คลายล็อกดาวน์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 23 Sep 2021 06:06:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “มาเลเซีย” ฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่ครบ 80% แล้ว เป้าหมายต่อไป “วัยรุ่น” และเข็มบูสเตอร์ https://positioningmag.com/1353151 Thu, 23 Sep 2021 05:39:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1353151 ประชากรผู้ใหญ่ใน “มาเลเซีย” ได้รับวัคซีนครบ 80% แล้ว เป้าหมายต่อไปคือการฉีดวัคซีนในกลุ่มวัยรุ่นและให้เข็มบูสเตอร์กลุ่มเสี่ยงสูง ตามแผนการกลับมาใช้ชีวิตปกติภายในสิ้นเดือนหน้า

“อิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ” นายกรัฐมนตรี ประเทศมาเลเซีย พร้อมด้วย “ไครี จามาลุดดิน” รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ประกาศผ่านบัญชีทวิตเตอร์ว่า มาเลเซียบรรลุเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ครบ 80% แล้ว เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 21 ก.ย. 2021 (ถ้าหากนับเป็นสัดส่วนประชากรทั้งหมด มาเลเซียฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว 57.1%)

ไครีเสริมด้วยว่า หลังจากนี้คณะกรรมการพิเศษด้านซัพพลายวัคซีนป้องกัน COVID-19 จะมุ่งดึงประชากรวัยผู้ใหญ่ที่เหลืออีก 20% มารับวัคซีน

แต่เดิมมาเลเซียมีแผนฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่ให้ครบ 100% ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ แต่เนื่องจากไวรัสเดลตาแพร่ระบาดได้เร็วกว่า ทำให้ต้องปรับแผนใหม่เป็นการทยอยเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศแบ่งเป็นเฟสๆ ระหว่างเดินหน้าฉีดวัคซีนให้มากที่สุด และมองว่าจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับการระบาดให้ได้

อีกหนึ่งเป้าหมายในแผนฉีดวัคซีนคือ มาเลเซียเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กวัยรุ่นอายุ 12-17 ปีแล้วในเดือนนี้ และมีเป้าจะฉีดวัคซีนในวัยรุ่นอย่างน้อย 1 โดสให้ครบ 60% ของประชากรวัยรุ่นภายในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และต้องการจะฉีดครบโดสก่อนเปิดเทอมใหม่ในปี 2022

นอกจากนี้ จะเริ่มให้วัคซีนเข็มบูสเตอร์แก่กลุ่มเสี่ยงสูงและบุคลากรหน้าด่านในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เพราะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพวัคซีนจะเริ่มต่ำลงเมื่อรับวัคซีนไปแล้วหลายเดือน ดังที่เห็นในรัฐซาราวัค พื้นที่ที่มีการระบาดสูงสุด

วัคซีนหลักที่มาเลเซียใช้แล้ว ได้แก่ Sinovac, AstraZeneca และ Pfizer-BioNTech และมีการสั่งวัคซีน Cansino กับ Sputnik V ไว้ด้วยเช่นกัน

เกนติ้ง ไฮแลนด์ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่จะเปิดให้ประชาชนมาเลย์เที่ยวได้เดือนหน้า (Photo : Shutterstock)

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มาเลเซียมีผู้ติดเชื้อใหม่ 15,759 คน เป็นตัวเลขที่เริ่มลดลงมานับตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่เคสใหม่เคยขึ้นไปพีคที่มากกว่า 20,000 รายต่อวัน ขณะที่ผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อสัปดาห์อยู่ที่ 108 ราย

มาเลเซียกำลังค่อยๆ ผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยหวังจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ทั้งหมดภายในสิ้นเดือนตุลาคม ล่าสุด เพิ่งประกาศผ่อนคลายเคอร์ฟิว ให้ร้านอาหารและห้างร้านต่างๆ ทำการได้ในเวลา 6 โมงเช้า ถึง เที่ยงคืน (การทานอาหารในร้าน จำกัดเฉพาะผู้ที่รับวัคซีนครบโดสแล้วเท่านั้น)

รวมถึงเปิดโครงการนำร่องกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศไปเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2021 อนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเดินทางไปเที่ยวเกาะลังกาวีได้ จากนั้นมาเลย์จะเริ่มเปิดแหล่งท่องเที่ยวอีก 3 แห่ง วันที่ 1 ต.ค. นี้ คือ เกนติ้ง ไฮแลนด์, มะละกา และ เกาะติโอมัน

Source

]]>
1353151
คลายล็อกดาวน์ ‘ไทย-อินโด’ เสี่ยงยอดติดโควิดกลับมาพุ่งสูง เพราะฉีดวัคซีนช้า รุกตรวจน้อย https://positioningmag.com/1349909 Thu, 02 Sep 2021 10:17:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349909 ไทยเเละอินโดนีเซีย สองประเทศใหญ่ในอาเซียน เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์โควิด-19 หลังจำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลง เเต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เตือนว่ายอดผู้ติดเชื้ออาจจะกลับมาพุ่งได้อีกเพราะอัตราการฉีดวัคซีนยังอยู่ในระดับต่ำ เเละการรุกตรวจหาเชื้อยังน้อย

Reuters เสนอประเด็นวิเคราะห์ที่น่าสนใจในการผ่อนปรนมาตรการสกัดโควิด-19 ครั้งนี้ว่า ช่วงปีที่ผ่านมา อาเซียนสามารถคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาได้ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ เเต่ในปีนี้ กลับกลายเป็นศูนย์กลางของการเเพร่ระบาด จากการมาของสายพันธุ์เดลตา

ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค อินโดนีเซียและไทย ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ในอาเซียน ได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการนั่งรับประทานอาหารในร้านและห้างสรรพสินค้าเพื่อช่วยบรรเทาความเสียหายด้านเศรษฐกิจ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (31 ..64) อินโดนีเซียมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ 10,534 คน ต่ำกว่าเมื่อช่วงกลางเดือนก.. ถึง 5 เท่า ขณะที่ไทยมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ 14,802 คนเมื่อวันพุธ (31 . 64) ลดลง 37% จากระดับสูงสุดในช่วงกลางเดือนส..

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ มองว่า การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ครั้งนี้มีความเสี่ยงเนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดยังต่ำและมีการตรวจหาเชื้อน้อย

ที่สำคัญคือ อินโดนีเซียมีอัตราผู้ตรวจพบเชื้อไวรัสโควิดที่ 12% ส่วนไทยอยู่ที่ 34% สูงกว่าอัตราที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำไว้ที่ 5%

Photo : Shutterstock

Abhishek Rimal ผู้ประสานงานฉุกเฉินภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ กล่าวกับ Reuters ว่า ตัวเเปรสำคัญอย่างไวรัสสายพันธุ์เดลตา ที่สามารถแพร่เชื้อได้เร็ว และอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ ทำให้เราอาจได้เห็นการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ด้าน Tri Yunis Miko Wahyono นักระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ให้ความเห็นว่า “การเฝ้าระวังที่มีอยู่ยังไม่ได้ดีขนาดนั้น เรายังคงต้องระวัง”

ล่าสุด อินโดนีเซียมีจำนวนผู้ป่วยโควิดสะสมมากกว่า 4 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 133,000 ราย นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาด ส่วนประเทศไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมที่ราว 1.2 ล้านราย รายงานผู้เสียชีวิต 11,841 ราย

ทั้งสองประเทศ มีอัตราการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเข็มเเรกที่ประมาณ 30% โดยอินโดนีเซีย มีการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้ว 17% และไทยอยู่ที่ 11% ที่น่าสนใจคือ พื้นที่เมืองหลวงอย่างจาการ์ตาและกรุงเทพฯ มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงกว่าต่างจังหวัดมาก

Photo : Shutterstock

ในกรุงจาการ์ตาและพื้นที่อื่นๆ ในเกาะชวา ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า สามารถเปิดให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50% ห้างสรรพสินค้าเปิดทำการได้ถึงเวลา 21.00 . ขณะที่โรงงานได้รับอนุญาตให้เปิดทำการได้เต็มรูปแบบ 100%

ในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่สีเเดงที่มีการระบาด 28 จังหวัด รัฐมีการผ่อนคลายให้ร้านอาหาร สามารถเปิดให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50 – 75% ร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าเปิดทำการได้ถึงเวลา 20.00 .

ลูกค้าที่กำลังต่อคิวซื้ออาหารในกรุงเทพฯ รายหนึ่งบอกว่ารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เพราะคนจำนวนมากได้รับการฉีดวัคซีนและพวกเขาก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น

Dale Fisher ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดของ National University Hospital สิงคโปร์ ระบุว่า ประโยชน์ที่ได้ทางเศรษฐกิจจากการคลายล็อกดาวน์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่รัฐก็ต้องเร่งฉีดฉีดวัคซีนให้ประชาชนเร็วขึ้นด้วย

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1349909
“สิงคโปร์” ฉีดวัคซีนครบ 70% ทยอยกลับสู่ “ชีวิตปกติ” พิจารณายอมรับวัคซีนจีนเร็วๆ นี้ https://positioningmag.com/1345704 Sat, 07 Aug 2021 11:18:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1345704 สิงคโปร์ก้าวไปอีกขั้นในการ “อยู่ร่วมกับ COVID-19” หลังจากประชาชนจะได้รับวัคซีนครบ 70% ของทั้งประเทศภายในวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคมนี้ ทำให้ตั้งแต่วันอังคารที่ 10 สิงหาคมเป็นต้นไป สิงคโปร์จะเริ่มคลายล็อกดาวน์ แต่มีข้อกำหนดแยกระหว่างผู้ที่รับวัคซีนแล้วกับยังไม่ได้รับวัคซีน พร้อมพิจารณาเตรียมยอมรับวัคซีนจีนเร็วๆ นี้

สิงคโปร์ หนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงประเทศหนึ่งของทวีปเอเชีย กำลังจะกลับสู่ชีวิตปกติในวันอังคารที่จะถึงนี้ แม้ว่าอัตราการติดเชื้อจะยังไม่กลับเป็นศูนย์

โดยรัฐบาลสิงคโปร์ประกาศเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2021 ถึงแผนที่จะคลายข้อบังคับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมกลุ่ม อีเวนต์ และการทานอาหารภายในร้านอาหาร ซึ่งมาตรการใหม่จะมีข้อแตกต่างระหว่างผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว กับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือยังไม่ครบโดส นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเตรียมปรับจุดยืนมาให้การยอมรับวัคซีนที่ผลิตจากจีนมากขึ้น

Photo : Shutterstock

ตัวอย่างมาตรการที่จะเริ่มต้นวันที่ 10 สิงหาคม 2021 ของสิงคโปร์ เช่น

  • การเปิดประเทศ : อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานและฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเข้าประเทศได้ และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ สามารถเข้าประเทศได้ แต่ต้องกักตัวภายในที่พักของตนเอง (รัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจา Travel Bubble กับประเทศที่ควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ได้แล้วและประชากรมีอัตราการฉีดวัคซีนสูง เพื่อเปิดการเดินทางระหว่างกันโดยไม่ต้องกักตัวในอนาคต)
  • การทานอาหารภายในร้านอาหาร : อนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วทานอาหารภายในร้านได้ โดยรวมกลุ่มโต๊ะละไม่เกิน 5 คน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือยังไม่ครบไม่สามารถทานอาหารในร้านได้
  • การทานอาหารภายในโรงอาหาร : กรณีเป็นโรงอาหารหรือฟู้ดคอร์ทที่มีอยู่ทั่วไปในสิงคโปร์ อนุญาตให้ทุกคนไม่ว่าจะฉีดวัคซีนครบโดสแล้วหรือไม่สามารถนั่งทานได้ แต่นั่งรวมกันได้ไม่เกิน 2 คน (ทั้งนี้ ทางการสิงคโปร์มองว่าโรงอาหารซึ่งไม่ติดแอร์ รับลมธรรมชาติ มีโอกาสการแพร่ของเชื้อโรคน้อยกว่าร้านอาหาร)
  • การรวมกลุ่มของประชาชน : อนุญาตให้รวมตัวกันเพิ่มจากเดิม 2 คนเป็น 5 คน ส่วนการจัดกิจกรรมอีเวนต์อนุญาตสูงสุด 500 คน แต่ผู้เข้าร่วมต้องฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว โดยเตรียมจะเพิ่มเป็น 1,000 คนในอนาคต หากประชากรมีสัดส่วนรับวัคซีนครบเพิ่มมากกว่านี้

แม้ว่าสิงคโปร์จะทยอยกลับสู่ชีวิตปกติ แต่รัฐบาลยังเตือนด้วยว่า การล็อกดาวน์อาจจะกลับมาอีกครั้งหากระบบสาธารณสุขเริ่มตึงเครียด

 

เตรียมพิจารณายอมรับวัคซีนจีน

ประเทศสิงคโปร์มีเป้าหมายต่อไปในการฉีดวัคซีน ต้องการให้ครบ 80% ของประเทศภายในต้นเดือนกันยายนนี้ และระหว่างนี้ รัฐบาลอาจเปลี่ยนนิยามการ “ฉีดวัคซีนครบโดส” แตกต่างจากเดิม

Photo: Ministry of Communications and Information / Singapore

ที่ผ่านมา สิงคโปร์นับเฉพาะประชากรที่ฉีดวัคซีน “ไฟเซอร์-ไบออนเทค” และ “โมเดอร์นา” ครบโดสเท่านั้น จึงจะถือว่าฉีดวัคซีนครบสมบูรณ์ แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางการสิงคโปร์ระบุว่ากำลังจะพิจารณาให้ “ซิโนแวค” และ “ซิโนฟาร์ม” ซึ่งเป็นวัคซีนผลิตในจีน นับเป็นการฉีดวัคซีนที่ครบโดสแล้วเช่นกัน จากเดิมที่ผู้ที่ฉีดวัคซีนสองชนิดนี้จะไม่ถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนครบสมบูรณ์

เหตุที่สิงคโปร์อาจเปลี่ยนแปลงการพิจารณา เนื่องจากการฉีดวัคซีนครบ 70% ของประชากร ทำให้การพิจารณาสามารถยืดหยุ่นได้มากขึ้น “สิ่งที่สำคัญขณะนี้คือความแตกต่างระหว่างผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนกับผู้ที่รับวัคซีนแล้ว มากกว่าความแตกต่างระหว่างวัคซีนต่างชนิดกัน” Ong Ye Kung รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์กล่าว

Ong ย้ำด้วยว่ากลยุทธ์ของสิงคโปร์จะ “ไปทีละก้าว” มากกว่าการยกเลิกข้อบังคับทั้งหมดในคราวเดียว โดยการเปลี่ยนแปลงทีละก้าวจะพิจารณาไปทีละขั้นๆ

Source

]]>
1345704
ดีใจได้วันเดียว! “อังกฤษ” เคาะไม่ฉีดวัคซีนห้ามเข้า “สถานบันเทิง” เริ่มสิ้นเดือนกันยา https://positioningmag.com/1343421 Wed, 21 Jul 2021 10:05:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1343421 อังกฤษประกาศลูกค้าเข้า “สถานบันเทิง” และงานอีเวนต์รวมคนขนาดใหญ่ใดๆ ต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เริ่มสิ้นเดือนกันยายนนี้ กฎใหม่นี้ออกมาในเวลาเพียงวันเดียวหลังจากอังกฤษอนุญาตเปิดธุรกิจสถานบันเทิงเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน ผู้ประกอบการโอดรัฐทำร้ายธุรกิจฮอสพิทาลิตี้อีกครั้ง

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ประกาศให้ “สถานบันเทิง” และ อีเวนต์ที่มีการรวมคนจำนวนมากะอนุญาตให้เข้าเฉพาะผู้ที่รับวัคซีนครบโดสแล้วเท่านั้น เริ่มตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายนนี้

ธุรกิจสถานบันเทิงของอังกฤษเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 19 ก.ค. 2021 หลังจากถูกสั่งปิดยาวนานถึง 16 เดือนเนื่องจาก COVID-19 ระบาด ทั้งนี้ สถานบันเทิงในพื้นที่สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือยังคงไม่อนุญาตให้เปิดบริการขณะนี้

นายกฯ จอห์นสันกังวลถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังสุ่มเสี่ยงในปัจจุบัน ทำให้ต้องออกนโยบายใหม่มาบังคับใช้กับสถานบันเทิงประเภท ‘ไนต์คลับ’ ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นคลัสเตอร์การระบาด

“ผมไม่อยากจะสั่งปิดไนต์คลับอีกครั้งเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่อื่น แต่นั่นหมายความว่าไนต์คลับจะต้องมีความรับผิดชอบทางสังคมด้วย” จอห์นสันกล่าวกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2021 ก่อนประกาศกฎหมายในวันต่อมา

“ดังที่กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อน เราขอสงวนสิทธิ์ในการบังคับใช้ใบรับรองการฉีดวัคซีน เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นว่าจำเป็น เพื่อลดการแพร่ระบาด”

ส่วนสาเหตุที่ยืดเวลาบังคับใช้ออกไปถึงสิ้นเดือนกันยายนเพราะขณะนี้หนุ่มสาววัย 18-30 ปีของอังกฤษมีถึง 35% ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโดสแรกเลย แต่รัฐบาลคาดว่าจนถึงสิ้นเดือนกันยายน หนุ่มสาววัยนี้น่าจะได้วัคซีนครบ 2 โดสแล้วเป็นส่วนใหญ่

การแพร่ระบาดรอบใหม่ที่เกิดจากไนต์คลับมีตัวอย่างแล้วที่เนเธอร์แลนด์ หลังจากเปิดธุรกิจนี้ไม่นาน การติดเชื้อกลับทะยานขึ้นอีกครั้งจนรัฐบาลต้องสั่งปิดสถานบันเทิงอีก เนื่องจากรัฐพบว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมากมาจากการติดเชื้อในไนต์คลับและปาร์ตี้

สำนักข่าว BBC รายงานเสียงจากผู้ประกอบการสถานบันเทิงในอังกฤษว่าเป็นไปในเชิงลบ เพราะการสั่งปิดยาวนานถึง 16 เดือน ทุกคนต่างมีความหวังว่าหลังจากนี้จะเร่งฟื้นฟูกิจการ แต่ ‘วันแห่งอิสรภาพ’ ของไนต์คลับเกิดขึ้นเพียง 17 ชั่วโมง จากนั้นข่าวการใช้ “วัคซีนพาสปอร์ต” เพื่อเข้าไนต์คลับก็ทำให้ผู้ประกอบการต้องจัดทำแผนปรับตัวอีกครั้ง

ความกังวลของผู้ประกอบการคือความยากลำบากที่จะปฏิบัติจริง เพราะต้องตรวจวัคซีนพาสปอร์ตทุกคน และต้องยอมปฏิเสธลูกค้าที่ต้องการเข้าคลับแต่ยังฉีดวัคซีนมาไม่ครบ

นอกจากนี้ ยังกังวลว่ากำแพงการเข้าถึงตรงนี้อาจจะทำให้ลูกค้าหันไปเข้าผับและบาร์แทน เพราะธุรกิจกลุ่มนั้นไม่ถูกบังคับเรื่องวัคซีน และเป็นไปได้ว่าลูกค้าจะหันไปจัดปาร์ตี้ส่วนตัวในบ้านกันเอง ซึ่งไม่ต้องถูกบังคับใช้กฎหมายใดๆ

source

]]>
1343421
วัคซีนได้ผล! ยอดผู้ติดเชื้อ “สหรัฐฯ” ต่ำกว่า 30,000 รายต่อวัน ครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี https://positioningmag.com/1333410 Fri, 21 May 2021 16:29:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333410 สหรัฐฯ รายงานยอดผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 7 วันต่ำกว่า 30,000 เคสต่อวันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี จากการระดมฉีดวัคซีนให้ประชากร โดยมีประชากรกว่า 48% ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว ปัจจุบันสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีนเฉลี่ยวันละ 1.8 ล้านโดส

ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ เฉลี่ย 7 วัน (14-20 พฤษภาคม 2021) ลงมาอยู่ที่ 29,100 เคสต่อวัน เป็นครั้งแรกที่ยอดเฉลี่ยในสัปดาห์ลงมาต่ำกว่า 30,000 เคสต่อวัน นับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2020 หรือเกือบ 1 ปีที่แล้ว

สำนักข่าว CNBC ประมวลข้อมูลจาก John Hopkins พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสัปดาห์นี้ลดลงถึง 18% จากสัปดาห์ก่อน โดยมี 40 รัฐที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงไม่ต่ำกว่า 5% ในช่วงสัปดาห์นี้

ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตสัปดาห์นี้ก็ลดลงเช่นกัน ลงมาเหลือเฉลี่ย 552 รายต่อวัน เป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีก่อน

Photo : Shutterstock

ผลสำเร็จเกิดจากการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ซึ่งสหรัฐฯ มีอัตราการฉีด 1.8 ล้านโดสต่อวัน มีประชากรรับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสไปแล้วคิดเป็น 48% ของประชากรทั้งหมด และประชากรที่รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วคิดเป็น 38% ของประชากรทั้งหมด (ทั้งนี้ ถ้านับเฉพาะประชากรวัย 18 ปีขึ้นไป จะมีประชากรรับวัคซีนแล้ว 60.5%)

สหรัฐอเมริกาเคยเป็นประเทศที่เผชิญการระบาดของ COVID-19 รุนแรงที่สุดประเทศหนึ่ง โดยเคยมียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดช่วงเดือนธันวาคม 2020 ถึงมกราคม 2021 ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละมากกว่า 2 แสนคน และมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 3,000 คนต่อวัน หลายเมืองเกิดหายนะทางสาธารณสุข เช่น นิวยอร์ก แต่สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 เป็นต้นมา

แผนการขั้นต่อไปของสหรัฐฯ คือจะเริ่มนำวัคซีน Pfizer และ BioNTech ฉีดให้กับเด็กวัย 12-15 ปี จากก่อนหน้านี้จะเน้นที่ผู้ใหญ่จนถึงวัยชราก่อน โดยสหรัฐฯ วางเป้าจะฉีดวัคซีนให้ครบ 70% ของประชากรภายในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ เพื่อฉลองวันชาติสหรัฐอเมริกา

Source

]]>
1333410
“ฮ่องกง” คลายล็อกดาวน์ร้านอาหารในรอบ 2 เดือน แต่ลูกค้ายังหวั่นแอปฯ ติดตามของรัฐ https://positioningmag.com/1320174 Fri, 19 Feb 2021 07:08:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320174 “ฮ่องกง” อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ จำกัดเวลาเปิดร้านอาหารมากว่า 2 เดือน โดยเมื่อวานนี้ (18 ก.พ. 2020) เป็นวันแรกที่อนุญาตให้เปิดร้านได้ยาวถึง 4 ทุ่ม และนั่งทานได้ไม่เกิน 4 คน แต่ขอความร่วมมือให้ลูกค้าสแกนแอปฯ ของรัฐเช็กอินเข้าร้าน โดยส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ระบบเดิมคือเขียนชื่อและเบอร์ติดต่อให้ร้านโดยตรง เพราะไม่มั่นใจความปลอดภัยของข้อมูล

สำนักข่าว South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า เมื่อวานนี้ (18 ก.พ. 2020) เป็นคืนแรกที่รัฐอนุญาตคลายล็อกดาวน์การนั่งทานอาหารในร้าน หลังจากเกาะฮ่องกงต้องเผชิญการระบาดรอบที่ 4 และร้านอาหารต้องปิดการนั่งทานอาหารในร้านในเวลา 6 โมงเย็นมานานกว่า 2 เดือน รวมถึงให้นั่งทานได้โต๊ะละไม่เกิน 2 คน

จากการคลายล็อกดาวน์ ร้านอาหารได้รับอนุญาตให้เปิดได้ถึงเวลา 22.00 น. และเพิ่มคนในโต๊ะเดียวกันเป็น 4 คน ทั้งนี้ รวมทั้งร้านต้องมีลูกค้าไม่เกิน 50% ของพื้นที่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม SCMP รายงานบรรยากาศการคลายล็อกดาวน์วันแรกยังคงเงียบเหงา มีผู้คนทานอาหารในช่วงหลัง 6 โมงเย็นบางตา และเชนฟาสต์ฟู้ดบางแห่ง เช่น MOS Burger รวมถึงร้านอาหารบางร้าน ยังคงปิดการทานในร้านหลัง 6 โมงเย็นต่อไป โดยมีหลายเหตุผลที่ทำให้ลูกค้ายังไม่กลับมา และร้านไม่เปิดตามมาตรการ

แอปพลิเคชัน Leave Home Safe (Photo : aud.gov.hk)

หนึ่งในนั้นคือการเปิดแอปพลิเคชันใหม่ของรัฐบาล คือ Leave Home Safe ซึ่งขอความร่วมมือให้ร้านอาหารติดตั้ง QR Code ไว้หน้าร้านให้ลูกค้าสแกนเช็กอินเข้าร้าน ใช้สำหรับการติดตามตัวผู้มีความเสี่ยง (contact tracing) แต่ลูกค้ายังมีอีกทางเลือกคือกรอกประวัติส่วนตัวด้วยมือทิ้งไว้กับร้านอาหาร เพื่อใช้ในการติดตามตัว

SCMP ได้ทำการสอบถามลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมีโต๊ะรองรับทั้งหมด 9 โต๊ะ นั่งได้โต๊ะละ 4 คน ลูกค้าที่เข้าระหว่างเวลา 18.00-19.00 น. นั้นมีเพียงคนเดียวที่เลือกสแกน QR Code ส่วนที่เหลือยังคงเลือกการกรอกประวัติไว้กับทางร้านโดยตรง

พนักงานร้านขนมหวาน Tin Hau Dessert วัย 70 ปี ให้สัมภาษณ์ว่า ลูกค้ามักจะแสดงความหงุดหงิดที่ต้องสแกนแอปฯ ของภาครัฐ และจะเลือกเขียนประวัติให้กับร้านโดยตรง SCMP ยังสัมภาษณ์ลูกค้ารายหนึ่งของร้าน เธอเป็นติวเตอร์วัยประมาณ 30 ปีซึ่งมาซื้อขนมกลับบ้าน เธอระบุว่ายังไม่ต้องการมานั่งทานในร้านเพราะจะต้องให้ข้อมูลกับรัฐ แม้แต่การเขียนข้อมูลส่งให้กับทางร้านก็ตาม และตนไม่ต้องการจะโหลดแอปฯ หากเป็นไปได้

Photo : Shutterstock

ในทางกลับกัน ลูกค้าบางรายก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดใจกับมาตรการใหม่ของรัฐ เช่น Keith Wong ฟรีแลนซ์วัย 25 ปี หรือ Jasmine Chan วัย 23 ปี ระบุว่าตนสบายใจที่ได้ทิ้งข้อมูลติดตามตัวไว้ เพราะทำให้การมาทานอาหารปลอดภัยขึ้น หากมีเคสติดเชื้อที่เกี่ยวข้องก็จะได้รับการแจ้งเตือนทันที

คืนวันแรกของการคลายล็อกดาวน์นั้นเป็นวันพฤหัสบดี และลูกค้ายังไม่คุ้นเคย ยังคงระวังตัวกับการติดตามของรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้การฟื้นตัวของร้านอาหารในฮ่องกงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ขยายเวลาเปิดเลย

โดยจุดที่น่าจะได้รับอานิสงส์บวกมากที่สุดคือย่านจิมซาจุ่ย เพราะมีผับ บาร์ ร้านอาหารหลายแห่งที่เหล่าพนักงานนิยมมานั่งดื่มกินกันหลังเลิกงาน ทำให้เป็นจุดที่คนมากที่สุดในวันแรกที่คลายล็อกดาวน์

The Blind Pig หนึ่งในร้านอาหารย่านนี้มองว่า การคลายล็อกดาวน์ให้เปิดได้ถึง 4 ทุ่มน่าจะทำให้รายได้ของร้านเพิ่มขึ้น 30% และหวังว่าจะสามารถทำรายได้ชดเชยช่วงที่ร้านต้องปิดไป

ฮ่องกงนั้นเป็นสวรรค์ของการทานอาหารยามค่ำคืนไปจนถึงดึกดื่นคล้ายกับประเทศไทย การขยายเวลาเปิดร้านช่วงดึกจึงเป็นสิ่งสำคัญมากต่อธุรกิจนี้

Source

]]>
1320174
กลับมาผงาด! ถุงยาง ‘Durex’ เติบโตอีกครั้ง หลังจากยอดตกช่วงล็อกดาวน์ https://positioningmag.com/1302482 Wed, 21 Oct 2020 02:54:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302482 เมื่อช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา แม้คู่รักจะอยู่ที่บ้านมากขึ้น แต่กลับมีกิจกรรมทางเพศน้อยลง อีกทั้งผู้บริโภคไม่มีโอกาสสานสัมพันธ์กัน ส่งผลให้ถุงยาง ‘ดูเร็กซ์’ (Durex) ยอดขาย ‘ตก’ ในบางประเทศ เช่น อิตาลี อังกฤษ แต่หลังจากที่หลายประเทศเริ่มคลายล็อกดาวน์ก็ทำให้ถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทางเพศเติบโตขึ้น 12.6% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

แล็กซ์แมน นาราซิมฮาน ซีอีโอของ เรคกิตต์ เบนค์กิเซอร์ (Reckitt Benckiser) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าสุขภาพสัญชาติอังกฤษเจ้าของผลิตภัณฑ์อย่าง ‘เดทตอล’ (Dettol) และ ‘ดูเร็กซ์’ (Durex) ได้รายงานผลประกอบการของบริษัทประจำไตรมาสที่ 3 โดยมีรายได้รวม 3,513 ล้านปอนด์ (140,000 ล้านบาท) โตขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเติบโต 19.5% และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทางเพศเติบโต 12.6%

Durex,love sex,lubricant. (Photo by: Newscast/Universal Images Group via Getty Images)

เดทตอลเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพที่ทำยอดขายได้ดีต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 โดยยอดขายสเปรย์ผ้าเช็ดทำความสะอาดและของเหลวตราเดทตอลเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ดูเร็กซ์ที่ประสบปัญหายอดตกในช่วงไตรมาส 2 แต่ในไตรมาส 3 นี้ก็พลิกกลับมาเติบโตได้ แม้จะไม่ได้บอกถึงตัวเลขยอดขายของดูเร็กซ์อย่างชัดเจน แค่ระบุว่าทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้สองหลัก และยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งจัดว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญอีกด้วย

“หลังจากที่ต้องเจอกับความท้าทายอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่หลังจากที่ไตรมาส 3 เริ่มผ่อนคลายลงส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์สุขอนามัยทางเพศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดของประเทศที่อัตราการติดเชื้อลดลง”

ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยที่เติบโตในไตรมาส 3 แต่สินค้าอย่าง ‘Sex Toy’ ก็เติบโตขึ้น โดย Ann Summers ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการขายชุดชั้นในและเซ็กส์ทอย กล่าวว่า ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 14.4% ไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม อีกธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในระยะยาวก็คือ ธุรกิจสำหรับเด็กแรกเกิดและเด็กทารก เนื่องจากอัตราการเกิดทั่วโลกที่อาจลดลง

“มีหลักฐานว่าอัตราการเกิดจะลดลงอีกในไตรมาสต่อ ๆ ไปอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรค” แล็กซ์แมน กล่าว

Source

]]>
1302482
หมดช่วงนาทีทอง! Netflix คาดการณ์ “ยอดสมัครสมาชิก” Q3 หล่นฮวบหลังเลิกล็อกดาวน์ https://positioningmag.com/1288278 Fri, 17 Jul 2020 06:08:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288278 Netflix ประกาศยอดสมัครสมาชิกช่วง Q2/2020 ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10.1 ล้านราย แต่แจ้งเตือนนักลงทุนด้วยว่าช่วง Q3 ปีนี้น่าจะไม่ได้เห็นตัวเลขที่สูงถึงขนาดนี้อีกแล้ว โดยคาดว่าจะมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มเพียง 2.5 ล้านราย เนื่องจากทั่วโลกต่างคลายล็อกดาวน์ ทำให้ความต้องการสื่อบันเทิงในบ้านลดน้อยลง

Netflix แถลงผลประกอบการช่วง Q2/2020 มียอดสมัครสมาชิกเพิ่ม 10.1 ล้านรายระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเป็นจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นสูงสุดเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของทุกปีที่เปิดบริการมา ทั้งนี้ ยังต่ำกว่าสถิติ Q1/2020 ที่บริษัทโกยสมาชิกไปถึง 15.77 ล้านราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ตัวเลข 10.1 ล้านรายนี้ถือว่าสูงกว่าที่กลุ่มนักวิเคราะห์จากบริษัทใน Wall Street เคยคาดการณ์ไว้ว่า Netflix จะมีสมาชิกเพิ่ม 7.5 ล้านรายในไตรมาส 2

เมื่อปี 2019 Netflix มียอดสมัครสมาชิกเพิ่ม 27.83 ล้านราย ขณะที่เพียงช่วงครึ่งปีแรก 2020 มีสมาชิกใหม่เพิ่มแล้วถึง 25.87 ล้านราย รวมแล้วบริษัทมีสมาชิกทั่วโลก 193 ล้านราย ณ ขณะนี้

อย่างไรก็ตาม Netflix ก็ยังย้ำอีกครั้งว่า บริษัทตระหนักดีว่าการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยอดสมาชิกในช่วงการล็อกดาวน์เพื่อคุมโรคระบาด COVID-19 เป็นการเติบโตชั่วคราว โดยคาดการณ์ว่าช่วงไตรมาส 3 หรือเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2020 จะมีสมาชิกใหม่ประมาณ 2.5 ล้านรายเท่านั้น และบริษัทยังมองภาพรวมครึ่งปีหลัง 2020 ว่าจะเติบโตลดลงเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะมีการเติบโตล่วงหน้าไปแล้วตั้งแต่ครึ่งปีแรกนั่นเอง

ช่วงการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันโรคระบาดที่ผ่านมา เป็นโอกาสดีที่ Netflix จะรีบดันยอดสมาชิกใหม่หนีสารพัดคู่แข่งที่เพิ่งเข้าตลาด เนื่องจากการล็อกดาวน์ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกออกไปไหนไม่ได้ เมื่อไม่มีสิ่งบันเทิงนอกบ้าน เช่น โรงภาพยนตร์ สนามกีฬา ทำให้ยอดสมาชิกสตรีมมิ่งบันเทิงพุ่งทะยาน

แต่นาทีทองเช่นนี้ได้จบลงแล้ว “แพทริซ คูซิเนลโล” ผู้อำนวยการ Fitch Rating แสดงความกังวลด้วยว่า ไม่เพียงแต่สมาชิกใหม่จะเติบโตลดลง แต่สมาชิกเดิมอาจจะยกเลิกบริการ เพราะหมดช่วงล็อกดาวน์อยู่กับบ้าน รวมถึงคู่แข่งหน้าใหม่ก็เริ่มชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Disney+ ที่เริ่มเปิดบริการเดือนพฤศจิกายน 2019 หรือ HBO Max ที่เพิ่งเปิดบริการเดือนพฤษภาคม 2020

Source: Reuters, Statista

]]>
1288278
ยกเลิกเคอร์ฟิว! คลายล็อกดาวน์ระยะ 4 เริ่ม 15 มิ.ย. 63 ผ่อนผันจัดคอนเสิร์ต-เพิ่มที่นั่งขนส่งมวลชน https://positioningmag.com/1283242 Fri, 12 Jun 2020 06:54:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1283242 ศบค. อนุมัติการผ่อนปรนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 4 เริ่มวันที่ 15 มิ.ย. 63 ยกเลิกเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหสถาน ร้านอาหารขายสุราได้ ผ่อนผันจัดอบรม อีเวนต์ คอนเสิร์ต เปิดร้านอบตัว ออนเซ็น แต่ต้องควบคุมจำนวนคน จัดแข่งกีฬาได้แต่ต้องไม่มีผู้ชม ทั้งนี้ กิจกรรมเสี่ยงสูงสุดอย่างผับ บาร์ คาราโอเกะ โรงเบียร์ อาบอบนวด ยังไม่อนุญาตให้เปิด ด้านการจัด Travel Bubble อยู่ระหว่างหารือรายละเอียด

วันนี้ (12 มิ.ย. 63) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงการผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 4 จากการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธานการประชุม โดยมีรายละเอียดดังนี้

ยกเลิกเคอร์ฟิว

ยกเลิกเคอร์ฟิวการห้ามออกนอกเคหสถาน วันที่ 15 มิ.ย. 63 แต่ยังควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก น้ำ และอากาศ เนื่องจากยังพบผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ

ผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่

  • ให้โรงเรียนนานาชาติ สถาบันกวดวิชา และสถานศึกษาใดๆ ที่มีนักเรียนรวมทั้งโรงเรียนไม่เกิน 120 คน สามารถเปิดได้แล้ว
  • สามารถใช้อาคารสถานที่ของรัฐเพื่อใช้ในการอบรมสัมมนา

ผ่อนผันกิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต

  • การจัดประชุม อบรม สัมมนา การแสดงดนตรี นาฏศิลป์ คอนเสิร์ต ที่จัดในโรงแรม ศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า โรงมหรสพ ให้ใช้เกณฑ์ 4 ตร.ม.ต่อคน และนั่ง/ยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร และต้องดูแลไม่ให้แออัด ไม่ไร้ระเบียบ
  • การบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มในร้านอาหาร ภัตตาคาร หรือสถานที่ที่ได้รับอนุญาตการขายสุราอยู่ก่อนแล้ว “ยกเว้น” ผับ บาร์ คาราโอเกะ โรงเบียร์ ยังไม่อนุญาต
  • ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือสถานอื่นใดที่รับดูแลผู้สูงอายุหรือเด็กแบบรายวัน (ไป-กลับ) อนุญาตให้เปิดได้
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เช่น ท้องฟ้าจำลอง อนุญาตให้เปิด
  • กองถ่าย เพิ่มจำนวนคนได้ รวมทุกแผนกไม่เกิน 150 คน
  • สถานประกอบการด้านสุขภาพ สปา ออนเซ็น อบตัว สมุนไพร อบไอน้ำแบบรวมสามารถเปิดได้ แต่ขอความร่วมมือให้ใช้ 1 ห้อง/คน หรืออย่างน้อยเว้นระยะ 5 ตร.ม.ต่อคน อย่างไรก็ตาม “ยกเว้น” กิจการอาบอบนวด ยังไม่อนุญาต
  • สวนสาธารณะ ลานกีฬา สามารถจัดกิจกรรมรวมกลุ่ม เช่น เต้นแอโรบิก ได้ โดยคิดเกณฑ์ 5 ตร.ม.ต่อคน รวมกันไม่เกิน 50 คน
  • สวนสนุก สนามเด็กเล่น สวนน้ำ สระว่ายน้ำสาธารณะ เปิดได้แล้ว แต่ไลฟ์การ์ดต้องคอยดูแลคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม ยัง “ยกเว้น” เครื่องเล่นที่มีผิวสัมผัสมาก เช่น บ้านบอล บ้านลม
  • สนามกีฬาประเภทกลางแจ้ง โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ โรงยิม และสถานที่ออกกำลังกาย คือ ทุกประเภทกีฬาสากล เพื่อออกกำลังกาย ฝึกซ้อม การเรียนการสอน ทำได้หมด โดยแข่งได้แต่ยังไม่มีผู้ชม
  • ตู้เกม เครื่องเล่นหยอดเหรียญ ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงมหรสพ สวนสนุก ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย สามารถเปิดได้

ผ่อนผันการขนส่งโดยสาร

  • อนุญาตที่นั่งบนเครื่องบินสามารถนั่งได้เกือบ 100% (โปรดติดตามข้อกำหนดที่ชัดเจนภายในวันที่ 14 มิ.ย. 63)
  • ขนส่งมวลชนอื่นๆ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า เพิ่มที่นั่งเป็น 70%

การเปิดประเทศแบบ Travel Bubble 

นพ.ทวีศิลป์ยังกล่าวถึงแนวทางการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจำกัด หรือ Travel Bubble ว่า ขณะนี้ ศบค.รับในหลักการแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการหารือ โดยมีการเสนอข้อกำหนดหลายประเด็น เช่น ผู้ที่เดินทางเข้ามาต้องผ่านการตรวจหาเชื้อ COVID-19 จากประเทศต้นทางเพื่อไม่ต้องกักตัว 14 วันภายในประเทศไทย

รวมถึงคาดว่าจะมีการอนุญาตให้เฉพาะบางกลุ่มที่มีแผนการเดินทางชัดเจน สามารถติดตามตัวได้ (track & trace) เช่น กลุ่มนักธุรกิจที่เข้ามาติดต่อธุรกิจ กลุ่มนักกอล์ฟที่เข้ามาเพื่อทำกิจกรรมในบริเวณสนามกอล์ฟเท่านั้น กลุ่มที่เดินทางมาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยหรือด้านเวลเนส (Medical Tourism)

การเปิด Travel Bubble น่าจะเกิดขึ้นเฉพาะบางประเทศ ในการหารือมีชื่อประเทศเหล่านี้ที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมา เช่น จีน ฮ่องกง มาเก๊า ญี่ปุ่น เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา ตะวันออกกลางบางประเทศ

หลังจากนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อยเพื่อลงรายละเอียดข้อกำหนด Travel Bubble พร้อมสร้างความเข้าใจกับประชาชนต่อไป

ทั้งนี้ วันที่ 12 มิ.ย. 63 ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 4 ราย โดยพบในสถานที่กักตัวของรัฐทั้งสิ้น ไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศ รวมมีผู้ติดเชื้อสะสม 3,129 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย (ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม) เป็นเวลา 18 วันติดต่อกันที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือให้ประชาชนระมัดระวังและป้องกันตัวจากโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัด

]]>
1283242
ลดราคาหนัก คนอยากซื้อบ้าน “เอพี” ชี้ยอดขายไตรมาส 2/63 ไม่แย่อย่างที่คาด https://positioningmag.com/1282934 Wed, 10 Jun 2020 10:57:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282934 “เอพี” เปิดสถานการณ์ขายบ้าน-คอนโดฯ หลังสะดุดไป 1 เดือนช่วงโรค COVID-19 เริ่มระบาด ขณะนี้กลับมาฟื้นตัวแรง เฉพาะเดือนเมษายน-พฤษภาคม ทำยอดขายสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 43% ผลจากการจัดโปรโมชันของผู้ประกอบการทั้งตลาด หนุนความต้องการผู้บริโภค ด้านศุภาลัย-ออริจิ้น-แสนสิริ รายงานยอดขายตรงกันคือ เทรนด์การเติบโตในตลาดอสังหาฯ กลับมาแล้ว

วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) สรุปภาพรวมสถานการณ์บริษัทหลังวิกฤต COVID-19 เริ่มคลี่คลายว่า มองย้อนไปถึงช่วงเริ่มมีข่าวการระบาดและการล็อกดาวน์ในเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ผู้บริโภคอยู่ในอาการ “ช็อก” บริษัทพบว่า ยอดเยี่ยมชมโครงการกับยอดขายลดลงจริง โดยผู้เยี่ยมชมโครงการช่วงนั้นตกลงเหลือเฉลี่ย 700 คนต่อสัปดาห์ต่อโครงการ

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เยี่ยมชมโครงการและยอดขายต่อสัปดาห์ ฟื้นตัวดีขึ้น ตั้งแต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ปีนี้ไม่เป็นวันหยุด ปัจจุบันมีคนเข้าชมโครงการเฉลี่ย 1,270 คนต่อสัปดาห์ต่อโครงการ โดยเฉพาะเข้าเดือนพฤษภาคม หลังมีแคมเปญโปรโมชัน ยอดชมโครงการขึ้นเป็น 1,858 คนต่อสัปดาห์ต่อโครงการ ซึ่งสูงกว่าก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19

จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการและยอดขาย บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) ช่วงโรค COVID-19 ระบาดจนถึงปัจจุบันที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

ด้านยอดขายปรับขึ้นตามจำนวนผู้ชมโครงการเช่นกัน วิทการรายงานว่า ยอดขายเฉพาะเดือนเมษายน-พฤษภาคมทำได้ 6,255 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนถึง 43% และสูงกว่าไตรมาส 1 ด้วย ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าตลอดไตรมาส 2/63 ตัวเลขยอดขายจะดี กลับกันกับที่เคยคาดไว้ว่าจะเป็นไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดของปี

สรุปรวม 5 เดือนแรก เอพีทำยอดขายไปแล้ว 12,300 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของเป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาทในปี 2563

 

โปรโมชันช่วยพลิกสถานการณ์

“ปีนี้เป็นปีที่ยากอยู่แล้ว แล้วเจอ COVID-19 ซ้ำเติมอีก ทำให้พอถึงเดือนมีนาคมสถานการณ์แย่มากๆ เพราะความรู้สึกคนไม่แน่ใจว่าประเทศจะเดินไปทางไหน” วิทการกล่าว “แต่พอเข้าสงกรานต์ กลายเป็นว่าเริ่มดีขึ้นแล้ว เพราะผู้ประกอบการทุกคนอัดโปรโมชันในช่วงนี้ เข้าเดือนพฤษภาคมกลับกลายเป็นดีมากๆ เพราะเราเปิดโครงการแนวราบไปเยอะ และ sentiment ของตลาดกลับมาดีมาก”

ตัวอย่างแคมเปญลดราคาของเอพีในช่วงนี้

ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างจัดโปรโมชันแรง ส่วนใหญ่เป็นแคมเปญผ่อนให้/อยู่ฟรีนานถึง 2-3 ปี ซึ่งคิดแล้วเทียบเท่ากับได้ส่วนลดราว 10-20% หรือบางรายมีการลดราคากระหน่ำถึง 50% ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว การลดราคาบ้าน-คอนโดฯ ที่หนักที่สุดในรอบหลายปีมานี้ทำให้ผู้บริโภคหลายรายยอมตัดสินใจซื้อบ้าน จากเดิมที่อาจจะชะลอการตัดสินใจไปก่อนเพราะไม่มั่นใจรายได้ในอนาคต

วิทการกล่าวว่า โปรโมชันลักษณะนี้น่าจะยังมีต่อ เพราะสถานการณ์ยังดูไม่แน่นอน แต่มองว่าการจัดโปรฯ ถือว่า ‘แรง’ ที่สุดที่จะให้ได้แล้ว

 

ศุภาลัย-ออริจิ้น-แสนสิริ โตแรงเช่นกัน

นอกจากเอพีแล้ว ผู้ประกอบการค่ายอสังหาฯ อื่นอีกหลายแห่งกล่าวตรงกันว่ายอดขายที่อยู่อาศัยกลับมาเติบโตแล้วในเดือนพฤษภาคม เช่น บมจ.ศุภาลัย ที่ทำยอดขายแนวราบเฉพาะเดือนพฤษภาคมไป 2,300 ล้านบาท เติบโต 100% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

หรือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายรวมเฉพาะเดือนพฤษภาคมไป 2,400 ล้านบาท เติบโต 90% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และหากรวม 5 เดือนแรกของปี ทำยอดขายไป 9,000 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

รวมถึง บมจ.แสนสิริ ที่รายงานยอดขาย 5 เดือนแรก ทำได้ 22,000 ล้านบาท เติบโตถึง 168% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จนมีการปรับเป้ายอดขายทั้งปีจากเดิม 29,000 ล้านบาทเป็น 35,000 ล้านบาท

ดูเหมือนว่า ผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อบ้านจะตัดสินใจ ‘เสี่ยง’ แม้เศรษฐกิจไม่อำนวย ถ้าหากได้ราคาดีๆ จากผู้ประกอบการ!

]]>
1282934