่งยืน การอัดโปรโมชั่นสามารถทำให้ลูกค้ารับรู้ได้เร็ว แต่อาจจะไม่สร้างกำไรในระยะยาวได้

ค้าปลีกยังคงล่มสลาย

ธุรกิจค้าปลีกยังคงมีทีท่าที่จะหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการเข้ามาของอีคอมเมิร์ซ ในปีที่ผ่านมาได้เห็นข่าวคราวของวงการค้าปลีกต่างประเทศปิดตัวกันระนาว มีการล้มละลายกันต่อเนื่อง

Vienna, Austria – September 4, 2011: Shopper walks past Forever 21 store on September 4, 2011 in Vienna. Forever 21 fashion label has 480 stores worldwide and had USD 2.6 bn revenue in 2011.

อย่าง Barneys และ Forever 21 ก็พาเหรดกันล้มละลาย เพราะไม่สามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้ หรือแม้แต่บางที่ก้มีการปรับลดพนักงาน เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัวมากขึ้น

ในประเทศไทยเองอย่าง “เทสโก้ โลตัส” ก็ร้อนๆ หนาวๆ เพราะมีข่าวล่าสุดบอกว่าทางบริษัทแม่อาจจะขายกิจการในประเทศไทย และมาเลเซีย แต่ยังไม่มีการยืนยันที่ชัดเจน ยังคงเป็นแผนอยู่

ชาไข่มุกฟีเวอร์

เรียกว่าเป็นปีทองของ “ชาไข่มุก” จริงๆ เพราะได้กลับมาฮิตอีกครั้ง งานนี้ได้เข้าไปอยู่ในหลายเมนูจนกลายเป็นชาไข่มุกฟีเวอร์ เกิดแบรนด์ชาไข่มุกล้นเมือง ร้านค้าร้านอาหารต้องมีเมนูชาไข่มุกประดับร้านเพื่อเกาะกระแสด้วย

พฤติกรรมคนไทยทานชาไข่มุกมากขึ้น จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ไปแล้วเรียบร้อย นอกจากแบรนด์ดั้งเดิมที่เปิดให้บริการในไทยมาหลายปี ยังมีแบรนด์ใหม่จากต่างประเทศทยอยตบเท้าเข้ามาในไทย สร้างกระแสต่อแถวได้อย่างต่อเนื่อง เช่น Tiger Sugar จากประเทศไต้หวัน

หรือแบรนด์ไทยอย่าง Fire Tiger ก็ได้รับความนิยมจนสามารถดคแบรนด์กับ MK เข้าไปจำหน่ายภายในร้าน MK กว่า 400 สาขาได้แล้ว นอกจากนี้ยังเกิดแบรนด์ชาไข่มุกใหม่ๆ ที่เป้นร้านเล็กๆ ระดับแมสอีกมากมาย เรียกว่าเป็นอีกกระแสที่ร้อนแรงมากจริงๆ

]]>
1258693
เจาะอินไซต์ “ทาสชาไข่มุก” ชาวไทย กินเดือนละ 6 แก้ว! https://positioningmag.com/1251975 Fri, 01 Nov 2019 11:06:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251975 1251975 จับตา “ชาไข่มุกเอฟเฟกต์” ในญี่ปุ่น หวั่นส่อเค้าเศรษฐกิจหด ซื้อกลับบ้านทำขยะล้นเมือง https://positioningmag.com/1244135 Tue, 27 Aug 2019 10:55:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244135 นักวิเคราะห์ญี่ปุ่นเตือนธุรกิจชาไข่มุกสุดฮิตส่งผลกระทบกับสังคมหลายด้าน แม้จะทำให้สาวกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ธุรกิจนี้สร้างปัญหาเรื่องขยะให้กับย่านฮาราจูกุในโตเกียวอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ผลจากการซื้อชาไข่มุกไปดื่มนอกร้านแบบ takeaway ยังมีนักการเงินที่จุดประเด็นว่าการแห่ตั้งบูธขายชาไข่มุกอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจหดตัวด้วย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูงแต่มีราคาต้นทุนต่ำ

ประเด็นธุรกิจชาไข่มุกส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจระดับประเทศนั้นถูกสื่อญี่ปุ่นหยิบมารายงานต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักการเงินสังเกตเห็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับภาวะไข่มุกบูม” หรือ tapioca boom ที่สินค้ากลุ่มสาคูมันสำปะหลังเคยฮิตมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้ จนถูกมองเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ โดยบอกว่าขณะนี้สังคมญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ยุคไข่มุกบูมเป็นรอบที่ 3 ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมา

ขณะที่รายงานจากสำนักข่าว japantimes ระบุว่าธุรกิจชาไข่มุกไม่เพียงส่อแววมีปัญหาฟองสบู่เท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาขยะล้นเมือง ทำให้น่าจับตาว่าเมื่อไรหนอที่เทรนด์ชาไข่มุกจะถึงช่วงขาลง เหมือนแฟชันเครื่องดื่มอื่นที่มาแล้วก็ไป 

ชาไข่มุก เทรนด์นี้ยังไม่ยอมไปไหน

โลกเคยเห็นเกมการตลาดในวงการเครื่องดื่มกลุ่มชาทั้งการชูสรรพคุณลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต หรือบรรเทาอาการท้องผูก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความต้องการในตลาดก็จะซาลง และยอดขายกลับมาคงที่ในที่สุด แต่สำหรับปี 2019 แฟชั่นชาหวานเย็นที่เป็นที่นิยมของคนไทยและหลายประเทศทั่วโลกนั้นยังเป็นดาวค้างฟ้า โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มียอดการนำเข้าแป้งมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นถึง 142.6% ในปี 2017

ถ้าพูดถึงตัวผลิตภัณฑ์ ชานมไข่มุกไม่ได้เป็นสินค้าใหม่แต่เกิดขึ้นบนโลกธุรกิจแดนปลาดิบมานานกว่า 6 ปีแล้ว รายงานจาก Shukan Jitsuwa ยกให้แบรนด์ Chunshuitang ของไต้หวันเป็นผู้บุกเบิกเปิดสาขาแรกในย่าน Daikanyama ของโตเกียวในปี 2013 เมนูในร้านมีเครื่องดื่ม 44 รายการ หนึ่งในนั้นคือเครื่องดื่มชาอูหลงใส่นม เครื่องดื่มเม็ดมันสำปะหลังในชาดำใส่นมถั่วเหลือง และชานมรสมะม่วงที่จำหน่ายเฉพาะช่วงเวลาจำกัด

ธุรกิจชาไข่มุกทยอยเติบโตจนกระทั่งเห็นชัดมากในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ความต้องการในตลาดชาไข่มุกเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีสถิติการนำเข้ามันสำปะหลังเพิ่มขึ้นเป็น 2,928 ตัน คิดเป็นสัดส่วนสูงกว่าปีก่อนหน้าราว 142.6% ในปี 2017

ภาพจาก : facebook.com/thealleythailand

สำหรับญี่ปุ่น ตลาดชาไข่มุกได้รับอิทธิพลโดยตรงจากไต้หวัน ซึ่งทำให้แบรนด์ Chunshuitang, Goncha (2015) และ The Alley (2017) ขยายสาขาไปทั่วประเทศ ทำให้ย่านฮาราจูกุเป็นศูนย์รวมชาไข่มุกมากกว่า 20 แบรนด์ นำไปสู่ปัญหาขยะจากแก้วพลาสติกและหลอดที่เห็นชินตาตามท้องถนน

ความนิยมในชาไข่มุกยังทำให้เกิดคำใหม่ในภาษาญี่ปุ่นด้วย นั่นคือคำว่า tapista ซึ่งหมายถึงผู้ชงชาไข่มุก รวมถึงคำว่า tapiru ที่เป็นคำกริยาการชงชาไข่มุก แถมคนญี่ปุ่นยังตั้งคำสำหรับเป็นรูปอดีตกาลให้คำนี้ด้วย นั่นคือ tapitta

เฉพาะเมืองหลวงอย่างโตเกียว สถิติชี้ว่ามีร้านค้าจำหน่ายชาไข่มุกมากกว่า 300 ร้าน สำนักข่าว Weekly Playboy ประเมินว่าร้านชาไข่มุกจะถูกเปิดตัวราว 10 สาขาใหม่ต่อวันทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นจะให้การตอบรับร้านสาขาใหม่ดีมาก เช่น ร้านชาไข่มุกแบรนด์หนึ่งที่เปิดใหม่ในนาโกย่า มีรายงานว่าลูกค้าเข้าคิวรอนานถึง 6 ชั่วโมงเพื่อซื้อเครื่องดื่ม

ในขณะเดียวกัน เครื่องดื่มชาไข่มุกก็ถูกเพิ่มเข้าไปในเมนูของเชนร้านอาหารใหญ่ เช่น Denny’s และ Jonathan’s รวมถึงร้านเบอร์เกอร์ Lotteria และ Freshness Burger แม้แต่ร้านขายซูชิสายพาน Kappa Sushi และร้านอาหารเอเชียอย่าง Thali-ya 

ทุนต่ำขายแพงทำลายเศรษฐกิจ

อีกประเด็นสำคัญเรื่องผลกระทบของชาไข่มุกต่อสังคมญี่ปุ่นคือเรื่องเศรษฐกิจ รายงานจาก Yukan Fuji อธิบายว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับมันสำปะหลังนั้นเคยบูมมาในญี่ปุ่นมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบไม่แพ้กัน 

รายงานระบุว่า tapioca boom ครั้งแรกในญี่ปุ่นเกิดขึ้นช่วงประมาณปี 1992 ซึ่งเป็นช่วงที่ขนมสาคูแป้งมันสำปะหลังในน้ำกะทิได้รับความนิยม ครั้งที่ 2 คือช่วงปี 2008 ที่แฟรนไชส์สไตล์ไต้หวันจำนวนมากเข้ามาเปิดให้บริการเครื่องดื่มชานมผสมเม็ดสาคู ความเฟื่องฟูนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าภาวะฟองสบู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นล่มสลายในปี 1992 และวิกฤติ Lehman Shock ในปี 2008

นักการเงินญี่ปุ่นจึงประเมินว่าเวลานี้คือคลื่นลูกที่สามของยุค tapioca boom โดยแสดงความกังวลว่ากำไรจากราคาขายชาไข่มุกที่สูงแต่ตัวสินค้าราคาต่ำนั้นอาจทำให้เศรษฐกิจประเทศถดถอย สถานการณ์นี้จะยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้นเมื่อธุรกิจลักษณะนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นคำทำนายว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจหดตัวอีกรอบหนึ่ง

ประเทศไทยฟังไว้บ้างเด้อ.

Source 

]]>
1244135